เร่อื ง โลกใตเ้ ลนส์ ศูนยว์ ทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื การศกึ ษาสระแกว้ สานกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
1 ฐานการเรยี นรู้ เร่อื ง โลกใตเ้ ลนส์ ประกอบดว้ ยแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง โลกใตเ้ ลนส์ จานวน 2 ชว่ั โมง
2 แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอื่ ง โลกใตเ้ ลนส์ เวลา 2 ชวั่ โมง แนวคิด โลกใต้เลนส์ เปน็ การเรยี นร้เู ก่ียวกบั กลอ้ งจลุ ทรรศน์ เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ และวิธีการทาสไลด์สด ซ่ึง กลอ้ งจุลทรรศน์เป็นเครือ่ งมือที่ใช้ในการดูภาพขยายของโครงสร้างต่าง ๆ ของตัวอย่างทางชีววิทยาที่ต้องการ ศึกษา เช่น เซลล์ส่ิงมีชีวิต เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ ซ่ึงมีส่วนประกอบสาคัญ 3 ส่วนท่ีเหมือนกัน ได้แก่ เยื่อหุ้ม เซลล์ (cell membrane) ไซโทพลาซึม (cytoplasm) และนิวเคลียส (nucleus) ในการจะศึกษาเซลล์พืชและ เซลลส์ ตั ว์น้ันตอ้ งมกี ารเตรยี มสไลด์สดเพ่ือจะนาไปส่องกลอ้ งจลุ ทรรศน์ ซ่ึงเปน็ พื้นฐานในการเตรียมความพร้อม ก่อนการเรยี นได้เปน็ อย่างดี วตั ถุประสงค์ เม่อื สน้ิ สุดแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรแู้ ล้ว ผูร้ บั บริการสามารถ 1. บอกสว่ นประกอบของกลอ้ งจุลทรรศน์ 2. สามารถเปรยี บเทียบความแตกตา่ งระหวา่ งเซลล์พชื และเซลล์สัตว์ 3. อธบิ ายวิธีการทาสไลด์สด เนื้อหา 1. กลอ้ งจลุ ทรรศน์ 2. เซลลพ์ ชื และเซลล์สัตว์ 3. การทาสไลด์สด ขนั้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขนั้ ตอนที่ 1 กิจกรรมการเรยี นรปู้ ระสบการณท์ างวทิ ยาศาสตร์ (S : Science Experience Activity) 1. ผจู้ ัดกจิ กรรมทกั ทายผูร้ ับบรกิ ารและแนะนาตนเองกับผ้รู ับบริการ รวมท้งั ช้แี จงวัตถุประสงคข์ อง ฐานการเรยี นรู้ที่ 5 เรือ่ งโลกใต้เลนส์ ได้แก่ (1) บอกสว่ นประกอบของกลอ้ งจุลทรรศน์ (2) สามารถเปรยี บเทียบความแตกต่างระหวา่ งเซลล์พืชและเซลลส์ ัตว์ (3) อธิบายวิธีการทาสไลด์สด
3 2. ผจู้ ัดกิจกรรมซักถามประสบการณ์เดิมของผู้รับบริการเก่ียวกับเร่ืองท่ีจะเรียนรู้ โดยสุ่มผู้รับบริการ จานวน 3 - 5 คน ตามความสมัครใจ ใหต้ อบคาถามในประเด็น จานวน 3 ประเดน็ ดงั น้ี ประเด็นที่ 1 “มีใครเคยใชก้ ล้องจลุ ทรรศนบ์ า้ ง” ประเดน็ ที่ 2 “ท่านคดิ ว่า เซลล์พืชและเซลล์สตั ว์มีลักษณะอย่างไร” ประเด็นท่ี 3 “มีใครรู้จักสไลด์สดวา่ ทาอย่างไร” 3. ผู้จัดกิจกรรมและผ้รู บั บริการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสรปุ ส่ิงทไ่ี ด้เรียนร้รู ว่ มกัน ขนั้ ตอนท่ี 2 กิจกรรมการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรท์ ที่ า้ ทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผจู้ ัดกิจกรรมเช่อื มโยงเนือ้ หาในข้นั ตอนที่ 1 เรอื่ ง กลอ้ งจุลทรรศน์ เซลล์พชื และเซลล์สตั ว์ และ การทาสไลด์สด 2. ผู้จัดกิจกรรมบรรยายเร่ือง กล้องจุลทรรศน์ เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ รวมท้ังการทาสไลด์สด ตามใบความรู้ สาหรบั ผ้จู ัดกจิ กรรม เร่อื ง โลกใตเ้ ลนส์ 3. ให้ผู้รับบริการเป็นรายบุคคลปฏิบัติกิจกรรมตามใบกิจกรรมเร่ือง โลกใต้เลนส์ โดยมีรายละเอียด ดังน้ี 3.1 ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ 3.2 เปรยี บเทียบความแตกต่างของเซลล์พืชและเซลลส์ ตั ว์ 3.3 ส่วนประกอบของเซลล์ 4. แบง่ ผูร้ บั บริการออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 6 – 7 คน โดยให้แต่ละกลุม่ ทาสไลด์สด เซลล์พชื และเซลลส์ ตั ว์ เม่ือทาสไลด์สดเสร็จแล้วให้นามาส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเพ่ือศึกษารายละเอียด แล้วนามาเปรียบเทียบกับใบ ความรู้ พร้อมท้งั บันทึกผลการทดลองลงในใบกิจกรรม ดงั กล่าว 5. ผจู้ ัดกิจกรรมและผู้รับบริการสรปุ สิง่ ทไี่ ด้เรยี นรรู้ ว่ มกัน ขน้ั ตอนท่ี 3 กิจกรรมการสรุปผลการนาวทิ ยาศาสตรไ์ ปใช้ในชวี ิตประจาวนั (I : Implementation Conclusion Activity) 1. ให้ผู้รับบริการในแต่ละกลุ่มตามขั้นตอนที่ 2 ยกตัวอย่างเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ พร้อมทั้งแนะนา แนวทาง ในการใชก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ และการทาสไลด์สด 2.ผู้แทนของผู้รับบริการของแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการเรยี นรขู้ องกลุม่ 3. ให้ผรู้ บั บรกิ ารตอบคาถามโดยส่มุ ผู้รบั บรกิ าร จานวน 3 - 5 คนตามความสมัครใจ ให้ตอบคาถามใน ประเด็น “ทา่ นจะนาความรู้ เร่ืองโลกใต้เลนส์ ไปประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวันอย่างไร” 4. ผจู้ ัดกิจกรรมและผูร้ บั บรกิ ารสรปุ สง่ิ ที่ได้เรยี นรรู้ ่วมกนั สือ่ วัสดุอุปกรณ์ และแหล่งการเรียนรู้ 1. ใบความรู้สาหรบั ผู้จัดกจิ กรรมเรือ่ ง กล้องจุลทรรศน์
4 2. ใบความรสู้ าหรบั ผู้รับบริการเรอ่ื ง กลอ้ งจุลทรรศน์ 3. ใบความรูส้ าหรับผู้จดั กจิ กรรมเรอ่ื ง เซลล์ 4. ใบความรสู้ าหรับผู้รับบรกิ ารเรอ่ื ง เซลล์ 5. ใบความรสู้ าหรับผู้จดั กจิ กรรมเรื่อง การทาสไลดส์ ด 6. ใบความรู้สาหรบั ผู้รับบรกิ ารเรอ่ื ง การทาสไลดส์ ด 7. ใบกิจกรรมเร่อื ง โลกใตเ้ ลนส์ 8. กล้องจุลทรรศน์ 9. แบบจาลองเซลลพ์ ชื เซลล์สัตว์ 10. แผน่ สไลดแ์ ละกระจกปิดสไลด์ 11. หลอดหยด (Dropper) 12. ไอโอดีน 13. สาหรา่ ยหางกระรอก 14. เซลลเ์ ยือ่ บุข้างแก้ม 15. ใบมดี โกน 16. ไม้พันสาลี . การวดั และประเมนิ ผล 1. สงั เกตพฤตกิ รรมการมีสว่ นรว่ ม ความตงั้ ใจความสนใจของผ้รู บั บรกิ าร 2. ชิ้นงาน / ผลงาน
5 บนั ทกึ ผลหลงั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ โรงเรยี น………………………………………………………………………………………. ระดบั ชนั้ …………………………วนั ท…ี่ ………………..เดอื น……………………………ปี ……………………. ผลการจดั การเรยี นรู้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ปญั หา/อปุ สรรค .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. แนวทางแกไ้ ข/พฒั นา .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ.....................................................ผูส้ อน (นางสาวปวีณก์ ร คาเสียง) ตาแหนง่ ครูผู้ช่วย
6 ใบความรสู้ าหรบั ผจู้ ดั กจิ กรรม เรอื่ ง กลอ้ งจลุ ทรรศน์ ประวัติของกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง กล้องจุลทรรศน์ (microscope) คือ เครื่องมือที่ประกอบด้วยเลนส์นูน (convex lens) หรือส่ิง ท่ีทาหนา้ ทีค่ ล้ายเลนสน์ ูนขยายภาพวัตถใุ ห้มีขนาดใหญ่ข้ึนจนสามารถศึกษาโครงสร้างขนาดเล็กของวัตถุน้ันได้ กล้องจุลทรรศน์อย่างง่ายประกอบด้วยเพียงส่วนฐาน ส่วนท่ีใช้วางหรือยึดวัตถุ และส่วนท่ีเป็นเลนส์นูนขยาย ภาพวัตถุ ในทางชีววิทยา กล้องจลุ ทรรศน์เป็นเครอื่ งมอื ทีใ่ ช้ในการดภู าพขยายของโครงสรา้ งตา่ งๆ ของตัวอย่าง ทางชีววิทยาที่ต้องการศึกษา เช่น เซลล์ของส่ิงมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (light microscope) คือ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ท่ีใชแ้ สงจากแหล่งกาเนดิ แสงต่างๆ เช่น แสงอาทิตย์ หรือหลอดไฟ เพื่อส่องผ่านวัตถุที่ต้องการ ศึกษา ถือเป็นเคร่ืองมือท่ีช่วยให้เราสามารถศึกษาโครงสร้างขนาดเล็กท่ีตาเปล่ามองไม่เห็นได้อย่าง มีประสทิ ธิภาพ กล้องจลุ ทรรศนแ์ บบใชแ้ สงทน่ี ิยมใชใ้ นการศึกษาชีววิทยาพื้นฐานในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย คือ กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงเชิงประกอบ (compound light microscope) ซ่ึงมีเลนส์หลายอันประกอบ กันเป็นระบบเลนส์เชิงประกอบ (compound lens system) ท่ีทาหน้าที่ร่วมกันในการขยายภาพวัตถุ กล้อง จุลทรรศน์ชนิดน้ีท่ีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน พัฒนามาจากต้นแบบกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงเชิงประกอบตัวแรก ที่ประดิษฐ์ขึ้นโดย Christopher Cock (คริสโตเฟอร์ ค็อก) เมื่อกว่า 300 ปีมาแล้ว ซ่ึง Robert Hooke (โรเบิร์ต ฮุก) ได้นาไปใช้ในการส่องดูโครงสร้างของไม้คอร์ก จนพบโครงสร้างเป็นช่องเล็ก ๆ ซ่ึงเป็นที่มาของ คาว่าเซลล์ ต่อมาแอนทอน วาน เลเวนฮุก (Antoine van Leeuwenhoek) ได้พัฒนาเลนส์ท่ีมีประสิทธิภาพ มากและนามาประกอบเป็นกล้องจุลทรรศน์ที่ทาให้เกิดการค้นพบส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียวหลายชนิดในน้า ดังน้ัน กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงเชิงประกอบจึงเป็นเครื่องมือที่สาคัญในการศึกษาชีววิทยานับแต่นั้นมา ถือเป็น เคร่ืองมอื ทที่ าใหเ้ กดิ ความรแู้ ละความก้าวหนา้ ทางวิชาการขึน้ มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ความรู้เรื่องเซลล์ของ ส่งิ มีชีวิต ภาพท่ี 1 กล้องจุลทรรศน์แบบใชแ้ สงที่ Robert Hooke ใช้ในการส่องดูโครงสรา้ งของไมค้ อรก์ จนพบโครงสร้างเปน็ ชอ่ งเล็ก ๆ ซ่งึ เปน็ ที่มาของคาว่าเซลล์
7 สว่ นประกอบและหลกั การทางานของกลอ้ งจลุ ทรรศนแ์ บบใชแ้ สง กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงเป็นเคร่ืองมือที่ช่วยให้เราสามารถศึกษาวัตถุหรือโครงสร้างขนาดเล็ก ทต่ี าเปลา่ มองไม่เหน็ ภาพท่ี 2 กลอ้ งจลุ ทรรศน์แบบใช้แสงเชงิ ประกอบท่ีใช้ในการศกึ ษาชีววิทยา ในโรงเรียน หรือมหาวทิ ยาลยั ในปัจจบุ นั กลอ้ งจุลทรรศนแ์ บบใช้แสงที่ใช้กันในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นแบบเชิงประกอบ ซ่ึงจะสามารถทางานได้ โดยมีสว่ นประกอบพ้นื ฐาน ได้แก่ 1. แหล่งกาเนดิ แสง (light source) แหล่งกาเนิดแสงโดยทั่วไปจะเป็นหลอดไฟให้แสงสว่าง ติดอยู่ท่ี ฐานของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ ภาพท่ี 3 ตาแหนง่ ของแหลง่ กาเนดิ แสง เป็นหลอดไฟอยู่บริเวณฐานของกลอ้ งจลุ ทรรศน์
8 2. Condenser (คอนเดนเซอร์) Condenser คือเลนสท์ ี่ทาหนา้ ทร่ี วมแสงจากแหลง่ กาเนิดแสง ใหส้ ่องผา่ นวตั ถุ ทีจ่ ะศึกษา ภาพที่ 4 ตาแหนง่ ของ condenser ซง่ึ เปน็ เลนสร์ วมแสงจากหลอดไฟอยูข่ า้ งใต้บริเวณชอ่ งวา่ ง ท่ีแสงสอ่ งผ่านขึน้ มายงั วัตถุ 3. เลนส์ใกลว้ ัตถุ (objective lens) เลนส์ใกล้วัตถุ เป็นเลนส์ที่ทาหน้าที่รับแสงท่ีส่องผ่านวัตถุ แล้วขยายภาพข้ึนตามกาลังขยาย ของเลนส์ภาพ ภาพที่ 5 ตาแหน่งของเลนส์ใกลว้ ัตถุ อยู่เหนือ condenser 4. เลนสใ์ กล้ตา (ocular lens) เลนส์ใกลต้ า อาจเรียกอีกช่ือหนึ่งว่า eyepiece lens (อายพีซ เลนส์) เป็นเลนส์ท่ีอยู่ส่วนบนสุดของ กลอ้ งทาหน้าทรี่ ับ และขยายภาพจากเลนส์ใกลว้ ัตถุ
9 ภาพที่ 6 ตาแหนง่ ของเลนส์ใกลต้ า อยู่ด้านบนสดุ ของกล้องจลุ ทรรศน์ ภาพท่ี 7 ส่วนประกอบพ้นื ฐานทงั้ หมดของกล้องจุลทรรศนแ์ บบใช้แสงเชงิ ประกอบ ภาพทเ่ี หน็ เมือ่ ผู้ศึกษามองผ่านเลนส์ใกล้ตาของกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงน้ี จะเป็นภาพท่ีขยายขนาด ขึ้น และเปน็ ภาพเสมอื นหวั กลบั กลบั ซา้ ยเป็นขวา ภาพที่ 8 ภาพตัวอกั ษรเมือ่ มองผา่ นเลนสใ์ กลต้ าของกล้องจุลทรรศนแ์ บบใชแ้ สง เปน็ ภาพเสมือนหวั กลับ กลับซา้ ยเปน็ ขวา
10 วธิ กี ารใช้งานกลอ้ งจลุ ทรรศนแ์ บบใชแ้ สงทถี่ กู ตอ้ ง การใช้งานกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงท่ีถูกต้อง จะทาให้เราสามารถทาการศึกษาชีววิทยาได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ ขั้นตอนการใช้งานมดี งั น้ี 1. เม่อื จะใช้งานกลอ้ งจลุ ทรรศน์ ให้เปิดสวิตช์ไฟท่ีอยู่บริเวณฐานของกล้อง แล้วปรับความเข้มแสงให้ อยู่ระดบั ปานกลาง ภาพที่ 9 การเร่มิ ใชง้ านกล้องจลุ ทรรศน์โดยการเปิดสวติ ช์ไฟ แลว้ ปรบั ความเขม้ แสงบรเิ วณฐานของกล้อง (ภาพลา่ ง) จนกระทง่ั สงั เกตเหน็ แสงไฟสว่างขนึ้ มาจนถงึ บริเวณ condenser (ภาพบน) 2. นาตัวอย่างท่ีต้องการศึกษา ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่บนสไลด์แก้ว วางลงบนแท่นวางสไลด์ เลื่อนให้ ตาแหน่งของตวั อย่างอยู่ตรงกลางของช่องว่างท่แี สงจะผา่ นขึ้นมา ภาพที่ 10 การนาสไลดแ์ กว้ วางลงบนแทน่ วางสไลด์ (ภาพซ้าย) แลว้ เล่ือนให้ตาแหน่งของตวั อยา่ ง อยตู่ รงกลางช่องวา่ งทแี่ สงส่องผ่านขน้ึ มาจากcondenser (ภาพขวา)
11 3. เริ่มจากการใช้เลนสใ์ กลว้ ัตถกุ าลังขยายต่าสดุ ภาพที่ 11 การหมนุ เปลย่ี นเลนส์ใกล้วตั ถุ เป็นเลนสท์ ่มี ีกาลงั ขยายต่าสุดของกลอ้ งจุลทรรศน์ โดย การจบั บริเวณแป้นหมนุ เปล่ียนเลนส์ (ลกู ศรช้ี) 4. หมนุ ปมุ่ ปรับภาพหยาบใหแ้ ทน่ วางสไลด์เลื่อนข้ึนจนถึงตาแหน่งสูงสุด สังเกตว่าจะไม่สามารถเลื่อน ข้ึนต่อไปไดอ้ กี 5. มองผ่านเลนส์ใกล้ตา แล้วค่อย ๆ หมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้สไลด์ค่อย ๆ เลื่อนลง จนกระทั่งเห็น ภาพ 6. ปรบั ใหภ้ าพคมชัด โดยหมนุ ปุ่มปรับภาพละเอียดอกี เลก็ น้อย ภาพที่ 12 การหมนุ ปุ่มปรับภาพหยาบ (ภาพซ้าย) และปุม่ ปรับภาพละเอียด (ภาพขวา) ของกลอ้ งจุลทรรศน์ 7. ระยะระหว่างสไลดต์ ัวอย่างและเลนสใ์ กลว้ ัตถทุ เี่ หน็ ภาพชัดเจนนี้ เรียกว่าระยะโฟกัสของเลนส์ หาก ตอ้ งการจะศึกษาวตั ถบุ นสไลดใ์ หล้ ะเอียดมากข้ึน สามารถหมุนเปล่ียนเลนส์ใกล้วัตถุท่ีมีกาลังขยายสูงข้ึนลาดับ ถดั ไปมาใชไ้ ด้เลย โดยไมต่ ้องเลอื่ นแทน่ วางสไลด์ลง 8. ปรับระยะโฟกสั โดยการหมุนปุ่มปรบั ภาพละเอยี ดเลก็ นอ้ ย กจ็ ะเหน็ ภาพชัดเจน
12 ภาพที่ 13 ระยะโฟกสั ของเลนส์ คอื ระยะหา่ งระหวา่ งวตั ถุบนสไลดแ์ กว้ กับตัวเลนสใ์ กล้วัตถุเมื่อหมุน ปุ่มปรบั ภาพจนผใู้ ช้สามารถมองเหน็ ภาพชดั ท่ีสุดผ่านเลนส์ใกล้ตา ส่วนประกอบอ่ืนๆ ที่ช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการทางานของกล้อง ซึ่งมีความสาคัญรองลงมาจาก ส่วนประกอบพ้นื ฐาน ส่วนประกอบอน่ื ๆ ท่คี วรสอนใหน้ ักเรียนรู้จกั ไดแ้ ก่ ฐาน สวิตชไ์ ฟ ปุ่มปรับความเข้มแสง แท่นวางวัตถุ ไดอะแฟรม และปุม่ ปรับภาพ ซ่งึ ประกอบด้วยปุ่มปรบั ภาพหยาบ และปมุ่ ปรับภาพละเอียด
13 แทน่ วางสไลด์ สวิตชไ์ ฟ ไอรสิ ไดอะแฟรม ปมุ่ ปรบั ความเขม้ แสง ปมุ่ หมนุ เลอื่ นสไลด์ ปมุ่ ปรับภาพหยาบ ฐาน ปมุ่ ปรบั ภาพละเอยี ด ภาพท่ี 14 สว่ นประกอบอ่นื ๆ ของกลอ้ งจุลทรรศนแ์ บบใช้แสงท่ีควรทราบ สว่ นประกอบของกลอ้ งจุลทรรศน์ 1. ฐาน (Base) เปน็ ส่วนท่ใี ช้วางบนโตะ๊ ทาหนา้ ทีร่ บั นา้ หนกั ทง้ั หมดของกล้องจลุ ทรรศน์ มีรูปร่าง สเ่ี หลีย่ มหรือวงกลม ท่ฐี านจะมีปมุ่ สาหรับปดิ เปดิ ไฟฟา้ 2. แขน (Arm) เปน็ สว่ นเช่อื มตัวลากลอ้ งกบั ฐาน 3. ลากล้อง (Body tube) เปน็ สว่ นท่ีปลายด้านบนมีเลนสต์ า ส่วนปลายด้านล่างติดกบั เลนสว์ ัตถุ ซ่งึ ตดิ กบั แผ่นหมนุ ได้ เพ่อื เปลี่ยนเลนส์ขนาดตา่ งๆ 4. ปมุ่ ปรบั ภาพหยาบ (Coarse adjustment) ทาหน้าท่ปี รับภาพโดยเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ ใกลว้ ตั ถุ (เลื่อนลากล้องหรือแท่นวางวัตถขุ ึน้ ลง) เพอ่ื ทาให้เห็นภาพชัดเจนมากขน้ึ 5. เลนส์ใกลว้ ัตถุ (Objective lens) เป็นเลนสท์ ี่อยู่ใกล้กับแผน่ สไลด์ หรอื วตั ถุ ปกติติด กับแป้นวงกลมซ่ึงมี ประมาณ 3-4 อัน แต่ละอันมีกาลังบอกเอาไว้ เช่น 4x , 10x , 40x และ 100x เป็นต้น ภาพที่เกดิ จากเลนสใ์ กลว้ ัตถุเป็นภาพจรงิ หัวกลบั 6. ป่มุ ปรับภาพละเอยี ด (Fine adjustment) ทาหนา้ ทป่ี รบั ภาพ ทาให้ไดภ้ าพทช่ี ัดเจนมากข้นึ 7. เลนส์ใกลต้ า (Eye piece) เปน็ เลนส์ทอ่ี ยบู่ นสุดของลากล้อง โดยทวั่ ไปมกี าลงั ขยาย 10x หรอื
14 15x ทาหน้าที่ขยายภาพท่ีได้จากเลนส์ใกล้วัตถุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทาให้เกิดภาพท่ีตาผู้ศึกษาสามารถมองเห็น ได้ โดยภาพทไี่ ดเ้ ป็นภาพเสมอื นหัวกลบั 8. เลนสร์ วมแสง (Condenser) ทาหน้าที่รวมแสงใหเ้ ข้มขน้ึ เพื่อสง่ ไปยังวตั ถทุ ่ีต้องการศึกษา 9. จานหมนุ (Revolving Nosepiece) ใช้สาหรับหมุนเพ่อื เปลีย่ นกาลงั ขยายของเลนสใ์ กลว้ ตั ถุ 10. ไอริส ไดอะแฟรม (Diaphragm) อยู่ใต้เลนส์รวมแสง ทาหน้าทป่ี รับปรมิ าณแสงใหเ้ ข้าสู่เลนส์ใน ปริมาณที่ต้องการ 11. แทน่ วางวตั ถุ (Speciment stage) เป็นแท่นใชว้ างแผ่นสไลด์ทต่ี ้องการศกึ ษา 12. ทหี่ นีบสไลด์ (Stage clip) ใช้หนีบสไลดใ์ ห้ตดิ อย่กู บั แท่นวางวัตถุ ในกลอ้ งรนุ่ ใหม่จะมี Mechanical stage แทนเพอ่ื ควบคมุ การเล่ือนสไลด์ให้สะดวกขึน้ การใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ 1. การจับกล้องและเคลอื่ นย้ายกล้อง ต้องใช้มือหนึ่งจับท่แี ขนและอีกมือหน่งึ รองท่ฐี านของกล้อง 2. ตง้ั ลากล้องใหต้ รง 3. เปดิ ไฟเพอื่ ใหแ้ สงเข้าลากล้องได้เต็มท่ี 4. หมุนเลนสใ์ กล้วตั ถุ ใหเ้ ลนสท์ มี่ ีกาลงั ขยายต่าสดุ อยใู่ นตาแหนง่ แนวของลากล้อง 5. นาสไลด์ท่ีจะศกึ ษามาวางบนแท่นวางวัตถุ โดยปรับให้อยู่กลางบรเิ วณทีแ่ สงผา่ น 6. ค่อยๆหมนุ ปุ่มปรับภาพหยาบให้กล้องเลื่อนขึ้นชา้ ๆเพ่ือหาระยะภาพ แตต่ อ้ งระวังไม่ให้เลนสใ์ กล้ วตั ถุกระทบกบั สไลด์ตวั อย่าง เพราะจะทาให้เลนส์แตกได้ 7. ปรับภาพใหช้ ัดเจนขึน้ ดว้ ยปมุ่ ปรบั ภาพละเอียด ถ้าวตั ถุที่ศึกษาไม่อยตู่ รงกลางใหเ้ ลอ่ื นสไลด์ให้มา อยตู่ รงกลาง 8. ถา้ ต้องการให้ภาพขยายใหญข่ น้ึ ให้หมนุ เลนสใ์ กล้วัตถุทม่ี ีกาลงั ขยายสูงกวา่ เดิมมาอยู่ในตาแหน่ง แนวของลากล้อง จากน้ันปรับภาพให้ชัดเจนด้วยปุ่มปรับภาพละเอียดเท่าน้ัน ห้ามปรับภาพด้วยปุ่มปรับภาพ หยาบเพราะจะทาใหร้ ะยะของภาพหรือจดุ โฟกัสของภาพเปล่ียนไป 9. บนั ทกึ กาลงั ขยายโดยหาไดจ้ ากผลคณู ของกาลังขยายของเลนสใ์ กล้วัตถกุ บั กาลงั ขยายของเลนส์ ใกล้ตา วธิ คี านวณหากาลงั ขยายของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ กาลังขยายของกลอ้ งจุลทรรศน์ คานวณได้จากผลคูณของกาลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ กับกาลังขยาย ของเลนสใ์ กลต้ า ดังนี้ สตู รกาลงั ขยายของกล้อง = กาลงั ขยายของเลนส์ใกลต้ า × กาลังขยายของเลนส์ใกล้วตั ถุ สตู รการหากาลงั ขยายของภาพ = ขนาดของภาพ ขนาดของวตั ถุ
15 การระวงั รกั ษากลอ้ งจุลทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์เป็นเครื่องมือท่ีมีราคาสูงและมีความซับซ้อนในการใช้งาน ผู้ใช้จึงต้องใช้อย่าง ระมัดระวังและรักษาความสะอาดอยู่เสมอ เพ่ือไม่ให้เกิดความเสียหายและสามารถนาไปใช้งานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ขอ้ ควรระวงั มดี งั น้ี 1. การยกกล้องเพ่ือเคลื่อนย้าย ให้ใช้มือหน่ึงจับที่แขนของกล้อง อีกมือหน่ึงใช้รอง ท่ีใต้ฐาน ปรับให้ ตรงและยกกลอ้ งในลกั ษณะต้งั ตรง เพอ่ื ป้องกนั การเล่ือนหลดุ ของเลนสใ์ กลต้ า 2. สไลด์และกระจกปดิ สไลด์ตอ้ งไม่เปียก เพราะอาจทาให้แท่นวางวัตถุเป็นสนิม และทาให้เลนส์ใกล้ วตั ถชุ ้นื อาจเกิดราที่เลนส์ได้ 3. ขณะท่ีหมุนปรับภาพหยาบเพื่อเล่ือนเลนส์ใกลว้ ตั ถุลงใกลแ้ ผน่ สไลด์ ให้คอย มองด้านข้างของเลนส์ ใกลว้ ตั ถุไมใ่ หช้ นแผ่นสไลด์ 4. อยา่ ปรบั กระจกของกล้องจุลทรรศนใ์ ห้รับแสงจากดวงอาทติ ย์โดยตรง 5. การมองภาพในกล้องจลุ ทรรศนค์ วรลมื ตาทง้ั 2 ข้าง 6. การหาภาพเริ่มต้นดว้ ยเลนส์ใกล้วตั ถุท่ีมีกาลงั ขยายต่าสุดกอ่ นเสมอ 7. เมื่อใช้เลนส์ใกล้วัตถุท่ีมีกาลังขยายสูง การปรับภาพให้ชัดเจนจะต้องหมุน ปุ่มปรับภาพละเอียด เท่าน้นั 8. หา้ มใช้มือแตะเลนส์ การทาความสะอาดเลนส์ให้ใชก้ ระดาษเช็ดเลนสเ์ ท่าน้ัน
16 การเก็บกลอ้ งจุลทรรศนเ์ ม่ือใช้งานเสรจ็ แล้ว ควรปฏบิ ตั ิดงั นี้ 1. นาวตั ถุทศี่ กึ ษาออกจากแท่นวางวตั ถุ 2. ใช้ผ้านุ่มท่ีแห้งและสะอาดทาความสะอาดส่วนที่เป็นโลหะ ส่วนเลนส์และ กระจกใช้กระดาษเช็ด เลนส์เท่านัน้ 3. เลือ่ นทีห่ นบี สไลด์ใหข้ นานกัน 4. ปรบั กระจกเงาใหอ้ ยใู่ นแนวดง่ิ ต้ังฉากกบั ตวั กลอ้ ง เพ่ือไมใ่ หฝ้ นุ่ เกาะ 5. หมุนเลนสใ์ กลว้ ัตถทุ ่ีมกี าลงั ขยายต่าสุดใหต้ รงกับลากล้อง และเล่ือนใหอ้ ยู่ ในระดบั ตา่ สดุ 6. เก็บเลนส์ใกล้ตาเข้ากลอ่ ง แล้วปดิ กระบอกเลนส์ใกล้ตาเพือ่ กนั ฝนุ่ เข้า 7. ใช้ผา้ คลุมไว้เมื่อเลิกใชง้ าน หรอื เก็บใส่กล่องหรือตู้ให้เรยี บรอ้ ย 8. อยา่ เก็บกล้องจุลทรรศนไ์ ว้ในท่ชี ื้น เพราะจะทาให้เลนสข์ น้ึ รา
17 ใบความรสู้ าหรบั ผจู้ ดั กจิ กรรม เรอื่ ง เซลล์ เซลล์ คอื หน่วยทเี่ ลก็ ที่สดุ ของส่งิ มีชวี ิต ประกอบด้วยไซโทพลาซึม (Cytoplasm) ท่ีล้อมรอบด้วย เยื่อ หุ้มเซลล์ภายในมีนิเคลียส ส่วนเซลล์พืชมีผนังช้ันหน่ึงเป็นสารพวกเซลลูโลส เซลล์เป็นหน่วยพ้ืนฐานของ สิ่งมีชวี ติ โครงสร้างของเซลล์ ประกอบดว้ ยส่วนหอ่ หุ้มเซลล์ นวิ เคลียส และออรแ์ กเนลล์ต่างๆ การค้นพบเซลล์ หลกั ฐานเรื่องเซลล์เปน็ หน่วยพืน้ ฐานของสง่ิ มีชีวิตนี้ ค่อยๆพัฒนาข้ึนมาในช่วงเวลาเกือบสองศตวรรษ ไม่เป็นทป่ี รากฏหลักฐานวา่ ใครเปน็ ผคู้ น้ พบเซลล์เปน็ คนแรก เริ่มตัง้ แตก่ ารตัง้ ใชช้ ื่อเซลล์เป็นครงั้ แรก ปี ค.ศ.1665 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ Robert Hooke ได้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ ชนิด เลนสป์ ระกอบ ตรวจดไู มค้ อร์กทฝี่ านบางๆพบว่าไม้คอร์กประกอบด้วยช่องเล็กๆ มากมายและเขาได้เรียกช่อง เล็กๆ วา่ เซลล์ (cell) ปี ค.ศ.1672 Anthony Van Leeuwenhoek ชาวเนเธอร์แลนด์ได้ใช้กลอ้ งจุลทรรศน์กาลังขยาย 300 เท่า ศกึ ษาเซลลข์ องสง่ิ มีชวี ิตตา่ งๆเช่นเมด็ เลอื ดขาว เซลล์สบื พนั ธ์ ปี ค.ศ.1833 Robert Brown ชาวอังกฤษเปน็ ผู้เสนอคาวา่ นวิ เคลียส เป็นคนแรกโดยศึกษาจาก เซลล์ พืชและ ได้วางพื้นฐานของนยิ ามทวี่ ่าเซลล์ทีม่ ีนิวเคลยี สเป็นหน่วยพืน้ ฐานของสิง่ มชี วี ิตทกุ ชนดิ ปี ค.ศ. 1838 Matthias Jacob Schneider นักพฤกษศาสตร์ชาวเยออรมัน ศึกษาเนื้อเยื่อพืช ชนิด ต่าง ๆ แลว้ สรุปได้ว่า เนือ้ เยอ่ื พชื ทกุ ชนิดประกอบดว้ ยเซลล์ ปี ค.ศ.1839 Theodor Schwann นักสัตววิทยาชาวเยอรมัน ได้ศึกษาเนื้อเยื่อสัตว์หลายๆชนิดแล้ว สรุปว่าเนื้อเย่ือสัตว์ทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์ ทั้งสองจึงร่วมกันต้ังทฤษฎีเซลล์ (Cell theory) ว่า \"All animals and plants composed of cells and products\" หมายความว่า \"สิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบด้วย เซลล์และผลิตภณั ฑข์ องเซลล์\" และเซลล์เป็นหน่วยพืน้ ฐานของสิง่ มีชีวิตทท่ี าหน้าท่ีได้ ปี ค.ศ.1858 Rudolf virchaw เป็นผู้เสนอว่าส่ิงมีชีวิตต้องเกิดมาจากส่ิงมีชีวิต หรือไบโอเจเนซิส (biogenesis)ไม่ได้เกิดขึ้นเองธรรมชาติที่เคยเชื่อกันมาดังนั้นเซลล์ทุกชนิดเกิดมาจากเซลล์เก่าที่มี อยู่แล้วโดย ขบวนการแบ่งเซลล์ สรปุ ทฤษฎีของเซลล์ 1. สิง่ มชี วี ติ ทุกชนดิ ประกอบด้วยหน่งึ เซลลห์ รือหลายเซลล์
18 2. เซลลเ์ ป็นหน่วยพ้ืนฐานของส่งิ มีชีวิตทท่ี าหน้าทไ่ี ด้ 3. เซลล์ทกุ ชนิดเกดิ มาจากเซลล์เก่าท่มี อี ยแู่ ล้ว โครงสรา้ งของเซลล์ 1. ส่วนท่หี ่อหุ้มเซลลม์ ี 2 ชนิด คือ 1.1 ผนังเซลล์ (cell wall) พบในเซลล์พืช ประกอบด้วยเซลลูโลส ทาหน้าท่ีเพ่ิมความแข็งแรงและ ปอ้ งกันอนั ตรายให้แกเ่ นือ้ เยอื่ พชื 1.2 เย่ือหุ้มเซลล์ (plasma membrane หรือ cell membrane) เป็นส่วนท่ีห่อหุ้ม ของเหลวที่อยู่ ภายใน โดยทั่วไปเยื่อหุ้มเซลล์มีคุณสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่าน (semipermeable membrane) ซึ่งยอมให้สาร บางชนดิ แพรผ่ ่านเข้าออกได้ 2. นิวเคลียส เป็นศูนย์กลางควบคุมการทางานของเซลล์ โดยทางานร่วมกับไซโทพลาซึม และยังควบคุม ลกั ษณะของสง่ิ มีชวี ิต ประกอบดว้ ย 2.1 เยอ่ื หุ้มนิวเคลยี ส ทาหนา้ ท่ีหุม้ นิวเคลียสและควบคมุ การผ่านเข้าออกของสารภายในนิวเคลยี ส 2.2 นิวคลโี อลสั ทาหนา้ ทีส่ ร้างไรโบโซม 2.3 โครมาทิน ทาหนา้ ทถ่ี า่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม 3. ออรแ์ กเนลล์ทีส่ าคัญ จะมโี ครงสรา้ งและหน้าท่แี ตกต่างกัน เชน่ 3.1 ร่างแหเอนโดพลาสมิก เรติคิวลัม ทาหน้าท่ีสร้างและขนส่งโปรตีนออกไปนอกเซลล์และลาเลีย ง สารภายในเซลล์ 3.2 ไรโบโซม ทาหน้าท่สี งั เคราะหโ์ ปรตีน 3.3 กอลจิ บอดี ทาหนา้ ท่ีสะสมและขนส่งโปรตีน 3.4 ไมโดคอนเดรยี ทาหนา้ ที่ผลิตสารทม่ี ีพลังงานสงู ใหก้ ับเซลล์ 3.5 คลอโรพลาสต์ ทาหนา้ ทเ่ี ป็นแหลง่ สังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืชและโพรติสต์บางชนดิ 3.6 เซนทริโอล ทาหนา้ ที่ควบคุมรูปรา่ งและการเคล่อื นไหวของไซโทพลาซึมในเซลล์ 3.7 ไลโซโซม ทาหนา้ ท่ยี อ่ ยสารและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสูเ่ ซลล์ 3.8 แวควิ โอล ทาหน้าทส่ี ะสมสารต่างๆ
19 เซลลส์ ตั ว์ 1. นวิ คลีโอลัส (Nucleolus) 8. เอนโดพลาสมิก เรติคิวลมั แบบผวิ เรยี บ 2. นิวเคลียส (Nucleus) (SmoothEndoplasmic reticulum) 3. โรโบ โซม (Ribosome) 4. เวสเิ คลิ (Vesicle) 9. ไมโตคอนเดรยี (mitochondria) 5. เอนโดพลาสมิก เรติคิวลัมแบบผิวขรขุ ระ 10. แวคิวโอล (vacuole) 11. ไซโตพลาซมึ (Cytoplasm) (Rough Endoplasmic reticulum) 12. ไลโซโซม (lysosome) 6. กอลจแิ อปพาราตสั (Golgi apparatus) 13. เซนทริโอล (Centriole) 7. ไซโทสเกลเลตอน (cytoskeleton เซลลพ์ ชื
20 โครงสรา้ งพนื้ ฐานของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั ว์ ตารางสรปุ ความแตกตา่ งระหวา่ งเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั ว์ เซลลพ์ ชื เซลล์สตั ว์ 1. โดยท่วั ไปมีลักษณะเปน็ เหล่ยี ม 1. สว่ นใหญม่ ลี ักษณะกลมหรอื รี 2. มีผนงั เซลลอ์ ยู่ภายนอกเยือ่ หมุ้ เซลล์ 2. ไม่มีผนังเซลล์ มีเฉพาะเยอ่ื ห้มุ เซลล์ 3. มีคลอโรพลาสต์ 3. ไม่มคี ลอโรพลาสต์ 4. ไม่มเี ซนทริโอล 4. มีเซนทริโอล 5. มีแวคิวโอลขนาดใหญ่ 5. มีแวควิ โอลขนาดเลก็ 6. ไมม่ ีไลโซโซม 6. มีไลโซโซม \\
21 ใบความรสู้ าหรบั ผจู้ ดั กจิ กรรม เรอื่ ง การทาสไลด์ อปุ กรณ์ 1. แผน่ สไลด์ 2. ตวั อย่าง เช่น สาหรา่ ยหางกระรอก เย่อื กระพงุ้ แกม้ 3. น้า 4. หลอดหยด 5. เครอ่ื งมือตัดแตง่ ตวั อย่าง เชน่ มีดผ่าตัด ใบมดี คมี คบี เหล็กปลายแหลมสาหรบั เข่ยี ตวั อย่าง วธิ กี ารเตรยี มสไลดส์ ด 1. หยดนา้ 1 -2 หยดดว้ ยหลอดหยดลงบนแผน่ สไลด์ 2. เด็ดตัวอย่างเช่น ใบสาหร่ายหางกระรอกใบยอดสดุ วางบนหยดนา้ บนสไลด์ 3. ปิดดว้ ยกระจกปดิ สไลด์ โดยวางทามุม 45 องศากับแผ่นสไลดแ์ ล้ววางลง ระวังอยา่ ให้มีฟองอากาศ 4. นาไปตรวจใตก้ ล้องจุลทรรศน์ ด้วยกาลงั ขยาย 10 X 4 5. ถา่ ยภาพเซลล์ทีพ่ บเหน็ ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ 6. ทดลองซ้า ตามข้อ 1-5 ดว้ ยตัวอย่างอน่ื ๆ 8. ให้นา้ จากแหลง่ นา้ หยดลงบนสไลดแ์ ละปิดดว้ ยกระจกปิดสไลด์ โดยวางทามุม 45 องศา กับแผ่น สไลด์ และทาตามข้อ 4 – 5
22 ใบความรสู้ าหรบั ผรู้ บั บรกิ าร เรอ่ื ง กลอ้ งจลุ ทรรศน์ แทน่ วางสไลด์ สวิตชไ์ ฟ ไดอะแฟรม ปมุ่ ปรบั ความเขม้ แสง ปมุ่ หมนุ เลอื่ นสไลด์ ปมุ่ ปรบั ภาพหยาบ ฐานกลอ้ ง ปมุ่ ปรบั ภาพละเอยี ด ส่วนประกอบของกลอ้ งจุลทรรศน์ 1. ฐาน (Base) เปน็ ส่วนทีใ่ ชว้ างบนโตะ๊ ทาหนา้ ท่รี บั นา้ หนักทัง้ หมดของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ มรี ปู รา่ ง ส่ีเหลย่ี มหรือวงกลม ทฐี่ านจะมีปมุ่ สาหรบั ปดิ เปดิ ไฟฟา้ 2. แขน (Arm) เปน็ สว่ นเชื่อมตัวลากล้องกับฐาน 3. ลากลอ้ ง (Body tube) เปน็ สว่ นทปี่ ลายด้านบนมเี ลนส์ตา ส่วนปลายดา้ นลา่ งติดกับเลนส์วตั ถุ ซึ่งตดิ กับแผ่นหมนุ ได้ เพือ่ เปลีย่ นเลนสข์ นาดตา่ งๆ 4. ปุม่ ปรบั ภาพหยาบ (Coarse adjustment) ทาหน้าทปี่ รบั ภาพโดยเปลีย่ นระยะโฟกัสของเลนส์ ใกลว้ ตั ถุ (เลอื่ นลากลอ้ งหรอื แทน่ วางวตั ถุขึน้ ลง) เพือ่ ทาให้เหน็ ภาพชัดเจนมากขึ้น 5. เลนสใ์ กล้วตั ถุ (Objective lens) เป็นเลนสท์ ่อี ยู่ใกล้กับแผ่นสไลด์ หรือวัตถุ ปกตติ ดิ กับแป้นวงกลมซ่ึงมี ประมาณ 3-4 อัน แต่ละอันมีกาลังบอกเอาไว้ เช่น 4x , 10x , 40x และ 100x เป็นต้น ภาพทเ่ี กดิ จากเลนสใ์ กล้วตั ถเุ ป็นภาพจริงหวั กลบั
23 6. ปมุ่ ปรับภาพละเอยี ด (Fine adjustment) ทาหนา้ ทป่ี รบั ภาพ ทาใหไ้ ดภ้ าพทีช่ ัดเจนมากขึ้น 7. เลนส์ใกลต้ า (Eye piece) เป็นเลนส์ทอ่ี ยู่บนสุดของลากล้อง โดยทว่ั ไปมีกาลังขยาย 10x หรอื 15x ทาหน้าทีข่ ยายภาพท่ไี ด้จากเลนสใ์ กลว้ ตั ถุให้มีขนาดใหญ่ขน้ึ ทาใหเ้ กิดภาพท่ีตาผู้ศึกษาสามารถมองเห็นได้ โดยภาพท่ไี ดเ้ ปน็ ภาพเสมือนหัวกลับ 8. เลนส์รวมแสง (Condenser) ทาหน้าทร่ี วมแสงให้เขม้ ขึน้ เพอ่ื สง่ ไปยังวัตถุท่ีตอ้ งการศึกษา 9. จานหมนุ (Revolving Nosepiece) ใช้สาหรบั หมนุ เพือ่ เปล่ยี นกาลงั ขยายของเลนสใ์ กล้วตั ถุ 10. ไดอะแฟรม (Diaphragm) อยู่ใตเ้ ลนสร์ วมแสง ทาหน้าทปี่ รับปริมาณแสงให้เขา้ สูเ่ ลนส์ใน ปริมาณท่ีต้องการ 11. แท่นวางวัตถุ (Speciment stage) เป็นแทน่ ใชว้ างแผน่ สไลดท์ ่ีตอ้ งการศกึ ษา 12. ทห่ี นบี สไลด์ (Stage clip) ใชห้ นีบสไลดใ์ หต้ ดิ อย่กู บั แทน่ วางวัตถุ ในกล้องรนุ่ ใหม่จะมี Mechanical stage แทนเพอื่ ควบคุมการเลอ่ื นสไลด์ให้สะดวกขึน้ การใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ 1. การจบั กล้องและเคล่ือนยา้ ยกล้อง ต้องใช้มือหน่งึ จับทแ่ี ขนและอกี มอื หน่ึงรองทฐี่ านของกลอ้ ง 2. ตั้งลากล้องใหต้ รง 3. เปิดไฟเพอ่ื ให้แสงเขา้ ลากล้องได้เตม็ ที่ 4. หมุนเลนสใ์ กล้วตั ถุ ให้เลนส์ทม่ี กี าลังขยายตา่ สดุ อยู่ในตาแหนง่ แนวของลากลอ้ ง 5. นาสไลด์ทีจ่ ะศึกษามาวางบนแท่นวางวตั ถุ โดยปรบั ให้อยู่กลางบริเวณท่แี สงผา่ น 6. ค่อยๆหมุนปมุ่ ปรบั ภาพหยาบให้กล้องเล่อื นขน้ึ ชา้ ๆเพ่ือหาระยะภาพ แตต่ อ้ งระวงั ไมใ่ หเ้ ลนส์ใกล้ วตั ถุกระทบกับสไลด์ตัวอย่าง เพราะจะทาให้เลนสแ์ ตกได้ 7. ปรบั ภาพให้ชัดเจนข้นึ ด้วยปุ่มปรบั ภาพละเอียด ถา้ วัตถทุ ่ศี กึ ษาไมอ่ ยตู่ รงกลางให้เลอ่ื นสไลด์ให้มาอยู่ ตรงกลาง 8. ถ้าต้องการให้ภาพขยายใหญ่ขึน้ ให้หมุนเลนสใ์ กลว้ ัตถทุ ่มี ีกาลังขยายสงู กวา่ เดมิ มาอยู่ในตาแหน่ง แนวของลากล้อง จากนั้นปรับภาพให้ชัดเจนด้วยปุ่มปรับภาพละเอียดเท่านั้น ห้ามปรับภาพด้วยปุ่มปรับภาพ หยาบเพราะจะทาใหร้ ะยะของภาพหรือจดุ โฟกัสของภาพเปลยี่ นไป 9. บันทึกกาลงั ขยายโดยหาไดจ้ ากผลคณู ของกาลงั ขยายของเลนส์ใกล้วัตถุกับกาลงั ขยายของเลนส์ ใกลต้ า วธิ คี านวณหากาลงั ขยายของกลอ้ งจุลทรรศน์ กาลังขยายของกลอ้ งจุลทรรศน์ คานวณได้จากผลคูณของกาลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ กับกาลังขยาย ของเลนสใ์ กล้ตา ดงั นี้ สูตรกาลงั ขยายของกล้อง = กาลังขยายของเลนส์ใกล้ตา × กาลงั ขยายของเลนส์ใกลว้ ตั ถุ สตู รการหากาลงั ขยายของภาพ = ขนาดของภาพ ขนาดของวัตถุ
24 การระวงั รกั ษากลอ้ งจุลทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์เป็นเครื่องมือที่มีราคาสูงและมีความซับซ้อนในการใช้งาน ผู้ใช้จึงต้องใช้อย่าง ระมัดระวังและรักษาความสะอาดอยู่เสมอ เพ่ือไม่ให้เกิดความเสียหายและสามารถนาไปใช้งานได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ ขอ้ ควรระวงั มดี งั น้ี 1. การยกกล้องเพ่ือเคลื่อนย้าย ให้ใช้มือหนึ่งจับท่ีแขนของกล้อง อีกมือหน่ึงใช้รอง ที่ใต้ฐาน ปรับให้ ตรงและยกกล้องในลักษณะต้งั ตรง เพื่อป้องกันการเลือ่ นหลุดของเลนสใ์ กล้ตา 2. สไลดแ์ ละกระจกปดิ สไลด์ต้องไม่เปียก เพราะอาจทาให้แท่นวางวัตถุเป็นสนิม และทาให้เลนส์ใกล้ วัตถุช้นื อาจเกดิ ราทีเ่ ลนส์ได้ 3. ขณะทหี่ มนุ ปรับภาพหยาบเพอื่ เล่ือนเลนสใ์ กล้วัตถลุ งใกลแ้ ผน่ สไลด์ ให้คอย มองด้านข้างของเลนส์ ใกลว้ ตั ถุไมใ่ หช้ นแผน่ สไลด์ 4. อยา่ ปรับกระจกของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ให้รับแสงจากดวงอาทิตยโ์ ดยตรง 5. การมองภาพในกล้องจลุ ทรรศนค์ วรลมื ตาทงั้ 2 ข้าง 6. การหาภาพเร่มิ ต้นด้วยเลนส์ใกล้วัตถุท่ีมีกาลังขยายต่าสดุ ก่อนเสมอ 7. เม่ือใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่มีกาลังขยายสูง การปรับภาพให้ชัดเจนจะต้องหมุน ปุ่มปรับภาพละเอียด เทา่ นน้ั 8. หา้ มใชม้ ือแตะเลนส์ การทาความสะอาดเลนส์ใหใ้ ช้กระดาษเชด็ เลนส์เท่านัน้ การเก็บกล้องจุลทรรศน์เมือ่ ใช้งานเสร็จแล้ว ควรปฏบิ ตั ดิ ังนี้ 1. นาวตั ถุทศ่ี ึกษาออกจากแท่นวางวตั ถุ 2. ใช้ผ้านุ่มท่ีแห้งและสะอาดทาความสะอาดส่วนที่เป็นโลหะ ส่วนเลนส์และ กระจกใช้กระดาษเช็ด เลนสเ์ ท่านนั้ 3. เลื่อนทีห่ นบี สไลดใ์ หข้ นานกนั 4. ปรับกระจกเงาให้อยใู่ นแนวดง่ิ ตง้ั ฉากกับตวั กล้อง เพ่ือไม่ใหฝ้ ุ่นเกาะ 5. หมนุ เลนสใ์ กล้วตั ถุที่มกี าลงั ขยายต่าสุดให้ตรงกับลากลอ้ ง และเล่อื นใหอ้ ยู่ ในระดับต่าสุด 6. เก็บเลนสใ์ กล้ตาเข้ากลอ่ ง แล้วปดิ กระบอกเลนสใ์ กลต้ าเพื่อกนั ฝุ่นเข้า 7. ใชผ้ ้าคลุมไว้เมื่อเลกิ ใชง้ าน หรอื เก็บใสก่ ล่องหรือตู้ให้เรียบร้อย 8. อยา่ เกบ็ กล้องจุลทรรศน์ไว้ในทช่ี น้ื เพราะจะทาใหเ้ ลนสข์ นึ้ รา
25 ใบความรสู้ าหรบั ผรู้ บั บรกิ าร เรอ่ื ง เซลล์ โครงสรา้ งของเซลล์ 1. สว่ นทห่ี อ่ หมุ้ เซลลม์ ี 2 ชนดิ คอื 1.1 ผนังเซลล์ (cell wall) พบในเซลล์พืช ประกอบด้วยเซลลูโลส ทาหน้าท่ีเพิ่มความแข็งแรงและ ป้องกันอันตรายใหแ้ กเ่ นอื้ เยอ่ื พืช 1.2 เย่ือหุ้มเซลล์ (plasma membrane หรือ cell membrane) เป็นส่วนที่ห่อหุ้ม ของเหลวที่อยู่ ภายใน โดยท่ัวไปเยื่อหุ้มเซลล์มีคุณสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่าน (semipermeable membrane) ซึ่งยอมให้สาร บางชนดิ แพร่ผ่านเขา้ ออกได้ 2. นิวเคลียส เป็นศูนย์กลางควบคุมการทางานของเซลล์ โดยทางานร่วมกับไซโทพลาซึม และยังควบคุม ลกั ษณะ ของ สิง่ มชี วี ิต ประกอบด้วย 2.1 เยอื่ ห้มุ นวิ เคลียส ทาหนา้ ทห่ี มุ้ นวิ เคลียสและควบคุมการผา่ นเขา้ ออกของสารภายในนิวเคลยี ส 2.2 นิวคลีโอลัส ทาหนา้ ท่ีสร้างไรโบโซม 2.3 โครมาทิน ทาหน้าท่ถี ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม 3. ออรแ์ กเนลล์ทส่ี าคัญ จะมีโครงสรา้ งและหนา้ ที่แตกต่างกัน เชน่ 3.1 รา่ งแหเอนโดพลาสมกิ เรติคิวลมั ทาหนา้ ที่สรา้ งและขนสง่ โปรตนี ออกไปนอกเซลลแ์ ละลาเลียง สารภายในเซลล์ 3.2 ไรโบโซม ทาหน้าท่สี งั เคราะหโ์ ปรตนี 3.3 กอลจิ บอดี ทาหนา้ ทสี่ ะสมและขนส่งโปรตนี 3.4 ไมโดคอนเดรยี ทาหน้าที่ผลิตสารทีม่ ีพลงั งานสงู ให้กบั เซลล์ 3.5 คลอโรพลาสต์ ทาหนา้ ท่ีเปน็ แหลง่ สงั เคราะหด์ ้วยแสงของพืชและโพรติสตบ์ างชนดิ 3.6 เซนทริโอล ทาหน้าท่ีควบคมุ รูปรา่ งและการเคลอ่ื นไหวของไซโทพลาซมึ ในเซลล์ 3.7 ไลโซโซม ทาหนา้ ทย่ี ่อยสารและสิง่ แปลกปลอมทเี่ ข้าสูเ่ ซลล์ 3.8 แวควิ โอล ทาหนา้ ท่สี ะสมสารตา่ ง ๆ
26 เซลลส์ ตั ว์ 1. นวิ คลีโอลัส (Nucleolus) 8. เอนโดพลาสมกิ เรติควิ ลมั แบบผวิ เรยี บ 2. นิวเคลียส (Nucleus) (SmoothEndoplasmic reticulum) 3. โรโบ โซม (Ribosome) 4. เวสเิ คลิ (Vesicle) 9. ไมโตคอนเดรยี (mitochondria) 5. เอนโดพลาสมิก เรติคิวลัมแบบผิวขรขุ ระ 10. แวคิวโอล (vacuole) 11. ไซโตพลาซมึ (Cytoplasm) (Rough Endoplasmic reticulum) 12. ไลโซโซม (lysosome) 6. กอลจแิ อปพาราตสั (Golgi apparatus) 13. เซนทริโอล (Centriole) 7. ไซโทสเกลเลตอน (cytoskeleton เซลลพ์ ชื
27 โครงสรา้ งพนื้ ฐานของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั ว์ ตารางสรปุ ความแตกตา่ งระหวา่ งเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั ว์ เซลลพ์ ชื เซลล์สตั ว์ 1. โดยท่ัวไปมีลกั ษณะเป็นเหล่ียม 1. สว่ นใหญม่ ลี ักษณะกลมหรอื รี 2. มีผนังเซลลอ์ ยู่ภายนอกเยือ่ หมุ้ เซลล์ 2. ไม่มีผนังเซลล์ มีเฉพาะเยอ่ื ห้มุ เซลล์ 3. มีคลอโรพลาสต์ 3. ไม่มคี ลอโรพลาสต์ 4. ไมม่ เี ซนทรโิ อล 4. มีเซนทริโอล 5. มีแวควิ โอลขนาดใหญ่ 5. มีแวควิ โอลขนาดเลก็ 6. ไมม่ ีไลโซโซม 6. มีไลโซโซม
28 ใบความรสู้ าหรบั ผรู้ บั บรกิ าร เรอ่ื ง การทาสไลด์ อปุ กรณ์ 1. แผน่ สไลด์ 2. ตวั อยา่ ง เชน่ สาหรา่ ยหางกระรอก เยือ่ กระพงุ้ แกม้ 3. น้า 4. หลอดหยด 5. เครือ่ งมอื ตัดแตง่ ตัวอย่าง เชน่ มีดผ่าตดั ใบมดี คีมคบี เหล็กปลายแหลมสาหรบั เขย่ี ตัวอย่าง วธิ กี ารเตรยี มสไลดส์ ด 1. หยดนา้ 1 -2 หยดด้วยหลอดหยดลงบนแผน่ สไลด์ 2. เดด็ ตัวอย่างเชน่ ใบสาหร่ายหางกระรอกใบยอดสดุ วางบนหยดนา้ บนสไลด์ 3. ปิดด้วยกระจกปดิ สไลด์ โดยวางทามุม 45 องศากับแผน่ สไลดแ์ ล้ววางลง ระวังอย่าให้มีฟองอากาศ 4. นาไปตรวจใตก้ ล้องจุลทรรศน์ ดว้ ยกาลังขยาย 10 X 4 5. ถา่ ยภาพเซลล์ทพี่ บเห็นภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ 6. ทดลองซา้ ตามข้อ 1-5 ดว้ ยตวั อย่างอนื่ ๆ 8. ให้นา้ จากแหล่งน้าหยดลงบนสไลดแ์ ละปิดดว้ ยกระจกปดิ สไลด์ โดยวางทามุม 45 องศา กับแผ่น สไลด์ และทาตามข้อ 4 – 5
29 ใบกจิ กรรม เรอ่ื ง โลกใตเ้ ลนส์ วตั ถปุ ระสงค์ 1. บอกส่วนประกอบของกลอ้ งจุลทรรศน์ 2. สามารถเปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ 3. อธบิ ายวิธีการทาสไลด์สด เนอื้ หา 1. กล้องจุลทรรศน์ 2. เซลล์พชื และเซลล์สัตว์ 3. การทาสไลด์สด คาช้ีแจง : กจิ กรรมที่ 1 เติมส่วนประกอบต่างๆ ของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ ตามหมายเลขที่กาหนดให้ถูกต้อง : กจิ กรรมท่ี 2 ให้ผู้รบั บรกิ ารทาเคร่อื งหมาย ลงในชอ่ งทถี่ ูกต้อง : กจิ กรรมที่ 3 ให้ผู้รบั บรกิ ารนาตัวอกั ษรทางขวามือมาใส่ทางดา้ นซ้ายมือให้มีความสมั พันธก์ นั
30 กจิ กรรมท่ี 1 8 1 9 23 4 10 5 11 6 12 7 สว่ นประกอบของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ 1.________________ 2.________________ 3.________________ 4.________________ 5.________________ 6.________________ 7.________________ 8.________________ 9.________________ 10.________________11.________________12.________________ กจิ กรรมที่ 2 ตารางเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั ว์ รายการ เซลลพ์ ืช เซลลส์ ตั ว์ รูปร่าง เหล่ียม กลม เหลี่ยม กลม ผนังเซลล์ มี ไม่มี มี ไมม่ ี คลอโรพลาสต์ มี ไม่มี มี ไม่มี เซนทริโอล มี ไม่มี มี ไมม่ ี แวคคิวโอล ขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก
ไลโซโซม มี ไมม่ ี 31 มี ไมม่ ี กจิ กรรมท่ี 3 สว่ นประกอบของเซลล์ ก. นิวเคลยี ส ข. กอลจิบอดี .....................1. เป็นแหล่งพลังงานภายในเซลล์ ค. ไรโบโซม ......................2. มีเฉพาะในเซลล์พืชเท่าน้ัน ง. ไมโตคอนเดรยี ......................3. มลี กั ษณะเป็นถุงในเซลลพ์ ชื มีขนาดใหญ่ จ. แวควิ โอล ......................4. สรา้ งหรือสังเคราะหโ์ ปรตีน ฉ. ผนงั เซลล์ ......................5. ขบั สารที่เป็นผลผลิตท่มี าจากสว่ นอ่นื เชน่ ช. คลอโรพลาสต์ ซ. ไซโตพลาสซมึ ฮอร์โมน เอนไซม์ ฌ. เซนทรโิ อล ......................6. ทาหนา้ ท่ีสังเคราะห์ดว้ ยแสง ญ. ไลโซโซม ......................7. มีหน้าท่ีควบคุมการทางานภายในเซลล์และ การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม ......................8. เปน็ ที่อยขู่ องออรแ์ กเนลลต์ ่าง ๆ ......................9. พบเฉพาะในเซลลส์ ัตว์ ......................10.เกบ็ สะสมเอนไซม์ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั การยอ่ ยสลาย สารอินทรยี ์ตา่ ง ๆ
32 แนวทางการตอบกจิ กรรมท่ี 1 เรอ่ื ง กลอ้ งจลุ ทรรศน์ คาชแ้ี จง : เตมิ สว่ นประกอบตา่ งๆ ของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ ตามหมายเลขทก่ี าหนดใหถ้ กู ตอ้ ง 8 1 9 2 10 3 11 4 12 5 6 7 สว่ นประกอบของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ 1. เลนสใ์ กลต้ า 2. ลากลอ้ ง 3. แขนกลอ้ ง 4. แทน่ วางวตั ถุ 5. ปมุ่ ปรบั ภาพหยาบ 6. ปุ่มปรบั ภาพละเอยี ด 7. ฐานกลอ้ ง 8. จานหมนุ เลนส์ 9. เลนสใ์ กลว้ ตั ถุ 10. ทห่ี นบี สไลด์ 11. เลนสร์ วมแสง 12. ไดอะแฟรม
33 แนวทางการตอบกจิ กรรมท่ี 2 เรอ่ื ง เซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั ว์ ตารางเปรยี บเทยี บความแตกต่างของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์ รายการ เซลลพ์ ืช เซลลส์ ตั ว์ รปู รา่ ง เหลยี่ ม กลม เหลี่ยม กลม ผนังเซลล์ มี ไม่มี มี ไม่มี คลอโรพลาสต์ มี ไม่มี มี ไม่มี เซนทริโอล มี ไมม่ ี มี ไมม่ ี แวคควิ โอล ขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ไลโซโซม มี ไมม่ ี มี ไม่มี
34 แนวทางการตอบกจิ กรรมที่ 2 เรอื่ ง สว่ นประกอบของเซลล์ คาชแ้ี จง : ให้ผู้รบั บริการนาตัวอักษรทางขวามอื มาใส่ทางด้านซ้ายมือใหม้ คี วามสมั พันธ์กนั ..........ง..........1. เปน็ แหลง่ พลงั งานภายในเซลล์ ก. นวิ เคลยี ส ..........ฉ..........2. มเี ฉพาะในเซลล์พชื เทา่ น้นั ข. กอลจิบอดี ..........จ..........3. มลี ักษณะเป็นถงุ ในเซลลพ์ ืชมีขนาดใหญ่ ค. ไรโบโซม ..........ค..........4. สร้างหรอื สังเคราะห์โปรตีน ง. ไมโตคอนเดรีย ..........ข..........5. ขบั สารที่เป็นผลผลิตทม่ี าจากส่วนอน่ื เชน่ จ. แวควิ โอล ฉ. ผนงั เซลล์ ฮอรโ์ มน เอนไซม์ ช. คลอโรพลาสต์ ..........ช.........6. ทาหน้าท่ีสงั เคราะหด์ ้วยแสง ซ. ไซโตพลาสซมึ ..........ก.........7. มีหน้าท่คี วบคุมการทางานภายในเซลลแ์ ละ ฌ. เซนทริโอล ญ. ไลโซโซม การถ่ายทอดทางพันธกุ รรม ...........ซ........8. เปน็ ทอ่ี ยู่ของออรแ์ กเนลลต์ า่ ง ๆ ...........ฌ........9. พบเฉพาะในเซลลส์ ัตว์ ...........ญ......10. เกบ็ สะสมเอนไซมท์ เ่ี กี่ยวขอ้ งกบั การย่อยสลาย สารอนิ ทรยี ์ตา่ ง ๆ
35
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: