46 แบบฟอรม์ การประเมนิ Soft Skills รายบุคคล รายวิชา ................................................................................ ภาคเรียนท่ี ............... ปีการศกึ ษา ................................ กลมุ่ ............................ ชอื่ -นามสกุล ..................................................................................................................... รหัสประจำตวั ........................................................ ชัน้ ปีที่ ............... คณะ ............................................................. สาขาวชิ า/วชิ าเอก ......................................................................................... อาจารย์ผสู้ อน ................................................................................................................................................................................................... ระบุ Soft Skills ทร่ี ายวชิ ามุ่งประเมิน ¡ 1. การคดิ วเิ คราะหแ์ ละการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ ¡ 2. การแก้ปญั หาเชงิ ซับซอ้ น ¡ 3. การคดิ สรา้ งสรรค์ ¡ 6. การเรยี นรเู้ ชิงรุกและการใฝร่ ู้ ¡ 4. การบริหารความสมั พนั ธ์กบั ผู้อน่ื ¡ 5. ความซอ่ื สตั ยแ์ ละความพากเพยี รพยายาม ¡ 9. การส่อื สารอยา่ งมีประสิทธภิ าพ ¡ 7. ความอดทน ยดื หยุ่น และฟนื้ ตวั ฯ ¡ 8. การเปน็ ผ้นู ำและผูเ้ ปลย่ี นแปลงสงั คม ¡ 10. การเปน็ ผู้ประกอบการและการลงทนุ ¡ 11. การรูเ้ ทา่ ทันดจิ ิทัลและการผลิตสอ่ื ดจิ ทิ ัล ดา้ นของ Analytic Rubrics Holistic ถว่ ง ดา้ นของ Analytic Rubrics Holistic ถ่วง (ระบุคะแนนรายดา้ น) Rubrics น้ำหนัก (ระบคุ ะแนนรายด้าน) Rubrics นำ้ หนกั Soft Skills การระบคุ วามสำคญั Soft Skills การยอมรับความจริง การระบคุ วามสมั พนั ธฯ์ การทบทวนตนเอง การคิด การระบุหลักการ ความอดทน การฟนื้ ตัว การประเมนิ สถานการณ์ 1 วิเคราะหแ์ ละ 7 ยืดหยุ่นและ การเกดิ ความรว่ มมือ การคิดอยา่ งมี การวเิ คราะห์ฯ การโน้มน้าวจงู ใจ การคิดเชงิ ระบบ ฟนื้ ตัว การเปน็ ผูน้ ำฯ การแสวงหาวธิ แี กไ้ ขฯ การเปน็ ตน้ แบบฯ วจิ ารณญาณ การปรบั ตวั ฯ รวม การเรยี บเรยี งฯ รวม การคดิ รเิ รมิ่ การเปน็ ผนู้ ำ การใชเ้ คร่ืองมือฯ การคดิ คล่องแคลว่ การถา่ ยทอดฯ การแกป้ ญั หา การคิดยดื หยนุ่ 8 และผู้ การโต้ตอบกบั ผูอ้ ่ืน เชิงซับซอ้ น การคิดละเอยี ดละออ เปล่ยี นแปลง 2 การคดิ เชิงออกแบบ การทำงานร่วมกบั ผู้อืน่ สงั คม การวางแผนธรุ กจิ การปรบั ตวั ฯ การจดั การการเงนิ ฯ การมีความรับผิดชอบฯ รวม การมีคณุ ธรรมฯ การมมี นุษยสมั พนั ธท์ ีด่ ี รวม การสอ่ื สาร การมีทัศนคตฯิ ความซือ่ สัตยต์ ่อหน้าทฯ่ี การป้องกนั ตนเองฯ 3 การคดิ ความพากเพียรฯ 9 อย่างมี การบริหารจัดการฯ สร้างสรรค์ ประสทิ ธภิ าพ การผลิตสือ่ ดิจิทัล การวางแผนการเรยี นรู้ การเลอื กวธิ ีการเรยี นรฯู้ รวม การแสวงหาความรฯู้ รวม การสร้างองคค์ วามรฯู้ การเปน็ 10 ผปู้ ระกอบการ การบริหาร และการลงทุน 4 ความสมั พันธ์ กบั ผอู้ ืน่ รวม รวม การร้เู ท่าทนั 5 ความซอ่ื สัตย์ 11 ดจิ ทิ ลั และ และพากเพยี ร การผลิตสอ่ื รวม ดจิ ทิ ัล การเรียนรู้ รวม 6 เชงิ รุกและการ ใฝ่รู้ รวม ผลรวมถว่ งนำ้ หนัก ด้านที่ คะแนน ด้านที่ คะแนน ด้านที่ คะแนน ด้านท่ี คะแนน ด้านที่ คะแนน ดา้ นท่ี คะแนน 123456 7 8 9 10 11 รวม หมายเหตุ 1. อาจารย์ผสู้ อนใสค่ ะแนนการประเมนิ เฉพาะด้านทป่ี ระเมนิ ตามทรี่ ายวิชาได้กำหนดไว้ (หากในรายวชิ าไมไ่ ด้ประเมนิ ดา้ นใด ให้ขา้ มการกรอกคะแนนในช่องนนั้ ) 2. ผู้สอนสามารถประเมนิ โดยการใชก้ ารประเมนิ แบบแยกสว่ น (Analytic Rubrics) หรือการประเมนิ แบบภาพรวม (Holistic Rubrics) อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงหรือทง้ั 2 อยา่ งก็ได้ 3. การถว่ งน้ำหนกั คะแนน อาจารยผ์ สู้ อนสามารถปรับไดต้ ามน้ำหนกั ความสำคญั ของ Soft Skills แตล่ ะดา้ นท่ผี สู้ อนไดก้ ำหนดไวใ้ นรายวิชา
47 แบบฟอรม์ การประเมิน Soft Skills รายชั้นเรียน รายวิชา ................................................................................ ภาคเรียนที่ ............... ปกี ารศกึ ษา ................................ กลุ่ม ............................ ชัน้ ปที ี่ ............... คณะ ............................................................. สาขาวชิ า/วิชาเอก ......................................................................................... อาจารย์ผสู้ อน ................................................................................................................................................................................................... ระบุ Soft Skills ทรี่ ายวชิ ามุ่งประเมิน ¡ 1. การคดิ วเิ คราะหแ์ ละการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ ¡ 2. การแกป้ ัญหาเชงิ ซับซอ้ น ¡ 3. การคิดสร้างสรรค์ ¡ 4. การบรหิ ารความสมั พนั ธ์กบั ผอู้ นื่ ¡ 5. ความซ่อื สัตยแ์ ละความพากเพยี รพยายาม ¡ 6. การเรยี นรเู้ ชิงรกุ และการใฝร่ ู้ ¡ 9. การสอื่ สารอย่างมปี ระสิทธภิ าพ ¡ 7. ความอดทน ยดื หยุ่น และฟนื้ ตัวฯ ¡ 8. การเปน็ ผนู้ ำและผเู้ ปลย่ี นแปลงสังคม ¡ 10. การเปน็ ผปู้ ระกอบการและการลงทนุ ¡ 11. การรูเ้ ทา่ ทนั ดิจิทลั และการผลติ สื่อดจิ ิทัล เลขที่ ชือ่ -นามสกลุ ดา้ นของ Soft Skills (ระบคุ ะแนนรวมของ Soft Skills แตล่ ะดา้ น) 10 11 รวม หรือรหสั ด้าน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 นักศกึ ษา น้ำหนัก คะแนน หมายเหตุ 1. อาจารย์ผูส้ อนใสค่ ะแนนการประเมนิ เฉพาะด้านทปี่ ระเมนิ ตามทรี่ ายวิชาไดก้ ำหนดไว้ (หากในรายวิชาไม่ไดป้ ระเมนิ ดา้ นใด ใหข้ า้ มการกรอกคะแนนในช่องนนั้ ) 2. ผสู้ อนสามารถประเมนิ โดยการใช้การประเมนิ แบบแยกสว่ น (Analytic Rubrics) หรือการประเมนิ แบบภาพรวม (Holistic Rubrics) อยา่ งใดอย่างหนึ่งหรอื ทง้ั 2 อยา่ งก็ได้ แล้วนำผลคะแนนถว่ งน้ำหนักสรุปรวมกรอกลงในแบบฟอรม์ นี้ (โดยอาจใช้ควบคู่กับแบบฟอรม์ การประเมนิ Soft Skills รายบุคคล) 3. การถว่ งน้ำหนกั คะแนน อาจารย์ผู้สอนสามารถปรบั ไดต้ ามนำ้ หนักความสำคญั ของ Soft Skills แต่ละด้านทผี่ ู้สอนได้กำหนดไว้ในรายวิชา
48 การจดั กจิ กรรมการเรียนรเู้ พ่ือพฒั นา Soft skills
49 การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้เพ่อื พฒั นา Soft skills การออกแบบการจัดการเรียนรู้ในรายวิชา ผู้สอนต้องคำนึงผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกบั ผู้เรียน ซึ่งเปน็ ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่สอดคล้องกบั เป้าหมายการผลิตบัณฑติ ของหลกั สตู ร จากนั้นออกแบบการ ประเมนิ ผลการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรยี นรทู้ ี่สอดคล้องกัน โดยคำนึงถึง Constructive Alignment ดังภาพ Learning Outcomes Teaching and Assessment Learning Activities การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ทค่ี ำนงึ ถึง Constructive Alignment การออกแบบการจดั การเรยี นรู้ในหมวดวิชาศึกษาทั่วไป ควรเนน้ การสร้างประสบการณ์เรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเปน็ สำคัญ ใหผ้ ู้เรยี นมสี ่วนร่วมกับกระบวนการเรยี นรู้ มกี ารฝกึ ปฏบิ ตั ิ เพือ่ ใหเ้ กดิ ทักษะท่ีผู้เรยี นสามารถ เช่อื มโยงเข้ากบั การเรยี นรู้ในสาขาวิชาเอกของตนเอง และประยุกต์ใช้กบั การดำเนนิ ชีวิตประจำวันของตนเอง ได้ ซึง่ เป้าหมายท่ีสำคญั คอื การพัฒนาทกั ษะ Soft skills ซงึ่ แนวทางการออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ในคู่มือ ฉบบั นี้ จะมงุ่ เนน้ การใชก้ จิ กรรมการเรยี นรูเ้ ชงิ รกุ (Active Learning) โดยอธบิ ายกิจกรรมการเรยี นร้เู ชิงรุกแต่ ละแบบ และตวั อยา่ งการนำไปประยกุ ตใ์ ช้ในการจดั การเรยี นรู้ในชน้ั เรียนทีส่ อดคลอ้ งกบั การประเมนิ รูปแบบกจิ กรรมการเรียนร้เู ชิงรุก ทกี่ ลา่ วถงึ ในคูม่ ือฉบบั นี้มดี งั น้ี 1. การแสดงบทบาทสมมติ (Role Play) 2. การสร้างสถานการณจ์ ำลอง (Simulation Technique) 3. การเรียนรทู้ ่ีเน้นทกั ษะกระบวนการคิด (Thinking-Based Learning) 4. เพอ่ื นสอนเพอ่ื น (Peer Teaching) 5. การจัดการเรียนรโู้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน (Problem-Based Learning) 6. การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project-Based Learning) 7. เทคนคิ จ๊กิ ซอว์ (Jigsaw Technique)
50 1. การแสดงบทบาทสมมติ (Role Play) การแสดงบทบาทสมมติเปน็ รูปแบบหน่งึ ของการเรียนรู้เชงิ รกุ ทีเ่ ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรยี นรผู้ ่านการ แสดงออกทัง้ ด้านความคิดและพฤตกิ รรม จากสถานการณจ์ ำลองทีผ่ ูส้ อนกำหนดขึ้น ซึ่งมักเป็นสถานการณ์ท่ี คล้ายกับสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตประจำวันของผู้เรียน และเนื่องจากเป็นการกระทำใน บทบาทสมมติเป็นคนอนื่ ผูเ้ รยี นสามารถแสดงออกโดยไมม่ ีความกงั วลวา่ จะถูกลงโทษหรอื ถูกตำหนิ ซงึ่ ทำให้ผู้ ท่เี ล่นบทบาทสมมติดว้ ยกันนนั้ ไดร้ ับประสบการณข์ องการปฏิสัมพันธ์กันเสมือนอย่ใู นสถานการณจ์ ริง การแสดงบทบาทสมมตมิ ขี ้ันตอนดำเนินการดงั ต่อไปน้ี ขน้ั ที่ 1 Identify the situation ผู้สอนอธิบายสถานการณ์จำลองให้ผู้เรียนเข้าใจ และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสอบถามจนกว่าจะ เข้าใจสถานการณ์ได้ตรงกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนเร่ิมคดิ เกี่ยวกับประเดน็ ต่าง ๆ ในสถานการณ์ จำลองไว้ล่วงหนา้ ก่อนแสดงจริง ขั้นที่ 2 Add details อธิบายรายละเอยี ดเพิ่มเตมิ เช่น ขัน้ ตอนการดำเนินกิจกรรม วตั ถปุ ระสงคข์ องกจิ กรรมนี้ เวลา ที่กำหนดให้ เป็นต้น โดยยังไม่บอกว่าจะมีบทบาทสมมติอะไรบ้าง หากผู้เรียนยังมีข้อสงสัยใด ให้ สอบถามผสู้ อนก่อนเริม่ กจิ กรรม ข้นั ท่ี 3 Assign roles กำหนดบทบาทให้ผแู้ สดงแต่ละคน โดยผ้สู อนอาจเขียนอธิบายบทบาทแต่ละบทบาทไว้ในซอง แล้วให้ผู้เรียนเลือกซองเองได้ โดยบทบาทที่กำหนดนั้นประกอบไปด้วย บุคคลที่ต้องแก้ไขปัญหา บคุ คลทท่ี ำหนา้ ทีส่ นบั สนนุ การตดั สนิ ใจ และบคุ คลทขี่ ัดแยง้ หรือไม่เหน็ ดว้ ย ทั้งนขี้ ้นึ อยกู่ บั สถานการณ์ ท่ีผ้สู อนกำหนด เช่น สถานการณ์ที่พนักงานขายสินคา้ ตอ้ งเจอกับลกู ค้าก็กำลังโกรธเน่ืองจากไม่พอใจ ในการให้บริการของบริษทั เปน็ ตน้ ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำความเข้าใจบทบาทของตนเอง โดยพยายามจินตนาการถึง บทบาทที่ได้รับ ทำความเข้าใจมุมมอง เป้าหมายหรือสิ่งดลใจให้บุคคลนั้น แสดงพฤติกรรมนั้นๆ ออกมา เพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นแสดงบทบาทน้นั ไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์เม่ือเรม่ิ สถานการณ์
51 ขั้นท่ี 4 Act out the scenario เมื่อเริ่มแสดง ให้ผู้แสดงบทบาทสมมติแต่ละคน แสดงบทบาทของตนเองให้จริงจัง เต็มที่ พยายามหาวิธีการทห่ี ลากหลายวธิ มี าแก้ปัญหา สนบั สนนุ หรือขัดแยง้ (ตามบทบาทของตน) ข้ันที่ 5 Discuss what you have learned เม่ือหมดเวลาตามที่กำหนด ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนพดู คุยกันเองในกลมุ่ อภิปรายกันถึงบทบาทท่ี ตนเองไดร้ บั และประสบการณ์การเรียนรูท้ ่แี ตล่ ะคนไดร้ บั จากสถานการณจ์ ำลองนี้ แนวทางการจดั กลุ่มผเู้ รยี นเพื่อแสดงบทบาทสมมติ ผู้สอนสามารถใชแ้ นวทางการจัดกลมุ่ ไดด้ ังนี้ - ใหผ้ เู้ รียนทกุ คนได้รว่ มแสดงบทบาทสมมติ โดยผ้สู อนแบ่งผู้เรยี นเปน็ กลมุ่ ยอ่ ย - มีผแู้ สดงบทบาทสมมติเพยี งกลมุ่ เดยี ว ซึ่งเปน็ กลมุ่ ผเู้ รยี นทก่ี ลา้ แสดงออก และเลน่ ไดส้ ม บทบาท แต่ผ้เู รยี นคนอืน่ ๆ ชว่ ยเตรียมข้อมลู ก่อนการแสดง เช่น หากสถานการณจ์ ำลองคือ พนักงานขายสนิ คา้ ตอ้ งเจอกบั ลูกค้ากก็ ำลงั โกรธเนือ่ งจากไมพ่ อใจในการใหบ้ ริการของบรษิ ทั ผูส้ อนสามารถแบง่ ผเู้ รียนเป็นสองกลุ่ม กลมุ่ แรกคอื พนกั งานบรษิ ทั กล่มุ ทส่ี องคอื ลูกคา้ โดย ใหผ้ ู้เรียนชว่ ยกันคิดและวางแผนวา่ จะแสดงออก หรอื จัดการกับปัญหาทจี่ ะเกิดอยา่ งไร แล้ว ส่งตวั แทนกลุ่มออกมาแสดงบทบาทสมมตนิ น้ั ข้อแนะนำเพ่ิมเตมิ ในการจดั กิจกรรม ผู้เรียนบางคนอาจรู้สึกกังวลว่าตนเองไม่สามารถแสดงได้ ผู้สอนสามารถสาธิตให้ผู้เรียนทั้งห้อง ดกู อ่ นได้ เช่น เลอื กผูเ้ รยี นสองคนทกี่ ล้าแสดงออก มาทดลองแสดงจากสถานการณต์ วั อย่างให้เพื่อนดูหน้า หอ้ ง หรอื ผู้สอนเองสามารถแสดงบทบาทสมมตริ ่วมกับผเู้ รยี นเพอ่ื เป็นตวั อย่างได้
52 2. การสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation Technique) เปน็ รปู แบบการจัดกจิ กรรมการเรียนรทู้ ผี่ ู้สอนกำหนดสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เสมือนจริง มากทีส่ ดุ เพื่อให้ผูเ้ รยี นไดเ้ รียนรู้ และฝกึ ปฏิบัตใิ นสถานการณ์ดังกล่าวได้ โดยใช้ข้อมูลท่ีมีสภาพคล้ายกบั ข้อมูล จริง และการกระทำของผู้เรยี นน้ันสามารถเทยี บเคียงไดถ้ ึงส่ิงทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ ในสถานการณจ์ ริง วัตถุประสงค์หลักของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการสร้างสถานการณ์จำลอง คือ มุ่งหวังให้ ผู้เรียนฝกึ คดิ วเิ คราะห์ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ตามทกี่ ำหนดในสภาพแวดลอ้ มที่ใกลเ้ คียงกับสภาพแวดล้อมจริง ซึ่งอาจเป็นสภาพแวดลอ้ มในปจั จุบนั หรอื อาจเกดิ ข้นึ ได้ในอนาคต การจัดกิจกรรมการเรียนรดู้ ว้ ยวิธกี ารสรา้ งสถานการณจ์ ำลองมีขน้ั ตอนท่ีสำคญั ดังน้ี ข้ันท่ี 1: กำหนดวัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ ขน้ั ท่ี 2: กำหนดสถานการณ์จำลองทีม่ ีตัวแปรและบรบิ ทคล้ายกบั สถานการณ์จรงิ โดยผู้สอนสามารถเลือกใช้วิธีการเสนอสถานการณจ์ ำลองได้หลายรปู แบบ เช่น การเล่าเรื่อง ใหผ้ ู้เรียนฟงั ให้ผู้เรียนอ่านเนอื้ เรอื่ ง หรอื การดคู ลปิ วดิ โี อ เปน็ ต้น ทั้งนี้การกำหนดสถานการณ์จำลองที่ดีนั้น ผู้สอนต้องกำหนดสถานการณ์ที่ผู้เรียนสามารถ เข้าใจได้งา่ ย มองเหน็ ภาพได้อย่างชดั เจน ไมซ่ ับซอ้ นจนเกินไปนัก ซึ่งหากสถานการณ์ที่กำหนดมคี วาม ซับซอ้ นเกนิ ไป อาจทำใหผ้ ูเ้ รียนเขา้ ใจสถานการณ์ผดิ ไปจากสงิ่ ทผี่ ้สู อนต้ังไว้ และผเู้ รียนแตล่ ะคนอาจมี ความเข้าใจสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไปได้ เทคนิคการกำหนดสถานการณ์จำลองนั้น บางครง้ั ผู้สอนอาจนึกถึงบริบทที่ใกล้ตัวผู้เรียน หรือมีความเกี่ยวข้องกับผู้เรียน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรยี นเข้าใจ สถานการณไ์ ด้โดยงา่ ย และจงู ใจใหผ้ ้เู รยี นอยากเรยี นรูเ้ พมิ่ ขน้ึ ขัน้ ท่ี 3: ผ้เู รียนแสวงหาความรูแ้ ละเรยี นรปู้ ระเดน็ ตา่ ง ๆ ตามวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ ผู้เรยี นเรยี นรู้ตามประเดน็ ท่ีผูส้ อนกำหนด โดยมขี อบเขตอยูภ่ ายใตส้ ถานการณ์จำลอง ซึ่งขั้น ตอนนี้ผู้สอนจะทำหนา้ ที่เป็นผู้สนับสนุนการเรียนรูแ้ ก่ผู้เรียน และให้ผู้เรียนได้นำแนวคิดหรอื วธิ ีการ แก้ปัญหาท่ีใช้ในสถานการณ์จำลองสะท้อนกลบั มายงั สถานการณ์จรงิ ขั้นที่ 4: ผสู้ อนสรุปผลและประเมินผลการเรียนรู้ ผู้สอนอภิปรายผลการศึกษาค้นคว้าหรือวิธีการแกป้ ัญหาของผู้เรียนท่ีได้นำเสนอ รวมทั้งให้ ข้อเสนอแนะเพิ่มเตมิ
53 จุดเดน่ ของการจดั กิจกรรมการเรยี นร้แู บบการสรา้ งสถานการณจ์ ำลองมดี ังนี้ 1. ผ้เู รยี นไดเ้ รียนรูแ้ ละฝกึ ปฏบิ ัติในรปู แบบตา่ ง ๆ ก่อนเจอกับสถานการณ์จรงิ 2. เป็นรูปแบบการเรียนที่ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกคิดแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ที่มีความใกล้เคียงกับ สภาพจริงมากทสี่ ุด 3. ผ้เู รยี นสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดไดโ้ ดยไมก่ อ่ ให้เกดิ ความเสยี หายใด ๆ 4. หากผูส้ อนกำหนดสถานการณ์ที่เก่ียวข้องกับผู้เรียน จะสามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนใหแ้ ก่ ผู้เรียนได้ เนือ่ งจากผเู้ รยี นรสู้ ึกวา่ เกีย่ วข้องกับตนเอง 5. เป็นรปู แบบการเรยี นรทู้ ชี่ ว่ ยให้ผู้เรียนเหน็ ถึงการเช่อื มโยงความรทู้ ี่ได้จากการเรยี นกบั การนำไปใช้ ในสถานการณ์จริงได้
54 3. การเรียนรทู้ ีเ่ น้นทักษะกระบวนการคิด (Thinking-Based Learning) เป็นการจัดกจิ กรรมท่เี นน้ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ทักษะกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เปน็ แต่เพียงผเู้ รยี น ที่รับข้อมูลเพียงอย่างเดยี ว ผู้สอนทำหนา้ ที่เป็นผู้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด โดยอาจกำหนดโจทย์ปัญหาที่ท้าทาย แล้วให้ผู้เรียนคิดเป็นลำดับขั้น ให้เหตุผลประกอบการคิด และเชื่อมโยงแนวคิดใหม่กับความรู้เดิม เพื่อให้ สามารถตดั สินใจ หรือหาข้อสรปุ ได้ การจัดกิจกรรมเพื่อเน้นทักษะกระบวนการคิดนี้ เป็นการส่งเสริมผู้เรียนให้มีทักษะการคิดขั้นสูง (Higher order thinking skills) ซงึ่ เป็นทักษะทจ่ี ำเปน็ อย่างย่งิ สำหรบั ผเู้ รยี นในปจั จบุ ัน วิธีการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ทเี่ นน้ ทักษะกระบวนการคิด สามารถทำไดโ้ ดย ใหโ้ จทยป์ ญั หาทเี่ ก่ยี วขอ้ งเชอื่ มโยงกับสถานการณ์หรือ สิ่งของที่พบเจอได้ในชวี ติ ประจำวัน ผู้สอนควรคำนงึ ถงึ การสง่ เสริมอปุ นิสัยการคดิ (Habits of Mind) ทดี่ ีใหก้ บั ผเู้ รียน ด้วยการกระตุ้นให้ ฝึกคิดบ่อย ๆ และเมือ่ ผูเ้ รียนเกิดการคดิ อย่างมีระบบที่ดี ก็จะกลายเป็นอุปนสิ ยั การคิดที่ดีท่ีติดตัวผู้เรียนได้ อปุ นสิ ยั การคิดที่ดี ไดแ้ ก่ - Persisting คอื ความอดทน ไม่ยอ่ ท้อต่อการคดิ หาคำตอบ - Managing impulsivity คอื ความสามารถในการควบคมุ ตนเองทางอารมณ์ การคดิ ก่อนลงมือทำ หรือตดั สนิ ใจ การไตร่ตรองพจิ ารณาทางเลือกและผลท่ีตามมากอ่ นดำเนนิ การ - Listening with understanding and empathy คือ การฟังผู้อื่นอย่างเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ พยายามทำความเขา้ ใจกรอบความคดิ ของผพู้ ดู - Think flexibly คอื การคิดอยา่ งยดื หยุน่ การเปลย่ี นวธิ คี ดิ โดยพจิ ารณาจากมมุ มองใหม่ หรือกรอบ แนวคิดใหม่ - Thinking about thinking คือ การคดิ เกี่ยวกบั ความคดิ ของตนเอง การรูว้ า่ ตนเองรอู้ ะไร หรือยัง ไม่รูอ้ ะไร การประเมนิ ส่งิ ทีต่ นเองรู้ - Striving for accuracy คือ การตรวจสอบงานท่ีทำ ให้มีความผิดพลาดน้อยที่สุด โดยมุ่งสู่ความ สมบรู ณแ์ บบมากกวา่ เพียงแคก่ ารทำงานใหส้ ำเรจ็ - Questioning and posing problems คอื การรู้จักถามและการต้งั คำถาม ความอยากร้ใู นคำตอบ จงึ ทำให้ตง้ั คำถามอย่างมเี หตมุ ผี ล
55 - Applying past knowledge to new situations คือ การประยุกต์ใช้ความรู้เดิมของตนเอง มา ใช้กับสถานการณใ์ หมท่ ี่ตอ้ งเผชญิ - Think and communicating with clarity and precision คือ การคิดและสื่อสารอย่างชัดเจน มขี อ้ มลู ประกอบการคดิ และการสื่อสารอยา่ งมเี หตผุ ล - Gathering data through all senses คือ การประมวลผลการคิดจากประสาทสัมผัสหลาย ๆ ทาง - Creating, Imaging, Innovating คือ การคิดหาทางแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โดยคิดพิจารณา จากหลากหลายแงม่ ุม ยอมรบั การวพิ ากษว์ จิ ารณ์ นำ Feedback มาพัฒนา - Responding with wonderment and awe คือ การตอบสนองอย่างกระตือรือร้น มีความรู้สึก รว่ มในกจิ กรรมการเรยี นรู้ สนกุ กับการได้คิดเร่อื งต่าง ๆ ในช้ันเรยี น - Taking responsible risks คือ กล้าเส่ียง และรับผิดชอบในผลที่ตามมา - Finding humor คือ การสร้างอารมณ์ขัน ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการคิด เพราะช่วยสร้าง สัมพนั ธภาพระหว่างบุคคลได้ ทำใหเ้ ปน็ สะพานในการเรยี นรู้จากผู้อน่ื ได้ - Thinking interdependently คือ การคิดแบบพึ่งพา นั่นคือ การคิดร่วมกันกับผู้อื่น ร่วมกันคดิ เปน็ กลุ่ม แลกเปล่ยี นความคดิ ซ่ึงกันและกนั - Remaining open to continuous learning คอื การเปดิ ตนเองให้เปน็ ผูเ้ รยี นรู้อย่างตอ่ เน่อื ง ผสู้ อนควรจดั กจิ กรรมการเรียนร้เู พ่ือพัฒนาอุปนิสยั การคดิ ต่าง ๆ เหลา่ นี้ ให้เกิดกับผเู้ รียน แม้ว่าการ จัดกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ไม่สามารถครอบคลุมการพัฒนาอุปนิสัยการคิดได้ทั้งหมด อย่างไรกต็ าม ผู้สอน สามารถกระตุ้นผู้เรียนได้ ผ่านกิจกรรมการแก้โจทย์ปัญหาทั้งแบบเดี่ยวและกลุ่ม การให้ Feedback เพ่ือ กระตุ้นใหผ้ เู้ รียนคดิ การเป็นต้นแบบของการพัฒนาอปุ นสิ ยั การคิดใหผ้ เู้ รยี น
56 4. เพ่อื นสอนเพอื่ น (Peer Teaching) การจดั กจิ กรมการเรียนรแู้ บบเพอื่ นสอนเพื่อน (Peer Teaching) มหี ลักการสำคัญ คอื การมอบหมาย ให้ผู้เรียนทำหน้าที่เปน็ ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่เพื่อนที่อยู่ในชั้นเรียนเดียวกัน โดยผู้สอนทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ อำนวยกระบวนการเรียนรู้ (Facilitator) ให้คำแนะนำด้านต่าง ๆ จากประสบการณ์การสอนที่มี ซึ่งการจดั กิจกรรมรูปแบบน้ี มวี ัตถุประสงค์หลกั เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นที่ทำหนา้ ท่เี ปน็ ผสู้ อน เกิดทกั ษะการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง การ สือ่ สารและการถา่ ยทอด ทัง้ นปี้ ระโยชน์สำคญั ท่ีไดจ้ ากการจัดกจิ กรรมการเรียนรรู้ ปู แบบน้ี มดี งั น้ี 1. ผู้เรียนเกิดความเข้าใจเน้ือหาอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากการทำหน้าที่เป็นผู้สอนที่ดี ตนเองย่อม ตอ้ งมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในเนอ้ื หาท่ีสอนได้เป็นอยา่ งดกี อ่ น 2. เพ่อื นในช้ันเรียนเดียวกนั อาจรู้สึกผ่อนคลายและเปน็ กันเองมากกว่าอาจารยเ์ ป็นผู้สอน 3. สรา้ งบรรยากาศการเรียนร้ใู นชั้นเรยี น ขนั้ ตอนการจัดกจิ กรรมการเรียนร#แู บบเพอื่ นสอนเพื่อนโดยทัว่ ไปน้นั สามารถแบAงเปนC 5 ข้นั ตอนดงั น้ี ขั้นที่ 1: เตรียมกิจกรรม - กำหนดขอบเขตของเนื้อหาและแหลAงเรียนรู#เพิ่มเติมทั้งหมด โดยแบAงเนื้อหาออกเปนC หวั ขอ# ยอA ย ๆ เพอื่ เตรยี มมอบหมายให#ผเู# รยี นแตลA ะกลมุA รบั ผดิ ชอบสอน - สร#างเกณฑPการประเมิน (Rubrics) ได#แกA เกณฑPการประเมินการสอน และเกณฑPการ ประเมินการทำงานรวA มกันเปนC กลAุม - พัฒนาระบบประเมนิ ออนไลนPตามเกณฑกP ารประเมนิ ท่ีสร#างข้ึน ซึง่ การประเมนิ ทุกอยAาง จะเปCนความลบั ผ#เู รียนดว# ยกันเองต#องไมเA หน็ การให#คะแนนของเพอื่ น - พฒั นาระบบการจัดการเรยี นรอู# อนไลนP เพือ่ ใช#เปCนชAองทางในการเผยแพรAส่อื การเรียนร#ู ท่ีผูส# อนแตAละกลุมA จดั ทำข้นึ ข้นั ที่ 2: เตรียมความพรอ8 มผเ8ู รียนเพ่ือเป>นผ8สู อนทีด่ ี - ผู#สอนอธิบายถึงรูปแบบของการจัดกิจกรรมการเรียนรู#แบบเพื่อนสอนเพื่อน และ วตั ถุประสงคขP องการจัดกจิ กรรมให#แกผA #เู รียนทุกคน - ผู#สอนแนะนำถึงเทคนิคการสอนและการนำเสนอที่ดี ซึ่งสามารถดงึ ดูดความสนใจของ ผเู# รยี น และสรา# งแรงจงู ใจในการเรยี น รวมถึงแนะนำการประยุกตใP ชส# อื่ และเทคโนโลยีท่ี เหมาะสม ตลอดจนแหลงA เรยี นรเู# พม่ิ เติม
57 ขัน้ ท่ี 3: มอบหมายงาน - แบAงผเู# รียนออกเปนC กลAมุ และมอบหมายเนื้อหาให#แตAละกลAมุ เปนC ผูร# บั ผดิ ชอบการสอน - ช้ีแจงขอ# กำหนดตAาง ๆ ทสี่ ำคญั ดังน้ี ü ทกุ กลุมA ตอ# งศกึ ษาเน้อื หาที่ไดร# ับอยาA งเข#าใจ และพร#อมทำหน#าทเี่ ปCนผส#ู อนได# ü สรา# งส่ือการเรยี นร#ตู าA ง ๆ เพื่อประกอบการสอนอยAางเหมาะสมและสร#างสรรคP ü สรา# งแบบทดสอบเพอ่ื ใช#ประเมนิ ความรข#ู องผ#เู รียนหลังการสอน ü การนำเสนอตอ# งอยAภู ายในระยะเวลาที่กำหนด ขั้นท่ี 4: ดำเนนิ กิจกรรมการสอน เม่ือถงึ ชวA งเวลาทก่ี ำหนด กลAมุ ที่ได#รับมอบหมายใหเ# ปนC ผ#สู อนจะต#องดำเนนิ กิจกรรมการสอนดงั นี้ - ดำเนินกจิ กรรมการสอนภายในระยะเวลาท่ีกำหนด - จัดทดสอบเพ่ือประเมินความรูห# ลงั การสอนของเพ่ือนท่เี รยี นท้งั หมดเมอื่ เสรจ็ สน้ิ การสอน และสAงผลการทดสอบใหผ# ส#ู อน - ผส#ู อนแจง# ให#ผเ#ู รียนประเมินการสอนของกลุมA ที่นำเสนอตามเกณฑทP ีก่ ำหนด - ผู#สอนแจ#งใหส# มาชิกทุกคนในกลAุมทีน่ ำเสนอ ให#คะแนนการทำงานรAวมกันเปนC กลุมA ของ สมาชกิ ในกลAมุ ตนเอง - อัปโหลดสอ่ื การเรียนร#ทู ่พี ฒั นาขึน้ ท้งั หมด เขา# สAูระบบการจดั การเรียนร#ูออนไลนPเพ่ือให# เพือ่ นสามารถทบทวนภายหลงั ได# ข้นั ที่ 5: สรุปผลการเรียนรู8 - ผู#สอนสรุปผลการประเมินการสอนของแตAละกลุAม และให#ข#อแนะนำเพื่อให#เกิดการ สะทอ# นคิด ปรบั ปรงุ และพฒั นา - ผู#สอนและผู#เรยี นแลกเปลยี่ นประเด็นการเรียนร#ทู ี่ได#จากการทำกิจกรรม - ผส#ู อนสรุปผลการทำกจิ กรรมทั้งหมด และผลการเรียนรท#ู ี่เกดิ ข้นึ
58 5. การจดั การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) การจัดการเรียนรโู้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐานมหี ลกั การสำคญั คือ ใชโ้ จทยป์ ญั หาหรอื สถานการณส์ มมุตเิ ป็นกลไก เพอ่ื สรา้ งกระบวนการคิด วเิ คราะห์ และการแกป้ ญั หา แล้วนำไปสู่การสรา้ งความร้ขู องผเู้ รียน โดยปญั หาหรอื สถานการณส์ มมติน้ัน ควรเปน็ เรอื่ งใกล้ตวั หรอื เกยี่ วข้องกบั ผู้เรยี น เชน่ สถานการณ์ในสงั คมปจั จบุ นั ประเด็น เกยี่ วขอ้ งกบั ตนเอง ครอบครวั หรอื สถานศกึ ษาท่ีผเู้ รยี นสงั กดั โดยทั่วไปแล้วการจดั การเรยี นรู้ในรปู แบบนี้ ผ้สู อนควรจัดผู้เรียนเป็นกลมุ่ ยอ่ ย ๆ เพอ่ื ให้เกดิ การแลกเปลยี่ นเรยี นรู้รว่ มกนั และผสู้ อนทำหนา้ ทเี่ ป็นผู้อำนวย กระบวนการเรยี นรู้ (facilitator) หรือผใู้ ห้คำแนะนำ (guide) การจดั กจิ กรรมการเรยี นร้โู ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน มีขนั้ ตอนทส่ี ำคัญดังนี้ ขน้ั ท่ี 1: แบ่งผเู้ รยี นออกเป็นกลุ่ม ขั้นที่ 2: กำหนดประเดน็ ปญั หาหรอื สถานการณส์ มมติ ผ้สู อนควรเลือกกำหนดปญั หาทพี่ บในชวี ติ จรงิ มีความสำคญั จงู ใจใหเ้ กิดการพสิ ูจนข์ ้อเทจ็ จรงิ ทัง้ นี้ ต้องเป็นปญั หาทีย่ งั ไม่มคี ำตอบชัดเจนตายตัว เพ่ือใหเ้ กดิ การอภิปรายรว่ มกนั ได้ โดยผสู้ อนควรคำนงึ ถึง สถานการณป์ ญั หาท่ที ำใหผ้ ้เู รียนเกดิ การเรียนรู้ได้ตรงตามผลลพั ธ์การเรียนรขู้ องรายวชิ า ขัน้ ท่ี 3: ทำความเขา้ ใจปญั หา บทบาทสำคัญของผสู้ อนในขน้ั ตอนนี้ คอื พยายามกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนทำความเขา้ ใจกับปญั หา วิเคราะห์ ประเด็นปญั หาต่าง ๆ และหาแนวทางในการหาคำตอบ ขน้ั ที่ 4: แสวงหาความรู้และสงั เคราะห์ความรู้ เปน็ ข้นั ตอนทผี่ ูส้ อนกำหนดใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะกลมุ่ เร่มิ คน้ หาความรู้จากแหลง่ ตา่ ง ๆ อยา่ งเปน็ ระบบ เพื่อหาคำตอบหรอื แนวทางการแกไ้ ขปญั หา และนำความรทู้ ั้งหมดมาสงั เคราะหเ์ พอื่ ให้เกดิ องคค์ วามรู้ ขน้ั ที่ 5: สรุปและประเมินคา่ คำตอบ นำองคค์ วามรู้ทผี่ า่ นกระบวนการสงั เคราะหใ์ นขน้ั ตอนที่ 4 มาประเมินค่า เพอ่ื หาคำตอบท่ีดีทสี่ ดุ สำหรบั การแกป้ ญั หาที่ผสู้ อนกำหนด ขั้นท่ี 6: นำเสนอและประเมินผลงาน ผู้สอนกำหนดให้ผเู้ รยี นแตล่ ะกลุม่ นำเสนอแนวทางการแกป้ ญั หาตามทีไ่ ด้ออกแบบไว้ เพอื่ แลกเปลี่ยน เรียนร้รู ว่ มกันในชน้ั เรยี น และประเมนิ ผลงานโดยผ้สู อน การจดั การเรยี นรู้โดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐานนัน้ นบั ว่าเป็นรูปแบบการเรยี นรู้ทเ่ี ป็นทีน่ ยิ มอยา่ งมาก และ นำมาใช้อย่างแพร่หลายในหลายสาขาวชิ า เนอ่ื งจากการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ในลกั ษณะนี้ สามารถฝกึ ทกั ษะ ผู้เรยี นได้หลากหลายด้าน เช่น การคดิ ขัน้ สูง การเรียนรู้ด้วยตนเอง การวเิ คราะห์สงั เคราะห์ การแกป้ ญั หาเชงิ ซับซ้อน และการทำงานรว่ มกันเปน็ ทมี เป็นตน้
59 ทั้งนก้ี ารนำรปู แบบการจัดกิจกรรมการเรยี นรนู้ ม้ี าใช้ มขี ้อควรคำนงึ สำหรับผสู้ อนคอื ผสู้ อนจะตอ้ งทำ หน้าท่เี ปน็ ผสู้ นบั สนุนกระบวนการเรียนรู้ กระตุ้นใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรียนร้ดู ว้ ยตนเองเทา่ นน้ั ผสู้ อนไมค่ วรชนี้ ำ ความคิด และในบางคร้งั อาจปล่อยให้ผเู้ รียนลองผดิ ลองถูกดว้ ยตนเอง นอกจากนกี้ ารกำหนดประเดน็ ปัญหา หรอื สถานการณส์ มมติถือวา่ เป็นหวั ใจหลกั สำคัญของการจัดกิจกรรมการเรยี นรนู้ ี้ หากผสู้ อนสามารถเลือก ปญั หาหรอื สถานการณ์สมมตทิ นี่ า่ สนใจ จะมสี ว่ นชว่ ยใหก้ ารจดั กิจกรรมประสบผลสำเรจ็ ได้เปน็ อย่างดี
60 6. การจดั การเรยี นรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) การจดั การเรียนรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน คอื การจัดการเรยี นร้ทู ี่เน้นผเู้ รยี นเป็นสำคัญ กล่าวคือ ผู้ เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงด้วยการทำโครงงาน ผู้สอนเปลีย่ นบทบาทจากการเป็นผู้ให้ความรู้เป็นผู้อำนวย ความสะดวก (Facilitator) กระตุ้น ใหค้ ำแนะนำ และคำปรกึ ษาในการเรียนรขู้ องผเู้ รยี น รวมทง้ั จดั ใหม้ กี าร ทำงานร่วมกันเปน็ ทีม การจัดการเรียนรูแ้ บบนี้ เป็นการเปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นไดน้ ำเสนอความคดิ ของตนเอง เชือ่ มโยงความรเู้ ดิมและความรใู้ หม่ทีไ่ ด้จากการค้นคว้าเพม่ิ เตมิ เกดิ การลองผดิ ลองถูก และเกดิ การเรียนรู้ ร่วมกันระหว่างสมาชกิ ภายในทีม การจัดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน มีข้นั ตอนที่สำคญั ดังน้ี ขน้ั ที่ 1: แบ่งผเู้ รยี นออกเปน็ กลมุ่ ขั้นท่ี 2: กำหนดประเดน็ ปญั หาหรือสถานการณ์สมมติ เพอ่ื กระต้นุ ความสนใจของผู้เรียน ผู้สอนควรเลอื กกำหนดปัญหาท่พี บในชวี ิตจรงิ มคี วามสำคญั จงู ใจให้เกดิ การแก้ปญั หาหรือโอกาสใน การพัฒนา ทั้งนี้ประเด็นปัญหาหรือสถานการณ์สมมติควรเริ่มจากความสนใจของผเู้ รียน และให้โอกาส ผเู้ รียนได้เลือกศึกษาในประเด็นที่สนใจ ทง้ั น้ีผ้สู อนควรคำนงึ ถงึ สถานการณ์ที่ทำให้ผ้เู รยี นเกิดการเรียนรู้ได้ ตรงตามผลลัพธ์การเรยี นรขู้ องรายวิชา ขั้นที่ 3: วางแผนการดำเนินงาน ผู้สอนกำหนดให้ผู้เรียนร่วมกันวางแผนการดำเนินงาน โดยจัดให้เกิดการอภิปรายร่วมกันเพื่อหา ข้อสรุปที่ชัดเจน และเขยี นโครงร่างโครงงานซึ่งครอบคลุมถึงการกำหนดวัตถุประสงค์ วิธีการค้นหาขอ้ มูล ระยะเวลา ขนั้ ตอนการดำเนินการ และตัวช้ีวดั ผลสำเร็จของโครงงาน เป็นต้น ขนั้ ที่ 4: ดำเนนิ งาน ผู้สอนกำหนดใหแ้ ตล่ ะกลุ่มแบ่งหน้าท่ีความรับผิดชอบให้ชัดเจน กำหนดกฎกติกาการทำงานร่วมกนั ก่อนเริ่มดำเนินการ จากนั้นสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มจึงเริ่มดำเนินการตามแผนที่วางไว้ และจัดให้มีการ ประชุมร่วมกนั เป็นระยะเพือ่ รายงานความก้าวหนา้ ข้ันที่ 5: การประเมนิ โครงงาน ผู้เรยี นควรกำหนดใหม้ กี ารประเมนิ โครงงานในแตล่ ะชว่ งเวลาของการดำเนนิ โครงงาน ดังน้ี 1) การประเมินกอ่ นเรมิ่ ดำเนนิ โครงงาน เพ่อื ตรวจสอบความพร้อมทงั้ หมดกอ่ นลงมอื ทำโครงงาน 2) การประเมินระหว่างการทำโครงงาน เพอ่ื ตรวจสอบความก้าวหนา้ ของการทำโครงงาน โดย เปรียบเทยี บผลท่ไี ดใ้ นแตล่ ะช่วงกับแผนการดำเนนิ งานตามที่กำหนดไว้
61 3) การประเมินหลงั การทำโครงงาน เพือ่ ตรวจสอบวา่ ผลลพั ธ์ของการทำโครงงานบรรลตุ าม วตั ถุประสงคท์ ่ีได้ตั้งไว้ก่อนเรม่ิ ทำโครงงานหรอื ไม่ ขนั้ ที่ 6: การเผยแพรโ่ ครงงาน ผสู้ อนกำหนดให้ผเู้ รยี นแตล่ ะกลุ่มนำเสนอผลงานและวธิ ีการดำเนินการ เพื่อแลกเปล่ยี นเรียนรรู้ ว่ มกนั ในชน้ั เรียน และประเมนิ ผลงานโดยผู้สอน การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน เป็นแนวทางการสอนรปู แบบหนึ่งท่ีสง่ เสรมิ การเรยี นรตู้ ลอด ชีวิตของผู้เรียน ใช้ทกั ษะกระบวนการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนต้องแสวงหาความรู้ ใช้กระบวนการคดิ และพัฒนา ทักษะในการแก้ปัญหา การทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อสร้างผลงานหรือชิ้นงานออกมา ซึ่งกระบวนการ จัดการเรยี นรใู้ นรปู แบบนี้ จะเนน้ กระบวนการเรยี นรมู้ ากกวา่ ผลงานหรอื ชน้ิ งานทไ่ี ด้ออกมา
62 7. เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw Technique) การจัดการเรยี นรโู้ ดยใชเ้ ทคนิคจ๊กิ ซอว์ เปน็ รปู แบบทเี่ หมาะสำหรับการสอนหัวขอ้ ท่ีมีเน้ือหา มาก ซึ่งปกติแล้วผู้สอนอาจใช้วิธีการบรรยาย หรือมอบหมายให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาเหล่านั้นด้วย ตนเอง อย่างไรก็ตามหากใช้วิธีการบรรยาย ผู้เรียนอาจไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ผู้สอนบรรยายได้ ท้งั หมด หรอื หากมอบหมายใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษาเอง ผูเ้ รยี นบางคนอาจไม่ไดศ้ กึ ษาตามทผี่ ้สู อนคาดหวัง การใช้เทคนคิ จิ๊กซอว์ เป็นกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ีผเู้ รยี นมสี ่วนร่วมในการเรยี นรรู้ ว่ มกันเป็นกลมุ่ คำวา่ “จิ๊กซอว์” หมายถึง การแบง่ เนอ้ื หาการเรยี นรูอ้ อกเปน็ สว่ นยอ่ ย ๆ เพอ่ื ให้ผู้เรียนแต่ละคนศกึ ษา เพยี งคนละสว่ น แลว้ นำส่ิงทแี่ ตล่ ะคนศึกษามาต่อรวมกัน เปรียบไดก้ ับการต่อช้ินสว่ นจกิ๊ ซอว์แต่ละชิ้น ให้กลายเป็นภาพใหญ่ที่สมบรู ณ์ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ดว้ ยเทคนคิ จก๊ิ ซอว์มขี น้ั ตอนทสี่ ำคัญดงั น้ี ขัน้ ท่ี 1: แบ่งเนอ้ื หาการสอนเปน็ สว่ นยอ่ ย ๆ ผ้สู อนพจิ ารณาเน้อื หาวา่ จะแบง่ เป็นหวั ข้อย่อย ๆ ได้กี่สว่ น โดยเนื้อหาแตล่ ะสว่ นควรใช้ ระยะเวลาในการศกึ ษาเทา่ ๆ กนั เช่น ส่วนละ 10-15 นาที ขน้ั ท่ี 2: จดั ผู้เรยี นเปน็ กลมุ่ (Home group) จัดให้แต่ละกลมุ่ มจี ำนวนสมาชกิ เทา่ กบั จำนวนหัวข้อย่อยทผ่ี สู้ อนไดแ้ บง่ ไว้ (หากจำนวน สมาชกิ ไมล่ งตวั สามารถมจี ำนวนสมาชิกเกนิ จำนวนหวั ข้อยอ่ ยได้ แตห่ า้ มนอ้ ยกว่าจำนวนหวั ขอ้ ยอ่ ย) โดยจะเรียกกลุ่มน้วี ่า Home group ข้ันท่ี 3: มอบหมายเน้ือหาใหส้ มาชกิ ในกลมุ่ ผู้สอนมอบหมายเน้ือหาใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ โดยสมาชกิ สามารถตกลงกันเองได้ วา่ ใครจะศึกษา หวั ขอ้ ใด (1 คนต่อ 1 หัวขอ้ ยอ่ ย) แลว้ ใหผ้ ู้เรียนแตล่ ะคนอา่ นเนือ้ หาของตนเองตามเวลาท่ผี สู้ อน กำหนด ขั้นท่ี 4: จัดผู้เรยี นทีอ่ ่านหัวข้อเดียวกนั เขา้ สู่กลมุ่ เดียวกนั (Expert group) ใหส้ มาชิกจากแตล่ ะกลมุ่ ทอี่ า่ นหัวขอ้ เดียวกัน ไปรวมในกลมุ่ เดียวกนั ดงั น้นั ในหอ้ งเรียนจะมี จำนวนกลุม่ เทา่ กับจำนวนหัวขอ้ ที่ผสู้ อนได้แบง่ ไว้ ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นพูดคุยกนั ถึงเรอื่ งที่อ่าน หากมีส่วน ใดไม่เข้าใจให้สอบถามกัน และสามารถหาข้อมูลประกอบเพิ่มเติมกันได้ ผู้สอนกำหนดเวลาให้ เหมาะสม โดยขั้นตอนนี้จะเรยี กว่า ผู้เรียนเข้าสู่ Expert group หมายถึง การที่ผู้เรยี นที่อ่านหัวข้อ เดยี วกันมาคยุ กันแล้ว จะมคี วามเช่ยี วชาญในหวั ข้อนนั้ ๆ มากขน้ึ ขนั้ ที่ 5: ให้ผเู้ รยี นกลบั สู่ Home group เพ่อื นสอนเนอ้ื หาใหก้ ันและกนั หลงั จากผเู้ รียนเปน็ ผเู้ ชีย่ วชาญในหวั ขอ้ นัน้ ๆ แล้ว ใหก้ ลบั สกู่ ลมุ่ เดิมของตนเอง ซง่ึ สมาชิกแต่ ละคนในกลมุ่ จะเปรยี บเสมอื นผเู้ ชีย่ วชาญในแตล่ ะหวั ขอ้ ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนแต่ละคน เล่าหรอื สอน เพอื่ นๆ ในกลุม่ ใหเ้ ข้าใจหวั ขอ้ ท่ตี นเองรบั ผิดชอบ โดยผู้สอนกำหนดเวลาใหเ้ หมาะสม
63 ขั้นที่ 6: ให้ผ้เู รียนทำแบบทดสอบความรหู้ ลงั เรยี น หลังจากผ้เู รียนได้เรยี นรูจ้ ากเพอื่ นๆ ในกลุ่มแล้ว ผู้เรยี นจะมคี วามรทู้ ั้งในหัวข้อที่ตนเองอ่าน และในหัวข้อที่เพ่ือนๆ เล่าหรือสอนให้ฟงั จากนั้นผู้สอนให้ผู้เรียนทุกคนทำแบบทดสอบความรูห้ ลัง เรยี น การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิ๊กซอวน์ ี้ เปรียบผู้เรียนแต่ละคนเสมอื นจิก๊ ซอวช์ ิ้นเล็ก ๆ ที่มี การเรยี นร้รู ว่ มกันด้วยการตอ่ จก๊ิ ซอวเ์ ข้าด้วยกันจนกลายเปน็ ภาพใหญ่ทสี่ มบรู ณ์ วิธีการนชี้ ว่ ยใหผ้ ู้สอน ไม่จำเป็นต้องสอนเนื้อหาทัง้ หมดดว้ ยตนเอง และผเู้ รียนกไ็ มจ่ ำเป็นตอ้ งอา่ นหรอื ทำความเขา้ ใจเนื้อหา ทง้ั หมดด้วยตนเอง แตผ่ ู้เรยี นสามารถเรียนรู้รว่ มกนั และสร้างความรดู้ ว้ ยตนเอง หมายเหตุ ศึกษาขนั้ ตอนการจัดกิจกรรมด้วยเทคนคิ จกิ๊ ซอวเ์ พิ่มเตมิ ได้ที่ https://youtu.be/AVOqeqf0Xcw หรอื scan QR Code:
64 ตัวอยา่ งการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ในชั้นเรียน เพ่ือพฒั นา Soft skills ใหแ้ ก่ผูเ้ รยี น
65 ตัวอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนร้ทู ใี่ นชนั้ เรียนเพอื่ พัฒนา Soft skills ใหแ้ กผ่ เู้ รยี น จากรูปแบบกิจกรรมการเรยี นร้ทู กี่ ลา่ วถึงมาแลว้ นนั้ ผ้สู อนสามารถนำไปประยุกต์ใชก้ ับการสอนทั้งใน หอ้ งเรยี นปกติ (Face-to-Face) และแบบออนไลน์ เพือ่ พัฒนา Soft skills ดา้ นตา่ ง ๆ ใหก้ บั ผูเ้ รยี น ซง่ึ ในค่มู ือ ฉบับน้ี จะมีตัวอยา่ งการจดั กิจกรรมการเรียนร้เู พอ่ื สง่ เสรมิ Soft skills ดงั น้ี รปู แบบกิจกรรมการเรียนรู้ การพฒั นา Soft skills การแสดงบทบาทสมมติ (Role play) ดา้ นที่ 1: การคิดวเิ คราะห์และการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ ด้านที่ 8: การเป็นผ้นู ำและผเู้ ปลี่ยนแปลงสังคม ดา้ นท่ี 9: การสื่อสารอย่างมปี ระสิทธภิ าพ การสรา้ งสถานการณ์จำลอง ดา้ นท่ี 7: ความอดทน ยดื หย่นุ และฟนื้ ตวั จากสภาวะความเครยี ด การเรียนร้ทู ่เี นน้ ทกั ษะกระบวนการคิด ด้านท่ี 3: การคิดสรา้ งสรรค์ ด้านท่ี 6: การเรียนรเู้ ชิงรกุ และการใฝร่ ู้ เพ่อื นสอนเพือ่ น ด้านที่ 4: การบรหิ ารความสมั พันธก์ ับผู้อ่ืน ด้านที่ 5: ความซือ่ สตั ย์และความพากเพยี รพยายาม ด้านท่ี 6: การเรียนรเู้ ชงิ รุกและการใฝ่รู้ การจดั การเรียนร้โู ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน ด้านท่ี 2: การแกป้ ญั หาเชิงซับซ้อน ด้านท่ี 9: การสอ่ื สารอย่างมปี ระสิทธภิ าพ การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ดา้ นท่ี 2: การแกป้ ัญหาเชงิ ซับซอ้ น ดา้ นที่ 11: การรู้เท่าทนั ดจิ ิทัลและการผลติ สอ่ื ดจิ ิทลั การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ดา้ นที่ 3: การคดิ สร้างสรรค์ และการแสดงบทบาทสมมติ ดา้ นที่ 9: การสือ่ สารอย่างมปี ระสิทธภิ าพ ดา้ นท่ี 10: การเปน็ ผปู้ ระกอบการและการลงทนุ ทั้งนี้ตัวอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริม Soft skills นี้ เป็นเพียง แนวทางสำหรับผู้สอนเท่านั้น ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียนจริงนั้น ผู้สอน สามารถประยกุ ตร์ ูปแบบกิจกรรมใหเ้ หมาะสมกับผเู้ รยี นและเนอ้ื หาในรายวิชาที่สอนได้
66 การแสดงบทบาทสมมติ (Role play) ส่งเสรมิ ทักษะ: ดา้ นที่ 1: การคดิ วิเคราะหแ์ ละการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ (Analytical and Critical Thinking) ชื่อกจิ กรรม: หอ้ งข่าวเลา่ เรอื่ งจริง ? รปู แบบ: การแสดงบทบาทสมมตเิ ป็นนักข่าว ในรายการเลา่ ขา่ ว โดยเนอื้ หาข่าวจะมที ง้ั ส่วนทเ่ี ป็นเรือ่ งจริงและ เรื่องไมจ่ ริง จากนั้นใหเ้ พ่อื น ๆ วเิ คราะหข์ ่าวทไ่ี ด้รบั ฟงั เปา้ หมาย: เพ่ือให้ผเู้ รียนฝึกทักษะการคดิ วิเคราะหแ์ ละการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณ มกี ารไตร่ตรองอย่าง รอบคอบในการพจิ ารณาขอ้ มูล มีการประเมนิ เนอื้ หาอย่างมเี หตมุ ผี ล กอ่ นตัดสนิ ใจเช่อื หรอื ลงมอื กระทำ วธิ ีการจดั กิจกรรม 1. แบ่งผเู้ รยี นในหอ้ งออกเป็นกล่มุ กลุ่มละประมาณ 4-5 คน 2. กำหนดให้ผู้เรยี นแต่ละกลุ่มแสดงบทบาทสมมติ ด้วยการทำรายการขา่ ว (เหมือนรายการข่าวโทรทัศน)์ ในลักษณะการเล่าขา่ ว หรือ รายงานขา่ วภาคสนาม จากสถานท่ีเกดิ เหตุ 3. ผูส้ อนกำหนดประเภทของขา่ ว เป็น 3 ประเภท คือ a. ข่าวจริงทั้งหมด b. ข่าวจริงบางสว่ น c. ขา่ วเท็จทงั้ หมด ผ้สู อนกำหนดประเภทข่าว ให้แตล่ ะกลุม่ เช่น กลมุ่ ท่ี 1 ใหน้ ำเสนอขา่ วสงั คม ทเ่ี ปน็ เร่อื งจริงทง้ั หมด กลุม่ ท่ี 2 นำเสนอข่าวกฬี า ทม่ี เี น้อื หาขา่ วบางประเดน็ ที่เป็นความจริงและไมจ่ รงิ ผสมกัน กลุ่มท่ี 3 นำเสนอ ข่าวต่างประเทศ ที่มีเนื้อหาเปน็ เท็จทั้งหมด เป็นต้น โดยผู้เรียนแต่ละกลุ่มจะไมท่ ราบประเภทข่าวของ กลุ่มอน่ื ๆ
67 4. สมาชิกในกลุม่ ร่วมกันคิด ข้อความสำหรับพาดหัวข่าวให้น่าสนใจที่สดุ และคิดเนื้อหาข่าวมานำเสนอ โดยอาจเป็นข่าวทเ่ี กดิ ขนึ้ จริงมาแล้วในสังคมได้ 5. ผู้เรยี นแต่ละกลุม่ ถา่ ยทำคลิปการนำเสนอขา่ ว ความยาวไม่เกิน 5 นาที (อาจเป็นการเลา่ ข่าวท่มี ีภาพน่ิง หรอื ภาพเคลอ่ื นไหว ท่ีเปน็ เหตกุ ารณ์ประกอบการเลา่ ขา่ วดว้ ยได)้ 6. ผูส้ อนกำหนดใหผ้ ้เู รียนแต่ละกลุ่ม วเิ คราะหข์ า่ วของกลมุ่ อืน่ ๆ ว่ามปี ระเดน็ ใดทีเ่ ปน็ เรอ่ื งจรงิ ประเด็นใด ท่ีเป็นเรอ่ื งเทจ็ ตามแบบฟอร์มนี้ วเิ คราะหข์ า่ วเรอ่ื ง .................................................................................................................................... ประเดน็ สำหรบั วเิ คราะห์ ผลการวิเคราะห์ 1. ความชัดเจนของเนือ้ หาขา่ ว เร่อื งราวในขา่ วมี องคป์ ระกอบทสี่ มเหตสุ มผล 2. ความสมั พนั ธแ์ ละเชอื่ มโยงกันของเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ที่เกดิ ขนึ้ ในขา่ ว 3. หลักการ เหตุผล แนวคิด หรอื ทฤษฎี ทรี่ องรับ ความเป็นไปไดข้ องเหตุการณ์ สรุปผลการประเมิน ¨ เปน็ ข่าวจรงิ ทั้งหมด ¨ เปน็ ข่าวจริงบางส่วน ¨ เปน็ ข่าวเท็จท้ังหมด ผลท่ีไดร้ บั จากการทำกิจกรรม กิจกรรมนี้ เป็นการฝึกฝนผู้เรียนให้มีกระบวนการคิดอย่างมีเหตุมีผล มีการคิดไตร่ตรอง หา ความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันของเหตุการณ์ หาแนวคิด หรือทฤษฎีมาประกอบการประเมินสถานการณ์ รอบตวั กอ่ นที่จะตดั สนิ ใจเช่ือหรอื กระทำ
68 การแสดงบทบาทสมมติ (Role play) สง่ เสรมิ ทกั ษะ: ด้านท่ี 8: การเปน็ ผนู้ ำและผู้เปล่ียนแปลงสังคม (Leadership and Social Influence) ด้านท่ี 9: การส่อื สารอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ (Effective communication) ชื่อกิจกรรม: The show must go on รูปแบบ: การแสดงบทบาทสมมติตามสถานการณท์ ่กี ำหนดและใช้การประเมินด้วยวิธี Peer assessment เปา้ หมาย: เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนฝึกฝนทกั ษะการพดู เพือ่ ใหเ้ กดิ ความรว่ มมอื ในการทำงาน และการโน้มนา้ วจงู ใจ การ เรียบเรยี งสิง่ ทจี่ ะสื่อสารและทักษะการโต้ตอบกบั ผอู้ น่ื ที่มคี วามคดิ เหน็ ทีแ่ ตกตา่ ง และผูเ้ รียนเกิดการเรยี นรู้จาก ประสบการณ์ท่ีไดร้ บั จากการปฏสิ มั พันธ์กับบุคคลทมี่ พี ฤตกิ รรมที่แตกตา่ งกนั วิธกี ารจัดกจิ กรรม 1. กำหนดสถานการณ์จำลองและบทบาทให้ทุกคนในกลุ่ม (กลุ่มละ 7 คน) โดยเขียนบทบาทใส่ซองไว้ แล้วให้ผู้เรียนเลือกซองแต่ละสีด้วยตนเอง (สีทอง สีม่วง สีแดง สีเหลือง สีขาว สีน้ำเงิน สีเขียว) ซึ่งในแต่ละซองจะมีบทบาทสมมติให้แต่ละคนที่แตกต่างกัน (ผู้สอนกำหนดสถานการณ์ให้เหมาะกับ เนือ้ หาวชิ าท่สี อนได)้ สถานการณจ์ ำลองทีท่ ุกคนได้รับคือ การเข้าประชุมทม่ี หาวทิ ยาลัยแห่งหน่ึงเก่ียวกบั การระดมสมองเพ่ือ จัดงานรับนอ้ งใหม่ โดยบทบาททไ่ี ด้รับมีดงั น้ี ซองสที อง หวั หน้าทีมจดั งาน มหี นา้ ทด่ี ำเนนิ การประชมุ และเปน็ ผตู้ ดั สินใจการดำเนนิ งานต่าง ๆ ซองสมี ว่ ง ผเู้ ขา้ ร่วมประชมุ ทีส่ นบั สนนุ ความเหน็ ของหวั หน้าทมี ทุกอยา่ ง ผู้เขา้ ร่วมประชุมท่สี นบั สนนุ ความเหน็ ของหวั หนา้ ทีม แต่ระหวา่ งการประชมุ จะออกไปรบั ซองสแี ดง โทรศัพทน์ อกหอ้ ง และเม่ือกลับเขา้ มาในห้องประชมุ ก็จะสอบถามทีป่ ระชมุ วา่ พดู คยุ กันถงึ ไหน ให้ยอ้ นเลา่ ให้ฟงั
69 ซองสเี หลือง ผูเ้ ขา้ ร่วมประชุมที่ไมแ่ สดงความคดิ เหน็ นิง่ เงียบ จะแสดงความคดิ เห็นก็ตอ่ เมือ่ ถูกบอกใหแ้ สดง ความคดิ เหน็ เทา่ น้ัน ซองสีขาว ผเู้ ข้ารว่ มประชุมทค่ี ัดค้านทกุ อย่าง ซองสนี ำ้ เงนิ ผู้เขา้ รว่ มประชมุ ที่มาประชมุ สาย และเมื่อมาถงึ จะให้ทปี่ ระชุมเลา่ ทุกอย่างให้ฟงั ตง้ั แต่เริม่ ใหม่ (ผทู้ ่ไี ด้รับซองน้ี จะเดินเขา้ มาทหี ลัง) ซองสเี ขยี ว ผู้สงั เกตการณ์ เปน็ ผทู้ ี่ได้รับ Rubric เพอ่ื ประเมิน Leadership skill ของหวั หน้าทมี 2. ผ้สู อนบอกให้คนทเี่ ลือกซองสนี ้ำเงินออกไปนอกหอ้ งและเปดิ ซองที่หน้าหอ้ ง สว่ นคนท่ีเหลือให้เปิดซอง พรอ้ ม ๆ กนั แต่หา้ มบอกกันและกนั ว่าตนเองไดบ้ ทบาทสมมตคิ ืออะไร 3. ผสู้ อนให้เวลาประมาณ 10 นาที สำหรับการแสดงบทบาทสมมติ 4. เมอ่ื หมดเวลาทีก่ ำหนดใหแ้ สดงบทบาทสมมติ ใหผ้ ู้เรยี นเฉลยและพูดคยุ กันถงึ บทบาทที่ได้รับ 5. ผู้สอน ใหผ้ ้สู ังเกตการณ์ แจง้ ผลประเมนิ Leadership skill ของหัวหน้าทมี ให้สมาชกิ กลุ่มทกุ คนฟัง โดย อธิบายว่า ได้คะแนนแต่ละขอ้ เทา่ ไร เพราะเหตใุ ด หมายเหตุ อปุ กรณท์ ต่ี ้องใช้สำหรับกจิ กรรม คือ กระดานหรอื กระดาษ flip chart สำหรบั เขียนแผนการจดั งาน การใช้ Rubric สำหรบั ประเมิน Leadership และ Effective communication skills ผสู้ อนสามารถเลอื ก ประเภทของเกณฑป์ ระเมินท่ีต้องการ (Type A หรอื B หรอื C) มาใหผ้ ู้ทไ่ี ด้ซองสี เขียวซง่ึ ทำหนา้ ท่ปี ระเมนิ ได้ (ผสู้ อนอาจกำหนดให้แตล่ ะกลมุ่ มผี ปู้ ระเมนิ มากกวา่ 1 คนได)้ ซ่ึงเปน็ การประเมนิ และให้ Feedback ในลักษณะ Peer-assessment ผลที่ได้รับจากการทำกิจกรรม จากกิจกรรมดังกล่าว จะเห็นได้ว่า หากการประชุมประกอบด้วยบคุ คลทีแ่ ตกต่างกนั ดังบทบาทสมมติ นี้ จะทำให้งานท่ีต้องการ ไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อยนัก เนื่องจากแต่ละคนจะมีบุคลกิ ลักษณะท่ี แตกต่างกัน ผนู้ ำการประชุมจำเปน็ ตอ้ งเรยี นรู้วิธกี ารจดั การกบั สถานการณใ์ หด้ ี กิจกรรมนี้ เป็นรูปแบบหนึ่งของกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) ที่ผู้เรียนทุกคนได้รับ บทบาทสมมติของการทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยมีผู้เรียนที่ทำหน้าที่ประเมินและให้ Feedback ตามเกณฑ์ ประเมิน (Rubric) ในลกั ษณะ Peer assessment
70 แมว้ ่าจะมีผ้เู รยี นในกลมุ่ เพยี งคนเดียวท่ที ำหน้าที่หวั หน้า แตผ่ ้เู รียนคนอื่น ๆ จะได้รับประสบการณ์จาก การปฏิสมั พันธก์ ับหัวหน้าทีม รวมถงึ ไดเ้ ห็นบทบาทในแง่มมุ ตา่ ง ๆ ของหวั หน้าทมี เม่ือผ้เู รียนทำกิจกรรมนี้จบแลว้ ผู้สอนสามารถสรปุ ถึงทกั ษะภาวะผนู้ ำและการเป็นผู้เปล่ียนแปลงสงั คม ใหผ้ ู้เรียนเข้าใจได้
71 การสร้างสถานการณจ์ ำลอง (Simulation technique) ส่งเสรมิ ทักษะ: ดา้ นที่ 7: ความอดทน ยืดหยนุ่ และฟ้ืนตวั จากสภาวะความเครียด (Resilience, Stress Tolerance and Flexibility) ชื่อกจิ กรรม: รจู้ กั ตนเองเพือ่ อนาคต รปู แบบ: ผสู้ อนมอบหมายใหผ้ เู้ รียนเขียนแผนการหารายไดจ้ ากสถานการณท์ ่กี ำหนด โดยผา่ นกระบวนการ วิเคราะหต์ นเองด้วยเครื่องมือ SWOT Analysis เป้าหมาย: ฝึกใหผ้ ูเ้ รยี นยอมรบั ความเปน็ จรงิ ของตนเอง มองหาประโยชนจ์ ากอปุ สรรค และหาโอกาสในการ พฒั นาตนเอง วิธีการจัดกิจกรรม ข้ันที่ 1: กำหนดสถานการณ์ “หากผูเ้ รียนตอ้ งการซอ้ื เครอื่ งคอมพวิ เตอรเ์ ครอ่ื งหนง่ึ ในราคา 30,000 บาท เพือ่ นำมาใช้ในการเรยี น โดยต้งั เปา้ หมายว่าจะใชค้ วามรคู้ วามสามารถของตนเองทม่ี อี ย่เู พือ่ หาเงินสำหรบั ซอื้ เคร่ือง คอมพิวเตอรเ์ ครื่องน”ี้ ขัน้ ท่ี 2: แสวงหาความรู้ กำหนดใหผ้ ู้เรยี นเรียนรกู้ ารใชเ้ ครอื่ งมอื การวิเคราะหส์ ภาพแวดล้อมและศกั ยภาพ (SWOT Analysis) จากสอื่ ต่าง ๆ ท่ีมีอยบู่ นอนิ เทอร์เนต็
72 ขนั้ ท่ี 3: ดำเนนิ การ 1) วิเคราะหล์ กั ษณะของตนเองเบ้ืองตน้ โดยใช้เคร่ืองมอื SWOT Analysis โดยใส่ข้อมลู ลงใน แบบฟอรม์ ดา้ นล่างนี้ จุดเดน่ หรอื จดุ แข็ง (STRENGTHS) จดุ ด้อยหรอื จุดอ่อน (WEAKNESSES) ภายใน 1. .............................................. 1. ............................................. 2. .............................................. 2. ............................................. 3. .............................................. 3. ............................................. โอกาส (OPPORTUNITIES) อปุ สรรค (THREATS) ภายนอก 1. .............................................. 1. ............................................. 2. .............................................. 2. ............................................. 3. .............................................. 3. ............................................. 2) หลงั จากการวเิ คราะห์ตนเองตามขา้ งต้นแล้ว กำหนดใหผ้ ู้เรียนเขียนแผนการหารายได้ด้วยตนเอง ใหไ้ ดเ้ งนิ อย่างน้อยจำนวน 30,000 บาท 1. ชือ่ แผน ......................................................................................................... 2. หลักการและเหตผุ ล ......................................................................................................... (ควรเขียนใหเ้ ช่อื มโยงกบั ......................................................................................................... ผลการทำ SWOT ......................................................................................................... Analysis) ......................................................................................................... ......................................................................................................... 3. ขน้ั ตอนการดำเนินการ 1. .................................................................................................. 2. .................................................................................................. 3. .................................................................................................. 4. ระยะเวลาท้งั หมดตามแผน ......................................................................................................... ......................................................................................................... 5. เปา้ หมายและตัวช้วี ดั ตัวชว้ี ดั คา่ เปา้ หมาย ความสำเรจ็ 1. ..................................... 1. ....................................... 2. ..................................... 2. .......................................
73 ข้นั ที่ 4: สรุปผลและประเมินผล ผู้สอนสรุปผลการทำกิจกรรมทั้งหมด และประเมินทักษะด้านความอดทน ยืดหยุ่น และฟื้นตัวจาก สภาวะความเครียดของผู้เรียน ด้วยแบบประเมิน ด้านที่ 7: ความอดทน ยืดหยุ่น และฟื้นตัวจากสภาวะ ความเครยี ด (Resilience, Stress Tolerance and Flexibility)
74 การเรยี นรู้ทีเ่ นน้ ทกั ษะกระบวนการคิด (Thinking-based learning) ส่งเสริมทกั ษะ: ด้านที่ 3: การคิดสรา้ งสรรค์ (Creative thinking) ด้านท่ี 6: การเรยี นรู้เชิงรกุ และการใฝร่ ู้ (Active Learning and Learning Strategies) กิจกรรมท่ี 1 ช่ือกจิ กรรม: โยงเปน็ เหน็ คำตอบ รูปแบบ: ผ้สู อนคิดโจทย์และกระตนุ้ ให้ผเู้ รียนคิด จากนนั้ บอกเฉลย แล้วใหผ้ เู้ รียนเปน็ ผู้คิดโจทยเ์ องเพื่อทาย เพอ่ื นคนอื่น เป้าหมาย: เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นเหน็ วิธกี ารเชือ่ มโยงความรู้เดมิ กับความรใู้ หม่ เชือ่ มโยงประสบการณเ์ ดมิ เขา้ กบั ประสบการณใ์ หม่ วธิ ีการจัดกจิ กรรม ผู้สอนแสดงสัญลักษณ์ดังรูปด้านล่าง บนหน้าจอเพื่อให้ผู้เรียนจดจำสัญลักษณ์แทนตัวเลขต่อไปน้ี กำหนดเวลาให้ 30 วนิ าที โดยมเี งอื่ นไขคือ หา้ มผเู้ รยี นจด
75 เม่ือหมดเวลา ให้ผ้สู อนเปลยี่ นสไลด์ แลว้ กำหนดตัวเลขจำนวน 5 หลัก (แล้วแต่ผสู้ อน) โดยให้ผ้เู รียนเขียนแทน ตัวเลขจำนวนนั้น ด้วยสัญลักษณ์ให้ถูกต้อง เช่น กำหนดให้ผู้เรียนเขียนสัญลักษณ์แทนเลข 63491 ลงใน กระดาษของตนเอง จากนั้นผสู้ อนเฉลย แลว้ ใหผ้ ้เู รยี นตรวจว่าตนเขยี นไดถ้ ูกตอ้ งกี่หลัก 63491 = ผสู้ อนอาจกำหนดตวั เลขอ่นื ใหผ้ ู้เรียนเขยี นเพ่ิมเติมได้มากกว่า 1 คร้งั เมือ่ จบกจิ กรรมจะพบว่า ผู้เรียนจำนวน มากจะไมส่ ามารถจดจำสญั ลกั ษณ์ได้ถูกต้องทัง้ หมด ผู้สอนสามารถต้งั คำถามถามผ้เู รียนได้ว่า เพราะเหตใุ ดการ จดจำสัญลกั ษณ์ดังกลา่ วจงึ ยาก และใหผ้ เู้ รยี นร่วมกันแสดงความคดิ เหน็ จากนนั้ ผสู้ อน แสดงภาพเฉลยตอ่ ไปนี้ใหผ้ เู้ รียนดู ซ่ึงเปน็ ภาพจำลองตวั เลขบนแป้นโทรศพั ท์ 123 456 789 จะเห็นได้ว่า สัญลักษณ์ดังกลา่ วมาจากเส้นท่ีลอ้ มรอบตัวเลข ดังในภาพนี้ ซึ่งหลังจากที่ผู้เรียนได้เห็นภาพน้ี ผเู้ รียนจะสามารถจดจำได้เปน็ อย่างดี ผสู้ อนทดลองกำหนดตัวเลขอีกคร้ัง อาจกำหนดจำนวนหลกั มากข้ึนกวา่ ครง้ั แรก แล้วใหผ้ เู้ รียนเขียน จะพบว่า ผู้เรยี นสามารถเขยี นได้อย่างถกู ตอ้ ง
76 นั่นแสดงว่า การจดจำบางสิง่ บางอย่าง หากมีการเช่ือมโยงส่ิงท่ีเรียนรู้กบั ประสบการณ์เดิมหรือความรู้เดมิ ท่ี ผูเ้ รยี นมี จะช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถจดจำได้ดขี ึ้น จากกิจกรรมนี้ ผู้สอนสามารถคิดโจทย์อน่ื ในลักษณะคลา้ ยกัน เพื่อทดสอบการเช่ือมโยงความรขู้ องผู้เรียน หรือ ผูส้ อนสามารถกำหนดให้ผเู้ รียนเป็นผู้คดิ โจทย์แลว้ นำมาทดสอบกับเพ่ือนในหอ้ งได้
77 กิจกรรมที่ 2 ชือ่ กจิ กรรม: Humble paper clip รปู แบบ: ผู้สอนให้โจทยผ์ เู้ รียนเป็นสงิ่ ของทีใ่ ช้ประโยชน์ได้ แล้วใหผ้ เู้ รียนคดิ หาวิธีการใชป้ ระโยชนจ์ ากของส่งิ นั้นในรปู แบบอืน่ เปา้ หมาย: เพือ่ ใหผ้ ้เู รียนได้ฝกึ วิธกี ารคิดรเิ ร่ิม การคิดคลอ่ งแคลว่ และการคิดยืดหยนุ่ ในชว่ งเวลาท่จี ำกัด วิธีการจัดกิจกรรม ผูส้ อนให้ผเู้ รยี นนกึ ถึงประโยชน์ของ Paper Clip ว่าสามารถใช้ทำอะไรไดบ้ ้างนอกจากหนีบกระดาษ โดยให้ผู้เรยี นแต่ละคนคิด แล้วเขียนคำตอบของตนเองให้ได้มากที่สดุ (ตัวอย่างคำตอบ ใช้แทนซิป ใช้แทนกระดุมเสื้อ ใช้ล็อคกระเป๋า เป็นตน้ ) โดยใหค้ ิดภายในเวลาท่ีกำหนด (ผูส้ อนควรกำชับผเู้ รยี นวา่ ไม่ ต้อง search หาคำตอบ เนื่องจากไม่ได้เก็บคะแนน แต่ต้องการให้ ผู้เรียนฝกึ คดิ ด้วยตนเอง เปน็ การทา้ ทายความคดิ ตนเอง) จากนน้ั ใหผ้ เู้ รยี นบอกคำตอบของตน แลว้ ผู้สอนพิมพ์คำตอบให้แสดงบนหน้าจอ เพื่อใหผ้ เู้ รียนทุกคน เหน็ โดยเปน็ การรวบรวมคำตอบทีแ่ ตกต่างกันทง้ั หมดจากผูเ้ รยี นทกุ คนในห้องเรียน กจิ กรรมนเ้ี ปน็ การกระต้นุ ใหผ้ เู้ รยี นได้พยายามใช้ความคิด เพื่อสรา้ งสรรคส์ ง่ิ ใหม่ จากสิง่ ทีม่ ีอยู่เดิม ซ่ึง ผเู้ รยี นจะไดเ้ รยี นรจู้ ากความคดิ ของเพื่อนในช้นั เรียนด้วย
78 เพ่ือนสอนเพ่ือน (Peer teaching) สง่ เสรมิ ทกั ษะ: ดา้ นที่ 4: การบริหารความสมั พันธ์กบั ผู้อ่ืน (Interpersonal Management) ด้านที่ 5: ความซอ่ื สตั ยแ์ ละความพากเพียรพยายาม (Integrity and Perseverance) ดา้ นท่ี 6: การเรยี นรเู้ ชิงรุกและการใฝ่รู้ (Active Learning and Learning Strategies) ชอ่ื กิจกรรม: ห้องแห่งการเรยี นรรู้ ่วมกนั (Learning by Sharing) รูปแบบ: ผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่ม คิดหัวข้อที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง 1 หัวข้อ และกำหนดใหท้ ำ หนา้ ทเี่ ป็นผู้ถา่ ยทอดความรใู้ ห้แก่เพ่อื นในช้ันเรียน ในชว่ งท้ายชวั่ โมงเรยี นในแต่ละสปั ดาห์ เป้าหมาย: เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง ผา่ นกจิ กรรมการถา่ ยทอดความรู้ใหผ้ ู้อืน่ วธิ ีการจัดกจิ กรรม ขั้นตอนที่ 1: แบ่งกลมุ่ ผ้เู รียน ขั้นตอนท่ี 2: กำหนดภารกจิ ผู้สอนมอบหมายภารกิจให้แตล่ ะกล่มุ ทำดังนี้ 1. ประชมุ กล่มุ เพ่อื กำหนดบทบาทหน้าท่ีของสมาชิกแต่ละคนในกลุม่ ตามแบบฟอร์มด้านล่างน้ี ชื่อกลุKม................................................................................................................................................................ บทบาท หน8าทค่ี วามรบั ผดิ ชอบ ชอื่ -นามสกลุ 1 หัวหน#ากลAุม ….............................................................................. …........................................... ................................................................................. 2 เลขานกุ าร / ….............................................................................. …........................................... ผ#ปู ระสานงานกลมAุ ................................................................................. 3 สมาชกิ คนที่ 1 ….............................................................................. …........................................... ................................................................................. 4 ........... ….............................................................................. …........................................... .................................................................................
79 5 ........... ….............................................................................. …........................................... ................................................................................. 2. กำหนดให้แต่ละกลุ่มเขียนข้อตกลงสำหรับการทำงานร่วมกันในกลุ่ม เพื่อให้การทำงานบรรลเุ ป้าหมาย ตามทว่ี างไว้ ตามแบบฟอรม์ ดา้ นลา่ งน้ี ขอ8 ตกลงการทำงานรKวมกนั ในกลมKุ 1 ............................................................................................................................................................... 2 ............................................................................................................................................................... 3 ............................................................................................................................................................... 4 ............................................................................................................................................................... 3. มอบหมายใหผ้ ู้เรยี นศึกษาหาความรู้นอกเวลาเรียนในหัวขอ้ ใด ๆ ทีผ่ ู้เรียนสนใจ โดยมีข้อตกลงดังนี้ 3.1. แตล่ ะกลมุ่ เลือกศึกษาในหัวข้อท่กี ล่มุ ตนเองสนใจ 1 หวั ข้อ โดยมแี นวทางการคิดหวั ขอ้ ดงั นี้ 3.1.1.นกึ ถงึ ประเด็นตา่ ง ๆ เหล่าน้ี ความสามารถพิเศษของตนเองที่มี (โดยพิจารณาถึงประเด็นท่ีตน ยังขาดและตอ้ งการเรียนรูเ้ พ่ิมเตมิ ) ความชอบหรือความถนดั ของตนเอง ประเดน็ ทางสังคมใน ปจั จบุ ันทก่ี ำลงั พูดถึง หรือ แนวโนม้ หรอื สงิ่ ทอ่ี าจจะเกดิ ข้ึนในอนาคต 3.1.2.หัวข้อที่เลือกตอ้ งมคี วามน่าสนใจและเหมาะกบั เพื่อนในชั้นเรยี น 3.1.3.หัวข้อที่เลือกจะต้องใช้ระยะเวลาสำหรับการถ่ายทอดความรูใ้ หแ้ ก่เพื่อนในชัน้ เรียนได้ภายใน เวลาไมเ่ กิน 10 นาที 3.1.4.ผู้เรยี นสามารถเลอื กใชว้ ธิ กี ารใดก็ได้ เช่น การเล่าเรอื่ ง การแสดงบทบาทสมมติ การสาธติ การ ทำกิจกรรม เปน็ ต้น ในการถา่ ยทอดเรอื่ งราวให้แก่เพ่อื นในชน้ั เรยี น 4. แจ้งผู้เรียนให้เตรียมคำถามสำหรับประเมินความรู้ความเข้าใจของเพื่อนในช้ันเรียน และส่งรายงานสรุป ประเด็นองค์ความร้ใู หมท่ ่ไี ด้รับจากการเรียนร้ใู นหัวข้อท่ีเลอื ก 5. จัดลำดบั การนำเสนอของแตล่ ะกลุ่ม และแจง้ ใหผ้ เู้ รยี นทราบ
80 6. กำหนดใหผ้ เู้ รยี นเขียนแผนการเรยี นรู้ตามแบบฟอรม์ ดา้ นล่างน้ี พร้อมส่งใหผ้ ู้สอน แผนการจดั การเรียนรู8 หวั ขอ# ........................................................................................................................... วัตถปุ ระสงคP / 1. ........................................................................................................... เปkาหมายของการเรียนร#ู 2. ........................................................................................................... 3. ........................................................................................................... ประเด็นการเรยี นรท#ู ่ตี #องการ 1. ........................................................................................................... ค#นหา 2. ........................................................................................................... 3. ........................................................................................................... สาเหตทุ ี่เลือกศึกษาในหัวขอ# นี้ ........................................................................................................................... ........................................................................................................................... ........................................................................................................................... ........................................................................................................................... แหลงA สืบคน# ขอ# มลู / ........................................................................................................................... แหลงA การเรยี นร#ู ........................................................................................................................... ........................................................................................................................... ........................................................................................................................... วิธีการเรียนร#ู (ตัวอยAางเชAน เขา# ........................................................................................................................... อบรมในหลักสูตรทีเ่ ปlดสอน / ........................................................................................................................... วเิ คราะหขP อ# มูลด#วยตนเองจาก ........................................................................................................................... ข#อมลู ทไ่ี ด#สืบค#นมา / สอบถาม ........................................................................................................................... จากผูเ# ชย่ี วชาญ / ไปศกึ ษาดูงาน ........................................................................................................................... ........................................................................................................................... ระยะเวลาในการเรียนร#ู ........................................................................................................................... วิธีการถาA ยทอดความรู# ........................................................................................................................... ........................................................................................................................... ........................................................................................................................... ........................................................................................................................... ........................................................................................................................... ...........................................................................................................................
81 ขั้นตอนที่ 3: การถ่ายทอดความรู้ ในขั้นตอนนี้ผู้สอนจะกำหนดให้แต่ละกลุ่มออกมาทำหน้าที่เป็นผู้สอนเพื่อนในชั้นเรียนในช่วงท้าย ชั่วโมงเรียนแต่ละสัปดาห์ เมื่อกลุ่มที่นำเสนอได้นำเสนอเสร็จสิ้น ผู้นำเสนอจะต้องประเมินความรู้ความ เขา้ ใจของเพอ่ื นในชนั้ เรยี น ตามวธิ กี ารประเมนิ ท่ีไดเ้ ตรียมมา และสรุปเปน็ คะแนนออกมาสง่ ผู้สอน ขั้นตอนท่ี 4: การประเมนิ ผลการจดั กจิ กรรม เม่ือเสร็จสิน้ การถ่ายทอดความรใู้ นขั้นตอนท่ี 3 แล้ว ผสู้ อนกำหนดใหม้ ีการประเมินการทำงานรว่ มกัน กบั ผู้อนื่ ของผู้เรยี นแตล่ ะคนในรูปแบบ การประเมนิ 360 องศา ตามแบบฟอร์มดา้ นล่างนี้ § ผู้เรยี นประเมนิ ผลงานของตนเอง แบบประเมินการทำงานของตนเอง ระดับความพึงพอใจ / ความร8ูความเข8าใจ คำถาม มากที่สดุ มาก ปานกลาง นอ8 ย นอ8 ยท่ีสดุ 54321 ด8านการนำเสนอ 1. ความพร#อมของตนเองกAอนการนำเสนอ 2. รูปแบบ/เทคนคิ การนำเสนอสามารถสรา# งความ นาA สนใจ และความเข#าใจเนื้อหาให#แกเA พ่ือนได# 3. ความสามารถในการอธิบายเน้ือหาได#ชัดเจนและตรง ประเดน็ 4. การตอบคำถามของตนเองในฐานะผู#นำเสนอ 5. การใชเ# วลาตรงตามที่กำหนดไว# ด8านเน้ือหาที่นำเสนอ 6. ความนาA สนใจของเนื้อหาที่นำเสนอ 7. ความร#ูทตี่ นเองไดร# ับหลงั จากการนำเสนอ ภาพรวม 8. ภาพรวมของการนำเสนอในครงั้ นข้ี องตนเอง
82 § ผู้เรียนประเมินการทำงานของสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มตนเอง โดยอิงจากบทบาทหน้าที่ความ รับผิดชอบ และขอ้ ตกลงที่ไดท้ ำไว้รว่ มกนั ซง่ึ ผสู้ อนสามารถใช้แบบประเมิน ดา้ นท่ี 4: การบริหาร ความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Interpersonal Management) และด้านที่ 5: ความซื่อสัตย์และความ พากเพียรพยายาม (Integrity and Perseverance) หรือเลอื กใช้แบบประเมินดา้ นลา่ งน้ี แบบประเมนิ การทำงานของเพื่อนในกลมุK ตนเอง ข8อมูลผ8ูถกู ประเมนิ : รหสั ……………………………………ชื่อ................................................... ระดับคะแนน คำถาม มากท่ีสุด มาก ปานกลาง นอ8 ย นอ8 ยที่สดุ 54321 1. ความรบั ผิดชอบตอA หน#าทีท่ ่ีไดร# บั มอบหมาย 2. ความมุAงม่ันในการทำงานที่ไดร# ับมอบหมาย 3. ผลสำเรจ็ ของงานตามหนา# ที่ทีไ่ ด#รับมอบหมาย 4. การมีสAวนรAวมในกลAุม 5. การเคารพและปฏิบตั ติ ามขอ# ตกลงของกลมุA 6. มนุษยสัมพันธรP ะหวาA งสมาชกิ ในกลมุA 7. ภาพรวมของการเปCนสมาชกิ ของกลมAุ § เพอื่ นกล่มุ อนื่ ในชัน้ เรยี นเดยี วกันประเมินการถ่ายทอดความรู้ แบบประเมนิ การถKายทอดความร8ู สำหรับเพือ่ นในช้ันเรียน ระดบั ความพึงพอใจ / ความรู8ความเข8าใจ คำถาม มากท่ีสุด มาก ปานกลาง นอ8 ย น8อยที่สุด 54 3 2 1 ดา8 นการนำเสนอ 1. การเตรียมความพรอ# มของผ#ูนำเสนอ 2. ความนาA สนใจของรปู แบบ/เทคนิคการนำเสนอ 3. ความสามารถในการอธบิ ายเน้ือหาได#ชัดเจน และตรงประเดน็ 4. การตอบคำถามของผู#นำเสนอ 5. การใช#เวลาตรงตามท่ีกำหนดไว# ด8านเนือ้ หาท่ีนำเสนอ 6. ความนAาสนใจของเน้ือหาท่ีนำเสนอ
83 แบบประเมินการถKายทอดความรู8 สำหรับเพื่อนในชั้นเรียน ระดับความพึงพอใจ / ความรู8ความเข8าใจ คำถาม มากท่ีสุด มาก ปานกลาง นอ8 ย น8อยท่ีสุด 54 3 2 1 7. ความร#ทู ไ่ี ดร# ับหลังจากการนำเสนอ ภาพรวม 8. ภาพรวมของการนำเสนอในคร้งั นี้ § ผู้สอนเปน็ ผู้ประเมนิ ภาพรวมการทำงานของกลมุ่ และผลสัมฤทธ์ขิ องงาน ตามแบบฟอรม์ ด้านล่าง นี้ และใช้แบบประเมินด้านที่ 6: การเรียนรู้เชิงรุกและการใฝ่รู้ (Active Learning & Learning Strategies) แบบประเมนิ การถKายทอดความร8ู สำหรับผู8สอน ระดบั ความพึงพอใจ / ความร8ูความเข8าใจ คำถาม มากท่ีสุด มาก ปานกลาง นอ8 ย นอ8 ยที่สดุ 54321 ดา8 นการนำเสนอ 1. การเตรยี มความพรอ# มของผ#ูนำเสนอ 2. ความนาA สนใจของรูปแบบ/เทคนคิ การนำเสนอ 3. ความสามารถในการอธิบายเนื้อหาไดช# ดั เจนและ ตรงประเด็น 4. การตอบคำถามของผู#นำเสนอ 5. การใชเ# วลาตรงตามท่ีกำหนดไว# ด8านเนือ้ หาท่นี ำเสนอ 6. ความนAาสนใจของเนื้อหาที่นำเสนอ 7. ความรทู# ่ไี ด#รบั หลงั จากการนำเสนอ ภาพรวม 8. ภาพรวมของการนำเสนอในครัง้ นี้
84 การจัดการเรียนรโู้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) ส่งเสรมิ ทกั ษะ: ดา8 นที่ 2: การแก8ปญV หาเชิงซับซอ8 น (Complex Problem Solving) ดา8 นท่ี 9: การส่ือสารอยKางมปี ระสิทธิภาพ (Effective Communication) ชื่อกิจกรรม: ยดื อกลดถงุ (พลาสตกิ ) รปู แบบ: ใชป# ระเด็นปญr หาการใชถ# ุงพลาสติกทมี่ ปี รมิ าณเพม่ิ สงู ขึน้ อยาA งตAอเนอ่ื งของประเทศไทย เปCนโจทยPต้งั ต#นให#ผ#เู รยี นรวA มกันหาวิธกี ารรณรงคPสอ่ื สารอยาA งมปี ระสิทธภิ าพให#คนในชมุ ชมและคนใกล#ตัวลดการใช# ถุงพลาสตกิ และกำหนดให#แตลA ะกลุมA นำเสนอแผนในชัน้ เรยี น เปา้ หมาย: เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นฝกึ ทักษะการแกป้ ญั หาจากสถานการณใ์ กลต้ วั วิธีการจดั กจิ กรรม ขนั้ ตอนท่ี 1: แบAงผูเ# รยี นออกเปCนกลมAุ ขน้ั ตอนที่ 2: กำหนดประเด็นปญr หา ผู#สอนนำเสนอประเดน็ ปญr หาสง่ิ แวดล#อมที่เกดิ ขนึ้ จากการใช#ถุงพลาสติกที่มปี ริมาณมากในแตAละวัน ซง่ึ ปจr จบุ นั การใชถ# ุงพลาสตกิ ไดก# ลายเปนC พฤตกิ รรมที่คุ#นชิน และเปนC เร่อื งปกติในสงั คมไทย ทัง้ น้ีแนวทางหน่งึ ในการลดปrญหาดงั กลAาว คือ การสรา# งการสื่อสารอยาA งมปี ระสทิ ธภิ าพเพอื่ รณรงคPการลดการใช#ถุงพลาสตกิ และสร#างความตระหนักใหแ# กคA นใกลต# วั และคนในชุมชมทผี่ เ#ู รียนอาศยั อยAู สื่อประกอบ > https://www.youtube.com/watch?v=NHOJm95OjFw > https://www.seub.or.th/bloging/news/แคมเปญ-งดใช#ถุงพลาสตกิ -ช ขน้ั ตอนท่ี 3: ทำความเขา# ใจปrญหา ผ#ูสอนแจ#งให#ผเ#ู รยี นแตลA ะกลAุม ดำเนนิ การดังนี้ § วิเคราะหสP ถานการณP และผลกระทบทเี่ กดิ ข้นึ ทัง้ หมด
85 § ระบปุ ระเดน็ ปญr หาในขอบเขตประเดน็ ดา# นการสื่อสาร § จดั ลำดบั ความสำคญั และความเรงA ดAวนของปญr หา ข้นั ตอนที่ 4: แสวงหาความร#แู ละสงั เคราะหPความร#ู ผูส# อนแจ#งใหผ# เู# รียนแตลA ะกลมุA นำประเดน็ ปญr หาทรี่ ะบไุ วใ# นขั้นตอนที่ 3 มาศึกษาหาข#อมูลเกย่ี วกับ วิธกี ารแกป# ญr หาในแบบตาA ง ๆ ทผ่ี Aานมา และผลลพั ธทP เ่ี กิดขน้ึ รวมทง้ั แสวงหาความรท#ู ี่เกยี่ วข#องเพ่ิมเตมิ พรอ# ม ทง้ั สงั เคราะหเP ปCนความรอู# อกมา ขนั้ ตอนที่ 5: วางแผนการแก#ปญr หา ผสู# อนกำหนดให#แตAละกลมุA เขียนแผนการแกป# ญr หาในขอบเขตประเดน็ ด#านการสื่อสาร โดยเนน# การคดิ ค#นหาวิธีการใหมAท่ีแปลกแตกตาA งไปจากเดมิ หรือพฒั นาจากกระบวนการเดมิ ท่มี อี ยAูแล#ว ขัน้ ตอนที่ 6: นำเสนอและประเมนิ ผลงาน ผู#เรียนแตAละกลมAุ นำแผนการแก#ปญr หาท่ีไดร# Aวมกันออกแบบไวเ# ผยแพรอA อกสAสู าธารณะ โดยผส#ู อน กำหนดให#มกี ารประเมินผลรAวมกันจากหลายฝา• ย เชAน ใหผ# เ#ู รยี นประเมินผลงานของกลมุA ตนเอง ประเมินผล งานโดยเพือ่ นในชน้ั เรียนเดยี วกัน และประเมินผลงานโดยผส#ู อน โดยผสู# อนสามารถใช#แบบประเมินดา# นที่ 2: การแกป# ญr หาเชงิ ซบั ซอ# น (Complex Problem Solving) และดา# นที่ 9: การส่อื สารอยาA งมีประสทิ ธภิ าพ (Effective Communication)
86 การจัดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project-Based Learning) ส่งเสริมทักษะ: ดา้ นท่ี 2: การแก้ปญั หาเชิงซบั ซ้อน (Complex Problem Solving) ดา้ นที่ 11: การรเู้ ทา่ ทนั ดจิ ิทัลและการผลิตสือ่ ดิจิทัล (Digital Quotient Literacy and Digital Media Production) กจิ กรรมที่ 1 ชอ่ื กจิ กรรม: ชีวิตในโลก 2 ใบ รปู แบบ: จดั กจิ กรรมทดลองการลดจำนวนชัว่ โมงการใช้งานอนิ เทอร์เนต็ เป้าหมาย: เพื่อให้ผเู้ รียนศึกษาตนเองเกี่ยวกบั พฤติกรรมการใช้เวลาอยู่ในโลกออนไลน์ และตระหนักถงึ การ บรหิ ารจดั การเวลาหน้าจออยา่ งเหมาะสม วิธีการจดั กิจกรรม 1. กำหนดบรบิ ทปจั จบุ นั ใหผ้ ูเ้ รียนทราบ “ทกุ วนั นค้ี นในสงั คมปจั จบุ ันไดใ้ ชช้ ีวติ อยู่บนโลก 2 ใบ คือ โลก แห่งความจริง (Real world) และโลกออนไลน์ (Online world) โลกทั้ง 2 ใบนี้เกี่ยวข้องกัน และ สง่ ผลต่อกนั โดยตรงอยา่ งหลีกเลี่ยงไมไ่ ด้ ปัจจุบนั นักศกึ ษาทุกคนตอ้ งเรยี นรู้การใช้ชีวติ ในโลกทง้ั 2 ใบ ไปพร้อมกนั ทสี่ ำคัญคอื นกั ศกึ ษาควรเรยี นร้กู ารใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์ และปอ้ งกันตนเองจาก ภัยอันตรายต่าง ๆ เช่นกัน ดังนั้นการสังเกตพฤติกรรมตนเอง และบริหารจัดการเวลาได้อย่าง เหมาะสม จะทำใหน้ ักศกึ ษาใช้ชวี ิตในปัจจบุ ันได้อย่างมีความสุข” 2. แบ่งผู้เรยี นออกเปน็ กลุม่ ตามความเหมาะสมของแต่ละชน้ั เรยี น 3. แจ้งให้แต่ละกลุม่ ทำโครงงานการทดลองการลดจำนวนชั่วโมงการใช้งานอินเทอรเ์ น็ต โดยมีขั้นตอน ดงั น้ี ข้นั ที่ 1: วเิ คราะห์ตนเอง 1) สมาชิกแตล่ ะคนในกล่มุ สำรวจพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่ใู นโลกออนไลนเ์ ป็นเวลา 15 วัน โดยจด บันทกึ ลงในแบบฟอรม์ ดังนี้ (ทั้งนผี้ สู้ อนอาจกำหนดใหผ้ ู้เรียนแต่ละคนลงแอปพลิเคชันบนั ทกึ เวลา การใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ ในโทรศัพท์ของแตล่ ะคน)
87 วนั ที่ จำนวนช่วั โมงที่ วงกลมที่รปู ท่ีตรงกบั ความรู้สกึ โดยรวมเม่ืออยู่ อยูใ่ นโลก ในโลกออนไลนว์ นั นี้ ออนไลน์ 1 2 …… … … …… … … 15 2) นำข้อมลู ของสมาชิกทกุ คนในกลมุ่ มาวิเคราะห์ด้วยสถิตพิ ืน้ ฐาน เพอ่ื เปรียบเทยี บระยะเวลาท่ใี ช้ เวลาอยู่ในโลกออนไลน์โดยเฉลยี่ ของกลุม่ ตนเองกับค่ามาตรฐานที่เหมาะสม ขั้นที่ 2: กำหนดแนวปฏบิ ัตริ ว่ มกันเพอ่ื ลดจำนวนช่วั โมงการอยใู่ นโลกออนไลน์ 3) ให้สมาชิกทุกคนรว่ มกันกำหนดจำนวนช่วั โมงรวมทจ่ี ะอยใู่ นโลกออนไลน์ภายในระยะเวลา 15 วัน 4) สมาชิกแตล่ ะคนในกลมุ่ สำรวจพฤติกรรมการใชช้ ีวติ อย่ใู นโลกออนไลนเ์ ป็นเวลา 15 วัน โดยจด บนั ทกึ ลงในแบบฟอร์มเดมิ ตามขอ้ ท่ี 1 ข้ันที่ 3: ประเมินตนเองและสรปุ ผล 5) นำข้อมูลของสมาชิกทกุ คนในกลมุ่ มาวเิ คราะห์ด้วยสถิตพิ ื้นฐาน เพื่อเปรียบเทยี บระยะเวลาทใี่ ช้ เวลาอยู่ในโลกออนไลน์โดยเฉลีย่ ของกลมุ่ ตนเองกับค่าเฉลี่ยทไ่ี ดใ้ นครงั้ แรก 6) ร่วมกันสรุปผลจากการทดลองในประเด็นตา่ ง ๆ ดังน้ี • ส่งิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ เมื่อต้องลดเวลาการอยใู่ นโลกออนไลน์ ทงั้ ในดา้ นความร้สู ึกสว่ นตวั และ สุขภาพร่างกาย • เวลาการอยู่ในโลกออนไลนท์ ี่เหมาะสมควรเป็นอยา่ งไร • แลกเปล่ียนประสบการณ์การถกู ระรานทางไซเบอร์ และวธิ กี ารปกปอ้ งตนเอง 4. ผ้สู อนประเมินผลการสรปุ ของแตล่ ะกลุม่ โดยสามารถใช#แบบประเมินด#านท่ี 11. การรเู# ทาA ทันดจิ ิทลั และการผลิตสอื่ ดจิ ิทลั (Digital Quotient Literacy and Digital Media Production)
88 กิจกรรมท่ี 2 ชอื่ กจิ กรรม: โลกแหง่ ความจรงิ รปู แบบ: ใหผ้ ู้เรยี นคดิ โครงการเพ่ือลดปญั หาการเผยแพรข่ ่าวปลอมที่เกิดขน้ึ ในสังคม ผ่านการแสวงหาความรทู้ ี่ อยรู่ อบตัวจากโลกออนไลน์และพร้อมเปน็ ผูถ้ ่ายทอดความรู้ให้แกผ่ อู้ น่ื เป้าหมาย: เพ่อื ให้ผเู้ รียนเกดิ ทศั นคตแิ ละคา่ นิยมที่ดีตอ่ การใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ รวมทง้ั รู้แนวทางการปอ้ งกนั ภยั อันตรายทีอ่ าจเกิดข้นึ ได้ วธิ ีการจัดกิจกรรม ข้ันท่ี 1: แบ่งผเู้ รียนออกเปน็ กลุ่มตามความเหมาะสมของแตล่ ะช้ันเรยี น ขั้นท่ี 2: กำหนดสถานการณ์ปญั หาปจั จุบนั กำหนดสถานการณ์ใหด้ งั นี้ “ข่าวจากเว็บไซต์ ไทยรัฐออนไลน์ เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2564 16:55 น. ได้รายงานข่าวถึงปัญหาการ เผยแพร่ขา่ วปลอมเป็นจำนวนมาก ซึง่ ทำให้เกดิ ผลกระทบและความเสียหายต่อประชาชนคนไทยเป็น จำนวนมาก อา่ นรายละเอียดเพิม่ เตมิ ไดท้ ี่ https://www.thairath.co.th/news/politic/2142330” จากปัญหาดังกล่าวนัน้ นักศึกษาในฐานะคนรุ่นใหม่ และเป็นพลเมืองในโลกดจิ ิทัล จะมีแนวทางการ ป้องกันตนเองอย่างไรเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการเผยแพร่ข่าวปลอมนั้น และที่สำคัญไม่เป็นผู้ เผยแพรข่ ่าวปลอมน้นั เอง รวมทงั้ จะมสี ว่ นรว่ มถ่ายทอดความรูน้ ้ไี ด้อย่างไร
89 ขน้ั ที่ 3: มอบหมายใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ จดั ทำโครงการ เพ่ือแก้ปัญหาจากสถานการณ์ทกี่ ำหนด โดยมขี ั้นตอน ดงั น้ี 3.1 ร่วมกนั ถอดประเด็นปัญหาตา่ ง ๆ ที่ได้จากสถานการณท์ ่กี ำหนด และทำความเข้าใจร่วมกนั 3.2 กำหนดแนวทางการแก้ปญั หา โดยสืบคน้ ขอ้ มลู ประกอบ 3.3 เขียนโครงการ และขน้ั ตอนการดำเนินงานท้ังหมด โดยมีเงอื่ นไขเพิม่ เติมนอกเหนอื จากการเขียน โครงการโดยทัว่ ไป ดังน้ี 3.3.1 การสืบค้นขอ้ มูลประกอบการทำโครงการ ผูเ้ รียนจะตอ้ งเลือกสบื คน้ ขอ้ มลู จากแหลง่ ทีม่ ีความน่าเชื่อถอื โดยระบเุ หตุผลประกอบวา่ แหล่งขอ้ มลู เหล่าน้ีมีความน่าเชื่อถือ อย่างไร 3.3.2 กำหนดชื่อเทคโนโลยีดิจิทัลทั้งหมดที่จะนำมาใช้ในโครงการ พร้อมทั้งระบุเหตผุ ล ประกอบว่าทำไมถึงเลือกใชเ้ ครอ่ื งมอื เหล่าน้ี ขั้นที่ 4: นำเสนอโครงการตอ่ ผูส้ อน ขนั้ ที่ 5: ดำเนินการจดั โครงการ ขั้นที่ 6: สรุปผลการจดั โครงการ ขั้นที่ 7: นำเสนอผลการจัดโครงการตอ่ ผสู้ อน และเพอื่ นรว่ มชน้ั เรยี น เพือ่ แลกเปล่ียนเรียนรรู้ ่วมกนั ข้ันที่ 8: ประเมินผลการจัดโครงการ ผู้สอนประเมินโครงการโดยสามารถใช#แบบประเมินดา# นที่ 11: การรู#เทAาทันดิจิทัลและการผลิตสื่อดิจิทัล (Digital Quotient Literacy and Digital Media Production) และอาจใช#แบบประเมินด#านที่ 2: การแก#ปrญหาเชิงซับซ#อน (Complex Problem Solving) รวA มได# ขนั้ ที่ 9: ผู้สอนสรุปประเด็นการเรียนรู้ โดยสะท้อนให้ผ้เู รียนเห็นถงึ กระบวนการคดิ และการเรียนรู้ท่ี เกิดขน้ึ จากการทำโครงการน้ี
90 การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) และ การแสดงบทบาทสมมติ (Role play) ส่งเสริมทกั ษะ: ดา้ นท่ี 3: การคิดสรา้ งสรรค์ (Creative Thinking) ด้านที่ 9: การสื่อสารอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ (Effective Communication) ด้านท่ี 10: การเปน็ ผปู้ ระกอบการและการลงทนุ (Entrepreneurship and Investment) ด้านที่ 11: การรู้เทา่ ทันดิจทิ ัลและการผลิตสอื่ ดิจิทัล (Digital Quotient ช่ือกิจกรรม: ผปู้ รLะiกteอrบaกcาyรหanนd้าใหDมig่ ital Media Production) รูปแบบ: ใหผ้ ู้เรยี นเขยี นแผนธรุ กจิ โดยวิเคราะห์โอกาสจากสถานการณใ์ นปัจจบุ ัน และผสู้ อนกำหนดกจิ กรรม วันเจรจาซ้อื ขายธรุ กิจโดยการแสดงบทบาทสมมตริ ่วมกนั เป้าหมาย: เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นสามารถวเิ คราะหส์ ถานการณใ์ นสงั คมปจั จบุ ันเพอ่ื หาโอกาสในการลงทนุ โดยร่วมกนั เขียนเปน็ แผนธุรกจิ เพอื่ นำเสนอ วธิ ีการจดั กจิ กรรม ขัน้ ท่ี 1: แบ่งผ้เู รยี นออกเป็นกลุ่มตามความเหมาะสมของแต่ละช้นั เรยี น ข้ันที่ 2: กำหนดสถานการณป์ ัญหาปัจจุบัน กำหนดบรบิ ทปจั จบุ นั ให้ผ้เู รยี นทราบ ตวั อยา่ งเชน่ “สถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคติดเช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 เปน็ หนง่ึ ในสถานการณ์การ แพรร่ ะบาดของโรคตดิ ต่อทีม่ คี วามรุนแรง และลุกลามไปทั่วโลก สง่ ผลให้ภาวะเศรษฐกิจทวั่ โลกซบเซา ลงเป็นอย่างมาก มีหลายธุรกิจทีไ่ ด้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ธุรกิจการบิน การท่องเที่ยว โรงแรม และร้านอาหาร เปน็ ต้น แตใ่ นอกี ดา้ นหนงึ่ กลับมีธรุ กจิ บางประเภททไี่ ด้รับผลเชิงบวกจากสถานการณ์ นี้ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับอ-ี คอมเมิรซ์ โลจิสติกส์ สุขอนามัย และ เทคโนโลยีการสื่อสารคมนาคม เป็น ตน้ ”
91 จากสถานการณ์ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และหลังการแพร่ ระบาดในอนาคตนั้น นักศึกษาจะมองหาโอกาสเพ่ือเริ่มธุรกิจบางอย่างในช่วงสภาวการณ์อย่างนี้ได้ อย่างไร ขั้นที่ 3: มอบหมายให้แต่ละกลุ่มเขียนแผนธุรกิจ เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนจากสถานการณ์ที่ กำหนดให้ขา้ งตน้ โดยมีขน้ั ตอนดงั นี้ 3.1 รว่ มกนั วเิ คราะห์สถานการณ์เพอื่ มองหาโอกาสการลงทนุ จากสถานการณ์ที่กำหนด และทำความ เขา้ ใจรว่ มกนั โดยเขยี นประเด็นเป็นรายขอ้ 3.2 สบื คน้ ข้อมลู ประกอบการพจิ ารณาความเป็นไปได้ตามประเด็นโอกาสการลงทนุ ทีร่ ว่ มกนั เขยี นขึ้น และอภปิ รายรว่ มกนั เพื่อเลอื กประเด็นที่น่าสนใจที่สดุ มาเขียนเป็นแผนธรุ กจิ เพียง 1 ประเด็น 3.3 เขยี นแผนธุรกิจ และขัน้ ตอนการดำเนินงานท้ังหมด ขน้ั ที่ 4: นำเสนอแผนธรุ กิจท่ีเขยี นข้ึนปรึกษากับผสู้ อน พรอ้ มท้งั ปรับแก้ตามคำแนะนำ ข้นั ที่ 5: วางแผนการนำเสนอแผนธรุ กิจอยา่ งสรา้ งสรรค์ ขัน้ ท่ี 6: ผู้สอนกำหนดกิจกรรมวนั เจรจาซ้ือขายธรุ กิจ โดยมีขัน้ ตอนดงั นี้ 6.1 ผสู้ อนเชิญผ้เู ชี่ยวชาญภายนอก หรืออาจารย์ประจำวชิ าทา่ นอื่นอยา่ งนอ้ ย 3 คน สวมบทบาทเป็น นายทนุ เพือ่ มาร่วมประมลู ซอ้ื แผนธุรกจิ ของผเู้ รยี นแต่ละกลมุ่ ท่นี ำเสนอ 6.2 จัดให้แต่ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเสนอขายแผนธุรกิจของตนเอง โดยผู้เชี่ยวชาญที่สวมบทบาทเป็น นายทนุ เป็นผู้ซักถาม และตดั สินใจว่าจะซือ้ แผนธรุ กจิ นหี้ รอื ไม่ 6.3 อาจารย์ผู้สอนและผู้เชี่ยวชาญ ประเมินแผนธุรกิจโดยใช้แบบประเมิน ด้านที่ 3: การคิด สร้างสรรค์ (Creative Thinking) ด้านที่ 9: การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Communication) แ ล ะ ด ้ า น ท ี ่ 1 0 : ก า ร เ ป ็ น ผ ู ้ ป ร ะ ก อ บ ก า ร แ ล ะ ก า ร ล ง ทุ น (Entrepreneurship and Investment) ขน้ั ที่ 7: ผู้สอนสรุปผลการเรียนรู้ทัง้ หมด โดยสะท้อนใหผ้ ้เู รยี นเหน็ ถึงกระบวนการคดิ และการเรียนรู้ ท่เี กดิ ขึ้นระหวา่ งการทำโครงการนี้
Search