Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสตร์ตีความ-8 อริยมรรค 8

ศาสตร์ตีความ-8 อริยมรรค 8

Published by taiyodental, 2021-08-28 04:09:33

Description: เอกสาร ประกอบวิชา ศาสตร์ตีความ-8 อริยมรรค 8

Keywords: อริย

Search

Read the Text Version

การวเิ คราะห์การตีความคมั ภีร์พระสุตตนั ตปิ ฏก เรื่อง “อริยมรรค ๘เพ่อื การหลุดพน้ ” นายสุภเชษฐ์ จงธนากร Mr.Suphachet Chongthanakorn นกั ศึกษาปริญญาเอก สาขาพทุ ธศาสน์ศึกษา มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั Email: [email protected] โทร: 081-657-1820 -------------------------------------------------------------------------------------------------- การตีความคมั ภีร์ พระสุตตนั ตปิ ฏก เร่ือง “อริยมรรค 8” ใชก้ ระบวนการตีความ 4 มิติ พระไตรปฎิ ก เล่มที่ ๑๙ พระสตุ ตันตปฎิ ก เล่มท่ี ๑๑ สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค วิภังคสูตร อริยมรรค ๘ [๓๓] สาวัตถนี ทิ าน. พระผ้มู ีพระภาคตรัสกะภกิ ษทุ ้ังหลายว่า ดูกรภกิ ษทุ ั้งหลาย เราจักแสดง จักจาแนกอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ แก่เธอทัง้ หลาย เธอทงั้ หลายจงฟงั อรยิ มรรคน้ัน จงใสใ่ จให้ดี เราจกั กล่าว ภกิ ษุพวกน้นั ทูลรับพระดารสั ของพระผู้มีพระภาคแลว้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทัง้ หลาย ก็อริยมรรคอนั ประกอบด้วยองค์ ๘ เปน็ ไฉน? คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธ.ิ [๓๔] ดกู รภิกษทุ งั้ หลาย กส็ ัมมาทิฏฐิเป็นไฉน? ความรใู้ นทุกข์ ในทกุ ขสมทุ ยั ในทุกขนโิ รธ ในทุกขนิโรธคามนิ ีปฏิปทา นเ้ี รยี กว่า สัมมาทิฏฐ.ิ [๓๕] ดูกรภิกษทุ ้ังหลาย กส็ มั มาสังกปั ปะเป็นไฉน? ความดาริในการออกจากกาม ความดารใิ นอนั ไมพ่ ยาบาท ความดาริในอันไมเ่ บยี ดเบียน นี้เรียกวา่ สมั มาสังกัปปะ. [๓๖] ดกู รภกิ ษุทง้ั หลาย ก็สัมมาวาจาเปน็ ไฉน? เจตนาเครือ่ งงดเว้นจากพดู เท็จ พดู สอ่ เสยี ด พดู คาหยาบ พูดเพอ้ เจ้อ นี้เรียกวา่ สัมมาวาจา. [๓๗] ดูกรภิกษุท้ังหลาย ก็สมั มากัมมันตะเปน็ ไฉน? เจตนาเครอื่ งงดเวน้ จากปาณา- *ตบิ าต อทนิ นาทาน จากอพรหมจรรย์ น้เี รียกว่า สัมมากัมมันตะ.

[๓๘] ดกู รภิกษทุ ัง้ หลาย ก็สัมมาอาชวี ะเปน็ ไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการ เลยี้ งชพี ทผ่ี ดิ เสีย สาเร็จชวี ิตอยู่ดว้ ยการเลี้ยงชพี ท่ีชอบ นเ้ี รยี กว่า สมั มาอาชวี ะ. [๓๙] ดูกรภกิ ษทุ ้ังหลาย สัมมาวายามะเปน็ ไฉน? ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี ยงั ฉันทะ ใหเ้ กิด พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจติ ไว้ ต้งั จิตไว้ เพอ่ื มิใหอ้ กศุ ลธรรมอนั ลามก ท่ียังไมเ่ กิดบังเกดิ ข้นึ เพ่ือละอกศุ ลธรรมอนั ลามกท่ีบังเกิดข้ึนแลว้ เพ่ือให้กศุ ลธรรมท่ียังไม่เกิด บังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตัง้ จิตไว้ เพ่อื ความต้ังม่นั ไมฟ่ ่ันเฟือน เพิม่ พนู ไพบูลย์ เจริญ บรบิ รู ณ์ แห่งกศุ ลธรรมทบี่ งั เกิดขึน้ แล้ว นเี้ รยี กวา่ สมั มาวายามะ. [๔๐] ดูกรภกิ ษุท้ังหลาย กส็ มั มาสติเปน็ ไฉน? ภิกษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ ย่อมพจิ ารณา เห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มคี วามเพียร มีสัมปชญั ญะ มสี ติ พึงกาจัดอภิชฌาและโทมนสั ใน โลกเสยี ยอ่ มพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนอื งๆ อยู่ มีความเพียร มสี มั ปชัญญะ มสี ติ พงึ กาจดั อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นจติ ในจติ เนืองๆ อยู่ มีความเพียร มี สมั ปชัญญะ มีสติ พึงกาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกเสยี ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เนืองๆ อยู่ มคี วามเพยี ร มีสมั ปชญั ญะ มสี ติ พงึ กาจัดอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกเสีย น้ี เรยี กวา่ สัมมาสติ. [๔๑] ดกู รภิกษุทง้ั หลาย กส็ มั มาสมาธิเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวนิ ยั นี้ สงัดจากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปตี ิและสุขเกดิ แต่วิเวกอยู่ เธอบรรลทุ ุติย- *ฌาน มคี วามผอ่ งใสแหง่ จิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดข้นึ ไมม่ ีวติ ก ไมม่ ีวิจาร เพราะวิตก วิจารสงบไป มีปตี แิ ละสขุ เกดิ แต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มสี ติ มสี ัมปชัญญะ เสวยสขุ ด้วย นามกาย เพราะปตี ิสน้ิ ไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทง้ั หลายสรรเสรญิ ว่า ผู้ได้ฌานนเี้ ปน็ ผู้มี อเุ บกขา มีสติ อยเู่ ป็นสขุ เธอบรรลุจตุตถฌาน ไมม่ ที ุกข์ ไมม่ สี ขุ เพราะละสุข ละทกุ ข์ และดบั โสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเปน็ เหตุใหส้ ติบรสิ ทุ ธ์ิอยู่ น้ีเรยี กว่า สัมมาสมาธ.ิ จบ สูตรท่ี ๘ เนอื้ ความพระไตรปฎิ ก เลม่ ที่ ๑๙ บรรทดั ท่ี ๑๗๔-๒๑๐ หน้าท่ี ๘-๙.

การตีความคมั ภีร์ พระสุตตนั ตปิ ฏก เรื่อง “อริยมรรค 8 เพือ่ การหลุดพน้ ” ใชก้ ระบวนการตีความ 4 มิติ มรรค 8 คอื หนทางสูก่ ารดบั ทกุ ข์ มรรค คอื หนทางสูค่ วามดบั ทุกข์ เปน็ หน่ึงใน อรยิ สจั 4 จงึ เรียกอีกอย่างว่า ทุกขนโิ รธคามินี ปฏิปทา หรือการลงมือปฏิบัติเพ่ือให้พน้ จากทกุ ข์ ประกอบด้วยองค์ประกอบ 8 ประการ ในธมั มจกั กัปปวัตตนสูตร พระพทุ ธเจา้ ตรัสวา่ อริยมรรคมีองค์ 8 นเี้ ปน็ ทางสายกลาง คือเป็นข้อปฏบิ ตั อิ นั พอดีทีจ่ ะนาไปสคู่ วามหลุดพ้น ระดับกายภาพ (BODY) ตามวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าทรงอธบิ ายรายละเอียดไว้ว่าอรยิ มรรค มีองค์ 8 ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ระดบั ความคดิ (MIND) 1.สิง่ ทไี่ มค่ วรเสพสองอย่าง คือ กามสุขลั ลิกานโุ ยค การปฏบิ ตั ิตนยอ่ หย่อนสบายกายเกนิ ไป และ อตั ตกลิ มถานุโยค การปฏิบตั ิตนจนทรมานกายมากเกินไป ความหมายคือ พุทธศาสนาไม่สอนให้คนพ้นทกุ ขด์ ว้ ยการแก้ปญั หานอกกาย คือ หนีความ ทุกขด์ ว้ ยการแสวงหาความสุข หรือ หาทางพน้ ทกุ ข์ด้วยการทาให้ตนลาบาก แต่ทรงสอนใหแ้ ก้ ทกุ ข์ดว้ ยการ “แกท้ ี่ในจิตใจของเราเอง” คือ มัชฌมิ าปฏิปทา 2. มัชฌมิ าปฏิทา ทางสายกลาง ท่ี พระพทุ ธเจ้า ทรงแสดง เปน็ แนวทางใหม่ในการแกท้ กุ ข์ แกช่ าวโลก คือไม่ปฏิบัติไปในทางสุดโต่งด้านใดดา้ นหนงึ่ โดยใหป้ ฏิบัติตาม อรยิ มรรคมอี งค์ 8 3.อริยสจั 4 เป็นพระธรรมสดุ ท้ายทที่ รงแสดงแกป่ ญั จวัคคีย์ เป็นสงิ่ ทที่ าใหพ้ ระองคต์ รสั รู้ คอื อริยสจั 4 ประการเพ่อื การหลดุ พ้นทุกข์ ไดแ้ ก่ ทุกข์ ควรรู้ สมุทยั ควรละ นิโรธ ควรทาให้แจ้ง มรรค ลงมอื ปฏบิ ตั ิ

ระดับความรู้สกึ (HEART) อริยมรรคมอี งค์ 8 สามารถ จัดรวบรวมหมวดหมูแ่ ละสรุปได้ เป็น 3 หมวด คือ หมวดศีล หมวดสมาธิ หมวดปญั ญา ซ่งึ ประกอบไปด้วย 1. หมวดศีล สัมมาวาจา สัมมากมั มนั ตะ สมั มาอาชีวะ 2. หมวดสมาธิ สัมมาวายามะ สมั มาสติ สัมมาสมาธิ 3. หมวดปัญญา สัมมาทิฏฐิ สมั มาสงั กัปปะ 1.สมั มาทิฏฐิ สมั มาทฏิ ฐิ หมายถงึ แนวคิดที่ถูกตอ้ ง ความเหน็ ชอบตามทานองคลองธรรม เชน่ เหน็ ว่าทาดไี ด้ดี ทาชัว่ ได้ช่วั ถือเป็นองค์แรกในมรรคมีองคแ์ ปด อนั เป็นแนวทางสกู่ ารหลุดพ้นจากทกุ ข์ ในสมั มาทิฏฐิสตู ร พระสารีบตุ รอธิบายนัยยะของสมั มาทิฐิไว้ 16 ประการ ดังน้ี  รชู้ ดั อกศุ ลและรากเหง้าแหง่ อกศุ ล และรูช้ ัดกุศลและรากเหง้าแห่งกศุ ล อกศุ ล คืออกุศลกรรมบถ 10 รากเหงา้ ของอกุศล คอื โลภะ โทสะ โมหะ  รชู้ ดั อาหาร เหตุเกิดแห่งอาหาร ความดบั แห่งอาหาร และข้อปฏบิ ตั ใิ ห้ถงึ ความดับแหง่ อาหาร อาหารคอื อาหาร ผัสสะ เจตนา และวญิ ญาณ เหตแุ หง่ อาหาร คือ ตัณหา ความดับแห่งอาหาร การดับตณั หา และข้อปฏิบตั ิใหถ้ งึ ความดับแหง่ อาหาร คือ มรรคมีองค์แปด  รู้ชดั ทกุ ข์ เหตแุ ห่งทุกข์ การดับทุกข์ และข้อปฏบิ ตั ิใหถ้ ึงความดับทกุ ข์ ทกุ ข์คือ การเกดิ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย โศก ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนสั อปุ ายาส และเหตุแห่งทุกข์ คอื ตัณหา ความดับ แหง่ ทุกข์ การดับตณั หา และขอ้ ปฏบิ ตั ใิ ห้ถงึ ความดบั ทกุ ข์ คอื มรรคมอี งค์แปด  รู้ชัดชราและมรณะ เหตุเกิดแห่งชราและมรณะ ความดับแหง่ ชราและมรณะ และข้อปฏิบตั ใิ หถ้ งึ ความดบั แหง่ ชราและมรณะ เหตเุ กดิ แห่งชราและมรณะ คอื การเกดิ ความดบั แหง่ ชราและมรณะ คอื การดบั ความเกดิ ขอ้ ปฏบิ ตั ิให้ถึงความดับแหง่ ชราและมรณะ คือ มรรคมีองค์แปด  รชู้ ัดชาติ เหตเุ กิดแห่งชาติ ความดับแห่งชาติ และข้อปฏิบัตใิ หถ้ งึ ความดบั แห่งชาติ เหตุเกิด แห่งชาติ คอื ภพ ความดบั แห่งชาติ คอื การดบั ภพ ข้อปฏบิ ัติให้ถงึ ความดบั แห่งชาติ คือ มรรคมี องคแ์ ปด

 รู้ชัดภพ เหตุเกิดแห่งภพ ความดับแห่งภพ และขอ้ ปฏบิ ัตใิ หถ้ งึ ความดับแห่งภพ เหตเุ กดิ แหง่ ภพ คอื อุปาทาน ความดบั แหง่ ภพ การดบั อุปาทาน และขอ้ ปฏบิ ตั ิให้ถึงความดับแห่งภพ คอื มรรคมี องคแ์ ปด  รู้ชัดอปุ าทาน เหตเุ กิดแหง่ อปุ าทาน ความดับแหง่ อุปาทาน และข้อปฏิบตั ใิ หถ้ งึ ความดับแห่ง อุปาทาน เหตุเกิดแห่งอปุ าทาน คือ ตณั หา ความดับแหง่ อุปาทาน คอื การดบั ตัณหา และขอ้ ปฏิบตั ใิ หถ้ ึงความดับแห่งอปุ าทาน คอื มรรคมีองค์แปด  รู้ชดั ตัณหา เหตุเกดิ แห่งตัณหา ความดับแห่งตณั หา และข้อปฏบิ ัตใิ หถ้ งึ ความดับแห่งตัณหา เหตุ เกดิ แห่งตัณหา คอื เวทนา ความดบั แห่งตณั หา คอื การดบั เวทนา และขอ้ ปฏบิ ัติใหถ้ งึ ความดบั แหง่ ตัณหา คอื มรรคมีองค์แปด  รู้ชัดเวทนา เหตุเกิดแหง่ เวทนา ความดบั แห่งเวทนา และขอ้ ปฏบิ ัตใิ หถ้ ึงความดับแห่งเวทนา  รชู้ ดั ผัสสะ เหตุเกดิ แห่งผสั สะ ความดับแหง่ ผสั สะ และข้อปฏิบตั ใิ หถ้ ึงความดับแห่งผัสสะ  รชู้ ัดอายตนะ 6 ประการ เหตุเกิดแหง่ อายตนะ 6 ประการ ความดับแห่งอายตนะ 6 ประการ และ ข้อปฏิบตั ิใหถ้ งึ ความดบั แห่งอายตนะ 6 ประการ  รู้ชดั นามรูป เหตเุ กดิ แห่งนามรปู ความดับแห่งนามรปู และข้อปฏบิ ตั ิใหถ้ ึงความดบั แห่งนามรูป  ร้ชู ดั วญิ ญาณ เหตุเกิดแห่งวิญญาณ ความดับแหง่ วิญญาณ และขอ้ ปฏบิ ัติใหถ้ งึ ความดบั แหง่ วญิ ญาณ  รู้ชดั สังขาร เหตุเกดิ แหง่ สังขาร ความดบั แห่งสงั ขาร และข้อปฏิบตั ใิ หถ้ ึงความดับแห่งสังขาร  รู้ชัดอวิชชา เหตุเกดิ แหง่ อวิชชา ความดบั แหง่ อวชิ ชา และขอ้ ปฏิบัตใิ ห้ถงึ ความดบั แหง่ อวิชชา  รชู้ ดั อาสวะ เหตุเกดิ แหง่ อาสวะ ความดบั แห่งอาสวะ และข้อปฏิบตั ใิ ห้ถงึ ความดบั แห่งอาสวะ 2.สมั มาสงั กปั ปะ สัมมาสงั กปั ปะ หมายถงึ ดาริชอบ หรือความนกึ คดิ ในทางทีถ่ ูกตอ้ ง เปน็ หนง่ึ ในมรรค 8 หรือ มรรค มอี งคแ์ ปด สมั มาสงั กปั ปะ มี 3 อยา่ ง ได้แก่  เนกขมั มสังกัปป์ (หรอื เนกขมั มวิตก) คอื ความดาริทีป่ ลอดจากโลภะ ความนึกคดิ ทปี่ ลอดโปรง่ จากกาม ไมห่ มกมุ่นพวั พันติดข้องในสงิ่ สนองความอยากต่างๆ ความคิดท่ีปราศจากความเหน็ แกต่ ัว ความคิดเสียสละ และความคิดทเี่ ปน็ คุณเป็นกศุ ลทกุ อยา่ ง จัดเป็นความนึกคดิ ท่ปี ราศจากราคะ หรอื โลภะ

 อพยาบาทสงั กัปป์ (หรอื อพยาบาทวิตก) คือ ดารใิ นอนั ไมพ่ ยาบาท ความดาริที่ไม่มีความเคยี ด แคน้ ชงิ ชัง ขัดเคอื ง หรือเพ่งมองในแงร่ ้ายต่างๆ โดยเฉพาะมุ่งเอาธรรมท่ตี รงขา้ ม คอื เมตตา กรณุ า ซ่ึงหมายถึงความปรารถนาดี ความมีไมตรี ต้องการใหผ้ ู้อื่นมีความสขุ จัดเปน็ ความนึกคดิ ที่ ปราศจากโทสะ  อวหิ ิงสาสงั กัปป์ (หรอื อวหิ ิงสาวิตก) คอื ดารใิ นอันไมเ่ บยี ดเบียน ไมม่ ีการคดิ ทาร้ายหรือทาลาย ดว้ ยความไม่รู้ เพราะคึกคะนอง ทาโดยไม่มีความโลภหรือความโกรธมาเก่ียวข้อง โดยเฉพาะมุ่งเอา ธรรมที่ตรงขา้ ม ปัญญาคือเข้าใจโลกนี้ตามความเป็นจรงิ รูช้ ัดในกฎแห่งกรรม หรือมีสามัญสานกึ ใน สง่ิ ที่ถูกต้องดีงามเอง จดั เป็นความนกึ คิดทป่ี ราศจากโมหะ กศุ ลวติ ก 3 ประการน้ี ไม่กระทาความมืดมน กระทาปญั ญาจักษุ กระทาญาณ ยังปญั ญาใหเ้ จริญ ไมเ่ ปน็ ไปในฝกั ฝา่ ยแห่งความคบั แคน้ เปน็ ไปเพ่ือนิพพาน 3.สมั มาวาจา สมั มาวาจา เจรจาชอบ คอื วจีสจุ ริต4 (เว้นจาก วจีทจุ ริต4) มีหลกั ธรรมเกีย่ วกับสัมมาวาจาอยู่ 4 ขอ้ ดว้ ยกันคือ  ละการพูดเทจ็ เว้นขาดจากการพดู เทจ็ พูดแตค่ าจริง ดารงคาสตั ย์ มีถ้อยคาเปน็ หลักฐาน ควรเชอ่ื ได้ ไม่พดู ลวงโลก  ละคาสอ่ เสียด เว้นขาดจากคาสอ่ เสียด ฟงั จากขา้ งนีแ้ ล้วไม่ไปบอกขา้ งโน้น เพือ่ ใหค้ นหมู่น้แี ตกร้าว กนั หรือฟังจากข้างโน้น แลว้ ไม่มาบอกขา้ งนี้ เพื่อใหค้ นหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนท่ีแตกรา้ วกัน แลว้ บ้าง สง่ เสริมคนท่ีพร้อมเพรยี งกันแล้วบ้าง ชอบคนผพู้ รอ้ มเพรยี งกัน ยินดีในคนผพู้ ร้อมเพรียง กนั เพลิดเพลินในคนผูพ้ ร้อมเพรยี งกัน กล่าวแต่คาทที่ าใหค้ นพรอ้ มเพรยี งกนั  ละคาหยาบ เว้นขาดจากคาหยาบ กล่าวแต่คาทีไ่ มม่ ีโทษเพราะหู ชวนให้รกั จบั ใจ เป็นของ ชาวเมอื ง คนสว่ นมากรักใคร่พอใจ  ละคาเพ้อเจ้อ เวน้ ขาดจากคาเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คา ที่เปน็ จรงิ พูดองิ อรรถ พูดอิงธรรม พดู องิ วนิ ัย พดู แตค่ ามีหลักฐานมีท่อี า้ ง มีท่ีกาหนด ประกอบดว้ ยประโยชน์ โดยกาลอันควร

4.สัมมากมั มนั ตะ สมั มากมั มันตะ เป็นหนึ่งในมรรค 8 หรือ มรรคมีองคแ์ ปด กระทาชอบ ทาการชอบ คอื การกระทา ทีเ่ ว้นจากความประพฤติชว่ั ทางกาย 3 อยา่ ง อนั ไดแ้ ก่  การงดเว้นจากการฆา่ สัตว์  การงดเวน้ จากการถอื เอาสงิ่ ของทเ่ี ขามิไดใ้ ห้  การงดเว้นจากการประพฤติผดิ ในกาม 5.สัมมาอาชีวะ สมั มาอาชีวะเป็นหน่งึ ในมรรค 8 หรือ มรรคมอี งค์แปด สมั มาอาชีวะ หมายถงึ การใช้ชวี ิตดว้ ยการ บรโิ ภคปจั จยั สี่ อยา่ งมกั น้อย เท่าทจ่ี าเปน็ ถ้าเปน็ นักบวชทอี่ ยู่ด้วยการขอ ต้องรักษาปจั จยั สข่ี อง ทายกอย่างดี เพอ่ื ให้คมุ้ คา่ ตอ่ ผ้ใู ห้ ไม่เบียดเบยี น และไมเ่ สพสง่ิ ที่นอกเหนือจากปัจจัยสีโ่ ดยไม่ จาเปน็ เช่นกามคุณ 5 เพราะแม้ไม่เสพกามคุณ มนุษยก์ ็สามารถดารงชีวิตอย่ไู ด้ สมั มาอาชวี ะของผู้ บวชคอื ไมเ่ สพบริโภคเกนิ จาเปน็ เชน่ ดกู ารละเลน่ แต่งตัว เปน็ ตน้  เล้ยี งชพี ชอบ หมายถงึ การทามาหากนิ ดว้ ยอาชีพท่สี ุจรติ  ฆราวาส สัมมาอาชีวะ หมายถงึ การเว้นมจิ ฉาอาชวี ะ อนั ไดแ้ ก่ การเลี้ยงชีพไม่ชอบ คือการ แสวงหาปัจจยั มาบริโภคทม่ี ชิ อบ คือการโกงหรอื หลอกลวง เวน้ การประจบสอพลอ การบีบบังคับขู่ เข็ญ และการต่อลาภดว้ ยลาภ หรอื ก็คือการแสวงหาลาภโดยไมป่ ระกอบด้วยความเพียร (สมั มาวายามะ ) คอื ขเี้ กยี จ อยากได้มางา่ ยๆโดยไมอ่ าศัยกาลังแห่งสติปัญญาและแรงกาย ซา้ โลภ จนไมช่ อบธรรม เช่น เบยี ดเบียนลกู จา้ ง และทาลายสิง่ แวดลอ้ ม สังคม เพ่ืออยา่ งได้มาก เสยี ให้ น้อย  รวมถึงการไม่ประกอบมจิ ฉาอาชีวะ 5 ประเภท ดงั นี้ o สัตถวณิชชา คอื การขายอาวุธ ได้แก่ อาวุธปืน อาวุธเคมี ระเบดิ นิวเคลียร์ อาวุธอน่ื ๆ เปน็ ตน้ อาวุธเหลา่ น้ีหากมีเจตนาเพื่อทารา้ ยกนั จะก่อให้เกิดการทาลายล้างซง่ึ กนั และกัน โลกจะไมเ่ กดิ สันติสุข o สตั ตวณชิ ชา หมายถงึ การค้าขายมนุษย์ ได้แก่ การคา้ ขายเด็ก การค้าทาส ตลอดจนการใช้ แรงงานเดก็ และสตรอี ย่างทารณุ รวมถึงการขายตวั หรอื ขายบริการทางเพศทั้งของตวั เองและผอุ้ นื่

o มังสวณิชชา หมายถงึ ค้าขายสัตว์เป็น สาหรับฆา่ เพื่อเปน็ อาหารเปน็ การสง่ เสรมิ ให้ทาผิดศลี ข้อท่ี 1 คอื การฆ่าสัตวต์ ัดชีวิต o มัชชวณิชชา หมายถึง การคา้ ขายน้าเมา ตลอดจนการค้าสารเสพติดทุกชนิด รวมถึงการเสพเอง o วสิ วณชิ ชา หมายถงึ การค้าขายยาพิษ ซึง่ เป็นอันตรายตอ่ ผ้ใู ช้ รวมทั้งเปน็ อนั ตรายต่อสตั ว์ 6.สมั มาวายามะ สมั มาวายามะเป็นหนงึ่ ในมรรค 8 หรอื มรรคมีองคแ์ ปด เพยี รชอบ เกดิ ฉันทะพยายาม ปรารภ ความเพยี ร ประคองจติ ไว้ ต้งั จิตไว้  เพื่อมใิ หอ้ กศุ ลธรรมอนั ลามกทย่ี งั ไมเ่ กดิ ไมบ่ ังเกิดขน้ึ  เพอ่ื ละอกศุ ลธรรมอนั ลามกที่บังเกิดขึ้นแลว้  เพอ่ื ใหก้ ุศลธรรมทย่ี งั ไมเ่ กิดบังเกิดขนึ้  เพ่อื ความตั้งอย่ไู ม่เลอื นหาย เจรญิ ยง่ิ ไพบูลย์ มขี น้ึ เตม็ เปี่ยมแห่งกศุ ลธรรมที่บังเกดิ ขึ้นแล้ว การจะเกิดสัมมาสติ ตอ้ งอาศัยความเพียรพยายามกาหนดสติอยา่ งต่อเนอ่ื งสมา่ เสมอ จนเกดิ เปน็ สัมมาสมาธิ ดังนัน้ สัมมาวายามะจงึ ตอ้ งมีอย่หู นา้ สัมมาสติ 7.สัมมาสติ สัมมาสติ คือการมีสติกาหนดระลึกรอู้ ยเู่ ปน็ นจิ ว่า กาลังทาอะไรอยู่ กาหนดรู้สภาวะทเ่ี กิดขนึ้ จริง ในขณะปัจจบุ นั ในสภาวะทัง้ 4 คอื กาย เวทนา จติ และธรรม ตามความจากัดความแบบพระสูตร คอื หลกั ธรรมทเ่ี รยี กว่าสติปัฏฐาน ๔ แบ่งออกเป็น 4 คอื  กายานปุ ัสสนาสตปิ ฏั ฐาน การกาหนดระลึกรู้ในกาย คอื อริ ยิ าบถ 4 การเคล่ือนไหว (อานาปาน บรรพ อิริยาปถบรรพ สัมปชัญญบรรพ ปฏิกลู มนสิการบรรพ ธาตมุ นสกิ ารบรรพ นวสวี ถิกาบรรพ)  เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การกาหนดระลึกร้ใู นเวทนา คอื เวทนาทางกาย ทางใจ สุข ทกุ ข์ อุเบกขา  จติ ตานปุ สั สนาสติปัฏฐาน การกาหนดระลึกรู้ในจติ จติ มีโทสะรู้ มรี าคะรู้ มีโมหะรู้ ฯลฯ  ธัมมานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน การกาหนดระลึกรู้ในธรรม คือ สัญญา(ความนกึ )และสังขาร(ความคิด) นวิ รณ์ ๕ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ อายตนะภายในและภายนอก ๖ โพชฌงค์ ๗ อรยิ สัจ ๔

(สัมมาสติ เปน็ ไฉน ภกิ ษุในธรรมวินัยนี้ พจิ ารณาเห็นกายในกายอยู่ มคี วามเพียร มีสมั ปชญั ญะ มี สติ กาจดั อภิชฌา และโทมนสั ในโลกเสยี ได้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ พิจารณาเหน็ จิต ในจติ อยู่ ฯลฯ พิจารณา เหน็ ธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ กาจดั อภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้ อนั นเ้ี รียกว่า สมั มาสติ ฯ) 8.สัมมาสมาธิ สมั มาสมาธิ แปลว่า สมาธชิ อบ คือความตงั้ ใจมนั่ โดยถูกทาง โดยการที่กศุ ลจิตมีอารมณ์เป็นอัน เดยี ว (ความต้ังมนั่ แห่งกศุ ลจิตในในอารมณ์อนั ใดอนั หน่งึ ไม่ฟุ้งซา่ น) เข้าถึง ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตตยิ ฌาน และ จตุตถฌาน (จิตต้งั ม่ันในฌานทง้ั 4 นี้ ส่วนอรูปฌาน)ทง้ั 4ท่านจดั เข้าในจตุตถฌาน ตามอารมณท์ อ่ี รปู ฌานมเี จตสิกทเ่ี ข้ามาประกอบในจิต คือ อุเบกขาเจตสกิ และเอกคั คตาเจตสิก เชน่ เดยี วกับจตตุ ถฌาน สมั มาสมาธิมีทงั้ หมด 4 ประการด้วยกนั คอื  จิตสงัดแลว้ จากกามท้ังหลาย สงัดแลว้ จากกรรมท่เี ป็นอกศุ ลธรรมท้ังหลาย เข้าถงึ ปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวจิ าร มีปีตแิ ละสขุ อันเกิดจากวิเวก  เพราะความท่ีวิตกวิจารทัง้ สองระงบั ลง เขา้ ถงึ ทตุ ิยฌาน เป็นเครอ่ื งผอ่ งใสแห่งใจในภายใน ให้ สมาธิเปน็ ธรรมอนั เอกผดุ ข้นึ ไมม่ วี ติ กวจิ าร มีแต่ปตี ิและสุขอันเกิดจากสมาธิ  เพราะความจางคลายไปแห่งปตี ิ เป็นผอู้ ยู่อเุ บกขา มีสตแิ ละสัมปชัญญะ และเสวยสขุ ด้วยนาม กาย มสี ติ อยเู่ ปน็ ปรกตสิ ุข เข้าถึงตตยิ ฌาน  เพราะละสขุ และทกุ ข์เสียได้ เพราะความดับไปแหง่ โสมนัสและโทมนสั ทงั้ สอง เข้าถงึ จตุตถฌาน ไมม่ ีทุกข์ ไมม่ ีสุข มแี ตค่ วามทสี่ ติเป็นธรรมชาตบิ ริสทุ ธ์ิเพราะอุเบกขา ระดบั จิตวญิ ญาณ (SOUL) การท่มี นษุ ย์จะหลุดพ้นจากสังสารวฏั ไดจ้ ึงต้องปฏิบตั ิตามอรยิ มรรคมีองค์8 ดงั เช่นทา่ น พทุ ธทาสภิกขุไดก้ ลา่ วสอนและแนะนาใหร้ ู้จักระวัง กระแสปฏจิ จสมุปบาท สายเกดิ ทุกขต์ รง กระบวนการรบั รู้ทาง “ผัสสะ” มาเน้นย้ามากเป็นพเิ ศษ ถ้ามสี ติปญั ญาร้เู ท่าทันผสั สะก็ จะสามารถ ดบั ทุกขห์ ลดุ พ้นจากกรรมได้ซ่ึงหลักปฏิบตั ใิ นอรยิ มรรคมีองค์8 กล่าวโดยยอ่ กค็ ือ ศีล สมาธิ ปญั ญา

และกล่าวย่อได้อกี เป็นสมถะและวปิ ัสสนา หรือ รูปกับนาม เมอื่ ปฏบิ ตั ิตาม แล้ว มนษุ ยย์ ่อมได้ ประโยชน์ปจั จบุ นั ประโยชน์ด้านคุณคา่ ชีวติ ประโยชนท์ ี่เปน็ สาระแท้จริงของ ชีวติ รแู้ จ้งสภาวะของ สงิ่ ท้งั หลายตามความเปน็ จริง รู้เท่าทนั คติธรรมดาของสังขารธรรม ไม่ตก เปน็ ทาสของโลกและ ชวี ิต มีจิตใจเป็นอิสระโปร่งโลง่ ผอ่ งใส ไม่ถกู บบี ค้นั คบั ขอ้ งจากัดด้วยความ ยึดติดถือมน่ั หวนั่ หวาด ของตนเอง ปราศจากกิเลสเผาลนท่ที าใหเ้ ศร้าหมองข่นุ มวั อยอู่ ยา่ งไร้ ทุกข์ประจักษแ์ จง้ ความสขุ ประณีตภายในทสี่ ะอาดบริสุทธสิ์ นิ้ เชิงอันประกอบพรอ้ มด้วยความ สงบเยอื กเยน็ สว่างไสวเบิกบาน โดยสมบูรณ์ MAPPING “อริยมรรค 8 เพ่อื การหลดุ พน้ ” สมั มาวาจา สมั มาวายามะ สมั มาทิฏฐิ หลดุ พน้ สมั มากมั มนั ตะ สมั มาสติ สมั มาสงั กปั ปะ สงั สารวฏั สมั มาอาชวี ะ สมั มาสมาธิ เอกสารอา้ งองิ /บรรณานุกรม พระไตรปฎิ ก เล่มท่ี ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค วิภังคสูตร อรยิ มรรค ๘ เนือ้ ความพระไตรปฎิ ก เลม่ ที่ ๑๙ บรรทดั ท่ี ๑๗๔-๒๑๐ หน้าท่ี ๘-๙.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook