ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู เรื่อง ความสมั พันธของสิ่งมชี วี ิตในระบบนเิ วศ โดย นางสาวจฑุ ารตั น วเิ ศษ กลมุ สาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี โรงเรียนโพธสิ มั พนั ธพทิ ยาคาร อําเภอบางละมงุ จังหวดั ชลบรุ ี สังกัด สาํ นกั งานเขตพื้นการศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 18
ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพนั ธ์ของสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศ สาระสําคญั ส่ิงมีชีวติ ทีอ่ าศยั อยใู่ นระบบนิเวศหน่ึงๆ ยอ่ มมีความสมั พนั ธซ์ ่ึงกนั และกนั ระหวา่ งส่ิงมีชีวติ กบั ส่ิงมีชีวติ ดว้ ยกนั เองและระหวา่ งส่ิงมีชีวติ กบั สภาพแวดลอ้ มทส่ี ิ่งมีชีวติ น้นั อาศยั อยสู่ ภาพแวดลอ้ มดงั กล่าวน้ี องคป์ ระกอบของระบบนิเวศมี 2 ส่วน คอื องคป์ ระกอบที่ไม่มีชีวติ และองคป์ ระกอบที่มีชีวติ ส่ิงมีชีวติ และ ไม่มีชีวติ เหล่าน้ีมีความสมั พนั ธก์ นั เฉพาะตวั เกิดเป็นระบบนิเวศท่ีประกอบดว้ ย ผผู้ ลิต ผบู้ ริโภค และผยู้ อ่ ย สลาย ซ่ึงมีการถ่ายทอดจากแสงอาทิตย์ โดยผผู้ ลิตทาํ การสงั เคราะหแ์ สงไดผ้ ลผลิตเป็ นอาหารทส่ี ่งตอ่ ให้ ผบู้ ริโภคและตอ่ ไปยงั ผยู้ อ่ ยสลาย เกิดเป็นโซ่อาหารและสายใยอาหาร สาระการเรียนรู้ 1. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ กบั ปัจจยั ทางกายภาพ 2. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ กบั ปัจจยั ทางชีวภาพ 3. การถ่ายทอดพลงั งาน จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความสมั พนั ธข์ ององคป์ ระกอบในระบบนิเวศดา้ นการถ่ายทอดพลงั งาน 2. อธิบายความหมายของโซ่อาหาร สายใยอาหารและพรี ะมืดมวลชีวภาพ
แบบทดสอบก่อนเรียน คาํ ชี้แจง จงเลือก คาํ ตอบทถี่ ูกตอ้ งทีส่ ุดเพยี งคาํ ตอบเดียว 1.สภาพระบบนิเวศในขอ้ ใดท่ีนบั ไดว้ า่ มีความสมบรู ณ์มากท่ีสุด ก.มีผผู้ ลิตและผบู้ ริโภคลาํ ดบั ที่ 1 ข.มีสตั วก์ ินพชื นอ้ ย มีผลู้ ่าจาํ นวนมาก ค.ผลู้ ่ามีจาํ นวนนอ้ ยและมีสตั วก์ ินพชื จาํ นวนมาก ง.มีผผู้ ลิต ผบู้ ริโภคหลายลาํ ดบั ข้นั และมีสตั วก์ ินพชื จาํ นวนมาก 2. ความสมั พนั ธข์ องสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศทม่ี ีการกินตอ่ กนั เป็ นทอดๆ ตามลาํ ดบั ความสมั พนั ธน์ ้ีคอื ขอ้ ใด ก. ห่วงโซ่อาหาร ข. สายใยอาหาร ค. ห่วงโซ่ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ ง. สายใยความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ 3. ในระบบนิเวศหน่ึงประกอบดว้ ย หญา้ หนู กระต่าย สุนขั จิ้งจอก เสือ นกฮูก เห็ด รา ขอ้ ใดไม่ถูกตอ้ ง ก. หญา้ เป็นผผู้ ลิต ข. หนูและกระตา่ ยเป็นผบู้ ริโภคพชื ค. สุนขั จิ้งจอกและเสือเป็นผบู้ ริโภคสตั ว์ ง. เห็ดและรา เป็นผเู้ ปล่ียนสารอนินทรียใ์ หเ้ ป็นสารอินทรีย์ 4. ผีเส้ือวางไขบ่ นใบผกั กาด ไขฟ่ ักเป็นหนอนกินใบผกั กาด นกกระจอกมาจิกกินหนอน แมวตะครุบ นกกระจอกเป็นอาหาร ขอ้ ใดเป็นความสมั พนั ธข์ องสิ่งมีชีวติ ในห่วงโซ่อาหารไดถ้ ูกตอ้ ง ก.ผกั กาด → หนอน→ แมว → นกกระจอก ข. ผกั กาด → หนอน→ นกกระจอก → แมว ค.หนอน→ ผกั กาด → แมว → นกกระจอก ง. แมว → นกกระจอก → หนอน → ผกั กาด 5. จากขอ้ 4 ผบู้ ริโภคสัตว์ คอื ส่ิงมีชีวติ ใด ข. นกและแมว ก.ผเี ส้ือและแมว ง. นก แมว ผีเส้ือ ค.ผเี ส้ือและนก
6. ในระบบนิเวศซ่ึงประกอบดว้ ย เหยย่ี ว งู กระรอก หญา้ และตก๊ั แตน สิ่งมีชีวติ ในขอ้ ใดมีมวลชีวภาพ นอ้ ยทส่ี ุด ก. งู ข. เหยย่ี ว ค. หญา้ ง. กระรอกและตกั๊ แตน 7. แผนผงั โซ่อาหารตอ่ ไปน้ี ส่ิงมีชีวติ A --> ส่ิงมีชีวติ B --> ส่ิงมีชีวติ C --> ส่ิงมีชีวติ D จากแผนผงั โซ่อาหาร ถา้ สิ่งมีชีวติ C ตายหมด จะมีเหตุการณ์ใดเกิดข้ึนไดบ้ า้ ง ก. ส่ิงมีชีวติ A มีจาํ นวนเพมิ่ ข้นึ ข. ส่ิงมีชีวติ B มีจาํ นวนลดลง ค. ส่ิงมีชีวติ D มีจาํ นวนเพมิ่ ข้นึ ง. ส่ิงมีชีวติ B มีจาํ นวนเพมิ่ ข้ึน 8. ส่ิงมีชีวติ ใดมีความสมั พนั ธเ์ ช่นเดียวกบั เหาฉลามบนตวั ฉลาม ก. มดดาํ กบั เพล้ีย ข. ผเี ส้ือกบั ดอกไม้ ค. นกทาํ รงั บนตน้ ไม้ ง. ไรโซเบียม ทีป่ มรากพชื ตระกลู ถวั่ 9. นกเอ้ียงเกาะบนหลงั ควายเป็นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ แบบใด ก. ภาวะอิงอาศยั ข. ภาวะพ่งึ พากนั ค. ภาวะยอ่ ยสลาย ง. ภาวะไดป้ ระโยชน์ร่วมกนั 10.ในระบบนิเวศสวนสม้ (A ) พบสิ่งมีชีวติ 3 ชนิดคือ แมลงวนั ทอง (B) ตก๊ั แตนตาํ ขา้ ว (C) และนก (D) ขอ้ ใดแสดงพรี ะมิดจาํ นวนและพรี ะมิดมวลชีวภาพของระบบนิเวศสวนสม้ 1 23 4 ก. 1 และ 2 ข. 3 และ 4 ค. 3 และ 1 ง. 2 และ 4
ความสัมพนั ธ์ของสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศ ส่ิงมีชีวติ ที่อาศยั อยใู่ นระบบนิเวศหน่ึงๆ ยอ่ มมีความสมั พนั ธซ์ ่ึงกนั และกนั ระหวา่ งส่ิงมีชีวติ กบั ส่ิงมีชีวติ ดว้ ยกนั เองและระหวา่ งส่ิงมีชีวติ กบั สภาพแวดลอ้ มท่สี ิ่งมีชีวติ น้นั อาศยั อยสู่ ภาพแวดลอ้ มดงั กล่าวน้ี องคป์ ระกอบของระบบนิเวศมี 2 ส่วน คอื องคป์ ระกอบท่ีไม่มีชีวติ และองคป์ ระกอบทมี่ ีชีวติ 1. ส่วนประกอบทีไ่ ม่มีชีวิต ( Abiotic environment ) ไดแ้ ก่ อากาศ อุณหภมู ิ แสง สี กล่ิน ความ เป็ นกรด - เบส ความช้ืน แรงดนั พลงั งาน หรือความดนั บรรยากาศ ส่ิงเหล่าน้ีลว้ นมีความสมั พนั ธก์ บั ส่ิงมีชีวติ ทอี่ ยใู่ นบริเวณน้นั ท้งั ส้ิน เช่น ในกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื จาํ เป็ นตอ้ งใช้ น้าํ แก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ และพลงั งานแสง เป็นตน้ 2. ส่วนประกอบท่ีมีชีวติ ( Biotic componet ) ไดแ้ ก่ จุลินทรีย์ พชื และสตั วส์ ่ิงมีชีวติ เหล่าน้ี นอกจากจะมีความสมั พนั ธก์ บั ส่ิงมีชีวติ ชนิดอื่นในระบบนิเวศเดียวกนั แลว้ ยงั ทาํ หนา้ ที่เชิงอาหารท่แี ตกต่าง กนั อีกดว้ ย ส่ิงมีชีวติ ในระบบนิเวศ จาํ แนกตามลกั ษณะกิจกรรมหนา้ ท่ีในระบบนิเวศได้ 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่ ผู้ผลิต (Producer) หมายถึง ส่ิงมีชีวติ ที่สามารถสรา้ งอาหารไดเ้ อง พวกท่ีสามารถสงั เคราะหด์ ว้ ย แสงได้ ผู้บริโภค (Consumer) หมายถึง ส่ิงมีชีวติ ทไ่ี ม่สามารถสรา้ งอาหารไดเ้ อง ตอ้ งกินส่ิงมีชีวติ ชนิดอืน่ ซ่ึงเป็ นการถ่ายทอดพลงั งาน แบ่งออกไดเ้ ป็น 2.1 สตั วก์ ินพชื (Herbivore) ผบู้ ริโภคที่กินพชื และมีขบวนการในการยอ่ ยเน้ือเยอื่ ของพชื มาใช้ เช่น ชา้ ง มา้ ววั ควาย แพะ แกะ และแมลงบางชนิด เป็นตน้ 2.2 สตั วก์ ินสตั ว์ (Carnivore) ผบู้ ริโภคท่กี ินเน้ือเป็ นอาหาร เช่น เสือ สิงโต กบ จ้ิงจก เป็นตน้ 2.3 สตั วก์ ินท้งั พชื และสตั ว์ (Omnivor) ผบู้ ริโภคที่กินไดท้ ้งั พชื และสตั ว์ เช่น คน ไก่ เป็นตน้ 2.4 สตั วก์ ินซาก ผบู้ ริโภคทีก่ ินซากสตั วท์ ต่ี ายแลว้ เป็ นอาหาร แบ่งไดเ้ ป็ น 2 กลุ่ม พวกกินซากสตั ว์ (Scarvenger) ซ่ึงจะกินของทเ่ี ร่ิมเน่าเป่ื อยแลว้ เช่น แร้ง หนอนกินซากหมาเน่า เป็นตน้ และผบู้ ริโภค เศษอินทรียสาร (Detritivore) เช่น ไสเ้ ดือน กิ้งกือ หอย ปลวก มอด เป็นตน้ ผู้ย่อยสลาย (Decomposer) หมายถึง ส่ิงมีชีวติ ทีไ่ ม่สามารถสร้างอาหารเองได้ ส่ิงมีชีวติ เหล่าน้ีจะ กินอาหารจากซากสิ่งมีชีวติ อ่ืนๆ ส่ิงมีชีวติ ทท่ี าํ หนา้ ที่เป็ นผยู้ อ่ ยสลาย ไดแ้ ก่ จุลินทรีย์ พวกเห็ด รา ยสี ต์ แบคทีเรีย เป็ นตน้
ภาพที่ 1 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งองคป์ ระกอบทมี่ ีชีวติ กบั องคป์ ระกอบท่ไี ม่มีชีวติ ในระบบนิเวศ 1. ความสัมพนั ธ์ระหว่างส่ิงมชี ีวิตกับปัจจัยทางกายภาพ อุณหภูมิ มีความสาํ คญั ต่อการดาํ รงชีวติ ของส่ิงมีชีวติ โดยเป็ นปัจจยั ในการควบคมการเจริญเติบโต การสืบพนั ธแ์ ละการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวติ นอกจากน้ีอุณหภูมิยงั มีผลทาํ ใหส้ ่ิงมีชีวติ มีการปรับตวั ทางดา้ นโครงสรา้ ง เช่น การปรับตวั ของหมีข้วั โลก หรือสตั วใ์ นเขตหนาวมีขนยาวปกคลุม มีช้นั ไขมนั ใต้ ผวิ หนงั หนา และการปรับตวั ดา้ นพฤตกิ รรม เช่น การอพยพของนกนางแอ่นบา้ น (Hirundo rustica) โดย นกชนิดน้ีพบเห็นไดเ้ กือบทว่ั ทุกดินแดนของโลก เช่น ทวปี ยโุ รป แอฟริกา เอเชีย อเมริกา และตอนเหนือ ของทวปี ออสเตรเลีย ในฤดูหนาวจะยา้ ยถิ่นลงมาอยบู่ ริเวณใกลเ้ สน้ ศนู ยส์ ูตรในแหล่งหากินทีอ่ บอุ่นและมี อาหารสมบรู ณ์กวา่ เป็นตน้ แสง มีความสาํ คญั ตอ่ ส่ิงมีชีวติ ในระบบนิเวศเป็ นปัจจยั จาํ กดั ของพชื โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ พชื ที่เจริญ ในระดบั ความลึกต่างกนั ในทะเล แสงมีผลตอ่ การสร้างอาหารของพชื มีผลต่อการสืบพนั ธุข์ องพชื และสตั ว์ บางชนิด เช่น สตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้าํ นมและนกในเขตอบอุ่นและเขตหนาว ระบบสืบพนั ธุข์ องสตั วพ์ วกน้ีจะ ข้ึนอยกู่ บั ช่วงเวลาทไ่ี ดร้ ับแสงในแตล่ ะฤดู โดยในฤดูใบไมร้ ่วงปริมาณแสงทม่ี ีผลต่อวนั ลดลงทาํ ให้ สตั วเ์ ลือดอุ่นมีการผลิตฮอร์โมนเพศท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การสืบพนั ธุเ์ พมิ่ ข้ึน สตั วเ์ ลือดอุ่นจะเร่ิมมีการผสมพนั ธุ์ ในฤดูใบไมร้ ่วงและออกลูกในช่วงฤดูใบไมผ้ ลิเม่อื อุณหภมู ิอุ่นข้นึ และอาหารอุดมสมบรู ณ์ นอกจากน้ีแสงมี ผลตอ่ การเกิดพฤตกิ รรมต่างๆ เช่น การหุบและบานของดอกไม้ การออกหากินของสตั ว์ เป็ นตน้
ความชื้น มีความสาํ คญั ตอ่ ระบบนิเวศ เนื่องจากเป็ นปริมาณน้าํ ท่มี อี ยใู่ นสภาพแวดลอ้ มแต่ละแห่ง และมีปัจจยั ทเ่ี ป็นตวั กาํ หนดสภาพแวดลอ้ ม ความอุดมสมบรู ณ์ ลกั ษณะ และชนิดของระบบนิเวศน้นั ๆ นอกจากน้ีความช้ืนยงั มีผลต่อการปรบั ตวั ของส่ิงมีชีวติ บางชนิดอีกดว้ ย เช่น หนูแกงการู (kangaroo rat) ซ่ึง เป็ นสตั วท์ ่พี บอาศยั อยทู่ างตะวนั ตกเฉียงใตข้ องทวปี อเมริกาซ่ึงเป็ นทะเลทราย พบวา่ โดยปกติจะกินเมลด็ พชื ท่ีแหง้ เป็ นอาหารเท่าน้นั โดยไม่กินน้าํ เลยแต่ร่างกายสามารถปรับตวั ใหม้ ีชีวิตอยรู่ อดไดโ้ ดยการไดร้ บั น้าํ จาก กระบวนการเมแทบอลิซึมของเซลลแ์ ละมีการสูญเสียน้าํ ออกจากร่างกายนอ้ ยมากจากการระเหยของน้าํ ใน ระหวา่ งทม่ี ีการแลกเปลี่ยนแกส๊ ของร่างกายน้นั นอกจากน้ีพบวา่ มีส่ิงมีชีวติ ท่อี าศยั อยใู่ นทะเลทรายอีกหลาย ชนิดทีม่ ีการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม ภาพท่ี 2 การปรบั ตวั ของส่ิงมีชีวติ ในทะเลทราย แก๊ส แกส๊ ทีส่ าํ คญั สาํ หรบั สิ่งมีชีวติ คือ ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และไนโตรเจน โดยเฉพาะแก๊สออกซิเจนมีความสาํ คญั ในการดาํ รงชีวติ ของสิ่งมีชีวติ เกือบทกุ ชนิด สิ่งมีชีวติ ท่ีอยบู่ นบกจะ ไดร้ ับแกส๊ ออกซิเจนอยา่ งพอเพยี ง แต่ส่ิงมีท่ีอยใู่ นน้าํ แก๊สออกซิเจนจะเป็ นปัจจยั จาํ กดั ในการดาํ รงชีวติ ท่ี สาํ คญั ดิน เป็นที่อยอู่ าศยั และใหแ้ ร่ธาตุแก่พชื และสตั ว์ องคป์ ระกอบสาํ คญั ของดินคอื แร่ธาตใุ นดิน อากาศ ความช้ืน และปริมาณสารอินทรียใ์ นดิน ดงั น้นั ลกั ษณะของดินจงึ มีอิทธิพลต่อพชื และสตั วม์ าก สตั วไ์ ดร้ บั แร่ธาตุจากการบริโภคพชื หรือบริโภคแร่ธาตุจากดินโดยตรง เช่น สตั วป์ ่ าไดร้ ับแร่ธาตุจากการ กินดินโป่ ง เป็นตน้ ความเป็ นกรด - เบสของดินและนาํ้ เป็ นปัจจยั ที่เกิดจากปฏสิ มั พนั ธข์ องส่ิงมีชีวติ กบั ท่อี ยอู่ าศยั แตล่ ะ แห่ง ตวั อยา่ งเช่น การสลายสารอินทรียข์ องแบคทีเรียและราทาํ ใหบ้ ริเวณน้นั มีสภาพของความเป็ นกรดสูง หรือการขบั ถ่ายของเสียของสิ่งมีชีวติ บางชนิด เช่น การขบั ถ่ายของเสียของสตั วป์ ี กซ่ึงมีกรดยรู ิกลงในดิน และในน้าํ ในบริเวณน้นั เป็นเวลานานทาํ ใหบ้ ริเวณน้นั มีสภาพ pH คอ่ นขา้ งต่าํ และเป็ นกรด เป็ นตน้
2. ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งมชี ีวิตกบั ปัจจยั ทางชีวภาพ ในระบบนิเวศหน่ึงประกอบดว้ ยส่ิงมีชีวติ ที่มีความหลากหลายแตกตา่ งกนั มากมาย โดยส่ิงมีชีวติ แต่ละ ชนิดจะมีความสมั พนั ธต์ อ่ กนั อยา่ งซบั ซอ้ นและอาจก่อใหเ้ กิดผลกระทบระหวา่ งกนั ได้ ซ่ึงสามารถจาํ แนก ผลกระทบทเ่ี กิดจากความสมั พนั ธข์ องสิ่งมีชีวติ ได้ 3 ลกั ษณะ คือ ความสมั พนั ธแ์ บบไดร้ ับประโยชน์ (+) ความสมั พนั ธแ์ บบเสียประโยชน์ (-) และความสมั พนั ธแ์ บบไม่ไดร้ ับและไม่เสียประโยชน์ (0) ความสมั พนั ธข์ องส่ิงมีชีวติ แตล่ ะชนิดท่ีอยรู่ ่วมกนั ในระบบนิเวศจะมีรูปแบบทแ่ี ตกต่างกนั โดยสามารถจาํ แนกไดเ้ ป็นรูปแบบตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. ภาวะเป็ นกลาง (neutralism; 0/0) เป็นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมีชีวติ ทีไ่ ม่เกี่ยวขอ้ งกนั แต่อาศยั ในระบบนิเวศเดียวกัน จึงไม่มีส่ิงมีชีวิตฝ่ ายใดท่ี ไดร้ ับหรือเสียประโยชน์ ตวั อยา่ งเช่น ไสเ้ ดือนกบั เสือ ผเี ส้ือ กบั ลิง มดกบั ผ้งึ ผเี ส้ือกบั กอหญา้ เป็นตน้ 2. ภาวะการล่าเหยอื่ (predation;+/-) ภาพท่ี 2 ภาวะเป็ นกลาง เป็นความสมั พนั ธ์ทีม่ ีฝ่ายหน่ึงเป็นผไู้ ดร้ ับประโยชน์ (ผเี ส้ือกบั กอหญา้ ) ภาพที่ 3 ภาวะการล่าเหยอ่ื เพยี งฝ่ ายเดียว เรียกส่ิงมีชีวติ ท่ีเป็ นผไู้ ดร้ ับประโยชน์วา่ ผูล้ ่า (เสือกินกวาง) (predator) และเรียกส่ิงมีชีวิตอีกชนิดท่เี ป็ นผูเ้ สียประโยชน์ ว่า ผูถ้ ูกล่า หรือ เหย่ือ (prey) โดยความสัมพนั ธ์ระหว่าง ส่ิงมีชีวิตแบบล่าเหยอ่ื น้ี ส่วนใหญ่ผูล้ ่าจะกินผูถ้ ูกล่าเป็ น อาหารเพอ่ื การดาํ รงชีวติ ตวั อยา่ งเช่น นกกินแมลง ปลาฉลามกนั แมวน้าํ และเสือกินกวาง เป็ นตน้ 3. ภาวะปรสิต (paratism; +/-) เป็ นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ สองชนิดที่มีขนาดแตกต่างกนั โดยส่ิงมีชีวติ ขนาดใหญ่กวา่ เรียกวา่ ผถู้ ูกอาศยั หรือเจา้ บา้ น (host) จะเป็นท่อี ยอู่ าศยั ของสิ่งมีชีวติ อีกชนิดท่ขี นาดเล็กกวา่ เรียกวา่ ผอู้ าศยั หรือ ปรสิต (parasite) โดยฝ่ายเจา้ บา้ นจะเป็นฝ่ายเสียประโยชนจ์ ากการถูกแยง่ อาหาร หรือถูกใชส้ ่วนหน่ึงของ ร่างกายเป็นอาหารของปรสิต ซ่ึงอาจส่งผลใหเ้ กิดอาการเจบ็ ป่ วยในเจา้ บา้ นได้
4. ภาวะการแก่งแย่งแข่งขัน (coompetition; -/-) เป็ นความสมั พนั ธข์ องสิ่งมีชีวติ ท่ีอาศยั อยรู่ ่วมกนั ในพน้ื ท่ีเดียวกนั อาจเป็ นสิ่งมีชีวติ ชนิดเดียวกนั หรือต่างชนิดกนั โดยสิ่งมีชีวิตท้งั สองมีความตอ้ งการใชป้ ัจจยั ในการดาํ รงชีวติ ท่ีเหมือนกนั ดงั น้นั หาก ระบบนิเวศอยใู่ นสภาวะทข่ี าดแคลนปัจจยั ในการดาํ รงชีวติ น้นั สิ่งมีชีวติ ท้งั สองชนิดก็ตอ้ งแก่งแยง่ หรือ แขง่ ขนั กนั ซ่ึงในการแขง่ ขนั ก็จะทาํ ใหส้ ิ่งมีชีวติ ท้งั คูเ่ สียประโยชน์จากการแขง่ ขนั และหากเป็ นการ แขง่ ขนั ของส่ิงมีชีวติ ชนิดเดียวกนั ก็จะก่อใหเ้ กิดผลเสียจากการแข่งขนั มากกวา่ การแข่งขนั ระหวา่ ง ส่ิงมีชีวติ ต่างชนิดกนั ตวั อยา่ งเช่น การแยง่ ตาํ แหน่งจ่าฝงู ของหมาป่ า การแยง่ กนั ล่าเหยอื่ ของสุนขั จ้งิ จอก กบั เสือ การแก่งแยง่ แข่งขนั ของเพรียงทะเล เป็นตน้ ภาพท่ี 4 การแก่งแยง่ แขง่ ขนั ของเพรียงทะเล 5. ภาวะการได้รับประโยชน์ร่วมกัน (protocooperation; +/+) ก. นกเอ้ียงบนหลงั ควาย เป็ นความสมั พนั ธข์ องสิ่งมีชีวติ ท่อี าศยั อยรู่ ่วมกนั ข. ปลาการ์ตูนกบั ดอกไมท้ ะเล ภาพที่ 5 ภาวะการไดร้ ับประโยชน์ โดยส่ิงมีชีวิตท้งั สองฝ่ ายจะไดร้ ับประโยชน์ท้งั คู่ อาจเป็ นการอยู่ ร่วมกนั ตลอดเวลาหรืออยรู่ ่วมกนั เพียงชว่ั ขณะหน่ึงก็ได้ และเม่ือ ส่ิงมีชีวิตท้งั สองชนิดแยกจากกัน ก็จะยงั สามารถดาํ รงชีพได้ ตามปกติ ตวั อยา่ งเช่น นกเอ้ียงบนหลงั ควาย ซ่ึงนกเอ้ียงจะอาศยั กินแมลงบนผวิ หนงั ควายหรือแมลงทบี่ นิ ข้ึนมาขณะท่คี วาย เหยยี่ บย่าํ พ้ืนดินเพือ่ หาอาหาร ส่วนควายจะไดร้ ับประโยชน์จาก การลดความราํ คาญจากแมลงทอ่ี ยตู่ ามร่างกาย หรือความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งปลาการ์ตูนจะอาศยั อยตู่ ามดอกไมท้ ะเลเพอื่ เป็ นทหี่ ลบภยั จากผูล้ ่า ขณะที่ปลาการ์ตูนก็จะคอยปกป้ องดอกไมท้ ะเลจากปลา บางชนิดทกี่ ินดอกไมท้ ะเลเป็นอาหาร
6. ภาวะพง่ึ พากนั (mutualism; +/+) เป็นความสมั พนั ธข์ องส่ิงมีชีวติ ทอี่ าศยั อยรู่ ่วมกนั โดยทีส่ ่ิงมีชีวติ ท้งั สองฝ่ ายจะไดร้ บั ประโยชน์ท้งั คู่ การอยรู่ ่วมกนั ลกั ษณะน้ีส่ิงมีชีวติ ท้งั คู่ตอ้ งอยรู่ ่วมกนั ตลอดไป ไม่สามารถแยกจากกนั ได้ ตวั อยา่ งเช่น ไลเคน (lichen) ซ่ึงเป็นภาวะการอยรู่ ่วมกนั แบบพ่งึ พาอาศยั ระหวา่ งรากบั สาหร่าย พบไดต้ ามบริเวณกอ้ นหิน หรือเปลือกไมท้ มี่ ีความช้ืน โดยสาหร่ายจะอาศยั เสน้ ใยของราช่วยยดึ เกาะ พรางแสง และอุม้ น้าํ ใหเ้ กิด ความช้ืน ในขณะทร่ี าจะอาศยั อาหารท่ไี ดจ้ ากการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของสาหร่ายเพอ่ื การดาํ รงชีวติ ภาพท่ี 6 ภาวะพ่งึ พากนั (ไลเคน) 7. ภาวะองิ อาศัยหรือภาวะเกอื้ กลู (commensalism; +/0) พชื ทีเ่ จริญเติบโตบนตน้ ไมใ้ หญ่ เช่น กลว้ ยไมบ้ นตน้ ไม้ กลว้ ยไมเ้ ป็ นพชื ที่เกาะอยบู่ นตน้ ไมอ้ ่ืนๆ โดยไม่ชอนไชรากลงไปเพอื่ แยง่ น้าํ หรืออาหารจากตน้ ไม้ โดยตน้ ไมใ้ หญไ่ ม่เสียประโยชน์ เหาฉลามกบั ปลาฉลาม เหาฉลามจะเคล่ือนทไี่ ปพร้อมกบั ปลาฉลามและไดร้ บั อาหารทเ่ี หลือจากปลาฉลาม ดว้ ย ส่วนปลาฉลามกไ็ มไ่ ดห้ รือเสียประโยชน์อะไรเป็ นความสมั พนั ธข์ องสิ่งมีชีวติ ทอ่ี าศยั อยรู่ ่วมกนั โดยมี ฝ่ ายหน่ึงไดร้ ับประโยชน์เพียงฝ่ ายเดียว ส่วนอีกฝ่ ายจะไม่ไดแ้ ละไม่เสียประโยชน์ตวั อยา่ งเช่น ปลาฉลามกบั เหาฉลาม โดยเหาฉลามเป็นปลาทีม่ อี วยั วะยดึ เกาะกบั ตวั ปลาฉลาม แต่ไม่ทาํ อนั ตรายแก่ปลาฉลาม และ เหาฉลามจะไดร้ บั ประโยชน์ดว้ ยการกินเศษอาหารทีห่ ลงเหลือจากปลาฉลาม ก. กลว้ ยไมบ้ นตน้ ไม้ ข. ฉลามกบั เหาฉลาม ภาพที่ 7 ภาวะอิงอาศยั หรือภาวะเก้ือกูล
ใบกจิ กรรม เรื่อง ความสัมพนั ธ์ของส่ิงมีชีวติ กบั ปัจจัยทางชีวภาพ ใหน้ กั เรียนยกตวั อยา่ งส่ิงมีชีวติ ความสมั พนั ธแ์ บบตา่ งๆ ทก่ี าํ หนดให้ ดงั ตอ่ ไปน้ี รูปแบบของความสัมพันธ์ สัญลกั ษณ์ ตัวอย่างของส่ิงมชี ีวติ 1. ภาวะพึงพากนั (mutualism) 2. การได้รับประโยชน์ร่วมกัน (protocooperation) 3. ภาวะอิงอาศัย (commensalisms) 4. การล่าเหยือ่ (predation)
5. ภาวะปรสิต (parasitism) 6. ภาวะแก่งแย่งแข่งขัน (competition)
3. การถ่ายทอดพลงั งาน การถ่ายทอดพลงั งานและการหมุนเวยี นสารในระบบนิเวศมีความสาํ คญั ต่อส่ิงมีชีวติ ในระบบนิเวศ เป็ นอยา่ งมาก เพราะสารตา่ งๆ ในระบบนิเวศไม่มีการสูญหายแต่มีการหมุนเวยี นนาํ มาใชใ้ หม่ในส่ิงมีชีวติ เกิดเป็นวฏั จกั ร ทาํ ใหร้ ะบบนิเวศเกิดความสมดุลทางธรรมชาติ นกั เรียนทราบหรือไม่วา่ การถ่ายทอด พลงั งานและการหมุนเวยี นสารในระบบนิเวศเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร 3.1 การถ่ายทอดพลงั งานในส่ิงมชี ีวิต ดงั ทน่ี กั เรียนทราบแลว้ วา่ ส่ิงมีชีวติ ในระบบนิเวศ แบ่งตามหนา้ ทอี่ อกไดเ้ ป็ นกลมุ่ คือ ผผู้ ลิต ผบู้ ริโภค และผสู้ ลายสารอินทรีย์ สิ่งมีชีวติ เหล่าน้ีมีความสมั พนั ธใ์ นระบบนิเวศในลกั ษณะของการกินตอ่ กนั เป็ น ทอดๆ ในรูปของโซ่อาหาร (food chain) และสายใยอาหาร (food web) การกินต่อกนั เป็ นทอดๆ น้ีทาํ ให้ เกิด การถ่ายทอดพลังงาน (energy flow) ในสิ่งมีชีวติ คาํ ถามนํา ผูผ้ ลิต ผบู้ ริโภค และผสู้ ลายสารอินทรียใ์ นโซ่อาหาร มีความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร รู้หรือไม่ การกนิ กนั เป็ นทอดๆ ในโซ่อาหารของส่ิงมชี ีวติ มลี ักษณะเป็ นลําดับข้ันของการกิน เช่น จากผู้ผลติ ไปสู่ผู้บริโภค จากผู้บริโภคลาํ ดบั ที่ 1 ไปสู่ผู้บริโภคลาํ ดับที่ 2 และจากผู้บริโภคลาํ ดับที่ 2 ไปสู่ผู้บริโภค ลาํ ดับที่ 3 เรียกลักษณะการกนิ เป็ นทอดๆ นี้ว่า ลาํ ดบั ข้ันการกนิ อาหาร (trophic level)
โซ่อาหารและสายใยอาหาร ถ้านักเรียนพิจารณาภาพที่ 8 จะเห็นว่า สัตว์ทุก ชนิดเป็ นส่วนหน่ึงของโซ่ อาหาร (food chain ) ซ่ึงเป็ น ลาํ ดบั ของสิ่งมีชีวติ ท่ีจะถูกส่ิงมีชีวิตในลาํ ดบั ถดั ไปกินเป็ น อาหาร ตาํ แหน่งของส่ิงมีชีวิตในโซ่อาหาร คือ ลําดับข้ัน อาหาร (tropic level) พชื ที่อยใู่ นลาํ ดบั แรกของข้นั อาหาร เรียกว่า ผูผ้ ลิตเนื่องจากสร้างอาหารให้พลังงานระดับ เร่ิมตน้ ของระบบและเรียกสตั วว์ า่ เป็ นผบู้ ริโภค ใน โซ่ อาหารเรียกสัตวก์ ินพืชวา่ ผู้บริโภคอนั ดบั ท่ี 1 หรือ ข้นั ปฐมภูมิ (primary consumer) เช่น ววั ชา้ ง กวาง กระต่าย เต่า ตก๊ั แตน ผีเส้ือ เป็ นตน้ ส่ วนผู้บริโภคอันดับ ท่ี 2 หรือข้ันทุติยภูมิ (secondary consumer) หมายถึงสัตวท์ ี่ กินสัตว์ เช่น งู แมว หนู และสุนัข เป็ นตน้ และยงั รวมท้งั สัตวท์ ี่กินท้งั พชื และสตั ว์ เช่น ไก่ นก และคน เป็ นตน้ ส่วนผู้บริโภคข้ันสุดท้าย (top consumer) เช่น เหยย่ี ว เสือ และสิงโต เป็ นตน้ คือสัตวท์ ี่กินสัตวเ์ ป็ นอาหาร และไม่มี สัตวช์ นิดใดกินสัตว์ชนิดน้ีอีกแล้ว อย่างไรก็ตามในโซ่ อาหารน้นั จะรวมถึง ผู้ย่อยสลาย ดว้ ย ภาพท่ี 8 โซ่อาหาร
สายใยอาหาร (food web) หมายถึง ชุดของโซ่อาหารจาํ นวนมากทีเ่ ชื่อมโยงกนั เพราะมีสตั วบ์ างชนิด กินสิ่งมีชีวติ หลายชนิด เช่น สตั วท์ กี่ ินเน้ือส่วนใหญก่ ินสตั วข์ นาดเลก็ ทกุ ชนิด สตั วก์ ินพชื อาจจะกินพชื หลาย ประเภทท้งั น้ีข้นึ อยกู่ บั ฤดูกาล ทาํ ใหโ้ ซ่อาหารโยงใยกลายเป็ นสายใยอาหาร ภาพท่ี 9 สายใยอาหาร ในธรรมชาตกิ ารกินต่อกนั เป็นทอดๆ ของส่ิงมีชีวติ พบวา่ มีความสมั พนั ธเ์ ชื่อมโยงกนั ซบั ซอ้ น ไม่ไดเ้ ป็ นลกั ษณะของโซ่อาหารเดี่ยวๆ เรียกโซ่อาหารทม่ี ีความซบั ซอ้ นน้ีวา่ สายใยอาหาร ซ่ึงนกั เรียนจะ ศกึ ษารายละเอียดไดจ้ ากกิจกรรมตอ่ ไปน้ี
ใบกจิ กรรม เร่ือง โซ่อาหารและสายใยอาหาร คาํ ชี้แจง ใหน้ กั เรียนพจิ ารณาภาพสายใยอาหารในระบบนิเวศแห่งหน่ึง ดงั ตอ่ ไปน้ี
จากภาพสายใยอาหาร นกั เรียนสามารถแยกโซ่อาหารไดท้ ้งั หมดกี่สาย อะไรบา้ ง ? สามารถจาํ แนกไดท้ ้งั หมด ........... สาย ดงั น้ี .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................
ในระบบนิเวศนอกจากมีโซ่อาหารทีเ่ ริ่มตน้ จากผผู้ ลิตผา่ นไปยงั ผบู้ ริโภคแลว้ น้นั พบวา่ ยงั มีโซ่อาหารอีก ประเภทหน่ึงทเ่ี ริ่มจากการยอ่ ยสลายซากพชื และสตั วข์ องผสู้ ลายสารอินทรียแ์ ลว้ ผา่ นต่อไปยงั ผบู้ ริโภคลาํ ดบั ตา่ งๆ เรียกโซ่อาหารและสายใยอาหารสารอินทรียป์ ระเภทน้ีวา่ โซ่อาหารและสายใยอาหารดีไทรทสั (detritus food chain and detritus food web) หรือ โซ่อาหารแซโพรไฟตกิ และสายใยอาหารแซโพรไฟตกิ (saprophytic food chain and saprophytic food wed) ภาพที่ 10 แผนภาพสายใยแบบดีหรือแซโพรไฟติก จะเห็นไดว้ า่ โซ่อาหารแตล่ ะสายมีชนิดและปริมาณของสิ่งมีชีวติ แต่ละลาํ ดบั ข้นั ของการกนิ มากนอ้ ย ตา่ งกนั สามารถเขยี นความสมั พนั ธแ์ ต่ละลาํ ดบั ข้นั ไดใ้ นรูปแบบของพรี ะมิด เรียกวา่ พรี ะมิดทางนิเวศวิทยา 3.2 พีระมดิ ทางนิเวศวิทยา เช่น พีระมิดจํานวน ( pyramid of numbers) ใชจ้ าํ นวนของสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศน้นั ๆ มาเขียนเรียงลาํ ดบั โดยผผู้ ลิตอยบู่ ริเวณฐาน ผบู้ ริโภคลาํ ดบั ตา่ งๆ กจ็ ะเรียงลาํ ดบั ต่อข้ึนไป มีหน่วยเป็ นจาํ นวนต่อตารางเมตร ภาพที่ 11 พรี ะมิดจาํ นวน
พรี ะมิดมวลชีวภาพในระบบนิเวศ ( pyramid of biomass ) มวลชีวภาพ คือ คอื น้าํ หนกั รวมของส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดทีอ่ ยใู่ นแหล่งทีอ่ ยหู่ น่ึง พชื มีมวลชีวภาพ มากกวา่ สิ่งมีชีวติ อ่ืนทอ่ี ยใู่ นพน้ื ทเ่ี ดียวกนั สิ่งมีชีวติ ในแต่ละลาํ ดบั ข้นั อาหารในโซ่อาหารจะมีจาํ นวนหรือ ปริมาณนอ้ ยกวา่ ลาํ ดบั ทอ่ี ยตู่ ่าํ กวา่ ส่ิงทก่ี ล่าวมาน้ีเรียกวา่ พีระมิดมวลชีวภาพ ภาพที่ 12 พรี ะมิดมวลชีวภาพ เมื่อพิจารณาภาพท่ี 12 จะเห็นวา่ ฐานของพรี ะมิดมวลชีวภาพ ซ่ึงเป็ นทุ่งหญา้ น้นั มีประมาณหญา้ หลายพนั กิโลกรัม เม่ือขยบั ข้นั มาในระดบั ผบู้ ริโภคข้นั ท่ี 1 (ตก๊ั แตน) มวลชีวภาพของตก๊ั แตนซ่ึงมีหลายร้อย กิโลกรัม จะมีปริมาณนอ้ ยกวา่ หญา้ แตเ่ ม่ือขยบั ข้นั สูงข้ึนมาอีกเป็นระดบั ผบู้ ริโภคข้นั ที่ 2 (หนู) มวลชีวภาพ ของหนูก็นอ้ ยลงไปอีก ซ่ึงอาจมีประมาณ 150 กิโลกรมั และมวลชีวภาพข้นั สุดทา้ ย ซ่ึงเป็นสุนขั จง้ิ จอกน้นั มี เพยี งประมาณ 5 กิโลกรัม ดงั น้นั การถ่ายทอดพลงั งานในแต่ละข้นั ของลาํ ดบั ข้นั อาหารน้นั จะพบว่าจาก ผูผ้ ลิตไปยงั ผบู้ ริโภคแต่ละข้นั น้นั พลงั งานจะถูกถ่ายทอดไปเพยี งประมาณ 10 % หมายความวา่ ถา้ ตก๊ั แตน กินหญา้ ไป 100 กิโลกรัม ตก๊ั แตนจะมีน้าํ หนักเพิ่มเพียง 10 กิโลกรัม เท่าน้ัน โดยพลงั งานส่วนท่ีเหลือ ประมาณ 90% จะถูกใชไ้ ปในการดาํ รงชีวติ ของตก๊ั แตน และบางส่วนจะถูกเปล่ียนเป็ นพลงั งานความรอ้ น การถ่ายทอดพลงั งานในลกั ษณะดงั กลา่ วน้ีเรียกว่า “ กฎ 10 เปอร์เซ็นต์ ” (Ten percent law) มี ใจความสรุปวา่ “พลงั งานศกั ยท์ ีส่ ะสมในรูปเน้ือเยอ่ื ของผบู้ ริโภคแตล่ ะลาํ ดบั ข้นั จะนอ้ ยกวา่ พลงั งาน ศกั ยท์ ่ีสะสมในเน้ือเยอ่ื ผบู้ ริโภคลาํ ดบั ข้นั ต่าํ กวา่ ทถ่ี ดั กนั ลงมาประมาณ 10 เทา่ ”
แบบทดสอบหลงั เรียน คาํ ชี้แจง จงเลือก คาํ ตอบทถ่ี ูกตอ้ งที่สุดเพยี งคาํ ตอบเดียว 1.สภาพระบบนิเวศในขอ้ ใดทนี่ บั ไดว้ า่ มีความสมบรู ณ์มากท่สี ุด ก.มีผผู้ ลิตและผบู้ ริโภคลาํ ดบั ที่ 1 ข.มีสตั วก์ ินพชื นอ้ ย มีผลู้ ่าจาํ นวนมาก ค.ผลู้ ่ามีจาํ นวนนอ้ ยและมีสตั วก์ ินพชื จาํ นวนมาก ง.มีผผู้ ลิต ผบู้ ริโภคหลายลาํ ดบั ข้นั และมีสตั วก์ ินพชื จาํ นวนมาก 2. ความสมั พนั ธข์ องส่ิงมีชีวติ ในระบบนิเวศน์ทม่ี ีการกินตอ่ กนั เป็ นทอดๆตามลาํ ดบั ความสมั พนั ธน์ ้ีคอื ขอ้ ใด ก. ห่วงโซ่อาหาร ข. สายใยอาหาร ค. ห่วงโซ่ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ ง. สายใยความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ 3. ในระบบนิเวศหน่ึงประกอบดว้ ย หญา้ หนู กระตา่ ย สุนขั จง้ิ จอก เสือ นกฮูก เห็ด รา ขอ้ ใดไม่ถูกตอ้ ง ก.หญา้ เป็นผผู้ ลิต ข.หนูและกระตา่ ยเป็นผบู้ ริโภคพชื ค.สุนขั จิ้งจอกและเสือเป็นผบู้ ริโภคสตั ว์ ง.เห็ดและรา เป็นผูเ้ ปลี่ยนสารอนินทรียใ์ หเ้ ป็ นสารอินทรีย์ 4. ผเี ส้ือวางไขบ่ นใบผกั กาด ไข่ฟักเป็นหนอนกินใบผกั กาด นกกระจอกมาจิกกินหนอน แมวตะครุบ นกกระจอกเป็นอาหาร ขอ้ ใดเป็นความสมั พนั ธข์ องสิ่งมีชีวติ ในห่วงโซ่อาหารไดถ้ ูกตอ้ ง ก.ผกั กาด → หนอน→ แมว → นกกระจอก ข. ผกั กาด → หนอน→ นกกระจอก → แมว ค.หนอน→ ผกั กาด → แมว → นกกระจอก ง. แมว → นกกระจอก → หนอน → ผกั กาด 5. จากขอ้ 4 ผบู้ ริโภคสตั ว์ คือส่ิงมีชีวติ ใด ข. นกและแมว ก.ผเี ส้ือและแมว ง. นก แมว ผเี ส้ือ ค.ผเี ส้ือและนก
6. ในระบบนิเวศซ่ึงประกอบดว้ ย เหยยี่ ว งู กระรอก หญา้ และตก๊ั แตน สิ่งมีชีวติ ในขอ้ ใดมีมวลชีวภาพ นอ้ ยทสี่ ุด ก. งู ข. เหยย่ี ว ค. หญา้ ง. กระรอกและตกั๊ แตน 7. แผนผงั โซ่อาหารตอ่ ไปน้ี ส่ิงมีชีวติ A --> ส่ิงมีชีวติ B --> ส่ิงมีชีวติ C --> ส่ิงมีชีวติ D จากแผนผงั โซ่อาหาร ถา้ สิ่งมีชีวติ C ตายหมด จะมีเหตกุ ารณ์ใดเกิดข้ึนไดบ้ า้ ง ก. ส่ิงมีชีวติ A มีจาํ นวนเพมิ่ ข้นึ ข. ส่ิงมีชีวติ B มีจาํ นวนลดลง ค. ส่ิงมีชีวติ D มีจาํ นวนเพมิ่ ข้นึ ง. ส่ิงมีชีวติ B มีจาํ นวนเพมิ่ ข้ึน 8. ส่ิงมีชีวติ ใดมีความสมั พนั ธเ์ ช่นเดียวกบั เหาฉลามบนตวั ฉลาม ก. มดดาํ กบั เพล้ีย ข. ผเี ส้ือกบั ดอกไม้ ค. นกทาํ รงั บนตน้ ไม้ ง. ไรโซเบียม ทป่ี มรากพชื ตระกูลถว่ั 9. นกเอ้ียงเกาะบนหลงั ควายเป็นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ แบบใด ก. ภาวะอิงอาศยั ข. ภาวะพ่งึ พากนั ค. ภาวะยอ่ ยสลาย ง. ภาวะไดป้ ระโยชน์ร่วมกนั 10.ในระบบนิเวศสวนสม้ (A ) พบสิ่งมีชีวติ 3 ชนิดคอื แมลงวนั ทอง (B) ตก๊ั แตนตาํ ขา้ ว (C) และนก (D) ขอ้ ใดแสดงพรี ะมิดจาํ นวนและพรี ะมิดมวลชีวภาพของระบบนิเวศสวนสม้ 1 23 4 ก. 1 และ 2 ข. 3 และ 4 ค. 3 และ 1 ง. 2 และ 4
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรียน 1. ง 2. ก 3. ง 4. ข 5. ข 6. ค 7. ง 8. ค 9. ง 10. ค
แนวคาํ ตอบใบกจิ กรรม เร่ือง ความสัมพนั ธ์ของส่ิงมชี ีวติ กบั ปัจจยั ทางชีวภาพ ใหน้ กั เรียนยกตวั อยา่ งส่ิงมีชีวติ ความสมั พนั ธแ์ บบตา่ งๆ ทกี่ าํ หนดให้ ดงั ตอ่ ไปน้ี รูปแบบของความสัมพนั ธ์ สัญลกั ษณ์ ตัวอย่างของสิ่งมชี ีวติ 1. ภาวะพงึ พากนั (mutualism) +/+ ไลเคน โพรโตซวั ในลาํ ไสป้ ลวก ไรโซเบยี มในปมรากถว่ั 2. การได้รับประโยชน์ร่วมกัน +/+ ดอกไมก้ บั แมลง นกเอ้ียงกบั ควาย (protocooperation) มดดาํ กบั เพลีย ฯลฯ 3. ภาวะองิ อาศัย +/0 เฟิ นบนตน้ ไมใ้ หญ่ เหาฉลามกบั ปลาฉลาม (commensalisms) นกทาํ รงั บนตน้ ไมใ้ หญ่ 4. การล่าเหยอื่ (predation) +/- นกกบั หนอน เสือกบั กวาง งูกินกบ เหยย่ี วล่ากระต่าย
5. ภาวะปรสิต (parasitism) +/- กาฝากบนตน้ ไม้ พยาธิใบไมใ้ นตบั สตั ว์ เหาบนศรีษะ 6. ภาวะแก่งแย่งแข่งขนั -/- การแก่งแยง่ ธาตุอาหารและแสงของพชื (competition) การแยง่ เป็ นจ่าฝูงของสตั วบ์ างชนิด การแยง่ กนั ครอบครองอาณาเขต
แนวคาํ ตอบใบกจิ กรรม เรื่อง โซ่อาหารและสายใยอาหาร แนวคาํ ตอบของกิจกรรม โซ่อาหารและสายใยอาหาร จากภาพสายใยอาหาร นกั เรียนสามารถแยกโซ่อาหารไดท้ ้งั หมดก่ีสาย อะไรบา้ ง ?
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: