ปรชั ญาตะวนั ออก(Eastern Philosophy) โดย... พรหมพสิ ฐิ พนั ธจ์ นั ทร์
บทท่ี 5 พุทธปรัชญาเบอื้ งต้น ความรเู้ บอื้ งต้นเก่ียวกบั พทุ ธปรชั ญา แนวคิดทางอภิปรชั ญา แนวคิดทางญาณวิทยา แนวคิดทางจริยศาสตร์
ความรู้เบือ้ งต้นเก่ียวกับพุทธปรัชญาพุทธปรัชญาเป็ นปรัชญาอนิ เดยี สายนาสตกิ ะเป็ นปรัชญาแบบอเทวนิยมมี 2 นิกายหลัก คอื นิกายเถรวาท และนิกายมหายานลักษณะเด่นของพุทธปรัชญา1. เป็ นสัจนิยม (อริยสัจ 4)2. เป็ นธรรมชาตนิ ิยม3. เป็ นเหตุผลนิยม (หลักปฏจิ จสมุปบาท, กาลามสูตร)4. เป็ นปฏบิ ัตนิ ิยม5. เป็ นสันตนิ ิยม (อภยั ทาน, เมตตา, สังวร)6. เน้นทางสายกลาง (มรรค 8)
ความรู้เบือ้ งต้นเก่ียวกับพทุ ธปรัชญาหลักกาลามสูตร1. อย่าเช่ือโดยฟังตามกนั มา2. อย่าเช่ือโดยการยึดถือสืบๆ กันมา (ประเพณี3. อย่าเช่ือโดยการเล่าลือ4. อย่าเช่ือโดยอ้างตารา5. อย่าเช่ือโดยนึกเอาเอง6. อย่าเช่ือโดยการคาดคะเน7. อย่าเช่ือโดยการตรึกเอาตามอาการ8. อย่าเช่ือโดยเหน็ ว่าตรงกบั ความคดิ ตนเอง9. อย่าเช่ือโดยเหน็ ว่าผู้พดู ควรเช่ือถอื ได้10. อย่าเช่ือโดยเหน็ ว่าผู้นีเ้ ป็ นครูของเรา
พทุ ธประวัติพระพุทธเจ้านามเดมิ คือ เจ้าชายสิทธัตถะประสูตเิ ม่ือวนั ขนึ้ 15 ค่า เดอื น 6 ปี จอ ก่อน พ.ศ. 80เรียนคมั ภรี ์ไตรเพทและศาสตร์ 18 สาขาจบก่อนอายุ 16 พรรษาพระชนมายุ 16 พรรษาได้อภเิ ษกสมรสกบั พระนางยโสธรา มีพระราชโอรส 1 องค์ คือ พระราหุลออกผนวชเม่ือพระชนมายุ 29 พรรษาได้ตรัสรู้ในวันขึน้ 15 ค่า เดอื น 6 ปี ระกา ขณะมีพระชนายุได้ 35 พรรษาได้ประกาศพุทธธรรมแก่ชาวโลก 45 พรรษาเม่ือวนั ขนึ้ 15 ค่า เดอื น 6 ได้เสดจ็ ดบั ขันธ์ ปรินิพพานรวมพระชนมายุได้ 80 พรรษา
แนวคดิ ทางด้านอภปิ รัชญา อริยสัจจ์ 4 ไตรลักษณ์ 3 ปฏจิ จสมุปบาท 12
อริยสัจจ์ 4อริยสัจจ์ คอื ความจริงอันประเสริฐสภาวทกุ ข์ นิพพานวิปริณามทุกข์สังขารทุกข์ ผล นิโรธ (ควรบรรลุ)ทุกข์ (ควรรู้)สมุทยั (ควรละ) เหตุ มรรค (ควรเจริญ)กามตณั หา มรรคมีองค์ 8ภวตณั หาวภิ วตณั หา
ไตรลักษณ์ 3ไตรลักษณ์ แปลว่า ลักษณะ 3 อย่างของทกุ ชีวติ ต้องเจอเรียกอกี อย่างหน่ึงว่า สามัญลักษณะ คอื ลักษณะท่เี สมอ เหมือนกนั หมด1. อนิจจตา ความไม่เท่ยี ง คือ เกดิ ขึน้ ตงั้ อยู่ และดบั ไป มี สันตติ ความสืบต่อปิ ดบงั จึงไม่เหน็ ความจริง คุณค่าทางจริยธรรม คือ -ทกุ ส่งิ สามารถปรับปรุงได้ -ไม่ประมาทในชีวติ -รู้เท่าทนั ชีวติ
ไตรลักษณ์ 32. ทกุ ขตา ความเป็ นทกุ ข์ คือ สภาพท่ที นได้ยาก มคี วามพร่อง มี อริ ิยาบถ การปรับเปล่ียนท่าทางปิ ดบังจงึ ไม่เหน็ ความจริง คุณค่าทางจริยธรรม คือ -มคี วามระมัดระวังปรับปรุงแก้ไขเสมอ -แสวงหาความสุขท่ไี ม่อิงอามสิ3. อนัตตตา ความไม่ใช่ตัวตน คอื ไม่มีอะไรเป็ นแก่นสาร ไม่เป็ นอมตะ มี ฆน ความเป็ นกลุ่มก้อน (ชีวติ ) ปิ ดบังจึงไม่เหน็ ความจริง คุณค่าทางจริยธรรม คอื -ลดความเหน็ แก่ตัว ไม่ยดึ ตดิ และใจกว้าง
ปฏจิ จสมุปบาท 12ปฏจิ จสมุปบาท คอื การเกดิ ขนึ้ พร้อมเพราะอาศยั กนั และกนั กล่าวคือ เม่อื ส่งิ นีเ้ กิด ส่ิงนีจ้ งึ เกิด เม่อื ส่งิ นีด้ ับ ส่งิ นีจ้ งึ ดับมชี ่อื เรียกอ่นื อกี คือนิทาน คือ ส่งิ ท่เี ป็ นต้นเหตุให้เกดิ ส่งิ อ่นื ๆปัจจยาการ คอื อาการท่เี ป็ นปัจจยั ของกันและกนัอิทปั ปัจจยตา คอื การท่มี เี หตุและผลองิ อาศัยกนั เกดิมี 2 สาย คอื สายเกดิ เรียกว่า สมุทยั วาร สายดบั เรียกว่า นิโรธวาร
แนวคิดทางด้านญาณวทิ ยาบ่อเกดิ ของความรู้มี 3 ทาง คอื1. สุตมยปัญญา ปัญญาหรือความรู้ท่เี กดิ จากการฟัง การเล่า เรียน การสัมผสั เป็ นต้น2. จนิ ตมยปัญญา ปัญญาท่เี กดิ จากการคิดพจิ ารณาหาเหตุผล สร้ างองค์ ความร้ ูด้ วยกระบวนการของเหตุผล3. ภาวนามยปัญญา ปัญญาท่เี กดิ จากการฝึ กฝน อบรม ลงมือปฏิบัตทิ างจิตจนเกดิ ฌานต่างๆ ขนึ้ มา และเกดิ ญาณให้รู้แจ้งแทงตลอดส่ิงทงั้ ปวงได้ ข้อนีส้ าคญั ท่สี ุด
แนวคดิ ทางด้านญาณวทิ ยาบ่อเกดิ ของความรู้ 3 อีกอย่างหน่ึง1. ประจักษประมาณ จดั อยู่ในสุตมยปัญญา2. อนุมานประมาณ จัดอย่ใู นจนิ ตมยปัญญา3. ศพั ทประมาณ จัดอย่ใู นสุตมยปัญญา
แนวคิดทางด้านจริยศาสตร์จริยศาสตร์ขัน้ ต้น คือ เบญจศีล เบญจธรรมจริยศาสตร์ขัน้ กลาง คือ กุศลกรรมบถ 10จริยศาสตร์ขัน้ สูง คือ อริยมรรคมีองค์ 8
จริยศาสตร์ขัน้ ต้น: เบญจศีล เบญจธรรม“ศีล” แปลว่า ปกติ หรือเย็น เน้นการประพฤตทิ างกายและวาจาผู้มีศลี คอื ผู้ท่ไี ม่ผิดปกติ ไม่ผดิ มนุษยธรรม เบญจศีล เบญจธรรม1. เว้นจากการฆ่าสตั ว์ 1. มีจิตเมตตา 2. มีสมั มาอาชีวะ2. เว้นจากการลกั ทรพั ย์ 3. มีการสารวมในกาม3. เว้นจากการประพฤติผิดในกามทงั้ หลาย 4. มีวาจาสตั ย์4. เว้นจากการพดู มุสา (เทจ็ ท่ีไม่จริง) 5. มีสติสมั ปชญั ญะ5. เว้นจากการด่ืมสรุ าเมรยั อนั เป็นท่ีตงั้ แห่งความประมาท
จริยศาสตร์ขัน้ กลาง: กุศลกรรมบถ 10“กุศลกรรมบถ” แปลว่า หนทางแห่งการกระทาความดีกศุ ลกรรมบถ 10 ส่ิงควรเจริญ1. เว้นจากการฆ่าสตั ว์ 1. จิตเมตตา2. เว้นจากการลกั ทรพั ย์ 2. สมั มาอาชีพ3. เว้นจากการประพฤติผิดในกามทงั้ หลาย 3. สารวมในกาม4. เว้นจากการพดู มสุ า (เทจ็ ท่ีไมจ่ ริง) 4. พดู คาสตั ย์5. เว้นจากการพดู คาหยาบ (ผรสุ วาจา) 5. พดู คาอ่อนหวานไพเราะ6. เว้นจากการพดู คาส่อเสียด (ปิ สณุ วาจา) 6. พดู คาท่ีสรา้ งความรกั สามคั คี7. เว้นจากการพดู คาเพ้อเจ้อ (สมั ผปั ปลาบ) 7. พดู คาท่ีมีประโยชน์
จริยศาสตร์ขัน้ กลาง: กุศลกรรมบถ 10 กศุ ลกรรมบถ 10 ส่ิงควรเจริญ8. ไม่คิดอยากได้ของผอู้ ่ืน (อนภิชฌา) 1. คิดเสียสละ ไมเ่ หน็ แก่ตวั9. ไม่คิดพยาบาท (อพยาบาท)10. มีความเหน็ ที่ถกู ต้อง (สมั มาทิฏฐิ) 2. รจู้ กั ให้อภยั 3. มองโลกในแง่ดีและคอย พฒั นาปัญญา“กุศลกรรมบถ” จะพฒั นาทางกาย วาจา และใจแต่จะเน้นทางกายมากกว่าทางใจ
จริยศาสตร์ขัน้ สูง: มรรคมีองค์ 8“อริยมรรค” คือ หนทางอนั ประเสริฐ หนทางของพระอริยเจ้า“อฏั ฐังคิกมรรค” คือ หนทางอันประกอบด้วยองค์ 8 กล่าวคือ มี หนทางเดยี ว แต่ประกอบด้วย 8 เลน“มัชฌิมาปฏปิ ทา” คือ หนทางสายกลาง กล่าวคอื กลางระหว่าง หย่ อนสุดกับเคร่ งสุดเน้นพฒั นาทางใจมากกว่าทางกายหลักอริยมรรคมีความสมั พนั ธ์อย่างใกล้ชดิ กับหลักไตรสิกขา
เว้นช่ัว ทาดี ทาจิตผ่องใสอธิศีลสิกขา อธิจติ ตสกิ ขา อธิปัญญาสกิ ขาสัมมากมั มนั ตะ สัมมาสติ สัมมาสังกปั ปะ สัมมาวาจา สัมมาสมาธิ สัมมาทฏิ ฐิ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ
ความสัมพันธ์ระหว่างจริยศาสตร์ขัน้ ต้น กลาง สูงศีล 5 กศุ ลกรรมบถ 10 มรรค 8 ไตรสิกขา 3ข้อ 1,3 กายกรรม 3 1. สมั มากมั มนั ตะ ศีลข้อ 4 วจีกรรม 4ข้อ 2 กายกรรม 3 2. สมั มาวาจา สมาธิ (จิต)ข้อ 5 3. สมั มาอาชีวะ ปัญญา อนภิชฌา, อพยาบาท 4. สมั มาสติ สมั มาทิฏฐิ 5. สมั มาสมาธิ 6. สมั มาวายามะ 7. สมั มาสงั กปั ปะ 8. สมั มาทิฏฐิ
ขอบคณุ ครบั
เป็ นมนุษย์ เป็ นได้ เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยงู มีดี ท่ีแววขน ถา้ ใจตา่ เป็ นได้ แคเ่ พียงคน ยอ่ มเสียที ท่ีตน ไดเ้ กิดมา ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ถา้ มีครบ ควรเรยี ก มนุสสา เพราะคิดถูก พูดถกู ทุกเวลาเปรมปรดี า ทุกคืนวนั สุขสนั ตจ์ ริงใจสกปรก มืดมวั เพราะรอ้ นเร่า ใครมีเขา้ ควรเรียก ว่าผีสิง เพราะคิดผิด ทาผิด จติ ประวิง แตใ่ นส่ิง นาตวั กล้วั อบาย...
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: