Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การผลิตโคนมทวิภาคี 58

การผลิตโคนมทวิภาคี 58

Published by bandasakr, 2018-05-09 02:27:56

Description: การผลิตโคนมทวิภาคี 58

Search

Read the Text Version

514.1.1 ถา้ แม่โคไดร้ ับอาหารหยาบคุณภาพดี ระดบั โปรตนี ในอาหารขน้ ควรมี 12 – 16เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์4.1.2 ถา้ แมโ่ คไดร้ ับอาหารหยาบคุณภาพปานกลาง ระดบั โปรตีนในอาหารขน้ ควรมี16 – 20 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์4.1.3 ถา้ แม่โคไดร้ ับอาหารหยาบคุณภาพต่า ระดบั โปรตีนในอาหารขน้ ควรมี 20 –24 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 22 เปอร์เซ็นต์4.2 การจดั การอาหารขน้ สาหรับแม่โคนม ผเู้ ล้ียงโคนมสามารถเลอื กใชว้ ตั ถุดิบ อาหารสตั วไ์ ดห้ ลายอยา่ ง เพอื่นามาผสมเป็นอาหารขน้ แต่ตอ้ งเลือกวตั ถุดิบทใี่ หม่ สะอาด ไมม่ ี สิ่งเจือปนและมีคณุ ภาพสูง โดยทวั่ ไปเราจะใหอ้ าหารขน้ กบั แม่โคนมโดยคิดจากน้านมทไ่ี ดค้ ือ ใหอ้ าหารขน้ 1 กิโลกรมั ตอ่ ปริมาณน้านมทีใ่ ห้ 4 กิโลกรมัและควรใหใ้ นช่วงเวลาทแี่ ม่โคยนื โรงรีดนม คือ ช่วงเชา้ และเยน็5. การจัดการให้อาหารโคเนื้อการ จดั การใหอ้ าหารโคเน้ือกป็ ฏิบตั คิ ลา้ ย ๆ กบั การใหอ้ าหารโคนม แตอ่ าหารหลกั ของโคเน้ือกค็ อื อาหารหยาบ เช่น หญา้ ถว่ั ฟางขา้ ว ฯลฯ ซ่ึงหากไดร้ บั อาหารหยาบทีม่ ีคุณภาพสูงแลว้ อาจจะไม่ตอ้ งเสริมอาหารขน้เลยก็ ได้ ท้งั น้ีเพราะโคเน้ือไม่ไดใ้ ชอ้ าหารเพอ่ื การสร้างน้านม แตถ่ า้ หากสร้างโคเน้ือแบบโคขนุ จาเป็ นตอ้ งเสริมอาหารขน้ ใหก้ บั โคเน้ือเพอื่ เร่งการเจริญเติบโต การจดั การใหอ้ าหารโคเน้ือควรปฏบิ ตั ิดงั น้ี5.1 การจดั การอาหารหยาบสาหรับโคเน้ือ อาหารหยาบหลกั ของโคเน้ือคอื หญา้ สด หรือถวั่ พชื อาหารสตั ว์ ในแตล่ ะวนั ตอ้ งใหโ้ คเน้ือกินแบบเตม็ ท่ี อาหารหยาบแบง่ ออกเป็น 2 กลุ่ม ดงั น้ี5.1.1 หญา้ และถวั่ พชื อาหารสตั ว์ หญา้ และถว่ั มีหลายชนิดปัจจุบนั นิยมทาเป็นแปลงหญา้ ตดั มาใหโ้ คกินหรือปล่อยให้ โคลงไปแทะเลม็ กินกไ็ ด้ แปลงหญา้ ผสมถวั่ จะเป็ นอาหารหยาบท่ีมีคุณภาพดีที่สุด5.1.2 วสั ดุเหลือใชท้ างการเกษตร เช่น ฟางขา้ ว เปลือกสบั ปะรด ตน้ ขา้ วโพด ยอดออ้ ย เปลือกถว่ั ซ่ึงอาจจะมีคุณภาพต่าแตส่ ามารถนามาใชเ้ ล้ียงโคเน้ือได้5.2 การจดั การอาหารขน้ สาหรับโคเน้ือ วตั ถุดิบท่ีนามาใชผ้ สมเป็ นอาหารขน้ กค็ ลา้ ย ๆ กบั วตั ถุดิบท่ีนามาผสมอาหารขน้ สาหรบั โคนม อาจจะแตกต่างกนั ตรงสูตรท่ีใชใ้ นการผสม โคเน้ือหากเล้ียงแบบชาวบา้ นแลว้จะไม่ตอ้ งเสริมอาหารขน้ เพยี งแต่ใหก้ ินอาหารหยาบพวกหญา้ อยา่ งเดียว แต่หากเล้ียงเพอื่ ขนุ จาเป็ นตอ้ งเสริมอาหารขน้ ซ่ึงมีสูตรแตกตา่ งกนั ออกไป การเสริมอาหารขน้ ให้ โคเน้ือ 0.3 เปอร์เซ็นตข์ องน้าหนกั ตวั แต่ถา้อาหารหยาบท่ใี หม้ ีคุณภาพต่าควรเสริมอาหารขน้ เป็น 0.6 เปอร์เซ็นตข์ องน้าหนกั ตวั และควรให้อาหารขน้ ท่ีมีโปรตีน 14 – 16 เปอร์เซ็นต์

52 หน่วยที่ 5การจดั การเลยี้ งดูโคนมการ จดั การเล้ียงดูโคนมเป็นเร่ืองท่ีค่อนขา้ งยงุ่ ยากพอสมควรเนื่องจากตอ้ งการให้ แม่โคผลิตน้านมใหก้ บั ผู้เล้ียงใหไ้ ดป้ ริมาณมากทีส่ ุด ผเู้ ล้ียงจาเป็นจะตอ้ งศกึ ษาวธิ ีการจดั การเล้ียงดูโคนมต้งั แต่คลอดออกมาเป็ น ลูกโคนมจนกระทง่ั โตเป็นโคสาวทาการผสม ต้งั ทอ้ ง คลอดลูก และใหน้ ม ซ่ึงการจดั การเล้ียงดูโคนมในแตล่ ะระยะของการเจริญเตบิ โต มีดงั ต่อไปน้ี1. การจดั การเลีย้ งดูโคนมแรกเกิดถึงหย่านมการจดั การเล้ียงดูลูกโคนมแรกเกิดถึงหยา่ นมเป็ นสิ่งสาคญั ช่วงหน่ึงของการจดั การเล้ียงโคนม ในช่วงน้ีจะมีจุดมุ่งหมายเพอ่ื ใหไ้ ดล้ ูกโคนมทห่ี ยา่ นมเร็วมีสุขภาพสมบรู ณ์ และเพอ่ื เตรียมความพร้อมในทกุ ๆ ดา้ น เพอ่ื ให้ลูกโคเจริญเตบิ โตไปเป็นแม่โคนมทเี่ หมาะสมที่สุด การจดั การเล้ียงดูลูกโคนมแรกเกิดถึงหยา่ นมปฏบิ ตั ไิ ด้ดงั น้ี1.1 ทาความสะอาดตวั ลูก ตดั สายสะดือ ชง่ั น้าหนกั วดั ขนาดแรกเกิด สกั เบอร์หู (tattoo) ดงั ภาพท่ี 8.2ww1.2 ใหก้ ินนมน้าเหลือง (colostrum) ภายใน 1 ชว่ั โมง แรกเกิด วนั ละ 2 ม้ือ ๆ ละ 2 ลิตร ตลอด 3 วนั โดยหดั ใหล้ ูกโคกินนมจากถงั พลาสติก (ภาพที่ 8.3)1.3 จดบนั ทึกพนั ธุป์ ระวตั ลิ ูกโคทุกตวั1.4 ฉีดวติ ามินเอดีอี 1 ซีซี. คร้ังแรกเม่ืออายุ 2 – 3 วนั คร้ังตอ่ ไป เมื่ออายุ 7 และ 14 วนั1.5 ใหน้ มอาหารขน้ หญา้ น้า ตามโปรแกรม1.6 การจดั การอ่ืน เช่น ตดั หวั นมเกินภายในอายุ 14 วนั ทาลายเขาและ ตอนเพศผกู้ ่อนอายุ 3 เดือน ถ่ายพยาธิเมื่ออายุ 3 – 4 สปั ดาห์ (ภาพที่ 8.4)

53ภาพที่ 8.2 การทาเครื่องหมายประจาตวัที่มา (มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, 2537, หนา้ 422)ภาพที่ 8.3 การฝึกหดั ใหล้ ูกโคกินนมจากถงัทมี่ า (อุทยั หนูแดง, 2543, หนา้ 34)

54ภาพที่ 8.4 การทาลายเขาลูกโคทีม่ า (อุทยั หนูแดง, 2543, หนา้ 36)2. การจดั การเลีย้ งดูโคนมระยะหลงั หย่านมการ จดั การเล้ียงดูโคนมในช่วงน้ีมีจดุ ประสงค์ คือ การเล้ียงใหล้ ูกโคโตเร็วโดยเสียตน้ ทุนต่าสุด ใหเ้ ขา้ สู่วยัหนุ่มสาวเร็วที่สุดพรอ้ มทีจ่ ะผสมพนั ธุใ์ หไ้ ดล้ ูกที่แขง็ แรงและ รอดชีวติ ใหม้ ากทีส่ ุด จดั ไดว้ า่ เป็ นระยะท่มี ีความสาคญั ระยะหน่ึง หากเราจดั การลูกโคหลงั หยา่ นมดีก็จะไดแ้ ม่โคที่สมบรู ณ์พร้อมทจี่ ะใหน้ ้านมแก่ ผู้เล้ียงในปริมาณสูงสุด การจดั การโคนมหลงั หยา่ นมมีการจดั การดงั น้ี2.1 ใหอ้ าหารขน้ โปรตีน 16 – 18 เปอร์เซ็นต์ ใหก้ ินวนั ละ 2 – 3 กก. หญา้ และน้า ใหก้ ินเตม็ ท่ี2.2 การจดั การอ่ืนๆ เช่น ชงั่ น้าหนกั วดั ขนาด ทอี่ ายหุ ยา่ นม 4 เดือน ตดิ เบอร์หู (ear tag) ให้วคั ซีนป้องกนั โรคแทง้ ตดิ ตอ่ บลูเซลลา เสตรน - 19 แก่โคเพศเมียอายุ 3 – 8 เดือน คดั แยกเพศ แยกฝงู เป็ นฝงู เพศผไู้ ม่ตอน ฝงูเพศเมีย (อาจรวมกบั เพศผตู้ อน) โดยผา่ นการถ่ายพยาธิแลว้ ถ่ายพยาธิตวั กลมซ้าเม่ืออายุ 3 และ 6 เดือน ต่อไป

55ถ่ายทกุ ปี ปี ละ 1 คร้งั ถ่ายพยาธิใบไม้ เมื่ออายุ 8 เดือนข้ึนไป ตอ่ ไปถ่ายยาทุกปี ปี ละ 2 คร้งั (ธาตรี จรี าพนั ธุ์,2548)3. การเลยี้ งดูโคนมรุ่นโคนมสาวเมื่อพน้ ระยะหยา่ นมแลว้ โคนมก็จะเขา้ สู่วยั สาว โดยท่ีแม่โคจะเร่ิมแสดงอาการเป็ นสดั เม่ืออายุ 12 เดือน แต่อายทุ ่เี หมาะสมสาหรบั การผสมพนั ธุค์ อื 15 – 18 เดือน ซ่ึงมีการจดั การดงั น้ี3.1 การใหอ้ าหารโครุ่น – โคสาวw3.1.1 ใหอ้ าหารขน้ โปรตนี 16 เปอร์เซ็นต์ วนั ละ 1 – 4 กิโลกรมั3.1.2 หญา้ และน้า ใหเ้ ตม็ ที่3.1.3 อาหารแร่ใหก้ ินตามใจชอบ3.2 การจดั การโครุ่น – โคสาว3.2.1 คดั เลือก แยกฝงู เป็ นพอ่ – แม่พนั ธุท์ ดแทน3.2.2 เพศผู้ จาหน่าย หรือตอน แลว้ ขนุ ส่งโรงฆ่า3.2.3 ใหว้ คั ซีนป้องกนั โรคปากและเทา้ เป่ื อย และคอบวม ปี ละ 2 คร้งั3.2.4 ทาการผสมเมื่อโคสาวแสดงอาการเป็นสดั โดยจะแสดงอาการกระวนกระวาย ส่งเสียงรอ้ ง ไม่กินหญา้อวยั วะเพศบวมแดงมีน้าเมือกไหลออกมา ชอบข้นึ ขที่ บั ตวั อื่นและยอมใหต้ วั อื่นข้ึนทบั จะแสดงอาการเป็ นสดัอยู่ 12 ชวั่ โมง ระยะทีเ่ หมาะสมต่อการผสมพนั ธุ์ คอื ชวั่ โมงท่ี 8 – 153.2.5 ปล่อยใหล้ งแทะเลม็ หญา้ ในแปลง4. การจัดการเลยี้ งดูแม่โคนมระยะต้ังท้องถึงคลอดการ จดั การแม่โคนมระยะน้ีสาคญั มากเนื่องจากเป็นระยะทล่ี ูกโคในทอ้ งมีการพฒั นา อวยั วะต่าง ๆ เพอ่ืออกมาเป็นลูกโคที่สมบูรณ์แขง็ แรง อีกอยา่ งหน่ึงคอื เป็นช่วงทแี่ ม่โคนมมีการพฒั นาระบบเตา้ นมเพอื่ รองรบัการให้ นมเมื่อคลอดลูกแลว้ หากผเู้ ล้ียงมีการปฏิบตั ิต่อแม่โคอยา่ งถูกตอ้ งแลว้ ลูกที่คลอดออกมากจ็ ะ สมบรู ณ์แขง็ แรง แม่โคนมจะมีระบบเตา้ นมทีส่ มบูรณ์พรอ้ มทีจ่ ะใหน้ มต่อไป การจดั การเล้ียงดูแม่โคนมระยะต้งั ทอ้ งถึงระยะคลอดปฏบิ ตั ไิ ดด้ งั น้ี4.1 ในโคสาวทอ้ งแรก มีการจดั การดงั น้ี4.1.1 ใหอ้ าหารขน้ โปรตนี 16 เปอร์เซ็นต์ วนั ละ 1 – 4 กก. และเพมิ่ ทลี ะนอ้ ยในช่วง 30 – 40 วนั ก่อนคลอด(ภาพที่ 8.5)4.1.2 ถ่ายพยาธิก่อนคลอด4.1.3 ก่อนคลอด 7 วนั นาเขา้ คอกคลอดปูดว้ ยฟางหญา้ ที่สะอาด

564.1.4 ช่วง 4 – 7 วนั ก่อนคลอด ใหว้ ติ ามินเอดีอี แร่ธาตโุ ดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสฟอรัส4.1.5 ช่วง 7 วนั ก่อนคลอดใหอ้ าหารฟ่ าม เช่น ราอ่อน4.1.6 ฝึกใหแ้ ม่โคเขา้ ซองรีดนมเพอื่ ความคุน้ เคย เม่ือถึงเวลารีดแม่โคจะไดไ้ ม่กลวั และไม่อ้นั นม โดยฝึกเขา้ซองรีดนม 30 วนั ก่อนคลอด (วโิ รจน์ ภทั รจนิ ดา, 2546)4.2 แม่โคใหล้ ูกมาแลว้ มีการจดั การดงั น้ี4.2.1 หยดุ รีดนมก่อนคลอด (dry) 60 วนั กรณีแม่โคใหน้ มมากๆ ปฏบิ ตั ิดงั น้ี4.2.1.1 ลดอาหารขน้ ลง จนถึงงดใหอ้ าหารขน้4.2.1.2 ฉีดวติ ามินเอดีอีใหก้ บั แม่โค4.2.1.3 ช่วงหยดุ รีด 60 วนั ใหห้ ญา้ สดเตม็ ที่และใหแ้ ม่โคออกกาลงั กายบา้ ง4.2.1.4 ช่วงระยะการหยดุ รีดนมอาจใชเ้ วลา 7 – 10 วนั4.2.2 ช่วง 30 – 45 วนั ก่อนคลอด เพมิ่ อาหารขน้ ทลี ะนอ้ ย4.2.3 การจดั การอ่ืน เช่น เดียวกบั โคสาวทอ้ งแรก4.2.4 ถา้ ลูกโคคลอดออกมาแลว้ รกไม่ออกภายใน 2 – 6 ชว่ั โมง ตอ้ งฉีดยาช่วยขบั รก (ภาพท่ี 8.6)4.2.5 ถา้ นมคดั ผเู้ ล้ียงจะตอ้ งช่วยรีดน้านมออกบา้ ง มิฉะน้นั จะทาใหเ้ กิดเตา้ นมอกั เสบได้ภาพที่ 8.5 แม่ววั นมใกลค้ ลอดที่มา (อุทยั หนูแดง, 2543, หนา้ 29)

57ภาพท่ี 8.6 ทา่ คลอดปกตขิ องลูกโคทีม่ า (มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, 2545, หนา้ 375)5. การจดั การเลีย้ งดูแม่โคระยะให้นมการจดั การเล้ียงดูแม่โคระยะใหน้ มน้นั จะตอ้ งมีความระมดั ระวงั เป็ นพเิ ศษเนื่องจากระยะน้ีเป็ นระยะท่แี ม่โคใหผ้ ลผลิตต่อผเู้ ล้ียง หากผเู้ ล้ียงปฏบิ ตั ิต่อแม่โคไม่ถูกตอ้ ง แม่โคก็จะใหน้ มในปริมาณต่า การปฏิบตั ชิ ่วงแม่โคใหน้ มทาไดด้ งั น้ี5.1 หลงั คลอดควรฉีดยาปฏชิ ีวนะ และใหย้ าสอดช่องคลอด เช่นเดียวกบั ในโคเน้ือ ฉีดวติ ามินเอดีอี ตวั ละ 5 ซีซี. ในแม่โคท่ใี หน้ มมาก ๆ5.2 รกจะตอ้ งออกมาภายใน 6 ชว่ั โมง หลงั คลอด5.3 ใหอ้ าหารหยาบในช่วงอากาศเยน็ สบาย ตอนเชา้ – เยน็ ใหอ้ าหารขน้ โปรตนี 16 – 18 เปอร์เซ็นต์ วนั ละ 2เวลา เชา้ -เยน็ คิดจากนม 4 กิโลกรัม จะใหอ้ าหารขน้ 1 กิโลกรัมหญา้ สด/น้าใหเ้ ตม็ ที่5.4 ตรวจสดั จะปรากฏหลงั คลอดภายใน 60 วนั พบสดั คร้ังท่ี 2 ผสมเทยี มไดท้ นั ที5.5 รีดนม วนั ละ 2 คร้ัง เชา้ และเยน็ รีดดว้ ยมือหรือใชเ้ ครื่องรีด (ภาพที่ 8.7)

58ภาพท่ี 8.7 การรีดนมดว้ ยเคร่ืองและรีดนมดว้ ยมือท่ีมา (กรมปศุสตั ว,์ 2540 และ 2541, หนา้ 26 และ 18)การจัดการเลีย้ งดูโคเนื้อการ จดั การเล้ียงดูโคเน้ือโดยทว่ั ๆ ไปกค็ ลา้ ย ๆ กบั การจดั การเล้ียงดูโคนม แต่มีความยงุ่ ยากนอ้ ยกวา่ ซ่ึงในปัจจบุ นั อาชีพเล้ียงโคเน้ือโดยเฉพาะโคขนุ เป็ นอีกอาชีพหน่ึงท่ีไดร้ ับ ความสนใจ ผทู้ ่จี ะดาเนินการเล้ียงโคเน้ือจาเป็นจะตอ้ งมีความรูค้ วามชานาญพอสมควรเพอื่ ใหก้ ารเล้ียงโคเน้ือประสบความสาเร็จ ซ่ึงการจดั การเล้ียงโคเน้ือมีวธิ ีการปฏิบตั ิดงั น้ี1. การคดั เลือกพ่อพนั ธ์ุและแม่พนั ธ์ุโคเนื้อการคดั เลือกพอ่ พนั ธุแ์ ละแม่พนั ธุโ์ คเน้ือตอ้ งคดั เลือกโคทมี่ ีคุณลกั ษณะ สี ตรงตามพนั ธุ์ รูปทรงเป็ นโคเน้ือ(blocky type) เป็นโคอายุ 2-5 ปี (น้าหนกั 280-300 กก.) ปราศจากโรคแทง้ ติดต่อ (brucellosis) วณั โรค(tuberculosis) เชื่อง เจริญเตบิ โตเร็ว ทาการถ่ายพยาธิก่อนนาเขา้ ฝงู ผสมพนั ธุ์ (ดารง กิตตชิ ยั ศรี และคนอื่น ๆ,2546) การคดั เลือกควรพจิ ารณาจากขอ้ มูลของบรรพบรุ ุษ คอื พอ่ แม่ ป่ ู ยา่ ตา ยาย ดว้ ย ซ่ึงขอ้ มูลเหล่าน้ีเรียกวา่ พนั ธุป์ ระวตั ิ (pedigree) นามาประกอบการคดั เลือกพอ่ พนั ธุแ์ ละแม่พนั ธุ์ โดยมีลกั ษณะทคี่ วรนามาใช้ในการคดั เลือกตามท่ที มี งานนิตยสาร สตั วบ์ ก (2544) แนะนาดงั น้ี1.1 มีน้าหนกั แรกคลอดสูง1.2 มีน้าหนกั หยา่ นมดี1.3 มีการเจริญเติบโตหลงั หยา่ นมดี

591.4 ประสิทธิภาพการเปล่ียนอาหารเป็นเน้ือสูง1.5 รูปร่างลกั ษณะภายนอกดีตรงตามพนั ธุ์2. การเลยี้ งดูพ่อพนั ธ์ุและแม่พนั ธ์ุโคเนื้อการเล้ียงดูพอ่ พนั ธุแ์ ละแม่พนั ธุโ์ คเน้ือจะปฏิบตั คิ ลา้ ย ๆ กบั การดูแลพอ่ พนั ธุแ์ ละแม่พนั ธุโ์ คนม ต่างกนั ตรงที่โคเน้ือไม่มีข้นั ตอนการปฏิบตั ิการรีดนม การดูแลพอ่ พนั ธุแ์ ละแม่พนั ธุโ์ คเน้ือใหป้ ฏบิ ตั ดิ งั น้ี2.1 การใหอ้ าหารในสภาพปกตจิ ะจดั การใหอ้ าหารดงั น้ี2.1.1 อาหารขน้ โปรตีน 15 เปอร์เซ็นต์ (วนั ละ 2 – 3 กิโลกรัม)2.1.2 หญา้ สด 10 เปอร์เซ็นตข์ องน้าหนกั ตวั (40 – 50 กิโลกรมั /วนั ) หรือหญา้ แหง้ 12 กิโลกรัม/วนั2.1.3 น้าอยา่ งนอ้ ย 30 – 40 ลิตร/วนั2.2 การผสมพนั ธุโ์ คเน้ือ ทาไดด้ งั น้ีww 2.2.1 การจงู ผสม แยกเล้ียงแม่พนั ธุแ์ ละแม่พนั ธุเ์ มื่อจะผสมกน็ าตวั ผมู้ าผสม2.2.2 การผสมแบบคุมฝงู เหมาะสาหรบั ฟาร์มขนาดใหญ่ ตามปกตกิ ารผสมแบบคุมฝงู ใหแ้ ม่โคที่ผสมคดิประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ (ศรเทพ ธมั วาศร, 2539) โดยมีสดั ส่วนตวั ผตู้ ่อตวั เมีย ดงั น้ี2.2.2.1 ตวั ผอู้ ายุ 2 – 3 ปี คุมตวั เมียได้ 10 – 15 ตวั2.2.2.2 ตวั ผอู้ ายุ 3 – 4 ปี คุมตวั เมียได้ 15 – 20 ตวั2.2.2.3 ตวั ผอู้ ายุ 4 ปี ข้นึ ไป คมุ ตวั เมียได้ 20 – 25 ตวั2.2.3 การประมาณอายโุ คโดยดูจากการงอกของฟัน ดงั แสดงในภาพท่ี 8.8 ส่วนการประมาณจานวนลูกโคท่ีเกิดจากแม่โคโดยดูท่เี ขา ดงั แสดงในภาพท่ี 8.92.2.4 การผสมเทียม โดยการนาน้าเช้ือท่แี ช่แขง็ ไปผสมใหก้ บั แม่โคในระยะเป็ นสดั การผสมเทยี มจะมีโอกาสผสมตดิ 70 เปอร์เซ็นต์2.2.5 การฝึกรีดน้าเช้ือพอ่ พนั ธุ์ เริ่มฝึกเมื่ออายุ 15 เดือน และสามารถรีดเก็บน้าเช้ือไดเ้ ม่ือพอ่ พนั ธุอ์ ายุ 18เดือน น้าเช้ือที่ไดน้ ามาเจอื จางแลว้ ทาน้าเช้ือสด (fresh semen) หรือน้าเช้ือแช่แขง็ (frozen semen) (ธาตรี จรี าพนั ธุ,์ 2548)2.2.6 การสงั เกตสดั (heat detection) สดั (heat หรือ estrus) คือ อาการ ยอมรับการผสมของโคเมียโดยจะเกิดข้ึนทกุ ๆ 21 วนั มีอาการดงั น้ี ข้ึนขี่ตวั อ่ืนหรือยอมใหต้ วั อื่นข้ึนขี่ อวยั วะเพศบวมแดง มีน้าเมือกใสไหลออกมาจากช่องคลอดรอ้ งบ่อย ๆ (จรัส สวา่ งทพั , 2539)2.2.7 ช่วงที่เหมาะสมในการผสมเทียม พบสดั ตอนเชา้ ผสมเทียมตอนเยน็ (ห่างจากพบสดั 12 ชว่ั โมง) พบสดัตอนเยน็ ผสมเทยี มตอนเชา้ วนั รุ่งข้นึ

60ภาพที่ 8.8 การประมาณอายโุ คจากการงอกของฟันท่ีมา (ทีมงานนิตยสารสตั วบ์ ก, 2544, หนา้ 47)ภาพที่ 8.9 การประมาณจานวนลูกโคทีเ่ กิดจากแม่โคโดยดูทีเ่ ขาแม่โคที่มา (มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, 2545, หนา้ 18)

613. การเล้ียงดูแม่โคอุม้ ทอ้ งการเล้ียงดูแม่โคอุม้ ทอ้ งถึงระยะคลอดใหป้ ฏบิ ตั เิ ช่นเดียวกบั การดูแลแม่โคนมอุม้ ทอ้ ง และจะตอ้ งมีการปฏบิ ตั ิดูแลเอาใจใส่มากกวา่ ปกติ ไม่ควรทาใหแ้ ม่โคต่ืนตกใจ หรือทาใหแ้ ม่โควง่ิ การใชย้ าและเวชภณั ฑก์ บั แม่โคต้งัทอ้ งจะตอ้ งศกึ ษาใหล้ ะเอียดก่อน ซ่ึงอาจมีผลทาใหแ้ ม่โคแทง้ ลูกได้ (ไชยา อุม้ สูงเนิน, 2544)4. การเลยี้ งดูลูกโคเนื้อแรกเกิดถงึ หย่านมใหป้ ฏิบตั ิเช่นเดียวกบั การดูแลลูกโคนม แต่จะมีวธิ ีการปฏิบตั ิเพมิ่ เตมิ ในเร่ืองของการตอนลกู โคเน้ือเพศผทู้ ี่ไม่ไดเ้ อาไวท้ าพนั ธุ์ การตอนจะใชเ้ คร่ืองมือท่เี รียกวา่ เบอร์ดิสโซ (burdizzo) หนีบทขี่ ้วั อณั ฑะท้งั 2 ขา้ ง ของลูกโคอายุ 3 เดือน เครื่องมือน้ีจะไปตดั เสน้ เลือดและทอ่ นาอสุจิของลูกโคตวั ผใู้ หข้ าด (ภาพท่ี 8.10) โดยที่ลูกโคไม่เกิดอนั ตราย ส่วนการจดั การอ่ืน ๆ เช่น4.1 ถ่ายพยาธิคร้งั แรกท่อี ายุ 3 – 4 สปั ดาห์4.2 ถ่ายพยาธิคร้ังที่ 2 ที่อายุ 3 เดือน และถ่ายพยาธิคร้ังที่ 3 ทอ่ี ายุ 6 เดือน4.3 ฉีดวคั ซีนป้องกนั โรคแทง้ ตดิ ตอ่ ใหล้ ูกโคเพศเมียอายุ 3 – 8 เดือน4.4 หยา่ นมลูกโคทีอ่ ายุ 7 เดือนภาพท่ี 8.10 การใชเ้ บอร์ดิซโซในการตอนท่มี า (มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, 2537, หนา้ 37)5. การเลยี้ งดูโคเนื้อรุ่นการเล้ียงดูโคเน้ือรุ่นปฏบิ ตั คิ ลา้ ย ๆ กบั การเล้ียงโคนมรุ่น แต่จะมีรายละเอียดเพมิ่ เติม โครุ่นจะเล้ียงเพอื่ ไวใ้ ช้สาหรับทดแทนโคฝงู เดิมท่ีคดั ออกจาหน่าย หรือทดแทนพอ่ แม่พนั ธุท์ ่คี ดั ท้ิง มีข้นั ตอนการปฏิบตั ดิ งั น้ี

625.1 เม่ือโคอายคุ รบ 1 ปี ทาการคดั เลือก โดยเฉพาะโคเพศเมียเพอ่ื เป็นโคทดแทนประมาณ 16 – 25 เปอร์เซ็นต์ทกุ ปี โดยปกติจะคดั แม่โคอายมุ ากออกปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเพศผคู้ ดั เลือกไวเ้ ป็ นพอ่ พนั ธุ์ โดยจาหน่ายหรือนาไปฝึ กรีดน้ าเช้ือ5.2 การใหอ้ าหารและน้าควรใหอ้ าหารขน้ โปรตีน 15 เปอร์เซ็นต์ วนั ละ 2 – 3 กิโลกรมั หญา้ สด 20 – 50กิโลกรมั หรือหญา้ แหง้ 6 – 12 กิโลกรมั ใหน้ ้า 20 – 30 ลิตรตอ่ วนั และอาหารแร่ธาตุมีไวต้ ลอดเวลา6. การเลยี้ งดูโคขุนโคขนุ กค็ อื wwการ นาโคเน้ือทมี่ ีลกั ษณะดีมาขนุ ใหเ้ จริญเตบิ โตอยา่ งรวดเร็วโดยไดร้ ับอาหารทด่ี ี ท้งั อาหารขน้ และอาหารหยาบอยา่ งเตม็ ที่ในช่วงระยะเวลาหน่ึง ไดเ้ น้ือทมี่ ีคุณภาพดีตรงกบั ความตอ้ งการของตลาดท้งัในและตา่ งประเทศ ปัจจุบนั ไดม้ ีผเู้ ล้ียงโคเน้ือหลายรายดาเนินการเล้ียงโคขนุ โดยหาซ้ือโค เน้ือท่ีเกษตรกรเล้ียงไวต้ ามชนบท นาเขา้ มาขนุ และชาแหละเน้ือขายเกิดเป็นธุรกิจการขนุ โคข้ึน การเล้ียงดูโคขนุ มีข้นั ตอนการปฏบิ ตั ดิ งั น้ี6.1 หลกั ในการคดั เลือกโคมาขนุ มีหลกั ในการพจิ ารณาหลายประการดงั ต่อไปน้ี6.1.1 พนั ธุโ์ ค ไม่นิยมนาโคพน้ื เมืองมาขนุ ขายเนื่องจากตวั เลก็ โตชา้ นิยมโคลูกผสมท่มี ีเลือดพนั ธุแ์ ทห้ รือพนั ธุต์ า่ งประเทศ 50 – 75 เปอร์เซ็นต์ เช่น ลูกผสมอเมริกนั บราหม์ นั กบั พน้ื เมือง (ภาพท่ี 8.11) ลูกผสมบราห์มนั พน้ื เมืองกบั ชาโรเล่ย์ ลูกผสมบราห์มนั กบั ชาโรเล่ย์ ฯลฯ6.1.2 เพศโคทจ่ี ะนามาขนุ ควรเป็นเพศผูเ้ นื่องจากตวั ใหญแ่ ละโตเร็ว จะเป็นเพศผตู้ อนหรือไม่ตอนก็ได้6.1.3 อายโุ ค จะมีความสมั พนั ธก์ บั ระยะเวลาการขนุ กล่าวคือ โคอายนุ อ้ ยจะใหเ้ วลาขนุ นานกวา่ โคอายมุ ากดงั น้ี6.1.3.1 โคหยา่ นมจะใชเ้ วลาขนุ นาน 10 เดือน6.1.3.2 โคอายุ 1 ปี ใชเ้ วลาขนุ นาน 8 เดือน6.1.3.3 โคอายุ 1.5 ปี ใชเ้ วลาขนุ นาน 6 เดือน6.1.3.4 โคอายุ 2 ปี ใชเ้ วลาขนุ นาน 4 เดือน6.1.3.5 โคเตม็ วยั ใชเ้ วลาขนุ นาน 4 เดือน

63ภาพท่ี 8.11 ลูกโคเน้ือลูกผสมอเมริกนั บราห์มนัทีม่ า (ศรเทพ ธมั วาสร, 2539, หนา้ 29)6.2 แหล่งทจ่ี ะหาซ้ือโคมาขนุ อาจจะไดจ้ ากคอกของผเู้ ล้ียงเอง โดยเล้ียงแม่เพอ่ื ผลิตลูกเอง หรือซ้ือจากผผู้ ลิตลูกโคขาย หาซ้ือตามตลาดนดั โคกระบอื หรือซ้ือจากผเู้ ล้ียงรายยอ่ ยกไ็ ด้ โดยท่ีผซู้ ้ือจะตอ้ งมีความชานาญในการดูลกั ษณะโคเป็นอยา่ งดี6.3 อาหารโคขนุ ส่วนมากจะเล้ียงดว้ ยอาหารหยาบแลว้ เสริมดว้ ยอาหารขน้ อาหารหยาบจะใชห้ ญา้ สดเป็นอาหารหลกั หรืออาจจะเป็นหญา้ หมกั ตน้ ขา้ วโพด เปลือกถวั่ เปลือกสบั ปะรด ส่วนอาหารขน้ จะนาวตั ถุดิบต่าง ๆ มาผสมกนั แต่ตอ้ งมีคุณภาพดี มีโปรตีนและพลงั งานตามที่โคตอ้ งการ6.4 การจดั การดา้ นอื่น ๆ ใหป้ ฏิบตั ิดงั น้ี6.4.1 กกั สตั วด์ ูอาการในคอกกกั กนั อยา่ งนอ้ ย 14 วนั6.4.2 จดั โคขนาดใกลเ้ คียงกนั ใหอ้ ยใู่ นคอกขนุ เดียวกนั (ภาพที่ 8.12)6.4.3 ใหว้ คั ซีนป้องกนั โรคสาคญั ๆ เช่น ปากและเทา้ เปื่ อย คอบวม แอนแทรกซห์ รือกาลี6.4.4 ถ่ายพยาธิท้งั ตวั กลมตวั แบนหลงั ให้วคั ซีน 1 สปั ดาห์6.4.5 กาจดั พยาธิภายนอก เช่น เห็บ6.4.6 โคผจู้ ะตอ้ งเป็นโคผตู้ อน จะเช่ือง สะสมไขมนั ไดม้ าก

646.4.7 การขนุ ข้นึ กบั อายแุ ละสภาพของสตั ว์ โครุ่น ใชเ้ วลาขนุ นานกวา่ ประมาณ 6 – 8 เดือน โคอายมุ าก โคผอม ใชเ้ วลาขนุ ส้นั กวา่ 3 –6 เดือน6.4.8 การใหอ้ าหารในระยะขนุ ช่วงแรกใหอ้ าหารขน้ โปรตนี 8 เปอร์เซ็นต์ จานวน 3 ส่วน อาหารหยาบ 7ส่วน ช่วงกลางอาหารขน้ 5 ส่วน อาหารหยาบ 5 ส่วน และช่วงสุดทา้ ย อาหารขน้ 7 ส่วน อาหารหยาบ 3 ส่วน6.5 ลกั ษณะโคขนุ ท่ีพร้อมส่งตลาด โคขนุ ท่พี ร้อมจะส่งตลาดจะตอ้ งมีลกั ษณะดงั น้ี6.5.1 กลา้ มเน้ือเจริญเติบโตเตม็ ท่ี6.5.2 มีการผสมไขมนั ท้งั แทรกอยใู่ นเน้ือและหุม้ อยนู่ อกกลา้ มเน้ือ (ภาพที่ 8.13)6.5.3 โคจะมีอตั ราการเจริญเตบิ โตนอ้ ยลงถึงแมจ้ ะไดอ้ าหารมาก6.5.4 ใหจ้ บั โคขนุ ส่งตลาดไดเ้ มื่อสภาพของโคสมบรู ณ์และเติบโตเตม็ ที่ภาพท่ี 8.12 โคขนุ และคอกโคขนุท่มี า (ทมี งานนิตยสารสตั วบ์ ก, 2544, หนา้ 4)

65ภาพท่ี 8.13 ซากโคขนุ คุณภาพดีทมี่ า (สวา่ ง องั กโุ ร, 2543, หนา้ 32) หน่วยที6่ โรคสาคญั ในโคเน้ือโคนม1. โรคท่ีสาคญั ในโคและกระบือโรคทส่ี าคญั ในโคและกระบอื น้นั มีอยดู่ ว้ ยกนั หลายโรค บางโรคกส็ ามารถแพร่ระบาดติดต่อกนั ไดแ้ ต่บางโรคก็ไม่สามารถแพร่กระจายได้ ผเู้ ล้ียงสตั วจ์ าเป็นอยา่ งยงิ่ ทีจ่ ะตอ้ งมีความรู้และความเขา้ ใจเกี่ยวกบั โรคชนิดตา่ งๆ ในโคและกระบือ ตอ้ งศึกษาวธิ ีการป้องกนั มิใหเ้ กิดโรคกบั สตั วเ์ ล้ียงของตน หรือเมื่อเกิดโรคข้ึนในฝงู สตั ว์แลว้ จะดาเนินการรกั ษาอยา่ งไร โรคท่ีสาคญั ในโคและกระบอื มีดงั ต่อไปน้ี1.1 โรคแอนแทรกซ์ (anthrax) เป็นโรคที่ร้ายแรงโรคหน่ึง นิยมเรียกโรคน้ีวา่ โรคกาลี โค กระบอื และแกะ ท่ีป่ วยเป็นโรคแบบเฉียบพลนั มีลกั ษณะสาคญั คอื สตั วป์ ่ วยจะตายอยา่ งรวดเร็ว มีเลือดสีดาคล้าไหลออกตาม

66ทวารต่างๆ ซากไม่แขง็ ตวั เป็นโรคตดิ ต่อที่รา้ ยแรงชนิดหน่ึง นอกจากจะตดิ ตอ่ กนั ในฝงู สตั วแ์ ลว้ ยงั สามารถติดต่อไปถึงคนไดด้ ว้ ย1.1.1 สาเหตุและการแพร่โรค โรคน้ีมีสาเหตุจากเช้ือแบคทเี รียช่ือ แบซิลลสั แอนทราซิส (Bacillus anthracis)พบมากในช่วงการเปลี่ยนแปลงของอากาศ โรคน้ีส่วนมากเกิดจากการหายใจเอาสปอร์ของเช้ือแบคทเี รียที่ปนเป้ื อนอยใู่ นดินหรือหญา้ เขา้ สู่ร่างกาย และอาหารท่ีมีเช้ือปะปนอยเู่ ขา้ ไป แต่สตั วจ์ ะเป็นโรคน้ีโดยเช้ือเขา้ทางบาดแผลไดเ้ ช่นกนั เม่ือเช้ือเขา้ ตวั สตั วแ์ ลว้ จะกระจายอยตู่ ามส่วนตา่ งๆ ของร่างกาย พร้อมกบั สรา้ งสารพษิ ข้นึ มาทาใหส้ ตั วป์ ่ วยและตายในทสี่ ุด (กรมปศุสตั ว,์ 2549 ข.)1.1.2 อาการ สตั วเ์ ป็ นโรคน้ีแบบเฉียบพลนั จะตายอยา่ งรวดเร็วภายในเวลา 1 – 2 ชว่ั โมง แตถ่ า้ เป็ นแบบรุนแรงจะตายภายใน 1 – 2 วนั สตั วจ์ ะมีอาการซึม หายใจเร็ว ลึก หวั ใจเตน้ เร็ว ไขส้ ูงประมาณ 107 องศาฟาเรนไฮต์ เยอื่ ชุ่มต่าง ๆ มีเลือดคง่ั หรือมีจดุ เลือดออกตามลาตวั น้านมลดอยา่ งรวดเร็วและอาจมีเลือดปนหรือมีสีเหลืองเขม้ ทอ้ งอืดและตายในที่สุด1.1.3 การควบคุมและป้องกนั1.1.3.1 แยกสตั วป์ ่ วยออกจากฝงู1.1.3.2 ฝังหรือเผาซากสตั วต์ ลอดจนดินบริเวณท่ีสตั วต์ าย การฝังควรขดุ หลุมลึกประมาณ 2 เมตร โรยปนู ขาวบนตวั สตั วก์ ่อนกลบดิน1.1.3.3 ใชน้ ้ายา ฟอร์มาลิน (formalin) หรือโซเดียมไฮดรอกไซด์ (sodium hydroxide) 5 – 10 เปอร์เซ็นต์ ราดฆ่าเช้ือ1.1.3.4 กกั ดูอาการสตั วท์ ่ีรวมฝงู กบั สตั วป์ ่ วยหรือตาย1.1.3.5 ฉีดวคั ซีนใหส้ ตั วอ์ ายตุ ้งั แต่หยา่ นมข้ึนไป ในรัศมี 10 กิโลเมตร จากจุดเกิดโรค โดยฉีดทกุ ๆ 6 เดือนติดต่อกนั เป็นเวลา 5 ปี โค กระบือ ฉีดเขา้ ใตผ้ วิ หนงั ตวั ละ 1 มิลลิลิตร หลงั ฉีดวคั ซีนแลว้ บริเวณที่ฉีดจะบวมและสตั วม์ ีไขเ้ ลก็ นอ้ ย 2 – 3 วนั อยา่ ฉีดใหส้ ตั วก์ าลงั ต้งั ทอ้ งเพราะจะทาใหแ้ ทง้ ได้1.1.4 การรักษาใชเ้ พนนิซิลินฉีดควบคู่กบั ซีรมั ป้องกนั โรคแอนแทรกซ์ หรือรักษาดว้ ยยาปฏิชีวนะจาพวกเตตระไซคลิน ตดิ ต่อกนั 3 – 4 วนั1.2 โรคปากและเทา้ เปื่ อย (foot and mouth disease) โรคปากและเทา้ เป่ื อยก็เป็น อีกโรคหน่ึงที่เกิดข้ึนกบั โคและกระบือแลว้ ระบาดติดตอ่ กนั ได้ มีรายละเอียดดงั น้ี1.2.1 สาเหตุ เกิดจากเช้ือไวรสั เอฟ เอม็ ดี (FMD) ทพ่ี บในประเทศไทยมี 3 ไทป์ คอื โอ (O) เอ (A) และเอเชียวนั (Asia I) เช้ือท้งั 3 ไทป์ น้ี จะทาใหส้ ตั วป์ ่ วยแสดงอาการเหมือนกนั1.2.2 อาการ โคท่เี ป็นโรคน้ีจะมีไข้ ซึม เบอื่ อาหาร หลงั จากน้นั จะมีเม็ดตมุ่ พอง เกิดท่รี ิมฝีปากในช่องปากเช่น เหงือกและลิ้น ทาใหน้ ้าลายไหล กินอาหารไม่ได้ และเกิดเม็ดต่มุ ทร่ี ะหวา่ งช่องกีบ ไรกีบ ทาใหเ้ จบ็ มาก

67เดินกะเผลก เมื่อเมด็ ตมุ่ แตกออกอาจมีเช้ือแบคทเี รียร่วมดว้ ย ทาใหแ้ ผลหายชา้ ขณะทีโ่ คเป็นโรคจะผอมน้านมจะลดลงอยา่ งมาก1.2.3 การรกั ษา ถา้ ไม่มีโรคแทรกซอ้ นแผลจะหายเองใน 1 - 2 สปั ดาห์ ถา้ แผลมกี ารติดเช้ือใหท้ าความสะอาดแผล สาหรบั ทีก่ ีบใส่ยาปฏิชีวนะชนิดทใี่ ชป้ ้ายแผล เช่น เพนนิซิลิน หรือฟิ วราโซลิโดน สาหรับที่ปากป้ายดว้ ยยาสีม่วง (เจนเชียนไวโอเลท)1.2.4 การควบคุมและป้องกนั ฉีดวคั ซีนป้องกนั โรค โดยฉีดคร้งั แรกเม่ือโคอายุ 6 เดือน และฉีดซ้าทกุ ๆ 6เดือน1.3 โรคบรูเซลโลซิส (brucellosis) โรคบรูเซลโลซิสหรือท่เี กษตรกรนิยมเรียกวา่ โรคแทง้ หรือโรคแทง้ ติดตดิ ตอ่ เป็นโรคติดต่อเร้ือรังทส่ี าคญั ของสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม เช่น โค กระบือ สุกร แพะ มา้ สุนขั เป็นตน้ และติดตอ่ สู่คนได้ ลกั ษณะที่ควรสงั เกตของโรคน้ี คือ สตั วจ์ ะแทง้ ลูกในช่วงทา้ ยของการต้งั ทอ้ งและอตั ราการผสมติดในฝงู จะต่า1.3.1 สาเหตแุ ละการแพร่ของโรค เกิดจากเช้ือแบคทเี รีย ช่ือ บรูเซลล่า (Brucella spp.) พบมีการแพร่ระบาดในทกุ ประเทศของโลก โดยเฉพาะโคนม ยงั มีความสาคญั ในดา้ นสุขภาพอนามยั ของมนุษยด์ ว้ ย โรคน้ีสามารถติดตอ่ ถึงคนได้1.3.2 อาการ แม่โคจะแทง้ ลูกในระยะต้งั ทอ้ งได้ 5 – 8 เดือน จะมีรกคา้ งและมดลูกอกั เสบตามมาเสมอ การแทง้ มกั จะเกิดข้ึนในการต้งั ทอ้ งแรกเท่าน้นั หลงั จากน้นั อาจไม่แทง้ แตจ่ ะเป็ นตวั อมโรคแพร่ไปยงั โคตวั อื่น ๆได้1.3.3 การรักษา ไม่แนะนาใหร้ กั ษาเนื่องจากไม่ใหผ้ ลดีเทา่ ท่ีควร1.3.4 การควบคุมและป้องกนั1.3.4.1 ควรตรวจโรคทุก ๆ 6 เดือน ในฝงู โคที่ยงั ไม่ปลอดโรคและทุกปี ในฝงู โคท่ปี ลอดโรค1.3.4.2 สตั วท์ ี่ตรวจพบวา่ เป็นโรคควรจะแยกออกจากฝงูww 1.3.4.3 คอกสตั วป์ ่ วยดว้ ยโรคน้ี ตอ้ งใชน้ ้ายาฆ่าเช้ือทาความสะอาดแลว้ ทิ้งรา้ งไวอ้ ยา่ งนอ้ ย 1 เดือน ก่อนนาสตั วใ์ หม่เขา้ คอก1.3.4.4 ทาลายลูกทีแ่ ทง้ รก น้าคร่า โดยการฝังหรือเผา แลว้ ทาความสะอาดพ้นื ท่นี ้นั ดว้ ยน้ายาฆ่าเช้ือ1.3.4.5 กาจดั นก หนู แมลง สุนขั แมว และสตั วเ์ ล้ียงอื่นซ่ึงเป็ น ตวั แพร่โรคออกไป1.3.4.6 สตั วท์ น่ี ามาเล้ียงใหม่ ตอ้ งปลอดจากโรคน้ีก่อนนาเขา้ คอก1.3.4.7 โคพอ่ พนั ธุท์ ใี่ ชต้ อ้ งไม่เป็นโรคน้ี1.3.4.8 ทาวคั ซีนตามกาหนด1.4 โรควณั โรค (Tuberculosis) วณั โรคเป็นโรคที่ตดิ ตอ่ เร้ือรงั สามารถตดิ ต่อระหวา่ งคนกบั สตั วไ์ ด้ เช้ือโรคน้ี

68มีความทนทานสามารถอยใู่ นซากสตั วไ์ ดห้ ลายสปั ดาห์ และสามารถอยใู่ นน้านมไดป้ ระมาณ 10 วนั1.4.1 สาเหตุ เกิดจากเช้ือแบคทเี รียท่ีเรียกวา่ ไมโคแบคทเี รียม โบวสิ (Mycobacterium bovis) ตวั การท่ีแพร่โรค คอื คนและสตั วท์ ี่ป่ วย1.4.2 การติดตอ่ การหายใจพบมากทีส่ ุดถึง 70 เปอร์เซ็นต์ การกินน้า อาหาร น้านม การสมั ผสั ทางผวิ หนงั ท่ีเป็นแผล ตดิ ตอ่ จากแม่ทีป่ ่ วยไปยงั ลูกในทอ้ งโดยผา่ นทางสายสะดือ การผสมพนั ธุ์1.4.3 อาการ สตั วจ์ ะเบือ่ อาหารซูบผอมลงเร่ือย ๆ สตั วอ์ าจจะมีไขไ้ ดเ้ ลก็ นอ้ ย อาการอ่ืน ๆ นอกจากน้ีจะข้นึ กบั อวยั วะที่เป็น เช่น เกิดวณั โรคที่ปอด สตั วจ์ ะไอในตอนกลางคืนหรือเม่ือทางานหนกั วณั โรคท่ีลาไสจ้ ะมีอาการทอ้ งเสียร่วมดว้ ย วณั โรคทล่ี ูกอณั ฑะ ลูกอณั ฑะจะบวมโต วณั โรคท่เี ตา้ นม เตา้ นมจะอกั เสบ วณั โรคท่ีสมองจะพบวา่ สตั วม์ ีอาการทางประสาท เมื่อชาแหละซากสตั วท์ ี่ป่ วยเป็ นโรคน้ีจะพบตุ่มเป็นกอ้ นสีเทามนัๆ ตรงกลางจะเป็นหนองสีเหลือง หนองแขง็1.4.4 การดูแลรักษาเบ้ืองตน้ ไม่มียารกั ษา เม่ือพบสตั วป์ ่ วยใหแ้ ยกออกจากฝงู แลว้ ทาลาย1.4.5 การควบคุมและป้องกนั1.4.5.1 ควรติดตอ่ สตั วแพทยใ์ นทอ้ งท่ีใหท้ าการทดสอบโค ดว้ ยวิธีการทดสอบทางผวิ หนงั อยา่ งสม่าเสมอ ปีละ 1 คร้ัง1.4.5.2 ถา้ พบวา่ สตั วใ์ นฝงู เป็ นโรคหรือสงสยั วา่ เป็ นโรค ควรแยกสตั วน์ ้นั ออกจากฝงู และทาลายสตั ว์1.4.5.3 ฟาร์มที่เคยมีประวตั กิ ารเป็นโรค หรือยงั คงมีโรคน้ีอยตู่ อ้ งมีการตรวจโรคสม่าเสมอ และทาการเฝ้าระวงั โรค1.4.5.4 การนาสตั วเ์ ขา้ – ออกจากฟาร์ม ตอ้ งทาการตรวจโรค1.5 โรคเฮโมรายกิ เซฟติซีเมีย (haemorrhagic septicemia) โรคเฮโมรายกิ เซฟติซีเมียหรือนิยมเรียกตามอาการวา่ “โรคคอบวม” เป็นโรคระบาดรุนแรงของโค – กระบือ แต่โรคน้ีจะมีความรุนแรงนอ้ ยลงในสตั วอ์ ื่น ๆ เช่นแกะ สุกร มา้ อูฐ กวาง และชา้ ง เป็นตน้ ลกั ษณะสาคญั ของโรค คือ หายใจหอบลึกมีเสียงดงั คอหรือหนา้ บวมแขง็ อตั ราการป่ วยและอตั ราการตายสูง1.5.1 สาเหตแุ ละการแพร่ระบาด เกิดจากเช้ือแบคทเี รีย ช่ือ พาสทูเรลลา มลั โตซิดา (Pasteurella multocida)พบในประเทศตา่ ง ๆ ของเอเซียและอาฟริกาเป็นส่วนมาก การระบาดของโรคจะเกิดข้นึ ในสภาวะท่สี ตั วเ์ กิดความเครียด เช่น ตน้ หรือปลายฤดูฝน การเคล่ือนยา้ ยสตั วห์ รือการใชแ้ รงงานสตั วม์ ากเกินไป ในสภาวะความเครียดเช่นน้ีสตั วท์ ่เี ป็นตวั เก็บเช้ือ (carrier) จะปล่อยเช้ือออกมาปนเป้ื อนกบั อาหารและน้า เมื่อสตั วต์ วัอ่ืนกินอาหารหรือน้าท่มี ีเช้ือปนอยเู่ ขา้ ไป wwก็จะป่ วยเป็ นโรคน้ีและขบั เช้ือออกมากบั ส่ิงขบั ถ่ายตา่ ง ๆ เช่นน้ามูก น้าลาย อุจจาระ ทาใหโ้ รคแพร่ระบาดตอ่ ไป เช้ือ Pasteurella multocida น้ีเม่ือปนเป้ื อนอยใู่ นแปลงหญา้จะมีชีวติ อยไู่ ดป้ ระมาณ 24 ชว่ั โมง แต่ถา้ อยใู่ นดินที่ช้ืนแฉะอาจมีชีวติ อยไู่ ดน้ านถึง 1 เดือน

691.5.2 อาการ สตั วท์ เ่ี ป็นโรคแบบเฉียบพลนั จะมีอาการซึม ไขส้ ูง 104 – 107 องศาฟาเรนไฮต์ น้าลายไหล และตายภายในเวลาอนั รวดเร็วไม่เกิน 24 ชว่ั โมง แต่ถา้ เป็นโรคแบบเร้ือรงั จะสงั เกตเห็นอาการทางระบบหายใจคือ อา้ ปากหายใจ หายใจหอบลึก ยดื คอไปขา้ งหนา้ หายใจมีเสียงดงั ลิ้นบวมจกุ ปาก หนา้ คอ หรือบริเวณหนา้ อกจะบวมแขง็ ร้อน ต่อมาจะมอี าการเสียดทอ้ ง ทอ้ งอืด อุจจาระมีมูกเลือดปน สตั วจ์ ะตายภายใน 2 – 3วนั (สถาบนั สุขภาพสตั ว์ กรมปศสุ ตั ว,์ 2549)1.5.3 การรักษา การรักษาจะไดผ้ ลดีเม่ือทาการรกั ษาขณะสตั วเ์ ริ่มแสดงอาการป่ วย โดยใหย้ าปฏิชีวนะหรือยาซลั ฟาตา่ ง ๆ เช่น อ๊อกซีเตตาไซคลิน เทอราไมซิน เพนนิซิลิน ซลั ฟา-ไดมิดิน เป็ นตน้ การควบคุมและป้องกนัทาไดด้ งั น้ี1.5.3.1 เม่ือมีสตั วป์ ่ วยหรือตายทส่ี งสยั วา่ จะเป็นโรคระบาดน้ี ใหแ้ จง้ เจา้ หนา้ ทีส่ ตั วแพทยใ์ นทอ้ งที่โดยเร็ว1.5.3.2 สตั วท์ ต่ี ายไม่ควรนาไปบริโภค ควรฝังหรือเผาป้องกนั การ แพร่ระบาดของโรค1.5.3.3 ควรแยกสตั วป์ ่ วยออกจากฝงู ทนั ทแี ละรีบตามเจา้ หนา้ ทม่ี าทาการรักษา1.5.3.4 หลีกเล่ียงสภาวะทีท่ าให้สตั วเ์ กิดความเครียดดว้ ยการจดั การและสุขาภิบาลทดี่ ี1.5.3.5 ทาวคั ซีนป้องกนั โรคใหโ้ ค – กระบือ อายตุ ้งั แต่ 4 เดือนข้ึนไป โดยใชว้ คั ซีนเช้ือตายชนิดส่ือน้าในน้ามนั วคั ซีนน้ีจะสามารถคุม้ โรคไดน้ าน 1 ปีww1.6 โรคแบลกเลก (blackleg) เป็ นโรคติดต่อร้ายแรงของโค – กระบือ ลกั ษณะสาคญั ของโรคน้ีคอื การอกั เสบของกลา้ มเน้ือ โดยเฉพาะบริเวณตน้ ขาหลงั บริเวณท่อี กั เสบจะบวมร้อน มีอาการแทรกอยภู่ ายใน เมื่อกดดูจะมีเสียงดงั กรอบแกรบ ไขส้ ูง และเดินขากะเผลก จงึ เรียกโรคน้ีวา่ โรคไขข้ า1.6.1 สาเหตุและการแพร่กระจาย เกิดจากเช้ือแบคทเี รีย ช่ือ คลอสตริเดียม โชวไิ อ (Clostridium chouvei) โคท่ีเป็นโรคน้ีส่วนมากเกิดจากการกินอาหารทม่ี ีเช้ือปะปนอยู่ โรคน้ีมกั เกิดกบั โคทม่ี ีอายรุ ะหวา่ ง 6 – 24 เดือนเป็นส่วนมาก และมกั เกิดซ้าในจุดท่เี คยเกิดโรคอยเู่ สมอ1.6.2 อาการ โคจะซึม เดินขากะเผลกขา้ งเดียวหรือท้งั สองขา้ ง มีไขส้ ูง 105 ถึง 107 องศาฟาเรนไฮต์ หยดุ เค้ยี วเอ้ือง หายใจเร็ว เกิดการบวมของกลา้ มเน้ือบริเวณสะโพก โคนขาหลงั ไหล่ หนา้ อก คอ หรือล้ิน เม่ือกดบริเวณที่บวมจะไดย้ นิ เสียงดงั กรอบแกรบ เพราะ มีฟองอากาศแทรกอยภู่ ายในและโคจะแสดงอาการเจบ็ ปวดผวิ หนงั บริเวณน้ีจะมีสีแดงคล้า รอ้ น ตอ่ มาจะเยน็ ลง ผวิ หนงั จะแหง้ ดาและโคไม่แสดงอาการเจบ็ ปวด โคบางตวั จะลม้ ลงนอน กลา้ มเน้ือสน่ั ชีพจรเตน้ เร็ว เยอื่ เมือกมีเลือดคง่ั ปวดเสียดทอ้ ง อุณหภูมิต่ากวา่ ปกตแิ ละตายภายใน 12 – 48 ชวั่ โมง1.6.3 การรักษา การรักษาจะไดผ้ ลดีเม่ือทาการรกั ษาต้งั แต่สตั วเ์ ริ่มแสดงอาการโดยฉีดเพนิซิลลิน (penicillin)เขา้ กลา้ มเน้ือบริเวณทีเ่ กิดการอกั เสบ หรือใชอ้ ๊อกซีเตตราไซคลิน (oxytetracycline) หรือคลอเตตราไซคลิน(chlortetracycline) ก็ไดผ้ ลดีเช่นเดียวกนั

701.6.4 การควบคุมและป้องกนั กรณีทม่ี ีโรคระบาดเกิดข้ึนจะตอ้ งแยกสตั วป์ ่ วยออกจากฝงู พร้อมท้งั ใหก้ ารรกั ษา สตั วต์ ายจะตอ้ งฝังหรือเผา และสตั วท์ ่ีเหลือภายในฝงู ตอ้ งทาวคั ซีนควบคู่กบั การฉีดเพนิซิลลินในขนาด6,000 ยนู ิตตอ่ น้าหนกั ตวั สตั วห์ น่ึงกิโลกรัม1.7 โรคเตา้ นมอกั เสบ (mastitis) เตา้ นมอกั เสบ หมายถึง การอกั เสบของส่วนต่าง ๆ ของเตา้ นม เช่น กระเปาะสรา้ งนม ท่อน้านม ทอ่ รวมน้านมหรือโพรงหวั นม ทาใหเ้ กิดการ เปลี่ยนแปลงลกั ษณะของเตา้ นม น้านมและส่วนประกอบของน้านม มีผลใหค้ ุณภาพน้านมดอ้ ยลงไป1.7.1 สาเหตุ โรคเตา้ นมอกั เสบมีสาเหตจุ ากการติดเช้ือแบคทีเรียเป็นส่วนมาก แตอ่ าจเกิดจากเช้ือราหรือยสี ส์ก็ได้ โคสามารถติดเช้ือแบคทเี รียไดจ้ าก 2 แหล่งสาคญั คอื จากแม่โคท่ีเป็นโรคเตา้ นมอกั เสบและจากส่ิงแวดลอ้ มรอบ ๆ ตวั โคเอง1.7.2 อาการ เตา้ นมอกั เสบมี 2 ลกั ษณะสาคญั คือ1.7.2.1 เตา้ นมอกั เสบแบบแสดงอาการ จะมีการเปลี่ยนแปลงลกั ษณะของเตา้ นมและน้านม เป็นไปไดม้ ากนอ้ ยข้นึ อยกู่ บั ชนิดของเช้ือ ปริมาณเช้ือ และตวั แม่โค เตา้ นมอาจมีลกั ษณะบวม แขง็ เท่าน้นั หรือในรายทเ่ี ป็นรุนแรงมากอาจถึงกบั เตา้ นมแตกก็มีส่วนลกั ษณะน้านมอาจพบ ต้งั แตน่ ้านมเป็ นสีเหลืองเขม้ ขน้ จนถึงเป็นน้าใสมีหนองปนเลือด1.7.2.2 เตา้ นมอกั เสบแบบไม่แสดงอาการ ไม่มีการเปล่ียนแปลงลกั ษณะของเตา้ นมและน้านมใหเ้ ห็น การอกั เสบแบบน้ีพบได้ 8 – 10 เท่าของการอกั เสบแบบแสดงอาการ และมีสาเหตสุ าคญั ทีท่ าใหค้ ุณภาพน้านมเสื่อม เนื่องจากปริมาณเช้ือแบคทเี รียและเม็ดเลือดขาวในน้านมสูง สามารถตรวจไดโ้ ดยใชน้ ้ายา CMT หาปริมาณเม็ดเลือดขาวในน้านม1.7.3 การรกั ษา การรกั ษาโรคเตา้ นมอกั เสบตอ้ งใชย้ าปฏิชีวนะเป็ นส่วนมาก เพราะสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเช้ือแบคทเี รีย ซ่ึงมีท้งั แบคทเี รียแกรมบวกและแกรมลบ ยาปฏชิ ีวนะแต่ละชนิดกส็ ามารถทาลายเช้ือแบคทีเรียไดแ้ ตกต่างกนั ดงั น้นั จึงควรศึกษาประสิทธิภาพของ ยาปฏิชีวนะตา่ ง ๆ ไว้ เพอ่ื จะไดใ้ ชย้ าให้เหมาะสมกบัชนิดของเช้ือแบคทีเรีย1.7.4 การควบคุมและป้องกนั1.7.4.1 ตอ้ งเล้ียงโคนมไม่ใหอ้ ยแู่ ออดั จนเกินไป1.7.4.2 คอกที่เล้ียงตอ้ งแหง้ สะอาด ไม่ปลอ่ ยให้อุจจาระหมกั หมม1.7.4.3 แม่โคที่นาเขา้ มาใหม่ควรไดร้ บั การตรวจโรคเตา้ นมอกั เสบก่อนท่จี ะนามาเล้ียงในฟาร์ม1.7.4.4 ก่อนการรีดนมควรลา้ งเตา้ นมใหส้ ะอาดดว้ ยน้ายาคลอรีนและเชด็ ใหแ้ หง้1.7.4.5 ผา้ เช็ดเตา้ นมตอ้ งใชต้ วั ละหน่ึงผนื และตอ้ งแหง้ สะอาด1.7.4.6 มือผรู้ ีดก่อนทาการรีดจะตอ้ งลา้ งใหส้ ะอาดและเช็ดใหแ้ หง้ ถา้ สวมถุงมอื ไดย้ ง่ิ เป็นการดี

711.7.4.7 ก่อนรีดน้านมทกุ คร้ังตอ้ งตรวจดว้ ยถว้ ยตรวจนม (strip cup)1.7.4.8 ควรเช็ดหวั นมทุกคร้ังหลงั รีดนมดว้ ยน้ายาฆ่าเช้ือ เช่น คลอเฮก-ซิดิน (0.5 เปอร์เซ็นต)์ หรือไอโอไดฟอร์ (0.5 - 1.0 เปอร์เซ็นต)์1.7.4.9 ควรตรวจโคในฝงู ดว้ ยน้ายา CMT ทุกคร้งั ท่ีตรวจพบวา่ โคเป็ นโรคเตา้ นมอกั เสบ หรืออยา่ งนอ้ ยเดือนละ 1 คร้งั1.7.4.10 ควรสอดยาดราย (dry) เพอื่ ป้องกนั การเกิดเตา้ นมอกั เสบในช่วงก่อนหรือหลงั คลอดลูกใหม่ ๆ1.8 โรคเลปโตสไปโรซิส (leptospirosis) โรคเลปโตสไปโรซิสน้ีพบในสตั วเ์ ล้ียงทกุ ชนิดรวมท้งั สตั วป์ ่ า หนูสตั วเ์ ลือดเยน็ และตดิ ตอ่ ถึงคนได้1.8.1 สาเหตุและการตดิ ต่อ เกิดจากเช้ือเลปโตสไปรา (Leptospira spp.) มีลกั ษณะเป็นเสน้ เกลียวยาวเหมือนเสน้ ดา้ ย ปลายดา้ นหน่ึงหรือสองดา้ นโคง้ งอ มีความยาว 8 - 12 ไมครอน อุณหภูมิทเี่ หมาะสมในการเจริญเตบิ โตของเช้ือประมาณ 20 – 30 oC การเกิดโรคน้ี พบวา่ หนูเป็นตวั การสาคญั1.8.2 อาการและวกิ าร1.8.2.1 มีไขแ้ ละเกิดภาวะโลหิตเป็นพษิ ซ่ึงจะทาใหโ้ คทีต่ ้งั ทอ้ งแทง้ ได้1.8.2.2 มีจุดเลือดออกตามเยอ่ื เมือกต่าง ๆ1.8.2.3 ในลูกสตั วอ์ าจมีการซีดตามเยอ่ื เมือก และอาจมีอาการดีซ่านไดใ้ นสตั วบ์ างตวั1.8.2.4 มีอาการทางระบบไต เช่น ไตอกั เสบ ปัสสาวะออกมามีสีแดง ฯลฯ (มกั จะพบในรายที่มีอาการแบบเร้ือรัง)1.8.2.5 เตา้ นมอกั เสบ (มกั พบในรายท่ีมีอาการแบบเฉียบพลนั )1.8.3 การรกั ษา ใชย้ าปฏิชีวนะ คือ ไดไฮโดรสเตร็ปโตมยั ซิน , เตท็ ตราไซคลิน และเพน็ นิซิลิน1.8.4 การควบคุมและป้องกนั1.8.4.1 กาจดั สตั วท์ เี่ ป็ นตวั นาโรค เช่น หนู1.8.4.2 การสุขาภิบาล และการจดั การทีด่ ี1.8.4.3 แยกสตั วท์ ่ตี ิดเช้ือออกจากฝงู1.9 โรครินเดอร์เปสต์ (rinderpest)1.9.1 สาเหตเุ กิดจากเช้ือไวรัสพารามิกโซ (paramyxovirus)1.9.2 การตดิ ต่อโรค เช้ือจะถูกขบั ออกมากบั ส่ิงขบั ถ่ายต่าง ๆ ของสตั ว์ โดยสตั วจ์ ะติดโรคจากการสมั ผสั กบัสตั วป์ ่ วยโดยตรง การกินน้าหรืออาหารท่ีปนเป้ื อนเช้ือ สตั วอ์ ายนุ อ้ ย จะติดโรคไดง้ ่าย โคจะทนทานโรคมากกวา่ กระบอื1.9.3 สตั วท์ เ่ี ป็นโรค พบโรคน้ีใน โค กระบอื แพะ แกะ อูฐ และชา้ ง

721.9.4 อาการ ระยะฟักตวั ประมาณ 2 – 12 วนั ในลูกสตั วจ์ ะเป็นแบบรุนแรง สตั วจ์ ะตายก่อนที่จะแสดงอาการออกมาใหเ้ ห็น ในสตั วท์ ีโ่ ตเตม็ ที่แลว้ จะพบอาการไขส้ ูง 106 – 107 องศาฟาเรนไฮต์ ไม่กินอาหาร เยอื่ บผุ วิ ชุ่มต่าง ๆ อกั เสบมีสีแดงเขม้ เกิดเมด็ ตมุ่ ในช่องปาก เช่น เหงอื ก ล้ิน ริมฝีปาก หรืออาจพบเมด็ ตุ่มบริเวณโคนขาดา้ นใน อณั ฑะ เตา้ นม คอ โคนหาง และอวยั วะเพศเมีย ต่อมากลายเป็ นตมุ่ หนองและลอกหลุดเป็ นแผลน้าลายไหล ตาแดง น้าตาไหล อาจมีหนองปนมากบั น้ามูกน้าลาย หลงั จากน้นั ไขจ้ ะลดลงเป็นปกตหิ รือต่ากวา่พบอาการทอ้ งเสียอยา่ งรุนแรง อุจจาระมีสีดากล่นิ เหม็นคาวจดั มกั มีเยอ่ื เมือกปนออกมาดว้ ย ยนื หลงั โก่งเนื่องจากปวดในช่องทอ้ ง เค้ยี วฟัน ซึม และตายในท่ีสุด สตั วจ์ ะตายในภายใน 5 – 10 วนั หลงั จากมีไขส้ ตั วท์ ี่ไม่ตายจะซูบซีด ขนหยาบกร้าน อตั ราการตายของโรคอาจสูงถึง 80 – 90 เปอร์เซ็นต์1.9.5 การรกั ษา ใหก้ ารรกั ษาตามอาการทพ่ี บ และใหย้ าปฏชิ ีวนะ เพอ่ื ป้องกนั โรคแทรกซอ้ น1.9.6 การป้องกนั และควบคุม1.9.6.1 ทาวคั ซีนทกุ ๆ 2 ปี ในบริเวณทเี่ คยเกิดโรคระบาดหรือตามแนวรอยต่อระหวา่ งประเทศ1.9.6.2 จดั การสุขาภิบาลทด่ี ี1.10 โรคเซอร่า (surra) โรคเซอร่าเป็นโรคติดตอ่ ของสตั วเ์ ล้ียง ซ่ึงอูฐ มา้ ลา ล่อ และสุนขั จะตดิ โรคน้ีไดง้ ่ายและเป็ นโรคอยา่ งรุนแรง สาหรับแพะ แกะ พบเป็ นโรคน้ีนอ้ ย ส่วนโค กระบือ สุกร มีความตา้ นทานดีกวา่และมกั เป็นโรคน้ีอยา่ งอ่อนและเป็ นตวั แพร่เช้ือไปสู่สตั วท์ ี่ไวต่อโรคน้ี โรคน้ีมีลกั ษณะเฉพาะคอื มีไข้ โลหิตจาง และมีผน่ื พพุ องเกิดข้นึ ท่ผี วิ หนงั โรคน้ีไม่ติดคน1.10.1 ช่ือพอ้ ง สาหรับช่ือโรคเซอร่า มกั นิยมเรียกในมา้ ส่วนสตั วอ์ ่ืนนิยมเรียกชื่อโรคน้ีวา่ ทริพพาโนโซเมียซิส (trypanosomiasis) หรือทริพพาโนโซโมซิส (trypanosomosis)ww 1.10.2 สาเหตุ เกิดจากเช้ือโปรโตซวั ชื่อ ทริพพาโนโซมา อีแวนไส (Trypa-nosoma evansi) อยใู่ นกระแสเลือด มา้ ม และน้าไขสนั หลงั เช้ือน้ีจะพบอยนู่ อกเม็ดเลือดแดงww 1.10.3 อาการ ส่วนมาก โค กระบือ มกั เป็ นโรคอยา่ งอ่อนและเร้ือรัง ไม่แสดงอาการภายนอกใหเ้ ห็นเด่นชดั นอกจากซีดและผอม บางรายอาจจะมีไขเ้ ลก็ นอ้ ย ซึม โลหิตจาง อ่อนเพลีย น้ามูล น้าตาไหล ตาอกั เสบหรือขนุ่ บวมน้าบริเวณหนา้ อกและทอ้ ง สตั วส์ ามารถฟ้ื นตวั และอาการภายนอกดูเป็นปกติ สาหรับสตั วต์ ้งัทอ้ งอาจแทง้ ลูก1.10.4 การตดิ ตอ่ และแพร่ระบาดของโรค โรคน้ีติดต่อกนั ไดโ้ ดยแมลงดูดเลือดตา่ ง ๆ เช่น แมลงวนั คอกเหลือบ และยงุ เป็นตน้ ในฤดูท่มี ีแมลงชุกชุมจะทาใหแ้ พร่โรคมากยงิ่ ข้ึน เช้ือน้ีสามารถผา่ นเขา้ ทางบาดแผลผวิ หนงั หรือเยอื่ เมือกไดด้ ว้ ย1.10.5 การควบคุมป้องกนั ทาไดด้ งั น้ี1.10.5.1 ในแหล่งท่ีมีโรคระบาด ควรทาการตรวจเลือดอยา่ งนอ้ ย ปี ละคร้งั

731.10.5.2 กาจดั แมลงดูดเลือดทกุ ชนิด โดยทาลายแหล่งอาหารและแหล่งเพาะพนั ธุข์ องแมลงเหล่าน้ี1.11 โรคมงคล่อเทยี ม (melioidosis) เป็นโรคที่พบไดใ้ นสตั วพ์ วก โค กระบือ สุกร แพะ แกะ สุนขั แมว หนูและมา้ โรคน้ีพบในทกุ ภาคของประเทศไทยและพบมากทสี่ ุดในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ สามารถติดตอ่ ถึงคนไดด้ ว้ ย1.11.1 สาเหตุ เกิดจากเช้ือแบคทเี รีย ซูโดโมนาส ซูโดมอลิไอ (Pseudomonas pseudomallei)1.11.2 การตดิ ต่อ เช้ือแบคทีเรีย ซูโดโมนาสน้ี พบไดท้ วั่ ไปในดิน น้า โคลนตม สามารถอยใู่ นน้าไดน้ านประมาณ 8 สปั ดาห์ และอยใู่ นโคลนตมไดป้ ระมาณ 7 เดือน สตั วเ์ ป็นโรคน้ีไดจ้ ากการกินหรือหายใจเอาเช้ือเขา้ ไปหรือเช้ือเขา้ สู่ร่างกายทางบาดแผล ในโคนมเช้ือจะเขา้ ทางรูหวั นมทาให้เตา้ นมมีการอกั เสบ หรือเช้ือเขา้ทางช่องคลอดขณะท่ีโคกาลงั คลอดทาใหเ้ กิดมดลูกอกั เสบ โรคมงคล่อเทยี มจะพบมีการระบาดมากในช่วงฤดูฝน1.11.3 อาการ โคที่เป็นโรคแบบเร้ือรงั ร่างกายจะซูบผอม มีไข้ หายใจหอบ น้ามูก น้าลายไหล จะแสดงอาการอยนู่ าน 2 – 3 เดือน แลว้ ก็ตาย โคบางตวั อาจแสดงอาการทางระบบประสาท เช่น เดินขาหลงั อ่อนไม่มีแรง ชนคอก เป็นตน้ ในโคตวั ผอู้ าจพบลูกอณั ฑะบวมโตขา้ งใดขา้ งหน่ึงเสมอ เน่ืองจากมีหนองแทรกอยรู่ ะหวา่ งลูกอณั ฑะและหนงั หุม้ ลูกอณั ฑะ ในโคนมเช้ือตวั น้ีจะทาใหเ้ กิดโรคเตา้ นมอกั เสบ น้านมทีไ่ ดจ้ ะเป็ นน้าใสมีสีเขียวหรือเหลือง มีหนองปน1.11.4 การรักษา สตั วท์ ี่ป่ วยใหร้ กั ษาดว้ ยยาปฏิชีวนะหรือซลั ฟา เช่น เทอราไมซิน หรือ ซลั ฟาไดอะซิน แต่การรักษามกั ไม่ค่อยไดผ้ ล1.11.5 การควบคุมและป้องกนั1.11.5.1 แยกโคท่แี สดงอาการป่ วยออกจากฝงู1.11.5.2 ทาความสะอาดพน้ื คอกและปล่อยใหพ้ ้นื แหง้ เพราะถา้ คอกสกปรก มีการเปี ยกแฉะเสมอจะทาให้เป็นทีอ่ ยขู่ องเช้ือแบคทีเรียตวั น้ีไดด้ ี1.12 โรคพยาธิภายนอก (ectoparasite) พยาธิภายนอกทีพ่ บในโคมีหลายชนิด ทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ เห็บ ไรข้ีเร้ือนเหา แมลงดูดเลือด และหนอนแมลงวนั1.12.1 เห็บโค1.12.1.1 ความสาคญั ของเห็บโค(1) เห็บโคตวั หน่ึงอาจดูดเลือดไดถ้ ึง 0.5 มิลลิลิตร(2) เป็นตวั นาโรค เห็บโคสามารถนาโรคไดห้ ลายชนิด เช่น บาบีซิโอซิส และอะนาพลาสโมซิส(3) รอยแผลท่เี กิดจากเห็บกดั ทาความเสียหายแก่หนงั โค ทาใหข้ ายหนงั ไม่ไดร้ าคา(4) รอยแผลจากเห็บดูดเลือดอาจเกิดแผลทม่ี ีหนอนแมลงวนั มาเจาะไชได้

741.12.1.2 การควบคุมเห็บโค ประกอบดว้ ย(1) การควบคุมเห็บในทุ่งหญา้ เห็บทีอ่ ยใู่ นทงุ่ หญา้ จะเป็ นเห็บตวั อ่อนหรือเห็บตวั เมียดูดเลือดอิ่มตวั ควรจดั การท่งุ หญา้ โดยการปล่อยทุ่งหญา้ ท้ิงไวน้ าน ๆ หรือไถกลบ ไม่ควรใชส้ ารเคมีหรือยาฆ่าเห็บพน่ ในทงุ่หญา้(2) การควบคุมเห็บบนตวั โค โดยการใชย้ าฆ่าเห็บชนิดตา่ ง ๆ เช่น ยาพวกออแกนโนฟอสฟอรสั เช่น ดาซุนทอล นีโอซิด เนกูวอน ยาพวกไพรีทรอยด์ เช่น คูเพก็ ซ์ ซอลแพค ดบั บลิวพี ไบทรอด์ เอช 10 ดบั บลิวพี บูท๊อกซ์ ยาพวกอะมิดีน เช่น อะมีทราช ยาฉีด เช่น ไอโวเมค็1.12.2 เหาโค1.12.2.2 สาเหตุ เหาโคมีหลายชนิด พบไดง้ ่ายในบริเวณท่ีขนยาว เช่น ที่พหู่ าง มกั พบในลูกสตั วห์ รือสตั วท์ ม่ี ีสุขภาพไม่ดี โคที่มีเหามากจะแสดงอาการคนั อยา่ งเห็นไดช้ ดั1.12.2.3 การควบคุม ยาท่ีใชก้ าจดั เห็บทกุ ชนิดสามารถใชค้ วบคุมเหาไดด้ ี แตค่ วรใชต้ ิดตอ่ กนั 2 คร้ัง เพอื่ ฆ่าตวั อ่อนของเหาท่ีเพงิ่ จะออกจากไข่1.12.3 ไรข้ีเร้ือน แบง่ เป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่1.12.3.2 ไรข้ีเร้ือนขมุ ขน (demodectic mange) เกิดจากไรชนิด ดีโมเดกซ์ (Demodex bovis) พบไดบ้ ่อยในโคประเทศไทย ซ่ึงมีรายละเอียดดงั น้ี(1) อาการ ชนิดทพี่ บมกั เป็นแบบเฉพาะท่ี ซ่ึงรอยโรคท่ปี รากฏจะมีลกั ษณะคลา้ ยเช้ือราคอื มีขนหกั หรือขนร่วงหลุดเป็นวง ๆ ขนาดเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ 2 –5 เซนติเมตร เม่ือดูใกล้ ๆ จะเห็นเป็นรอยนูนสูงข้นึ มาคลา้ ยเป็ นตมุ่ เลก็ ๆ ถา้ บีบหรือขดู บริเวณทเ่ี ป็ นรอยนูนน้ีจะพบของเหลวคลา้ ยหนองขน้ สีขาว เมื่อนาไปตรวจดูดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน์จะพบ ไรข้ีเร้ือนขมุ ขนเป็ นจานวนมาก(2) การรกั ษา ไรข้เี ร้ือนแบบเฉพาะท่ไี ม่ตอ้ งรักษาเพราะโรคมกั ไม่แพร่กระจาย แต่ถา้ โคเป็ นแบบทวั่ ตวั ควรจาหน่ายออกเพราะรกั ษายากมาก ยกเวน้ ในรายที่เป็ นไม่มากอาจใชย้ าทาเฉพาะที่ เช่น ยาพวกออแกนโนฟอสฟอรสั หรือยาอะมิทราช1.12.3.3 ไรข้ีเร้ือนชนิดโคริออนติก (chorioptic mange) เกิดจากไรชนิดโคริออบเทส (Chorioptes spp.)(1) อาการ ในโคจะพบรอยโรคท่บี ริเวณโคนหาง รอบกน้ หลงั และเตา้ นม โดยอาจจะเกิดตมุ่ พอง (papule)หรือรงั แค (scab) หรือรอยโรคที่เป็นลกั ษณะของการระคายเคอื ง หนงั บริเวณน้นั จะหยาบ ยน่ สกปรก ขนร่วงมกั พบไดบ้ อ่ ยทีบ่ ริเวณโคนหางและรอบกน้(2) การรกั ษา เนื่องจากไรชนิดน้ีจะไม่ฝังตวั ลงในผวิ หนงั การรกั ษาจงึ ทาไดไ้ ม่ยากนกั การใชย้ าท่ีเป็ นยาฆ่าเห็บและไร (acaricide) ทกุ ชนิดในขนาดทแี่ นะนาสามารถใชไ้ ดแ้ ตต่ อ้ งพจิ ารณาถึงความเหมาะสม ประหยดัปลอดภยั และพษิ ตกคา้ ง

751.12.4 แผลหนอนแมลงวนั1.12.4.1 สาเหตุ แมลงทท่ี าใหเ้ กิดแผลหนอนในสตั วต์ า่ ง ๆ รวมท้งั โคมีหลายชนิดแตท่ ่พี บบอ่ ยที่สุด คอืแมลงคริสซอเมีย (Chrysomyia bezzina) ซ่ึงแมลงตวั แก่จะมีลกั ษณะคลา้ ยกบั แมลงหวั เขยี วมาก แมลงเหล่าน้ีจะบนิ มาตอมและหากินอยทู่ ี่แผลของสตั ว์ เช่น แผลที่สะดือลูกโค แผลจากอุบตั เิ หตุ และวางไขไ่ วท้ ่แี ผล ไข่จะฟักเป็ นตวั อ่อนหรือหนอน ตวั อ่อนน้ีจะใชเ้ วลาเจริญอยใู่ นแผล 3 – 6 วนั จากน้นั ตวั อ่อนจะหลน่ ลงดินกลายเป็ นดกั แดแ้ ละเจริญเป็ นแมลงตวั แก่ต่อไป1.12.4.2 อาการ บาดแผลจะเปิ ดกวา้ ง เปื่ อยยยุ่ ส่งกล่ินเหม็นเน่า อาจมีเลือดออกเน่ืองจากตวั อ่อนของแมลงวนัชอนไช โคจะแสดงอาการเจบ็ ปวด ถา้ ไมไ่ ดร้ ับการรกั ษาท่ีถูกตอ้ งสุขภาพสตั วจ์ ะทรุดโทรมและอาจตายในที่สุด1.12.4.3 การรกั ษา โกนขนรอบบริเวณแผลใหก้ วา้ งห่างจากขอบแผลพอสมควร ลา้ งแผลใหส้ ะอาดโดยใช้น้ายาฆ่าเช้ือหรือน้าตม้ สุกอุน่ ถา้ มีหนองใหล้ า้ งแผลดว้ ยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ จากน้นั ใชส้ าลีเชด็ ขดู เน้ือตายออกใหห้ มด โรยผงเนกาซนั ตล์ งในแผลเพอ่ื ฆ่าตวั อ่อนแมลง จบั ตวั อ่อนออกใหห้ มดทาแผลดว้ ยทงิ เจอร์ไอโอดีน ควรโรยผงเนกาซนั ตไ์ วอ้ ีกเพอื่ ฆ่าตวั อ่อนทหี่ ลงเหลือและป้องกนั การวางไขซ่ ้า ทาเช่นน้ีทุกวนัจนกวา่ แผลจะหายสนิท1.13 โรคพยาธิใบไมใ้ นตบั (fasciolosis)1.13.1 สาเหตุและการตดิ ต่อ เกิดจากพยาธิชนิดหน่ึงช่ือ ฟาสซิโอล่า ไจแกน-ตกิ า (Fasciola gigantica) ซ่ึงมีรูปร่างลกั ษณะคลา้ ยใบไม้ ขนาดตวั ยาว 30 – 55 มิลลิเมตร กวา้ ง 9 – 15 มิลลิเมตร ลาตวั แบน ส่วนหนา้ กวา้ งกวา่ ส่วนทา้ ย อาศยั อยใู่ นถุงน้าดีและทอ่ น้าดี1.13.2 อาการ มกั พบในโคทม่ี ีอายตุ ้งั แต่ 8 เดือนข้ึนไป อาการป่ วยอาจพบได้ 2 ลกั ษณะ คอื1.13.2.1 อาการเฉียบพลนั เกิดข้นึ เมื่อโคกินตวั ออ่ นระยะตดิ ตอ่ ของพยาธิเขา้ ไปพรอ้ มกนั มาก ๆ พยาธิจะไชเขา้ ตบั ทาใหเ้ กิดแผลและมีเลือดออกมาก โคจะตายกระทนั หนั โดยไม่แสดงอาการล่วงหนา้ พบมากในโคอายุนอ้ ย1.13.2.2 อาการเร้ือรงั มกั พบในโคท่โี ตแลว้ โคที่เป็นโรคจะซูบผอม เบื่ออาหาร ทอ้ งอืดบอ่ ย ๆ โลหิตจางสงั เกตไดจ้ ากเยอื่ เมือกทต่ี าและปากซีด ในแม่โครีดนมปริมาณน้านมลดลง ผวิ หนงั หยาบ มีอาการบวมน้าใต้คาง ทอ้ งผกู สลบั กบั ทอ้ งเสีย และตายในท่สี ุด1.13.3 การรกั ษา การดูแลรักษาเบ้ืองตน้ ในกรณีท่ตี รวจพบวา่ เป็นโรคพยาธิใบไมต้ บั ควรใหย้ าถ่ายพยาธิทนั ทีดว้ ยยาทีอ่ อก ฤทธ์ิต่อพยาธิใบไมต้ บั ต่อไปน้ีอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เช่น1.13.3.1 นิโคลโฟแลน หรือบิเลวอน ขนาด 1.0 ซี.ซี./น้าหนกั สตั ว์ 50 กิโลกรมั ฉีดเขา้ ใตผ้ ิวหนงั1.13.3.2 โคลซานเทล หรือฟลูกิเวอร์ ขนาด 1 ซี.ซี./น้าหนกั สตั ว์ 20 กิโลกรัม ฉีดเขา้ ใตผ้ วิ หนงั

761.13.3.3 อลั เบนดาโซล หรือวลั บาเซน ใหก้ ินขนาด 1 ซี.ซี./น้าหนกั สตั ว์ 10 กิโลกรัม1.13.3.4 ทริคลาเบนดาโซล หรือฟาซิเน็กซ์ ใหก้ ินขนาด 12 มิลลิกรมั /น้าหนกั สตั ว์ 1 กิโลกรมั1.13.3.5 คลอซูลอน หรือไอโวเมค-เอฟ ขนาด 1 ซี.ซี. /น้าหนกั สตั ว์ 50 กิโลกรัม ฉีดเขา้ ใตผ้ วิ หนงั1.13.3.6 ไบไทโอนอล ซลั ฟอกไซด์ หรือเลวาซิด ใหก้ ินขนาด 4.5 กรมั /น้าหนกั สตั ว์ 100 กิโลกรมั1.13.4 การควบคุมและป้องกนั1.13.4.1 ไม่ปลอ่ ยใหโ้ คไปกินหญา้ หรือพชื น้าในแหล่งท่มี ีการระบาดของพยาธิใบไมต้ บั อยู่ww 1.13.4.2 ทุ่งหญา้ เล้ียงสตั วค์ วรจดั ใหม้ ีการระบายน้าอยา่ งดี อยา่ ใหม้ ีน้าขงั นานเพราะจะเป็ นท่อี ยขู่ องหอยได้1.13.4.3 ควรมีการตรวจอุจจาระโคเป็นประจาอยา่ งนอ้ ยปี ละคร้ัง1.13.4.4 ในแหล่งทีม่ ีการระบาดของพยาธิใบไมต้ บั ควรใหย้ าถ่ายพยาธิแก่โคท่มี ีอายตุ ้งั แต่ 8 เดือนข้นึ ไป เป็นประจาปี ละ 2 คร้ัง1.14 โรคพยาธิไสเ้ ดือนทอกโซดาเลียซีส พยาธิไสเ้ ดือนเป็ นอุปสรรคอยา่ งยงิ่ ตอ่ การเพม่ิ ผลผลิตโคและกระบือ โรคน้ีมีผลรุนแรงต่อลูกกระบอื เพราะมีอตั ราการตายสูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ และในเกษตรกรรายยอ่ ยบางรายอาจพบวา่ ลูกกระบือที่เกิดมาท้งั หมดตายดว้ ยโรค พยาธิไสเ้ ดือน (อตั ราการตาย 100 เปอร์เซ็นต)์1.14.1 สาเหตุ เกิดจากพยาธิตวั กลมชนิดหน่ึงท่มี ีลกั ษณะคลา้ ยไสเ้ ดือนพวก Toxcave vitulorum จงึ เรียกกนั1.14.2 การตดิ ตอ่ ลูกกระบอื ส่วนใหญ่จะไดร้ ับพยาธิตวั อ่อนในขณะที่แม่กระบอื ต้งั ทอ้ งโดยผา่ นทางสายรกนอกจากน้ีลูกกระบอื หลงั คลอดยงั อาจติดต่อโดยการด่ืมน้านมจากแม่1.14.3 อาการ ลูกกระบอื ท่ีเป็นโรคพยาธิไสเ้ ดือนจะมีอาการซูบผอมแคระแกร็น ขนหยองและหยาบกรา้ นเบือ่ อาหาร ระบบทางเดินอาหารผดิ ปกติ โดยแสดงอาการทอ้ งผกู อุจจาระมีลกั ษณะเหนียว สีขาวปนเทา กลิ่นเหมน็ ซ่ึงเป็นกล่ินของโรคน้ีโดยเฉพาะลูกกระบอื จะแสดงอาการเบง่ ถ่ายอุจจาระลาบาก ในรายที่มีพยาธิไสเ้ ดือนจานวนมากจะทาให้ ไม่สามารถถ่ายอุจจาระออกมาได้ และอาจมีพยาธิไสเ้ ดือนออกมาแทนบริเวณทอ้ งจะโป่ งออก มีลกั ษณะกลมเห็นไดช้ ดั1.14.4 การป้องกนั วธิ ีท่ดี ีทส่ี ุดในการควบคุมป้องกนั โรคพยาธิไสเ้ ดือน คือ การป้องกนั ไม่ใหพ้ ยาธิตวั อ่อนเจริญเติบโตเป็นพยาธิตวั แก่ในลูกกระบือ ซ่ึงจะช่วยตดั วงจรท่จี ะเกิดไขพ่ ยาธิต่อไปโดยให้ยาถ่ายพยาธิแก่ลูกกระบือที่ มีอายุ 10 – 16 วนั ยาถ่ายพยาธิทใี่ ชใ้ นการกาจดั พยาธิไสเ้ ดือนตวั อ่อนในลูกกระบอื ในประเทศไทยที่ มีการทดลองวา่ ใชไ้ ดผ้ ลดี คอื ยาถ่ายพยาธิ ไทโอฟาเนท ใชข้ นาด 50 มิลลกิ รมั ตอ่ น้าหนกั ตวั สตั ว์ 1


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook