Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นิโคลัส โคเปอนิตัส

นิโคลัส โคเปอนิตัส

Published by 927sce00010, 2020-08-27 05:24:58

Description: นิโคลัส โคเปอนิตัส

Search

Read the Text Version

นโิ คลัส โคเปอรน์ คิ สั (Nicolaus Copernicus) เกดิ  วนั ท่ี 19 กมุ ภาพันธ์ ค.ศ. 1473 ท่ีเมืองตูรนั (Torun) ประเทสโปแลนด์ (Poland) เสยี ชีวิต  วันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1543 ที่เมืองฟรอนบูร์ก (Frauenburg) ประเทศโปแลนด์ (Poland) ผลงาน  ตงั้ ทฤษฎีโลกโคจรรอบดวงอาทติ ย์ (Copernicus Theory) โดยทฤษฎนี ี้กลา่ วว่าดวง อาทติ ย์เป็นศนู ยก์ ลางของสุริยจักรวาล โลก ดาวเคราะหอ์ ่นื ๆต้องหมุนรอบดวงอาทิตย์และโลกมี สัณฐานเป็นทรงกลม ระบบสุริยจกั รวาลทโี่ คเปอรน์ ิคัสเป็นผคู้ ้นพบ โดยสามารถสรปุ เปน็ ทฤษฎีไดท้ ้งั หมด 3 ข้อ คอื 1. ดวงอาทติ ย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุรยิ จักรวาล โลก และดาวเคราะหอ์ ่นื ๆตอ้ งโคจรรอบดวงอาทิตย์ การโคจรของโลก รอบดวงอาทิตย์ตอ้ งใชเ้ วลา 1 ปีหรือ 365 วนั ซ่งึ ทำใหเ้ กดิ ฤดูกาลข้นึ 2. โลกมสี ณั ฐานกลมไม่ได้แบนอยา่ งที่เขา้ ใจกันมา โคเปอรน์ คิ ัสใหเ้ หตุผลในข้อน้ีวา่ มนษุ ย์ไม่สามารถ มองเหน็ ดาวดวงเดียวกนั ในเวลาเดียวกันและสถานทีต่ ่างกันได้ อีกท้ังโลกต้องหมุนอยตู่ ลอดเวลาไม่ไดห้ ยดุ น่ิง โดยโลกใชเ้ วลา 1 วัน หรือ 24 ชัว่ โมง การหมุนรอบตัวเอง ซ่ึงทำใหเ้ กดิ กลางวนั และกลางคนื 3. ดาวเคราะหต์ ่างๆที่โคจรรอบดวงอาทติ ยเ์ ป็นไปในลักษณะวงกลม โคเปอร์นิคัสไดเ้ ขยี นรปู ภาพ แสดงลกั ษณะการโคจร ของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ แต่ทฤษฎีของโคเปอร์นคิ สั ข้อนี้ผิดพลาดเพราะเขา กลา่ วว่า \"การโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ย์เป็นวงกลม\" ต่อมานักดาราศาสตรช์ าวเยอรมัน โจฮันเนส เคพเลอร์(Johanes Kepler) ได้คน้ พบว่า การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์นัน้ มีลกั ษณะเป็นวงรี

ระบบดวงอาทิตยเ์ ป็นศูนย์กลาง ในยุคกรีกโบราณ คนส่วนใหญ่เชื่อในระบบโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล (Geocentric) ของ อรสิ โตเติล อย่างไรกต็ ามนกั ปราชญ์บางคนมีความคดิ เหน็ ตรงกันขา้ ม อรสิ ตารค์ ัส (Aristarchus) นกั เรขาคณิต ชาวกรีกแห่งเมืองอเล็กซานเดรยี (อยู่ในประเทศอียิปตใ์ นปจั จุบนั ) ได้เสนอแบบจำลองของจักรวาลซึ่งมี “ดวง อาทิตยเ์ ป็นศูนยก์ ลาง” (Heliocentric) โดยอธิบายวา่ โลกหมุนรอบตัวเองวันละ 1 รอบ จากทศิ ตะวนั ตกไปยัง ทศิ ตะวันออก ทำใหเ้ รามองเหน็ ทอ้ งฟ้าเคลื่อนทจ่ี ากทิศตะวนั ออกไปยังทศิ ตะวันตก ขณะเดียวกนั โลกกโ็ คจรไป รอบดวงอาทิตย์ ทำให้เรามองเห็นดวงอาทิตย์เคล่ือนที่ผ่านหน้ากลุ่มดาวจักราศีทั้งสิบสอง อริสตาร์คัสคำนวณ เปรียบเทียบไดว้ า่ ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าโลก โลกอย่ใู กล้ดวงจันทร์แต่อยู่ไกลจากดวงอาทติ ย์ ถึงกระน้ันก็ ตามแนวความคิดนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับของคนในยุคนั้น เพราะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับการมองเห็น ยากต่อ จินตนาการ และยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ ประกอบกับโชคไม่ดีที่ห้องสมุดอเล็กซานเดรียถูกไฟใหม้ ตำราที่อริ สตารค์ สั เขียนข้ึน ถกู ทำลายจนหมดสิน้ มแี ตห่ ลกั ฐานที่เกย่ี วข้องจากผู้ทีอ่ ยรู่ ่วมยคุ สมัยเทา่ น้ันทเ่ี หลืออยู่ ปี ค.ศ.1514 (พ.ศ.2057) นโิ คลาส โคเปอรน์ คิ ัส (Nicolaus Copernicus) บาทหลวงชาวโปแลนด์ เป็นผมู้ ปี ระสบการณ์ในการติดตามการเคล่อื นท่ีของดาวเคราะห์เปน็ เวลา 20 ปี มีความคดิ ขดั แย้งกับระบบโลก เปน็ ศูนย์กลาง เขาใหค้ วามเห็นวา่ การอธบิ ายการเคล่อื นที่ถอยหลงั ของดาวเคราะห์ โดยใช้วงกลมเล็กใน แบบจำลองของทอเลนน้ั เลื่อนลอยไรเ้ หตผุ ล เขาได้เขียนหนงั สือชอ่ื De revolutionibus orbium coelestium (ปฏิวตั ิความเชอ่ื เรอ่ื งท้องฟ้า) นำเสนอแนวความคดิ ทม่ี รี ะบบดวงอาทิตยเ์ ป็นศนู ยก์ ลาง (Heliocentric) ดงั ภาพที่ 2 อธิบายดังนี้ I. วงโคจรของดาวฤกษ์ II. วงโคจรของดาวเสาร์ III. วงโคจรของดาวพฤหัสบดี IIII. วงโคจรของดาวอังคาร V. วงโคจรของโลกและดวงจันทร์ VI. วงโคจรของดาวศุกร์ VII. วงโคจรของดาวพุธ จุดศนู ย์กลางคือดวงอาทิตย์ ภาพท่ี 2 แบบจาลองระบบสุริยะของโคเปอร์นิคสั ทมี่ า : http://www.lesa.biz/astronomy/cosmos/heliocentric

โคเปอร์นิคัสคน้ หาตัวตนในมหาวทิ ยาลัย หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาโคเปอร์นิคัสได้เข้าศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยกราโกวการเรียน ณ มหาวิทยาลัยแห่งน้ีทำให้โคเปอร์นิคัสชอบ เรื่อง ดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นอย่างมากอย่างไรก็ตามหลังจากศึกษาที่ มหาวิทยาลัยกราโกวเป็นเวลา 4 ปี โคเปอร์นิคัสได้เดินทางไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย โบโลญาและมหาวทิ ยาลัยปาดัวประเทศอติ าลี ในระหว่างที่ศึกษาด้านปรัชญาและกฎหมายอยู่ที่มหาวิทยาลัยโบโลญา โคเปอร์นคิ ัส ได้พบนักดาราศาสตร์ผู้โด่งดัง ในยุคนั้นชื่อ \"โนวารา\" (Domenico Maria Novara da Ferrara) ผู้ซึ่งสอนวิชา ดาราศาสตรโ์ ดยโคเปอร์นิคสั ได้เข้าเรียนวิชาดังกล่าวและต่อมาได้กลายมาเป็นผูช้ ่วยของ โนวารา ในปี 1497 โคเปอร์นคิ สั อายไุ ด้ 24 ปี ลุงของไดท้ ำการแตง่ ต้ัง ใหโ้ คเปอร์นิคัสเป็น พระท่ีวิหารฟราวเอนเบริ ก์ ใน ประเทศโปแลนดแ์ ต่ในขณะน้ันโคเปอร์นคิ ัสยังคงศึกษาอยู่ ในอิตาลแี ละรอคอยการ ครอบรอบของปี ค.ศ. 1500 โดยในปี นนั้ (ค.ศ.1500 ) โคเปอร์ นิคัส ได้เดินทางไปยังกรุงโรมเพื่อสังเกตปรากฏการณ์จันทรุปราคาจากนั้นได้เดินทาง กลับไปที่ วิหารเฟรินบูร์กประเทศโปแลนด์ในปี 1501 ทันที ที่กลับถึงโปแลนด์โคเปอร์ นิคัส ขออนุญาตลุงเดินทางกลับไปยัง มหาวิทยาลัยปาดัว ประเทศอิตาลีอีกคร้ัง เพื่อกลับไปเรียนวิชาการแพทย์และโหราแพทย์ให้จบ นอกจากนี้ ในปี 1503 โคเปอร์ นคิ สั ยังสำเรจ็ การศึกษาระดบั ปริญญาเอกด้านกฎหมายศาสนาท่เี ฟอร์รารา

ดำเนินวถิ ีชวี ติ ตามความปรารถนาของลงุ เมื่อสำเร็จการศึกษาท้ังด้านการแพทย์และกฎหมายแล้วโคเปอร์นิคัส เดินทาง กลับมาที่โปแลนด์เพื่อทำงานเป็นทั้งนักบวชและแพทย์ที่เมืองฟราวเอนเบิร์กตามความ ปรารถนาของลุงแต่ในปี 1512 ลุงของโคเปอร์นิคัสได้ถึงแก่กรรมลงทำให้โคเปอร์นิคัส เริ่มอุทิศเวลาท้ังหมดให้กับการศึกษาและค้นคว้าด้านดาราศาสตร์ซึ่งโคเปอร์นิคัสสนใจ เป็นอยา่ งมาก บุรุษผู้มีศรัทธาในศาสนาแต่ขัดแย้งในความเชื่อ ในระหว่างที่ศึกษาที่กราโกวและ มหาวิทยาลัยในอิตาลีโคเปอร์นิคัสได้ตั้งข้อสงสัยในความเชื่อที่สอนโดยอริสโตเติลและป โตเลมใี นประเดน็ ที่โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยโคเปอร์นิคัสมีความสงสัยว่าเหตใุด พระเจ้าจึงทรงสร้างระบบจักรวาลที่มีความซับซ้อนดังที่ปโตเลมีได้อธิบายไว้ใน แบบจำลอง Ptolemy system ด้วยเหตุน้ีโคเปอร์นิคัสจึง ตั้งสมมติฐานว่าดาวเคราะห์ ทั้งหมดน่าจะหมุนรอบดวง อาทิตย์พร้อมกับทุ่มเททําการค้นคว้าศึกษาในขณะที่เป็น นักศึกษา อยู่และเมื่อกลับสู่โปแลนด์เพื่อเขา้ รับตําแหน่งนักบวชที่วิหารพราวเอนเบริ ์กโค เปอร์นคิ ัส ได้ค้นควา้ เรือ่ งดงั กลา่ ว อย่างต่อเนื่อง ความคิดเรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลนั้นโคเปอร์นิคัส ไม่ไช่ บุคคล แรกที่นําเสนอแต่เป็นนักปราชญ์กรีก โบราณช่ือวา่ อริสตาร์คัสแห่งซามอส (Aristarchus of Samos) เป็นผู้นําเสนอในช่วงระหว่าง 310 ปีถึง 230 ปี ก่อน คริสต์กาลโดยอริ สตาร์คัสกล่าวไว้ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยจักรวาลโดยมีโลกและดาวเคราะห์ อื่นๆ โคจรไป รอบๆดวงอาทิตย์ซึ่งโคเปอร์นิคัส เชื่อในแนวความคิดนี้มากกว่าโคเปอร์ นิคัสดําเนินการค้นคว้าเพิ่มเติมอย่างทุ่มเทในช่วงปี 1510 ถึง 1514 โดยได้ข้อสรุป เบื้องต้นว่าดวงอาทิตย์อยู่ กับที่ณศูนย์กลางวงโคจรของดาวเคราะห์โดยที่โลกใช้เวลา 1 ปใี นการหมนุ รอบดวงอาทติ ย์

จากผลที่ได้โคเปอร์นิคัสได้ร่าง หนังสือ 1 เล่มชื่อ Commentariolus ด้วย ลายมือของเขาเองซึ่งอธิบายหลักการเบื้องต้นของทฤษฎีจักรวาลตามการ สังเกตดวง ดาวของโคเปอรน์ ิคสั นอกจากน้ีโคเปอร์นิคัสยังไดน้ ําเสนอความคิดวา่ โลกมกี าร หมุนรอบ ตัวเองโดยหนึง่ รอบใช้ เวลา 24 ชว่ั โมงซ่งึ ขัดแยง้ กบั ความเช่อื เดิมทีเ่ ชือ่ วา่ โลกอยู่นิ่งกับท่ี รวมไปถึงสาเหตุที่ทํา ให้นักดาราศาสตร์สังเกตเห็นดาว เคราะห์บางดวงโคจรย้อนทาง เดิมในบางเวลาซึ่ง กล่าวได้ว่าโคเปอร์นิคัสเป็นบุคคลแรกที่อธิบายปรากฏการณ์ \"retrograde\" หนังสอื เลม่ ดงั กลา่ วไม่ได้มกี ารระบุชือ่ ผเู้ ขียนแตผ่ ูอ้ า่ นทราบดวี า่ โค เปอร์นิคัสเป็น ผู้เขียนและเรียบเรียงขึ้นโดยมีการ ส่งเวียนอ่านในหมู่มิตร สหายนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบถึง สาเหตุที่แท้จริงว่าเพราะเหตุใดโคเปอร์นิคัส จึงไม่ยอมตีพิมพ์หนังสือ เล่มดัง กล่าว อย่างไรก็ตามได้มีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า \"แท้ที่จริงแล้วเหตุผลสําคัญที่โคเปอร์นิคัสไม่ยอม ตีพมิ พ์ผลงานดังกล่าว เนอ่ื งจากว่าผลงานการค้นพบจะไปขัดแยง้ กบั คมั ภรี ไ์ บเบิล\" ผลงานช้นิ สําคญั ในช่วง 30 ปีสดุ ท้าย ท่ีมาของภาพ : http://www.electron.rmutphysics.com/

หลังจากเขียน Commentariolus แล้วโคเปอร์นิคัสยังคงทํางานตามแนวคิดของ ตนเองที่ได้ต้ังไวจ้ นเวลาล่วงไป อีกรว่ ม 20 ปี (ค.ศ. 1534) ผลงานขัน้ สดุ ทา้ ยใกล้จะเสร็จ สมบูรณแ์ ตโ่ คเปอรน์ ิคสั กย็ ังไม่ยอมท่ีจะตีพมิ พ์ผลงานเผยแพรส่ ู่ สาธารณะตามคําร้องขอ ของมิตรสหายอย่างไรก็ตามข้อความภายใน หนังสือ Commentariolus ได้มีการ กลา่ วถงึ ไปท่ัว ทง้ั ยโุ รปเช่อื กนั วา่ แม้แต่พระสนั ตปาปาเองกน็ า่ ทจ่ี ะทราบอยู่บา้ งแต่ทรงไม่ ดําเนนิ การใดๆเนื่องจากในเวลาน้นั ยงั ไม่ปรากฏ หลกั ฐานทีช่ ัดเจนอกี ทัง้ โคเปอร์นิคัสก็ยัง มิได้ตพี ิมพเ์ ผยแพรท่ ฤษฎีดงั กลา่ ว ในปีค.ศ. 1539 นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อจอร์จโจชิมรติคัส (George Joachim Rhaticus) แห่งมหาวิทยาลัย วิทเทนเบิร์กเยอรมนี ( University of Wittenberg Germany) ไดท้ ํางานค้นคว้ารว่ มกับโคเปอรน์ ิคัสเปน็ เวลา 2 ปี โดยที่ ติคัส ได้สนับสนุนให้โคเปอร์นิคัสตีพิมพ์เผยแพร่ทฤษฎีใหม่เผยแพร่แก่ ประชาชนแต่โคเปอร์ นิคัสก็ไม่กล้าทีจ่ ะดําเนินการ ใดๆเพราะทราบดีว่าส่ิงที่ค้น พบเป็นเรื่องทีข่ ัดกับคัมภีร์ไบ เบิลแต่สุดท้ายแล้ว โคเปอร์นิคัสทนความรบเร้าของรติคัสไม่ได้จึง ได้เรียบเรียงทฤษฎี ของเขาขนึ้ เป็นหนงั สอื โดยมชี ่ือว่า \"De Revolutionibus\" โคเปอร์นิคัสขอให้รีติคัสนําต้นฉบับหนังสือของเขาไปพิมพ์ที่ประเทศเยอรมนีแต่ คนพิมพช์ ือ่ แอนเดรียส์ออสเซยี น เดอร์ (Andreas Osiander) อ่านต้นฉบับดูแล้วเกรงว่า เนื้อหาในหนังสือดังกล่าวจะก่อให้เกิดความขัดแย้งกับศาสนาจักร ได้เปลี่ยนชื่อหนังสือ เ ป็ น \" De Revolutionibus Orbium Coelestium\" (On the Revolutions of the Celestial Sphere) โดยพมิ พอ์ อกเผยแพรใ่ นเดอื นมีนาคมปีค.ศ. 1543 ก่อนหนา้ โคเปอร์ นิคัสจะเสียชีวิตลงเพียง 2 เดือน (โคเปอร์ นิคัสถึงแก่กรรมลงในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1543)

โดยในการพิมพ์ครั้งแรกนั้นออสเซียนเดอร์ได้ทําการเปลี่ยนหน้าคํา นําโดยออ สเซียนเดอร์ได้ดึงหน้าคํานาํ ของโค เปอร์นิคัสออกแลว้ เขียนขึน้ ใหม่โดยมีข้อความ เตือน ผู้อ่านว่าไม่ควรคาดหวังอะไรก็ตามจากดาราศาสตร์และไม่ควรยอมรับ ว่าสมมุติฐานนั้น จะเปน็ ความจรงิ ส่งิ ทน่ี ่าละลายคอื ออสเซยี นเดอร์ไม่ได้ระบชุ อื่ ตัวเองวา่ เปน็ ผแู้ ต่งหน้าคํา นํานั้นซึ่งการทําเช่นนี้เสมอื นได้วา่ จติ วิญญาณของ โคเปอร์นิคัสได้ถูกบิดเบอื นไปอย่างไร ก็ตามได้มีผู้วิเคราะห์ถึงสาเหตุดัง กล่าวว่าน่าจะมี ความเป็นไปได้ที่ออสเซียนเดอร์ไม่ ต้องการให้เกิดผลกระทบหรอื ความขัดแย้งใดๆอันจะเป็นผลเนือ่ งมาจากหนงั สอื เลม่ น้ี หนังสือทีพ่ ิมพ์เสร็จแล้วได้ถูกนําส่งไปใหโ้ คเปอรน์ ิคัสแต่นบั วา่ เป็นเรื่อง โชคดีท่โี ค เปอร์นคิ สั ไม่ไดเ้ หน็ สงิ่ ทีอ่ อสเซียน เดอร์ได้ทาํ ไว้โดยโคเปอรน์ ิคสั ได้สน้ิ ลมไปกอ่ นท่ีหนงั สอื จะถูกส่งมาถึงเขาในหนังสือเล่มนี้โคเปอร์นิคัส ได้อธิบายหลักคิด และการทดลองทาง ดาราศาสตร์ของเขาโดยมีรูปดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางของสุริยจักรวาลพร้อมกับมีโลก และดาว เคราะห์หมุนรอบดวงอาทิตย์นอก จากนี้โคเปอร์นิคัสยังได้พิสูจน์ให้เห็นว่าโลก กลมอยา่ งไรก็ตามขอ้ มูล บางอยา่ งท่ีโคเปอร์นคิ สั กลา่ วไวใ้ นหนังสอื เลม่ นี้ยงั มีขอ้ ผิดพลาด อยู่อาทิ เช่น โคเปอร์นิคัสระบุว่าวงโคจรของดาวเคราะห์ทุกดวงมีลักษณะเป็น วงกลม โดยแท้ จริงแล้วโจฮันเนสเคปเลอร์นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันได้พสิ ูจน์ในภายหลังวา่ วง โคจรดาวเคราะหท์ ีโ่ คจร รอบดวงอาทติ ย์เป็นวงรี ความสําคัญของหนังสอื \"De Revolutionibus\" ความสําคัญของหนังสือเล่มนี้ที่มีต่อวิวัฒนาการทางดาราศาสตร์ได้เริ่มจากที่โค บราห์นักดาราศาสตร์ชาวเดนมาร์ก และกาลิเลโอนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ชาว อิตาลี รวมไปถงึ โจฮนั เนสเคปเลอร์ (ทัง้ สามคนเป็นนกั ดาราศาสตรใ์ นยุคท่ี ต่อเนือ่ ง จากโคเปอร์ นิคัส ภายในระยะเวลา 30 ปีนับจากโคเปอรน์ ิคัสเสียชีวิตลง) โดย ทั้งสามคนต่างได้อ่าน หนังสือของโค เปอร์นิคสั และสนบั สนุนแนวความคิดของโคเปอรน์ คิ สั

นอกจากนี้แนวความคิดของโคเปอร์นิคัสยังเป็นแนวทางให้ไอแซค นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอังกฤษได้ค้นพบและสร้างกฎแรงโน้มถ่วงโลกในอีก 150 ปี ต่อมา หลังจากหนังสือ เล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ครั้งที่ 2 ในปี 1566 ศาสนจักรไดต้ ระหนัก ถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อความศรัทธาและความเชื่อที่มีต่อ ศาสนาจึงนําไปสู่การห้าม เผยแพร่หนังสือ ของโคเปอร์นิคัส ในปีค.ศ. 1616 โดยการห้ามดังกล่าวเป็นระยะเวลา ยาวนาน ร่วม 200 ปีเศษจนกระทั่งปีค.ศ. 1835 ศาสนจักร จึงได้ยกเลิกคําห้ามดังกล่าว อย่างไรก็ตามในระหว่างช่วงเวลาการห้าม เผยแพร่ ระบบสุริยจักรวาลของโคเปอร์นิคัส ได้รบั การยอมรบั อยา่ งกวา้ งขวางจากผคู้ นสว่ น ใหญไ่ ปแล้ว แบบจำลองระบบสรุ ยิ ะของโคเปอรน์ ิคัส ท่ีมาของภาพ : http://www.lesa.biz/astronomy/cosmos/heliocentric

ความสามารถด้านอ่ืน โคเปอร์นิคัสไม่ใช่ผู้ที่มีแต่ความสามารถทางด้านดาราศาสตร์และด้านการแพทย์ เท่าน้ันแต่เขายังได้ชอ่ื วา่ เป็นนัก เศรษฐศาสตรแ์ ละรฐั บุรษุ คนสาํ คัญของ โปแลนด์อีกด้วย ทง้ั น้เี พราะเขาเป็นผ้หู นงึ่ ทชี่ ว่ ยให้ประเทศโปแลนดร์ อดพน้ จาก วกิ ฤตด้านเงินตราได้โดย ในเวลานั้นโปแลนด์ประกอบด้วยรัฐต่างๆหลายรัฐซึ่ง รัฐบาลกลางไม่มีระบบการเงินที่ แน่นอนทํา ให้หลังจากเกิดสงครามแล้วประเทศ โปแลนด์ได้รับผลกระทบทางด้าน เศรษฐกิจอย่างรุนแรงอีกท้ังไดม้ ีการปลอมแปลง เงนิ ข้ึนด้วยย่งิ สง่ ผลใหเ้ กิดความยุ่งยาก ขน้ึ ประชาชนตา่ งก็มุ่งแต่เก็บเฉพาะ เงนิ ดไี วห้ มดทาํ ให้เกดิ ภาวะเงินฝดื โคเปอรน์ คิ สั เสนอ ให้ทุกๆรัฐใช้ระบบเงินตราเดียวกันโดยให้รัฐบาลกลางเก็บเงินเหรียญ ต่างๆเสียแล้ว นําเอาเหรียญใหม่ที่ เป็นระบบเดียวกันออกใช้ความคิดดังกล่าว ครั้งแรกใช้ไม่ได้ผลแต่ ตอ่ มานวิ ตันได้นําเอาไปใช้ในประเทศองั กฤษกลบั ได้ ผลลัพธด์ มี ากจึงทาํ ใหช้ อ่ื เสยี งของโค เปอรน์ คิ สั พลอยโดง่ ดังไปด้วย ทมี่ า : http://www.space.mict.go.th/astronomer.php


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook