ด.ญ.ศศิวิม พาวขุนทด ม.2/2 เลขที่43 คุณครู ณัฐพง ยุทธเเสง
คำนำ รายงานนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาตร์ เพื่อให้ได้ ศึกษาถึงบุคคลสำคัญในสมัยอยุธยาเเละสมัยธนบุรี โดยศึกษาผ่าน ทางเว็บไซต์ต่างๆ หนังสือ ตำรา โดยเนื้อหาของรายงานเล่มนี้ จะมี เนื้อหาความรู้เกี่ยวกับบุคคลสำคัญในสมัยอยุธยาเเละสมัยธนบุรี ผู้จัดหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์เเละความรู้ต่อ ผู้ที่สนใจในการศึกษาประศาสตร์ชาติไทย เพิ่มหัวเรื่องย่อ
สารบัญ 1.พระราชประวัติ -หน้าที่1 -พระราชประวัติ 2.รูปแบบการปกครองของราชอาณาจักรอยุธยาก่อน สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ -หน้าที่4 -การบริหารราชการส่วนกลาง -การบริหารราชการหัวเมือง
3.การปฏิรูปการปกครอง -หน้าที่7 -การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง -การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ -การถ่วงดุลอำนาจ -ผลของการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 4.ความรู้เพิ่มเติม -หน้าที่14 -ตราพระราชกำหนดศักดินา -กฎมณเฑียรบาล -ด้านวรรณกรรม -เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา
พระราชประวัติ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 8 ของกรุง ศรีอยุธยา พระองค์ทรงครองราชสมบัติเป็นเวลานานที่สุดในบรรดาพระ มหากษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาคือ 40 ปี (พ.ศ.1991-2031) ตลอดรัช สมัยมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญ เช่นการรวมราชอาณาจักรสุโขทัยเข้า กับราชอาณาจักรอยุธยา ในด้านการเมืองการปกครองทรงปฏิรูปการ ปกครองที่ทำให้เกิดการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ราชอาณาจักรอยุธยา การ สร้างระบบการถ่วงดุลอำนาจโดยแยกกิจการทหารออกจากกิจการ พลเรือน สร้างระบบศักดินาที่เป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์ ทางชนชั้นในสังคมไทย หน้าที่1
การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกลาย เป็นหลักการในการปกครองมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รวมระยะเวลากว่า 400 ปี สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชสมภพที่ทุ่งพระอุทัย หรือในปัจจุบัน เรียกว่า ทุ่งหันตรา โดยเมื่อครั้งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้า สามพระยา) จะยกกองทัพลงไปตีเมืองพระนครหลวง (นครธม) นั้น ได้ รวมพลและตั้งพลับพลาเพื่อประกอบพิธีกรรมตัดไม้ข่มนามที่ทุ่งพระอุทัย ขณะนั้นพระอัครชายาซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 2 กษัตริย์แห่งพระราชวงศ์พระร่วง กำลังทรงพระครรภ์อยู่ ได้ออกไปส่ง เสด็จ ได้ประสูติสมเด็จพระบรมไตรนาถที่พลับพลานั้น เมื่อปีกุน จุลศักราช 797 (พ.ศ. 1962 - ไทยสากล) ซึ่งในยวนพ่ายโคลงดั้น ระบุว่า \"แถลงปางพระมาตรไท้ สมภพ ท่านนา แดนด่ำบลพระอุทัย ทุ่งกว้าง โดยที่พระนามเดิมคือ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ซึ่งเป็นพระนามที่ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทรงถวายพระนามให้เมื่อเสด็จพระราช สมภพ หน้าที่2
ทรงเจริญพระชันษาที่เมืองพิษณุโลก พระองค์ทรงครองราชย์ 38 ปีเป็น ระยะเวลาที่เท่ากับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิคือสมเด็จพระ รามาธิบดีที่ 2 แห่งอาณากรุงศรีอยุธยา โดยเป็นพระราชโอรสในสมเด็จ พระบรมราชาธิราชที่ 2 และก็ยังเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระอินทราชา มี พระราชมารดาเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง พระนามมีความหมายถึง \"พระพุทธเจ้า\" หรือ \"พระอิศวร\" มีผู้ที่เข้าใจว่าคงเป็นพระสหายมาตั้งแต่วัย เยาว์ชื่อ \"ยุทธิษเฐียร\" ซึ่งตอนหลังกลายมาเป็นผู้ชักนำศึกเข้ามา หลังการ ขึ้นครองราชย์แล้ว ก็เสด็จมาประทับที่อยุธยาในช่วงแรกของการครอง ราชย์ อีกครึ่งหนึ่งเสด็จมาประทับที่พิษณุโลก เชื่อว่าคงเป็นไปเพื่อการ ควบคุมดูแลหัวเมืองทางด้านเหนือ และคานอำนาจของอาณาจักรทางเหนือ คือ อาณาจักรล้านนา ซึ่งกำลังมีความเข้มแข็งและต้องการแผ่อำนาจลงมา ทางใต้ ในยุคของพระเจ้าติโลกราช สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2032 เมื่อพระชนมายุ 70 พรรษา ทรงครองราชย์ได้ 38 ปี ยาวนานที่สุดของอาณาจักรอยุธยา และเป็นลำดับ 3 ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พระองค์ ประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาประมาณ 20 ปี ที่เหลือทรงประทับที่เมือง พิษณุโลกตลอดรัชกาล หน้าที่3
รูปแบบการปกครองของราช อาณาจักรอยุธยาก่อนสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ ในราชอาณาจักรอยุธยาตอนต้นได้มีการ แบ่งการบริหารราชการออกเป็นสองส่วนคือ 1.การบริหารราชการส่วนกลาง 2.การบริหารราชการหัวเมือง หน้าที่4
1.การบริหารราชการส่วนกลาง ได้จัดการปกครองที่เรียกว่า จตุสดมภ์ คือมีกรมสำคัญ 4 กรม คือ เวียง วัง คลัง นา โดยมีการแบ่งอำนาจ หน้าที่ดังนี้ กรมเวียง เป็นพนักงานปกครองท้องที่ รักษาความสงบเรียบร้อย ภายในเขตเมืองหลวงและ บริเวณใกล้เคียง กรมวัง เป็นหัวหน้าในพระราชสำนัก และดูแลรับผิดชอบในเรื่อง ความยุติธรรม กรมนา กรมคลัง เป็นพนักงานตรวจตราการทำ เป็นพนักงานรับจ่ายและเก็บ ไร่นา ทำหน้าที่เก็บหางข้าว รักษาพระราชทรัพย์ที่ได้มา หรือข้าวที่รัฐเก็บจากชาวนา จากภาษีอากร เป็นอากรค่านา ไว้ในฉาง หลวงเพื่อใช้ในราชการ หน้าที่5
2.การบริหารราชการหัวเมือง ได้กำหนดให้มีเมืองสำคัญอยู่ 4 ทิศเรียกว่าเมืองลูกหลวง ประกอบด้วย ทางเหนือ เมืองลพบุรี ทางเหนือ เมืองลพบุรี ทางตะวันออก เมืองนครนายก ทางตะวันตก เมืองสุพรรณบุรี เมืองเหล่านี้พระมหากษัตริย์จะส่งเจ้านายชั้นสูงไปปกครอง เมือง ลูกหลวงแต่ละเมืองจะมีเมืองเล็กๆเป็นบริวาร สำหรับเมืองเล็กๆที่ อยู่ใกล้ราชธานี ส่วนกลางจะส่งขุนนางไปปกครองและให้ขึ้นตรงต่อ เมืองหลวง ความสัมพันธ์ทางปกครองระหว่างเมืองหลวงกับเมือง ลูกหลวงเป็นโครงสร้างการปกครองแบบหลวม เมืองประเทศราช ได้แก่สุโขทัย นครศรีธรรมราช จันทบุรี พระมหากษัตริย์จะให้ผู้ปกครองเป็นอิสระแต่ต้องส่งเครื่อง ราชบรรณาการตามเวลาที่กำหนดไว้ หน้าที่6
การปฏิรูปการปกครอง การปฏิรูปการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีสาเหตุหลายประการ (1) การขยายตัวของอาณาจักรอยุธยาทำให้เกิดความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จึง ต้องมีการปรับโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ ทำให้มีระบบราชการแบบใหม่เพื่อ ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ (2) การขยายอาณาเขตและการรบกับอาณาจักรล้านนา จึงจำเป็นต้องมีการ ปรับการบริหารใหม่ที่เหมาะสม (3) เพื่อปกครองราชอาณาจักรที่ใหญ่ขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างอำนาจให้ ปึกแผ่นมั่นคง จึงจำเป็นต้องปฏิรูปการเมือง การบริหารและสังคม เพื่อควบคุม กำลังคนซึ่งเป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร และมุ่งเพิ่มพูน อำนาจในการาควบคุมกำลังคนของรัฐให้สูงสุด (4) การปฏิรูปสังคมโดยการสร้างระบบศักดินาและไพร่ เพื่อเป็นเครื่องมือในการ สร้างความสัมพันธ์ทางชนชั้นในสังคมไทย หน้าที่7
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงได้ปฏิรูปการปกครองแผ่นดินให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม โดยใช้หลัก 3 ประการ ได้แก่ การรวมอำนาจ เข้าสู่ส่วนกลาง การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่และหลักการถ่วงดุลอำนาจ ซึ่งมี รายละเอียดดังนี้ คือ 1.การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง จากเดิมที่การปกครองหัวเมืองยังไม่มีการรวมศูนย์อำนาจหรือปกครองแบบ หลวมๆ มีเพียงเมืองลูกหลวงและเมืองบริวารของเมืองลูกหลวงเท่านั้น แต่การที่ ราชอาณาจักรอยุธยาแผ่ขยายอาณาเขตออกไปมากขึ้นโดยเฉพาะการควบ อาณาจักรสุโขทัยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาใน พ.ศ.1981 ภาย หลังพระมหาธรรมราชาที่ 4 แห่งสุโขทัยเสด็จสวรรคต สมเด็จพระบรมไตรโลก นาถทรงขึ้นไปเรียกร้องสิทธิในราชบัลลังก์โดยอ้างถึงการสืบพระราชวงศ์ทาง สายมารดา การปกครองอาณาจักรที่ใหญ่ยิ่งขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้าง อำนาจให้ปึกแผ่นมั่นคง จึงต้องมีการปฏิรูปการปกครอง เพื่อยึดโยงความ สัมพันธ์ระหว่างราชธานีกับหัวเมืองต่างๆ การควบคุมกำลังคนและการสร้าง อำนาจในทางเศรษฐกิจ โดยแบ่งหัวเมืองออกเป็นหัวเมืองชั้นในและหัวเมืองชั้น นอกหรือเมืองพระยามหานคร (1) หัวเมืองชั้นใน ทรงลดฐานะเมืองลูกหลวงลงมาเป็นเมืองชั้นจัตวา อยู่ ภายใต้การปกครองของราชธานี จะส่งขุนนางที่เรียกว่า “ผู้รั้ง”ออกไป ปกครอง ขึ้นตรงต่อเมืองหลวง โดยหัวเมืองชั้นในมีดังนี้ ทิศเหนือถึงเมืองชัยนาท ทิศตะวันออกถึงเมืองปราจีนบุรี ทิศตะวันตกถึงเมืองสุพรรณบุรี ทิศใต้ถึงเมืองกุยบุรี หน้าที่8
(2) หัวเมืองชั้นนอก หรือเมืองพระยามหานคร อยู่ถัดจากเขตหัวเมืองชั้นใน ออกไป โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงผนวกหัวเมืองประเทศราชในสมัย อยุธยาตอนต้น ได้แก่ สุโขทัย นครศรีธรรมราช เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราช อาณาจักรอยุธยา หัวเมืองชั้นนอกจะแบ่งออกเป็น หัวเมืองชั้นเอก ชั้นโทและ ชั้นตรี ตามขนาดและความสำคัญของหัวเมือง หัวเมืองชั้นนอกที่สำคัญได้แก่ เมืองพิษณุโลก นครศรีธรรมราช หัวเมืองพระรายามหานครอื่นๆได้แก่ เมือง ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร ผู้ปกครองหรือเจ้าเมือง ราชธานีจะส่งเจ้านายหรือขุนนางจากส่วนกลางไป ปกครอง เจ้าเมืองจะมีอิสระในการปกครองมากพอสมควรแต่ต้องอยู่ใน ความควบคุมของเมืองหลวงและใช้กฎหมายจากส่วนกลางในการ ปกครอง ในการรวมศูนย์อำนาจ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างเครื่องมือใน การสร้างความสัมพันธ์ทางชนชั้นในสังคมไทยโดยสร้างระบบศักดินา ซึ่ง เป็นการกำหนดสถานะของบุคคลให้สังคมไทยเพื่อให้สะดวกต่อการควบคุม กำลังคน และยังทำให้เกิดการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลใน สังคมที่มีฐานะแตกต่างกันด้วย เช่น แบ่งคนออกเป็นชนชั้นปกครอง ได้แก่ เจ้านาย ขุนนาง และชนชั้นผู้ถูกปกครอง ได้แก่ ไพร่ ทาส ปรับปรุงระบบกฎหมาย ซึ่งเป็นรากฐานของระบบศักดินาของอยุธยา คือ การประกาศใช้กฎมณเฑียรบาล พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน พระไอ ยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง ซึ่งกฎหมายเหล่านี้กำหนดให้เจ้า ขุนนาง พระสงฆ์ ราษฎร(ไพร่-ทาส) ต้องมีศักดินา 5-1000,000 ไร่ หน้าที่9
2.การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ จากเดิมที่การบริหารราชการแบ่งออกเป็น 4 ฝ่ายที่ เรียกว่าจตุสดมภ์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงตรา พระไอยการตำแหน่งนาทหารและนาพลเรือน แบ่ง หน้าที่ฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร มีอัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ สมุหพระกลาโหม เป็นอัครมหาเสนาบดีว่าราชการฝ่ายทหารทั้งในราชธานีและหัวเมืองต่างๆ ควบคุมไพร่พลที่เป็นกรมฝ่ายทหาร สมุหนายก เป็นอัครมหาเสนาบดี ว่าราชการฝ่ายพลเรือน กรมนครบาล มีหน้าที่ปกครองท้องที่ ปราบปรามโจรผู้ร้าย รักษาความสงบเรียบร้อย ภายใน รวมทั้งพิจารณาคดีความที่เป็นมหันตโทษ หน้าที่10
กรมธรรมาธิกรณ์ มีหน้าที่รับผิดชอบงานในราชสำนักและงานยุติธรรม รับผิดชอบงาน ยกกระบัตรในหัวเมืองต่างๆ และดูและกรมที่ขึ้นกับกระทรวง วัง เช่น กรมชาวที่ กรมภูษามาลา เป็นต้น กรมโกษาธิบดี ทำหน้าที่รับผิดชอบเก็บจ่าย รักษาพระราชทรัพย์ที่ได้จากภาษีอากร รับ ผิดชอบการค้าสำเภาของพระมหากษัตริย์ และดูแลกรมพระคลังสินค้า กรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา กรมเกษตราธิการ ทำหน้าที่ตรวจตราและส่งเสริมการทำนา การเก็บหางข้าว ออกโฉนดที่ นา จัดซื้อข้าวขึ้นฉางหลวง หน้าที่11
3.การถ่วงดุลอำนาจ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแยกอำนาจโดยให้สมุหพระกลาโหมคุมอำนาจ ทหารและสมุหนายกคุมอำนาจพลเรือน ผลของการปฏิรูปที่แยกอำนาจของ ฝ่ายทหารและพลเรือนออกจากกันจึงเป็นการถ่วงดุลอำนาจ และทำให้พระ มหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ หน้า12
ผลของการปฏิรูปการปกครองแผ่น ดิน (1) ทำให้ราชธานีหรือศูนย์กลางมีอำนาจในการปกครองหัวเมือง ต่างๆเพิ่มมากขึ้น และสามารถควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจ ทำให้ ส่วนกลางมีความมั่งคั่ง (2) ระบบศักดินาทำให้เกิดโครงสร้างทางชนชั้น เป็นเครื่องมือที่ สำคัญในทางปกครอง กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและผู้ ถูกปกครอง กำหนดสิทธิและหน้าที่ (3) เกิดเสถียรภาพในการปกครอง โดยเฉพาะอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่มีการรวมศูนย์ มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างทหารและพลเรือน การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีผลต่อ การปกครองไทยเป็นเวลายาวนานจนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินใน พ.ศ.2435 หน้า13
ตราพระราชกำหนดศักดินา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตราพระราชกำหนดศักดินาขึ้นเป็นกฎ เกณฑ์ของสังคม ทำให้มีการแบ่งประชากรออกเป็นหลายชนชั้น เช่น เดียวกับหน้าที่และสิทธิของแต่ละบุคคล ศักดินาเป็นความพยายามจัด ระเบียบการปกครองให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น อันเป็นหลักที่เรียกว่า การ รวมเข้าสู่ศูนย์กลาง ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าศักดินาจะเป็นการกำหนดสิทธิใน การถือครองที่ดิน แต่ในทางปฏิบัติแล้วหมายถึงจำนวนไพร่พลที่ สามารถครอบครอง เกณฑ์การปรับไหม และลำดับการเข้าเฝ้าแทน กฎมณเฑียรบาล ในปี พ.ศ. 2001 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตั้งกฎมณเฑียร บาล ขึ้นเป็นกฎหมายสำหรับการปกครอง แบ่งออกเป็นสามแผน คือ 1.พระตำราว่าด้วยแบบแผนพระราชพิธีต่าง ๆ 2.พระธรรมนูญว่าด้วยตำแหน่งหน้าที่ราชการต่าง ๆ 3.พระราชกำหนดเป็นข้อบังคับสำหรับพระราชสำนัก หน้า14
ด้านวรรณกรรม ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งหนังสือมหาชาติคำหลวง นับว่าเป็น วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เรื่องแรกของกรุงศรีอยุธยา และเป็น วรรณคดีชั้นเยี่ยมที่ใช้เป็นแนวทางในการศึกษาภาษา และวรรณคดี ของไทย นอกจากนี้ยังมีลิลิตพระลอ ซึ่งเป็นยอดวรรณคดีประเภทลิลิต ของไทย ลิลิตพระลอ มหาชาติคำหลวง หน้า15
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา จะกล่าวถึงกรุงศรีอยุธยา เป็นกรุงรัตนราชพระศาสนา มหาดิเรกอันเลิศล้น เป็นที่ปรากฎรจนา สรรเสริญอยุธยาทุกแห่งหน ทุกบุรีสีมามณฑล จบสกลลูกค้าวานิช ทุกประเทศสิบสองภาษา ย่อมมาพึ่งกรุงศรีอยุธยาเป็นอัคคนิษฐ์ ประชาราษฎร์ปราศจากภัยพิศม์ ทั้งความพิกลจริตแลความทุกข์ ฝ่ายองค์พระบรมราชา ครองขันธสีมาเป็นสุข ด้วยพระกฤษฎีกาทำนุก จึงอยู่เย็นเป็นสุขสวัสดี เป็นที่อาศัยแก่มนุษย์ในใต้หล้า เป็นที่อาศัยแก่เทวาทุกราศี ทุกนิกรนรชนมนตรี คหบดีพราหมณพฤฒา ประดุจดั่งศาลาอาศัย ดั่งหนึ่งร่มพระไทรอันสาขา ประดุจหนึ่งแม่น้ำพระคงคา เป็นที่สิเนหาเมื่อกันดาร ด้วยพระเดชเดชาอานุภาพ อาจปราบไพรีทุกทิศาน ทุกประเทศเขตขันธบันดาล แต่งเครื่องบรรณาการมานอบนบ กรุงศรีอยุธยานั้นสมบูรณ์ เพิ่มพูนด้วยพระเกียรติยศขจรจบ อุดมบรมสุขทั้งแผ่นภพ จนคำรบศักราชได้สองพัน คราทีนั้นฝูงสัตว์ทั้งหลาย จะเกิดความอันตรายเป็นแม่นมั่น ด้วยพระมหากษัตริย์มิได้ทรงทศพิธราชธรรม์ จึงเกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์สิบหกประการ หน้าที่16
คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพท อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง ผีเมืองนั้นจะออกไปสู่ไพร พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี พระกาลกุลีจะเข้ามาเป็นไส้ พระธรณีจะตีอกไห้ ในลักษณะทำนายไว้บ่ห่อนผิด อกพระกาลจะไหม้อยู่เกรียมกรม มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม เมื่อวินิศพิศดูก็เห็นสม มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น มิใช่เทศกาลลมลมก็พัด ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัด มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ เกิดวิบัตินานาทั่วสากล เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา สัปบุรุษจะแพ้แก่ทรชน จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก ลูกศิษย์จะสู้ครูนัก คนชั่วมล้างผู้มีศักดิ์ ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย กระเบื้องจะเฟื่ องฟูลอย นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า ผู้มีศีลนั้นจะเสียซึ่งอารมณ์ เพราะจันฑาลมันเข้ามาเสพสม พระมหากษัตริย์จะเสื่อมสิงหนาท เพราะสมัครสมาคมซึ่งมารยา อาสัจจะเลื่องลือชา ประเทศราชจะเสื่อมซึ่งยศถา ผู้กล้าจะเสื่อมใจหาญ พระธรรมาจะตกลึกลับ ผู้มีสินจะถอยจากทรัพย์ จะสาปสูญวิชาการทั้งปวงสรรพ สัปบุรุษจะอับซึ่งน้ำใจ หน้า17
ทั้งอายุศม์จะถอยเคลื่อนจากเดือนปี ประเวณีจะแปรปรวนตามวิสัย ทั้งพืชแผ่นดินจะผ่อนไป ผลหมากรากไม้จะถอยรส ทั้งแพทย์พรรณว่านยาก็อาเพศ เคยเป็นคุณวิเศษก็เสื่อมหมด จวงจันทน์พรรณไม้อันหอมรส จะถอยถดไปตามประเพณี ทั้งเข้าก็จะยากหมากจะแพง สารพันจะแห้งแล้งเป็นถ้วนถี่ จะบังเกิดทรพิษมิคสัญญี ฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน กรุงประเทศราชธานี จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล จะเกิดการกุลีทุกแห่งหน จะร้อนอกสมณาประชาราษฎร์ จะสาละวนทั่วโลกหญิงชาย จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย ทางน้ำก็จะแห้งเป็นทางบก ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ แต่สิงห์สาระสัตว์เนื้อเบื้อ เวียงวังจะรกเป็นป่าเสือ นั้นจะหลงเหลือในแผ่นดิน ทั้งผู้คนสารพัดสัตว์ทั้งหลาย ด้วยพระกาลจะมาผลาญแผ่นดิน จะสาปสูญล้มตายเสียหมดสิ้น กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว จะสูญสิ้นการณรงค์สงคราม ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม จะลับรัศมีแก้วเจ้าทั้งสาม กรุงศรีอยุธยาเขษมสุข จะสิ้นนามศักราชห้าพัน จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์ แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์ นับวันจะเสื่อมสูญเอยฯ หน้า18
ที่มา คำศัพท์และคำอธิบาย กรมพระยาดำรงฯ ได้วิจารณ์เพลงยาวกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า \"พิจารณาเนื้อ ความตามที่กล่าวในเพลงยาวบทนี้ มีคำพยากรณ์มาแต่ก่อนว่า กรุง ศรีอยุธยาจะสมบูรณ์พูลสุขเป็นอย่างเลิศล้นจนศักราชได้ 2,000 ปี พ้น นั้นไปจะเกิด \"เข็ญเป็นมหัศจรรย์ 16 ประการ\" เหตุด้วยพระมหากษัตริย์ ไม่ทรงทศพิธราชธรรม\" บ้านเมืองมีเภทภัยต่าง ๆ ที่สุดถึงฆ่าฟันกันตาย จนกรุงศรีอยุธยาสูญไปตลอดอายุพระพุทธศาสนา 5,000 ปี ว่ามีคำ พยากรณ์อยู่แล้วดังกล่าวมานี้ มาในสมัยหนึ่งเมื่อกรุงศรีอยุธยายังเป็น ราชธานีอยู่นั้น ผู้แต่งเพลงยาวบทนี้ สังเกตเห็นเกิดวิปริตต่าง ๆ ตาม \"ใน ลักษณะทำนายไปบ่อห่อนผิด เมื่อวินิจพิศดูก็เห็นสม\" เกรงว่าจะเข้ายุค เข็ญตามคำพยากรณ์จึงแต่งเพลงยาวบทนี้ ด้วยความอาลัยกรุงศรีอยุธยา ลงท้ายว่า \"กรุงศรีอยุธยา แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์ จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์ นับวันแต่จะเสื่อมสูญเอย\" ตามความในเพลงยาวนี้ พึงเห็นได้ว่าผู้แต่งเพลงยาวบทนี้ เป็นแต่อ้างตามคำ พยากรณ์ที่มีอยู่แล้ว หาได้เป็นผู้พยากรณ์ไม่ จึงเกิดปัญหาเป็นข้อต้นว่า ใคร เป็นผู้พยากรณ์ วิสัชนาข้อนี้มีเค้าเงื่อนอยู่ในหนังสือเก่าเรียกว่า \"มหาสุบิน ชาดก\" (ซึ่งหอพระสมุดพิมพ์ไว้ในหนังสือนิบาตชาดก เล่ม 2 หน้า 172) เนื้อ ความในชาดกนั้นว่า คืนหนึ่งพระเจ้าปะเสนทิ ซึ่งครองประเทศโกศลอยู่เมือง สาวัตถี เป็นราชธานี ทรงพระสุบินนิมิตอย่างแปลกประหลาด 16 ข้อ (จำนวน ตรงกันกับในเพลงยาว) เกิดหวาดหวั่นพระราชหฤทัย ตรัสให้พวกพราหมณ์ พยากรณ์ พวกพราหมณ์ว่าพระสุบินนั้นร้ายนัก เป็นนิมิตที่จะเกิดภัยอันตราย ใหญ่หลวง พราหมณ์ได้ทูลแนะนำให้ทำพิธีบูชายัญป้องกันภยันตราย หน้า19
แต่นางมัลลิกามเหสีเห็นว่าพิธีบูชายัญนั้น ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจะกลัวเป็น บาปกรรม ทูลขอให้พระเจ้าปะเสนทิไปทูลถามพระพุทธเจ้าให้ทรง พยากรณ์เสียก่อน เมื่อพระเจ้าปะเสนทิไปทูลถามพระพุทธองค์ ๆ ตรัส ตอบว่าพระสุบิน 16 ข้อนั้น สังหรณ์เหตุร้ายจริง แต่เหตุร้ายเหล่านั้น จะยัง ไม่เกิดในรัชกาลของพระเจ้าปะเสนทิและในพุทธกาล จะเกิดต่อเบื้องหน้า เมื่อกษัตริย์ไม่อยู่ในราชธรรมและมนุษย์ทั้งหลายทิ้งกุศลสุจริตจึงจะถึงยุค เข็ญ นิมิตร้ายในพระสุบินหามีภัยอันตรายแก่พระองค์อย่างไรไม่ พระเจ้า ปะเสนทิได้ทรงฟังพระพุทธฎีกาก็สิ้นพระวิตก ทูลขอให้พระพุทธองค์ทรง พยากรณ์นิมติ 16 ข้อนั้นต่อไป พระพุทธองค์จึงทรงพยากรณ์ทีละข้อ แต่ จะคัดพุทธพยากรณ์มาแสดงโดยพิสดารจะยืดยาวนัก จะกล่าวแต่สองข้อ ซึ่งใกล้อย่างยิ่งกับที่กล่าวในเพลงยาวว่า \"กระเบื้องจะเฟื่ องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยจะถอยจม\" ในพระสุบินข้อ 12 ว่าพระเจ้าปะเสนทิทอดพระเนตรเห็น \"น้ำเต้าเปล่า\" (คือ ที่รวงเอาเยื่อข้างในออก เหลือแต่เปลือกสำหรับใช้ตักน้ำ) อันลอยน้ำเป็น ธรรมดากลับจมลงไปอยู่กับพื้นที่ข้างใต้น้ำ ข้อนี้พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ ว่า เมื่อถึงยุคเข็ญนั้น พระมหากษัตริย์จะชุบเลี้ยงคนแต่เสเพลเปรียบเหมือน ลูกน้ำเต้าเปล่าอันได้แต่ลอยตามสายน้ำ ตั้งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในราชการ เปรียบดังน้ำเต้าเปล่าจมลงไปเป็นภาคพื้นใต้น้ำ ในพระสุบินข้อ 13 ว่า พระเจ้าปะเสนทิได้ทอดพระเนตรเห็นหินก้อนใหญ่ สักเท่าเรือน (ในเพลงยาวว่ากระเบื้อง) ลอยขึ้นมาอยู่บนหลังน้ำ พุทธ พยากรณ์ข้อนี้ก็อย่างเดียวกับข้อก่อน แต่กลับกันว่าผู้ทรงคุณเป็นหลัก ฐานมั่นคง เปรียบเหมือนหินดานที่เป็นพื้นของลำน้ำ เมื่อถึงยุคเข็ญจะ สิ้นวาสนา ต้องเที่ยวซัดเซเร่ร่อน เปรียบเหมือนกับหินกลับลอยตาม กระแสน้ำ หน้าที่20
นอกจาก 2 ข้อนี้ เหตุร้ายต่าง ๆ ที่ในพุทธพยากรณ์ว่าจะเกิดในยุคเข็ญก็ เป็นเค้าเดียวกับที่กล่าวในเพลงยาว เห็นได้ชัดว่าผู้แต่งคำพยากรณ์กรุง ศรีอยุธยาเอาความในมหาสุบินชาดกมาแต่ง แต่มีผิดกันเป็นข้อสำคัญอยู่ 2 แห่ง แห่งหนึ่งในมหาสุบินชาดก พระพุทธเจ้ามิได้ทรงพยากรณ์ว่ายุค เข็ญนั้นจะเกิดในประเทศใด เป็นแต่ว่าเกิดเพราะพระราชาไม่อยู่ใน ราชธรรม แต่ในคำพยากรณ์เจาะจงว่าจะเกิด ณ กรุงศรีอยุธยาอีกหนึ่ง หนึ่ง ในพระพุทธพยากรณ์มิได้กล่าวว่ายุคเข็ญจะเกิดเมื่อใด เป็นแต่ว่า ยังอีกช้านานในภายหน้า แต่ในคำพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาอ้างว่าจะเกิด ยุคเข็ญ เมื่อศักราชได้ 2,000 ปี จึงเป็นปัญหาเกิดขึ้นอีกข้อหนึ่งว่า \"ศักราชอันใด\" ถ้าหมายว่าพุทธศักราชกรุงศรีอยุธยาสร้างเมื่อ พ.ศ.1893 ครบ 2,000 ปีในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กรุง ศรีอยุธยาก็จะสมบูรณ์พูนสุขอยู่เพียง 107 ปี ซึ่งได้เข้าสู่ยุคเข็ญก่อนแต่ง เพลงยาวบทนี้กว่าร้อยปี ซึ่งผู้แต่งเพลงยาวเพิ่งหวาดหวั่นว่าจะถึงยุคเข็ญ ก็ส่อแววให้เห็นว่ามิใช่พุทธศักราช หรือจะหมายถึงว่ามหาศักราช ซึ่งตั้ง ภายหลังพุทธศักราช 621 ปี ถ้าเช่นนั้น เมื่อคำนวณดูใน พ.ศ. 2479 (ปีที่เขียนคำวิจารณ์) นี้ มหา ศักราชได้ 1,858 ปี ยังขาดอีก 142 ปี จึงจะครบ 2,000 ปี ก็เข้าสู่ยุค เข็ญตามที่พยากรณ์ หากหมายความว่าจุลศักราช ยังยิ่งช้าออกไปอีกมาก เพราะจุลศักราชตั้งภายหลังพุทธศักราชถึง 1,181 ปี ต่ออีก 702 ปี (พ.ศ.3181) จุลศักราชจึงจะครบ 2,000 ซึ่งศักราช 2,000 นั้น ก็ดูไม่เข้า กับเรื่องที่กล่าวในเพลงยาวเสียทีเดียว ทำให้ชวนสงสัยต่อไปถึงข้อที่อ้างว่า มีคำพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาอยู่แต่ก่อน ที่จริงน่าจะเป็นที่ด้วยคนชอบนำเอา พุทธพยากรณ์ในมหาสุบินชาดก มาเปรียบในเวลาที่เมื่อเห็นว่ามีอะไรวิปริต ผิดนิยม เกิดเป็นภาษิตก่อนแล้ว จึงเลยเลือนไปเข้าใจกันว่าเป็นคำ พยากรณ์สำหรับพระนครศรีอยุธยา หน้าที่21
ผู้แต่งเพลงยาวนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินหรือไม่ก็ตาม ก็น่าจะ ปรารภความวิปริตอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยนั้น จึงแต่ง เพลงยาวนี้ด้วยความกลุ้มใจ บางทีจะเอาศักราช 2,000 อันตั้งใจว่า จุลศักราชเขียนลงมาเพื่อจะมิให้คนทั้งหลายตกใจว่า ถึงยุคเข็ญแล้ว เมื่อเวลาแต่งเพลงยาวนั้น เห็นจะมิใคร่มีใคร ถือว่าสลักสำคัญมาจน เมื่อเสียพระนครศรีอยุธยา จึงเกิดเห็นสมดังพยากรณ์ เพลงยาวบทนี้ ก็เลยศักดิ์สิทธิ์ขึ้น พวกไทยที่ตกไปเมืองพม่าก็เห็นเช่นนั้นจึงเอาไป อ้างอวดพม่าว่า พระเจ้าเสือทรงเล็งเห็นการณ์ในอนาคต ฝ่ายพวก ไทยที่อยู่ในสยามประเทศ เมื่อเห็นพระนครศรีอยุธยาเป็นเมืองร้าง ก็ เห็นว่าสมคำพยากรณ์เช่นเดียวกันโดยมาก ที่เรียกเพลงยาวบทนี้ว่า \"เพลงยาวพุทธทำนาย\" ก็มีจำกันได้แพร่หลายแต่ตคนละเล็กละน้อย ดูเหมือนจำได้โดยมากแต่ตรงว่า \"กระเบื้องจะเฟื่ องฟูลอย น้ำเต้าอัน ลอยจะถอยจม\" ครั้นเมื่อถามข้าราชการครั้งกรุงศรีอยุธยาที่ยังมีตัว อยู่ (เข้าใจว่าเมื่อแรกสร้างพระนครอมรรัตนโกสินทร์) ในรัชกาลที่ 1 ถึงแผนที่พระนครศรีอยุธยา มีผู้จำเพลงยาวพยากรณ์นี้ได้ตลอดบท (อย่างกะพร่องกะแพร่ง) จึงให้จดลงไว้ข้างต้น สมุดเรื่องกรุง ศรีอยุธยาสันนิษฐานว่า เรื่องตำนานของเพลงยาวพยากรณ์กรุง ศรีอยุธยาจะเป็นดังกล่าวมา เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยานี้ นำมาจากหนังสือ \"อธิบาย แผนที่พระนครศรีอยุธยา\" โดยมหาอำมาตย์โท พระยาโบราณราช ธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา อุปนายก ราชบัณฑิตยสภา แผนกโบราณคดี พิมพ์ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีบวงสรวงอดีต มหาราชเจ้า ที่พระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ.2469 สันนิษฐานว่า เพลงยาวนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่นักวิชาการยังไม่อาจ สรุปแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แต่ง แม้ในตอนท้ายของบทกลอน ได้บันทึก กำกับไว้ว่า \"พระนารายณ์เป็นเจ้านพบุรีทำนาย...\" หากว่าเป็นจริง ตามนั้น \"พระนารายณ์\" ก็หมายถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วน \"นพบุรี\" คือเมืองลพบุรี หน้า22
หนังสือ \"อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา\" แต่ในหนังสือ \"คำให้การชาวกรุงเก่า\" กล่าวว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของ พระพุทธเจ้าเสือ มีเนื้อความสั้นกว่า และปรากฎความเป็นร้อยแก้ว ซึ่ง สันนิษฐานเพิ่มเติมได้อีกว่า อาจถูกแต่งเพื่อใช้ทำลายขวัญ และเป็น เหตุผลทางการเมือง เพราะบทกลอนดังกล่าวมีเนื้อความคล้ายกับร่าง ของพระเจ้าสุริเยนทราธิบดีหรือพระเจ้าเสือ ที่ทรงประพันธ์ขึ้นมา เพื่อเป็น หนึ่งในปฏิบัติการทางด้านจิตวิทยาทางการเมือง ในปลายรัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งต่อมาผู้นำในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ได้ใช้ ประโยชน์จากบทกลอนดังกล่าวนี้ มาอธิบายเหตุการณ์การเสียกรุง ศรีอยุธยา โดยมีเป้าหมายในทางการเมือง หน้า23
อ้างอิง huexonline.com Khunmaebook.com http://www.thaipoet.net/index.php? lay=show&ac=article&Id=538785929&Ntype=2 โดยบรรณา ลัย/โชติช่วง นาดอน, วันที่สืบค้น 30 พฤษภาคม 2559 th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ, วันที่ สืบค้น 29 มีนาคม 2559 https://guru.sanook.com http://th.wikipedia.org/wiki ดนัย ไชยโยธา. (2543). พัฒนาการของมนุษย์กับอารยธรรมในราช อาณาจักรไทย เล่ม ๑. โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์. หน้า 340. ดนัย ไชยโธยา. หน้า 342. ดนัย ไชยโยธา. หน้า 159. historytactic.blogspot.com matichonacademy.com
samyan-mitrtown.com ww2.ayutthaya.go.th ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล,การเมืองการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.1893- 2112 เอกสารการสอนชุดวิชาประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองไทย, พิมพ์ครั้ง ที่ 6 (นนทบุรี : สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ,2533) ,หน้า 131. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี,บันทึกเรื่องการ ปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์,(กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549) ,หน้า 28. ธันยวัฒน์ รัตนสัค, การบริหารราชการไทย, (เชียงใหม่: สำนักวิชา รัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555) ,หน้า 29. ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล,การเมืองการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.1893-2112 เอกสารการสอนชุดวิชาประวัติศาสตร์สังคมและ การเมืองไทย, หน้า 131-132. ลิขิต ธีรเวคิน,วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย,พิมพ์ครั้งที่ 9 กรุงเทพมหานคร,สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2548) หน้า 29 ธันยวัฒน์ รัตนสัค, การบริหารราชการไทย, หน้า 30-36. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ,อยุธยา ประวัติศาสตร์และการเมือง, หน้า 176 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา : ประวัติศาสตร์และ การเมือง.กรุงเทพมหานคร, หน้า 11. wiki.kpi.ac.th
ขอบคุณค่ะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: