Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สื่อการสอนวิชาศิลปศึกษา

สื่อการสอนวิชาศิลปศึกษา

Published by 423ed000003, 2020-05-07 23:21:48

Description: สื่อการสอนวิชาศิลปศึกษา

Search

Read the Text Version

ใบความรู้ เรื่อง จุด เส้น สี แสง เงา รูปร่าง และรูปทรงท่ีใช้ในทศั นศิลป์ ไทย จุด หมายถึง องคป์ ระกอบท่ีเล็กที่สุด จุดเป็นสิ่งที่บอกตาแหน่งและทิศทางได้ การนาจุดมาเรียงตอ่ กนั ใหเ้ ป็นเส้น การรวมกนั ของจุดจะเกิดน้าหนกั ที่ใหป้ ริมาตรแก่รูปทรง เป็นตน้ เส้น หมายถึง จุดหลายๆจุดท่ีเรียงชิดติดกนั เป็นแนวยาว การลากเส้นจากจุดหน่ึงไปยงั จุดหน่ึงใน ทิศทางท่ีแตกต่างกนั จะเป็นทิศมุม 45 องศา 90 องศา 180 องศาหรือมุมใดๆ การสลบั ทศิ ทางของเส้นที่ลาก ทาใหเ้ กิดเป็นลกั ษณะตา่ ง ๆ ความรู้สึกทมี่ ีต่อเส้น เส้นเป็ นองคป์ ระกอบพ้ืนฐานท่ีสาคญั ในการสร้างสรรค์ เส้นสามารถแสดงให้เกิดความหมายของ ภาพและใหค้ วามรู้สึกไดต้ ามลกั ษณะของเส้น เส้นท่ีเป็นพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ เส้นตรงและเส้นโคง้ จากเส้นตรงและเส้นโคง้ สามารถนามาสร้างใหเ้ กิดเป็น เส้นใหมท่ ี่ใหค้ วามรู้สึกท่ีแตกต่างกนั ออกไป ไดด้ งั น้ี เส้นตรงแนวต้ัง ใหค้ วามรู้สึกแขง็ แรง สูงเด่น สง่างาม น่าเกรงขาม เส้นตรงแนวนอน ใหค้ วามรู้สึกสงบราบเรียบ กวา้ งขวาง การพกั ผอ่ น หยดุ นิ่ง เส้นตรงแนวเฉียง ใหค้ วามรู้สึกไมป่ ลอดภยั การลม้ ไม่หยดุ น่ิง เส้นตัดกนั ใหค้ วามรู้สึกประสานกนั แขง็ แรง

เส้นโค้ง ใหค้ วามรู้สึกออ่ นโยนนุ่มนวล เส้นคลนื่ ใหค้ วามรู้สึกเคลื่อนไหวไหลเลื่อน ร่าเริง ต่อเน่ือง เส้นประ ใหค้ วามรู้สึกขาดหาย ลึกลบั ไมส่ มบรูณ์ แสดงส่วนท่ีมองไมเ่ ห็น เส้นขด ใหค้ วามรู้สึกหมุนเวยี นมึนงง เส้นหยกั ใหค้ วามรู้สึกขดั แยง้ น่ากลวั ตื่นเตน้ แปลกตา สี คือ สีท่ีนามาผสมกนั แลว้ ทาใหเ้ กิดสีใหม่ ท่ีมีลกั ษณะแตกตา่ งไปจากสีเดิม แมส่ ีมีอยู่ 2 ชนิด คือ 1. แม่สีของแสง เกิดจากการหกั เหของแสงผา่ นแทง่ แกว้ ปริซึม มี 7 สี คือ ม่วง คราม น้าเงิน เขียว เหลือง แสด แดง 2. แม่สีวตั ถุธาตุ เป็นสีที่ไดม้ าจากธรรมชาติ และจากการสงั เคราะห์โดยกระบวนทางเคมี มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีน้าเงิน เมื่อนามาผสมกนั ตามหลกั เกณฑ์ จะทาใหเ้ กิดวงจรสี

วงจรสี ( Colour Circle) สีข้นั ท่ี 1 คือ แม่สี ไดแ้ ก่ สีแดง สีเหลือง สีน้าเงิน สีข้นั ท่ี 2 คือ สีท่ีเกิดจากสีข้นั ที่ 1 หรือแมส่ ีผสมกนั ในอตั ราส่วนที่เทา่ กนั จะทาใหเ้ กิดสีใหม่ 3 สี ไดแ้ ก่ สีแดง ผสมกบั สีเหลือง ไดส้ ี ส้ม สีแดง ผสมกบั สีน้าเงิน ไดส้ ีม่วง สีเหลือง ผสมกบั สีน้าเงิน ไดส้ ีเขียว สีข้นั ท่ี 3 คือ สีที่เกิดจากสีข้นั ท่ี 1 ผสมกบั สีข้นั ที่ 2 ในอตั ราส่วนท่ีเท่ากนั จะได้ สีอ่ืน ๆ อีก 6 สี คือ สีแดง ผสมกบั สีส้ม ไดส้ ี ส้มแดง แดง ผสมกบั สีมว่ ง ไดส้ ีมว่ งแดง สีเหลือง ผสมกบั สีเขียว ไดส้ ีเขียวเหลือง สีน้าเงิน ผสมกบั สีเขียว ไดส้ ีเขียวน้าเงิน สีน้าเงิน ผสมกบั สีมว่ ง ไดส้ ีม่วงน้าเงิน สีเหลือง ผสมกบั สีส้ม ไดส้ ีส้มเหลือง วรรณะของสี คือสีที่ใหค้ วามรู้สึกร้อน-เยน็ ในวงจรสีจะมีสีร้อน 7 สี และสีเยน็ 7 สี โดยจะมีสีมว่ ง กบั สีเหลือง ซ่ึงเป็นไดท้ ้งั สองวรรณะ สีตรงข้าม หรือสีตดั กนั หรือสีคู่ปฏิปักษ์ เป็นสีท่ีมีค่าความเขม้ ของสี ตดั กนั อยา่ งรุนแรง สีกลาง คือ สีท่ีเขา้ ไดก้ บั สีทุกสี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คือ สีน้าตาล กบั สีเทา สีน้าตาล เกิดจากสี ตรงขา้ มกนั ในวงจรสีผสมกนั ในอตั ราส่วนท่ีเท่ากนั คุณลกั ษณะของสีมี 3 ประการ คือ 1. สีแท้ หมายถึง สีท่ีอยใู่ นวงจรสีธรรมชาติ ท้งั 12 สี ที่เราเห็นอยทู่ ุกวนั น้ีแบง่ เป็ น 2 วรรณะ โดย แบง่ วงจรสีออกเป็ น 2 ส่วน จากสีเหลืองวนไปถึงสีมว่ ง คือ 1. สีร้อน ใหค้ วามรู้สึกรุนแรง ร้อน ต่ืนเตน้ ประกอบดว้ ย สีเหลือง สีเหลืองส้ม สีส้ม สีแดงส้ม สีแดง สีมว่ งแดง สีมว่ ง 2. สีเยน็ ใหค้ วามรู้สึกเยน็ สงบ สบายตาประกอบดว้ ย สีเหลือง สีเขียวเหลือง สีเขียว สีเขียวน้าเงิน สี น้าเงิน สีม่วงน้าเงิน สีม่วง เราจะเห็นวา่ สีเหลือง และสีมว่ ง เป็นสีที่อยไู่ ดท้ ้งั 2 วรรณะ คือเป็นสีกลางและ เป็นไดท้ ้งั สีร้อน และสีเยน็ 2. ความจัดของสี หมายถึง ความสด หรือความบริสุทธ์ิของสีใดสีหน่ึง สีที่ถูกผสมดว้ ย สีดาจนหม่น ลง ความจดั หรือความบริสุทธ์ิจะลดลง ความจดั ของสีจะเรียงลาดบั จากจดั ท่ีสุด ไปจนหม่นท่ีสุด

3. นา้ หนักของสี หมายถึง สีท่ีสดใส สีกลาง สีทึบของสีแต่ละสี สีทุกสีจะมีน้าหนกั ในตวั เอง ถา้ เรา ผสมสีขาวเขา้ ไปในสีใดสีหน่ึง สีน้ันจะสว่างข้ึน หรือมีน้าหนักอ่อนลงถ้าเพิ่มสีขาวเขา้ ไปทีละน้อยๆ ตามลาดับ เราจะได้น้าหนักของสีที่เรียงลาดับจากแก่สุด ไปจนถึงอ่อนสุด น้าหนักอ่อนแก่ ของสีที่ได้ เกิดจากการผสมดว้ ยสีขาว เทา และ ดา น้าหนกั ของสีจะลดลงดว้ ยการใชส้ ีขาวผสม ซ่ึงจะทาให้ เกิดความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนหวาน สบายตา แสงและเงา แสงและเงา หมายถึง แสงท่ีส่องมากระทบพ้ืนผวิ ท่ีมีสีอ่อนแก่และพ้ืนผวิ สูงต่า โคง้ นูนเรียบหรือ ขรุขระ ทาใหป้ รากฏแสงและเงาแตกตา่ งกนั ตวั กาหนดระดบั ของค่าน้าหนกั ความเขม้ ของเงาจะข้ึนอยกู่ บั ความเขม้ ของแสง ในท่ีที่มีแสงสวา่ งมาก เงาจะ เขม้ ข้ึน และในที่ที่มีแสงสวา่ งนอ้ ย เงาจะไมช่ ดั เจน บริเวณแสงสว่างจัด เป็นบริเวณที่อยใู่ กลแ้ หล่งกาเนิดแสงมากที่สุด จะมีความสวา่ งมากท่ีสุด ในวตั ถุ ที่มีผวิ มนั วาวจะสะทอ้ นแหล่งกาเนิดแสงออกมาใหเ้ ห็นไดช้ ดั บริเวณแสงสว่าง เป็นบริเวณท่ีไดร้ ับแสงสวา่ ง รองลงมาจากบริเวณแสงสวา่ งจดั เน่ืองจากอยหู่ ่าง จากแหล่งกาเนิดแสงออกมา และเริ่มมีคา่ น้าหนกั อ่อน ๆ บริเวณเงา เป็นบริเวณท่ีไมไ่ ดร้ ับแสงสวา่ ง หรือเป็นบริเวณที่ถูกบดบงั จาก แสงสวา่ ง ซ่ึงจะมีคา่ น้าหนกั เขม้ มากข้ึนกวา่ บริเวณแสงสวา่ ง บริเวณเงาเข้มจัด เป็นบริเวณท่ีอยหู่ ่างจากแหล่งกาเนิดแสงมากที่สุด หรือ เป็นบริเวณท่ีถูกบดบงั มาก ๆ หลาย ๆ ช้นั จะมีค่าน้าหนกั ที่เขม้ มากไปจนถึงเขม้ ที่สุด บริเวณเงาตกทอด เป็นบริเวณของพ้ืนหลงั ที่เงาของวตั ถุทาบลงไป เป็นบริเวณเงาท่ีอยู่ ภายนอกวตั ถุ และจะมีความเขม้ ของคา่ น้าหนกั ข้ึนอยกู่ บั ความเขม้ ของเงา น้าหนกั ของพ้ืน หลงั ทิศทางและระยะของเงา ความสาคญั ของค่านา้ หนัก 1. ใหค้ วามแตกตา่ งระหวา่ งรูปและพ้นื หรือรูปทรงกบั ที่วา่ ง 2. ใหค้ วามรู้สึกเคล่ือนไหว 3. ใหค้ วามรู้สึกเป็ น 2 มิติ แก่รูปร่าง และความเป็น 3 มิติแก่รูปทรง 4. ทาใหเ้ กิดระยะความต้ืน - ลึก และระยะใกล้ - ไกลของภาพ 5. ทาใหเ้ กิดความกลมกลืนประสานกนั ของภาพ

ใบความรู้ เร่ือง ความหมายและความเป็ นมาของทศั นศิลป์ ไทย ศิลปะประเภททศั นศิลป์ ที่สาคญั ของไทย ไดแ้ ก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม มีรูปแบบที่เป็ นเอกลกั ษณ์ไทยท่ีสะทอ้ นให้เห็นวถิ ีชีวติ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อและรสนิยม เกี่ยวกบั ความงามของคนไทย ลกั ษณะของศิลปะไทย ศิลปะไทยไดร้ ับอิทธิพลจากธรรมชาติ และสิ่งแวดลอ้ มในสงั คมไทย ซ่ึงมีลกั ษณะเด่น คือ ความงาม อยา่ งนิ่มนวลมีความละเอียดประณีต ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นถึงลกั ษณะนิสยั และจิตใจของคนไทยท่ีไดส้ อดแทรกไว้ ในผลงานที่สร้างสรรคข์ ้ึน โดยเฉพาะศิลปกรรมท่ีเกี่ยวกบั พระพุทธศาสนา ซ่ึงเป็ นศาสนาประจาชาติของ ไทย อาจกล่าวได้วา่ ศิลปะไทยสร้างข้ึนเพ่ือส่งเสริมพุทธศาสนา เป็ นการเช่ือมโยงและโนม้ นา้ วจิตใจของ ประชาชนใหเ้ กิดความเลื่อมใสศรัทธาในพทุ ธศาสนา จิตรกรรมไทย จิตรกรรมไทย เป็นการสร้างสรรคภ์ าพเขียนที่มี ลกั ษณะโดยทว่ั ไปมกั จะเป็น 2 มิติ ไม่มีแสงและเงา สีพ้ืนจะ เป็นสีเรียบๆไมฉ่ ูดฉาดสีท่ีใชส้ ่วนใหญจ่ ะเป็ นสีดา สีน้าตาล สีเขียว เส้นที่ใชม้ กั จะเป็นเส้นโคง้ ช่วยใหภ้ าพดูอ่อนชอ้ ย นุ่มนวล ไม่แขง็ กระดา้ ง จิตรกรรมไทยมกั พบในวดั ต่างๆ เรียกวา่ “จิตรกรรมฝาผนงั ” ภาพจิตรกรรมฝาผนงั วดั สุวรรณาราม

จิตรกรรมไทย จดั เป็ นภาพเล่าเรื่องที่เขียนข้ึนดว้ ยความคิดจินตนาการของคนไทย มีลกั ษณะตามอุดม คติของช่างไทย คือ 1. เขียนสีแบน ไมค่ านึงถึงแสงและเงา นิยมตดั เส้นใหเ้ ห็นชดั เจน และเส้นที่ใช้ จะแสดงความรู้สึก เคลื่อนไหวนุ่มนวล 2. เขียนตวั พระ-นาง เป็นแบบละคร มีลีลา ทา่ ทางเหมือนกนั ผดิ แผกแตกตา่ ง กนั ดว้ ยสีร่างกายและ เคร่ืองประดบั 3. เขียนแบบตานกมอง หรือเป็นภาพต่ากวา่ สายตา โดยมุมมองจากที่สูงลงสู่ ล่าง จะเห็นเป็นรูป เร่ืองราวไดต้ ลอดภาพ 4. เขียนติดตอ่ กนั เป็นตอน ๆ สามารถดูจากซา้ ยไปขวาหรือล่างและบนไดท้ วั่ ภาพ โดยข้นั แต่ละตอน ของภาพดว้ ยโขดหิน ตน้ ไม้ กาแพงเมือง เป็นตน้ 5. เขียนประดบั ตกแตง่ ดว้ ยลวดลายไทย มีสีทองสร้างภาพใหเ้ ด่นเกิดบรรยากาศ สุขสวา่ งและมี คุณค่ามากข้ึน ประตมิ ากรรมไทย ประติมากรรมเป็ นผลงานศิลปกรรมท่ีเป็ นรูปทรง 3 มิติ ประกอบจากความสูง ความกวา้ งและความ นูน หรือความลึก ประติมากรรมเกิดข้ึนจากกรรมวธิ ีการสร้างสรรคแ์ บบต่างๆ เช่น การป้ันและหล่อ การ แกะสลกั การฉลุหรือดุน ประติมากรรมไทยเป็ นผลงานการสร้างสรรค์ของบรรพบุรุษ ส่วนใหญ่เน้น เน้ือหาทางศาสนา มกั ปรากฏอยตู่ ามวดั และวงั มีขนาดต้งั แต่เล็กท่ีสุด เช่น พระเคร่ือง เคร่ืองรางของขลงั จนถึงขนาดใหญ่ที่สุด เช่น พระอจั นะ หรือพระอฏั ฐารส เม่ือพิจารณาภาพรวมของประติมากรรมไทยอาจแบ่งประติมากรรมออกเป็ น 3 ประเภทคือ ประติมากรรมรูปเคารพ ประติมากรรมตกแต่ง และประติมากรรมเพ่ือประโยชนใ์ ชส้ อย ผลงานประติมากรรมไทย แบง่ ออกไดเ้ ป็ น 4 ประเภท สรุปได้ ดงั น้ี 1. ประติมากรรมไทยที่เกิดข้ึนจากความเช่ือ ความศรัทธา คตินิยมเก่ียวขอ้ งกบั ศาสนา เช่น พระพทุ ธรูปปางต่างๆ ลวดลายของฐานเจดียห์ รือพระปรางคต์ ่างๆ 2. ประติมากรรมไทยพวกเคร่ืองใชใ้ นชีวติ ประจาวนั เช่น โอง่ หมอ้ ไห ครก กระถาง

3. ประติมากรรมไทยพวกของเล่น ไดแ้ ก่ ตุ๊กตาดินป้ัน ตุ๊กตาจากกระดาษ ตุ๊กตาจากผา้ หุ่นกระบอก ปลาตะเพียนสานใบลาน หนา้ กาก วสั ดุจากเปลือกหอย ชฎาหวั โขน ปลาตะเพียนสาน ใบลาน 4. ประติมากรรมไทยพวกเคร่ืองประดบั ตกแตง่ เช่น กระถางตน้ ไม้ โคมไฟดินเผา สถาปัตยกรรมไทย สถาปัตยกรรมไทย หมายถึง ศิลปะการก่อสร้างของไทย อนั ไดแ้ ก่ อาคาร บา้ นเรือน โบสถ์ วิหาร วงั สถูป และส่ิงก่อสร้างอื่น ๆ ที่มีมลู เหตุท่ีมาของการก่อสร้างอาคารบา้ นเรือนในแต่ละทอ้ งถ่ิน จะมีลกั ษณะผดิ แ ผ ก แ ต ก ต่ า ง กัน ไ ป บ้า ง ต า ม ส ภ า พ ท า ง ภู มิ ศ า ส ต ร์ แ ล ะ ค ติ นิ ย ม ข อ ง แ ต่ ล ะ ท้อ ง ถ่ิ น แต่สิ่งก่อสร้างทางศาสนาพุทธ มกั จะมีลกั ษณะท่ีไม่แตกต่างกนั มากนกั เพราะมีความเชื่อ ความศรัทธาและ แบบแผนพิธีกรรมท่ีเหมือน ๆ กนั สถาปัตยกรรมไทย สามารถจัดหมวดหมู่ ตามลกั ษณะการใช้งานได้ ประเภท คือ 1. สถาปัตยกรรมทใ่ี ช้เป็ นทอี่ ยู่อาศัย ไดแ้ ก่ บา้ นเรือน ตาหนกั วงั และพระราชวงั เป็นตน้ บา้ นหรือ เรือนเป็ นท่ีอยอู่ าศยั ของสามญั ชน ธรรมดาทวั่ ไป ซ่ึงมีท้งั เรือนไม้ และเรือนปนู เรือนไมม้ ีอยู่ 2 ชนิด คือ เรือนเครื่องผกู เป็นเรือนไมไ้ ผ่ ปูดว้ ยฟากไมไ้ ผ่ หลงั คามุงดว้ ย ใบจาก หญา้ คา หรือใบไม้ อีกอยา่ ง หน่ึงเรียกวา่ เรือนเครื่องสับ เป็นไมจ้ ริงท้งั เน้ือออ่ น และเน้ือแขง็ ตามแต่ละทอ้ งถ่ิน หลงั คามุง ดว้ ยกระเบ้ือง ดินเผา พ้นื และฝาเป็นไมจ้ ริงท้งั หมด ลกั ษณะเรือน ไมข้ องไทยในแตล่ ะทอ้ งถ่ินแตกตา่ งกนั และโดยทว่ั ไป แลว้ จะมี ลกั ษณะสาคญั ร่วมกนั คือ เป็นเรือนไมช้ ้นั เดียว ใตถ้ ุนสูง หลงั คาทรงจว่ั เอียงลาดชนั 2. สถาปัตยกรรมทเี่ กย่ี วข้องศาสนา ซ่ึงส่วนใหญ่อยใู่ นบริเวณสงฆ์ ท่ีเรียกวา่ วดั ซ่ึงประกอบไปดว้ ย สถาปัตยกรรมหลายอยา่ ง ไดแ้ ก่ โบสถ์ เป็ นท่ีกระทาสังฆกรรมของพระภิกษุ วหิ ารใชป้ ระดิษฐาน พระพุทธรูป สาคญั และกระทาสังฆกรรมดว้ ยเหมือนกนั กุฎิ เป็ นที่ อยขู่ องพระภิกษุ สามเณร หอไตร เป็ นที่เก็บรักษา พระไตรปิ ฎกและคมั ภีร์สาคญั ทางศาสนา หอระฆงั และหอกลอง เป็ นท่ีใชเ้ ก็บระฆงั หรือกลองเพ่ือตีบอกโมง ยาม หรือเรียกชุมนุมชาวบา้ น สถูปเป็นท่ีฝังศพ เจดีย์ เป็นท่ีระลึกอนั เกี่ยวเนื่องกบั ศาสนา

ภาพพมิ พ์ การพมิ พ์ภาพ หมายถึง การถ่ายทอดรูปแบบจากแม่พมิ พอ์ อกมาเป็ นผลงานท่ีมีลกั ษณะเหมือน กนั กบั แม่พิมพท์ ุกประการ และไดภ้ าพท่ีเหมือนกนั มีจานวนต้งั แต่ 2 ชิ้นข้ึนไป การพิมพภ์ าพเป็นงานที่พฒั นา ตอ่ เน่ืองมาจากการวาดภาพ ซ่ึงการวาดภาพไมส่ ามารถ สร้างผลงาน 2 ชิ้น ที่มีลกั ษณะเหมือน กนั ทุกประการได้ จึงมีการพฒั นาการพิมพข์ ้ึนมา ชาติจีนเป็นชาติแรกที่นาเอาวธิ ีการพิมพม์ าใชอ้ ยา่ ง แพร่หลายมานานนบั พนั ปี จากน้นั จึงไดแ้ พร่หลายออกไปในภมู ิภาคต่างๆของโลก ชนชาติทางตะวนั ตก ไดพ้ ฒั นาการพมิ พภ์ าพข้ึนมาอยา่ งมากมาย มีการนาเอาเครื่องจกั รกลต่างๆ เขา้ มาใชใ้ นการพิมพ์ ทาใหก้ าร พิมพม์ ีการพฒั นาไปอยา่ งรวดเร็วในปัจจุบนั การพมิ พ์ภาพมอี งค์ประกอบทส่ี าคญั ดงั นี้ 1. แม่พมิ พ์ เป็นสิ่งท่ีสาคญั ที่สุดในการพิมพ์ 2. วสั ดุท่ีใชพ้ มิ พล์ งไป 3. สีที่ใชใ้ นการพมิ พ์ 4. ผพู้ ิมพ์ ผลงานทไี่ ด้จากการพมิ พ์มีชนิด คอื 1. ภาพพิมพ์ เป็นผลงานพิมพท์ ่ีเป็นภาพต่างๆ เพอ่ื ความสวยงามหรือบอกเล่าเรื่องราวตา่ ง ๆ อาจมี ขอ้ ความ ตวั อกั ษรหรือตวั เลขประกอบหรือไม่มีก็ได้ 2. ส่ิงพมิ พ์ เป็นผลงานพิมพท์ ่ีใชบ้ อกเล่าเรื่องราวต่างๆ เป็นตวั อกั ษร ขอ้ ความ ตวั เลข อาจมี ภาพประกอบหรือไมม่ ีก็ได้ ประเภทของการพมิ พ์ การพิมพแ์ บ่งออกไดห้ ลายประเภทตามลกั ษณะตา่ ง ดงั น้ี 1. แบง่ ตามจุดมุ่งหมายในการ พมิ พ์ ได้ 2 ประเภท คือ 1.1 ศิลปภาพพมิ พ์ เป็นงานพิมพภ์ าพเพอื่ ใหเ้ กิดความสวยงามเป็น งานวจิ ิตรศิลป์ 1.2 ออกแบบภาพพมิ พ์ เป็ นงานพิมพภ์ าพประโยชนใ์ ชส้ อย นอกเหนือไปจากความสวยงาม ไดแ้ ก่ หนงั สือตา่ งๆ บตั รภาพตา่ งๆ ภาพโฆษณา ปฏิทิน ฯลฯ จดั เป็ นงาน ประยกุ ตศ์ ิลป์ 2. แบ่งตามกรรมวธิ ีในการพิมพ์ ได้ 2 ประเภท คือ 2.1 ภาพพิมพต์ น้ แบบ เป็นผลงานพิมพท์ ี่สร้างจากแมพ่ มิ พแ์ ละวธิ ีการพิมพท์ ี่ถูกสร้างสรรค์ และกาหนดข้ึนโดยศิลปิ นเจา้ ของผลงานและเจา้ ของผลงาน จะตอ้ งลงนามรับรองผลงานทุกชิ้น บอกลาดบั ท่ีในการพิมพ์ เทคนิคการพิมพ์ 2.2 ภาพพิมพจ์ าลองแบบ เป็ นผลงานพิมพท์ ่ีสร้างจากแม่พิมพ์ หรือวิธีการพิมพว์ ิธีอื่น ซ่ึงไมใ่ ช่วธิ ีการเดิมแตไ่ ดร้ ูปแบบเหมือนเดิม บางกรณีอาจเป็นการ ละเมิดลิขสิทธ์ิผอู้ ่ืน 3. แบง่ ตามจานวนคร้ังท่ีพมิ พ์ ได้ 2 ประเภท คือ 3.1 ภาพพิมพถ์ าวร เป็ นภาพพิมพท์ ่ีพิมพอ์ อกมาจากแม่พิมพใ์ ดๆ ที่ไดผ้ ลงานออกมามีลกั ษณะ เหมือนกนั ทุกประการ ต้งั แต่ 2 ชิ้นข้ึนไป

3.2 ภาพพมิ พค์ ร้ังเดียว เป็ นภาพพิมพท์ ่ีพมิ พอ์ อกมาไดผ้ ลงานเพยี งภาพเดียว ถา้ พิมพอ์ ีกจะได้ ผลงานที่ไม่เหมือนเดิม 4. แบง่ ตามประเภทของแม่พมิ พ์ ได้ 4 ประเภท คือ 4.1 แม่พิมพน์ ูน เป็ นการพิมพโ์ ดยให้สีติดอยบู่ นผวิ หนา้ ท่ีทาให้นูนข้ึนมาของแม่พิมพ์ ภาพท่ี ได้เกิดจากสีท่ีติดอยู่ในส่วนบนน้ัน แม่พิมพน์ ูนเป็ นแม่พิมพ์ที่ทาข้ึนมาเป็ นประเภทแรก ภาพพิมพช์ นิด ได้แก่ ภาพพิมพ์แกะไม้ ในอดีตผูค้ นมกั จะหาวิชาความรู้ได้จากในวดั เพราะวดั จะเป็ นศูนยก์ ลางของ นกั ปราชญห์ รือผรู้ ู้ ใชเ้ ป็ นสถานท่ีในการเผยแพร่วชิ าความรู้ต่างๆ จิตรกรรมฝาผนงั ท่ีเขียนตามศาลา โบสถ์ วหิ ารก็เป็ นอีกสิ่งหน่ึงที่เราจะหาความรู้ในเร่ืองต่างๆ ได้ โดยเฉพาะที่เก่ียวกบั พุทธประวตั ิ ชาดก วรรณคดี และนิทานพ้ืนบา้ น ซ่ึงนอกจากจะไดค้ วามรู้ในเรื่องศาสนา ประวตั ิศาสตร์ วรรณคดีแลว้ เรายงั ไดอ้ รรถรส แห่งความสนุกสนานเพลิดเพลินกบั ความสวยงามของภาพวาดเหล่าน้ีอีกดว้ ย 4.2 แม่พมิ พร์ ่องลึก เป็นการพิมพโ์ ดยใหส้ ีอยใู่ นร่องที่ทาใหล้ ึกลงไปของแมพ่ มิ พโ์ ดยใชแ้ ผน่ โลหะทาเป็นแมพ่ ิมพ์ ( แผน่ โลหะท่ีนิยมใชค้ ือแผน่ ทองแดง ) และทาใหล้ ึกลงไปโดยใชน้ ้ากรดกดั แมพ่ ิมพ์ ร่องลึกน้ีพฒั นาข้ึนโดย ชาวตะวนั ตก สามารถพิมพง์ านที่มีความ ละเอียด คมชดั สูง สมยั ก่อนใชใ้ นการพิมพ์ หนงั สือ พระคมั ภีร์ แผนท่ี เอกสารต่างๆ แสตมป์ ธนบตั ร ปัจจุบนั ใชใ้ นการพิมพง์ านท่ีเป็นศิลปะ และ ธนบตั ร 4.3 แม่พิมพพ์ ้นื ราบ เป็นการพิมพโ์ ดยใหส้ ีติดอยบู่ นผวิ หนา้ ที่ราบเรียบของแมพ่ ิมพ์ โดยไม่ ตอ้ งขดุ หรือแกะพ้นื ผวิ ลงไป แต่ใชส้ ารเคมีเขา้ ช่วย ภาพพิมพช์ นิดน้ีไดแ้ ก่ ภาพพมิ พห์ ิน การพิมพอ์ อฟเซท ภาพพิมพก์ ระดาษ ภาพพิมพค์ ร้ังเดียว 4.4 แม่พมิ พฉ์ ลุ เป็นการพิมพโ์ ดยใหส้ ีผา่ นทะลุช่องของแม่พิมพล์ งไปสู่ผลงานท่ีอยดู่ า้ นหลงั เป็ นการพิมพช์ นิดเดียวที่ไดร้ ูปท่ีมีดา้ นเดียวกนั กบั แม่พิมพ์ ไม่กลบั ซ้าย เป็ นขวา ภาพพิมพช์ นิดน้ีไดแ้ ก่ ภาพ พิมพฉ์ ลุ ภาพพิมพต์ ะแกรงไหม ในอดีตผคู้ นมกั จะหาวิชาความรู้ไดจ้ ากในวดั เพราะวดั จะเป็ นศูนยก์ ลางของ นกั ปราชญห์ รือผรู้ ู้ ใชเ้ ป็ นสถานท่ีในการเผยแพร่วิชาความรู้ต่างๆ จิตรกรรมฝาผนงั ท่ีเขียนตามศาลา โบสถ์ วหิ ารก็เป็ นอีกสิ่งหน่ึงที่เราจะหาความรู้ในเรื่องต่างๆ ไดโ้ ดยเฉพาะท่ีเกี่ยวกบั พุทธประวตั ิ ชาดก วรรณคดี และนิทานพ้ืนบา้ น ซ่ึงนอกจากจะไดค้ วามรู้ในเรื่องศาสนา ประวตั ิศาสตร์ วรรณคดีแลว้ เรายงั ไดอ้ รรถรส แห่งความสนุกสนานเพลิดเพลินกบั ความสวยงามของภาพพิมพต์ า่ ง ๆ เหล่าน้ีอีกดว้ ย

ใบความรู้ เร่ือง ความงามและคุณค่าของทศั นศิลป์ ไทย “ชีวติ สลาย อาณาจกั รพนิ าศ ผลประโยชนข์ องบุคคลมลายหายสิ้นไป แต่ศิลปะเทา่ น้นั ที่ยงั คงเหลือ เป็นพยานแห่งความเป็นอจั ฉริยะของมนุษยอ์ ยตู่ ลอดกาล” ขอ้ ความขา้ งตน้ น้ีเป็นความเห็นอนั เฉียบคมของ ทา่ น ศาสตราจารยศ์ ิลป พรี ะศรี ผกู้ ่อต้งั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร แสดงใหเ้ ห็นวา่ งานศิลปะเป็นสมบตั ิอนั ล้าค่า ของมนุษยท์ ี่แสดงความเป็ นอจั ฉริยะบง่ บอกถึงความเจริญทางดา้ นจิตใจ และสติปัญญาอนั สูงกวา่ ซ่ึงมีคุณค่า ตอ่ ชีวติ และสงั คมดงั น้ี คุณค่าในการยกระดบั จิตใจ คุณค่าของศิลปะอยทู่ ี่ประโยชน์ ช่วยขจดั ความโฉด ความฉอ้ ฉลยกระดบั วญิ ญาณความเป็ นคนเห็น แก่ตน บทกวขี องเนาวรัตน์ พงษไ์ พบูลย์ กวีซีไรตข์ องไทย ไดใ้ หค้ วามสาคญั ของงานศิลปะในการยกระดบั วิญญาณความเป็ นคนก็คือ การยกระดบั จิตใจของคนเราให้สูงข้ึนดว้ ยการไดช้ ่ืนชมความงาม และความ ประณีตละเอียดออ่ นของงานศิลปะ นอกจากน้ีงานศิลปะบางชิ้นยงั ใหค้ วามงามและความรู้สึกถึงความดีงาม และงาม จริยธรรมอยา่ ง ลึกซ้ึง เป็นการจรรโลงจิตใจใหผ้ ดู้ ูเคร่งเครียดและเศร้าหมองของศิลปิ นผสู้ ร้างสรรคแ์ ละผชู้ ่ืนชมไดเ้ ป็ นอยา่ ง ดี ดงั น้นั จึงมีการส่งเสริมใหเ้ ด็กสร้างงานศิลปะ เพ่ือผอ่ นคลายความเคร่งเครียด และพฒั นาสุขภาพจิต ซ่ึงเป็ น จุดเริ่มตน้ ของพฒั นาการต่าง ๆ อยา่ งสมบูรณ์ ความรู้สึกทางความงามของมนุษยม์ ีขอบเขตกวา้ งขวางและแตกตา่ งกนั ออกไปตามทศั นะของแต่ละ บุคคล เราอาจรวมลกั ษณะเด่นของความงามได้ ดงั น้ี 1. ความงามเป็ นส่ิงที่ปรากฏข้ึนในจิตมนุษย์ แมเ้ พียงชวั่ ระยะเวลาหน่ึงแต่จะก่อให้เกิดความปิ ติยินดี และฝังใจจาไปอีกนาน เช่น การไดม้ ีโอกาสไปเท่ียวชมสถานที่ต่างๆ ท่ีมีธรรมชาติและศิลปกรรมที่สวยสด งดงาม เราจะจาและระลึกถึงดว้ ยความปิ ติสุข บางคร้ังเราอยากจะใหผ้ อู้ ่ืนรับรู้ดว้ ย 2. ความงามทาให้เราเกิดความเพลิดเพลิน หลงใหลไปกบั รูปร่างรูปทรง สีสัน จนลืมบางส่ิง บางอยา่ งไป เช่น ผลไมแ้ กะสลกั ความงามของลวดลาย ความละเอียดอ่อน อยากเก็บรักษาไวจ้ นลืมไปว่า ผลไมน้ ้นั มีไวส้ าหรับรับประทานมิใช่มีไวด้ ู 3. ส่ิงส่ิงหน่ึงเป็ นไดท้ ้งั สิ่งท่ีสวยงาม และไม่งาม ไปจนถึงน่าเกลียด อปั ลกั ษณ์ แต่ถา้ ไดร้ ับการยก ยอ่ งวา่ เป็นส่ิงมีคา่ มีความงามจะตรงกนั ขา้ มกบั ส่ิงอปั ลกั ษณ์ทนั ที 4. ความงามไม่มีมาตราส่วนใดมาชงั่ ตวง วดั ใหแ้ น่นอนได้ ทาใหเ้ ราไมส่ ามารถกาหนดไดว้ า่ ส่ิงน้นั ส่ิงน้ีมีความงามเทา่ ใด 5. ความงามของสิ่งที่มนุษยส์ ร้างข้ึน เป็นผลมาจากความคิด ทกั ษะฝีมือ หรือภมู ิปัญญาของมนุษย์ แต่เม่ือสร้างเป็ นวตั ถุสิ่งของต่างๆแลว้ กลบั เป็นความงามของสิ่งน้นั ไป เช่น ความงามของผา้ ความงามของ รถยนต์ เป็นตน้

การรับรู้คา่ ความงาม ความงามเป็นเรื่องที่มีความสาคญั เพิ่มข้ึนตามลาดบั มนุษยร์ ับรู้คา่ ความงามใน 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่เห็นวา่ มนุษยร์ ับรู้คา่ ความงามไดเ้ พราะส่ิงตา่ งๆมีความงามอยใู่ นตวั เอง เป็นคุณสมบตั ิของ วตั ถุปรากฏออกมาเป็นรูปร่างรูปทรงสีสนั การอธิบายถึงความงามของงานทศั นศิลป์ จะไดผ้ ลนอ้ ยกวา่ การพา ไปใหเ้ ห็นของจริง แสดงใหเ้ ห็นวา่ ความงามมีอยใู่ นตวั วตั ถุ 2. กลุ่มที่เห็นวา่ มนุษยร์ ับรู้ค่าความงามไดเ้ พราะจิตของเราคิดและรู้สึกไปเอง โดยกลุ่มน้ีเห็นวา่ ถา้ ความงามมีอยใู่ นวตั ถุจริงแต่ละบุคคลยอ่ มเห็นความงามน้นั เท่ากนั แต่เน่ืองจากความงามของวตั ถุที่แต่ละ บุคคลเห็นแตกต่างกนั ออกไปจึงแสดงวา่ ความงามข้ึนอยกู่ บั อารมณ์และความรู้สึกของแต่ละบุคคล 3. กลุ่มท่ีเห็นวา่ มนุษยร์ ับรู้ค่าความงามไดเ้ พราะเป็ นสภาวะท่ีเหมาะสมระหวา่ งวตั ถุกบั จิต กลุ่มน้ี เห็นวา่ การรับรู้ค่าความงามน้นั มิใช่อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง แต่เป็ นสภาวะท่ีสัมพนั ธ์กนั ระหวา่ งมนุษยก์ บั วตั ถุ การ รับรู้ท่ีสมบูรณ์ตอ้ งประกอบดว้ ยวตั ถุที่มีความงาม ความเด่นชดั และผูร้ ับรู้ตอ้ งมีอารมณ์และความรู้สึกที่ดี พร้อมที่จะรับรสคุณคา่ แห่งความงามน้นั ดว้ ย จะเห็นไดว้ า่ ศิลปกรรมหรือทศั นศิลป์ เป็นสิ่งท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึนจึงมีการขดั เกลาตกแต่งให้สวยงามเป็ น วตั ถุสุนทรีย์ เป็ นส่ิงท่ีมีความงาม ผูด้ ูรับรู้ค่าความงามไดใ้ นระดบั พ้ืนๆใกลเ้ คียงกนั เช่น เป็ นภาพเขียน ภาพป้ันแกะสลกั หรือเป็ นส่ิงก่อสร้างที่สวยงาม แต่การรับรู้ในระดบั ท่ีลึกลงไปถึงข้นั ชอบ ประทบั ใจ หรือ ช่ืนชมน้นั เป็นเรื่องของแตล่ ะบุคคล การรับรู้คุณค่าทางศิลปะมีหลายกระบวนการ ดงั น้ี 1. สิ่งสุนทรีย์ หมายถึง งานทศั นศิลป์ ท่ีเกิดจากศิลปิ นท่ีต้งั ใจสร้างงานอยา่ งจริงจงั มีการพฒั นา งานตามลาดบั ประณีตเรียบร้อย ท้งั ในผลงาน กรอบ และการติดต้งั ท่ีทาใหง้ านเด่นชดั 2. อารมณ์ร่วม หมายถึง สิ่งสุนทรียน์ ้นั มีความงามของเน้ือหาเรื่องราว รูปร่าง-รูปทรง สีสัน ที่ สามารถทาใหผ้ ดู้ ูสนใจ เพลิดเพลินไปกบั ความงามของผลงานน้นั มีอารมณ์ร่วมหรือคลอ้ ยตาม เช่น เม่ือเห็น งานทศั นศิลป์ แลว้ เกิดความรู้สึกประทบั ใจและหยดุ ดูอยรู่ ะยะหน่ึง เป็นตน้ 3. กาหนดจิต เป็ นข้ันต่อเนื่องจากการมีอารมณ์ร่วม กล่าวคือในขณะที่เกิดอารมณ์ร่วม เพลิดเพลินไปกบั งานทศั นศิลป์ ผดู้ ูส่วนใหญ่จะอยใู่ นระดบั ที่เห็นวา่ สวยก็พอใจแลว้ แต่ถา้ มีการกาหนดจิต ให้หลุดออกจากอารมณ์ร่วมเหล่าน้นั วา่ เรากาลงั ดูงานทศั นศิลป์ ที่สร้างสรรคอ์ ยา่ งต้งั ใจ จริงใจ แต่ละจุดของ ผลงานแสดงถึงทกั ษะฝี มือของศิลปิ น จิตของเราจะกลบั มาและเริ่มดูในส่วนรายละเอียดต่างๆ ทาให้ได้ รสชาติของความงามที่แปลกออกไป

ใบความรู้ การนาความงามของธรรมชาตมิ าสร้างสรรค์ผลงาน ความคิดสร้างสรรค์ เป็ นส่ิงที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ เป็ นการดาเนินการในลกั ษณะต่าง ๆ เพ่ือให้ เกิดส่ิงแปลกใหม่ท่ีไม่เคยปรากฏมาก่อน สิ่งท่ีมีชีวิตเท่าน้ันท่ีจะมีความคิดอย่างสร้างสรรค์ได้ ความคิด สร้างสรรคเ์ ป็นความคิดระดบั สูง เป็นความสามารถทางสติปัญญาแบบหน่ึง ที่จะคิดไดห้ ลายทิศทาง หลากหลายรูปแบบโดยไม่มีขอบเขต นาไปสู่กระบวนการคิดเพื่อสร้างส่ิงแปลกใหม่ หรือเพ่ือการพฒั นา ของเดิมใหด้ ีข้ึนทาใหเ้ กิดผลงานที่มีลกั ษณะเฉพาะตน เป็นตวั ของตวั เอง อาจกล่าวไดว้ า่ มนุษยเ์ ป็ นส่ิงมีชีวติ เพียงชนิดเดียวในโลก ท่ีมีความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากต้งั แต่ในอดีตท่ีผา่ นมา มีแต่มนุษยเ์ ท่าน้นั ท่ีสามารถ สร้างส่ิงใหม่ ๆ ข้ึนมาเพื่อใชป้ ระกอบในการดารงชีวติ และสามารถพฒั นาสิ่งต่าง ๆให้ดีข้ึนกวา่ เดิม รวมถึงมี ความสามารถในการพฒั นาตน พฒั นาสังคม พฒั นาประเทศ และรวมถึงพฒั นาโลกท่ีเราอยู่ ใหม้ ีลกั ษณะที่ เหมาะสมกบั มนุษยม์ ากท่ีสุด ในขณะท่ีสัตวช์ นิดต่าง ๆ ท่ีมีวิวฒั นาการมาเช่นเดียวกบั เรา ยงั คงมีชีวิตความ เป็นอยแู่ บบเดิมอยา่ งไม่มีการเปลี่ยนแปลง มากกวา่ คร่ึงหน่ึงของการพบที่ยงิ่ ใหญ่ของโลกไดถ้ ูกกระทาข้ึนมา โดยผ่าน \"การคน้ พบโดยบงั เอิญ\"หรือการคน้ พบบางส่ิงขณะที่กาลงั คน้ หาบางส่ิงอยู่ การพฒั นาความคิด สร้างสรรคข์ องมนุษยจ์ ะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การสร้างสรรค์อาจไม่จาเป็ นตอ้ งยิ่งใหญ่ถึงขนาดการ พฒั นาบางส่ิงข้ึนมาใหก้ บั โลก แตม่ ีอาจเกี่ยวขอ้ งกบั พฒั นาการบางอยา่ งใหใ้ หม่ข้ึนมา อาจเป็นสิ่งเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ เพื่อตวั ของเราเอง เม่ือเราเปลี่ยนแปลงตวั เราเอง เราจะพบวา่ โลกก็จะเปล่ียนแปลงไปพร้อมกบั เรา และในวถิ ีแห่งการเปลี่ยนแปลงท่ีเราไดม้ ีประสบการณ์กบั โลก ความคิดสร้างสรรคจ์ ึงมีความหมายที่ค่อนขา้ ง กวา้ งและสามารถนาไปใชป้ ระโยชน์กบั การผลิต การสร้างสรรคส์ ่ิงประดิษฐ์ใหม่ ๆกระบวนการวธิ ีการที่ คิดคน้ ข้ึนมาใหม่ คาดหวงั วา่ ความคิดสร้างสรรคจ์ ะช่วยใหก้ ารดาเนินชีวิตและสังคมของเราดีข้ึน เราจะมี ความสุข มากข้ึน โดยผา่ นกระบวนการท่ีไดป้ รับปรุงข้ึนมาใหมน่ ้ีท้งั ในดา้ นปริมาณและคุณภาพ จุดม่งหมายของการคดิ สร้างสรรค์ งานศิลปะโดยเฉพาะงานศิลปะสมยั ปัจจุบนั ศิลปิ นจะสร้างสรรค์ งานศิลปะในรูปแบบท่ีหลาก หลายมากข้ึนทาให้มีขอบข่ายกว้างขวางมาก แต่ไม่ว่าจะเป็ น ไปในลกั ษณะใดก็ตาม งานศิลปะทุก ประเภท จะใหค้ ุณค่าที่ตอบสนองต่อมนุษย์ ในดา้ นท่ีเป็ นผลงานการ แสดงออกของอารมณ์ ความ รู้สึกและความคิด เป็ นการส่ือถึงเรื่องราวที่สาคญั หรือเหตุการณ์ท่ีประทบั ใจ เป็ นการตอบสนอง ต่อความพึงพอใจ ท้งั ทางดา้ นจิตใจและความสะดวกสบายด้านประโยชน์ใชส้ อยของ ศิลปวตั ถุ องค์ประกอบของการสร้างสรรค์งานศิลปะ การสร้างสรรค์จะประสบความสาเร็จเป็ นผลงานได้ นอกจากตอ้ งอาศยั ความคิดสร้างสรรค์ เป็ นตวั กาหนดแนวทางและรูปแบบแลว้ ยงั ตอ้ งอาศยั ความสามารถท่ี ยอดเยี่ยมของศิลปิ น ซ่ึงเป็ นความสามารถเฉพาะตน เป็ นความชานาญที่เกิดจากการฝึ กฝนและความ พยายาม จะสามารถสร้างสรรคผ์ ลงานท่ีมีความงามอนั เย่ียมยอดได้ แนวทางในการสร้างสรรคง์ านศิลปะ ของศิลปิ นแต่ละคน อาจมีที่มาจากแนวทางท่ีต่างกนั บางคนไดร้ ับแรงบนั ดาลใจจากความงาม ความคิด ความรู้สึก ความประทบั ใจ แตบ่ างคนอาจสร้างสรรคง์ านศิลปะเพื่อแสดงออกถึงฝี มืออนั เยย่ี มยอดของตนเอง

เพือ่ ประกาศความเป็น เลิศอยา่ งไมม่ ีที่เปรียบปานโดยไมเ่ นน้ ที่เน้ือหาของงาน และบางคนอาจสร้างสรรคง์ าน ศิลป์ จากการใชว้ สั ดุที่สนใจ โดยไม่เนน้ รูปแบบและแนวคิดใด ๆ เลยก็ได้

ใบความรู้ ความคดิ สร้างสรรค์ในการนาเอาวสั ดุและสิ่งของต่างๆ มาตกแต่งร่างกายและสถานท่ี ความคิดสร้างสรรค์ คือ กระบวนการคิดของสมองซ่ึงมีความสามารถในการคิดได้หลากหลาย และแปลกใหม่จากเดิม โดยสามารถนาไปประยุกต์ทฤษฎี หรือหลักการได้อย่างรอบคอบและมี ความถูกตอ้ ง จนนาไปสู่การคิดคน้ และสร้างส่ิงประดิษฐ์ท่ีแปลกใหม่หรือรูปแบบความคิดใหม่ นอกจาก ลกั ษณะการคิดสร้างสรรคด์ งั กล่าวน้ีแลว้ ยงั มีสามารถมองความคิดสร้างสรรคใ์ นหลาย ซ่ึงอาจจะมองในแง่ท่ี เป็นกระบวนการคิดมากกวา่ เน้ือหาการคิด โดยท่ีสามารถใชล้ กั ษณะการคิดสร้างสรรคใ์ นมิติท่ีกวา้ งข้ึน เช่น การมีความคิดสร้างสรรคใ์ นการทางาน การเรียนหรือกิจกรรมท่ีตอ้ งอาศยั ความคิดสร้างสรรคด์ ว้ ยอยา่ งเช่น การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ หรือการเล่นกีฬาที่ตอ้ งสร้างสรรคร์ ูปแบบเกมใหห้ ลากหลายไม่ซ้าแบบเดิมเพ่ือ ไม่ใหค้ ู่ต่อสู่รู้ทนั เป็ นตน้ ซ่ึงอาจกล่าวไดว้ า่ เป็ นลกั ษณะการคิดสร้างสรรคใ์ นเชิงวิชาการ แต่อยา่ งไรก็ตาม ลกั ษณะการคิดสร้างสรรคต์ า่ งๆ ที่กล่าวน้นั ต่างก็อยบู่ นพ้ืนฐานของความคิดสร้างสรรค์ โดยท่ีบุคคลสามารถ เช่ือมโยงนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ไดด้ ี ศิลปะกับการตกแต่งทอี่ ยู่อาศัย มนุษยเ์ หมือนสัตวท์ ว่ั ไปท่ีตอ้ งการสถานท่ีปกป้ อง คุม้ ครองจาก สิ่งแวดลอ้ มรอบกาย ไมว่ า่ มนุษยจ์ ะอยแู่ ห่งใด สถานที่อยา่ งไร ที่อยอู่ าศยั จะสร้างข้ึน เพ่ือป้ องกนั ภยั อนั ตราย จา ก ส่ิ ง แ ว ดล้อ ม ภา ย น อก ที่ อ ยู่อ า ศัย เ ป็ น หน่ึ ง ใ น ปั จ จัย ท่ี มี คว า ม ส า คัญ แล ะ จ าเ ป็ น สา ห รั บ การดารงชีวิตของมนุษย์ มนุษยจ์ ึงมีการพฒั นาที่อยอู่ าศยั เพื่อสนองความตอ้ งการและความพอใจของแต่ละ บุคคลมนุษยท์ ุกคนมีการพฒั นาการในชีวิตของตนเอง มนุษยจ์ ึงนาพฒั นาการเหล่าน้ีมาใชใ้ ห้เป็ นประโยชน์ การพฒั นาที่อยอู่ าศยั จึงเป็นหน่ึงในปัจจยั ท่ีสาคญั สาหรับมนุษยท์ ่ีอยอู่ าศยั ในปัจจุบนั ถูกพฒั นาให้ทนั สมยั กวา่ ในอดีตเน่ืองจากตอ้ งปรับปรุงใหเ้ หมาะสมกบั สภาพการณ์และสิ่งแวดลอ้ มของโลกที่เปลี่ยนแปลง แต่ในการ ปรับปรุงน้นั ควรคานึงถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ และวฒั นธรรมทอ้ งถ่ินควบคู่กนั ไปการพฒั นาที่อยอู่ าศยั น้นั จึงจะเหมาะสมและสนองความตอ้ งการอยา่ งแทจ้ ริง ที่อยอู่ าศยั โดยเฉพาะบา้ นในปัจจุบนั จะมีรูปแบบท่ีเรียบ ง่ายใกลช้ ิดธรรมชาติและคานึงถึงประโยชน์ใชส้ อยเป็ นหลกั และเนน้ ในเร่ืองเทคโนโลยีต่างๆ เพิ่มมากข้ึน เพราะเกิดการเปล่ียนแปลงตามรสนิยมการบริโภค นอกจากน้ีในการจดั ตกแต่งภายในจะมีการผสมผสาน การตกแต่งแบบตะวนั ตกและตะวนั ออกเขา้ ด้วยกนั ทาให้เกิดผลงานการตกแต่งในรูปแบบที่ใช้งานได้ สะดวกตามรูปแบบตะวนั ตก ปัจจยั อีกประการหน่ึงในการจดั ตกแตง่ ภายในบา้ นคือการนาหลกั การทางศิลปะ มาผสมผสานเขา้ กบั การตกแต่ง เพื่อใหก้ ารดารงชีวติ ภายในบา้ นสะดวกท้งั กายและใจ และแสดงออกถึงความ งดงาม และมีรสนิยมของผเู้ ป็ นเจา้ ของบา้ น องคป์ ระกอบทางศิลปะจึงถูกนามาเกี่ยวขอ้ ง องคป์ ระกอบทาง ศิลปะที่นามาใชใ้ นการจดั แต่งแต่งที่อยอู่ าศยั ไดแ้ ก่ 1. ขนาดและสัดส่วนนามาใช้ในการจัดทอ่ี ยู่อาศัย ได้แก่ 1.1 ขนาดของห้อง ในการกาหนดขนาดของหอ้ งต่าง ๆ จะข้ึนอยกู่ บั กิจกรรมท่ีทา หากเป็ นห้องท่ี ใชก้ ิจกรรมมาก เช่น ห้องอาหาร หอ้ งครัว หรือห้องรับแขก ควรกาหนดขนาดของห้องให้มีพ้ืนที่รองรับ กิจกรรมน้นั ๆ ใหเ้ หมาะสม ไม่เลก็ จนเกินไป เพราะจะทาใหค้ บั แคบและไมส่ ะดวกต่อการทากิจกรรม

1.2 จานวนของสมาชิกในครอบครัว ในการกาหนดขนาดของห้องต่าง ๆ ควรคานึงถึงจานวน ของสมาชิกว่ามีมากน้อยเพียงใด เพ่ือจะได้กาหนดขนาดของห้องให้เหมาะสมกับสมาชิก 1.3 เครื่องเรือน ในการกาหนดขนาดของเคร่ืองเรือน ควรกาหนดใหม้ ีขนาดพอดีกบั ห้องและ สมาชิก หรือขนาดพอเหมาะกบั สมาชิกไม่สูงหรือเต้ีย ขนใชง้ านไมส่ ะดวก ในการออกแบบเครื่องเรือน หรือ จดั พ้ืนที่ภายในบา้ นจะมีเกณฑม์ าตรฐานท่ีใชก้ นั โดยทว่ั ไป ดงั น้ี 2. ความกลมกลนื (Harmony) ความกลมกลนื ของศิลปะทน่ี ามา ใช้ในการจัดตกแต่งทอ่ี ยู่ได้แก่ 2.1 ความกลมกลืนของการตกแต่งที่อยอู่ าศยั การนาธรรมชาติมาผสมผสานในการตกแต่ง จะทา ใหเ้ กิดความสัมพนั ธ์ท่ีงดงามการใชต้ น้ ไมต้ กแต่งภายในอาคารจะทาใหเ้ กิดบรรยากาศท่ีร่มร่ืน เบิกบานและ เป็ นธรรมชาติ 2.2 ความกลมกลืนของเครื่องเรือนในการตกแต่งภายในการเลือกเครื่องเรือนเคร่ืองใช้ท่ี เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั การใชส้ อย จะทาใหเ้ กิดความสัมพนั ธ์ในการใชง้ าน การเลือกวสั ดุท่ีใชป้ ระกอบ เครื่องเรือนภายในครัว ควรเป็ นวสั ดุท่ีแขง็ แรง ทนทาน ทนร้อนและทนรอยขดู ขีดไดด้ ี เช่น ฟอร์ไมกา้ แกรนิตหรือกระเบ้ืองเคลือบตา่ ง ๆ 2.3 ความกลมกลืนของสี ในการตกแต่ง ซ่ึงตอ้ งใช้ดว้ ยความระมดั ระวงั เพราะหากใช้ ไม่ถูกตอ้ งแลว้ จะทาให้ความกลมกลืนกลายเป็ นความขดั แยง้ การใชส้ ีกลมกลืนภายในอาคาร ควรคานึงถึงวตั ถุประสงคข์ องหอ้ งผใู้ ช้ เคร่ืองเรือนและการตกแต่ง การใชส้ ีกลมกลืนควรใชว้ จิ ารณญาณ เลือกสีใหเ้ หมาะสมกบั วตั ถุประสงคข์ องการใช้ 3. การตัดกนั โดยทวั่ ไปของการจดั ตกแต่งท่ีอยอู่ าศยั นิยมทาในรูปแบบของการขดั กนั ในการใช้ เครื่องเรือนในการตกแต่ง เพ่ือสร้างจุดเด่นหรือจุดสนใจในการตกแต่งไม่ให้เกิดความกลมกลืนมากเกินไป การออกแบบเคร่ืองเรือนแบบร่วมสมยั จึงไดร้ ับความนิยมเนื่องจากสร้างความโดดเด่นของการตกแต่งไดเ้ ป็ น อยา่ งดี 4. เอกภาพ ในการตกแต่งสิ่งต่าง ๆ หากขาดเอกภาพงานท่ีสาเร็จจะขาดความสมบูรณ์ใน การตกแต่งภายใน การรวมกลุ่มกิจกรรมเขา้ ดว้ ยกนั การรวมพ้ืนท่ีในห้องต่าง ๆ ให้เหมาะสมกบั กิจกรรมจึงเป็ น การใชเ้ อกภาพในการจดั พ้ืนท่ีท่ีชดั เจน การจดั เอกภาพของเครื่องเรือนเคร่ืองใชก้ ็เป็ นสิ่งสาคญั หากเคร่ือง เรือนจดั ไม่เป็นระเบียบยอ่ มทาใหผ้ อู้ าศยั ขาดการใชส้ อยท่ีดีและขาดประสิทธิภาพในการทางาน 5. การซ้า การซ้าและจงั หวะเป็ นสิ่งท่ีสัมพนั ธ์กนั การซ้าสามารถนามาใชใ้ นงานตกแต่งไดห้ ลาย ประเภทเพราะการซ้ าทาให้เกิดความสอดคล้องของการออกแบบการออกแบบตกแต่งภายในการซ้ าอาจ นามาใชใ้ นการเช่ือสายตา เช่น การปกู ระเบ้ืองปูพ้ืนท่ีเป็นลวดลายตอ่ เนื่อง หรือการติดภาพประดบั ผนงั ถึงแม้ การซ้าจะทาใหง้ านสอดคลอ้ ง หรือต่อเนื่อง แตก่ ไ็ ม่ควรใชใ้ นปริมาณท่ีมากเพราะจะทาใหด้ ูสบั สน 6. จังหวะ การจดั จงั หวะของที่อยอู่ าศยั ทาไดห้ ลายลกั ษณะ เช่น การวางผงั บริเวณหรือการจดั แปลน บา้ นให้มีลกั ษณะท่ีเช่ือมพ้ืนท่ีต่อเน่ืองกนั เป็ นระยะ หรือจงั หวะ นอกจากน้ีการจดั พ้ืนท่ีใชส้ อยภายในอาคาร นบั เป็ นส่ิงสาคญั เพราะจะทาให้เกิดระเบียบและสะดวกต่อการทางาน และทาใหก้ ารทางาน และทาให้การ ทางานมีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน การจดั พ้ืนท่ีใช้สอยภายในอาคารท่ีนิยมไดแ้ ก่ การจดั พ้ืนท่ีการทางานของ

หอ้ งครัว โดยแบ่งพ้ืนท่ีการทางานใหเ้ ป็นจงั หวะตอ่ เน่ืองกนั ไดแ้ ก่ พ้ืนท่ีของการเก็บ การปรุงอาหาร การลา้ ง การทาอาหาร และการเสิร์ฟอาหาร เป็นตน้ 7. การเน้น ศิลปะของการเน้นทนี่ ามาใช้ในทอ่ี ย่อู าศัย ได้แก่ 7.1 การเนน้ ดว้ ยสีการเนน้ ดว้ ยสีไดแ้ ก่ การตกแต่งภายในหรือภายนอกอาคารดว้ ยการใชส้ ีตกแต่ง ท่ีกลมกลืน หรือโดดเด่น เพอ่ื ใหส้ ะดุดตาหรือสดช่ืนสบายตา ซ่ึงข้ึนอยกู่ บั วตั ถุประสงคข์ องการจดั น้นั 7.2 การเนน้ ดว้ ยแสงการเนน้ ดว้ ยแสงไดแ้ ก่ การใชแ้ สงสวา่ งเนน้ ความงามของการตกแต่ง และ เครื่องเรือนภายในบา้ นให้ดูโดดเด่น การใช้โคมไฟหรือแสงสวา่ งต่าง ๆ สามารถสร้างความงามและให้ บรรยากาศที่สดชื่น หรือสุนทรียไ์ ดอ้ ยา่ งดี ในการใชแ้ สงไฟควรคานึงถึงรูปแบบของโคมไฟ ท่ีถูกตอ้ งและ เหมาะสมกับขนาดและสถานท่ี ตลอดจนความกลมกลืนของโคมไฟและขนาดของห้อง 7.3 เนน้ ดว้ ยการตกแต่งการเนน้ ดว้ ยการตกแต่งไดแ้ ก่ การใชว้ สั ดุ เคร่ืองเรือน เครื่องใชห้ รือของ ตกแต่งต่าง ๆ ตกแต่งใหส้ อดคลอ้ งสวยงามเหมาะสมกบั รูปแบบและสถานท่ีตกแต่งน้นั ๆ 8. ความสมดุล การใชค้ วามสมดุลในการจดั อาศยั ไดแ้ ก่ จดั ตกแต่งเครื่องเรือน หรือวสั ดุต่าง ๆ ให้มี ความสมดุลต่อการใชง้ าน หรือเหมาะสมกบั สถานท่ี เช่น การกาหนดพ้ืนที่ใชส้ อยที่สะดวกต่อการทางาน หรือการจดั ทิศทางของเคร่ืองเรือนให้เหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ ม และการทางาน โดยเฉล่ียกิจกรรมให้ เหมาะสมและสมดุล 9. สี สีมีความสัมพนั ธ์กบั งานศิลปะ และการตกแต่งสถานท่ี เพราะสีมีผลต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ ของมนุษย์ สีให้ผอู้ ยอู่ าศยั อยู่อยา่ งมีความสุข เบิกบานและร่ืนรมย์ ดงั น้นั สีจึงเป็ นปัจจยั สาคญั ของการจดั ตกแต่งที่อยอู่ าศยั ในการใชส้ ีตกแตง่ ภายใน ควรคานึงถึงส่ิงตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี ศิลปะทน่ี ามาใช้ในท่อี ยอู่ าศยั วตั ถุประสงค์ของห้องหรือสถานท่ี ในการใชส้ ีตกแต่งภายใน ควรคานึงถึงวตั ถุประสงคข์ องห้อง หรือสถานท่ีตกแตง่ เพื่อจะไดใ้ ชส้ ีไดอ้ ยา่ งเหมาะสม การใชส้ ีตกแต่งสถานที่ต่าง ๆ ภายในบา้ น แบ่งออกเป็ น หอ้ งตา่ งๆ ดงั น้ี ห้องรับแขก เป็นห้องที่ใชใ้ นการสนทนา หรือตอ้ นรับผมู้ าเยอื น ดงั น้นั ห้องรับแขก ควรใชส้ ีอบอุ่น เช่น สีครีม สีส้มออ่ น หรือสีเหลืองอ่อน เพอื่ กระตุน้ ใหเ้ บิกบาน ห้องอาหาร ควรมีสีท่ีดูสบายตา เพื่อเพ่ิมรสชาติอาหาร อาจใชส้ ีท่ีกลมกลืน นุ่มนวล เพราะสีนุ่มนวล จะทาใหเ้ กิดความสบายใจ ห้องครัว ควรใชส้ ีท่ีดูสะอาดตา และรักษาความสะอาดง่าย ห้องควรเป็ นหอ้ งที่ใชท้ ากิจกรรมจึงควร ใชส้ ีกระตุน้ ใหเ้ กิดความสนใจในการทากิจกรรม ห้องนอน เป็นหอ้ งที่พกั ผอ่ น ควรใชส้ ีท่ีสบายตา อบอุ่น หรือนุ่มนวล แตก่ ารใชใ้ นหอ้ งนอนควร คานึงถึงผใู้ ชด้ ว้ ย ห้องนา้ เป็นหอ้ งท่ีใชท้ ากิจกรรมส่วนตวั และตอ้ งการความสบาย จึงควรใชส้ ีท่ีสบายตาเป็น ธรรมชาติ และสดชื่น เช่น สีฟ้ า สีเขียว หรือสีขาว และควรเป็ นหอ้ งท่ีควรทาความสะอาดไดง้ ่ายทิศทาง

การใชส้ ีตกแตง่ ภายในควรคานึงถึงทิศทางของหอ้ ง หอ้ งท่ีถูกแสงแดดส่องควรใชส้ ีอ่อน เพ่ือสะทอ้ นแสง ส่วนหอ้ งที่อยใู่ นท่ีมืด หรืออบั ควรใชส้ ีอ่อนเพ่อื ความสวา่ งเช่นกนั เพศและวยั เพศชายหรือหญิง จะใชส้ ีในการตกแต่งไม่เหมือนกนั เพศชายจะใชส้ ีเขม้ กวา่ เพศหญิง เช่นสีเขียวเขม้ สีฟ้ า หรือเทา ส่วนเพศหญิงจะใชส้ ีท่ีออ่ น และนุ่มนวลกวา่ เช่น สีครีม สีเหลือง เป็ นตน้ วยั ใน แตล่ ะวยั จะใชส้ ีไม่เหมือนกนั เช่น หอ้ งเด็กจะใชส้ ีออ่ นหวานนุ่มนวล ห้องผใู้ หญ่จะมีสีท่ีอบอุ่น ห้องผสู้ ูงอายุ จะใชส้ ีท่ีนุ่มนวล ศิลปะไม่ไดเ้ ก่ียวขอ้ งกบั การจดั ตกแต่งที่อยอู่ าศยั เพียงอยา่ งเดียว แต่ศิลปะยงั ช่วยจรรโลงใจ ใหส้ มาชิกในครอบครัวอยอู่ ยา่ งมีความสุข หากตอ้ งการความสุขในครอบครัว ปัจจยั หน่ึงท่ีควรคานึงถึงส่ิง น้นั คือ “ศิลปะ”

ใบความรู้ คุณค่าของความซาบซึ้งของวฒั นธรรมของชาติ ศิลปะไทย เป็ นเอกลกั ษณ์ของชาติไทย ซ่ึงคนไทยท้งั ชาติต่างภาคภูมิใจอยา่ งยง่ิ ความงดงามท่ีสืบ ทอดอนั ยาวนานมาต้งั แต่อดีต บ่งบอกถึงวฒั นธรรมท่ีเกิดข้ึน โดยมีพฒั นาการบนพ้ืนฐานของความเป็ นไทย ลกั ษณะนิสัยที่อ่อนหวาน ละมุนละไม รักสวยรักงาม ท่ีมีมานานของสังคมไทย ทาใหศ้ ิลปะไทยมีความ ประณีตอ่อนหวาน เป็ นความงามอยา่ งวิจิตรอลงั การท่ีทุกคนไดเ้ ห็นตอ้ งต่ืนตา ต่ืนใจ ลกั ษณะความงามน้ีจึง ไดก้ ลายเป็นความรู้สึกทางสุนทรียภาพโดยเฉพาะคนไทย เมื่อเราไดส้ ืบคน้ ความเป็ นมาของสังคมไทย พบวา่ วิถีชีวิตอยู่กันอย่างเรียบง่าย มีประเพณีและศาสนาเป็ นเคร่ืองยึดเหน่ียวจิตใจ สังคมไทยเป็ นสังคม เกษตรกรรมมาก่อน ดงั น้นั ความผกู พนั ของจิตใจจึงอยทู่ ี่ธรรมชาติแม่น้าและพ้ืนดิน ส่ิงหล่อหลอมเหล่าน้ีจึง เกิดบรู ณาการเป็นความคิด ความเช่ือและประเพณีในทอ้ งถ่ิน แลว้ ถ่ายทอดเป็ นวฒั นธรรมไทยอยา่ งงดงาม ที่ สาคญั วฒั นธรรมช่วยส่งต่อคุณค่าความหมายของสิ่งอนั เป็ นท่ียอมรับในสังคมหน่ึง ๆ ใหค้ นในสังคมน้นั ได้ รับรู้แลว้ ขยายไปในขอบเขตที่กวา้ งข้ึน ซ่ึงส่วนใหญ่การส่ือสารทางวฒั นธรรมน้นั กระทาโดยผา่ นสัญลกั ษณ์ และสัญลกั ษณ์น้ีคือผลงานของมนุษยน์ ้นั เองท่ีเรียกวา่ ศิลปะไทย ปัจจุบนั คาวา่ \"ศิลปะไทย\" กาลงั จะถูกลืมเมื่ออิทธิพลทางเทคโนโลยสี มยั ใหม่เขา้ มาแทนท่ีสังคมเก่า ของไทย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ โลกแห่งการส่ือสารไดก้ า้ วไปล้ายุคมาก จนเกิดความแตกต่างอยา่ งเห็นไดช้ ดั เมื่อ เปรียบเทียบกบั สมยั อดีต โลกใหม่ยคุ ปัจจุบนั ทาให้คนไทยมีความคิดห่างไกลตวั เองมากข้ึน และอิทธิพล ดงั กล่าวน้ีทาให้คนไทยลืมตวั เราเองมากข้ึนจนกลายเป็ นส่ิงสับสนอยู่กบั สังคมใหม่อย่างไม่รู้ตวั มีความ วุ่นวายดว้ ยอานาจแห่งวฒั นธรรมส่ือสารที่รีบเร่งรวดเร็วจนลืมความเป็ นเอกลกั ษณ์ของชาติ เมื่อเราหัน กลบั มามองตวั เราเองใหม่ ทาให้ดูห่างไกลเกินกวา่ จะกลบั มาเรียนรู้วา่ พ้ืนฐานของชาติบา้ นเมืองเดิมเราน้นั มี ความเป็ นมาหรือมีวฒั นธรรมอยา่ งไร ความรู้สึกเช่นน้ี ทาใหเ้ ราลืมมองอดีตตวั เอง การมีวถิ ีชีวิตกบั สังคม ปัจจุบนั จาเป็นตอ้ งดิ้นรนตอ่ สู้กบั ปัญหาต่าง ๆ ที่ว่งิ ไปขา้ งหนา้ อยา่ งรวดเร็ว ถา้ เรามีปัจจุบนั โดยไม่มีอดีต เรา กจ็ ะมีอนาคตที่คลอนแคลนไม่มน่ั คง การดาเนินการนาเสนอแนวคิดในการจดั การเรียนการสอนศิลปะในคร้ัง น้ี จึงเป็นเสมือนการคน้ หาอดีต โดยเราชาวศิลปะตอ้ งการใหอ้ นุชนไดม้ องเห็นถึง ความสาคญั ของบรรพบุรุษ ผสู้ ร้างสรรคศ์ ิลปะไทย ใหเ้ ราทาหนา้ ท่ีสืบสานต่อไปในอนาคต ความเป็ นมาของศิลปะไทย ไทยเป็นชาติท่ีมีศิลปะและวฒั นธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี ของตนเองมาชา้ นานแลว้ เร่ิมต้งั แต่ก่อนประวตั ิศาสตร์ ศิลปะไทยจะววิ ฒั นาการและสืบเนื่องเป็ นตวั ของ ตวั เองในที่สุด เท่าที่เราทราบราว พ.ศ. 300 จนถึง พ.ศ. 1800 พระพุทธศาสนานาเขา้ มาโดยชาวอินเดีย คร้ัง น้นั แสดงใหเ้ ห็นอิทธิพลต่อรูปแบบของศิลปะไทยในทุก ๆ ดา้ นรวมท้งั ภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรม โดย กระจายเป็ นกลุ่มศิลปะสมยั ต่าง ๆ เริ่มต้งั แต่สมยั ทวาราวดี ศรีวิชยั ลพบุรี เม่ือกลุ่มคนไทยต้งั ตวั เป็ นปึ กแผน่ แลว้ ศิลปะดงั กล่าวจะตกทอดกลายเป็ นศิลปะไทย ช่างไทยพยายามสร้างสรรคใ์ หม้ ีลกั ษณะพิเศษกวา่ งาน ศิลปะของชาติอื่น ๆ คือ จะมีลวดลายไทยเป็ นเคร่ืองตกแต่ง ซ่ึงทาใหล้ กั ษณะของศิลปะไทยมีรูปแบบเฉพาะ มีความออ่ นหวาน ละมุนละไม และไดส้ อดแทรกวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและความรู้สึกของคน

ไทยไวใ้ นงานอยา่ งลงตวั ดงั จะเห็นไดจ้ ากภาพฝาผนงั ตามวดั วาอารามต่าง ๆ ปราสาทราชวงั ตลอดจน เครื่องประดบั และเคร่ืองใชท้ ว่ั ไป ประวตั ศิ ิลปะไทย ศิลปะไทยแบ่งไดเ้ ป็นยคุ ต่าง ๆ ดงั น้ี 1. ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ไทย คือ 1.1 แบบทวาราวดี ( ราว พ.ศ. 500 – 1200 ) เป็นฝีมือของชนชาติอินเดีย ซ่ึงอพยพมาสู่สุวรรณภูมิ ศูนยก์ ลางอยนู่ ครปฐมเป็นศิลปะ แบบอุดมคติ รุ่นแรกเป็นฝีมือชาวอินเดีย แตม่ าระยะหลงั เป็นฝีมือของชาวพ้ืนเมืองโดยสอดใส่อุดมคติทาง ความงาม ตลอดจนลกั ษณะทางเช้ือชาติ ศิลปะที่สาคญั คือ 1.1.2 ประติมากรรม พระพุทธรูปแบบทวาราวดี สงั เกตไดช้ ดั เจนคือพระพุทธรูปนง่ั หอ้ ย พระบาทและยกพระหตั ถข์ ้ึน โดยส่วนมากสลกั ดว้ ยหินปูน ภาพสลกั มากคือบริเวณพระปฐมเจดีย์ คือ ธรรมจกั รกบั กวางหมอบ 1.1.2 สถาปัตยกรรม ท่ีปรากฏหลกั ฐาน บริเวณนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี ไดแ้ ก่ สถูปลกั ษณะเนินดิน ทาเป็นมะนาวผา่ ซีกหรือรูปบาตรคว่า อยบู่ นฐานส่ีเหลี่ยม เช่น เจดียน์ ครปฐมองคเ์ ดิม 1.2 แบบศรีวชิ ยั (ราว พ.ศ. 1200 – 1700 ) เป็นศิลปะแบบอินเดีย - ชวา ศนู ยก์ ลางของศิลปะน้ีอยทู่ ี่ไชยา มีอาณาเขตของศิลปะศรีวิชยั เกาะสุมาตรตรา พวกศรีวิชยั เดิมเป็ นพวกท่ีอพยพมาจากอินเดียตอนใต้ แพร่เขา้ มาพร้อมกบั พระพุทธศาสนาลทั ธิมหายาน ไดส้ ร้างสิ่งมหศั จรรยข์ องโลกไวอ้ ยา่ งหน่ึงโดยสลกั เขาท้งั ลูกใหเ้ ป็น เขาไกรลาศ คือ สถูปโบโรบูเดอร์ ศิลปะกรรมในประเทศไทย คือ 1.2.1 ประติมากรรม คน้ พบพระโพธิสัตวอ์ วโลกิเตศวร ทาเป็นสัมฤทธ์ิที่ไชยา โดยสมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ถือวา่ เป็ นศิลปะช้นั เยยี่ มของแบบศรีวชิ ยั 1.2.2 สถาปัตยกรรม มีงานตกแต่งเขา้ มาปนอยใู่ นสถูป เช่นสถูปพระบรมธาตุไชยา สถูปวดั มหาธาตุ 1.3 แบบลพบุรี (ราว พ.ศ. 1700 - 1800) ศิลปะแบบน้ีคลา้ ยของขอม ศูนยก์ ลางอยทู่ ี่เมืองลพบุรี ศาสนาพราหมณ์เขา้ มามีบทบาทตาม ความเชื่อ สร้างเทวาสถานอนั ใหญ่โตแข็งแรงคงทนถาวร เช่น ปราสาทหินพนมรุ้ง นครวดั นบั เป็ นส่ิง มหศั จรรยข์ องโลก 1.3.1 ประติมากรรมสร้างพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ พระพุทธรูปสมยั ลพบุรีเปลือยองค์ ท่อนบน พระพกั ตร์เกือบเป็นสีเหลี่ยม มีฝีมือในการแกะลวดลายมาก 1.3.2 สถาปัตยกรรมสร้างปรางค์เป็ นเทวสถาน การก่อสร้างใช้วสั ดุที่แข็งแรง ทนทาน ที่มีอยตู่ ามทอ้ งถิ่น เช่น ศิลาแลง หินทราย ศิลปะที่สาคญั ไดแ้ ก่ ปรางคส์ ามยอดลพบุรี ความเป็ น แว่นแควน้ ท่ีมีศูนยก์ ลางการปกครองท่ีเด่นชัดกว่าที่เคยมีมาในอดีตแควน้ สุโขทยั ถือกาเนิดข้ึนเมื่อราวตน้ พุทธศตวรรษที่ 19 ภายหลงั จากท่ีอิทธิพลของอาณาจกั รเขมรเส่ือมคลายลง ขอ้ ความในศิลาจารึกหลกั ท่ี 2

(จารึกวดั ศรีชุม) กล่าวถึงกลุ่มคนไทยนาโดยพอ่ ขนุ บางกลางหาวเจา้ เมืองบางยาง และพ่อขนุ ผาเมืองเจา้ เมือง ราด ได้ร่ วมมือกันขจัดอานาจปกครองจาก “ขอมสมาดโขลญลาพง” จากน้ันได้ช่วย กนั ก่อร่างสร้างเมืองพร้อมกบั สถาปนาพอ่ ขนุ บางกลางหาวข้ึนเป็ นปฐมกษตั ริยป์ กครองสืบมา ศิลปะสุโขทยั เป็นศิลปะที่เกิดจากการผสมผสานวฒั นธรรมท่ีเจริญรุ่งเรืองก่อนหนา้ เช่น วฒั นธรรมเขมร พุกาม หริภุญไชย และวฒั นธรรมร่วมสมยั จากลา้ นนา ต่อมาในราวปลายพุทธศตวรรษท่ี 20 ราชธานีสุโขทยั จึงตกอยใู่ ตอ้ านาจ ของกรุงศรีอยธุ ยาราชธานีทางภาคกลางท่ีสถาปนาข้ึนในราวปลายพุทธศตวรรษท่ี 19 ศิลปะสุโขทยั มีพ้ืนฐาน อยู่ที่ความเรียบง่าย อนั เกิดจากแนวความคิดทางพุทธศาสนาลทั ธิเถรวาทที่รับมาจากประเทศศรีลังกา ศิลปกรรมโดยเฉพาะงานดา้ นประติมากรรมท่ีสร้างข้ึนในสมยั น้ีไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ มีความงดงาม เป็ น ศิลปกรรมแบบคลาสสิคของไทยทางตอนเหนือของแควน้ สุโขทยั ข้ึนไปเป็นที่ต้งั ของแควน้ ลา้ นนา ซ่ึงพระยา เมง็ รายไดท้ รงสถาปนาข้ึนในปี พ.ศ. 1839 โดยมีเมืองเชียงใหมเ่ ป็นราชธานี แควน้ ลา้ นนาบางช่วงเวลาตอ้ งตก อยภู่ ายใตอ้ านาจทางการเมืองของแวน่ แควน้ ใกลเ้ คียง จนกระทง่ั ในที่สุดจึงไดถ้ ูกรวมเขา้ เป็ นส่วนหน่ึงของ ราชอาณาจกั รสยามเมื่อสมยั ตน้ รัตนโกสินทร์ ศิลปะลา้ นนา ในช่วงตน้ ๆสืบทอดลกั ษณะทางศิลปกรรมจาก หริภุญไชยผสมผสานกบั ศิลปะพุกามจากประเทศพม่า ตอ่ มาจึงปรากฏอิทธิพลของศิลปะสุโขทยั พม่า รวมถึง ศิลปะรัตนโกสินทร์ แต่ลา้ นนาก็ยงั รักษาเอกลกั ษณ์แห่งงานช่างอนั ยาวนานของตนอยู่ได้ และมีพฒั นาการ ผา่ นมาถึงปัจจุบนั ก่อนสถาปนากรุงศรีอยธุ ยาใน พ.ศ. 1893 พ้ืนที่ภาคกลาง บริเวณสองฟากของลุ่มแม่น้าเจา้ พระยา ปรากฏ ศิลปกรรมรูปแบบหน่ึงซ่ึงมีลกั ษณะผสมผสานระหวา่ งศิลปะทวารวดี ศิลปะเขมร และศิลปะสุโขทยั ก่อนท่ี จะสืบเน่ืองมาเป็ น ศิลปะอยธุ ยา เน่ืองจากกรุงศรีอยธุ ยาเป็ นราชธานีของไทยอยนู่ านถึง 417 ปี ศิลปกรรมที่ สร้างข้ึนจึงมีความผิดแผกแตกต่างกนั ออกไปตามกระแสวฒั นธรรมที่ผ่านเขา้ มา โดยเฉพาะจากเขมรและ สุโขทยั ก่อนจะพฒั นาไปจนมีรูปแบบที่เป็ นตวั ของตวั เอง งานประณีตศิลป์ ในสมยั น้ีถือไดว้ า่ มีความรุ่งเรือง สูงสุดหลงั จากราชธานีกรุงศรีอยธุ ยาถึงคราวล่มสลาย เม่ือ พ.ศ. 2310 ก็ถึงยุคกรุงธนบุรี เน่ืองจากในช่วงเวลา 15 ปี ของยุคน้ีไม่ปรากฏหลกั ฐานทางศิลปกรรมท่ีมีรูปแบบเฉพาะ จึงมกั ถูกรวมเขา้ กบั ราชธานีกรุงเทพฯ หรือท่ีเรียกวา่ กรุงรัตนโกสินทร์ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ในช่วงตน้ ๆมีลกั ษณะเป็ นการสืบทอดงานแนวอุดมคติ จากอดีตราชธานีกรุงศรีอยุธยาอย่างเด่นชดั จากน้นั ในช่วงต้งั แต่รัชกาลที่ 4 เป็ นตน้ มา อิทธิพลทาง ศิลปวฒั นธรรมจากตะวนั ตกไดเ้ ริ่มเขา้ มามีบทบาทเพ่ิมข้ึนเร่ือยๆ จนกระทงั่ กลายมาเป็ นศิลปะแนวใหม่ท่ี เรียกวา่ “ศิลปกรรมร่วมสมยั ” ในปัจจุบนั

ใบงาน เรื่อง ทศั นศิลป์ ไทย 1. ใหน้ กั ศึกษาบอกความรู้สึกที่มีตอ่ เส้นในลกั ษณะต่างๆ ดงั น้ี 1.1 เส้นตรงแนวต้งั ………………………………………………………..……………….. 1.2 เส้นตรงแนวนอน………………………………………………………………….….. 1.3 เส้นตรงแนวเฉียง……………………………………………………………………… 1.4 เส้นติดกนั …………………………………………………………………………….. 1.5 เส้นโคง้ ……………………………………………………………………………….. 1.6 ใหค้ วามรู้สึกอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………….. 1.7 ------------------------ ใหค้ วามรู้สึกอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………….. 1.8 ใหค้ วามรู้สึกอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………….. 1.9 ใหค้ วามรู้สึกอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………….. 2. ใหน้ กั ศึกษา อธิบายวา่ สีร้อน และสีเยน็ หมายถึงอะไรและประกอบดว้ ยสีอะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………..

แนวปฏิบัติ : ใหผ้ เู้ รียนเขียนผงั ความคิด (Mind Mapping) ประเภทของงานทศั นศิลป์ ประเภทงานทัศนศิลป์ ทัศนศิลป์ 1 จติ รกรรม Visual art 2 ประตมิ ากรรม ตวั อย่าง 4 3 ภาพพมิ พ์ สถาปัตยกรรม พมิ พผ์ ิวนูน พิมพส์ ่องลึก พมิ พฉ์ ากพิมพ์ พิมพพ์ ้นื ราบ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook