1 การศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง (Independent Study : IS) บทนา IS ย่อมาจาก Independent Study หรือ วจิ ยั อิสระ คอื วิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (Research and Knowledge Formation) เปน็ การคน้ คว้าทใ่ี ห้อสิ ระในรปู แบบการวจิ ัย เน้นให้นักเรียนคดิ วเิ คราะห์ วจิ ัยหรือหาคาตอบ และรายงานผลการศึกษาของตัวเองออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ โครงงาน แบบ สารวจ หรือการทาเพจข้นึ มาเพือ่ แบ่งปนั ข้อมูลต่างๆ ทน่ี กั เรยี นได้จากการศกึ ษาค้นคว้าจนไดข้ ้อสรุปที่ สามารถ นาไปต่อยอดเกดิ เป็นความร้ใู หมๆ่ เพิม่ ขน้ึ การให้ผเู้ รียนได้ศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเอง “Independent Study : IS” นับเปน็ วิธกี ารที่มี ประสิทธิภาพ วธิ ีหนึ่งทใ่ี ช้กันอยา่ งกว้างขวางในการพัฒนาผ้เู รียน เพราะเป็น การเปดิ โลกกวา้ งใหผ้ ู้เรยี นได้ ศกึ ษาค้นควา้ อย่างอิสระในเร่ืองหรือประเด็นที่ตนสนใจ เร่ิมต้ังแต่การกาหนด ประเดน็ ปัญหา ซงึ่ อาจเป็น Public Issue และ Global Issue และดาเนินการ ค้นคว้าแสวงหาความรู้จาก แหลง่ ข้อมลู ท่หี ลากหลาย มีการ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ การอภปิ รายแลกเปลีย่ นความคดิ เหน็ เพือ่ นาไปส่กู าร สรปุ องค์ความรู้ จากน้ันก็หาวิธีการ ทเ่ี หมาะสมในการส่ือสาร น าเสนอใหผ้ ู้อน่ื ไดร้ ับทราบ และสามารถนา ความรู้ท่ไี ด้จากการศกึ ษาคน้ ควา้ ไปทาประโยชนแ์ ก่สาธารณะ ซึง่ สง่ิ เหลา่ นีเ้ ป็นกระบวนการท่เี ชื่อมโยง ตอ่ เนอื่ งกนั ตลอดแนว ภายใต้ “การศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเอง (Independent Study : IS)” ซึง่ จดั แบง่ เป็น สาระการเรียนรู้ 3 สาระ ประกอบดว้ ย IS 1- การศกึ ษาคน้ คว้าและสร้างองคค์ ามรู้ (Research and Knowledge Formation) เปน็ สาระ ท่ีมงุ่ ให้ผู้เรยี นกาหนดประเดน็ ปญั หา ต้งั สมมุตฐิ าน ค้นควา้ แสวงหาความรู้และฝึกทกั ษะการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสร้างองคค์ วามรู้ IS 2- การสอื่ สารและการนาเสนอ (Communication and Presentation) เปน็ สาระท่ีมุ่งให้ ผู้เรยี น นาความรทู้ ี่ได้รับมาพฒั นาวิธีการการถ่ายทอด/สอ่ื สารความหมาย/แนวคิด ข้อมูลและองคค์ วามรู้ ด้วย วธิ ี การน าเสนอทเ่ี หมาะสม หลากหลายรูปแบบ และมปี ระสิทธภิ าพ IS 3- การน ำองคค์ วามรไู้ ปใช้บรกิ ารสงั คม (Social Service Activity) เปน็ สาระที่มงุ่ ให้ผูเ้ รียนนา/ ประยุกต์ องค์ความรไู้ ปสู่การปฏบิ ัติ หรือนาไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนต์ อ่ สงั คม เกิดบริการสาธารณะ (Public Service) โรงเรยี นต้องนาสาระการเรยี นรู้ การศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง (Independent Study : IS) ไปสูก่ าร เรยี นการสอน ในลักษณะของหน่วยการเรียนรู้ รายวิชาเพ่ิมเติม หรือกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนตามแนวทางท่ี กาหนด โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับบรบิ ทและพัฒนาการวัยของผู้เรยี น ซง่ึ อาจแตกตา่ งกันในระดับ
2 ประถมศกึ ษา มธั ยมศึกษาตอนตน้ และมัธยมศึกษาตอนปลาย การพัฒนาผูเ้ รียนผ่านการศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง (Independent Study) นนั้ ครผู ู้สอนจะต้อง พิจาณาให้เหมาะสมกบั วยั และพัฒนาการของผเู้ รยี น กจิ กรรมการเรียนรู้ ความยาก-งา่ ยของช้นิ งานหรือภาระ งานท่ีปฏิบัติจะต้องเหมาะสม เปา้ หมายคุณภาพผู้เรยี นแต่ละระดับท่ีกาหนดน้ี เปน็ เป้าหมายและกรอบทิศทาง ทคี่ รจู ะใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมินผล 1. ความหมาย โครงงาน หมายถงึ กจิ กรรมทที่ าให้ไดเ้ รยี นรู้ดว้ ยตนเองจากการลงมือปฏิบัติจริงในลักษณะ ของ การศึกษา สารวจ คน้ คว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ซ่ึงผู้เรียนเป็นผ้คู ิด หัวเรอ่ื งจัดหาขอ้ มลู ทดลอง สรุปผล เขยี นรายงาน แสดงผลงาน โดยมคี รูเป็นผู้กระตุ้น แนะนา และให้คาปรึกษา อยา่ งใกล้ชดิ โครงงาน หมายถึง กิจกรรมท่ีให้นักเรียนรจู้ กั วิธีการทาโครงงานวจิ ยั เลก็ ๆ ผู้เรียนลงมอื ปฏบิ ตั ิเพ่ือพัฒนา ความรู้ ทักษะ และสร้างผลผลิตท่ีมคี ุณภาพ ระเบยี บวธิ ดี าเนินการเป็นระบบ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ จดุ ประสงคห์ ลักของการสอนแบบโครงงานต้องการกระตุ้นใหน้ ักเรียนรูจ้ กั สังเกต รูจ้ ักตั้งคาถาม รจู้ ัก ตง้ั สมมตฐิ าน รู้จกั วิธแี สวงหาความรดู้ ้วยตนเอง เพ่อื ตอบคาถามทตี่ นอยาก รู้ รู้จกั สรปุ และทาความเขา้ ใจกบั สิ่งท่ีคน้ พบโครงงานอาจจดั ในเวลาเรียน หรือนอกเวลาเรยี นก็ได้ โครงงานอาชีพ หมายถงึ กิจกรรมเสรมิ หลกั สตู รวชิ าการงานอาชพี ทเ่ี ปดิ โอกาสให้นกั เรียน ไดศ้ กึ ษา เร่ืองใดเร่ืองหนึ่งท่ีเก่ียวข้องกับการงานอาชพี และเทคโนโลยีตามความถนดั และความสนใจ ดว้ ยวธิ กี ารบูรณา การความร้ตู า่ งๆ ทีไ่ ดเ้ รียนมา ภายใต้การแนะนาปรกึ ษาชว่ ยเหลอื และการดแู ล จากครหู รือผู้ทรงคุณวุฒิ อาจจัดในเวลาเรยี นหรอื นอกเวลาเรียนกไ็ ด้ รวมทงั้ สามารถดาเนนิ กจิ กรรม ได้ท้ังใน และนอกโรงเรยี น ซง่ึ อาจ ทาเป็นรายบุคคลหรอื กลุ่มกไ็ ด้ แลว้ จัดเขยี นเปน็ รายงาน และแสง ผลงานท่ีทาเผยแพร่สาหรบั เป็นแนวทางใน การพฒั นาศกึ ษาตอ่ โครงงานเทคโนโลยี เปน็ รูปแบบการทาโครงงานที่เกย่ี วกับการนาความรู้ ทักษะ และ ทรพั ยากรมา สร้างหรอื ประดิษฐเ์ คร่อื งมือ อปุ กรณ์ หรือวธิ กี ารเพ่ือแก้ปัญหาหรอื สนองความต้องการ ซึง่ อาจเปน็ การสรา้ ง หรือประดิษฐ์ของใหม่ ๆ ปรบั ปรงุ หรือพฒั นาของเดมิ ที่มีอยู่แล้วใหม้ ีประสทิ ธิภาพ สงู ขนึ้ ตามกระบวนการ เทคโนโลยีอยา่ งปลอดภยั โดยกาหนดปัญหาหรือความต้องการ รวบรวม ขอ้ มูล เลือกวธิ ีการ ออกแบบ ถ่ายทอดความคิดเป็นภาพร่างหรอื แผนทคี่ วามคดิ กอ่ นลงมือสรา้ งและ ประเมินผล โดยใช้โปรแกรม คอมพวิ เตอร์มาบรู ณาการจัดทาโครงงานเทคโนโลยโี ดยใช้โปรแกรม Desktop Author ,Flip Album, Ulead, Word, Excel, power point, Captivate เป็นต้น สรุป โครงงาน คอื งานวจิ ยั เล็ก ๆ สาหรบั นักเรียน เปน็ การแก้ปัญหาหรอื ข้อสงสัยหา ค าตอบโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และอาจใชเ้ คร่อื งมือหรืออปุ กรณ์
3 ตา่ งๆ ชว่ ยในการศึกษา คน้ ควา้ หรอื ให้การศึกษาค้นควา้ นั้นบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ อาจทาในเวลาเรยี นหรอื นอก เวลาเรียนกไ็ ด้ โดยไมจ่ ากัดสถานที่ อาจทาเปน็ รายบุคคลหรอื เปน็ กลุ่มได้ หากเน้ือหาหรอื ข้อสงสัยเปน็ ไปตาม รายวชิ าใดจะเรยี กว่าโครงงานในรายวิชานน้ั ๆ เช่น โครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงานคณิตศาสตร์ โครงงาน อาชีพ เป็นตน้ ผงั กราฟฟิก เร่ือง ความหมายของโครงงานการงานอาชีพและเทคโนโลยี กระบวนการวิทยาศาสตรท์ ่ีใช้คือ 1. เมอื่ นักเรียนเกดิ ปัญหา 2. นักเรยี นกต็ อบปญั หาชัว่ คราว(สมมตุ ิฐาน) 3. นกั เรียนจะต้องออกแบบการทดลองเพอ่ื พิสจู นป์ ญั หาว่าจริงหรือไม่ 4. ทาการทดลอง หรอื ศึกษาค้นควา้ เพอื่ สรุปผล 4.1 ถา้ คาตอบไม่ตรงกับสมมุตฐิ านท่ตี ้ังไว้ก็ต้ังสมมตุ ิฐานใหม่ และทาข้อ 3 ขอ้ 4 จนเป็นจรงิ 4.2 เมื่อคาตอบตรงกับสมมตุ ิฐาน กจ็ ะทาให้ไดค้ วามรูใ้ หม่ และเกิดคาถามใหม่ 5.นาผลที่ไดไ้ ปใช้ประโยชน์ ในการทนี่ ักเรยี นจะทาโครงงาน นกั เรียนจะเป็นผเู้ ลือกหวั ข้อทจ่ี ะศึกษา ค้นคว้า ดาเนนิ การ วางแผน ออกแบบ ประดิษฐ์ สารวจ ทดลอง เกบ็ รวบรวมข้อมลู รวมทง้ั การแปรผล สรปุ ผลและ การเสนอผลงาน โดยตัวนกั เรียนเอง ครูเปน็ เพยี งผ้ดู แู ลและใหค้ าปรึกษาเท่านัน้ การท่นี ักเรียนได้ ทาโครงงานนอกจากจะมีคณุ คา่ ทางดา้ นการฝกึ ให้นักเรียนมีความรู้ ความชานาญ และมคี วามมั่นใจ
4 ในการนาเอาวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ไปใชใ้ นการแก้ปัญหา หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ด้วยตนเอง แลว้ ยังจะ ให้คุณค่าอน่ื ๆ คอื 1. รูจ้ ักตอบปัญหาโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ไม่หลงเชอ่ื งมงายไร้ เหตผุ ล 2 .ไดศ้ ึกษาค้นควา้ หาความรู้ในเร่อื งท่ีตนสนใจได้อย่างลกึ ซึ้งกวา่ การสอน ของครู 3. ทาใหน้ ักเรยี นได้แสดงความสามารถพเิ ศษของตนเอง 4. ทาใหน้ ักเรียนสนใจเรียนในรายวิชาน้นั ๆ มากยงิ่ ข้ึน 5. นักเรยี นได้ใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ 2. ประเภทของโครงงาน เนอ่ื งจากโครงงานคือ การแก้ปัญหาหรอื ข้อสงสยั ของนกั เรียนโดยใชก้ ระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ จึงแบ่งโครงงานตามการไดม้ าซงึ่ คาตอบของกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ออกเปน็ 4 ประเภทคอื 2.1 โครงงานประเภทการสารวจและรวบรวมข้อมูล โครงงานประเภทน้ี ผูท้ า โครงงานเพียง ต้องการสารวจและรวบรวมข้อมลู แล้วน าขอ้ มลู เหล่านั้นมาจาแนกเปน็ หมวดหมู่และ น าเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เพือ่ ให้เหน็ ลักษณะหรือความสมั พนั ธ์ในเร่ืองทต่ี ้องการศึกษาใหช้ ัดเจน ใน การทาโครงงานประเภทสารวจ และรวบรวมข้อมลู ไมจ่ าเป็นจะต้องมีตวั แปรเข้ามาเกยี่ วข้อง นกั เรียนเพียงแตส่ ารวจรวบรวมข้อมลู ที่ไดแ้ ล้ว นาข้อมลู ทีไ่ ด้มาจัดให้เป็นหมวดหมู่และนาเสนอ ก็ถอื วา่ เปน็ การสารวจรวบรวมข้อมลู แล้ว เช่น - การสารวจรปู ทรงทางเรขาคณิตของใบพืชชนิดต่าง ๆ - การสารวจสัตว์ในท้องถนิ่ - การสารวจภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นในด้านตา่ ง ๆ - การสารวจเส้นทางเดินทัพตามประวัตศิ าสตร์ไทย - การสารวจภาษาถน่ิ ในชุมชน - การสารวจพืชสมุนไพรในท้องถิ่น - การศึกษาเส้นทางเดินของสุนทรภูต่ ามนริ าศ - การศกึ ษาค้นคว้าหลักฐานทางประวัติศาสตร์เร่ืองเจดยี ย์ ุทธหัตถี - การศึกษาค้นคว้าหลกั ฐานทางประวัตศิ าสตรเ์ รื่องพนั ทา้ ยนรสงิ ห์ - การสบื ค้นและศึกษาเรือ่ งอาหารจากกาพย์เห่เรอื ชมเครอ่ื งคาวหวาน - การศึกษาค้นควา้ ตารายาแผนโบราณ - การสารวจพชื สมนุ ไพรในท้องถ่นิ ฯลฯ 2.2 โครงงานประเภททดลอง ในการทาโครงงานประเภททดลอง ตอ้ งมกี าร จัดการกับตัวแปรท่ีจะ มีผลตอ่ การทดลอง ซึ่งจะมี 4 ชนิด คือ 2.2 1 ตวั แปรต้นหรอื ตวั แปรอิสระหมายถึง เหตขุ องการทดลองน้ันๆ 2.2 2 ตวั แปรตาม ซ่งึ จะเปน็ ผลท่ีเกดิ จากการเปล่ียนแปลงตัวแปรตน้
5 2.2.3 ตัวแปรควบคมุ หมายถงึ สงิ่ ที่ตอ้ งควบคุมใหเ้ หมือน ๆ กัน มิฉะนนั้ จะมผี ลทาให้ตวั แปรตามเปลีย่ นไป 2.2.4 ตวั แปรแทรกซ้อน ซ่งึ จรงิ ๆ แล้วกค็ ือ ตัวแปรควบคุมน่ันเอง แต่ บางคร้ังเราจะ ควบคุมไม่ได้ ซ่ึงจะมผี ลแทรกซ้อนทาให้ผลการทดลองผิดไปแต่แกไ้ ขได้โดยการตัดข้อมูลท่ีผิดพลาดท้งิ ไป เชน่ - การศกึ ษาสตู รอาหารไก่ตอน - การทดลองปลูกพชื ในนา้ ยาหรอื การปลกู พืชโดยไม่ใชด้ ิน - การควบคุมการเจริญเติบโตของไม้ประดับประเภทเถา - การศกึ ษาขนมอบชนดิ ตา่ ง ๆ - การศึกษาสูตรเคร่อื งด่ืมท่ผี ลิตจากไมผ้ ล ฯลฯ 2.3 โครงงานประเภทส่งิ ประดิษฐ์หรอื พัฒนาชิ้นงาน เป็นการนาเอาความรู้ที่มอี ยู่ มาประดิษฐ์หรอื สรา้ งสง่ิ ใหม่ ๆ ขน้ึ มาซง่ึ จะเป็นประโยชน์อยา่ งมากมาย อาจจะรวมถึงการเขียน หนงั สือ แตง่ เพลง สร้างบท ละครและอ่ืน ๆ ไว้ในโครงงานประเภทส่งิ ประดิษฐด์ ว้ ย เชน่ - การประดิษฐเ์ คร่ืองห่อผลไม้ - การสร้างหรือพัฒนาระเบยี บวิธีการจดั จาหนา่ ยผลติ ภณั ฑ์หรอื ผลติ ผล - เคร่อื งกลัน่ นา้ พลังแสงอาทติ ย์ - การปลูกพชื โดยไม่ใช้ดิน - การประดิษฐเ์ ครื่องสูบน้าพลงั ลม - เทคนคิ การถนอมอาหารแบบพื้นบา้ น - เทคนิคการปลูกพชื สมุนไพร - นวตั กรรมในการลอกภาพเขียนโบราณ - เทคนคิ การย้อมสีผา้ โดยใช้ภูมิปญั ญาไทย - การพฒั นาสรา้ งสรรค์สตู รอาหาร - การประดษิ ฐ์หัวฉีดพน่ น้าในแปลงปลกู ผัก - การประดิษฐ์ของชารว่ ย - การออกแบบเส้ือผ้าชาย หญงิ ฯลฯ 2.4 โครงงานประเภททฤษฎี เปน็ การใชจ้ ินตนาการของตนเองมาอธิบายหลักการ หรอื แนวความคิดใหม่ ๆ ซง่ึ อาจอธิบายในรปู ของสูตรหรือสมการ หรืออธบิ ายปรากฏการณท์ ี่เกิดขึน้ และไม่ สามารถอธิบายไดโ้ ดยหลักการเดิม ๆ เช่น - ความมหัศจรรย์ของเลข 9
6 3. ขน้ั ตอนการจัดทาโครงงาน ขน้ั ตอนการทาโครงงาน จิราภรณ์ ศิริทวี (2542) เสนอข้นั ตอนการทาโครงงานไว้ ดงั น้ี 1. กาหนดปญั หาหรอื หัวข้อท่ีต้องการศกึ ษา 2. กาหนดตวั แปร ตัวแปรท่ตี ้องการศึกษา เป็นตัวแปรต้น ผลทีต่ ามมาเปน็ ตัวแปรตาม และ ถา้ มคี วามจาเปน็ ตอ้ งควบคุมตัวแปรเพื่อให้ข้อมูลน่าเช่ือม่ัน ตัวแปรนนั้ คือ ตัวแปร ควบคุม 3. ออกแบบการทดลองหรือกาหนดวิธกี ารหรือแหลง่ ข้อมลู ที่จะต้องศึกษา 4. ดาเนนิ การทดลองหรือศึกษาตามทว่ี างแผนเอาไว้ ถา้ เป็นโครงงาน ประเภททดลองต้องมี การทดลองหลาย ๆ ครงั้ (อย่างน้อย 3 คร้ัง) เพ่ือใหเ้ กดิ ความแน่ใจ ก่อนนาผลที่ ได้มาสรุป 5. อภิปรายผล นาขอ้ มูลท่ีได้จากการทดลองมาประเมิน อภปิ รายโดย การศกึ ษาจากเอกสาร หลกั ฐานอนื่ ๆ มาประกอบว่ามีขอ้ แตกต่างกันเพราะอะไร 6. นาเสนอผลการศกึ ษาในรปู รายงานหรือจดั บอร์ดแสดงสง่ิ ท่ศี กึ ษาหรอื ด้วยวาจา 7. การเขยี นเคา้ โครงโครงงาน กอ่ นท่ผี ูเ้ รียนจะจัดทาโครงงาน ผ้เู รยี นควรวางแผนในการ จัดทาโครงงานไว้ ล่วงหนา้ วา่ จะดาเนนิ การอยา่ งไรบ้าง การเขยี นเค้าโครงโครงงาน โดยท่ัวไป ควร ประกอบด้วยหวั ขอ้ ดังต่อไปนี้ 1. ช่อื โครงงาน นักเรยี นควรเลอื กหัวข้อโครงงานดว้ ยตนเองโดยคานึงถงึ เปา้ หมาย สาคญั ของการทาโครงงานในครง้ั น้ี แนวปฏิบัตขิ องการเลือกโครงงานมาจากปญั หาท่พี บแล้ว ตอ้ งการแก้ปัญหา โดยการออกแบบการทดลองเพอื่ พิสจู นก์ ารแกป้ ัญหาน้ัน 2. ชื่อผู้ทาโครงงาน 3. ชื่ออาจารย์ทป่ี รกึ ษา 4. ทม่ี าและความสาคญั ของโครงงาน 5. วตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษา 6. สมมติฐาน (ถ้าม)ี 7. วิธีดาเนนิ งาน 8. แผนการกาหนดเวลาปฏิบัติงาน 9. ประโยชน์หรอื ผลทค่ี าดวา่ จะได้รับ 10. เอกสารอา้ งอิง 8. รปู แบบการเขียนโครงงาน ผู้เรียนร่วมกนั เขยี นรายงานผลเปน็ เอกสารเพ่ือนาเสนอต่อ ช้นั เรียน และเผยแพร่ต่อ สาธารณะ โดยรว่ มกนั คิดและเขียนรายงาน ให้เห็นถึงเคา้ โครงตั้งแตเ่ ริ่มต้นจนจบ
7 กระบวนการ ใน ประเดน็ ตา่ ง ๆ ดังนี้ 1. ช่ือโครงงาน 2. ระยะเวลาท่จี ัดทา (ระหวา่ งวนั ท/ี่ เดือน/พ.ศ./ ถึง วนั ท/่ี เดือน/พ.ศ.) 3. ชือ่ ผู้จัดทาโครงงาน (บอกระดบั ชั้นและช่อื โรงเรียนดว้ ย) 4. ชือ่ อาจารย์ท่ีปรึกษา 5. บทคัดย่อ (สรุปเร่ืองท่ีศึกษา วธิ กี ารศึกษา และข้อคน้ พบส้นั ๆ) 6. กิตติกรรมประกาศ (ประกาศขอขอบคุณผู้อยู่เบ้ืองหลังความสาเรจ็ ใน กรณที ่ีมี) 7. ที่มาและความสาคัญของโครงงาน 8. วัตถปุ ระสงคข์ องการศึกษา 9. คาตอบที่คาดเดากอ่ นเรม่ิ ลงมอื ปฏิบตั ิ 10. วิธีดาเนินงาน 11. ผลท่ีเกดิ ข้ึน 12. สรปุ ผล 13. ประโยชน์ท่ไี ด้รบั 14. ข้อเสนอแนะ 15. เอกสารอา้ งอิง 9. การแสดงผลโครงงาน การแสดงผลโครงงาน เปน็ การน าเสนอผลงานทไ่ี ด้ศึกษาค้นคว้า ให้ผอู้ ่นื ไดร้ ับรแู้ ละเข้าใจอาจจะทาในรปู แบบต่างๆ เชน่ การจัดนทิ รรศการ การรายงานปากเปลา่ การ รายงานประกอบสไลดค์ อมพิวเตอร์ เป็นต้น การแสดงผลงานโครงงานทาได้หลายระดับ เชน่ 1. การจัดแสดงผลงานภายในช้นั เรยี น 2. การจดั นิทรรศการภายในโรงเรียนเป็นการภายใน 3. การจัดนทิ รรศการในงานประจาาปขี องโรงเรียน 4. การสง่ ผลงานเข้ารว่ มในการแสดงหรือประกวดภายนอกโรงเรยี น 10. การจดั นทิ รรศการ 4. การแสดงผลงาน การแสดงผลงานเป็นงานข้นั สุดทา้ ยและการนาเสนอโครงงานเป็นขน้ั ตอนทส่ี าคญั อกี ประการหนึง่ ของการทาโครงงาน เพราะสะท้อนการท างานของนักเรยี น ความร้คู วามเขา้ ใจ เก่ียวกับเรื่องท่ีทา การตอบ ข้อซักถาม บคุ ลิกท่าทาง ท่วงทา่ วาจา ไหวพริบปฏิภาณ นักเรยี นควร ไดร้ ับการฝึกบคุ ลกิ ภาพในการนาเสนอ
8 ใหส้ งา่ ผ่าเผย พรอ้ มทง้ั ฝกึ ใหม้ ีมารยาทในการฟังดว้ ย การเสนอ ผลงานโครงงานมีหลายลักษณะคือ 5.1 บรรยายประกอบแผน่ ใส / สไลด์คอมพิวเตอร์ 5.2 บรรยายประกอบแผงโครงงาน 5.3 การจดั นิทรรศการ 5.3.1 นทิ รรศการ คือ การนาวสั ดหุ รอื สื่อแสดงหลายๆอย่าง เช่น ของ จรงิ หุ่นจาลอง ภาพวาด ภาพถา่ ย ป้ายนเิ ทศ ภาพโฆษณา ฯลฯ มาจดั แสดงเพ่อื ใหผ้ ู้ดูได้เหน็ และเกดิ การเรยี นรูอ้ ย่าง กวา้ งขวางหลายแง่มุม ซึ่งโดยทัว่ ไปมักแบ่งนิทรรศการออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. นิทรรศการถาวร เป็นการรวบรวมวัสดหุ รือสื่อแสดงอื่นๆมาจดั แสดงไว้ ใน สถานทหี่ นึ่งเปน็ การถาวร สว่ นใหญส่ ือ่ ท่ีจัดในนิทรรศการถาวรน้ีจะมีการเปล่ียนแปลงไม่มากนัก การจดั นทิ รรศการถาวร ได้แก่ การจัดนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ 2. นิทรรศการช่วั คราว เป็นการแสดงหรือรวบรวมวัสดุต่าง ๆ มาจดั เปน็ เรอื่ งราว เฉพาะเร่ืองบางโอกาส เช่น การจัดนิทรรสการเนอ่ื งในวันสาคญั ทางพระพุทธศาสนา หรือวาระโอกาสพิเศษ การจดั นทิ รรสการเกีย่ วกับวฒั นธรรมไทย เปน็ ตน้ 3. นทิ รรศการเคล่ือนที่ เป็นการเก็บรวบรวมวัสดหุ รือส่อื แสดงตา่ ง ๆ มา จัดแสดง เป็นเรอ่ื งราวเฉพาะเรื่องเชน่ เดียวกับการจัดนิทรรสการชัว่ คราวแต่วัสดสุ ิ่งของตา่ ง ๆ ทจี่ ัดไว้ จะจดั ในลกั ษณะ ทเี่ ตรยี มไวใ้ ห้สะดวกต่อการเคลอื่ นท่แี ละเปลยี่ นแปลงไปยังสถานทต่ี ่าง ๆได้ดว้ ย 5.3.2 หลกั ในการจดั นทิ รรศการ การจัดนทิ รรศการในโรงเรียนหรือในช้นั เรียนสว่ นใหญ่ หรือเกือบทั้งหมด จะเป็นการจดั นิทรรศการแบบชวั่ คราว โดยมีนกั เรียนเปน็ ผู้มีส่วนในการจดั หาอปุ กรณ์หรือ จัดวาง อุปกรณ์ แตเ่ พื่อเปน็ การส่งเสรมิ ความคิดสร้างสรรค์และส่งเสรมิ ความสามารถสังเคราะห์ความรูไ้ ว้กบั นักเรียน
9 1. กาหนดจุดมงุ่ หมายในการจดั นิทรรศการวา่ ต้องการจัดเพอื่ อะไร และต้องการให้ ใครดบู ้าง การจัดนิทรรศการเพอ่ื การเรียนรอู้ าจจัดในห้องเรียนเป็นครั้งคราว เพ่ือใหน้ ักเรียนในหอ้ งดู 2. เลือ ก เร่ือ งที่ตอ้ งการจดั และกาหนดเน้ือสาระของเรื่องวา่ ต้องการ ในเนื้อสาระอะไรบา้ ง และมีขอบเขตมากนอ้ ยเพยี งใด 3. จดั เตรียมวัสดอุ ุปกรณ์ และสถานท่ีทจ่ี ะจดั วางวัสดุอุกรณ์ ตา่ งๆรวมทง้ั ทศิ ทางการเขา้ ชมนิทรรศการของผ้ดู ูดว้ ย 4. ถ้าเปน็ การจัดนิทรรศการเพอื่ ให้นักเรยี นเข้าชมพร้อมกัน หลายๆห้องควรมกี าร วางแผนในการประชาสัมพนั ธ์ด้วย 5. การวดั ผล ประเมินผล ประเมินผลการทางาน โดยการสังเกตพฤติกรรมระหว่างการทางาน วดั ผล ตวั ความรู้โดยการซักถาม หรอื วธิ ีการอืน่ ๆ นักเรยี นควรประเมนิ ตนเอง ประเมินโดยเพ่อื น ครู และ ผปู้ กครอง หรอื บคุ คลอน่ื ๆ ที่มา เยย่ี มชมนทิ รรศการ เพอ่ื การตรวจสอบวา่ นทิ รรศการแต่ละคร้ังนั้น ได้ผลตามจุดมุง่ หมายทต่ี ั้งไวห้ รือไม่ ควรมี การประเมินผ้ดู โู ดยอาจใชว้ ิธสี อบถามดว้ ยแบบสอบถาม หรือสัมภาษณ์ก็ได้
10 การเขยี นโครงงาน หลังจากทีไ่ ด้เลอื กหัวข้อชอื่ โครงงานแลว้ กศ็ กึ ษา คน้ ควา้ จากเอกสารและตาราตา่ งๆทงั้ ภาคทฤษฎี และหลกั วชิ าการจึงเริ่มต้นปฏบิ ตั ิโครงงานสาเรจ็ จงึ เขยี นโครงงานเพือ่ เสนอครูที่ปรึกษา โครงงาน แนวทางการเขยี นโครงงาน แนวทางการเขยี นโครงงาน โครงงานประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบดงั ต่อไปน้ี 1. ชอื่ โครงงาน การตง้ั ช่ือโครงงานใหน้ ักเรยี นระบุชอื่ โครงงานทชี่ ดั เจนกะทดั รัดเจาะจงว่า จะทา อะไร ศึกษาอะไร และจะต้องพิจารณาถึงความต้องการและความถนดั ของตนเอง นอกจากนัน้ ตอ้ งคานึงถงึ ส่ิงอานวยความสะดวกในการปฏบิ ัตงิ านทีจ่ ะส่งเสริมใหง้ านสาเรจ็ ลุล่วงไปได้ เช่น เครือ่ งมอื และอุปกรณ์ ตลอดจนสภาพแวดล้อมท่ีอยใู่ กลต้ วั ซ่งึ จะมผี ลกระทบต่อโครงงานและผลผลิต หรอื ชน้ิ งานท่ไี ดน้ ั้นสามารถนา ไปใชป้ ระโยชน์หรือเป็นท่ีต้องการของตลาดหรือไม่ 2. ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงงาน ในการจัดทาโครงงานแต่ละครง้ั จาเปน็ ตอ้ งมผี ้รู บั ผดิ ชอบ ซ่ึงอาจทาเป็น รายบุคคลหรอื เปน็ กล่มุ ก็ได้ และจานวนสมาชิกแต่ละกลุม่ ขนึ้ อยู่กับความเหมาะสมของ ปรมิ าณงานทีป่ ฏบิ ัติ 3. ครู - อาจารย์ท่ีปรึกษาโครงงาน ในการจดั ทาโครงงานแต่ละครัง้ จาเปน็ ต้องมีที่ปรึกษา เพ่ือคอย ให้คาแนะนาและช่วยแก้ปญั หาท่อี าจจะเกดิ ข้ึน 4. ความสาคัญของโครงงาน ให้นักเรยี นระบคุ วามสาคัญ ความจาเปน็ ที่ต้องจดั ทาโครงงาน นี้ เขยี นอธิบายวา่ โครงงานนี้มีสาเหตมุ าจากอะไร ดีอย่างไร ทาไมจึงเลือก ผจู้ ดั ทาโครงงานตอ้ ง บอกหลักการ และเหตุผลในการจดั ทาโครงงานน้ีใหช้ ดั เจน 5. จุดมุ่งหมาย ให้ระบวุ า่ เมอ่ื ทาโครงงานน้แี ละผูจ้ ดั ทาโครงงานจะได้อะไรบา้ ง เปน็ ตัว บ่งช้ีถึง สภาวะหรอื วสั ดหุ รอื ผลงานที่เราตอ้ งการทีจ่ ะเกดิ ขนึ้ อันเป็นจุดม่งุ หมายปลายทางของการ ดาเนนิ งานที่ เฉพาะเจาะจงหรอื อาจกลา่ วง่าย ๆ วา่ จดุ มุ่งหมายของโครงงานนีจ้ ะทาใหเ้ กิดอะไรขึ้นบ้าง เกิดข้นึ กบั ใคร 6. การศึกษาขอ้ มูลของโครงงาน ผู้จดั ทาโครงงานน้ีจะต้องศึกษารายละเอยี ดเกี่ยวกับ หลกั เกณฑ์ ทฤษฎีหรือหลกั วชิ าการจากเอกสาร ตารา สงิ่ พมิ พ์ หรือประสบการณ์ท่เี กิดขึ้นใน เหตุการณ์ต่างๆ 7. วิธกี ารดาเนนิ งาน หมายถึงการกาหนดกิจกรรมข้ันพ้นื ฐานทจ่ี ะตอ้ งจัดทาขึน้ ในโครงงาน โดยจดั เรยี งลาดบั ก่อนหลงั กจิ กรรมท่กี าหนดขนึ้ อาจจะมีกิจกรรมย่อย ๆ หลายกจิ กรรมในการ ดาเนนิ งาน 8. ระยะเวลา ในการดาเนินงาน หมายความว่าการท าโครงงานต้องกาหนดระยะเวลา เรมิ่ ต้นและ สิ้นสุดของกจิ กรรมแตล่ ะกจิ กรรมเพอื่ ประโยชน์ในการวางแผนงานตลอดจนประเมนิ ผล สาเร็จของงาน 9. สถานทใี่ นการดาเนินงาน หมายความว่าในการท างานแต่ละคร้งั ต้องมีสถานทใี่ นการ ทางานที่
11 แนน่ อนเพอ่ื สะดวกในการปฏบิ ัตงิ าน 10. งบประมาณ คา่ ใช้จ่ายโครงงาน หมายความว่า การจัดทาโครงงานทุกคร้ังตอ้ งมีการการเขยี น โครงงาน ประมาณคา่ ใชจ้ ่ายไวล้ ่วงหน้า เพราะงบประมาณเปน็ ตัวช่วยให้งานสาเร็จลงได้ถา้ ขาดงบประมาณ แล้วทกุ อยา่ งก็อาจลม้ เหลวได้ 11. ผลทคี่ าดวา่ จะได้รบั เป็นการคาดคะเนวา่ ถา้ หากโครงงานน้สี าเรจ็ เรยี บรอ้ ยแล้วจะเกดิ อะไรข้นึ บ้างในอนาคต เชน่ เกิดความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ ส่งิ ของความแปลกใหม่ ความคิด ริเร่ิม ผลงานท่ี ตรงตามจดุ หมาย รายไดท้ ่คี าดวา่ จะไดร้ บั โดยประมาณวา่ เทา่ ไรและเกดิ ขนึ้ กับใคร ที่ไหน เมอ่ื ไร 12. เอกสารอ้างอิงท่ใี ชเ้ ขยี นโครงงาน ใหบ้ อกชอ่ื ผู้แต่งหนงั สอื ครัง้ ที่พมิ พ์ สถานท่ีพมิ พ์ สานักพมิ พแ์ ละปีที่พมิ พ์ หรอื แหล่งข้อมูลทนี่ กั เรียนใช้คน้ คว้า เพื่อนามาเปน็ ขอ้ มูลในการเขยี น โครงงาน
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: