ว า ร ส า ร ป า ริ ช า ตPARICHART JOURNAL
ช่ือวารสารวารสารปารชิ าต มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ(Parichart Journal, Thaksin University)เจ้าของ มหาวิทยาลยั ทักษณิท่ปี รกึ ษาอธกิ ารบดี (รศ.ดร.วชิ ัย ช�ำน)ิ มหาวิทยาลยั ทักษณิ รองอธกิ ารบดวี ิชาการและวิจยั (รศ.เกษม อศั วตรรี ัตนกุล) มหาวิทยาลัยทกั ษิณผ้อู �ำนวยการสถาบันวิจัยและพฒั นา(อ.ดร.วันลภ ดิษสุวรรณ์) มหาวิทยาลัยทกั ษณิ คณบดีคณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ (รศ.ดร.ณฐพงศ์ จติ รนริ ัตน์) มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ (รศ.ดร.พรพนั ธุ์ เขมคุณาศยั ) มหาวิทยาลยั ทกั ษิณบรรณาธกิ ารประจำ� ฉบับผศ.ดร.พัชลินจ์ จนี นุ่น มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ (E-mail : [email protected])กองบรรณาธกิ ารศ.ดร.ครองชยั หัตถา มหาวทิ ยาลยั ทักษณิศ.ดร.ชลดา เรืองรกั ษ์ลิขิต จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ศ.ดร.อนรุ กั ษ์ ปญั ญานวุ ัฒน์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ศ.ชวน เพชรแก้ว มหาวิทยาลยั ราชภัฏสุราษฎร์ธานี ศ.อำ� นวย ยสั โยธา มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สงขลา ศ.อิทธพิ ล ตง้ั โฉลก มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร รศ.ดร.โยธิน แสวงดี มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล รศ.ดร.ลอื ชยั ศรเี งินยวง มหาวิทยาลยั มหิดล รศ.ดร.สมยศ ท่งุ หว้า มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์รศ.กรกฎ ทองขะโชค มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ ผศ.ดร.อรจนั ทร์ ศิริโชติ มหาวิทยาลยั ทักษิณผศ.ดร.เกรด็ ทราย วุฒิพงษ์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
กองจัดการ นางสาวอรกมล ไกรวงศ ์ มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ นางสาวพมิ พ์ณดา มณีวงค์ มหาวทิ ยาลัยทักษณินางรานี อาษาชำ� นาญ มหาวิทยาลยั ทักษณินางสาวกญั ญณัชช์ เลยี ดรกั ษ์ มหาวิทยาลยั ทักษณิวัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เศรษฐศาสตร์ ศกึ ษาศาสตร์ ศลิ ปกรรมศาสตร์ และนติ ิศาสตร์ของบุคลากรมหาวทิ ยาลัยทักษณิ และหนว่ ยงานตา่ ง ๆ 2. เพอื่ สง่ เสรมิ สนับสนนุ การวจิ ยั และสอ่ื กลางในการเสนอความคดิ เห็นทางวิชาการดา้ นมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ศลิ ปกรรมศาสตร์ และนติ ิศาสตร์ก�ำหนดออก ปลี ะ 2 ฉบับ (ม.ค.-ม.ิ ย. และ ก.ค.-ธ.ค.)จ�ำนวนพิมพ์ 300 ฉบับการเผยแพร่ จัดจ�ำหน่ายและสมัครสมาชิกมอบเป็นอภินันทนาการแก่ห้องสมุดของหน่วยงานรัฐและเอกชน สถาบันการศึกษาการบอกรับเป็นสมาชกิ ค่าสมาชิก ปีละ 200 บาท ผ่านทางธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชี วารสารปาริชาตเลขทบ่ี ญั ชี 408-197718-5 สาขามหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ (พทั ลงุ ) พรอ้ มแนบหลกั ฐานการโอนเงนิมายงั กองบรรณาธกิ ารวารสารปารชิ าต ทางระบบออนไลน์ https://www.tci-thaijo.org/index.php/parichartjournalการติดตอ่ กองจดั การวารสารปาริชาต มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ สถาบันวจิ ยั และพัฒนา มหาวิทยาลยั ทักษณิ วทิ ยาเขตพัทลุง อ.ป่าพะยอม จ.พทั ลุง 93210 โทรศพั ท/์ โทรสาร 0-7460-9600 ต่อ 7242, 0-7460-9655 E-mail : [email protected], [email protected]ออกแบบและจัดพมิ พ์ อาร์ตเวริ ค์ แอนด์ มเี ดีย 6 ถ.กระจ่างอุทิศ ต.หาดใหญ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110 โทรศพั ท์ 089-925-8455 E-mail : [email protected]บทความทตี่ พี มิ พท์ กุ เรอ่ื งไดร้ บั การตรวจความถกู ตอ้ งตามหลกั วชิ าการโดยผทู้ รงคณุ วฒุ ิ อนงึ่ ทศั นะและขอ้ คดิ เหน็ ใด ๆ ทปี่ รากฏในวารสารปารชิ าต เปน็ ความคดิ เหน็ ของผเู้ ขยี น และไมถ่ อื เปน็ ทศั นะและความรบั ผดิ ชอบของคณะบรรณาธกิ าร
พฤติกรรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ: รูปแบบ สาเหตุ ตัวแปร และแนวทางแก้ไขAcademic Misconduct in Education Institution: Patterns, Causes, Variables and Solutions กนั ยปรณิ ทองสามส1ี * และอิสระ ทองสามส2ี Kanyaprin Tongsamsi1* and Isara Tongsamsi21 อ.ดร., คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ ปตั ตานี 940002 อ.ดร., คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสงขลา 900001 Lecturer, Dr., Faculty of Humanities and Social Sciences, Prince of Songkla University, Pattani, 940002 Lecturer, Dr., Faculty of Humanities and Social Sciences, Songkhla Rajabhat University, Songkhla, 90000* Corresponding author: E-mail address: [email protected] วารสารปาริชาต 43 มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ
บทคดั ย่อ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการของผเู้ รยี นปรากฏทวั่ ไปทงั้ ในระดบั ประถมศกึ ษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา การกระท�ำดังกล่าวเป็นการบ่มเพาะนิสัยการคอรัปช่ัน อันจะเป็นอปุ สรรคสำ� คญั ตอ่ การพฒั นาประเทศ ซงึ่ กระทรวงศกึ ษาธกิ ารไดต้ ระหนกั ถงึ ปญั หาดังกล่าวจึงออกแบบกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อปลูกฝังค่านิยมท่ีดีแก่ผู้เรียน อาทิ เปดิ สอนหลกั สูตร “โตไปไมโ่ กง” และ “มหาวิทยาลัยโปรง่ ใส บณั ฑิตไทยไมโ่ กง” ดงั นนั้ เพอ่ื ทำ� ความเขา้ ใจปรากฏการณพ์ ฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการในสถานศกึ ษา ผเู้ ขยี นจงึ จดั ทำ� บทความวชิ าการโดยประมวลองคค์ วามรเู้ กย่ี วกบั พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสม ทางวชิ าการของผเู้ รยี นพบวา่ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการมที ง้ั หมด 18 ประเภท สาเหตุของการแสดงพฤติกรรมดังกล่าวเกิดจากทั้งสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแสดง พฤตกิ รรมและความตงั้ ใจของบคุ คล ซงึ่ สามารถอธบิ ายไดจ้ ากทง้ั มมุ มองเชงิ ทฤษฎแี ละ งานวจิ ยั ทคี่ น้ พบ และจากการศกึ ษาตวั แปรทส่ี ง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ จากฐานข้อมูลระดับนานาชาติ 5 ฐาน ด้วยวิธีการปริทัศน์เชิงพรรณนา พบตัวแปรท่ี เกี่ยวข้อง 18 ตัวแปร มีท้ังตัวแปรคุณลักษณะส่วนบุคคลและตัวแปรเชิงพฤติกรรม ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการต้องมีผู้เก่ียวข้อง 3 ฝ่าย ประกอบดว้ ย ผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา ผ้สู อน และผปู้ กครอง นอกจากนี้ บทความฉบับนี้ ยงั ไดน้ ำ� เสนองานวจิ ยั และวธิ กี ารจดั การกบั พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการของผเู้ รยี น อย่างเป็นรูปธรรมในสถาบนั อุดมศึกษาเพ่ือเป็นกรณีศกึ ษาดว้ ย คำ� สำ� คญั : พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ การทจุ รติ ทางวชิ าการ การโกงทางวชิ าการ ผู้เรยี น44 Parichart Journal Thaksin University
Abstract Academic misconduct in educational institutions is endemic at alllevels primary, secondary and tertiary education. The actions notonly create a fertile breeding ground for corruption but also nurture corruptmindsets and habits, which are major obstacles to the development ofa nation. Consequently, the Ministry of Education has formulated a varietyof activities to instill good moral values and ethics in Thai students. Forexample, the “Growing Good” initiative was launched, the anti-corruptioncurriculum modules for kindergarten to Grade 6 students and the“Transparency in Tertiary Institutions – Thai Graduates Do NotCheat” campaign. The purposes of this paper are to thoroughly examineand to obtain a better understanding of the phenomenon of academicdishonesty. Through critical evaluation of the research findings, the resultrevealed of 18 ongoing patterns of academic dishonesty. Social environmentsand individuals’ intention have been identified as the major factorscontributing to academic misconduct, which can be explained by boththeoretical perspectives and research findings. Narrative literature reviewsof five international databases were conducted in order to analyze thevariables influencing academic dishonesty. As a result, the study found18 variables, covering both demographic and behavioral variables.Furthermore, the solution to effectively tackle the problems is to engageand coordinate with all three stakeholders, which are education administrators,teachers, and parents. Finally, this article raised concrete research andproblem-solving approach in higher education institutions as case study.Keywords: Academic Misconduct, Academic Cheating, Academic Fraud, Learners วารสารปาริชาต 45 มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ
บทน�ำ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการของผเู้ รยี นในสถานศกึ ษาจดั วา่ เปน็ ปญั หาที่สำ� คญั ทางการศกึ ษา และมกี ารปฏบิ ตั อิ ยา่ งแพรห่ ลายทกุ ระดบั การศกึ ษา [1-2] โดยผเู้ รยี นแสดงพฤติกรรมเหล่านั้นเพื่อให้ตนเองเกิดความได้เปรียบทางการศึกษา มุ่งหวังให้ได้ผลการเรยี นทด่ี แี ตส่ รา้ งความไมเ่ ปน็ ธรรมใหก้ บั บคุ คลอนื่ ซงึ่ กอ่ ใหเ้ กดิ ผลกระทบทางลบทง้ั ตอ่ ผเู้ รยี นเองทส่ี รา้ งนสิ ยั การทจุ รติ และตอ่ สถาบนั การศกึ ษาอนื่ ทรี่ บั ผเู้ รยี นเขา้ ศกึ ษาตอ่ โดยพจิ ารณาผลการเรยี นในอดตี ในการคดั เลอื ก รวมทง้ั ตอ่ นายจา้ งทใี่ ชเ้ ปน็ เกณฑใ์ นการคดั เลอื กบคุ คลทมี่ คี ณุ สมบตั เิ หมาะสมเขา้ ทำ� งานซงึ่ พจิ ารณาจากผลการเรยี นเชน่ กนั[1, 3] นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษาเนื่องจากผู้สอนไม่สามารถประเมินได้ว่ากระบวนการเรียนการสอนในช้ันเรียนมีสัมฤทธิผลมากน้อยเพียงใด หรือควรปรับปรุงการเรียนการสอนในประเด็นได้บ้าง [4] อีกท้ัง พฤติกรรมการทุจริตด้านการเรียนของผู้เรียนในสถานศึกษายังสามารถคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตว่าจะมีการทุจริตในการท�ำงานดว้ ย [5-6] พฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการของผู้เรียนยังอาจจะพัฒนาไปสู่ปัญหาการทจุ รติ คอรปั ชน่ั ในอนาคต ดงั ผลการสำ� รวจของสวนดสุ ติ โพลลท์ พ่ี บวา่ ปญั หาสำ� คญั ของการทจุ รติ ของเดก็ และเยาวชนทป่ี รากฏอยใู่ นสงั คมไทย คอื การทจุ รติ การสอบ/ลอกขอ้ สอบ/พกโพยขอ้ สอบ/ลอกการบ้าน [7] สอดคลอ้ งกับผลการวิจัยเชงิ ส�ำรวจของเอแบคโพลล์ทสี่ อบถามเดก็ และเยาวชนถงึ ความเปน็ จรงิ ของสภาพสงั คมไทยในปจั จบุ นั เมอื่ เปรยี บเทยี บกับประโยคทวี่ า่ “คนดีมีท่ียนื ” กบั “คนดไี ม่มีท่ียนื ” พบวา่ ส่วนใหญห่ รือรอ้ ยละ 80.1คดิ วา่ สงั คมไทยปจั จบุ นั เปน็ แบบ “คนดไี มม่ ที ย่ี นื ” ในขณะที่ รอ้ ยละ 19.9 คดิ วา่ สงั คมไทยปัจจุบันเป็นแบบ “คนดีมีที่ยืน” ขณะเดียวกันเด็กและเยาวชนร้อยละ 59.4 ระบุว่าขา้ ราชการ เจา้ หนา้ ทรี่ ฐั และประชาชนทยี่ อมรบั การทจุ รติ คอรปั ชนั่ มกั จะไดด้ มี ตี ำ� แหนง่สงู ขึ้นและไดร้ ับผลประโยชน์ต่างตอบแทน [8] จากประเด็นปัญหาข้างต้น กระทรวงศึกษาธิการให้ความส�ำคัญต่อการวางแนวทางปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหา ดว้ ยการปลูกฝังค่านยิ มท่ีดีด้านความซอื่ สัตยเ์ พื่อเป็นรากฐานส�ำคัญต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต โดยปีการศึกษา 2558 มีการจัดการเรียนการสอนหลักสูตร “โตไปไม่โกง” 1 ช่ัวโมงต่อสัปดาห์ ต้ังแต่ระดับช้ันอนุบาล 1ถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งหลักสูตรน้ีมุ่งเน้นไปท่ีตัวนักเรียนโดยตรง ส่วนในระดับอุดมศึกษาได้จัดโครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาล ได้แก่“มหาวิทยาลัยโปร่งใส บัณฑิตไทยไม่โกง” เพ่ือสนับสนุนเครือข่ายเพ่ือการพัฒนา46 Parichart Journal Thaksin University
อุดมศึกษา 9 เครือข่ายน�ำหลักความโปร่งใสมาใช้ในการบริหารจัดการและดูแลมหาวทิ ยาลยั รวมทง้ั วางรากฐานแหง่ ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ ใหแ้ กน่ สิ ติ นกั ศกึ ษา และบณั ฑติยคุ ใหม่ เปน็ บณั ฑติ ไทยไมโ่ กง ไมท่ จุ รติ คอรปั ชน่ั ทกุ รปู แบบ [9] บทความนจี้ ดั ทำ� ขน้ึ เพอื่รวบรวมองคค์ วามรเู้ กย่ี วกบั พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ อนั ประกอบดว้ ย รปู แบบพฤติกรรม สาเหตุของการแสดงพฤติกรรมดังกล่าว ตัวแปรที่เก่ียวข้อง แนวทางแก้ไขปัญหา และตัวอย่างงานวิจัยที่ยกเป็นกรณีศึกษา ข้อมูลท่ีได้จะเป็นประโยชน์ต่อสถานศกึ ษาทกุ ระดบั ซงึ่ สามารถนำ� ไปใชใ้ นการกำ� หนดมาตรการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาพฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการของผูเ้ รียน รวมทั้ง นกั วจิ ยั สามารถใชข้ อ้ มูลเหลา่ น้ีประกอบการออกแบบวิจยั เพ่ือคน้ หาแนวทางจัดการปญั หาขา้ งตน้ อย่างเหมาะสมนิยามพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการ UniversityofCaliforniaนยิ ามพฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการวา่ เปน็ การกระทำ�หรอื พยายามกระทำ� ทไ่ี มถ่ กู ตอ้ งเพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความไดเ้ ปรยี บทางการศกึ ษาและสรา้ งความไมเ่ ปน็ ธรรมใหก้ ับบุคคลอื่น [10] ขณะท่ี Indiana University ให้ความหมายวา่เป็นการกระท�ำกิจกรรมใด ๆ ของผู้เรียนท่ีบ่อนท�ำลายความซ่ือสัตย์ทางวิชาการ(Academic Integrity) ตามระเบยี บทสี่ ถาบนั การศกึ ษากำ� หนด กจิ กรรมดงั กลา่ วหมายรวมถึงการกระท�ำท่ีมีต่อบุคคลอื่น ส่ือส่ิงพิมพ์ และส่ืออิเล็กทรอนิกส์ [11] ส่วนThe University of Edinburgh นิยามว่า เป็นรูปแบบต่าง ๆ ของการโกงที่เก่ยี วขอ้ งกับการเรียนในชั้นเรียนของตัวผู้เรียน ซึ่งสถาบันการศึกษาถือว่าเป็นเร่ืองรุนแรงและไดด้ ำ� เนินการแกไ้ ขปัญหาดังกล่าวอยา่ งเหมาะสมและมีประสทิ ธิภาพ [12] University of Toronto ใหค้ วามหมายวา่ เปน็ พฤตกิ รรมของผเู้ รยี นทงั้ โดยตง้ั ใจและไมต่ งั้ ใจเพอ่ื สรา้ งความไดเ้ ปรยี บทางการเรยี นใหแ้ กต่ นเอง แตไ่ มเ่ ปน็ ธรรมกบั ผเู้ รยี นคนอ่ืน ๆ โดยสถาบันคาดหวังว่า ผู้เรียนจะมีความซ่ือสัตย์และต้องท�ำความเข้าใจในกฎระเบยี บเกย่ี วกบั การเรยี นเปน็ อยา่ งดโี ดยไมม่ ขี อ้ อา้ งใด ๆ ในการทจุ รติ เกดิ ขน้ึ [13]อีกทั้ง Cornell University ได้นิยามพฤติกรรมดังกล่าวว่า เป็นการกระท�ำที่ฝ่าฝืนมาตรฐานในด้านความซื่อสตั ยท์ างวิชาการ การวิจยั และการเผยแพรข่ อ้ มูล แต่ไม่รวมถึงความผิดพลาดท่ีเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือการกระท�ำใด ๆ ท่ีเกิดจากการตีความขอ้ มลู ท่ีแตกต่างกนั โดยสุจรติ [14] ดงั นน้ั สามารถสรปุ ไดว้ า่ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการเปน็ การกระทำ� ของผเู้ รยี นทแี่ สดงออกถงึ ความไมซ่ อื่ สตั ยท์ างวชิ าการทง้ั โดยตงั้ ใจหรอื ไมต่ งั้ ใจ โดยกระทำ� ลงไปเพอื่ ใหต้ นเองไดเ้ ปรยี บทางการศกึ ษาแตก่ ลบั สรา้ งความไมย่ ตุ ธิ รรมแกผ่ เู้ รยี นคนอนื่ ๆ วารสารปารชิ าต 47 มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ
รปู แบบของพฤติกรรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ จากการทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ ง สามารถจดั หมวดหมพู่ ฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการของผ้เู รยี นออกเป็น 18 ประเภท ดังนี้ [15-17] 1. การน่งิ เฉย (Anti-whistle Blower) หมายถงึ การไมใ่ สใ่ จตอ่ พฤตกิ รรมที่ไม่เหมาะสมของผู้เรียนคนอ่นื และไม่แจ้งให้ผสู้ อนทราบ เช่น ร้เู ห็นวา่ ผเู้ รยี นคนอื่นทจุ ริตในการสอบแต่กลับนิ่งเฉย เปน็ ต้น 2. การโกงการสอบ (Cheating) หมายถงึ การแสดงออกซง่ึ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการระหวา่ งการสอบเพอ่ื ใหท้ ำ� ขอ้ สอบไดถ้ กู ตอ้ ง เชน่ แอบนำ� เอกสารเขา้ หอ้ งสอบแอบมองคำ� ตอบของผเู้ รยี นคนอ่ืน เป็นต้น 3. การสมรรู้ ว่ มคดิ ในการโกง (Accessory to Cheating) หมายถงึ การชว่ ยเหลอืผูเ้ รียนคนอ่ืนโกงการสอบ เชน่ ใหผ้ ูเ้ รยี นคนอนื่ ลอกคำ� ตอบ ส่งคำ� ตอบใหผ้ ู้เรยี นคนอ่ืนในระหว่างการสอบ เป็นต้น 4. การให้ผู้อื่นช่วยเหลืออธิบายหรือขยายความเก่ียวกับงานท่ีได้รับมอบหมาย(Clarification) หมายถึง การท่ีผู้เรียนไม่ใส่ใจหรือไม่ให้ความส�ำคัญต่องานท่ีได้รับมอบหมาย และไม่พยายามท�ำความเข้าใจต่องานที่ได้รับมอบหมายด้วยตนเอง แต่มุ่งพงึ่ พงิ ผเู้ รยี นคนอนื่ เปน็ หลกั เชน่ ตอ้ งสอบถามถงึ แหลง่ คน้ ควา้ ขอ้ มลู การทำ� รายงานจากผเู้ รยี นคนอืน่ เป็นต้น 5. การสมรู้ร่วมคดิ ทำ� รายงาน (Collaboration) หมายถึง การไดร้ บั มอบหมายจากผสู้ อนใหท้ ำ� รายงานเปน็ รายบคุ คลแตก่ ลบั รว่ มมอื กบั ผเู้ รยี นคนอน่ื แบง่ หนา้ ทกี่ นั ทำ�รายงานให้แล้วเสร็จเพ่ือประหยัดเวลาและลดภาระงาน เช่น ผู้เรียนคนแรกค้นหาบทความ คนท่ีสองสรุปเนื้อหาในบทความ และคนทส่ี ามตอบคำ� ถามท่ีก�ำหนด เป็นตน้ 6. การจัดท�ำผลงานหรือแก้ไขผลงานทั้งชิ้นโดยผู้อื่น (Editorial Assistance)หมายถึง การทีผ่ ู้เรียนมอบหมายใหผ้ อู้ ื่นจัดท�ำรายงาน หรอื การบ้านแทนทงั้ หมด หรือใหผ้ อู้ น่ื ชว่ ยแกไ้ ขเนอื้ หาของงานกอ่ นสง่ ผสู้ อน แทนทผ่ี เู้ รยี นจะเปน็ ผเู้ รยี บเรยี ง ตรวจสอบและแก้ไขดว้ ยตนเอง 7. การไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎระเบยี บ (Noncompliance) หมายถงึ การไมย่ อมรบั รู้หรอื ปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑ์ หรอื ระเบยี บตา่ ง ๆ ในการทำ� รายงาน หรอื การสอบ เชน่ ตง้ั ขอบหน้ากระดาษของรายงานให้กว้างกว่าท่ีก�ำหนด หรือเพิ่มขนาดของตัวอักษรเพื่อเพิ่มจ�ำนวนหน้าของรายงานให้มากขน้ึ เป็นตน้ 8. การโกหกเพ่ือใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ ก่ตนเอง (Perjury) หมายถงึ การใหข้ ้อมูลท่ีเปน็ เทจ็ เชน่ ไมเ่ ขา้ ชน้ั เรยี นเพราะความขเ้ี กยี จแตอ่ า้ งวา่ ปว่ ย เปน็ ตน้48 Parichart Journal Thaksin University
9. การโจรกรรมทางวรรณกรรม (Plagiarism) หมายถึง การคดั ลอกเน้อื หาจากเอกสารของผอู้ นื่ แลว้ แอบอา้ งวา่ เปน็ ผลงานของตนโดยไมอ่ า้ งองิ ใหถ้ กู ตอ้ งถงึ แหลง่ ทม่ี าเช่น ค้นคว้าข้อมูลจากหนังสือต่าง ๆ แล้วน�ำเนื้อหาจากหนังสือน้ันมาเรียบเรียงในรายงาน แตไ่ ม่ทำ� เชงิ อรรถและบรรณานกุ รม เปน็ ตน้ 10. การสมรู้ร่วมคิดโจรกรรมทางวรรณกรรม (Accessory to Plagiarism)หมายถงึ การใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี นคนอน่ื ในการขโมยคดั ลอกผลงาน เชน่ ทำ� รายงานใหผ้ ู้เรยี นคนอ่ืนโดยเรียกคา่ ตอบแทน เป็นตน้ 11. การนำ� มาใชซ้ �้ำ (Recycling) หมายถงึ การนำ� เนือ้ หาสว่ นหนงึ่ หรือทัง้ หมดของรายงานทเ่ี คยท�ำกลับมาใชซ้ ้�ำ เช่น ทำ� รายงานหนงึ่ ฉบบั แต่ส่งสองวิชา เปน็ ต้น 12. การกลั่นแกล้ง (Sabotage) หมายถึง การท�ำให้ทรัพย์สินหรือผลงานของผเู้ รยี นคนอน่ื เสยี หายโดยตงั้ ใจ เชน่ แอบนำ� รายงานของผอู้ น่ื ทตี่ งั้ อยบู่ นโตะ๊ ผสู้ อนไปทงิ้หรือการส่งผลงานผ้เู รียนคนอ่ืนฝากสง่ ล่าช้ากวา่ ก�ำหนดเวลา เปน็ ต้น 13. การใช้วิธลี ดั (Short Cutting) หมายถงึ การกระทำ� การใด ๆ ทหี่ วังยน่ ย่อเวลาในการท�ำผลงานให้น้อยลง เช่น อ่านเฉพาะบทคัดย่อหรือบทสรุปแทนที่จะอ่านบทความทัง้ ฉบับตามที่ผ้สู อนมอบหมาย เปน็ ต้น 14. คนขเ้ี กียจ (Slacker) หมายถงึ การไม่มีหรอื มีส่วนร่วมนอ้ ยในกจิ กรรมกลุ่มหรือบังคับให้ผู้เรียนคนอื่นท�ำกิจกรรมกลุ่มมากกว่าตน เช่น ไม่ช่วยเหลือผู้เรียนคนอื่นในการทำ� รายงานกลมุ่ เปน็ ต้น 15. การอาศัยความรขู้ องผ้อู ืน่ (Supplemental Learning) หมายถึง การไม่สนใจเรยี นในชนั้ เรยี นแตอ่ าศยั ขอ้ มลู จากผเู้ รยี นคนอน่ื เชน่ เมอ่ื ถงึ ชว่ งใกลส้ อบจงึ ขอยมืสมดุ บนั ทกึ ของผูเ้ รียนคนอื่นไปถา่ ยเอกสารเพ่อื ใช้อ่านกอ่ นสอบ เปน็ ตน้ 16. การใหค้ วามสำ� คญั เฉพาะการสอบ (Supplemental Test Prep) หมายถงึการไมส่ นใจเรยี นในชน้ั เรยี นแตม่ งุ่ ผลสมั ฤทธใ์ิ นการสอบเปน็ สำ� คญั เชน่ มกี ารเตรยี มตวัเพิ่มมากข้ึนในช่วงก่อนสอบ ใช้ข้อสอบเก่าในวิชาเดียวกันเม่ือภาคเรียนท่ีผ่านมาเป็นแนวทางในการทำ� ขอ้ สอบ เป็นตน้ 17. การชว่ ยเหลอื ผอู้ นื่ เพอ่ื เตรยี มตวั สอบ (Accessory to Supplemental Test Prep)หมายถงึ การใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี นคนอนื่ ทไี่ มส่ นใจเรยี นในชว่ งกอ่ นสอบ เชน่ ใหแ้ นวขอ้ สอบเกา่ วชิ าเดยี วกนั แกผ่ เู้ รยี นคนอนื่ การจดั ตวิ แบบเขม้ ขน้ โดยเรยี กเกบ็ เงนิ เปน็ ตน้ 18. การขอใหพ้ ระเจา้ ชว่ ย (The Hail Mary) หมายถงึ การกระทำ� ตา่ ง ๆ ทถี่ อื เปน็ทางเลือกสุดท้ายท่ีมุ่งหวังให้ผลการเรียนของตนดีขึ้นแม้ว่าจะมีโอกาสน้อยก็ตาม เช่นสร้างความสนิทสนมเป็นพิเศษกับผู้สอน หรือเขียนข้อความขอความเห็นใจลงในกระดาษค�ำตอบ เปน็ ตน้ วารสารปารชิ าต 49 มหาวิทยาลยั ทักษณิ
ทง้ั นี้ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการทงั้ 18 ประเภทสามารถจำ� แนกออกเปน็ สามกลมุ่ ไดแ้ ก่ 1) พฤตกิ รรมทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ผลการเรยี นของผเู้ รยี น ไดแ้ ก่ การโกงการสอบ การโกหก การโจรกรรมทางวรรณกรรม การนำ� มาใชซ้ ำ�้ การใชว้ ธิ ลี ดั และการใหค้ วามสำ� คญั เฉพาะการสอบ 2) พฤตกิ รรมทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ ผลการเรยี นของผเู้ รยี นคนอนื่ ไดแ้ ก่ การนง่ิ เฉย การสมรรู้ ว่ มคดิ ในการโกง การสมรรู้ ว่ มคดิ โจรกรรมทางวรรณกรรม การชว่ ยเหลอื ผอู้ น่ื เพ่ือเตรียมตัวสอบ และการกล่ันแกล้ง และ 3) พฤติกรรมท่ีอาจมีหรือไม่มีอิทธิพลต่อ ผลการเรยี นของผเู้ รยี นหรอื ผเู้ รยี นคนอนื่ ไดแ้ ก่ การใหผ้ อู้ น่ื ชว่ ยเหลอื อธบิ ายหรอื ขยายความ เกี่ยวกับงานทไี่ ดร้ ับมอบหมาย การสมรรู้ ว่ มคดิ ท�ำรายงาน การจัดท�ำผลงานหรอื แกไ้ ข ผลงานท้ังช้ินโดยผู้อื่น การไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ คนขี้เกียจ การอาศัยความรู้ของ ผอู้ ่ืน และการขอให้พระเจา้ ช่วย บ่อเกิดของการประพฤติตัวไม่เหมาะสมทางวิชาการ จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า การพิจารณาสาเหตุของการมีพฤติกรรมไม่ เหมาะสมทางวชิ าการของผเู้ รยี นสามารถอธบิ ายไดใ้ น 2 ประเดน็ คอื มมุ มองเชงิ ทฤษฎี และ มมุ มองจากงานวจิ ยั ท่ีคน้ พบ 1. มุมมองเชิงทฤษฎี ปรากฏการณก์ ารทจุ รติ หรอื ความไมซ่ อื่ สตั ยท์ างวชิ าการสามารถอธบิ ายไดจ้ าก หลากหลายทฤษฎี อาทิ ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน (The Theory of Planned Behavior) ท่ีอธิบายว่าพฤติกรรมของบุคคล (Behavior) เกิดจากเจตนาเชิงพฤติกรรม หรือความตั้งใจแสดงพฤติกรรม (Intention) อันเป็นสิ่งบ่งบอกว่าบุคคลได้พยายาม มากน้อยเพยี งใดทจ่ี ะแสดงพฤตกิ รรมนนั้ ๆ หากบคุ คลมคี วามพยายามมาก โอกาสหรอื ความเปน็ ไปได้ที่จะแสดงพฤติกรรมยอ่ มมากตามไปดว้ ย [18] จงึ สามารถนำ� มาอธิบาย ความประพฤติที่ไม่เหมาะสมทางวิชาการว่า เกิดจากความตั้งใจของผู้เรียนที่จะ แสดงออกถึงพฤติกรรมเหล่าน้ัน นอกจากน้ี Walker and Holtfreter เสนอแนะว่า พฤตกิ รรมทไี่ มเ่ หมาะสมทางวชิ าการของผเู้ รยี นสามารถอธบิ ายไดด้ ว้ ยทฤษฎที างอาชญวทิ ยา อกี อยา่ งนอ้ ย 2 ทฤษฎี ไดแ้ ก่ 1) ทฤษฎกี ารเรยี นรทู้ างสงั คม (Social Learning Theory) ทฤษฎดี งั กลา่ วอธบิ ายวา่ การเรยี นรทู้ างสงั คมของบคุ คลสามารถเรยี นรไู้ ดท้ ง้ั พฤตกิ รรม ท่ีสร้างสรรค์และพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสม ดังน้ัน ความไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการจึงเป็น พฤติกรรมเบยี่ งเบนจากกฎเกณฑ์ของสังคมทเ่ี กดิ จากการเรยี นรู้ 2) ทฤษฎีการควบคมุ ตนเอง (Self-control Theory) ทฤษฎดี งั กล่าวอธิบายว่า ความสามารถในการควบคุม ตนเองเกิดจากอิทธิพลการเลี้ยงดูของพ่อแม่ในวัยเด็ก โดยผู้ท่ีมีการควบคุมตนเองตำ�่ มีโอกาสจะกระท�ำผิดหรือก่ออาชญากรรม รวมทั้งกระท�ำการท่ีเบ่ียงเบนและเส่ียงสูง50 Parichart Journal Thaksin University
ได้มากกว่าคนปกติ ทั้งน้ี นักจิตวิทยาและนักอาชญวิทยามีความเห็นว่า การขาดการควบคมุ พฤตกิ รรมตนเองของบุคคลเกดิ เพราะบคุ คลน้ันเห็นแกผ่ ลประโยชน์ของตนเองเป็นหลักโดยปราศจากการพิจารณาถึงผลกระทบในระยะยาว ดังน้ัน ความไม่ซ่ือสัตย์ทางวิชาการของผู้เรียนจึงเกิดจากการขาดการควบคุมตนเองและเห็นแก่ผลประโยชน์ตนเอง คือ การได้คะแนนเพม่ิ ขึ้น [19] 2. มุมมองจากงานวิจัยทีค่ ้นพบ มงี านวจิ ยั หลายชน้ิ ทศี่ กึ ษาสาเหตขุ องการประพฤตติ วั ไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการสามารถจำ� แนกเป็น 3 ดา้ น ได้แก่ 2.1 ดา้ นการเรียนการสอน ต้นเหตุมีหลายรูปแบบ ได้แก่ ผู้เรียนมงี านที่ได้รับมอบหมายจ�ำนวนมาก ผลการเรียนท่ีไม่ดีในปีการศึกษาที่ผ่านมาจึงต้องการได้เกรดสงู ๆ และการไมใ่ หค้ วามสำ� คญั กบั ความรทู้ ี่ได้รับ [17, 20] การที่ผู้เรยี นไม่เขา้ ใจในงานท่ีได้รับมอบหมาย หรือได้รับมอบหมายงานที่ยากและต้องใช้ความพยามยามอยา่ งมากจึงจะแลว้ เสร็จ ผเู้ รยี นจึงจำ� เป็นตอ้ งคัดลอกผลงาน เนื่องจากผลงานต้นฉบับจัดท�ำไว้ดีมากแล้ว สามารถหยิบมาใช้ได้เลยโดยไม่ต้องเขียนหรือเรียบเรียงใหม่(Paraphrase) [20] รวมทัง้ การประเมนิ ผลการเรียนการสอนทไี่ มม่ ีประสทิ ธภิ าพ [17] 2.2 ดา้ นตวั บคุ คล เกดิ ขนึ้ เพราะผเู้ รยี นมคี วามเกยี จครา้ น ไรค้ วามรบั ผดิ ชอบและไมใ่ หค้ วามส�ำคญั กบั วิธีการเรยี น [17] ผูเ้ รยี นมภี าวะวิกฤตทิ างจรยิ ธรรม (MoralDilemma) [21] การบรหิ ารเวลาทไ่ี มเ่ หมาะสม อกี ทง้ั ผเู้ รยี นบางสว่ นเหน็ วา่ เปน็ พฤตกิ รรมปกตทิ มี่ กี ารปฏบิ ตั กิ นั โดยทวั่ ไป [20] นอกจากน้ี ผเู้ รยี นสว่ นหนงึ่ แสดงออกซง่ึ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการเพราะภาวะทางเศรษฐกจิ ทกี่ ดดนั ใหผ้ เู้ รยี นตอ้ งรบั ทนุ การศกึ ษาจงึ ตอ้ งรักษามาตรฐานผลการเรยี นตามเง่อื นไขของแหล่งทนุ [22] 2.3 ด้านความสัมพันธ์กันบุคคลอ่ืน พฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการเกดิ จากความกดดนั ทางสงั คม (Social Pressure) ทตี่ อ้ งการเหน็ ประสทิ ธภิ าพการเรยี นท่สี ูงขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว [23-24] ผ้ทู ม่ี ีผลการเรยี นดีมกั จะไดร้ บั การยกย่องจากสังคม(Social Impression) มากกวา่ การเปน็ คนซอื่ สตั ย์ [22] อีกทั้งการสนบั สนนุ กันภายในกลมุ่ เพอื่ นให้แสดงออกถึงความไมซ่ อ่ื สตั ย์ทางวชิ าการ [17] ขณะเดียวกัน นักศึกษาสะท้อนว่า จากประสบการณ์ท่ีพบการแสดงพฤตกิ รรมความไมซ่ ่อื สตั ยข์ องผรู้ ่วมเรียนดว้ ยกันนน้ั เกดิ เนอ่ื งจากผู้สอนไม่มมี าตรการที่มีประสิทธิภาพท่ีจะจัดการกับผู้เรียนเหล่าน้ัน [25] โอกาสท่ีจะถูกจับได้มีน้อยหรือมาตรการลงโทษไมร่ นุ แรง [20] รวมถงึ ผสู้ อนมกี ารคาดการณจ์ ำ� นวนนกั ศกึ ษาทป่ี ระพฤตติ วัไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการตำ่� เกนิ ไป [26] ทำ� ใหเ้ กดิ ความลม้ เหลวในการแกไ้ ขปญั หาดงั กลา่ ว วารสารปาริชาต 51 มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ
ตวั แปรท่ีเก่ยี วขอ้ งกับการศกึ ษาพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการ วิธีการศกึ ษาตัวแปร ตวั แปรทค่ี น้ พบครงั้ นใี้ ชว้ ธิ กี ารปรทิ ศั นแ์ บบพรรณนา(NarrativeLiteratureReview)โดยสบื คน้ บทความวจิ ยั ฐานขอ้ มลู อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ จำ� นวน 5 ฐานขอ้ มลู ไดแ้ ก่ AcademicSearch Complete, Emerald Management E-Journal, ScienceDirect,SpringerLink Journal และ Web of Science ค�ำส�ำคญั ส�ำหรับการสืบค้น คอื คำ� วา่Academic misconduct, Academic Cheating และ Academic Integrity ในช่ือเร่ือง Title) ของบทความวิจัย การคัดเลือกบทความวิจัยอาศัยหลักเกณฑ์ในการคดั เขา้ และออก (Inclusion/Exclusion Criteria) ทกี่ ำ� หนดขน้ึ โดยเกณฑใ์ นการคดั เขา้ได้แก่ บทความวิจัยท่ีตีพิมพ์ตั้งแต่ปีพ.ศ.2557 เป็นต้นมา มีคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองผลงานก่อนรับตีพิมพ์ และตีพิมพ์แบบฉบับเต็ม ส่วนเกณฑ์ในการคัดออกได้แก่ บทความวิจัยท่ีมรี ายละเอยี ดเฉพาะบทคดั ย่อ และไม่ไดต้ ีพิมพเ์ ปน็ ภาษาอังกฤษได้บทความวิจัยจ�ำนวน 20 เร่ือง บทความที่ใช้ในการสังเคราะห์ในตัวแปรในที่น้ีเป็นวิจัยท่ีตีพิมพ์เผยแพร่ในพ.ศ.2558 จ�ำนวน 5 เรอื่ ง และ พ.ศ.2557 จ�ำนวน 15 เร่ือง ใช้ระเบยี บวธิ กี ารวิจยั เชงิปรมิ าณ จ�ำนวน 13 เรอ่ื ง ผสานวธิ ี จ�ำนวน 4 เร่ือง และเชิงคุณภาพ จ�ำนวน 3 เรอ่ื งกลมุ่ ตวั อยา่ งเปน็ นกั ศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษา จำ� นวน 19 เรอ่ื ง และสงั เคราะหบ์ ทความวจิ ยัจำ� นวน 1 เรอ่ื ง ประเทศทที่ ำ� วจิ ยั สว่ นใหญ่ คอื สหรฐั อเมรกิ า จำ� นวน 6 เรอ่ื ง สหรฐั อาหรบัเอมเิ รตส์ ไตห้ วนั และปากสี ถาน ประเทศละ 2 เรอื่ ง อสิ ราเอล ไทย นวิ ซแี ลนด์ เกาหลใี ต้ซาอุดิอาระเบีย ไอร์แลนด์ โปรตเุ กส ตุรกี ยเู ครน และออสเตรเลยี ประเทศละ 1 เรอ่ื งวธิ เี กบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยใชแ้ บบสอบถามปลายปดิ จำ� นวน 12 เรอ่ื ง แบบสอบถามปลายปดิและปลายเปดิ จำ� นวน 2 เรอ่ื ง แบบสอบถามปลายปดิ และการสมั ภาษณก์ ง่ึ โครงสรา้ งจำ� นวน 1 เรอ่ื ง แบบสอบถามปลายปดิ และการสนทนากลมุ่ จำ� นวน 1 เรอ่ื ง การสมั ภาษณ์แบบมโี ครงสรา้ ง การสมั ภาษณก์ ง่ึ โครงสรา้ ง การสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ และสบื คน้ จากฐานขอ้ มลูอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ วธิ กี ารละ 1 เรอ่ื ง วธิ วี เิ คราะหข์ อ้ มลู ใชค้ า่ สถติ ิ จำ� นวน 13 เรอ่ื ง ใชค้ า่ สถติ ิและการวิเคราะห์เนื้อหา จ�ำนวน 3 เรื่อง การวิเคราะห์เน้ือหา จ�ำนวน 3 เร่ือง และการวิเคราะหอ์ ภิมาน จำ� นวน 1 เรือ่ ง สว่ นการคน้ งานวจิ ยั ในประเทศไทยนนั้ ผวู้ จิ ยั ไดส้ บื คน้ จากศนู ยด์ ชั นกี ารอา้ งองิวารสารไทย (Thai Journal Citation Index Center: TCI) โดยใชค้ �ำค้นเช่นเดียวกบัภาษาอังกฤษ และเพิ่มค�ำค้นภาษาไทย คือ ความซ่ือสัตย์ ความซ่ือสัตย์ทางวิชาการพฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมเชงิ วชิ าการ จรยิ ธรรมทางวชิ าการ ทตี่ พี มิ พร์ ะหวา่ งปี 2557-255852 Parichart Journal Thaksin University
ซึ่งพบเพียงบทความวิชาการของสุพิศ รุ่งเรืองศรี และอุดมรัตน์ สงวนศิริธรรม ที่ให้ข้อเสนอแนะต่อนักวิชาการพยาบาลให้เห็นความส�ำคัญต่อพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการโดยน�ำเสนอกลยุทธ์ในการจัดการเพื่อลดระดับของพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเชงิ วชิ าการนีท้ ้ังในห้องเรยี นและในสถานท่ีฝกึ ปฏบิ ตั งิ าน [27] ตัวแปรทเี่ ก่ียวข้องหรือส่งผลตอ่ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทางวิชาการ จากการวิเคราะห์ตัวแปรที่ส่งผลหรือสัมพันธ์กับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทางวชิ าการพบวา่ มที ั้งหมด 18 ตัวแปร ดังนี้ 1. เพศ จากการศึกษาพบว่า ตัวแปรเพศเกยี่ วขอ้ งกับพฤตกิ รรมทีไ่ มเ่ หมาะสมในทางวชิ าการ โดยงานวจิ ยั ทงั้ 6 เรอ่ื ง พบข้อมลู สอดคล้องกนั ว่า เพศชายมพี ฤตกิ รรมท่ีไม่เหมาะสมทางวิชาการหรือยอมรับการทุจริตมากกว่าเพศหญิง หรืออีกนัยหน่ึงก็คือเพศหญิงให้ความส�ำคัญหรือมีความตระหนักเร่ืองความซ่ือสัตย์ทางวิชาการมากกว่าเพศชาย โดยงานวจิ ยั เหลา่ นลี้ ว้ นศกึ ษาในสถานศกึ ษาทมี่ บี รบิ ทแตกตา่ งกนั [20, 28-32] 2. การยึดมั่นในจรยิ ธรรมหรือศีลธรรม ผลการศกึ ษาในตวั แปรนีพ้ บวา่ ถงึ แม้ผเู้ รยี นทราบดวี า่ ความไมซ่ อ่ื สตั ยท์ างวชิ าการเปน็ พฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสม แตย่ งั คงปฏบิ ตั ิเน่ืองจากเห็นนักศึกษาคนอ่ืนปฏิบัติ ดังเช่น งานวิจัยของ Razek ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์นักศึกษาชาวซาอุดิอารเบียท่ีเข้ามาศึกษาในประเทศสหรฐั อเมรกิ าจำ� นวน 13 คน พบวา่ ผใู้ หข้ อ้ มลู สว่ นใหญเ่ หน็ วา่ ความไมซ่ อื่ สตั ยท์ างวชิ าการเปน็ พฤตกิ รรมทยี่ อมรบั และปฏบิ ตั กิ นั โดยทวั่ ไป พฤตกิ รรมทเี่ กดิ ขน้ึ จงึ เปน็ ชอ่ งวา่ งระหวา่ งความเชื่อในจริยธรรม ศลี ธรรม และศาสนา กบั การปฏบิ ัติจรงิ ในชวี ติ ประจำ� วัน [16]เช่นเดยี วกับผลการศึกษาของ Wei et al. พบวา่ ถึงแม้นกั ศกึ ษารูด้ ีว่าการโกงข้อสอบหรอื การประพฤตบิ างอยา่ งเปน็ สง่ิ ทผี่ ดิ เปน็ การละเมดิ ศลี ธรรม (Moral Transgression)แตย่ งั เลอื กทจ่ี ะกระทำ� และเปน็ สาเหตใุ หค้ นอนื่ กระทำ� ตามได้ [32] ขณะทมี่ ผี ลการศกึ ษาเชิงปริมาณ 3 เร่ือง ไดแ้ ก่ การศกึ ษาของ Ballantine et al. พบวา่ ระดับการยดึ มนั่ ทางจรยิ ธรรมมอี ทิ ธพิ ลทางบวกตอ่ ระดบั การไมย่ อมรบั การทจุ รติ ในการสอบ (Intolerance ofCheating) [29] สว่ น Stone et al. พบว่าระดบั การยึดม่นั ทางจรยิ ธรรมมีความสัมพนั ธ์กับพฤติกรรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ [31] ขณะท่ี Park, Park and Jang ศึกษากับนักศึกษาสาขาพยาบาลในประเทศเกาหลีใต้ขณะท่ีฝึกภาคปฏิบัติการพบว่า ระดับจริยธรรมมีความสมั พันธเ์ ชงิ ลบกบั พฤตกิ รรมทไ่ี ม่เหมาะสมทางวิชาการ [33] 3. ชั้นปี มงี านวิจัย 2 ชนิ้ ทบี่ ่งช้ีว่า ยิ่งนักศึกษาเรยี นในชน้ั ปที ่ีสูงขึ้นมีพฤตกิ รรมทไี่ ม่เหมาะสมทางวชิ าการมากขน้ึ ไดแ้ ก่ งานวจิ ยั ของ Henning et al. [28] พบว่านกั ศึกษารุ่นพ่จี ะมพี ฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวชิ าการมากกว่านักศกึ ษาในชนั้ ปีต้น ๆ วารสารปาริชาต 53 มหาวทิ ยาลัยทักษณิ
และงานวิจัยของ Ghias et al. [30] พบว่า นักศึกษาสาขาแพทยศาสตร์ชั้นปีที่สูงข้ึน มีอตั ราการประพฤตผิ ดิ ทางวชิ าการมากขน้ึ ซง่ึ แตกตา่ งจากผลการศกึ ษาของ Freire [34] พบวา่ นกั ศกึ ษาชนั้ ปที ี่ 1 มพี ฤตกิ รรมการทจุ รติ ทางวชิ าการมากกวา่ ชน้ั ปอี นื่ ๆ 4. กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ มงี านวจิ ยั ศึกษาตัวแปรกลมุ่ ชาติพนั ธุ์ 3 เรอ่ื ง ได้แก่ ผลงาน ของ Henning et al. [28] พบวา่ นกั ศกึ ษาเชอื้ สายเอเชยี และเชอ้ื สายยโุ รปมพี ฤตกิ รรม ความไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ิ ขณะท่ี Wei et al. [32] พบวา่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ ไี่ มไ่ ดเ้ ปน็ คนอเมรกิ ามอี ตั ราการประพฤตผิ ดิ ทางวชิ าการมากกวา่ คนอเมรกิ า สว่ น Yukhymenko-Lescroart ไดศ้ กึ ษาเปรยี บเทยี บความคดิ เหน็ ของนกั ศกึ ษา ระดบั ปรญิ ญาตรใี นประเทศยเู ครนและประเทศสหรฐั อเมรกิ าตอ่ พฤตกิ รรมทไี่ มเ่ หมาะสม ทางวชิ าการพบวา่ นกั ศกึ ษาประเทศสหรฐั อเมรกิ าไดร้ ะบหุ รอื เลอื กพฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสม ทางวชิ าการจากแบบสอบถามในหลายแงม่ มุ มากกว่านกั ศึกษายเู ครน [35] 5. ความเข้าใจในระเบียบวินัยการเรียน มีงานวิจัย 3 เรื่องศึกษาเกี่ยวกับ ความเขา้ ใจถงึ วนิ ยั การเรยี น หรอื ระดบั ความเขา้ ใจถงึ พฤตกิ รรมทเี่ หมาะสมทางวชิ าการ ได้แก่ Henning et al. [28] พบว่า นกั ศกึ ษาที่ไดอ้ า่ นและมีความเข้าใจในระเบียบวินยั ในการเรยี น (Student Code of Conduct) จะมีความซอื่ สตั ยส์ งู กว่า ขณะที่ Park et al. [33] พบว่า ระดับความร้คู วามเข้าใจเกี่ยวกบั ความซอื่ สัตย์ทางวชิ าการมคี วามสัมพันธ์ ทางบวกกับพฤติกรรมท่ีเหมาะสมทางวิชาการ ส่วน Busch and Bilgin ศึกษาจาก นกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรจี าก 2 คณะในมหาวทิ ยาลยั แหง่ หนงึ่ ของประเทศออสเตรเลยี พบว่านักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เข้าใจนิยามความซ่ือสัตย์ทางวิชาการหรือความประพฤติ ทเ่ี หมาะสมทางวชิ าการในการเรียนการสอน [36] 6. อายุ มขี อ้ คน้ พบในงานวจิ ยั 2 เรอื่ งทส่ี อดคลอ้ งกนั ไดแ้ ก่ งานวจิ ยั ของ Freire [34] ศึกษากับนักศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของรัฐประเทศโปรตุเกสพบว่า นักศึกษาท่ีอายุน้อยกว่า (ต�่ำกว่า 25 ปี) มีอัตราการยอมรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทางวิชาการสงู กว่านกั ศกึ ษาทอี่ ายุมากกวา่ เชน่ เดียวกับ Stone et al. พบว่า นกั ศึกษา ทม่ี อี ายุสงู กวา่ มพี ฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวิชาการน้อยกวา่ ผู้ที่มอี ายนุ อ้ ย [31] 7. สาขาวชิ า Freire [34] ศกึ ษาเปรยี บเทยี บระดบั พฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสมทาง วิชาการระหว่างนักศึกษากับนักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจและ เศรษฐศาสตร์กับนักศึกษาสาขาอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยของรัฐประเทศโปรตุเกสพบว่า นักศึกษาสาขาบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์มีระดับการยอมรับพฤติกรรมการทุจริต ทางวชิ าการสงู กวา่ สาขาอืน่ อย่างมนี ยั ส�ำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะพฤติกรรมการคัดลอก ผลงานวิชาการ (Copying)54 Parichart Journal Thaksin University
8. การคลอ้ ยตามกลุม่ อ้างอิงเก่ียวกับการประพฤตติ ัวไม่เหมาะสมทางวชิ าการ มงี านวจิ ยั 2 เรอ่ื งทศี่ กึ ษาถงึ ตวั แปรน้ี ไดแ้ ก่ ผลงานของ Hsiao ศกึ ษาพฤตกิ รรมไม่เหมาะสมทางวิชาการของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหน่ึงของประเทศไต้หวันผลการศึกษาพบว่า การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความต้ังใจแสดงพฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ [37] เชน่ เดยี วกบั Park et al. พบวา่ การคลอ้ ยตามกลมุ่ อา้ งองิ มีความสัมพนั ธเ์ ชงิ บวกกับพฤตกิ รรมไม่เหมาะสมทางวชิ าการ [33] 9. เจตคตทิ มี่ ตี อ่ พฤตกิ รรมการประพฤตติ วั ไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ Freire[34] ส�ำรวจการประพฤติตัวไม่เหมาะสมทางวิชาการจากนักศึกษาระดับปริญญาตรีประเทศโปรตุเกสพบวา่ นักศกึ ษามคี วามเห็นว่าพฤตกิ รรมดงั กล่าวยอมรบั ได้ และการปฏบิ ตั กิ นั โดยปกติ สว่ น Hsiao พบวา่ เจตคตทิ มี่ ตี อ่ พฤตกิ รรมการประพฤตติ วั ไมเ่ หมาะสมทางวิชาการมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความต้ังใจแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทางวชิ าการ [37] 10. ฐานะทางเศรษฐกิจ ผลการศกึ ษาของ Alt พบว่า ฐานะทางเศรษฐกิจส่งผลทางลบตอ่ พฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวชิ าการ [38] 11. การรบั รคู้ วามสามารถของตนดา้ นการเรยี น Alt พบวา่ การรบั รคู้ วามสามารถของตนด้านการเรยี นสง่ ผลทางลบตอ่ พฤตกิ รรมไม่เหมาะสมทางวชิ าการ [38] 12. การรบั รคู้ วามสามารถในการควบคมุ พฤตกิ รรมการประพฤตติ วั ไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ ผลการศึกษาของ Hsiao พบว่า การรับรู้ความสามารถในการควบคมุพฤตกิ รรมการประพฤตติ วั ไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการมอี ทิ ธพิ ลทางบวกตอ่ ความตงั้ ใจแสดงพฤติกรรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ [37] สว่ นผลการศึกษาของ Stone et al. พบวา่นกั ศกึ ษาทส่ี ามารถควบคมุ ตนเองใหห้ ยดุ กระทำ� ในสงิ่ ทเ่ี ยา้ ยวนใจ (Impulse Control)มอี ตั ราการประพฤตผิ ดิ ต่ำ� [31] 13. ความคาดหวังถึงผลกระทบด้านลบต่อตนเอง Hsiao [37] พบว่าความคาดหวังถึงผลกระทบด้านลบต่อตนเองมีอิทธิพลเชิงลบต่อความตั้งใจแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการ ส่วนการศึกษาของ Stone et al. พบว่า นกั ศกึ ษาทมี่ กี ารคาดการณถ์ งึ ปญั หาทตี่ ดิ ตามมามอี ตั ราการประพฤตไิ มเ่ หมาะสมทางวชิ าการตำ�่ [31] 14. ลักษณะนิสัย มงี านวจิ ัยของ Giluk and Postlethwaite ทม่ี งุ่ ศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งนสิ ยั ทดี่ ี 5 ประการกบั การประพฤตทิ ไ่ี มเ่ หมาะสมทางวชิ าการ ผลการศกึ ษาพบวา่ มนี สิ ยั สองประการทม่ี คี วามสมั พนั ธท์ างลบกบั พฤตกิ รรมทไี่ มเ่ หมาะสมทางวชิ าการไดแ้ ก่ (1) อปุ นสิ ยั ทม่ี งุ่ ไปทเี่ ปา้ หมายและทำ� งานดว้ ยความมวี นิ ยั (Conscientiousness)(2) อปุ นสิ ยั ทที่ นตอ่ สงิ่ รอบขา้ งไดม้ าก และเชอื่ มน่ั ในความดผี อู้ น่ื (Agreeableness) [39] วารสารปาริชาต 55 มหาวิทยาลัยทกั ษิณ
15. ความรุนแรงของการถูกลงโทษในวัยเด็ก ผลการศึกษาของ Qualls พบวา่ ความรนุ แรงของการถกู ลงโทษในวยั เดก็ (Severe Physical Discipline) มอี ทิ ธพิ ล ทางบวกต่อพฤติกรรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ [40] นอกจากนี้ ยงั มกี ารศกึ ษาของ Chiao-ling, Shu Ching, and An-sing ทพี่ บวา่ มี 3 ตวั แปรทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ ไดแ้ ก่ (1) การมงุ่ ความสำ� เรจ็ ในการศกึ ษา (2) ความเตม็ ใจในการรายงานพฤตกิ รรมประพฤตติ วั ไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ ของเพอ่ื นรว่ มชน้ั และ (3) แรงจงู ใจในการประพฤตติ วั ไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ [41]แนวทางแกไ้ ขปญั หาพฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวิชาการ ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการที่ประมวลได้ จากงานวจิ ยั สามารถจำ� แนกตามผรู้ บั ผดิ ชอบแกไ้ ขปญั หา 3 ฝา่ ย ไดแ้ ก่ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ผสู้ อน และผู้ปกครอง ดังนี้ 1. ผู้บริหารดา้ นสถานศึกษา 1.1 ควรชว่ ยลดแรงกดดนั ทางสงั คมทมี่ ตี อ่ ความคาดหวงั ตอ่ ผลสมั ฤทธผิ ล ทางการเรียนของผู้เรียนและลดความกังวลเกี่ยวกับการส�ำเร็จการศึกษาของผู้เรียน โดยการจัดระบบสนับสนุนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสม เช่น เน้นการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning) และมกี ารประเมนิ ผลเปน็ ระยะตามวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้[16] 1.2 ควรก�ำหนดนโยบายส่งเสรมิ ความซ่ือสตั ยท์ างวชิ าการ สร้างจิตสำ� นึก ทางจริยธรรมแก่ผู้เรียน และพัฒนาสู่การสร้างวัฒนธรรมความซื่อสัตย์ภายในสถาบัน [16, 29-31, 33, 35, 37] 1.3 ควรมีหลักสูตรให้ความรู้จริยธรรมทางวิชาการตั้งแต่การปฐมนิเทศ นกั ศกึ ษาใหม่ และควรมกี จิ กรรมใหน้ กั ศกึ ษาชนั้ ปที ่ี 1 ทกุ คนจดั ทำ� ปฏญิ ญาทจี่ ะพฤตติ น ตามนโยบายมหาวิทยาลัย [20] 1.4 ควรจดั ใหม้ มี าตรการลงโทษทางสงั คมแกน่ กั ศกึ ษาทป่ี ระพฤตไิ มเ่ หมาะสม ทางวิชาการ เพอ่ื ปอ้ งกันการลอกเลยี นพฤติกรรม [16, 29, 37] 2. ผ้สู อน 2.1 สร้างค่านิยมความซ่ือสัตย์ทางวิชาการแก่ผู้เรียน สร้างจิตส�ำนึก ทางจรยิ ธรรมแก่ผเู้ รยี นเพ่ิมขึน้ โดยควรเนน้ ย้ำ� ถงึ พฤติกรรมที่ถกู ตอ้ ง และมีการพูดคยุ แลกเปลี่ยนถึงประเด็นจริยธรรมในช้ันเรียนอย่างสม่�ำเสมอ [16, 29, 35, 37] ในกรณีน้ี Ekahitanond [42] ไดศ้ กึ ษาข้อมูลในประเทศไทยพบว่า ผูเ้ รียนยงั ไม่เข้าใจ ความหมายของค�ำว่า “ความซื่อสัตย์ทางวิชาการ” และไม่สามารถแยกแยะได้ว่า56 Parichart Journal Thaksin University
การเรียนแบบร่วมมือกัน (Collaboration) กับการสมรู้ร่วมคิด (Collusion) ในการแสวงหาความรู้ทางวิชาการ ดังน้ัน ผู้สอนควรให้ความรู้แก่ผู้เรียนถึงความซื่อสัตย์ทางวชิ าการ การอา้ งองิ เมอ่ื ใชผ้ ลงานของผอู้ น่ื และการรว่ มมอื กนั เรยี นในทางทถี่ กู ตอ้ ง ผสู้ อนตอ้ งยกตวั อยา่ งอธิบายเป็นรายกรณี [33, 35, 42] 2.2 ควรเน้นให้ผู้เรียนเห็นความส�ำคัญกับเป้าหมายการศึกษาท่ีเน้นการเพิ่มพนู ความรู้และทักษะทไ่ี ด้รบั มากกวา่ ผลการเรียน (Grad) [16] 2.3 การมอบหมายงานแกผ่ เู้ รยี นนนั้ ผสู้ อนจะตอ้ งมตี วั อยา่ งประกอบเพอ่ือธิบายผู้เรียนในการเตรียมงานเบื้องต้นเป็นรายบุคคล และเมื่อต้องส่งงานฉบับจริงนั้นจะต้องให้ผู้เรียนส่งโครงร่างรายงานก่อนท่ีฉบับจริงแล้วเสร็จ เพื่อได้เห็นถึงวิธีการทำ� งานและกระบวนการคิดของผเู้ รียน [16] นอกจากน้ี ควรมอบหมายงานท่เี หมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มและทรพั ยากรทมี่ อี ยู่ เพอื่ ปอ้ งกนั ไมใ่ หน้ กั ศกึ ษาใชว้ ธิ กี ารทไ่ี มเ่ หมาะสมเช่น การจา้ งผ้อู น่ื ช่วยท�ำงานแทน [33] 2.4 ควรให้ความส�ำคัญกับวิธีการประเมินผลการเรียนท่ีหลากหลายหลกี เลยี่ งการใช้ข้อสอบเพยี งอย่างเดียว เชน่ เพิ่มการสอบด้วยวาจา เปน็ ต้น [20, 37] 2.5 ควรเพิ่มมาตรการการป้องกนั การโกงทางวิชาการที่เขม้ งวดขึน้ และมบี ทลงโทษแกผ่ กู้ ระทำ� ผดิ ทเ่ี ดด็ ขาด [16, 29-30, 33, 37] อยา่ งไรกต็ าม มงี านวจิ ยั ของGhias et al. เสนอแนะวา่ ผสู้ อนและผทู้ ี่เกย่ี วข้องควรให้อภยั ตอ่ นกั ศกึ ษาทก่ี ระทำ� ผิดเป็นครัง้ แรก [30] 2.6 ปลูกฝงั วฒั นธรรมการรบั ฟงั ความคิดเหน็ ในชัน้ เรยี น โดยเปดิ โอกาสใหน้ ักศกึ ษาได้สะทอ้ นขอ้ มลู กลบั ต่อผู้สอน เพื่อผสู้ อนจะได้ขอ้ มลู ทีเ่ ป็นจริง [33] 2.7 การเรยี นการสอนในสาขาบรหิ ารธรุ กจิ และเศรษฐศาสตร์ ควรใหค้ วามสำ� คญั กบั รายวชิ าจรยิ ธรรมทางดา้ นการจดั การ (Ethics in the Management Course)และจริยธรรมทางธุรกิจ (Business Ethics) และการบูรณาการหลักจริยธรรมลงสู่รายวิชาอื่น ๆ รวมทั้งควรออกแบบกิจกรรมเสริมหลักสูตรท่ีเน้นการพัฒนาจริยธรรมและเสรมิ สรา้ งนสิ ยั การยอมรบั จรยิ ธรรมทเี่ หมาะสมในสงั คม อนั จะนำ� ไปสพู่ ฤตกิ รรมที่เหมาะสมทางวิชาการ [34] 3. ผ้ปู กครอง มงี านวจิ ยั เพยี ง 1 เรอื่ งทใ่ี หข้ อ้ เสนอแนะตอ่ ผปู้ กครอง โดย Qualls ไดส้ ะทอ้ นวา่การลงโทษในวยั เดก็ ไมไ่ ดเ้ พม่ิ พนู ศลี ธรรมหรอื จรยิ ธรรมในตวั เดก็ แตค่ วรสรา้ งความสมั พนั ธ์ท่ีดีภายในครอบครัว ซ่ึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ปกครองกับตัวเด็กจะช่วยลดพฤตกิ รรมทีไ่ มเ่ หมาะสมทางวชิ าการในอนาคต [40] วารสารปาริชาต 57 มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ
กรณศี กึ ษา ผู้เขียนบทความได้ท�ำวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการ [43] โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อเจตนาเชิงพฤติกรรมการประพฤติตัวไม่เหมาะสมทางวิชาการ และพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการของนักศกึ ษาในจังหวดั สงขลา โดยใชท้ ฤษฎพี ฤตกิ รรมตามแผน (The Theory ofPlanned Behavior) เป็นกรอบในการวจิ ัย (ภาพที่ 1) เน่อื งด้วยทฤษฎีดังกลา่ วเป็นทฤษฎีทางจิตวิทยาสังคมที่ใช้ท�ำนายพฤติกรรมของบุคคล ซ่ึงพัฒนามาจากทฤษฎีการกระทำ� ดว้ ยเหตผุ ล (Theory of Reasoned Action) สามารถนำ� ไป วเิ คราะหข์ อ้ มลูดว้ ยเทคนคิ โมเดลสมการโครงสรา้ งกำ� ลงั สองนอ้ ยทส่ี ดุ บางสว่ นดว้ ยโปรแกรม SmartPLS 2.0ผลการวิจัยพบว่า เจตคติต่อพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการ (Attitude Towardthe Behavior: AB) การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงเก่ียวกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการ (Subjective Norm: SN) และการรบั รคู้ วามสามารถในการควบคมุ พฤตกิ รรมไม่เหมาะสมทางวชิ าการ (Perceived Behavioral Control: PBC) มีอทิ ธิพลตอ่ เจตนาเชิงพฤตกิ รรมการประพฤตติ ัวไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ (Intention: I) อย่างมนี ยั ส�ำคัญทางสถิติ ขณะเดียวกันเจตนาเชิงพฤติกรรมการประพฤติตัวไม่เหมาะสมทางวิชาการมอี ทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ (Behavior: B) อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ิเชน่ กนั รวมทง้ั การรบั รคู้ วามสามารถในการควบคมุ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ ดังแสดงในภาพที่ 258 Parichart Journal Thaksin University
วิชาการมีอิทธิพลทางตรงต่อพฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ (Behavior: B) อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิตเิ ช่นกัน อีกทั้งตัว แปรการรับรคู้ วามสามารถในการควบคมุ พฤตกิ รรมไม่เหมาะสมทางวิชาการมอี ิทธิพลทางตรงตอ่ พฤติกรรมไมเ่ หมาะสมทาง วชิ าการอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติ ดังแสดงในภาพท่ี 2 เจตคตติ ่อพฤตกิ รรมไม่ เหมาะสมทางวชิ าการ (AB) การคลอ้ ยตามกลมุ่ อา้ งองิ เจตนาเชิงพฤตกิ รรมการ พฤติกรรมไม่เหมาะสม เก่ียวกบั พฤตกิ รรมไม่ ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ทางวชิ าการ เหมาะสมทางวิชาการ (B) (SN) ทางวชิ าการ (I) วารสารปารชิ าต 59 การรับรคู้ วามสามารถใน การควบคุมพฤติกรรมไม่มหาวิทยาลยั ทักษิณ เหมาะสมทางวิชาการ (PBC) ภภาาพพทท่ี ่ี11ททฤษฎพี ฤตกิกรรรรมมตตาามมแแผผนน
60 Parichart Journal 0.00Thaksin University 0.352*** AB 0.00 0.384*** 0.737*** 0.767 0.732 B SN 0.298*** 0.177*** I 0.00 *** แทนระดับนยั สาํ คญั ที่ 0.001 PBC ภาพที่ 2 แสดงผลการภทาพดทส่ีอ2บแปสจดงจผยั ลทกาี่สรง ทผดลสตอบอ ปพัจฤจตัยทิกส่ีร่งรผมลไตมอ่ เพหฤมตากิ ะรรสมมไมท่เาหงมวาชิะสามกทาารงวชิ าการ
จากภาพที่ 2 สามารถอธิบายโดยสรุปได้ว่า เจตคติต่อพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวชิ าการ การคลอ้ ยตามกลมุ่ อา้ งองิ เกยี่ วกบั พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการ และการรบั รคู้ วามสามารถในการควบคมุ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการสามารถอธบิ ายเจตนาเชิงพฤตกิ รรมการประพฤติตวั ไม่เหมาะสมทางวชิ าการได้ ร้อยละ 73.2 ซง่ึ ถือวา่ปัจจัยเหล่านั้นสามารถร่วมกันอธิบายเจตนาหรือความความตงั้ ใจของนกั ศกึ ษาทจ่ี ะแสดงออกถงึ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการไดใ้ นระดบั ปานกลาง ในขณะท่เี จตคติตอ่พฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการ การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงเก่ียวกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวชิ าการ การรบั ร้คู วามสามารถในการควบคมุ พฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวชิ าการ และเจตนาเชงิ พฤตกิ รรมการประพฤตติ วั ไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการรว่ มกนั อธบิ ายความแปรปรวนของพฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการไดร้ อ้ ยละ76.7อนั หมายถงึ ทกุ ตวั แปรของทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนสามารถอธิบายพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการของนกั ศกึ ษาไดใ้ นระดับมาก ท้งั น้ี หากพจิ ารณาปจั จยั แปรจะพบว่า เจตนาเชงิ พฤติกรรมการประพฤตติ วั ไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการมอี ทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการของนกั ศกึ ษาสงู ทส่ี ดุ ดงั นน้ั หากสถาบนั การศกึ ษาจะปอ้ งกนั หรอื แกไ้ ขปญั หาพฤตกิ รรมไม่เหมาะสมทางวิชาการต้องจัดการกับความตั้งใจของนักศึกษาท่ีตั้งใจจะแสดงพฤติกรรมทุจริตทางวชิ าการ งานวจิ ยั ครง้ั นไ้ี ดน้ ำ� ไปใชอ้ ยา่ งเปน็ รปู ธรรมในมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สงขลา [44]มีการปรับปรุงข้อบังคับของมหาวิทยาลัยโดยเพ่ิมบทลงโทษนักศึกษาท่ีทุจริตหรือร่วมทุจริตในการสอบ เพื่อเปลี่ยนความต้ังใจ (Intention) ของนักศึกษาท่ีต้ังใจจะกระท�ำการทจุ รติ ในการสอบ โดยขอ้ บงั คบั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สงขลาวา่ ดว้ ยการจดั การศกึ ษาระดบั ปริญญาตรี พ.ศ.2558 ไดก้ �ำหนดมาตรการลงโทษนกั ศึกษาท่ีท�ำผดิ ในการสอบไว้ในหมวด 5 ขอ้ 16.4 ทรี่ ะบวุ า่ นกั ศกึ ษาทก่ี ระทำ� ผดิ ในการสอบกลางภาคและปลายภาคให้คณะกรรมการที่มหาวิทยาลัยแต่งตั้งพิจารณาโทษนักศึกษาท่ีกระท�ำผิดในการสอบแลว้ รายงานผลการพิจารณาต่อมหาวทิ ยาลยั เพอ่ื ด�ำเนนิ การลงโทษ โดยมีแนวทางการพิจารณาโทษดังน้ี 1) ถา้ เป็นความผดิ ประเภททจุ รติ หรอื ส่อเจตนาทุจรติ ใหล้ งโทษโดยใหป้ รับ Eหรือ F ในรายวชิ าท่กี ระท�ำผิด และ/หรืออาจพจิ ารณาส่ังพักการศกึ ษานักศกึ ษาผนู้ ัน้ ได้ไมเ่ กิน 1 ภาคการศกึ ษา 2) ถ้านกั ศึกษากระท�ำผิดหรอื ร่วมกระทำ� ผิดอน่ื ๆ ทีเ่ กี่ยวกบั การสอบ ให้คณะกรรมการพิจารณาโทษนักศึกษาท่ีกระท�ำผิดระเบียบการสอบเป็นผู้พิจารณาเสนอการลงโทษตอ่ มหาวทิ ยาลยั ตามควรแก่ความผิดนนั้ 3) การใหพ้ กั การศกึ ษาของนกั ศกึ ษาตามคำ� สงั่ ของมหาวทิ ยาลยั ใหเ้ รม่ิ เมอ่ื สน้ิ สดุ วารสารปาริชาต 61 มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ
ภาคการศึกษาท่ีกระท�ำผิดน้ัน ทั้งน้ี ให้นับระยะเวลาท่ีถูกสั่งพักการศึกษาเข้าเป็นระยะเวลาการศึกษาด้วย 4) นักศึกษาที่ถูกส่ังพักการศึกษาจะต้องช�ำระค่าธรรมเนียมการรักษาสภาพนักศกึ ษาทุกภาคการศึกษาทพี่ กั การศกึ ษา จากการตดิ ตามผลการทจุ รติ ในการสอบของนกั ศกึ ษาในมหาวทิ ยาลยั ราชภฏัสงขลา ภาคการศกึ ษาท่ี 1/2558 พบว่ามีจำ� นวนลดลงกวา่ ปกี ารศกึ ษาที่ผ่านมา ซง่ึ จากการพูดคุยกับนักศึกษาอย่างไม่เป็นทางการบางส่วนมีความเห็นว่าการที่มหาวิทยาลัยมมี าตรการลงโทษท่ีชัดเจนและรุนแรงข้นึ ท�ำให้นกั ศึกษาตอ้ งระมดั ระวัง และเครง่ ครัดในวนิ ยั มากขน้ึ ทงั้ การไมท่ ำ� ผดิ เองและไมส่ ง่ เสรมิ หรอื มสี ว่ นรว่ มในการทำ� ผดิ ในการสอบสรปุ และเสนอแนะ การทจุ รติ ทางวชิ าการหรอื การแสดงออกซง่ึ พฤตกิ รรมทไี่ มเ่ หมาะสมทางวชิ าการของผู้เรียนมีด้วยกันหลายรูปแบบ และพบสาเหตุที่ส่งผลให้ผู้เรียนแสดงออกถึงพฤติกรรมเหล่าน้ันทั้งเกิดจากข้อจ�ำกัดของตัวผู้เรียน และสภาพแวดลอ้ มทเี่ ออ้ื อำ� นวยอยา่ งไรกต็ าม พฤตกิ รรมดงั กลา่ วสามารถปอ้ งกนั และแกไ้ ขได้ ดงั นน้ั ผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การจัดการศึกษาท้ังผู้บริหารและผู้สอนสามารถน�ำข้อค้นพบนี้ไปใช้ประกอบการออกแบบกระบวนการเรยี นรู้วธิ กี ารจดั การเรยี นการสอน การประเมนิ ผล และกจิ กรรมเสรมิ หลกั สตู รทเ่ี นน้ เสรมิ สรา้ งความซอ่ื สตั ยท์ างวชิ าการแกผ่ เู้ รยี น ขณะเดยี วกนั ผู้ปกครองก็สามารถน�ำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประกอบการให้ค�ำแนะน�ำต่อบุตรหลานในวัยเรียน รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างกัน เพื่อช่วยปลูกฝังค่านิยมและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องในทางวิชาการให้แก่เด็กและเยาวชนเหล่าน้ี รวมทั้งส่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นมคี วามตงั้ ใจและแสดงออกซงึ่ พฤติกรรมทางวชิ าการที่เหมาะสม ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาครงั้ นย้ี งั เปน็ ประโยชนต์ อ่ นกั วชิ าการและนกั วจิ ยั ทสี่ นใจศกึ ษาพฤตกิ รรมทไี่ มเ่ หมาะสมทางวชิ าการ โดยนำ� ขอ้ คน้ พบทไี่ ดไ้ ปใชป้ ระกอบการสรา้ งองคค์ วามรใู้ หมด่ ว้ ยกระบวนการวจิ ยั เพอื่ อธบิ ายปรากฏการณข์ า้ งตน้ เนอื่ งจากปจั จบุ นังานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั พฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการในประเทศไทยมคี อ่ นขา้ งนอ้ ยทงั้ น้ี ควรมกี ารออกแบบการวจิ ยั ดว้ ยวธิ กี ารทห่ี ลากหลาย ทง้ั การวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ กี ารทงั้ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพและการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณซง่ึ จะชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจถงึ การแสดงพฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการไดห้ ลายมติ ยิ ง่ิ ขนึ้ รวมทงั้ ออกแบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองเพอื่ คน้ หารูปแบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางวิชาการของผู้เรียนที่มี62 Parichart Journal Thaksin University
ประสิทธิภาพสูงสุด อันจะน�ำไปสู่การก�ำหนดแนวปฏิบัติท่ีดีของสถานศึกษาในการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาดงั กลา่ ว อยา่ งไรกต็ าม การศกึ ษาครง้ั นยี้ งั มขี อ้ จำ� กดั คอื ผลงานท่ีใช้ประกอบการศึกษาส่วนใหญ่เป็นของต่างประเทศ ซึ่งมีบริบทแตกต่างจากประเทศไทย จงึ อาจมกี ารใหค้ วามหมายหรอื ใหค้ ณุ คา่ แตกตา่ งจากคา่ นยิ มของสงั คมไทยดังนั้น ผู้ท่สี นใจศึกษาพฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสมทางวชิ าการควรมกี ารทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั พฤตกิ รรมการเรยี นของผเู้ รยี นในประเทศไทย รวมถงึ กระบวนการจดั การเรยี นการสอน การวดั และประเมินผลการศึกษาในสถานศกึ ษาเพิ่มเตมิ เพอ่ื ใหไ้ ดก้ รอบการวิจัยที่สอดคล้องกบั บรบิ ทของสังคมไทยเอกสารอา้ งองิ[1] Farnese, M.L., Tramontano, C., Fida, R. and Paciello, M. (2011). “Cheating behaviors in academic context: does academic moral disengagement matter?”, Procedia-Social and Behavioral Sciences. 29, 356–365.[2]Jensen, L.A., Arnett, J.J., Feldman, S.S. and Cauffman, E. (2002). “It’s wrong, but everybody does it: academic dishonesty among high school and college students”, Contemporary Educational Psychology. 27, 209–228. DOI:10.1006/ceps.2001.1088.[3] Bouville, M. (2010). “Why is cheating wrong?”, Studies in Philosophy and Education. 29, 67-76.[4] Passow, H. J., Mayhew, M. J., Finelli, C. J., Harding, T. S. and Carpenter, D. D. (2006). “Factors influencing engineering students’ decision to cheat by type of assessment”, Research in Higher Education. 47, 643-684.[5] Elias R. (2009). “The impact of anti-intellectualism attitudes and academic self-efficacy in business students’ perception of cheating”, Journal of Business Ethics. 86, 199-209.[6] Lawson, R.A. (2004). “Is classroom cheating related to business students’ propensity to cheat in the real world?”, Journal of the American Academy of Business. 8, 142-146. วารสารปาริชาต 63 มหาวทิ ยาลัยทักษิณ
[7] สวนดสุ ติ โพลล.์ (2555). เดก็ ปจั จยั สำ� คญั ในการแกไ้ ขปญั หาทจุ รติ ทย่ี ง่ั ยนื . สบื คน้ เมื่อ 12 มกราคม 2557, จาก http://suandusitpoll.dusit.ac.th/UPLOAD_ FILES/POLL/2555/25551326623021.pdf. [8] เอแบคโพลล.์ (2555). ประเมนิ คณุ ธรรมจรยิ ธรรมของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั และขา้ ราชการ ไทยในสายตาเดก็ และ เยาวชน กรณีศึกษาตัวอยา่ งเดก็ และเยาวชนทม่ี อี ายุ 12 – 24 ปี ทพ่ี กั อาศยั ในเขตกรงุ เทพมหานคร. สบื คน้ เมอื่ 24 มกราคม 2557, จาก http://www.posttoday.com/social/general/179545. [9] กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2558). รายงานผลการดำ� เนนิ งานของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ตามนโยบายของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (วันที่ 12 กันยายน 2557-30 กนั ยายน 2558). สบื คน้ เมือ่ 14 มกราคม 2559, จาก http://www. moe.go.th/moe/upload/news20/FileUpload/44096-4673.pdf. [10] University of California. (2015). Definitions & Examples of Academic Misconduct. Retrieved June 30, 2015, from http://sa.berkeley.edu/ conduct/integrity/definition. [11] Indiana University. (2015). Code of Student Rights, Responsibilities, and Conduct. Retrieved May 20, 2015, from http://www.indiana. edu/~code/code/responsibilities/academic/index.shtml. [12] The University of Edinburgh. (2015). Academic Misconduct. Retrieved from http://www.ed.ac.uk/ schools-departments/academic-services/ students/undergraduate/discipline/academic-misconduct. [13] University of Toronto. (2015). What is Academic Misconduct?. Retrieved February 1, 2015, from http://www.artsci.utoronto.ca/osai/The-rules. [14] Cornell University. (2015). Academic Misconduct. Retrieved February 12, 2015 from http://www.dfa.cornell. edu/dfa/treasurer/policyoffice/ policies/volumes/academic/misconduct.cfm. [15] McClung, E.M. and Schneider, J.K. (2015). “A concept synthesis of academically dishonest behaviors”, Journal of Academic Ethics. 13(1), 1-11. [16] Razek, N. A. (2014). “Academic integrity: a Saudi student perspective”, Academy of Educational Leadership Journal. 18(1), 143-154.64 Parichart Journal Thaksin University
[17] Agud, J.L. (2014). “Fraud and plagiarisim in school and career”, Rev Clin Esp. 214(7), 410-414.[18] Ajzen, I. (2014). “The theory of planned behaviour is alive and well, and not ready to retire: a commentary on Sniehotta, Presseau, and Araújo-Soares”, Health Psychology Review. Retrieved April 1, 2015, from http://dx.doi.org/10.1080/17437199.2014.883474.[19] Walker, N. and Holtfreter, K. (2015). “Applying criminological theory to academic fraud”, Journal of Financial Crime. 22(1), 48–62.[20] Craig, R. and Dalton, D. (2014). “Developing a platform for a culture of honest inquiry and the academic construction of knowledge in first-year students”, International Journal for Educational Integrity. 10(1), 56-69.[21] Smith, J. N., Nolan, R. F. and Dai, Y. (1998). “Faculty perception of student academic honesty”, College Student Journal. 32, 305-310.[22] Wowra, S. A. (2007). “Moral identities, social anxiety, and academic dishonesty among American college students”, Ethics and Behavior, 17(3), 303–321.[23] Blum, S. D. (2009). My Word! Plagiarism and College Culture. Ithaca and London: Cornell University Press.[24] Rabi, S. M., Patton, L. R., Fjortoft, N. and Zgarrick, D. P. (2006). “Characteristics, prevalence, attitudes, and perceptions of academic dishonesty among pharmacy students”, American Journal of Pharmaceutical Education. 70(4), 1-8.[25] McCabe, D.L., Trevino, L.K. and Butterfield, K.D. (2004). “Academic integrity: how widespread are cheating and plagiarism?”, In D.R. Karp & T. Allena (Eds.), Restorative Justice on the College Campus: Promoting Student Growth, and Responsibility, and Reawakening the Spirit of Campus Community, Charles C. Thomas, Springfield, IL, 130-141. วารสารปาริชาต 65 มหาวทิ ยาลัยทักษิณ
[26] Hard, S. F., Conway, J. M. and Moran, A. C. (2006). “Faculty and college student beliefs about the frequency of student academic misconduct”, Journal of Higher Education. 77(6), 1058-1080. [27] สุพศิ รุ่งเรอื งศรี และอุดมรัตน์ สงวนศริ ิธรรม. (2558). “พฤตกิ รรมที่ไมเ่ หมาะสม เชงิ วชิ าการของนกั ศกึ ษา พยาบาลทอ่ี าจารยค์ วรใหค้ วามสนใจ”, พยาบาลสาร. 42(2), 157-163. [28] Henning, M.A., Malpas, P., Manalo, E., Ram, S., Vijayakumar, V. and Hawken , S.J. (2015). “Ethical learning experiences and engagement in academic dishonesty: a study of Asian and European pharmacy and medical students in New Zealand”, The Asia-Pacific Education Researcher. 24(1), 201-209. [29] Ballantine, J.A., Larres, P. M. and Mulgrew, M. (2014). “Determinants of academic cheating behavior: the future for accountancy in Ireland”, Accounting Forum. 38(1), 55-66. [30] Ghias, K., Lakho, G.R., Asim, H., Azam, I.S. and Saeed, S.A. (2014). “Self-reported attitudes and behaviours of medical students in Pakistan regarding academic misconduct: a cross-sectional study”, BMC Medical Ethics. 15(43), 1-14. [31] Stone, T.H., Kisamore, J.L., Jawahar, I.M. and Bolin, J.H. (2014). “Making our measures match perceptions: do severity and type matter when assessing academic misconduct offenses?”, Journal of Academic Ethics. 12, 251-270. [32] Wei, T., Chesnut, S.R., Barnard-Brak, L. and Schmidt, M. (2014). “University students’ perceptions of academic cheating: triangulating quantitative and qualitative findings”, Journal of Academic Ethics. 12(4), 287-298. [33] Park, E., Park, S. and Jang, I. (2014). “Clinical misconduct among South Korean nursing students”, Nurse Education Today. 34(12), 1467-1473. [34] Freire, C. (2014). “Academic misconduct among Portuguese economics and business undergraduate students: a comparative analysis with other major students”, Journal of Academic Ethics. 12(1), 43-63.66 Parichart Journal Thaksin University
[35] Yukhymenko-Lescroart, M.A. (2014). “Ethical beliefs toward academic dishonesty: a cross-cultural comparison of undergraduate students in Ukraine and the United States”, Journal of Academic Ethics. 12(1), 29-41.[36] Busch, P., & Bilgin, A. (2014). “Student and staff understanding and reaction: academic integrity in an Australian university”, Journal of Academic Ethics. 12(3), 227-243.[37] Hsiao, C. (2015). “Impact of ethical and affective variables on cheating: comparison of undergraduate students with and without jobs”, Higher Education. 69(1), 55-77.[38] Alt, D. (2015). “Assessing the connection between self-efficacy for learning and justifying academic cheating in higher education learning environments”, Journal of Academic Ethics. 13(1), 77-90.[39] Giluk, T. L. and Postlethwaite, B.E. (2015). “Big five personality and academic dishonesty: a meta-analytic review”, Personality and Individual Differences. 72, 59-67.[40] Qualls, R. C. (2014). “The relationship between disciplinary practices in childhood and academic dishonesty in college students”, College Student Journal. 48(3), 362-374.[41] Chiao-ling, H., Shu Ching, Y. and An-sing, C. (2015). “The relationships among students’ achievement goals, willingness to report academic dishonesty, and engaging in academic dishonesty”, Social Behavior & Personality: An International Journal. 43(1), 27-37.[42] Ekahitanond, V. (2014). “Students’ perception and behavior of academic integrity: a case study of a writing forum activity”, Turkish Online Journal of Distance Education (TOJDE). 15(4), 150-161.[43] Tongsamsi, I. and Tongsamsi, K. (2016). “Causal relation of academic misconduct behavior of students in Thai education institutions”, Journal of Psychological and Educational Research. 24(1), 26-41.[44] Songkhla Rajabhat University. (2015). Undergraduate’s Code of Conduct 2015. Retrieved January 12, 2016, from http://regis.skru. ac.th/RegisWeb/webpage/kor/1.5.pdf. วารสารปาริชาต 67 มหาวิทยาลยั ทักษณิ
รายนามผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ (Reader)ต้นฉบับบทความวิจัย บทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารปาริชาต ปีท่ี 31ฉบับท่ี 1 (เดือนมกราคม – มิถุนายน 2561) ได้รับการตรวจแก้ไขจากผู้ทรงคุณวุฒิดงั รายนามต่อไปน้ี1. ศ.ดร.สุวไิ ล เปรมศรีรัตน์ สถาบนั วจิ ัยภาษาและวฒั นธรรมเอเชีย มหาวิทยาลยั มหิดล2. รศ.ดร.จนิ ตนา อมรสงวนสิน คณะพฒั นาสงั คมและสิ่งแวดลอ้ ม สถาบนั บัณฑิตพัฒนบรหิ ารศาสตร์3. รศ.ดร.จุฑารัตน์ เอือ้ อำ�นวย คณะรฐั ศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั4. รศ.ดร.ฉฐั วณี ์ สิทธ์ศิ ริ อรรถ คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ5. รศ.ดร.ชูศักดิ์ เอกเพชร สาขาวชิ าการบริหารการศกึ ษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี6. รศ.ดร.ธัญมณัสธนัญญ์ พาณิภัค คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์7. รศ.ดร.ปรชั ญนันท์ นลิ สขุ คณะครุศาสตรอ์ ุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนอื8. รศ.ดร.ภัทรกิตติ์ เนตินยิ ม คณะบริหารธุรกจิ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์9. รศ.ดร.โยธนิ แสวงดี คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์10. รศ.ดร.วรรณี แกมเกตุ คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย11. รศ.ดร.วนั เดชพิชยั สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลยั หาดใหญ่12. รศ.ดร.ศรสี มบตั ิ โชคประจกั ษช์ ดั คณะสงั คมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล13. รศ.ดร.ศิรเิ ดช สุชวี ะ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย14. รศ.ดร.เศกสรรค์ ยงวณิชย ์ คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น314 Parichart Journal Thaksin University
15. รศ.ดร.สมเกยี รติ เอย่ี มกาญจนาลยั คณะพาณชิ ยศาสตรแ์ ละการบัญชี จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั16. รศ.ดร.สำ�ลี ทองธิว คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย17. รศ.ดร.สทุ ธริ ตั น์ รจุ เิ กยี รตกิ ำ�จร คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ (เกษยี ณอายุแลว้ ) มหาวิทยาลัยขอนแกน่18. รศ.ดร.อรญั ญา ตุย้ คำ�ภรี ์ คณะจิตวิทยา จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย19. รศ.กัญจนา ดำ�โสภ ี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ เจ้าคณุ ทหารลาดกระบงั20. รศ.ช่นื จิตต์ แจง้ เจนกจิ คณะบรหิ ารธรุ กจิ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์21. รศ.ทรงพร ทาเจริญศกั ด ์ิ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีสรุ นารี22. รศ.ปติ ิกุล จรี ะมงคลพาณิชย ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์23. รศ.พรชัย ลชิ ติ ธรรมโรจน์ คณะวทิ ยาการจัดการ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์24. รศ.สิรกิ ร กาญจนสุนทร คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์25. รศ.อำ�นาจ ธรี ะวนชิ คณะบริหารธรุ กจิ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์26. ผศ.ดร.นรีรัตน์ เตชพริ ุณทอง วทิ ยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล27. ผศ.ดร.บษุ บง ชัยเจริญวัฒนะ คณะวิทยาการจดั การ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์28. ผศ.ดร.เยาวลักษณ์ สุวรรณแข คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ29. ผศ.เกียรตพิ ร อำ�ไพ คณะนิตศิ าสตร์ สถาบันบณั ฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตร์30. ผศ.วุฒกิ ร คงคา คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร์ สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ เจ้าคุณทหารลาดกระบัง วารสารปารชิ าต 315 มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ
ข้อมลู ท่วั ไปของวารสารปารชิ าต ลักษณะของวารสาร วารสารปาริชาต เป็นวารสารเผยแพร่ ผลงานวิจัย/ ผลงานวิชาการ และ ผลงานวิชาการรับใช้สังคมทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ศลิ ปกรรมศาสตร์ และนติ ศิ าสตร์ ของบคุ ลากร นกั วจิ ยั ในมหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ และหน่วยงานตา่ ง ๆ ขอ้ แนะน�ำท่ัวไป 1. เรอ่ื งทรี่ บั พมิ พใ์ นวารสารวจิ ยั นต้ี อ้ งไมเ่ คยเผยแพรใ่ นวารสาร รายงานหรอื สง่ิ พมิ พ์ อนื่ ใดมากอ่ น 2. ผสู้ ง่ บทความเพอ่ื ตพี มิ พใ์ นวารสารนจ้ี ะตอ้ งเปน็ สมาชกิ วารสารมหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ เทา่ นน้ั ยกเว้นบทความพเิ ศษทีก่ องบรรณาธกิ ารพจิ ารณาใหไ้ ด้รบั การยกเว้น 3. ตน้ ฉบบั จะเขยี นเปน็ ภาษาไทยหรอื ภาษาองั กฤษกไ็ ด้ ตอ้ งมบี ทคดั ยอ่ ทงั้ ภาษา ไทยและภาษาอังกฤษ 4. เนื้อหา บทความ หรือข้อคิดเห็นท่ีพิมพ์ในวารสารเป็นความคิดเห็นของ ผเู้ ขยี นเท่านนั้ กองบรรณาธิการ ไม่จำ� เปน็ ต้องเห็นด้วย 5. ตน้ ฉบบั จะต้องได้รับการกลั่นกรองจากผทู้ รงคุณวุฒิกอ่ นการตีพิมพ์ ประเภทของผลงานทีจ่ ะรบั ตีพมิ พ์ 1. บทความวิจัย (Research Articles) 2. บทความวชิ าการ (Articles) 3. บทความรบั ใช้สังคม (Socially-Engaged Articles) 4. บทความวจิ ารณ์หนังสือ (Book Review) 5. บทความปรทิ ัศน์ (Review Article) รปู แบบการเตรยี มต้นฉบบั 1. ต้นฉบบั ต้องพิมพบ์ นกระดาษขาว ขนาด A4 พิมพ์หน้าเดยี ว ใสเ่ ลขหนา้ กำ� กบั หน้าทุกหนา้ โดยใช้แบบอกั ษร TH Sarabun PSK ขนาดตัวอักษร 14 ถ้ามี ภาพประกอบ ควรเปน็ ภาพถา่ ย ขาว-ดำ� ทชี่ ดั เจน นอกจากจำ� เปน็ จงึ ควรใชภ้ าพสี และถา้ มภี าพวาดลายเสน้ ใหว้ าดบนกระดาษขาว โดยใชห้ มกึ ดำ� ใหส้ ะอาดและ ลายเสน้ คมชดั ความยาวของเนอื้ หา รวมภาพ ตาราง ไมค่ วรเกนิ 15 หน้า316 Parichart Journal Thaksin University
Search
Read the Text Version
- 1 - 31
Pages: