ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 หนว่ ยพื้นฐานของส่ิงมชี ีวติ จดั ทาโดย นางสาวเอมมกิ า เชนชีวะชาติ
คานา หนังสือเล่มนจ้ี ดั ทาขน้ึ เพอื่ เป็นสว่ นหนงึ่ ของวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 เพือ่ ใหไ้ ด้ศกึ ษาหาความร้เู พ่ิมเติมและเพ่อื ใช้เป็น ประโยชน์ในการเรยี นรู้ ผจู้ ดั ทาหวงั วา่ หนงั สอื เลม่ น้ีจะมีประโยชน์กบั ผู้อ่านไมม่ ากกน็ อ้ ย หากมีขอ้ ผดิ พลาดประการใดก็ขออภยั มา ณ ทีน่ ่ดี ้วย ผู้จดั ทา นางสาวเอมมกิ า เชนชีวะชาติ
สารบญั หวั ขอ้ หน้า หน่วยพนื้ ฐานของสิ่งมีชีวติ 4–7 8 – 11 - หนว่ ยพื้นฐานของส่ิงมีชวี ิต 12 – 14 - ลักษณะโครงสรา้ งและหน้าที่ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ - การลาเลียงในพชื การแพรแ่ ละการออสโมซิส 15 - การตอบสนองต่อสิ่งเรา้ ของพืช 16 – 17 - การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง 18 – 20 - เทคโนโลยชี วี ภาพเพื่อเพ่มิ ผลผลติ ของพืชในทอ้ งถิ่น บรรณานุกรม
4 เนื้อหา หนว่ ยพน้ื ฐานของสง่ิ มีชวี ิต โครงสร้างและหนา้ ที่ของเซลล์ พืช สัตว์ มนษุ ย์ จะมโี ครงสรา้ งพ้ืนฐานเล็ก ๆ เพอ่ื จะกอ่ ให้เกดิ ลักษณะของสิง่ มีชวี ิตแตล่ ะชนดิ โดยโครงสร้างเล็กๆนนั้ จะมารวมกันมกี จิ กรรม ตา่ งๆร่วมกนั จนกอ่ ให้เกดิ ลกั ษณะของส่ิงมชี วี ติ ตา่ งๆโครงสรา้ งที่กล่าวถงึ น้ี จัดวา่ มีขนาดเลก็ ทส่ี ุด ซ่งึ เราเรียกวา่ เซลล์ (cell) เซลลเ์ ป็นหนว่ ยที่เลก็ ที่สุดของ สง่ิ มีชวี ติ เซลลข์ องส่ิงมชี ีวติ ทกุ ชนิดมรี ูปรา่ งลกั ษณะขอบเขต และโครงสร้าง ของเซลล์ซ่งึ โครงสร้างบางส่วนจะสามารถระบไุ ดว้ ่าเซลลน์ ้ันเป็นลักษณะของ ส่ิงมชี ีวติ ชนิดใด
สว่ นประกอบของเซลล์ 5 ลักษณะโครงสรา้ งและหน้าท่ีของเซลล์พชื 1. ผนังเซลล์ (cell wall) ผนังเซลลพ์ บในเซลล์พืชเทา่ น้นั ทาหนา้ ทใ่ี ห้ ความแข็งแรงและทาใหเ้ ซลลค์ งรปู อยไู่ ด้ ประกอบด้วยเซลลโู ลสเป็นส่วน ใหญ่ 2. เยอื่ หุ้มเซลล์ (Cell membrane ) มีลักษณะเป็นเยือ่ บางๆประกอบดว้ ยโปรตีนและไขมนั ทาหน้าทค่ี วบคุมเซลลใ์ ห้คงรูปอยไู่ ดแ้ ละทาหนา้ ทีค่ วบคุมการผา่ น เขา้ ออกของสารบางอย่าง เช่น นา้ อากาศ และสารละลายต่างๆ 3. ไซโทรพลาสซึม ( Cytoplasm) มีลักษณะเปน็ ของเหลวทมี่ ีสิง่ ตา่ งๆปนอยู่ เช่น ส่วนประกอบอ่ืนๆ เซลล์ อาหารซึ่งไดแ้ ก่ นา้ ตาล ไขมนั โปรตีน และของเสยี 4. นวิ เคลยี ส ( Nucleus ) มีสว่ นประกอบสาคัญ 2 ส่วน คือ - นิวคลโี อลสั ( Nucleolus ) ประกอบไปด้วยสาร พันธกุ รรม DNA และ RNA มกี ารสร้างโปรตนี ใหแ้ กเ่ ซลลแ์ ละสง่ ออกไป ใช้นอกเซลล์ - โครมาติน (Chromatin) คอื ร่างแหของโครโมโซม โครโมโซม ประกอบดว้ ย DNA หรอื ยีน ( Gene) โปรตนี หลายชนิดทาหนา้ ที่ควบคมุ การ สรา้ งโปรตนี DNA เป็นตวั ควบคมุ การแสดงออกของลักษณะตา่ งๆ ใน สง่ิ มีชวี ิต โดยการควบคุมโครงสรา้ งของโปรตนี ให้ได้ คณุ ภาพและปริมาณ โปรตีนท่ีเหมาะสม
6 5. คลอโรพลาสต์ (chloroplast) พบเฉพาะในเซลล์ทีม่ สี ีเขียวของพชื เซลล์ของโพรทสิ ต์บางชนดิ เชน่ สาหรา่ ย คลอโรพลาสต์ประกอบดว้ ยเยื่อหมุ้ 2 ชนั้ ชั้นนอกทาหนา้ ที่ ควบคุมชนิดและปริมาณของสารทผี่ า่ นเข้าและออกจากคลอโรพลาสต์ สว่ นชน้ั ในจะมลี ักษณะยนื่ เขา้ ไปภายในและมีการเรยี งกันเปน็ ชั้นๆ ภายในเยอ่ื หมุ้ ชน้ั ในจะมโี มเลกุลของสารสีเขียว เรยี กว่า คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) และมีเอนไซม์ทเี่ กยี่ วข้องกับการสร้างอาหาร 6. แวควิ โอล ( vacuole ) มีขนาดใหญ่มากในเซลล์พชื เปน็ ออรแ์ กเนลล์ท่มี เี ยือ่ หมุ้ ชัน้ เดียว มีลักษณะเปน็ ถงุ หอ่ หุม้ ภายในมสี ารตา่ งๆ บรรจุอยู่ โดยทัว่ ไปจะพบในเซลล์ พืช และสัตว์ช้นั ตา่ ทาหนา้ ทีเ่ ก็บสะสมสารทีเ่ ปน็ อนั ตราย แวควิ โอลจะรวมกนั มขี นาดใหญม่ ากประมาณ 95 % หรอื มากกว่าน้ีโดยปรมิ าตรของแตล่ ะเซลล์ 7. กอลจิคอมเพลกซ์ ( golgi complex, golgi bodies, golgi apparatus) เปน็ โครงสรา้ งทีป่ ระกอบด้วยถุง( vacuole) หุม้ ดว้ ยเยอ่ื บางๆ หลาย ๆ ถงุ เรียงกนั ภายในถงุ จะมสี ารท่เี ซลลจ์ ะขนสง่ ออกนอกเซลล์ ทาหน้าทใ่ี นขบวนการขับถ่าย ( secretion ) เกยี่ วข้องกบั การสงั เคราะห์ ไลโซโซมและเซลเพลทของพชื
7 8. เอนโดพลาสมกิ เรติคลู ัม ( endoplasmic reticulum : ER) เป็นออร์แกเนล ทม่ี ผี นงั บาง 2 ชั้น มีความหนานอ้ ยกวา่ เยอ่ื หมุ้ เซลล์ มีลกั ษณะเปน็ ท่อขดพบั ไปมาเปน็ ออร์แกเนลล์ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั การ สงั เคราะห์โปรตนี ( sterols) และ phospholipids เปน็ สารทจี่ าเปน็ ของ ทุกๆเยอ่ื หมุ้ เอนโดพลาสมกิ เรทคิ ิวลัม และยังทาหน้าทข่ี ับถ่ายเอนไซม์ และ โปรตนี โมเลกลุ เรียกว่า การหลง่ั สาร หรอื กระบวนการขับสาร ออกนอก เซลล์ ( secetion) ประกอบดว้ ย โครงสรา้ งระบบทอ่ ท่มี กี ารเชอื่ มประสาน กนั ทัง้ เซลลส์ ่วนของท่อยงั ติดตอ่ กับเยื่อหุม้ เซลล์ เยอ่ื หุม้ นิวเคลียส และกอลจิ บอดีด้วย ภายในทอ่ มีของเหลวซึง่ เรยี กว่า ไฮยาโลพลาซมึ (hyaloplasm) บรรจุอยู่ และพบในยูคารีโอตเทา่ นน้ั
8 ลกั ษณะโครงสร้างและหน้าท่ขี องเซลล์สตั ว์ 1. เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) มีลักษณะเปน็ เยอ่ื บางๆ อยูล่ ้อมรอบเซลล์ ประกอบด้วย สารประเภทโปรตนี และไขมัน มหี นา้ ทชี่ ่วยให้เซลล์คงรปู และควบคมุ การแลกเปล่ียนสารระหวา่ งภายในและภายนอกเซลล์ เยอ่ื หมุ้ เซลลพ์ บ ไดท้ งั้ ในเซลล์พืชและเซลลส์ ตั ว์เป็นสว่ นทมี่ ชี ีวติ มคี วามยืดหย่นุ สามารถ ยดื หดไดม้ ีลกั ษณะเป็นเยื่อบางๆ มรี พู รุนสาหรบั ใหส้ ารละลายผา่ นเขา้ ออก 2. ไลโซโซม ( lysosome) พบเฉพาะในเซลลส์ ตั วเ์ ทา่ นัน้ คลา้ ยถงุ ลม รูปรา่ งกลมรี เส้นผา่ นศนู ย์กลาง ประมาณ 0.15-0.8 ไมครอน มหี น้าทีส่ าคญั คือ • ย่อยสลายอนภุ าค และโมเลกลุ ของสารอาหาร ภายในเซลล์ • ยอ่ ย หรอื ทาลายเชื้อโรค และสิง่ แปลกปลอมตา่ งๆ ทเ่ี ข้าสรู่ ่างกาย หรอื เซลล์ เช่น เซลล์เมด็ เลือดขาวกนิ • ทาลายเซลล์ที่ตายแลว้ • ย่อยสลายโครงสรา้ งตา่ งๆ ของเซลล์ในระยะที่เซลล์มีการ เปลี่ยนแปลง และมีเมตามอร์โฟซสี 3.Peroxisome ( microbodies) เปน็ ออรแ์ กเนลลข์ นาดเลก็ ทีม่ ีเยอื่ หมุ้ ชน้ั เดยี ว รปู รา่ งคลา้ ย ไลโซโซม แตส่ ามารถแบ่งตัวไดเ้ อง คลา้ ยกับไมโทคอนเดรยี
4.โครมาทิน ( Chromatin) 9 เป็นสว่ นของนวิ เคลยี ส ทย่ี ้อมติดสี เป็นเส้นในเล็กๆ พันกนั เป็นรา่ งแห เรยี กรา่ งแหโครมาทิน โดยประกอบดว้ ยโปรตีนรวมกบั กรด ดอี อกซีไรโบนิคลอี ิคหรือเรยี กว่า DNA เปน็ สารพันธกุ รรม ทค่ี วบคุม ลักษณะของสง่ิ มชี วี ติ เสน้ ใยโครมาตนิ มคี ณุ สมบัติตดิ สไี ด้ดี ทาให้เห็น นวิ เคลียสไดช้ ดั เจน 5.เซนทริโอล (centriole) เป็นสว่ นทีอ่ ย่ใู กลน้ วิ เคลียส พบในเซลลส์ ัตวแ์ ละโพรทสิ ต์ บางชนิด มขี นาดเลก็ ใส มรี ศั มีแผ่ออกมาโดยรอบมีรปู รา่ งคล้ายท่อ ทรงกระบอก หน้าทีข่ องเซนทรโิ อล คอื ชว่ ยในการเคลือ่ นท่ขี อง โครโมโซมในขณะทม่ี ีการแบง่ เซลล์ชว่ ยในการเคลื่อนทขี่ องเซลลบ์ างชนดิ 6.แวคิวโอล ( vacuole ) มีขนาดเลก็ กว่าในเซลลพ์ ชื เปน็ ออรแ์ กเนลล์ทมี่ เี ยอ่ื หมุ้ ช้นั เดียว มลี กั ษณะเปน็ ถุง มเี มมเบรน ซงึ่ เรียกว่า โทโนพลาสต์ ( tonoplast) ห่อหุ้ม ภายในมีสารตา่ งๆ บรรจอุ ยู่ โดยทว่ั ไป 7.เอนโดพลาสมิก เรตคิ ูลมั ( endoplasmic reticulum : ER) เป็นออรแ์ กเนล ทม่ี ีผนงั บาง 2 ช้นั มีความหนานอ้ ยกว่า เย่ือห้มุ เซลล์ มีลกั ษณะ เป็นท่อขดพบั ไปมา เปน็ ออรแ์ กเนล ท่ีเกีย่ วขอ้ ง กบั การสังเคราะห์โปรตีน ซ่งึ นอกจากจะเปน็ ที่ใหไ้ รโบโซมเกาะอยแู่ ลว้ ยังทาหน้าทสี่ งั เคราะหส์ าร ( sterols) และ phospholipids)
10 8.นวิ เคลยี ส (nucleus) อยู่ในไซโทพลาซมึ เป็นส่วนประกอบที่สาคญั ทส่ี ุดของเซลล์ นวิ เคลียสทาหน้าทค่ี วบคมุ เมแทบอลิซึมของเซลล์ ควบคุมการสังเคราะห์ โปรตีนและเอนไซม์ ควบคุมการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมจาก พ่อแมไ่ ปสรู่ นุ่ ลกู หลาน ควบคมุ กจิ กรรมตา่ งๆ ภายในเซลล์ ควบคมุ การ เจริญเตบิ โต และควบคมุ ลกั ษณะตา่ งๆ ของสง่ิ มีชีวติ
11 ความแตกตา่ งระหวา่ งเซลลพ์ ืชและเซลลส์ ตั ว์ เซลลพ์ ชื เซลลส์ ตั ว์ เซลลพ์ ชื มรี ูปรา่ งเปน็ เหลี่ยม เซลล์สตั วม์ ีรูปรา่ งกลม หรือรี มีผนังเซลล์ ไมม่ ีมผี นงั เซลล์ มีคลอโรพลาสต์ภายในเซลล์ ไมม่ ีมีคลอโรพลาสต์ภายในเซลล์ ไม่มเี ซนทรโิ อล มเี ซนทรโิ อลใชใ้ นการแบ่งเซลล์
12 การลาเลยี งในพชื การแพรแ่ ละการออสโมซสิ การลาเลียงในพืช การลาเลียงสารของพชื คือ โครงสร้างและการทางานของระบบ ลาเลยี งนา้ และอาหารของพชื ซง่ึ ประกอบดว้ ยระบบทอ่ ลาเลียง (Vascular Tissue System) ท่ีเป็นเนอ้ื เย่ือซึง่ เชือ่ มตอ่ กนั ตลอดในลาต้น โดยทาหน้าที่ ลาเลียงนา้ และแรธ่ าตจุ ากรากสง่ ตอ่ ไปยงั สว่ นตา่ ง ๆ ของพืช เพ่ือนาไปใช้ใน กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง (Photo Synthesis) กอ่ นจะนาสารหรอื นา้ ตาลซ่ึงเป็นผลผลติ จากกระบวนการดังกล่าว ส่งต่อไปยังเนื้อเยือ่ ในสว่ น ต่างๆ ของพืช เพอื่ นาไปใช้ในกจิ กรรมอ่นื ๆ ของเซลล์ เช่น การหายใจ การสบื พันธ์ุ และการเคลอ่ื นไหว และการเจรญิ เตบิ โตต่อไป นา้ สารอาหาร และแรธ่ าตุตา่ ง ๆ จะถกู ลาเลยี งไปในรปู ของสารละลาย ตั้งแต่บรเิ วณปลาย รากหรือท่เี รยี กว่า “ขนราก” (Root Hair) จานวนมากของพืชซึ่งดูดสารต่างๆ ขึ้นมาจากพ้นื ดินและนาสง่ ตอ่ ไปยังระบบท่อลาเลยี งหรือกลมุ่ เซลล์ที่เรียกว่า “มดั ท่อลาเลยี ง” (Vascular Bundle) ทปี่ ระกอบด้วยเนอ้ื เย่ือสาคญั 2 กลมุ่
13 เนื้อเย่อื สาคัญ 2 กลุ่ม ท่อลาเลยี งนา้ และแรธ่ าตุ หรอื “ไซเลม” (Xylem) คือ เนอื้ เย่ือท่ที าหนา้ ทลี่ าเลียงนา้ และแรธ่ าตจุ ากดนิ ผา่ นรากขึน้ สู่ลาตน้ ไปยงั ใบและปลายยอดของพชื ประกอบด้วยเวสเซล (Vessel) และ เทรคดี (Tracheid) ซ่ึงเป็นกลุ่มเซลล์ท่ตี ายแล้วเรียงตอ่ กัน ซ่งึ จะสลายตวั ไป เมอื่ พชื เจรญิ เติบโตเตม็ ท่ี สง่ ผลให้ท่อลาเลยี งหรือไซเล็มมีลกั ษณะกลวง ตลอด โดยท่กี ารลาเลยี งนา้ และแรธ่ าตจุ ะมีทศิ ทางการลาเลียงขนึ้ สูป่ ลาย ยอดของตน้ ไมเ้ ทา่ นัน้ ไม่มีการลาเลยี งลงกลับดา้ นล่าง เป็นระบบท่อี าศัย การแพรแ่ บบออสโมซสิ (Osmosis) ต้ังแตใ่ นรากและแรงดงึ ตามธรรมชาติ เช่น แรงดนั ราก (Root Pressure) คือ แรงดนั ทีท่ าให้นา้ เคล่ือนที่ตอ่ เนือ่ งกนั จากรากเข้าสไู่ ซเลมและตอ่ ไปจนถงึ ปลายยอดของพชื เปน็ แรงดันที่เกดิ จาก การออสโมซสิ ของน้าในดนิ แรงคาพิลลารี (Capillary Force) คือ แรงดงึ ท่เี กดิ จากการดงึ ดดู ระหวา่ ง โมเลกุลของนา้ ดว้ ยกนั เอง (Cohesion) และแรงยดึ ตดิ ของโมเลกลุ นา้ กบั พืน้ ผวิ หรอื ผนงั เซลลใ์ นทอ่ ลาเลยี ง (Adhesion) แรงดงึ จากการคายน้า (Transpiration Pull) ทท่ี าให้นา้ ถูกดูดขึน้ ไปจาก ราก เพอื่ แทนที่ส่วนของน้าทีพ่ ชื สญู เสียไป
14 ท่อลาเลยี งอาหาร หรือ “โฟลเอม็ ” (Phloem) คอื เนื้อเยอ่ื ท่ีทาหนา้ ท่ีลาเลียงสารอาหาร โดยเฉพาะ “นา้ ตาลกลูโคส” (Glucose) ที่ได้จากกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงในรูป ของสารละลาย นาส่งจากใบไปยังสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื ท่กี าลังมีการเจรญิ เตบิ โต รวมถงึ การนาไปเกบ็ สะสมไวท้ ี่ใบ ราก และลาตน้ การลาเลียงอาหารสามารถเกดิ ไดใ้ นทุกทศิ ทาง โดยอาศยั การแพร่ (Diffusion) คอื การลาเลียงสารผา่ นเนื้อเยื่อสว่ นตา่ ง ๆ จากเซลลข์ องใบสเู่ ซลลข์ ้างเคียงต่อกันเป็นทอด ๆ เปน็ การกระจายอนภุ าค ของสารจากบรเิ วณทม่ี คี วามเข้มขน้ สูงไปยงั บรเิ วณทมี่ คี วามเขม้ ข้นต่า การลาเลียงแบบใช้พลังงาน (Active Transport) คอื การลาเลยี ง สารผา่ นเยื่อห้มุ เซลล์จากบริเวณท่ีสารมคี วามเข้มข้นตา่ ไปสบู่ รเิ วณท่ีมคี วาม เข้มข้นสูง ซง่ึ อาศยั พลงั งานท่ไี ด้จากการหายใจระดับเซลลแ์ ละโปรตนี ตวั พา ในการลาเลยี ง การลาเลียงอาหารในโฟลเอม็ เกิดจากกล่มุ เซลล์ที่ยงั มชี วี ิตอยู่อกี ทงั้ ยังทาหนา้ ทส่ี รา้ งความแขง็ แรงให้แกล่ าตน้ ของพืช การลาเลยี งสารของพชื มีความเก่ียวขอ้ งกบั กระบวนการตา่ ง ๆ มากมาย เปน็ การประสานงานกนั ระหว่างกลุ่มเน้อื เยือ่ ในมัดท่อลาเลยี ง เพอื่ นาส่งนา้ แรธ่ าตุ และสารตา่ ง ๆ ไปยงั เน้ือเยอ่ื เปา้ หมายของพชื
15 พชื สามารถตอบสนองตอ่ การเปลี่ยนแปลงของสงิ่ แวดลอ้ มไดเ้ ชน่ เดียว กับสตั ว์ แตก่ าร ตอบสนองต่อพืชแสดงออกดว้ ยการเคล่ือนไหว ซง่ึ เปน็ ไป อยา่ งเชอื่ งชา้ สว่ นมากเหน็ ไม่ชดั เจน และมีลักษณะคลา้ ยคลึงกันแม้ในพชื ต่างชนิดกัน พืชจะมีการตอบสนองต่อสง่ิ แวดล้อมได้ เม่ือ มีส่ิงเรา้ มากระตุน้ จะทาใหพ้ ชื เกดิ การตอบสนองตอ่ สงิ่ เร้า ซ่งึ สงิ่ เรา้ ท่ที าใหเ้ กิดพฤตกิ รรมการ ตอบสนองของพืชแบง่ ออกเป็น 2 ชนดิ คอื 1. สิง่ เรา้ ภายนอก เชน่ แสงสวา่ ง อณุ หภมู ิ นา้ และแรงโน้มถว่ ง ของโลก 2. สง่ิ เร้าภายใน เช่น ระยะการเจรญิ เตบิ โต และการเปลีย่ นแปลง แรงดันเตง่ ภายในเซลล์ การเคล่อื นไหวตอบโตอ้ ย่างมที ิศทาง (Tropism) หมายถงึ การเคล่อื นไหว ที่เกิดจากการเจรญิ เติบโตของพชื โดยมที ิศทางการตอบสนอง ดงั นี้ - มที ิศทางสัมพันธห์ รือเข้าหาสง่ิ เรา้ (Positive Tropism) - มีทิศทางตรงข้ามหรือหลกี หนีจากส่ิงเรา้ (Negative Tropism) ซ่งึ สามารถจาแนกออก 5 ประเภทตามชนิดของสิ่งเรา้ คือ
16 การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง (photosynthesis) เป็นกระบวนการ ทางชวี เคมที ส่ี าคญั ในการสร้างอาหารของพืช โดยการเปลีย่ นพลงั งานแสง ให้เปน็ พลงั งานเคมเี พ่ือใช้ในการเจรญิ เตบิ โต ใบของพชื มโี ครงสร้างที่เหมาะ สมในการนาพลังงานแสงมาตรึงแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์และสรา้ งเปน็ อาหารเก็บไวใ้ นรปู ของสารอนิ ทรียโ์ ดยการทางานของคลอโรพลาสต์ (chloroplast) คลอโรพลาสต์ของพชื ส่วนใหญจ่ ะมีรปู ร่างกลมรี ภายใน คลอโรพลาสตม์ รี งควัตถุ (pigment) หรือสารสีที่ทาหนา้ ที่รบั พลงั งานแสง มาใชใ้ นการสรา้ งอาหาร ท่ีสาคญั คอื คลอโรฟลิ ล์ (chlorophyll) คลอโรพลาสตม์ เี ยอื่ หุ้ม 2 ช้นั ชน้ั ในจะพับซอ้ นเหมอื นเปน็ ถงุ เรียกว่า ไทลาคอยด์ (thylakoid) แตล่ ะถุงจะเรียงซอ้ นกันเปน็ ชั้น ๆ เรียกว่า กรานมุ (granum) และเยื่อส่วนท่ีเชอ่ื มกนั ระหว่างกรานมุ เรยี กว่า สโตรมาลาเมลลา (stroma lamella) สารสคี ลอโรฟิลล์จะอย่บู น เยอ่ื ไทลาคอยด์ทาหนา้ ทีด่ ดู รับพลงั งานแสงมาใช้ และสว่ นท่เี ปน็ ของเหลวใน คลอโรพลาสต์ เรยี กวา่ สโตรมา (stroma) จะมเี อนไซม์ทีเ่ กยี่ วข้องกบั การ ตรงึ แกส๊ คารบ์ อน ไดออกไซดม์ าสรา้ งนา้ ตาล
17 การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืชน้นั อาหารทไี่ ดค้ รง้ั แรกคือ น้าตาล กลโู คส ซึ่งเป็นนา้ ตาลโมเลกุลเดีย่ ว และพืชจะเปลย่ี นนา้ ตาลทไี่ ดเ้ ปน็ แป้ง นาไปเกบ็ สะสมไวย้ งั ส่วนตา่ ง ๆ เมอื่ พืชต้องการพลังงานก็จะเปลีย่ นแปง้ ที่ สะสมไวก้ ลบั เป็นน้าตาลเพือ่ ใชใ้ นการดารงชวี ิต การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของ พืชสามารถสรปุ โดยการเขียนเป็นสมการเคมแี สดงการเปลยี่ นแปลงและ ผลติ ภณั ฑ์ทเี่ กิดขน้ึ ได้ ดงั น้ี จากสมการการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง พชื จาเป็นตอ้ งใชค้ ลอโรฟลิ ล์ แสง แกส๊ คารบ์ อน ไดออกไซด์ และนา้ เปน็ วตั ถุดบิ และไดน้ ้าตาลกลโู คส แกส๊ ออกซิเจน และน้า เป็นผลติ ภณั ฑท์ ่เี กิดขน้ึ น้าตาลกลูโคสพืชจะนาไป ใชใ้ นการดารงชวี ติ หรือเก็บสะสมในสว่ นตา่ ง ๆ ของพืชในรปู ของแป้ง ออกซิเจน และนา้ ซึง่ อย่ใู นรปู ของไอนา้ จะถูกปลอ่ ยออกทางปากใบสอู่ ากาศ
18 เทคโนโลยชี วี ภาพเพื่อเพิ่มผลผลิตของพืชในท้องถ่นิ เทคโนโลยชี วี ภาพ ใชเ้ ทคนคิ ต่าง ๆ ดังนี้ 1.การคัดเลอื กพนั ธุ์และผสมพนั ธุ์ เพื่อให้ได้พืชที่มีลกั ษณะตามต้องการ เช่น การผสมละอองเรณุของทุเรยี นหมอนทอกบั เกสรตัวเมียของทุเรียนพนั ธ์ุ ชะนี การผลติ แตงโมไร้เมล็ด 2. การเพาะเลยี้ งเน้อื เยื่อ คือการนาเอาสว่ นใดสว่ นหนง่ึ ของพืชไมว่ ่าเป็น อวยั วะ เนื้อเยอื่ เซลล์ หรอื เซลลท์ ี่ไมม่ ผี นงั ทีเ่ รียกว่า โพรโทพลาสต์ มาเลยี้ ง อาหารวิทยาศาสตรใ์ นสภาพปลอดเชอื้ จุลินทรีย์ และอยใู่ นภาวะควบคมุ อณุ หภมู ิ แสง ความชื้น สว่ นของพชื เหลา่ นจี้ ะสามารถเจริญเติบโตเกิดเป็นตน้ ใหม่ได้ 3. พนั ธวุ ิศวกรรม หมายถึง กระบวนการเปลีย่ นแปลงสารพันธกุ รรมดว้ ย การตดั ตอ่ ยีนและเปลีย่ นแปลงยนี ในเซลล์ เพือ่ ให้ไดส้ งิ่ มชี ีวติ ใหมท่ ี่มสี มบัติตาม ทตี่ ้องการ ซึง่ สงิ่ มีชวี ติ ดังกลา่ วมชี ื่อเรยี กว่าสิ่งมีชวี ติ ตดั แต่งพนั ธกุ รรมหรอื จีเอม็ โอ จเี อ็มโอ (GMOs) Genetically Modified Organisms หมายถึง สิง่ มีชวี ิตที่ไดร้ บั การเปลย่ี นแปลงสารพนั ธกุ รรม โดยอาศยั เทคนคิ ทางพันธุกรรม ในบางกรณีมีการใชค้ าว่า แอลเอม็ โอ (LMOs) ยอ่ มาจาก Living Modified Organisms ท้ังจีเอม็ โอและแอลเอม็ โอมีความหมายคลา้ ยคลงึ กนั แตแ่ อลเอม็ โอ มงุ่ เน้นความมชี วี ิตอยขู่ องส่งิ มีชวี ิตนน้ั ๆ ในขณะท่ี จเี อ็มโอรวมไปถงึ ผลติ ภัณฑท์ ่ี เกิดขนึ้ ในสภาพที่ไม่มีชีวติ ด้วย เช่น อาหารจีเอม็ โอ
19 ผลเสยี ของจีเอม็ โอ เทคโนโลยที ุกอย่างทีม่ ีประโยชน์ก็อาจมีโทษไดก้ ารพฒั นาและการใช้ ไมไ่ ด้ใชค้ วามระมดั ระวงั เท่าท่ีควร ขอ้ เสีย คือมีความเส่ียงและซบั ซอ้ นใน การจดั การ เชน่ - อันตรายทเี่ กดิ จากการท่พี ชื จีเอ็มโออาจผลิตสารกอ่ ภมู แิ พห้ รอื สาร อ่นื ท่ีมสี มบตั ิเป็นสารตา้ นการเจรญิ เติบโตของรา่ งกาย - ความเป็นไปไดท้ ีแ่ มลงศตั รูพืชอาจพฒั นาความตา้ นทานต่อสารพษิ ที่สรา้ งโดยพืชจเี อม็ โอ ประโยชนข์ องเทคโนโลยีชีวภาพ ไดแ้ ก่ 1. ดา้ นการเกษตรและอาหาร - การปรบั ปรุงพนั ธพ์ุ ืชให้ต้านทานโรคและแมลง - การพัฒนาพนั ธพ์ุ ืชให้มคี ุณภาพผลผลติ ดี - การพัฒนาพันธพุ์ ืชใหผ้ ลิตสารพเิ ศษ - การพฒั นาพันธส์ุ ัตว์มกี ารพฒั นาพนั ธโ์ุ ดยการถา่ ยฝากยนี ทัง้ ในปศุสัตวแ์ ละสตั ว์น้า - การพัฒนาสายพนั ธุ์จุลินทรีย์ใหม้ คี ุณลักษณะพิเศษบางอยา่ ง เชน่ สามารถกาจดั คราบนา้ มนั 2. ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข - การตรวจโรคเมอื่ สามารถสงั เคราะหช์ นิ้ ส่วนดเี อ็นโอหรอื ยนี ได้ แลว้ ก็สามารถพัฒนาไปใชใ้ นการตรวจโรคตา่ ง ๆ ได้ อยา่ งมี ประสิทธิภาพ - การพฒั นายารกั ษาโรค วัคซนี การสับเปล่ียนยนี ดอ้ ยดว้ ยยนี ดี
20 3. ดา้ นการอนุรกั ษ์พลงั งานและสงิ่ แวดลอ้ ม - พันธกุ รรมอาจนาไปสู่การผลติ พชื ทใ่ี ช้ปยุ๋ น้อย นา้ นอ้ ย ทาให้ เป็นการลดการใช้ปุ๋ยเคมี เป็นการอนรุ กั ษส์ ิง่ แวดลอ้ มและนาไปสู่ การสร้างสมดลุ ทรพั ยากรชวี ภาพได้ - ใชจ้ ลุ ินทรยี ์ผลติ แอลกอฮอล์และแก๊สชีวภาพ เพ่อื ใช้เปน็ เชือ้ เพลงิ ทดแทนพลังงานจากธรรมชาติ 4. ดา้ นการพัฒนาอตุ สาหกรรม - เมื่อวตั ถดุ ิบไดร้ บั การปรับเปลยี่ นคุณภาพให้ตรงกบั ความ ต้องการของอตุ สาหกรรม โดยใช้พนั ธุวิศวกรรม อุตสาหกรรม ใหมๆ่ จะเกดิ ตามมามากมาย เพราะความกา้ วหนา้ ของ เทคโนโลยีชีวภาพ
บรรณานุกรม https://sites.google.com/site/structureofplantandanimalcell/khorngsrang-sell-satw https://ngthai.com/science/33440/plant-transport-system/ https://sites.google.com/site/spynikey/hnwy-kar-reiyn-ru-thi-2/1-4-kar-subphanthu- laea-kar-txb-snxng-tx-sing-rea-khxng-phuch https://www.kroobannok.com/news_file/p48475922006.pdf https://ngthai.com/science/31684/plant-responses/ https://sites.google.com/site/aneeraruslee/bth-thi-1hnwy-khxng-chiwit-laea-chiwit- phuch/1-hnwy-phun-than-khxng-sing-mi-chiwit/2-lak-s-ra-khorngsrang-laea-hnathi- khxng-sell-phuch-laea-sell-satw/3-kar-laleiyng-ni-phuch-kar-phaer-laea-ka-rxxs-mo- sis/4-kar-sub-phanth-laea-kar-txb-snxng-tx-sing-rea-khxng-phuch/5-kar-sangkheraah- dwy-saeng/6-thekhnoloyi-chiwphaph-pheux-pheim-phlphlit-khxng-phuch-ni-thxng- thin พิมพันธ์ เดชะคุปต์และคณะ.หนังสอื เรียนรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ช้นั มัธยมศกึ ษา ปีท่ี1. กรุงเทพฯ : สถาบันพฒั นาคุณภาพวชิ าการ,2559. ยุพา วรยศและคณะ.หนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตรช์ ั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1. พิมพ์ คร้งั ท่ี 2.กรงุ เทพฯ : อักษรเจริญทศั น์ ,2551.
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: