Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore biological-clock-001

biological-clock-001

Published by 500bookchonlibrary, 2021-05-12 09:43:57

Description: biological-clock-001

Search

Read the Text Version

นาฬกิ าชวี ติ (นาฬกิ าชีวภาพ) เหตุใดระบบการทางานในรา่ งกายคนเราถึงทางานได้เป็นเวลาคลา้ ยมโี ปรแกรมตัง้ เวลาระบบไว้ ท่ที าเชน่ นไี้ ดเ้ พราะในร่างกายมีนาฬกิ าชวี ติ หรอื นาฬกิ าชวี ภาพ (biological clock) ตง้ั อย่ทู ี่ suprachiasmatic nucleus(SCN) ของสมอง ไฮโพธาลามัส ทาหนา้ ทบ่ี รหิ ารระบบในรา่ งกายใหท้ างานสอดคลอ้ งกบั สภาวะแวดลอ้ มของธรรมชาติ ภาพ suprachiasmatic nucleus(SCN) จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Suprachiasmatic_nucleus

เพราะสงิ่ มีชวี ติ และธรรมชาตมิ ีปฏิสมั พันธ์กนั ตลอดเวลา ประกอบกับ ธรรมชาตไิ ม่หยุดน่งิ มกี ารเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง เป็นผลมาจากโลกหมุนรอบตวั เองและรอบดวงอาทติ ย์ ทาให้โลกอยู่ภายใตอ้ ทิ ธพิ ลของแสงจากดวงอาทิตย์ เกิดเปน็ วงจรของวนั (circadian rhythm) ใชร้ ะยะเวลา 24 ชวั่ โมงตอ่ การหมนุ รอบตวั เองของโลก 1 รอบ แบง่ ออกเปน็ 2 ชว่ ง ไดแ้ ก่ ชว่ งมดื (กลางคนื ) กบั ชว่ งสวา่ ง (กลางวนั ) สง่ ผลใหส้ ง่ิ มชี วี ติ จะตอ้ งปรบั สภาวะรา่ งกายใหท้ างานสอดคลอ้ งกบั วงจรของวนั ใน ธรรมชาติ มเิ ชน่ นน้ั แลว้ จะทาใหม้ อี ายขุ ยั สน้ั ลง ภาพ circadian rhythm จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Circadian_rhythm

ดว้ ยเหตนุ นี้ าฬกิ าชวี ภาพของคนจงึ ทางานเปน็ วงจรและใชร้ ะยะเวลา 24 ชว่ั โมงเชน่ กนั โดยมี 2 ชว่ ง คอื ชว่ งมดื กบั ชว่ งสวา่ ง สาหรบั ชว่ งสวา่ ง แสงจะกระตุ้น SCN โดยอาศยั ตวั รับแสง (melanopsin) ซ่งึ อยู่ ทีเ่ รตินา(จอตา) กับทเี่ สน้ ใยประสาท retinohypothalamic tract สว่ นชว่ งมดื (กลางคนื ) ตอ่ มไพเนยี ลของสมอง จะหลงั่ เมลาโทนนิ (melatonin) มากระต้นุ SCN เม่ือ SCN ถูกกระตนุ้ กจ็ ะสง่ สญั ญาณ ผา่ นระบบประสาทและฮอร์โมนไปควบคุมการทางานของอวยั วะ และต่อมต่างๆ เพือ่ ให้สภาวะร่างกายดาเนนิ ไปอย่างสอดคล้อง กบั วงจรของวันในธรรมชาติ ซ่งึ ได้แก่ อุณหภูมิของรา่ งกาย, ความดันเลือด, การเต้นของหัวใจ และวงจรการหลับ-ตืน่ เมลาโทนนิ เป็นฮอรโ์ มนทมี่ บี ทบาทสาคัญตอ่ รา่ งกายมาก โดยชักนาใหเ้ กิดการนอนหลับ ปรับการทางานของนาฬิกาชีวภาพ ชว่ ยชะลอความแก่ และปอ้ งกนั การเกดิ เซลล์มะเร็ง แตเ่ มลาโทนนิ จะถกู หลงั่ ออกมาในชว่ งกลางคนื เทา่ นน้ั เนอ่ื งจากถูกยบั ย้ังโดยแสง แมแ้ สงจะมคี วามเขม้ ต่าเพยี ง 0.1 ลักซ(์ เทียบได้กบั แสงในคืนพระจนั ทรเ์ ตม็ ดวง) ก็ส่งผลให้รา่ งกายหลัง่ เมลาโทนนิ น้อยลงได้ ภาพจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/ตอ่ มไพเนยี ล

ปจั จยั ทที่ าใหน้ าฬกิ าชวี ภาพทางานผดิ ปกติ ไดแ้ ก่ พฤตกิ รรมการใช้ชวี ติ (เช่น การนอนไมเ่ ปน็ เวลา นอนดกึ ) ความชรา และโรคบางชนดิ เช่น อลั ไซเมอร์ มะเรง็ พารค์ ินสนั โรคทางจิตเภท (schizophrenia) โรคซึมเศรา้ เป็นตน้ โดยเซลลป์ ระสาทใน SCN จะหลงั่ vasopressin ซงึ่ เปน็ ฮอรโ์ มนทค่ี วบคุมสมดุลนา้ และเกลือแร่ในรา่ งกายและยงั ส่งผลไปควบคุม สภาวะร่างกาย เชน่ อุณหภูมขิ องรา่ งกาย การตน่ื ตวั /ความกระฉับกระเฉง เมอ่ื คนเรามอี ายมุ ากขน้ึ vasopressin และ เมลาโทนนิ จะถกู หลง่ั ออกมานอ้ ยลง สง่ ผลใหน้ าฬกิ าชวี ภาพทางานผดิ ปกติ คนชราจึง มอี าการตา่ งๆ เช่น นอนไมค่ อ่ ยหลับ ใชร้ ะยะเวลาใหเ้ ร่ิมหลบั นาน ระยะเวลานอนหลับสั้นลง นอนหลบั ไมล่ ึก และเขา้ นอนเร็ว ทง้ั น้ี เปน็ เพราะตวั รบั แสงและตัวรบั สญั ญาณอืน่ ๆ ในรา่ งกายเสือ่ มสภาพลง สว่ นผทู้ ม่ี อี าการออ่ นเพลยี จากการเดนิ ทางเปน็ เวลานาน (jet lag) รา่ งกายจะตอ้ งปรบั การทางานของนาฬกิ าชวี ภาพใหม่ ซ่ึงอาจ ใช้เวลาหลายวนั หรือหลายสัปดาห์ จงึ เกิดอาการสะดงุ้ ตื่นขน้ึ มากลางดกึ ขณะทนี่ าฬกิ าชวี ภาพของผปู้ ว่ ยอลั ไซเมอรจ์ ะทางานชา้ ลง ทาใหช้ ว่ งเวลาทอี่ ณุ หภูมิของร่างกายลดลงตา่ สุดแตกต่างจากคน ปกติ คือ จะลดลงในช่วง 9.00 น. ถงึ ช่วงเย็น แทนทีจ่ ะลดลงในชว่ ง 4.00 – 5.00 น. เหมือนคนปกติ ทาใหต้ ารางเวลาชีวิตเปลย่ี นไป โดยชว่ งกลางคนื จะมภี าวะวติ กเครยี ดและนอนไม่หลับ จงึ ลกุ ข้นึ มาทากิจกรรมและนอนหลบั ในชว่ งกลางวนั หรอื ชว่ งเยน็ แทน สาหรบั ผปู้ ว่ ยโรคจติ เภท นาฬกิ าชวี ภาพจะทางานเรว็ ผดิ ปกติ ผู้ปว่ ยจะนอนหลับไมส่ นิทเน่ืองจากมีภาวะรบกวนขณะหลับ โดย พบว่า 40-65% ของผู้ป่วยโรคซมึ เศรา้ มักจะนอนไม่หลบั ขน้ั รุนแรง คาดวา่ เปน็ ผลมาจากการนอนหลบั ในช่วงเยน็ ทาใหเ้ วลาเขา้ นอนดกึ หลงั เวลา 2.00 – 3.00 น. รา่ งกายจึงไม่หล่ังหรอื หล่งั เมลาโทนินออกมานอ้ ย ดงั นัน้ ในขณะนอนหลบั จึงไมค่ วรเปดิ ไฟท้ิงไว้ เพราะมีผลไปยบั ยงั้ การหลัง่ เมลาโทนิน และไมค่ วรรนอนหลบั ในช่วงเย็นเพราะจะทา ใหช้ ่วงเวลาเข้านอนต้องเลือ่ นออกไป

การแพทยจ์ นี ไดใ้ ชท้ ฤษฎี หยนิ -หยาง อธบิ ายความสมั พนั ธ์ 2 ดา้ น ทตี่ อ่ ตา้ น/ตรงกนั ขา้ มกนั แตม่ คี วามเกยี่ วเนอื่ งควบคมุ และ สมั พนั ธก์ นั ตลอดเวลา โดย หยนิ หมายถงึ เย็น/รม่ การหยดุ น่ิง กลางคนื สว่ น หยาง หมายถงึ รอ้ น/สวา่ ง กลางวัน การเคล่ือนไหว ดงั นน้ั หยนิ -หยาง จงึ เปรียบได้กบั สภาวะธรรมชาติ ซึ่งมที ั้งกลางวันและกลางคนื และเปรยี บไดก้ บั อวยั วะตา่ งๆ ในรา่ งกายที่ ทางานเช่อื มโยงกันและสอดคล้องกบั วงจรของวนั โดยแตล่ ะชว่ งเวลาจะ มีอวยั วะบางชนดิ หรอื บางระบบในรา่ งกายที่ตอ้ งทางานหนกั แตน่ ั่นไมไ่ ดห้ มายความว่า อวยั วะอน่ื ๆ จะหยดุ ทางาน อวัยวะทั้งหมดยังคงทางานเก่ียวเนอื่ งสัมพันธ์กันตลอดเวลา

นาฬกิ าชวี ติ

ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอวยั วะ (ระบบ) ของรา่ งกายกบั ชว่ งเวลาใน วงจรของวนั เวลา 3.00 – 5.00 น. เปน็ ชว่ งเวลาของปอด เพ่อื ใหร้ ะบบหายใจไดท้ างานไดเ้ ตม็ ท่ี และเซลล์ตา่ งๆ ไดร้ ับออกซเิ จนอยา่ งเพียงพอ โดย เฉพาะทสี่ มอง สมองทไี่ ดร้ บั ออกซเิ จนนอ้ ยหรือไมเ่ พยี งพอจะมผี ลความจาของคนเราเสือ่ มลงได้ และชว่ ง 4.00 – 5.00 น เป็นชว่ งทีอ่ ณุ หภมู ิของร่างกายลดลงต่าสดุ ร่างกายควรได้รบั ความอบอ่นุ หลกี เลี่ยงสภาวะอากาศเย็น ช่วงนจี้ ึงเหมาะตอ่ การตืน่ นอนเพอื่ รบั อากาศบรสิ ทุ ธิ์และออกกาลังกาย เพ่ือชว่ ยให้ปอดทางานดีขน้ึ สาหรบั คนทรี่ ะบบหายใจหรอื ปอดมปี ัญหา หายใจตดิ ขัด ไอ จาม มนี า้ มกู โดยเฉพาะผู้ทป่ี ่วยเป็นโรคหอบต้องระวงั สขุ ภาพ เพราะช่วงเวลาน้เี ป็นชว่ งทอี่ าการ กาเริบได้งา่ ย เวลา 5.00 – 7.00 น. เปน็ ชว่ งเวลาของลาไส้ใหญ่ เพือ่ ขับถา่ ยของเสียออกจากรา่ งกาย และมกี ารหลง่ั cortisol เพื่อชว่ ยใหร้ า่ งกาย กระปรก่ี ระเปร่า ชว่ งน้ีจงึ ควรดม่ื น้าเพอ่ื กระต้นุ ระบบขับถ่าย และตงั้ แต่ช่วงนี้เป็นตน้ ไปจนถึงช่วงหัวคา่ ความดนั เลอื ดในรา่ งกาย จะคอ่ ยๆ เพมิ่ สงู ขนึ้ สาหรบั คนทม่ี สี ุขภาพอ่อนแอ จะมอี าการคัดจมูก มีน้ามกู หายใจตดิ ขดั โดยเฉพาะคนท่เี ปน็ โรค หดื ควรระวัง อาการกาเรบิ เวลา 7.00 – 9.00 น. เป็นชว่ งเวลาของกระเพาะอาหาร เน่อื งจากรา่ งกายตอ้ งการพลงั งาน ดังน้ันจงึ ควรรบั ประทานอาหารมอื้ เชา้ สาหรับผ้ปู ว่ ยเป็นโรคไมเกรน ภูมแิ พ้ ไขข้ออกั เสบรมู าทอยด์ ช่วงเวลานค้ี วรระวงั อาการกาเรบิ ได้ เวลา 9.00 – 11.00 น. เป็นชว่ งเวลาของมา้ มและตับอ่อน โดยม้ามทาหน้าทสี่ รา้ งภูมคิ ุ้มกันให้แกร่ ่างกาย กาจัดเมด็ เลอื ดแดงท่ี เส่อื มสภาพ ส่วนตบั อ่อนจะผลิตเอนไซมม์ าชว่ ยยอ่ ยอาหารท่ีลาไสเ้ ล็ก ร่างกายช่วงน้ีจะมคี วามต่นื ตัวมาก จึงเป็นชว่ งท่ีเหมาะต่อ การ ทางาน/ทากิจกรรม เวลา 11.00 – 13.00 น. เป็นชว่ งเวลาของหวั ใจ ซ่งึ เป็นอวยั วะทสี่ าคญั ที่สุด ทาหนา้ ทสี่ ูบฉดี เลือดและสารอาหารไปเลยี้ งท่ัวรา่ งกาย ช่วงนร้ี ะดับความดนั เลือดในร่างกายยังคงเพ่ิมสูงข้นึ เรื่อยๆ ดัง นน้ั คนท่หี วั ใจผิดปกติ ชว่ งนจ้ี ะมเี หงอื่ ออกมากและรูส้ ึกร้อน อบ อา้ ว เวลา 13.00 – 15.00 น. เป็นชว่ งเวลาของลาไสเ้ ล็ก ทาหนา้ ท่ียอ่ ยและดูดซมึ อาหาร หากมื้อกลางวนั ไม่รบั ประทานอาหารหรอื รับประทานอาหารไม่เพียงพอ ชว่ งน้ีจะรู้สึกหวิ และทรมาน

เวลา 15.00 – 17.00 น. เป็นชว่ งเวลาของกระเพาะ ปัสสาวะ ซึ่งทาหนา้ ท่ีเกบ็ น้ากรองจากไต โดยชว่ ง 17.00 น. เปน็ ชว่ งท่หี ลอดเลือดหัวใจและกลา้ มเนือ้ ในร่างกายมีความแข็งแรง จงึ เหมาะต่อการออกกาลงั กาย เวลา 17.00 – 19.00 น. เป็นชว่ งเวลาของไต เพ่ือกรองของเสียออกจากเลอื ดและรักษาสมดุลในร่างกาย ชว่ ง 18.30 น. ระดับความดันเลือดจะเพ่มิ ขน้ึ สูงสดุ และ ชว่ งน้ีจงึ ควรด่ืมนา้ สะอาด (ไมค่ วรด่ืมน้าเย็น) และไม่ควรนอนหลับในช่วงนี้ เพราะจะทาใหน้ อนไมห่ ลบั ในชว่ งกลางคืน เวลา 19.00 – 21.00 น. เปน็ ชว่ งเวลาของเย่อื หุ้มหวั ใจ ซงึ่ เปน็ สว่ นประกอบสาคญั ของหัวใจ และเปน็ ชว่ งของระบบหมุนเวียนโลหติ โดยชว่ ง 19.00 น. อณุ หภูมใิ นร่างกายจะเพ่มิ ขน้ึ สงู สดุ ผู้ปว่ ยเป็นโรคผวิ หนัง ชว่ งนค้ี วรระวงั อาการกาเริบ เวลา 21.00 – 23.00 น. เป็นชว่ งเวลาของระบบทัง้ 3 (triple heater) ได้แก่ ระบบหายใจ ส่งผลต่อร่างกายชว่ งบน (หวั ใจ-ปอด) ระบบ ย่อยอาหารมีผลตอ่ ช่วงกลางลาตวั (กระเพาะ อาหาร มา้ ม ตบั ) และระบบขับถา่ ยมผี ลต่อร่างกายชว่ งล่าง (ไต กระเพาะปสั สาวะ ลาไสเ้ ล็ก) เป็นชว่ งท่รี า่ งกายปรบั สมดลุ ความรอ้ นและเป็นชว่ งท่ีอณุ หภูมิในรา่ งกายจะค่อยๆ ลดลง การขบั ถ่ายอุจจาระจะหยุด พักช่ัวคราว รา่ งกายจะเรมิ่ หลงั่ เมลาโทนนิ ชว่ งนจ้ี งึ เปน็ ชว่ งทค่ี วรนอนหลบั พกั ผอ่ น เวลา 23.00 – 1.00 น. เปน็ ชว่ งเวลาของถงุ นา้ ดี เพ่ือเกบ็ น้าดที ่ไี ดจ้ ากตับและส่งนา้ ดมี าช่วยยอ่ ยไขมันทล่ี าไสเ้ ลก็ ถงุ น้าดีและตบั จึง เป็นอวยั วะท่ีทางานเก่ียวเน่อื งและสัมพนั ธ์กันอยา่ งมาก เวลา 1.00 – 3.00 น. ชว่ งเวลาของตับ เพื่อกาจดั สารพิษในร่างกาย ลดระดบั น้าตาลในเลอื ดโดยนามาสงั เคราะหแ์ ละเกบ็ สะสมในรปู ไกลโคเจน และสร้างน้าดมี าเกบ็ ไวท้ ่ีถงุ น้าดี ชว่ งนคี้ วรเปน็ ชว่ งทห่ี ลบั สนทิ เพอื่ ใหเ้ ลอื ดไหลเวยี นมาทต่ี บั ไดด้ ี เนอื่ งจากเวลา 2.00 น รา่ งกายจะหลง่ั เมลาโทนนิ ไดส้ งู สดุ การนอนไมห่ ลบั เครยี ด ไดร้ บั สารพิษ หรอื รบั ประทานอาหารหวานจดั จะส่งปัญหาถึงตับ สาหรบั คนที่เป็นโรคหัวใจ ชว่ งนี้อาจทาให้อาการกาเริบและหัวใจลม้ เหลวได้

ทีนล้ี องพิจารณาพฤติกรรมการใช้ชีวติ ของตวั เราสวิ ่า สอดคลอ้ งกบั ตารางเวลาของนาฬกิ าชีวติ หรอื ไม่? เพราะโรคบางโรค อาจมสี าเหตมุ าจากพฤติกรรมการใชช้ ีวติ ของเรา สรปุ ชว่ งเวลา ระบบทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ขอ้ ควรปฏบิ ตั ิ 01.00 – 03.00 น. [ตบั ] นอนใหห้ ลบั สนทิ 03.00 – 05.00 น. [ปอด] ต่ืนนอน สดู อากาศบรสิ ทุ ธ์ 05.00 – 07.00 น. [ลาใส้ใหญ]่ ขบั ถา่ ยอจุ จาระ 07.00 – 09.00 น. [กระเพาะอาหาร] กินอาหารเชา้ 09.00 – 11.00 น. [มา้ ม] พูดน้อย กนิ นอ้ ย ไมน่ อนหลับ 11.00 – 13.00 น. [หัวใจ] หลีกเล่ียงความเครียดทง้ั ปวง 13.00 – 15.00 น. [ลาไสเ้ ล็ก] งดกนิ อาหารทุกประเภท 15.00 – 17.00 น. [กระเพาะปสั สาวะ] ทาให้เหง่อื ออก(ออกกาลงั ) 17.00 – 19.00 น. [ไต] ทาใหส้ ดชืน่ ไมง่ ่วงเหงา 19.00 – 21.00 น. [เยอื่ ห้มุ หวั ใจ] สวดมนต์ ทาสมาธิ 21.00 – 23.00 น. [ระบบความร้อนของรา่ งกาย] ทาร่างกายให้ อบอุ่น 23.00 – 01.00 น. [ถุงนา้ ดี] ดม่ื นา้ ก่อนเขา้ นอน

ทม่ี า 1. อรพินทร์ เชยี งป๋วิ . นาฬกิ าชีวภาพ. วารสารวทิ ยาศาสตร์. 2550;1:47-54 2. Archive for the organ and channel category. [online] [cited 2008 Sep] Available from:http://acupunctureiseasy.com/category/organ-and- channels/ 3. Coturnix. Circadian quackery. [online] [cited 2008 Sept] Available from:http://scienceblogs.com/clock/2005/05/circadian_quackery_1.php 4. Kraft U. Rhythm and blues. Sci Am. 2007;18:62-5 5. Lewith GT. The basic principles of chinese traditional medicine. [online] [cited 2008 Sep] Available from:http://www.healthy.net/scr/article.asp?id=1707 6. Nadu T. Clock theory for human organs. [online] 2006[cited 2008 Sep] Available from:http://www.hinduonnet.com/thehindu/thscrip/print.pl?file=200609 7. Phillips RH. Chinese Time Clock & VidaCell. [online] 2007[cited 2008 Sep] Available from:http://www.avalonhealthinfo.com/articles/2/1/Chinese-Time-Clock-amp-VidaCell/Page1.html 8. Wright K. Time of our lives. Sci Am. 2006;16:27-33 อา้ งถึง: http://xn--22ck6bneezbp5c6bf3hdec0b1d5sja.blogspot.com/2013/05/body-cloak.html ภาพจาก: www.freepik.com


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook