Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อิศรญาณภาษิต

อิศรญาณภาษิต

Published by pannapat6205, 2020-04-15 05:23:15

Description: อิศรญาณภาษิต

Search

Read the Text Version

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู (ยอจากฉบับนักเรยี น 20%) • สรุปเนอื้ หาเร่ืองอศิ รญาณภาษติ • วเิ คราะหว ิถไี ทยและคุณคาจาก วรรณคดีเรือ่ งอิศรญาณภาษติ • สรุปความรูและขอ คดิ นาํ ไป ประยุกตใ ชใ นชีวิตจรงิ • ทองจาํ และบอกคณุ คาบทอาขยาน ตามทก่ี ําหนด กระตุนความสนใจ ôหนว ยที่ 1. ใหน กั เรียนบอกสาํ นวนสภุ าษติ อิศรญำณภำษติ คาํ พงั เพยจากภาพหนา หนวย (เชน ฆาควายเสียดายพริก นํ้าพ่ึงเรือ เสือพึ่งปา เดินตามรอยผูใหญ หมาไมกัด วานรไดแกว อยาแหย เสอื หลับ) 2. ครูถามนกั เรยี นวา • สํานวนสุภาษิตและคําพงั เพย ทีย่ กมามคี วามหมายอยางไร • นักเรียนรจู ักสํานวนสุภาษติ และคาํ พงั เพยอะไรอีกบาง ตัวชี้วดั วรรณคดปี ระเภทคาํ สอน คอื วรรณคดี ■ สรปุ เนอ้ื หาวรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมทอ งถิน่ ในระดับที่ยากขนึ้ (ท ๕.๑ ม.๓/๑) ■ วิเคราะหวิถไี ทยและคณุ คาจากวรรณคดีและวรรณกรรมทอ่ี า น ท่ีเรียบเรียงแนวคิด ขอควรปฏิบัติหรือ ขอ คาํ สอน วตั ถปุ ระสงคเ พอื่ สรา งความสงบ (ท ๕.๑ ม.๓/๒) เรียบรอยในสังคม รวมถึงสอนหลักธรรม ■ สรปุ ความรูและขอ คดิ จากการอานเพื่อนาํ ไปประยุกตใ ชในชีวิตจริง อนั ควรปฏบิ ัติ ทัง้ นี้ผูฟงหรอื ผูอานอาจตคี วาม (ท ๕.๑ ม.๓/๓) คําสอนแตกตางกันตามพ้ืนฐานความรูและ ประสบการณ การอา นวรรณคดปี ระเภทคาํ สอน ■ ทองจําและบอกคุณคาบทอาขยานตามทก่ี ําหนด (ท ๕.๑ ม.๓/๔) จงึ ตอ งอา นอยา งพนิ จิ พเิ คราะห ตคี วาม แปลความ สาระการเรยี นรแู กนกลาง เพอ่ื นําขอ คิดมาปรับใชในชีวิตประจําวัน ■ วรรณคดี วรรณกรรมและวรรณกรรมทองถิน่ เก่ียวกบั ศาสนา ประเพณี พิธีกรรม สุภาษติ คําสอน เหตุการณ ในประวตั ศิ าสตร บนั เทงิ คดี ■ การวเิ คราะหว ถิ ีไทยและคุณคาจากวรรณคดีและวรรณกรรม ■ บทอาขยานและบทรอยกรองที่มีคุณคา 92 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate ๑ ความเป็นมา สํารวจคนหา อศิ รญาณภาษิต เรียกอีกอยา่ งวา่ “เพลงยาวอิศรญาณ” หม่อมเจา้ อิศรญาณนพิ นธเ์ พลงยาว 1. ใหนักเรียนชวยกันสืบคนประวัติ ฉบับนี้ขึ้น เพื่อสะท้อนความคิดเห็นที่มีต่อสังคมในยุคนั้น พร้อมเสนอแนะแนวทางปฏิบัติตนแต่ไม่ถึง ความเปนมาของเรื่องอิศรญาณ ภาษิตและพระประวัติของหมอม ขั้นสอน เจา อศิ รญาณเพมิ่ เตมิ และนาํ ความ รูท่ีสืบคนมาแลกเปลี่ยนเรียนรูกัน ๒ ประวัตผิ ู้แตง่ ภายในหองเรียน แลวบันทึกความ รลู งสมุด หมอ่ มเจา้ อศิ รญาณ (ไมท่ ราบพระนามเดมิ ) เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง 2. ใหนักเรียนแบงกลุมสืบคนความรู มหิศวรินทรามเรศ พระองค์ทรงผนวชท่ีวัดบวร- เก่ยี วกับสํานวน สภุ าษติ คาํ พงั เพย นิเวศฯ ได้พระนามฉายาว่า อิสฺสรญาโณ มี บันทึกความรลู งสมดุ พระชนม์ชีพอยู่ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ- พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั อธิบายความรู ๓ ลักษณะคÓประพนั ธ์ วดั บวรนิเวศราชวรวิหาร ใหน กั เรยี นอธิบายความหมาย สาํ นวน สภุ าษติ คาํ พงั เพย วา แตกตา ง อิศรญาณภาษิตแต่งด้วยค�าประพันธ์ประเภทกลอนเพลงยาว ซ่ึงมีลักษณะบังคับเหมือน กันอยางไร กลอนสภุ าพ แตจ่ ะขนึ้ บทแรกดว้ ยวรรครบั และจบดว้ ยค�าวา่ เอย ดังนี้ (แนวตอบสาํ นวนมหี ลายความหมาย เทศนาคา� ไทยใหเ้ ป็นทาน อศิ รญาณชาญกลอนอกั ษรสาร ในที่น้ีหมายถึงเฉพาะถอยคําท่ีมี ................................................... โดยต�านานศภุ อรรถสวสั ดี ความหมายไมตรงตามตัวอักษร แสนประเสริฐเลศิ ภพจบธาตรี ................................................... สวนคําพังเพยมีความหมายลึกซ้ึง ยงั จรลีเข้าสูน่ ิพพานเอยฯ กวาสํานวนคือมีลักษณะติชมสวน สุภาษิตมีลักษณะ 2 ประการ คือ เปน ขอความส้นั ๆ แตก นิ ความ ลึกซ้ึง และเปนคาํ สอน) ๔ เรอื่ งยอ่ นักเรียนควรรู อิศรญาณภาษิตมีเน้ือหาเชิงส่ังสอนแบบเตือนสติและแนะน�าเก่ียวกับการประพฤติปฏิบัติตน เอย เปน คําบังคบั ลงทา ยใน ให้เป็นที่พอใจของผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่มีอ�านาจมากกว่า สอนว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะอยู่ใน “กลอนดอกสรอ ย” และ “กลอนสกั วา” สังคมได้อย่างสงบสุข ท�าอย่างไรจึงจะประสบความส�าเร็จสมหวัง บางตอนเน้นเร่ืองการเห็นคุณค่า และความส�าคัญของผู้อ่ืนโดยไม่สบประมาทหรือดูแคลนผู้อื่น โดยทั้งนี้การสอนบางคร้ังอาจเป็นการ กลา่ วตรงๆ หรอื ใชถ้ ้อยค�าเชงิ ประชดประชนั 93 คมู ือครู 93

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตุน ความสนใจ (ยอ จากฉบับนักเรยี น 20%) 1. ครชู วนนกั เรียนอานบทประพนั ธ ๕ เนอื้ เร่ือง ทาํ นองเสนาะพรอ มกัน มีผู้สันนิษฐานว่าอิศรญาณภาษิตอาจไม่ใช่บทนิพนธ์ในหม่อมเจ้าอิศรญาณแต่เพียงผู้เดียว 2. ใหน กั เรียนเลอื กบทประพันธท่ี หากแต่นิพนธ์ไวเ้ พยี งตอนแรกเทา่ นั้น กลา่ วคอื นิพนธ์ถึงวรรควา่ “ปถุ ชุ นรกั กับชงั ไม่ย่งั ยืน” ซ่ึงมลี ลี า ประทบั ใจจากเรอ่ื งอศิ รญาณภาษติ การประพันธด์ ว้ ยนา้� เสยี งเหนบ็ แนมประชดประชนั สว่ นที่เหลอื เปน็ ของกวที ่านอ่ืนร่วมกันประพันธต์ ่อ แลวอานตามทํานองเสนาะ โดยเป็นการสอนเรื่องทั่วๆ ไป มีลีลาหรือท่วงท�านองแบบเรียบๆ มุ่งสั่งสอนตามปกติของผู้มี หนาชน้ั เรยี น ประสบการณ์ในเรื่องต่างๆ ซ่ึงได้น�ามาเรียบเรียงไว้ท้ังหมด เพ่ือให้นักเรียนได้เปรียบเทียบส�านวน กลอนได้ ดงั น้ี สํารวจคนหา อศิ รญาณภาษติ ใหนักเรียนคนควาสํานวนสุภาษิต ในอิศรญาณภาษิต พิจารณาเลือก อิศรญาณชาญกลอนอกั ษรสาร สุภาษิตที่เหมาะสําหรับการแสดง ทาทางประกอบ ใหเพ่ือนทายวาเปน เทศนาคา� ไทยใหเ้ ปน็ ทาน โดยตา� นานศุภอรรถสวสั ดี สํานวนสุภาษิตใดและมีความหมาย อยา งไร ส�าหรบั คนเจอื จติ จรติ เขลา ด้วยมวั เมาโมหม์ ากในซากผี (แนวตอบ เชน เดินตามหลังผูใหญ ต้องหามา้ มโนมยั ใหญ่ยาวรี ส�าหรบั ข่ีเป็นมา้ อาชาไนย หมาไมกัด หมายถึง ประพฤติตาม อยางผูใหญยอมปลอดภัย น้ําพ่ึงเรือ ชายขา้ วเปลือกหญงิ ข้าวสารโบราณว่า น�้าพ่ึงเรอื เสอื พึง่ ปา่ อัชฌาสัย เสือพ่ึงปา หมายถึง พึ่งพาอาศัยกัน ความรูทว มหวั เอาตวั ไมรอด หมายถึง เรากจ็ ติ คิดดูเล่าเขากใ็ จ รกั กันไวด้ ีกว่าชังระวังการ มีความรูมากแตไมรูจักใชความรูให เปนประโยชน ฆาควายเสียดายพริก ผูใ้ ดดีดีตอ่ อย่าก่อกิจ ผู้ใดผดิ ผอ่ นพกั อยา่ หกั หาญ หมายถึง ทําการใหญไมควรตระหนี่ คบคนพาลพาลพาไปหาผิด หมายถึง สบิ ดกี ็ไมถ่ ึงกับกง่ึ พาล เป็นชายชาญอยา่ เพอ่ คาดประมาทชาย คบคนพาลมีแตอันตราย คบบัณฑิต บณั ฑติ พาไปหาผล หมายถึง คบคนดี รกั สนั้ น้นั ใหร้ ้อู ย่เู พยี งสั้น รกั ยาวนน้ั อย่าให้เยน่ิ เกนิ กฎหมาย ยอ มไดรบั ประโยชน) มิใชต่ ายแต่เขาเราก็ตาย แหงนดูฟ้าอยา่ ให้อายแกเ่ ทวดา อธบิ ายความรู อยา่ ดูถกู บญุ กรรมว่าทา� นอ้ ย น้�าตาลยอ้ ยมากเม่ือไรได้หนกั หนา จากบทประพันธ “อยาดูถูกบุญกรรมวาทํานอย อยา่ นอนเปลา่ เอากระจกยกออกมา ส่องดหู นา้ เสยี ทหี นึ่งแล้วจึงนอน น้ําตาลยอยมากเม่ือไรไดห นักหนา” เห็นตอหลกั ปักขวางหนทางอย ู่ พิเคราะหด์ คู วรทง้ึ แล้วจงึ ถอน • จากบทประพนั ธข า งตน หมายความ เหน็ เตม็ ตาแล้วอยา่ อยากท�าปากบอน ตรองเสยี ก่อนจงึ คอ่ ยท�ากรรมทงั้ มวล วา อยา งไร (แนวตอบ หมายถึงการทําบุญตาม ค่อยดา� เนินตามไตผ่ ูไ้ ปหน้า ใจความว่าผมู้ ีคณุ อย่าหนุ หวน กาํ ลงั ศรทั ธามนี อยทํานอ ยมีมาก ทํามาก) เอาหลงั ตากแดดเปน็ นจิ คิดค�านวณ รู้ถ่ถี ว้ นจึงสบายเม่อื ปลายมือ 94 คมู ือครู เพชรอยา่ งดีมีค่าราคายงิ่ ส่งใหล้ ิงจะรคู้ ่าราคาหรอื ตอ่ ผดู้ ีมีปัญญาจึงหารือ ให้เขาลือเสียว่าชายนีข้ ายเพชร ของสง่ิ ใดเจ้าว่างามต้องตามเจ้า ใครเลยเล่าจะไม่งามตามเสด็จ 94 ขยายความเขาใจ เกร็ดแนะครู ใหน กั เรียนทองจาํ บทอาขยาน บทขึ้นตนกลอนประพันธเปนสวนแนะนําตัว เร่อื ง อศิ รญาณภาษิต ในหนา 94 ของกวีซึ่งตามขนบโบราณกวีตองถอมตน แตบท แลวใหนกั เรยี นบอกขอ คิดจาก ประพันธน้ีสะทอนใหเห็นวากวีมีความมั่นใจใน บทอาขยานทที่ อง ความสามารถทางภาษาและการประพันธของ ตนเอง

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate จ�าไวท้ กุ สิ่งจริงหรือเทจ็ พริกไทยเมด็ นดิ เดยี วเค้ยี วยังรอ้ น อธิบายความรู เกิดเปน็ คนเชงิ ดูให้รเู้ ท่า ใจของเราไม่สอนใจใครจะสอน อยากใชเ้ ขาเราตอ้ งกม้ ประนมกร ใครเลยหอ่ นจะวา่ ตวั เปน็ วัวมอ ครูแบง นักเรยี นออกเปน 5 กลมุ เป็นบา้ จีน้ ิยมชมว่าเอก คนโหยกเหยกรกั ษายากลา� บากหมอ ศกึ ษาหัวขอ การเรยี นรู ดงั นี้ อนั ยศศกั ด์มิ ิใช่เหลา้ เมาแตพ่ อ ถา้ เขายอเหมอื นอยา่ งเกาให้เราคนั บ้างโลดเลน่ เตน้ รา� ท�าเปน็ เจ้า เปน็ ไรเขาไมจ่ ับผดิ คิดดขู ัน ใหนักเรียนแตละกลุมเลือกสุภาษิต ผีมนั หลอกช่างผตี ามทีมนั คนเหมือนกันหลอกกันเองกลัวเกรงนกั อิศรญาณบทที่ชอบมาเปนหัวขอแจง สูงอย่าใหส้ งู กว่าฐานนานไปลม้ จะเรียนคมเรยี นเถดิ อย่าเปดิ ฝัก ใหครูทราบหัวขอ แลวคนควาหา คนสามขามปี ญั ญาหาไว้ทัก ทไี่ หนหลกั แหลมคา� จงจา� เอา คาํ สอนในลกั ษณะเดยี วกนั กบั สภุ าษติ เดนิ ตามรอยผู้ใหญ่หมาไมก่ ดั ไปพดู ขดั เขาทา� ไมขัดใจเขา ทนี่ ักเรยี นชอบพรอ มยกตวั อยาง ใครท�าตึงแล้วหย่อนผอ่ นลงเอา นกั เลงเก่าเขาไม่หาญราญนักเลง เปน็ ผู้หญิงแม่หมา้ ยทไี่ ร้ผวั ชายมกั ยว่ั ทา� เลยี บเทียบข่มเหง (แนวตอบ เชน ไฟไหมย้ งั ไม่เหมือนคนท่ีจนเอง ท�าอวดเก่งกบั ขอ่ื คาว่ากระไร “อยา คบมติ รจิตพาลสันดานชั่ว อนั เสาหนิ แปดศอกตอกเปน็ หลัก ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว จะพาตวั ใหเส่อื มทีเ่ ล่ือมใส จงฟงั หูไว้หคู อยดไู ป เช่อื น้�าใจดีกวา่ อยา่ เช่ือยุ คบนักปราชญนน่ั แหละดมี กี าํ ไร หญงิ เรยี กแม่ชายเรียกพ่อยอไวใ้ ช ้ มนั ชอบใจข้างปลอบไมช่ อบดุ ทานยอมใหค วามสบายหลายประตู” ที่หา่ งปิดท่ชี ดิ ไชใหท้ ะลุ คนจักษุเหล่หล่วิ ไพล่พล้ิวพลกิ คําสอนในลักษณะเดียวกันในโคลง เอาปลาหมอเปน็ ครูดูปลาหมอ บนบกหนออุตส่าห์เสอื กกระเดือกกระดกิ โลกนิติ เร่อื งการคบเพอื่ น ดงั วา เขายอ่ มว่าฆ่าควายเสียดายพริก รกั หยอกหยกิ ยบั ท้ังตวั อยา่ กลัวเลบ็ “ปลารา พนั หอดวย ใบคา มใิ ชเ่ นื้อเอาเป็นเนือ้ กเ็ หลือปล้า� แต่หนามต�าเข้าสักนดิ กรีดยังเจ็บ ใบกเ็ หม็นคาวปลา คละคลุง อนั โลภลาภบาปหนาตณั หาเยบ็ เมยี รู้เกบ็ ผวั ร้ทู �าพาจ�าเรญิ คือคนหมูไปหา คบเพื่อน พาลนา ถงึ รู้จริงนง่ิ ไวอ้ ยา่ ไขร้ ู เตม็ ที่ครู่เดียวเทา่ น้ันเขาสรรเสริญ ไดแตร ายรายฟุง เฟอ งใหเสยี พงศ” ไมค่ วรก�้าเกนิ หน้ากอ็ ย่าเกนิ อยา่ เพลดิ เพลินคนชงั นกั คนรักนอ้ ย หรอื วาสนาไม่คเู่ คยี งเถยี งเขายาก ถึงมีปากมเี สยี เปลา่ เหมอื นเตา่ หอย “คดส่งิ อนื่ หมืน่ แสนแมนกาํ หนด ผเี รือนตัวไมด่ ผี ีอนื่ พลอย พูดพล่อยพลอ่ ยไม่ดปี ากขีร้ ิ้ว โกฏลิ า นคดซอ นซับพอนับถว น แตไ่ ม้ไผอ่ นั หนึ่งตันอนั หนึ่งแขวะ สแี หยะแหยะตอกตะบันเปน็ ควันฉิว คดของคนลน ลํา้ คดน้าํ นวล ช้างถีบอย่าวา่ เล่นกระเดน็ ปลวิ แรงหรอื หิวชัง่ ใจดจู ะสชู้ า้ ง เหลอื กระบวนทจ่ี ะจับนบั คดคอ ม” ล้องเู ห่าเลน่ กไ็ ดใ้ จกล้ากล้า แต่ว่าอยา่ ยกั เยอื้ งเข้าเบ้ืองหาง คําสอนในลักษณะเดียวกันท่ีสอน เก่ียวกับไมใหไวใจใครในเร่ืองพระ- อภัยมณีของสุนทรภูที่พระฤๅษีสอน สินสมทุ รวา “แลวสอนวาอยาไวใ จมนษุ ย มนั แสนสดุ ลึกลํ้าเหลือกาํ หนด ถงึ เถาวัลยพ นั เกย่ี วทเี่ ล้ยี วลด ก็ไมคดเหมือนหน่ึงในน้าํ ใจคน” 95 ขยายความเขาใจ นกั เรียนควรรู เกรด็ แนะครู ใหนักเรียนนําสํานวนสุภาษิตท่ี ชนื่ ชอบมาเปน หวั ขอ เขยี นเรอ่ื งสอนใจ แปดศอก เทียบไดกบั ครชู วนนกั เรยี นสงั เกตวา อศิ รญาณภาษติ มลี กั ษณะการใชค าํ ตายทา ย ความยาว 15 บรรทดั แลวออกมาเลา 8 เมตร วรรค ทาํ ใหเกิดเสยี งกระตุกชะงัก เกิดเสยี งกระแทกกระท้นั มากขึน้ เชน หนา ชัน้ เรียนใหครแู ละเพ่อื นๆ ฟง หญิงเรียกแมช ายเรยี กพอยอไวใ ช มนั ชอบใจขางปลอบไมช อบดุ ทห่ี างปด ทช่ี ิดไชใหทะลุ คนจกั ษุเหลหล่วิ ไพลพล้วิ พลิก คมู ือครู 95

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธิบายความรู (ยอ จากฉบับนกั เรยี น 20%) 1. ใหนักเรยี นจับครู วบรวมสํานวน ต้องว่องไวในท�านองคล่องท่าทาง ตบหวั ผางเดียวมว้ นจึงควรลอ้ สภุ าษติ ในหนา ท่ี 95-96 วา มสี าํ นวน ถงึ เพ่อื นฝูงทช่ี อบพอขอกนั ได ้ ถา้ แม้ใหเ้ สียทุกคนกลัวคนขอ อะไรบา ง พอ่ แมเ่ ล้ยี งปดิ ปกเปน็ กกกอ จนแลว้ หนอเหมอื นเปรตเหตุด้วยจน (แนวตอบ มีหลายสาํ นวน เชน ถงึ บุญมีไมป่ ระกอบชอบไมไ่ ด้ ตอ้ งอาศยั คิดดจี ึงมีผล คมในฝก ฟง หูไวหู บญุ หาไม่แลว้ อยา่ ไดท้ ะนงตน ปุถุชนรกั กบั ชงั ไมย่ ง่ั ยืน(๑) ฆาควายเสียดายพริก ตวั ยากอยากจะไปอาศยั เขา ถึงเปน็ ญาตกิ เ็ ปลา่ เหมือนผอู้ ่ืน ผีซํา้ ด้ําพลอย เปน ตน แมม้ ง่ั มเี หมือนกันจึงยัง่ ยนื การยิงปืนลูกถึงแล้วจงึ ดัง อนั คลืน่ ใหญใ่ นมหาชลาสนิ ธุ ์ เขา้ ฝั่งส้นิ สาดเข้าไปทีใ่ นฝั่ง 2. อธบิ ายความหมายของสาํ นวน เสยี งกลองดงั ฟังดูเพียงหฟู งั ปากคนดังองึ จรงิ ยิ่งกวา่ กลอง สุภาษิตที่นกั เรียนรวบรวมได ถ้าทา� ดีกจ็ ะดีเป็นศรศี กั ด ์ิ ถ้าท�าชัว่ ช่ัวจกั ตามสนอง (แนวตอบ คมในฝก หมายความวา ความช่ัวเราลลี้ ับอยา่ กลับตรอง นอนแลว้ มองดผู ดิ ในกิจการ ผมู คี วามรูความสามารถ เม่อื ยงั เราทา� ผิดสิง่ ใดในราชกิจ อุตส่าห์คิดอย่าแพร่งแถลงสาร ไมถ งึ เวลาก็จะยังไมแสดงออกมา คิดถึงผดิ จติ ไม่เหิมฮึกทะยาน คดิ ถึงชอบแลว้ กป็ านละเลงิ ใจ ฟงหูไวหู หมายความวา ฟง เร่ือง เป็นข้าเฝ้าเหล่าเสวกามาตย ์ ยง่ิ กวา่ ทาสทาสาค่าสินไถ่ ราวจากหลายๆ ฝา ยกอ นตัดสนิ อยา่ ใชช้ ิดอย่าใหห้ ่างเป็นกลางไว้ ฝ่ายขา้ งในอย่าน�าออกนอกอยา่ แจง ผซี ํา้ ด้าํ พลอย หมายความวา เม่ือ มิควรทูลกอ็ ย่าทลู ประมลู ข้อ จะเกดิ กอ่ ลุกลามความแสลง พลาดพลั้งก็ถกู ซํ้าเติม) อย่าพูดปดใหจ้ บั ไดพ้ ูดไพล่แพลง ทลู แล้วแบ่งมุสาอย่าให้เต็ม อนั ความเรอื่ งเดยี วกนั สา� คัญกล่าว พดู ไมด่ แี ล้วกเ็ ปลา่ ไมแ่ ขง็ เขม้ นกั เรยี นควรรู ข้าวตม้ รอ้ นอย่ากระโจมคอ่ ยโลมเล็ม วิสัยเข็มเล่มน้อยร้อยช้าชา้ ถึงโปร่งปรุในอุบายเปน็ ชายชาต ิ แม้หลงมาตุคามขาดศาสนา ปถุ ชุ น หมายถงึ สามญั ชนทั่วไป มี อันความหลงแม้ไตป่ ลงสงั ขารา แตท่ วา่ รู้บ้างค่อยบางเบา ท้ังรักและชังสลับกันไปไมคงท่ียอม อย่าโอกโขยกอย่ใู นโลกสันนวิ าส แตน่ กั ปราชญ์ยังรู้พงึ่ ผเู้ ขลา เปลี่ยนแปลงไดเ สมอ เหมอื นเรอื ช่วงพ่วงล�าในสา� เภา เรอื ใหญเ่ ขา้ ไมไ่ ดใ้ ชเ้ รอื เลก็ คนพนั หนึง่ ดงึ ดือ้ ถอื มานะ ในทฏิ ฐะแขง็ จรงิ ยง่ิ กว่าเหลก็ นักเรยี นควรรู เหล็กเผาไฟมอญไทยพมา่ เจ๊ก ผ้ใู หญ่เดก็ กต็ ีออ่ นเพราะรอ้ นไฟ อนิจจังภาวนาวา่ กศุ ล พากนั บ่นวุน่ วุ่นบุญทีไ่ หน ชลาสินธุ หมายถงึ แมน ํ้า ทะเล (๑) ความต่อจากนี ้ พเิ คราะห์ดูเปน็ ของผูอ้ ื่นอกี ส�านวนหนึง่ ผ้แู ตง่ ไมท่ ราบเร่ืองของเจ้าอศิ รญาณ แตถ่ ้อยค�า นักเรยี นควรรู สา� นวนพอใช ้ จงึ พิมพ์ไว้ด้วย แสลง ในทีน่ ห้ี มายถงึ อาการทีร่ ูสกึ 96 กระทบกระเทอื นใจ นกั เรยี นควรระมดั ระวังไมเขียนผิดเปน สแลง ซ่ึงหมาย ถึง ถอยคําหรือสํานวนที่ใชเขาใจกัน เฉพาะกลมุ หรอื ชวั่ ระยะเวลาหนง่ึ ไมใ ช ภาษาทยี่ อมรับกันวาถูกตอง 96 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain จงั แต่ปากใจยังไมจ่ ังใจ Expand Evaluate หลงโลภลาภบาปกร็ ้อู ยูว่ ่าบาป ตณั หาหากชกั น�าให้กา� บงั ตอ่ เมอ่ื ไรสังเวชจิตอนิจจัง อธิบายความรู คนศรัทธาวา่ ง่ายสบายจิต กเิ ลสหยาบยังไม่สขุ ยอ่ มทกุ ขัง คนที่ไม่ศรทั ธาอรุ าคลอน เอาธรรมตงั้ ข่มกดใหป้ ลดร้อน ใหนกั เรยี นศึกษาเร่ืองภาพพจน หาเงนิ ตดิ ไถ้ไวอ้ ยา่ ให้ขาด ไมเ่ บอื นบดิ เร่งทา� ตามค�าสอน แลวตอบคําถาม ชาติตะปูชาตแิ ข็งต้องแทงตรงึ โง่แลว้ งอนถึงไม่ฟังก็ยังดงึ ของสง่ิ ใดสงสยั ใหพ้ สิ จู น ์ ตา� ลึงบาทหาไม่คลอ่ งเพียงสองสลงึ • คําประพนั ธท ีป่ รากฏในเร่ือง ดูดนิ น้�าลมไฟให้แยบคาย ชาตขิ ี้ผึง้ ชาตอิ อ่ นรอ้ นละลาย มีภาพพจนใดบาง ยกตวั อยา ง ปลาร้าเค็มพริกเทศเผด็ ไฉน ไมแ่ กล้งพดู ธาตทุ ง้ั ส่ดี ใี จหาย ประกอบ กลบั ฟอนฟนั พริกปลาร้าสถาพร ไล่ระบายเทจ็ กแ็ ปรแท้ไมจ่ ร (แนวตอบ ตัวอยางเชน การใช พูดโกหกแตแ่ ยบคายอบุ ายปด เอออะไรดูเถิดยังเกดิ หนอน ภาพพจนอ ุปมา เชน “โทษสัก ท่ีพูดซ่อื ถอื แทแ้ นเ่ จรจา ทง้ั เค็มร้อนไม่ถงึ กรรมเปน็ ธรรมา เทาหัวเหาเลก็ เทาเล็น” การใช เปน็ เจ้านายผ้ดู ีมวี าสนา คนท้งั หมดนั่งฟังไม่กงั ขา ภาพพจน อุปลักษณ เชน มเี มียน้อยหลักแหลมก็แถมใช้ เขากว็ ่าพดู ปดทุกบทไป “อาวุธปากกลา วดมี คี นเกรง” คณุ กับโทษสองแบง่ แรงข้างไหน เอาพอ่ ตาลงขา้ งล่างใชต้ า่ งไพร่ เปรยี บเทียบวาปากเปนอาวุธ) โทษสักเทา่ หัวเหาเล็กเทา่ เล็น ลกู เขยจนแลว้ กใ็ สค่ อเปน็ เอ็น น�้าใจเอยเห็นกรรมไมท่ �าชว่ั คุณถึงใหญ่ให้ผลคนไมเ่ หน็ นักเรียนควรรู บวชหลบราชการหนักบวชยกั เย้อื ง ให้ผลเหน็ แผซ่ า่ นท่ัวบ้านเมือง หลายตา� บลหลายแห่งแขวงป่าช้า บวชต้งั ตัวต้ังใจบวชไดเ้ ร่อื ง ไถ หมายถึง ถุงยาวขนาดใหญห รือ ปา่ ชา้ ใหญค่ อื เตาไฟไยมิปลง บวชหาเฟอ้ื งหาไพบวชไม่ตรง เลก็ สาํ หรบั ใสเ งนิ หรอื สง่ิ ของ โดยมาก สัตวผ์ อมฤษีพนี ี้สองสงิ่ อศภุ พาเกดิ พินิจพศิ วง ใชค าดเอว กบั คนจนแตง่ อนิ ทรียน์ ีอ้ กี อัน สังเวชลงว่าเผาผที ุกวี่วนั บรรพชาสามปางนางสามผัว สามผู้หญิงรูปดไี มม่ ีถัน นกั เรยี นควรรู มกั เกดิ เงี่ยงเก่ยี งแง่แสห่ าความ สี่ดว้ ยกนั ดเู ป็นเหน็ ไมง่ าม เคหฐานหยาบช้าหาสะอาด ขา้ เก่าชั่วเมียชังเขายงั หา้ ม อนิ ทรยี  หมายถงึ รา งกายและจติ ใจ อย่าเขา้ ทา� ส่า� สมนิยมรก กาลลี ามหยาบชา้ อลุ ามก สิ่งมีชีวิต เปนคําพองเสียงกับ อินทรี กง่ิ ไม้เรียวหนามหนาศิลาหัก มูลฝอยใบไม้ใช่ญาติอยา่ มุ่นหมก ซ่ึงเปนชื่อของนกและปลาทะเล คํา ไฟจะตกลามไหม้ไม่ได้การ พองเสียงคือคําที่ออกเสียงเหมือนกัน เห็นเสยี บปกั อย่ทู ี่ทางกลางสถาน อาจเขียนเหมือนหรือตางกันก็ได แต ทงั้ สองคาํ มีความหมายตางกนั 97 นกั เรยี นควรรู บรรพชาสามปาง คอื ชายสามโบสถ เปนสํานวนหมายถึง ผูที่บวชแลวสึก ถึง 3 หน ใชพูดเปนเชิงตําหนิวาเปน คนท่ีไมนาคบ คมู ือครู 97

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนักเรยี น 20%) ใหนักเรยี นอธบิ ายเรอ่ื ง หยบิ ทง้ิ เสยี บญุ หนกั หนาอย่าข้คี รา้ น ทา� ไปนานแล้วกก็ า้ งไมค่ ้างคอ อิศรญาณภาษิตเกยี่ วกบั คาํ สอนที่ ถือตา� รามากนกั ขีม้ ักกรอบ มิเสยี ชอบขดั สนจนจอนจ่อ สะทอ นคา นยิ มความเปน อยูของคน ออกชื่อบาปครางฮือท�ามอื งอ ไมน่ ึกฉ้อสอ่ เสยี ดเบียดเบยี นใคร ในสังคมสมัยน้ัน จติ ดา� รงคงธรรมไมพ่ ล้�าเพลีย่ ง สูห้ ลีกเล่ยี งตามภาษาอชั ฌาสัย ถึงบอกลาภบาปแลว้ ไม่พอใจ มหี าไม่อุตสา่ หร์ ักษากาย (แนวตอบ คาํ สอนในอศิ รญาณภาษติ พระพทุ ธองคก์ ท็ รงชมว่าสมปราชญ ์ บัณฑติ ชาติเมธาปญั ญาหลาย ชใี้ หเ หน็ วา แตล ะคนมบี ทบาทแตกตา ง สู่คตเิ บ้อื งหน้าถา้ เขาตาย ทางอบายห่างไกลไมไ่ ปเลย กัน ควรปฏิบัติตนใหเหมาะสม เชน กระแสพุทธฎีกาว่ากระนี ้ เดย๋ี วนีน้ ีไ่ มก่ ระนั้นนะทา่ นเอ๋ย เด็กควรเช่ือฟงคําสอนของผูใหญ ภปิ รายเปรยเปรยี บเทยี บพดู เสยี บเแทง พระท่ีบวชตองเครงครัดในพระวินัย วิบากบญุ ให้ผลจนตอ่ งแตง่ เปน ตน ) อยเู่ ขตแขวงธานีบุรีใด จะพาตัวใหเ้ สอ่ื มทเ่ี ลื่อมใส ขยายความเขา ใจ ถ้ายากจนแลว้ ก็คนมักยม้ิ เย้ย ท่านย่อมใหค้ วามสบายหลายประตู ว่าชะชะนกั ปราชญช์ าติสถุล ท่เี กิดมันไม่มากเทา่ ปากหู จมูกรู้กแ็ ต่สดู พูดไม่เป็น ครแู บง กลุมใหน กั เรียนวิเคราะห สวรรคน์ รกที่ไหนไมแ่ จ้งแจง คนท้งั หมดแมน่ แทเ้ ขาแลเห็น สิบหา้ เลม่ เกวยี นเขน็ ไมห่ มดมวล คาํ สอนในอิศรญาณภาษิตทีส่ ามารถ อยา่ คบมิตรจิตพาลสนั ดานช่ัว โกฏิล้านคดซอ้ นซับพอนบั ถ้วน นาํ มาใชในปจ จุบัน 5 ขอ และแสดง เหลือกระบวนทีจ่ ะจบั นบั คดคอ้ ม ความคดิ เหน็ วา คบนกั ปราชญ์น่นั แหละดีมกี �าไร ไฟกเ็ กดิ หินร่อยไปเหลก็ ไม่ผอม • นักเรยี นสามารถนําคําสอนน้นั อุตสา่ ห์ถนอมใช้ไปได้นมนาน มาใชไ ดอยา งไร ความเจรญิ และความฉบิ หายน้นั ใหเ้ ห็นวา่ แสกไหนเหมาะจงึ เจาะขวาน (แนวตอบ เชน 1. “ชายขาวเปลอื ก อ้ายควิ้ ตานั้นก็เปล่าแต่เจ้าช ู้ ถือโบราณถกู เดาจึงเอาคา� หญงิ ขา วสารโบราณวา นา้ํ พง่ึ เรอื ชว่ั แตก่ ายวาจาย่อมปรากฏ น้า� ไม่เขา้ ท่วมถึงทีม่ ีดนิ ถน�า เสือพึ่งปาอัชฌาสัย” นําไปใชได ชัว่ ในใจบังปิดไวม้ ดิ เม้น ถูเงินเฟอ้ื งเหลืองก่�าเป็นทองจรงิ คดสิ่งอ่ืนหมื่นแสนแมน้ ก�าหนด อปุ เท่หท์ �าใหย้ อบชอบใจหญิง ได้ก็เกดิ ยุง่ ยิ่งร้างหยา่ กนั เราไมสามารถอยคู นเดียวได คดของคนลน้ ล�า้ คดน้�านวล ไม่จางจดื เสน่หาจนอาสัญ ตอ งพึ่งพาอาศัยกนั หนิ กับเหล็กชุดดีตีเอาเถดิ 2. “จะเรียนคมเรยี นเถิดอยา ถงึ หินนิดกรีดกดตีอดออม เปดฝก ” นาํ มาใชสอนใหเปน คน มปี ญ ญา แตมใิ หอวดรู ใหเ กบ็ จะผ่าไม้ใหพ้ นิ จิ พิศดูท่า ความรไู วใ ชเมื่อถงึ เวลาสมควร จะเขา้ หาคนผูด้ อู าการ 3. “เหน็ ตอหลกั ปกขวาง ห้าสิบปีมีประมาณฐานเกา่ เก่า หนทางอยู พิเคราะหด ูควรทง้ิ โตเท่าผลมะขวดิ สดเรง่ จดจา� แลวจึงถอน เห็นเต็มตาแลวอยา คนพนั หนึง่ เสาะสางทางเสนห่ ์ อยากทาํ ปากบอน ตรองเสียกอ น เสกที่ใดใจเจา้ ของต้องประวิง จงึ คอ ยทาํ กรรมทงั้ มวล” นาํ ไปใช รกั กันเองหรือขอสู่อยู่กันยืด สอนใหเรารูจ ักคดิ ใครครวญ ไตรต รองกอ นจะพดู หรอื ทาํ สงิ่ ใด 4. “อยานอนเปลาเอากระจก 98 ยกออกมา สองดูหนาเสียทีหนึ่ง แลว จงึ นอน” นาํ ไปใชได สอนวา เราควรสาํ รวจจิตใจของตนเองอยูเ ปนนิจวา คดิ ดหี รอื ไม เพ่ือจะไดเตือนตนไดทนั การณ 5. “คนสามขามปี ญ ญาหาไวทกั ท่ีไหนหลักแหลมคําจงจาํ เอา” นําไปใชได สอนใหเรา นกั เรียนควรรู ขอคําปรกึ ษาจากผใู หญ ผูผ า นโลกมีประสบการณม าก ควรจะฟงคาํ ทกั ทวงของทา น) ถนํา คอื ชอ่ื ดนิ ชนดิ หนง่ึ สีเหลืองออน ใชท ํายาไทย เปน คํามาจากภาษาเขมร แปลวา ยา ถนําทกั คือใชท ํายา 98 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate อนื่ อ่นื นั้นยกไวใ้ นส�าคญั กบั อีกอนั ปฏบิ ัติไมข่ ัดเรา อธิบายความรู คนมียศรปู สวยท้ังรวยทรัพย์ เสน่หบ์ ทนี้ปับขลังจริงเจ้า สาวสาวเห็นหมดหน้าถา้ จะเอา ไมต่ อ้ งเปา่ เสกคาถากม็ าเจียว ครใู หนกั เรยี นอธบิ ายบทประพนั ธ คนแกม่ ีสปี่ ระการโบราณวา่ แก่ธรรมาพสิ มัยใจแห้งเห่ยี ว ดังตอไปน้ี แกย่ ศแกว่ าสนาปญั ญาเปรียว แต่แก่แดดอย่างเดียวแกเ่ กเร ความรทู้ ่วมหวั ตัวไม่รอด เปน็ คา� สอดของคนเกเรเกเส “อกี ขอหน่ึงเมืองเราชาวมนุษย เรียนวิชาไม่แม่นยา� คะนา�้ คะเน ไปเทย่ี วเตร่ประกอบช่วั ตัวจึงจน ยอมวา พทุ ธกบั ไสยต้งั ใจวา ทะเลน้อยเทา่ รอยโคโผไม่ได้ โดยว่าใจยงั ก�าหนัดขัดมรรคผล ถอ ยทีถอยอาศยั กนั ไปมา หญิงขมน้ิ ชายปนู ประมลู ปน ไหนจะพ้นทะเลแดงต�าแหนง่ เนื้อ ท้งั เจรจารําคาญหดู ูไมง าม จิง้ จกเรียกจระเข้บกยกข้ึนทา้ แมวตัวเลก็ เขากว็ ่าเปน็ อาเสือ พทุ ธแปลวาพระเจาทานกลาวแก แมวเป็นอาของพยัคฆช์ ักว่านเครือ ไมน่ า่ เชื่อหลานอะไรใหญ่กว่าอา ไสยนัน้ แปลวา ผีนี้ไดถ าม อีกขอ้ หนึง่ เมอื งเราชาวมนุษย ์ ย่อมวา่ พทุ ธกบั ไสยต้งั ใจว่า ผิดหรือถกู ไมตรึกตราเจรจาตาม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไปมา ทง้ั เจรจารา� คาญหดู ไู มง่ าม มเี น้อื ความในคัมภีรบาลใี ด” พุทธแปลวา่ พระเจา้ ท่านกลา่ วแก้ ไสยนัน้ แปลวา่ ผีนีไ้ ด้ถาม (แนวตอบ บทประพนั ธน ส้ี ะทอ น ผิดหรอื ถูกไม่ตรึกตราเจรจาตาม มีเนื้อความในคัมภรี บ์ าลีใด ใหเหน็ ทัศนคตขิ องกวีวา พระพทุ ธ- ว่าพระพุทธองค์ไปอาศยั ผ ี ผีไปพงึ่ บารมที ี่ตรงไหน ศาสนาไมมีคําสอนเร่ืองไสยศาสตร ถ้อยทถี อ้ ยพึง่ กันน้นั อยา่ งไร คร้ันวา่ ไลเ่ ข้ากซ็ ดั ลัทธิแรง มาปะปนแตอ ยางใด) เป็นวาจากรรมเปล่าไมเ่ ข้าข้อ ร้แู ลว้ ก็นิง่ ไว้อย่าไดแ้ ถลง แมพ้ ลั้งปากเสยี ศลี พลาดตนี แพลง มกั ระแวงข้างเป็นโทษประโยชน์น้อย ขยายความเขาใจ หนึ่งนักปราชญ์ผ้เู ขลากลา่ วก�าเนดิ วา่ กระต่ายไปเกดิ เปน็ หิง่ ห้อย เพราะอยา่ งนน้ั รัศมสี ีจึงย้อย แลว้ อยา่ พลอยพูดไถลเหมอื นไม้ลิด ใหน ักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ วา จะคบมติ รสนิทนกั มักเปน็ โทษ เกดิ ขึง้ โกรธต่างต่างเพราะวางจติ • ปจ จบุ นั มคี วามเชอ่ื เรอื่ งไสยศาสตร ทันระวงั ตัวทไี่ หนไมท่ นั คดิ เหตุสกั นดิ แล้วก็ได้ขดั ใจกนั ประพฤติดีฝีปากขา้ งถากถาง คือเห็นทางห้ามรักให้ชกั สั้น ปะปนอยูในสังคมไทยหรอื ไม ฉุกละหกุ คลุกคลถี ึงตรี ัน อา้ ยรมู้ ากนี่แลมนั เป็นตน้ เดมิ อยา งไร เจา้ ทา่ นเกลียดอย่าเกลียดแทนองคเ์ จ้า เอ็นดเู หลา่ ผผู้ ดิ อยา่ คดิ เสรมิ (แนวตอบ อาจจะมีหรอื ไมม ีก็ได กริ้วสงิ่ ไรช่วยแซมค่อยแต้มเตมิ ผ้ผู ดิ เพ่ิมพดู ผดิ ใช่กจิ เอง ถา ตอบวา มีเชน การสะเดาะเคราะห ผมยาวยงุ่ ทิง้ ไว้ไมส่ างหวี สนิ้ ท่พี ง่ึ แลว้ จึงมคี นข่มเหง 9 วัด การใชผา เจ็ดสเี จ็ดศอก ผกู ตน ไมท เ่ี ชอ่ื วา มผี อี ารกั ษ เปน ตน ) 99 เกรด็ แนะครู นกั เรยี นควรรู ครูแนะความรนู กั เรยี นโดยยก พลัง้ ปากเสียศลี พลง้ั ตีนตกตน ไม เปนสาํ นวน หมายถงึ พูดหรอื ทาํ อะไร บทประพันธว า โดยไมร ะมัดระวงั ยอมเกิดความเสยี หาย “คนแกมีสปี่ ระการโบราณวา แกธ รรมาพสิ มัยใจแหง เหย่ี ว แกย ศแกวาสนาปญญาเปรยี ว แตแกแ ดดอยา งเดียวแกเ กเร” บทประพนั ธน ส้ี ะทอ นใหเ หน็ คา นยิ ม ในสงั คมวา คนควรแกด ว ย 4 ประการ คือ แกธรรม แกยศ แกวาสนา และ แกปญญา แกในท่ีนี้มีความหมาย โดยนัยวา จัดเจน หนัก หรือย่ิงไปใน ทางนั้น คมู อื ครู 99

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบบั นกั เรียน 20%) 1. ใหนักเรียนแตละกลุมชวยกันเลือก อาวุธปากกล่าวดีมีคนเกรง ยงิ ให้เป้งเดียวถกู ทกุ ทกุ ค�า ประเด็นคําสอนท่ีสะทอนคานิยม ของเข้าทอี่ อกทที่ างพิเศษ ถา้ ร้เู หตกุ ็คงเหน็ เปน็ ยังค�า่ ความเชื่อของสังคมไทยมา 3 คว�า่ หงายตา� ตอกบอกแลว้ จ�า กลางคนื กลางวันร่า� อยู่อตั รา ประเด็น พรอมทั้งอธิบายความ ดตู ระกลู กิรยิ าดูอากัป ดทู ิศจบั เอาทผ่ี ลต้นพฤกษา หมายตามความเขา ใจของนกั เรยี น ดูฉลาดเลา่ กเ็ หน็ ที่เจรจา ดคู งคาก็พึงหมายสายอุบล (แนวตอบ เชน นกกระจาบเดิมหนักหนามากกวา่ แสน ไมเ่ ดอื ดแคน้ สามคั คียอ่ มมผี ล • คา นิยมการผูกมิตร ครน้ั ภายหลังอวดก�าลังตา่ งถอื ตน พรานกข็ นกระหน่า� มาพากันตาย “ผูใ ดดดี ตี อ อยา กอ กิจ ดูโรงเรอื นเปรียบเหมือนกบั สงั ขาร ปลูกไวน้ านเก่าคร�า่ ฉลา�่ ฉลาย ผใู ดผิดผอนพักอยาหักหาญ” แกล่ งแลว้ โคร่งครา่ งหนอรา่ งกาย ไมเ่ ฉิดฉายเหมือนหนุม่ กระชุม่ กระชวย หมายถงึ ควรทําดกี บั ผูทดี่ ีตอ เรา ตาก็มัวหัวก็ขาวเปน็ คราวคร�า่ หูกซ็ �า้ ไมไ่ ด้ยินเอาสน้ิ สวย แมผูท ่ีทําไมดีตอ เราก็ไมควรโกรธ แรงก็ถอยน้อยกา� ลังนงั่ ก็งวย ฟนั ก็หักไปเสยี ดว้ ยไม่ทันตาย • คา นยิ มการเคารพผใู หญ แกต่ ัณหานีท้ า� ไมจงึ ไม่แก่ ยงั ปกแผพ่ ังพานผึงตึงใจหาย “คอ ยดาํ เนินตามไตผไู ปหนา เหน็ สาวสาวเขา้ ยงั ตะเกียกตะกาย คิดอบุ ายจะใคร่เฉ่งแตเ่ กรงจน ใจความวา ผูมีคณุ อยา หนุ หวน” คืนและวันพลนั ดับกล็ ับลว่ ง ท่านทงั้ ปวงจงอุตสา่ หห์ ากุศล หมายถงึ คนที่เกิดกอ นยอ มมี พลนั ชีวติ คิดถงึ ร�าพงึ ตน อายุคนนน้ั ไม่ยืนถึงหมื่นปี ประสบการณม ากกวา ผา นโลกมา อันความมรณาถ้วนหน้าสตั ว์ แตพ่ ระตรัสเปน็ องค์พระชนิ ศรี นานกวา พบปญหาตางๆ แสนประเสริฐเลศิ ภพจบธาตรี ยังจรลีเข้าสนู่ พิ พานเอยฯ • ความเชื่อในเรื่องบุญกุศล และ การคดิ ดที ําดี “ถงึ บุญมไี มประกอบชอบไมไ ด ตอ งอาศัยคดิ ดจี ึงมีผล บญุ หาไมแ ลว อยา ไดท ะนงตน ปถุ ชุ นรักกบั ชังไมย ัง่ ยืน” หมายถึง มบี ญุ แลวตอ งคิดดีดวย จงึ จะเกดิ ผลดี และอยา ไดท ะนง ตน เพราะสิ่งตา งๆ ไมยงั่ ยืน) 2. บนั ทกึ ความรลู งสมุด ขยายความเขา ใจ การรู้จกั ช่วยเหลอื และเกอื้ กูลกันเปน็ คุณธรรมที่ชว่ ยคา้� จนุ โลก 1. ใหน กั เรยี นยกคาํ ประพนั ธจากเรือ่ ง 100 อศิ รญาณภาษิตมาเปรียบเทียบ คานิยมและความเชอื่ ในสงั คมไทย นักเรยี นควรรู • คานิยมและความเชือ่ ของคน ในสมัยกอ นเหมือนหรือตา ง โครงครา ง หมายถงึ ใหญโต เรอ รา ไมก ะทัดรัด จากสังคมสมยั นอี้ ยางไร 2. นําเสนอหนา ชนั้ เรียนใหครแู ละ เพ่อื นฟง นกั เรยี นควรรู พระชนิ ศรี หมายถงึ พระพุทธเจา 100 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate ๖ คÓศพั ท์ สํารวจคนหา ค�าศพั ท์ ความหมาย 1. ใหน กั เรยี นรวบรวมคาํ ศพั ทเ พมิ่ เตมิ จากเรื่อง โดยครูและนักเรียนชวย กระช่มุ กระชวย อาการกระปรกี้ ระเปรา่ กันแปลความหมาย แลวนักเรียน กิเลส เคร่อื งทา� ใจใหเ้ ศร้าหมอง บนั ทกึ คําศัพทลงสมุด กศุ ล ส่งิ ทีด่ ี ท่ีชอบ บุญ ขอ่ื คา เครอ่ื งจองจา� นักโทษ 2. ใหนกั เรยี นรวบรวมคาํ ไวพจนท ่ี แขวะ เอาส่งิ ของมีคมแขวะคว้านใหก้ ว้าง ในทีน่ หี้ มายถึง ไมไ้ ผเ่ จาะรู ปรากฏในเร่อื ง แลว บนั ทึกไวเ ปน คนทีจ่ นเอง คนที่ท�าตวั เองให้ยากจน หมวดหมลู งสมดุ คนโหยกเหยก คนไมไ่ ด้เรอื่ งไม่ไดร้ าว คดิ คา� นวณ คดิ ใครค่ รวญถงึ ผลท่จี ะตามมา 3. ใหนกั เรียนรวบรวมคําศัพทในเรื่อง ใครเลยห่อนจะวา่ ตวั เป็นววั มอ ไมม่ ีใครท่จี ะคิดวา่ ตนเปน็ ววั ให้คนอื่นใช้งาน ววั มอ หมายถงึ ววั ตัวผู้ อิศรญาณภาษติ ทมี่ คี วามหมาย จรติ เขลา ความประพฤติหรือกริ ยิ าอาการทีไ่ มฉ่ ลาด โดยนยั บนั ทึกลงสมดุ จักษเุ หล่ ตาเข มองไมต่ รง ฉล�่าฉลาย แตก ท�าลาย พงั ทลาย สลาย อธิบายความรู ชลาสนิ ธุ์ ห้วงน้�าใหญ ่ ทะเล มหาสมทุ ร ตะบัน ท่มิ หรือแทงกดลงไป จากการรวบรวมคาํ ศพั ทใ หน กั เรยี น ตณั หา ความทะยานอยาก อธบิ ายคาํ ทม่ี คี วามหมายโดยนยั ตา� นาน ในทน่ี ี้หมายถงึ คา� โบราณ ไถ้ ถุงผา้ ส�าหรบั ใสเ่ งินหรือส่ิงของ (แนวตอบ เชน ตอหลกั หมายถงึ สง่ิ ท่ี ไมมีความหมาย ปลายมือ หมายถึง ท�าเป็นเจา้ ไถ้หรอื ย่าม ในภายหลงั วัวมอ หมายถงึ ใหค นอ่ืน ทา� เลียบ ใชงาน เอาหลังตากแดด หมายถึง ทา� ทีวา่ ถกู เจา้ เขา้ สงิ ในความวา่ “บ้างโลดเล่นเตน้ ร�าทา� เป็นเจ้า” กมหนาทํางานหนักแบบชาวนาทําให ธาตรี พูดจาแทะโลม หลงั ถูกแดดตลอดเวลา) นพิ พาน แผ่นดิน โลก บ้าจี้ ตาย (ใชก้ บั พระอรหันต์) ขยายความเขาใจ ในทน่ี ห้ี มายถึง บา้ ยอ ใหนักเรียนแตงคําประพันธโดย 101 เลือกลักษณะคําประพันธท่ีนักเรียน ถนัดมาแตงอยางนอย 1 บท เน้ือหา ทแ่ี ตง กระตนุ ใหเ กดิ คณุ ธรรมในสงั คม และใชค าํ ศพั ทท ไ่ี ดเ รยี นรใู นอศิ รญาณ ภาษิตประกอบ (แนวตอบ “จติ มนุษยนน้ั ไซร จองจําไวใตข ่อื คา กิเลสหอ หมุ หนา หากศุ ลผลไมมี” ใชกาพยย านี 11 ในการแตงมี คาํ ศพั ทวา ข่อื คา กเิ ลสและกุศล) คมู อื ครู 101

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%) 1. ใหนักเรียนอภปิ รายวา คา� ศพั ท์ ความหมาย • เนื้อหาที่ปรากฏในเร่ือง อศิ รญาณภาษิตมีความสาํ คัญ ปากขรี้ วิ้ พดู ไมด่ ี ตอสังคมอยางไร ปดิ ปกเป็นกกกอ โอบอุม้ ทะนถุ นอมไว้ (แนวตอบ เน้ือหาท่ีปรากฏใน เปรต ผเี ลวพวกหน่ึง เรยี กคนทีผ่ อมโซเท่ียวรบกวนขอเขากิน เรอ่ื งสอนทกุ อยา งทคี่ นทวั่ ไปตอ ง ไพลพ่ ล้วิ พลกิ ในทนี่ ีห้ มายถึง ให้รจู้ ักเลีย่ ง อย่าพูดตรงเพ่ือมิใหเ้ สยี น้า� ใจ พบเจอในชีวิตประจําวัน ผูอาน มโนมยั ในความว่า “ต้องหาม้ามโนมัยใหญ่ยาวรี ส�าหรับขี่เป็นม้าอาชาไนย” สามารถนาํ มาปรบั ใชไ ดท กุ ดา น) ม้ามโนมัยใหญ่ยาวรี หมายถงึ ใจที่รู้เทา่ ทันกิเลส เพอ่ื จะได้เปน็ พาหนะ มาตคุ าม สูค่ วามสา� เร็จ 2. นักเรยี นบันทึกผลการอภิปราย เมอ่ื ปลายมอื บา้ นเกดิ เปน ประเด็นหรอื หวั ขอ แลวบันทกึ โมห์ ในภายหลัง ลงสมุด เย่ิน โมหะ ความลุ่มหลง วิบาก มีระยะยาวหรือนานยดื ออกไป ขยายความเขาใจ ศรทั ธา ล�าบาก ผลแหง่ กรรมแตช่ าตกิ ่อน ศุภอรรถ (สบุ - ภะ - อัด) ความเชอ่ื ถอื ความเลอ่ื มใส นกั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั สังขารา ถอ้ ยคา� และความหมายท่ีดงี าม สาํ นวนสุภาษิตไทย สนั นิวาส สังขาร รา่ งกาย ตวั ตน สนิ ไถ่ ทอ่ี ย่ ู ท่พี ัก การอยรู่ ่วมกนั • ในปจ จบุ ันคนไทยยงั นิยมใช สแี หยะแหยะ เงนิ ไถ่ค่าตวั ทาส สาํ นวนสุภาษติ ไทยทมี่ มี าแต หลงั ตากแดด ถูกันเบาๆ โบราณหรือไม อยา งไร หาญราญ กม้ หน้าท�างานหนกั แบบชาวนา ท�าให้หลงั ถูกแดดตลอดเวลา (แนวตอบ ความนิยมในการใช ให้เขาลอื ว่าชายนีข้ ายเพชร เก่งกลา้ ในการต่อสู้ สาํ นวนสุภาษติ ไทยที่มมี าแต อศุภ (อะ - สบุ ) ใหค้ นร่า� ลือว่าตนเองมีปญั ญาราวกบั มีเพชรมากพอทจ่ี ะอวดรวยได้ โบราณลดลง เพราะมสี าํ นวน อัชฌาสยั ไม่งาม ไมส่ วย ไม่ด ี (ใชเ้ รียกซากศพ) ใหมเ พิ่มขึน้ คนไทยจงึ เลอื กใช อัตรา กิริยาดี นสิ ัยใจคอ ความรจู้ กั ผอ่ นปรน สาํ นวนเกา บางสํานวน) อาชาไนย ระดบั ทก่ี า� หนดไว้ อาสญั ก�าเนิดดี ตระกูลดี ฝกึ มาดแี ล้ว ช่ือตระกูลม้า • นกั เรยี นมวี ิธอี นรุ กั ษส ํานวน อุปเทห่ ์ ตาย ความตาย สภุ าษติ ไทยอยา งไร วิธีดา� เนนิ การ (แนวตอบ การอนรุ กั ษสาํ นวน สุภาษิตไทยทําไดหลายวิธี เชน จดั ปา ยนเิ ทศตามวนั สาํ คญั ตา งๆ หรอื ประชาสัมพนั ธสาํ นวน สุภาษติ วันละสาํ นวน เปน ตน ) 102 102 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ๗ บทวเิ คราะห์ กระตุนความสนใจ ๗.๑ คณุ คา่ ดา้ นเนอื้ หา ครสู นทนากับนักเรียนเก่ียวกับ สํานวนสภุ าษติ ไทย อศิ รญาณภาษติ มงุ่ ใหข้ อ้ คดิ คตสิ อนใจผคู้ นในสมยั กอ่ น โดยคา� สอนนแี้ สดงใหเ้ หน็ ความจดั เจน โลกของกวี การถ่ายทอดความคิด ความเชื่อและวิถีการปฏิบัติตนให้ดีงาม เพ่ือให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นใน • นกั เรยี นชอบสาํ นวนสภุ าษติ ไทย สงั คมไดอ้ ย่างปกตสิ ุข ซ่ึงค�าสอนดงั กลา่ วยังคงนา� มาใชใ้ นสงั คมไทยปัจจบุ ันได้เป็นอย่างดี ใดมากท่ีสดุ เพราะเหตใุ ด เนือ้ หาอิศรญาณภาษิตมีคณุ ค่าในเชิงค�าสอน วา่ ควรท�าอยา่ งไรจึงจะอยูใ่ นสังคมได ้ ไมเ่ ปน็ ภยั แกต่ นเองและผู้อ่ืน โดยการสอนทง้ั แบบประชดประชัน เหน็บแนมและบอกกล่าวโดยตรง ใชภ้ าษาท่ี • สํานวนสภุ าษิตไทยใดบา ง เขา้ ใจง่าย มคี าํ ทีเ่ ก่ียวกบั สตั ว วรรณกรรมค�าสอน จะมีคุณคา่ ด้านเน้ือหาท่มี งุ่ เน้นไปในทิศทางเดยี วกัน คอื มุ่งเนน้ สอนบคุ คล (แนวตอบ เชน คางคกขึน้ วอ ในเร่อื งต่างๆ ซ่งึ กวีจะมวี ัตถุประสงค์ในการสอนวา่ จะสอนบุคคลประเภทใด เช่น สอนเดก็ สอนผ้ใู หญ่ ชางตายทง้ั ตวั เอาใบบัวมาปด สอนบรุ ษุ สอนสตรแี ละสอนในเรอ่ื งใด วรรณกรรมคา� สอนจะเนน้ สอนในสงิ่ ทที่ า� ใหผ้ อู้ า่ นไดร้ บั ประโยชน์ เขยี นเสอื ใหว วั กลวั เปน ตน ) และเกี่ยวข้องกับการด�าเนินชีวิตประจ�าวันในด้านต่างๆ เช่น สอนเด็กจะมีเนื้อหาเก่ียวกับการให้เห็น ความสา� คญั ของการศกึ ษา ใหข้ ยนั หมน่ั เพยี ร สอนขา้ ราชการจะมเี นอ้ื หาเกยี่ วกบั แนวทางการปฏบิ ตั ติ น สํารวจคน หา ใหร้ บั ราชการดว้ ยความซอ่ื สัตยส์ ุจริต ยึดถอื ประโยชนข์ องประเทศชาติเปน็ หลกั สอนสตรีจะมเี นอ้ื หา เกย่ี วข้องกบั การประพฤติตนเป็นกลุ สตรีทด่ี ี ใหน ักเรยี นศึกษาวรรณศิลปท่ี อศิ รญาณภาษติ จดั เปน็ วรรณกรรมคา� สอนทกี่ วมี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื สงั่ สอนและใหแ้ นวทาง ขอ้ คดิ ปรากฏในเรอื่ งอิศรญาณภาษิต ตา่ งๆ ในการอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ นื่ ในสงั คม คณุ คา่ ดา้ นเนอ้ื หาของอศิ รญาณภาษติ เปน็ ประโยชนส์ า� หรบั ผอู้ า่ น เนื่องด้วยกวีได้น�าประเด็นในเรือ่ งต่างๆ มาสัง่ สอนได้อย่างชัดเจนและสามารถนา� ไปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิต • เร่ืองอิศรญาณภาษิต ประจ�าวนั ได ้ ผ้อู ่านทดี่ จี ึงควรอา่ นอย่างพนิ จิ พเิ คราะห ์ พิจารณาเพอื่ สงั เคราะห์เน้ือหาทไ่ี ด้อ่าน มีวรรณศลิ ปอ ะไรบาง (แนวตอบ การใชภ าพพจนอ ุปมา ๗.๒ คณุ คา่ ดา้ นวรรณศลิ ป์ และภาพพจนอปุ ลกั ษณ การใชส ํานวน การใชโ วหาร อิศรญาณภาษิตเป็นวรรณกรรมค�าสอนท่ีกวีมีจุดมุ่งหมายเพื่อสั่งสอนเตือนใจให้มนุษย์มีสติ เปรียบเทียบ) คิดไตร่ตรองก่อนที่จะลงมือท�าสิ่งใด ซ่ึงเป็นค�าสอนที่เก่ียวกับการปฏิบัติตนต่อผู้อ่ืนในสังคมเพ่ือให้อยู่ ร่วมกันได้อย่างมีความสุข จากเรอ่ื งปรากฏการใช้สา� นวนไทยหลายส�านวน ท�าให้บทประพนั ธ์มคี วาม อธบิ ายความรู โดดเด่น กวีสามารถใช้ส�านวนภาษาได้คมคาย การน�าส�านวนมาใช้มีความเหมาะสมอย่างย่ิง ดังเช่น บทประพันธ์ ใหน ักเรยี นนําวรรณศลิ ป ที่ปรากฏในเรอื่ งมาอธิบาย วาสนาไม่คู่เคียงเถียงเขายาก ถึงมีปากมเี สยี เปล่าเหมือนเต่าหอย ผเี รอื นตัวไมด่ ผี ีอ่ืนพลอย พดู พล่อยพล่อยไมด่ ีปากข้รี ้ิว • วรรณศลิ ปที่พบสง ผลตอ เร่ือง อยา งไร พรอมยกตัวอยา ง 103 ประกอบ (แนวตอบ วรรณศิลปทีพ่ บ ไดแ ก การใชภาพพจนอปุ มา เชน “โทษสกั เทา หวั เหาเลก็ เทา เล็น” การใชภาพพจนอ ุปลักษณ เชน “อาวุธปากกลา วดีมีคนเกรง” เปรยี บปากเปนอาวธุ ที่ทําใหค น เกรงกลัวได และการใชสํานวน เชน “จงฟงหูไวห คู อยดูไป” ทําใหผอู านเขาใจความหมาย ทก่ี วีตอ งการส่ือได โดยไมตอง อธิบายมาก) คมู ือครู 103

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%) ใหนักเรียนเลือกบทประพันธท่ี กวกี ลา่ วในเนือ้ ความว่า “ผเี รือนตัวไม่ดผี ีอ่ืนพลอย” ตรงกับส�านวนวา่ ผซี า�้ ด�้าพลอย หมายถึง ประทบั ใจมา 1 บท พรอ มท้งั อภิปราย ถูกซ้�าเติมเม่ือพลาดพลั้งหรือเม่ือเคราะห์ร้าย ให้ข้อคิดว่าอย่าเถียงกับผู้ท่ีอยู่ในต�าแหน่งสูงกว่าหรือ แสดงความคิดเหน็ มวี าสนากวา่ เม่ือตัวเองเปน็ เพยี งผนู้ ้อย หากพูดอะไรท่ไี มค่ วรกม็ ีแต่จะถกู ต่อว่า มิหนา� ซ�้าจะถูกซ�า้ เตมิ ใหข้ ายหน้าอีก • บทประพนั ธท ยี่ กมานนั้ วรรณศลิ ปม ีลกั ษณะอยา งไรบาง ๑) การใชโ้ วหาร อศิ รญาณภาษติ มคี วามโดดเดน่ ในการใชโ้ วหารเพอื่ การเปรยี บเทยี บ กวสี ามารถเลอื กใชถ้ อ้ ยคา� เมอื่ ตอ้ งการสอนในเรอ่ื งนามธรรมใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจได ้ ดว้ ยการนา� ไปเปรยี บเทยี บ • โวหารเปรียบเทียบท่ีปรากฏ กับธรรมชาตทิ พี่ บเห็นได้ง่ายในชีวิตประจา� วัน ในเรอื่ งมลี กั ษณะอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดง อยา่ ดถู กู บญุ กรรมวา่ ท�านอ้ ย น�า้ ตาลยอ้ ยมากเมื่อไรได้หนกั หนา ความคดิ เหน็ ไดอ ยา งหลากหลาย อยา่ นอนเปลา่ เอากระจกยกออกมา สอ่ งดูหน้าเสยี ทหี นึ่งแล้วจงึ นอน เชน ทําใหเห็นภาพชัดเจน ไม ตองอาศัยการอธิบายท่ีเย่ินเยอ เปนตน ) ขยายความเขาใจ จากบทประพันธ์สอนให้รู้จักการท�าบุญ แม้ท�าเพียงเล็กน้อยก็ได้ผลมาก เหมือนกับ น�้าตาลสดท่ีหยดลงมารวมกันก็มากข้ึนได้ ดังนั้นคนเราในแต่ละวันอย่าปล่อยเวลาโดยไม่มีประโยชน ์ นักเรียนคิดวา “บทประพันธท่ีมี ควรพิจารณาตนเองว่าได้ท�าประโยชน์อะไรบ้างในแต่ละวัน ซ่ึงกวีเปรียบกับการส่องกระจกส�ารวจ นํ้าเสียงเหน็บแนมประชดประชัน” รา่ งกายของตนเองก่อนนอน มีขอดีหรือขอดอยอยางไร สงู อยา่ ใหส้ ูงกวา่ ฐานนานไปลม้ จะเรียนคมเรียนเถิดอย่าเปดิ ฝกั (แนวตอบ ตอบไดหลากหลายข้ึนอยู คนสามขามีปญั ญาหาไว้ทกั ทไ่ี หนหลักแหลมคา� จงจา� เอา กับทัศนะของครูผูสอน เชน ขอดี ทํา ใหผูอานเขาถึงเนื้อเรื่องไดดียิ่งข้ึน จากบทประพันธ์ใช้โวหารเปรียบเทียบเพื่อสอนในเรื่องการประมาณตน มิให้ท�าอะไร การประชดประชนั หรอื เหนบ็ แนมเกดิ ที่เกินก�าลังโดยน�ามาเปรียบเทียบกับการก่อสร้าง เพราะถ้าจะสร้างอาคารส�าคัญท่ีการวางรากฐาน จากผูเขียนต้ังใจเนนใหรูเห็นชัดเจน หากฐานไม่มีความมั่นคงแข็งแรงย่ิงสร้างสูงมากเท่าใดจะย่ิงพังลงมาง่ายมากเท่านั้น รวมท้ังให้หมั่น ขอดอย ผูอานอาจรูสึกวาผูเขียน ศึกษาหาความรู้จากผู้ใหญ่ ผู้สูงวัย ด้วยท่านเหล่านั้นผ่านการใช้ชีวิตมามากจึงอาจถ่ายทอดแนวคิด ตองการระบายอารมณความรูสึกไม เป็นตวั อย่างการด�าเนินชีวิตให้คนร่นุ หลงั ยดึ ถอื เป็นแนวทางได้ ชอบใจ บทประพันธจึงไมใหความ สาํ คัญกับความไพเราะเสนาะห)ู ลอ้ งเู ห่าเลน่ กไ็ ด้ใจกล้ากล้า แตว่ า่ อย่ายกั เย้ืองเขา้ เบื้องหาง ต้องว่องไวในท�านองคล่องทา่ ทาง ตบหัวผางเดียวมว้ นจงึ ควรล้อ เกรด็ แนะครู จากบทประพันธ์น้ี กวีใช้โวหารเปรียบเทียบศัตรูกับงูเห่า กล่าวคือให้รู้จักประเมิน ก�าลังของคู่ต่อสู้โดยเฉพาะผู้ที่มีอ�านาจมากกว่า เพราะการล้อเล่นกับงูเห่าเป็นเร่ืองอันตรายและอาจ ครูวิเคราะหความรูดานวรรณศิลป เสียชีวิตได้ เหมือนกับศัตรูควรประเมินก�าลังของท้ังคู่ต่อสู้และตนเองว่าจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่ จากอิศรญาณภาษิตใหนักเรียนฟง และจะเอาชนะได้อยา่ งไร หากเชอ่ื มั่นวา่ สามารถจะเอาชนะไดไ้ มย่ ากจึงควรสู้ วา นอกจากจะใชโวหารเปรียบเทียบ 104 ยังเปนคําสอนโดยใชเทศนาโวหาร เทศนาโวหารเปนโวหารท่ีใชในการ อบรมส่ังสอน ช้ีใหเห็นคุณและโทษ ของส่งิ ตา งๆ เพอื่ ชักจูงใหเ หน็ ตาม 104 คูม ือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate ๒) การเลน่ เสยี ง อิศรญาณภาษิตเปน็ วรรณกรรมทมี่ คี วามถึงพร้อมในด้านวรรณศิลป์ อธบิ ายความรู ดเี ดน่ ในโวหารเปรยี บเทยี บ รวมทงั้ กวเี ลอื กใชถ้ อ้ ยคา� ใหเ้ กดิ สมั ผสั คลอ้ งจองภายในวรรคจงึ ทา� ใหม้ คี วาม ไพเราะและจดจา� ไดง้ า่ ย ดงั บทประพันธ์ 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายวา การใชโวหารเปรียบเทียบของกวมี ี อนั ความเร่อื งเดียวกนั สา� คัญกล่าว พูดไม่ดแี ล้วกเ็ ปลา่ ไม่แข็งเขม้ ลักษณะที่โดดเดน อยางไร ข้าวตม้ รอ้ นอยา่ กระโจมค่อยโลมเล็ม วิสยั เข็มเล่มน้อยร้อยช้าชา้ (แนวตอบ กวใี ชก ารเปรยี บเทยี บ ถึงโปร่งปรใุ นอบุ ายเป็นชายชาติ แม้หลงมาตุคามขาดศาสนา อยา งสนั้ ๆ ตรงไปตรงมา ทาํ ใหเ หน็ อนั ความหลงแม้ไมป่ ลงสังขารา แต่ทว่ารูบ้ า้ งค่อยบางเบา ภาพชัดเจน เชน โทษสกั เทา หัวเหา เล็กเทาเล็น ใหผลเห็นแผซานทั่ว จากบทประพนั ธ์ ปรากฏสมั ผสั ภายในวรรคทงั้ สมั ผสั สระ ไดแ้ ก่ กนั - (สา� )คญั โจม - โลม บานเมือง) เขม็ - เล่ม นอ้ ย - ร้อย ปรุ - อุ(บาย) (อุ)บาย - ชาย ขาด - ศาส(นา) หลง - ปลง (สัง)ขา - รา และ 2. ใหน กั เรยี นอธบิ ายการเลน เสยี งวา การเลน เสยี งทําใหคาํ ประพันธ สัมผสั อักษร ค�าท่ใี ช้พยญั ชนะต้นเสยี งเดยี วกนั อาจเป็นพยัญชนะเดียวกันหรือพยัญชนะทม่ี เี สยี งสงู ต่า� ไพเราะไดอยางไร (แนวตอบ การเลน เสียงทาํ ให เขา้ คกู่ นั ได้ หรอื พยัญชนะควบกล้า� ชดุ เดยี วกัน ได้แก่ แข็ง - เขม้ โลม - เลม็ โปรง่ - ปรุ ชาย - ชาติ คําประพันธมีจังหวะลีลาชว ยให ไพเราะลื่นไหลและมคี วามหมาย คาม - ขาด แม้ - มา(ตคุ าม) แม้ - ไม่ บา้ ง - บาง - เบา ประทับใจ กินใจยิ่งขนึ้ ) ๓) การใชส้ า� นวน เปน็ ลกั ษณะเดน่ ทางวรรณศลิ ป์ คอื มกี ารใชส้ า� นวนไทยหลายสา� นวน ขยายความเขา ใจ มาร้อยเรียง ท�าให้ภาษามีความคมคายและมีความหมายลึกซึ้งกินใจ ท�าให้ผู้อ่านเข้าใจได้โดยไม่ต้อง ใหน กั เรยี นยกบทประพนั ธจ ากเรอื่ ง อธิบายความมาก โดยเฉพาะการใช้ส�านวนไทยที่มีความเกี่ยวข้องกับการด�าเนินชีวิตของคนในสังคม อิศรญาณภาษิตที่มีการใชสัมผัสโดด เดน สมัยน้นั มที ั้งส�านวนเปรียบเปรย เหนบ็ แนมหรือประชดประชนั ตวั อยา่ งเชน่ • ชายขา้ วเปลอื ก หญงิ ข้าวสาร ผูห้ ญงิ มกั เสยี เปรยี บผู้ชาย คอื ข้าวสารงอกใหม่ • บทประพนั ธท ยี่ กมานนั้ ไม่ได้เหมอื นขา้ วเปลือก มคี ําสัมผัสแบบใด • น�้าพึง่ เรอื เสอื พ่ึงปา่ (แนวตอบ อาจมีไดทง้ั สมั ผัส • ฆ่าควายเสยี ดายพรกิ คนเราจา� เป็นตอ้ งพึง่ พาอาศยั กันและกัน อักษร สระ และวรรณยกุ ต หรือ มีอยา งใดอยา งหนึ่ง) ท�าการใหญแ่ ตก่ ลวั หมดเปลอื งจึงทา� ใหเ้ สยี งาน • เดนิ ตามหลงั ผู้ใหญ่หมาไม่กัด ประพฤตติ ามผ้มู ีประสบการณ์ยอ่ มปลอดภัย • คาํ สมั ผัสในบทประพนั ธนน้ั • ผซี �้าดา�้ พลอย ถกู ซา�้ เตมิ เมอ่ื พลาดพลงั้ หรอื เมอ่ื คราวเคราะหร์ า้ ย สงผลตอเร่อื งอยางไร • เรอื ใหญค่ ับคลอง (แนวตอบ จากเรื่องมกี ารเลน คนท่ีเคยเป็นใหญ่เมื่อหมดอ�านาจหรือตกต่�าลง สัมผสั ในอยางแพรวพราว ทกุ วรรค ท้งั สัมผสั อักษรและ ก็วางตวั อย่างคนธรรมดาไมไ่ ด้ สัมผัสสระ การใชเสียงสัมผัสใน • กินขา้ วตม้ กระโจมกลาง อยา่ ใจร้อนผลีผลาม เพราะจะท�าให้พลาดพล้ัง ชว ยใหก ลอนเกดิ เสยี งเสนาะรอ ย เสียงานได้ เรียงร่ืนหู เชน “อศิ รญาณชาญกลอนอกั ษรสาร 105 เทศนาคําไทยใหเปน ทาน” โดยตํานานศภุ อรรถสวสั ดี) เกรด็ แนะครู คูม อื ครู 105 ครูแนะการเลนคํา จากบทประพันธในเรื่องอิศรญาณภาษิต ครูยกบทประพันธ ท่มี กี ารเลนคาํ วา “ด”ู เปนการเนนความหมายใหหนักแนน ขึ้น เชน “ดูตระกูลกริ ยิ าดูอากัป ดทู ศิ จบั เอาทผี่ ลตน พฤกษา ดฉู ลาดเลากเ็ หน็ ท่เี จรจา ดูคงคาก็พงึ หมายสายอบุ ล”

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบบั นักเรียน 20%) 1. ใหนกั เรยี นรวมกนั อภิปรายแสดง ๗.๓ คณุ คา่ ดา้ นสงั คมและสะทอ้ นวถิ ไี ทย ความคิดเหน็ ในประเด็นตอ ไปน้ี • อิศรญาณภาษิตมคี ณุ คา ดา น อศิ รญาณภาษติ เปน็ วรรณกรรมประเภทคา� สอนทส่ี นั นษิ ฐานวา่ เกดิ ขน้ึ ในรชั สมยั ของพระบาท- สงั คม และสะทอ นวถิ ไี ทยอยา งไร สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว ซึง่ ในชว่ งระยะเวลานัน้ สงั คมไทยเริ่มมกี ารผสมผสานระหวา่ งโครงสร้าง (แนวตอบ ในเนื้อเรื่องอิศรญาณ- ของสังคมไทยกับการรับอิทธิพลตะวันตก นอกจากอิศรญาณภาษิตจะสะท้อนให้เห็นสภาพสังคม ณ ภาษติ สะทอ นใหเห็นชวี ติ ชว่ งเวลาได้อย่างชัดเจนแล้ว คณุ คา่ จากเรื่องยงั คงสบื เนื่องมาถึงปจั จบุ นั ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ ความเปน อยขู องผูคนในสมัย รัตนโกสินทรตอนตน และความ ๑) ให้ความส�าคัญแก่ผู้อาวุโส สอนให้ท�าตามผู้ใหญ่ ไม่อกตัญญูและรู้จักอ่อนน้อม คดิ เหน็ ของกวที ี่มีตอ ผูหญิงใน ถอ่ มตน ดังบทประพนั ธ์ สงั คมสมยั นนั้ ) คอ่ ยดา� เนนิ ตามไตผ่ ูไ้ ปหน้า ใจความวา่ ผมู้ คี ณุ อยา่ หุนหวน 2. นกั เรยี นบันทกึ ขอสรปุ จากการ อภิปรายความคิดเห็นรวมกนั จากบทประพันธ์มีค�าว่า ผู้ไปหน้า ซ่ึงหมายถึง คนท่ีเกิดก่อนย่อมมีความรู้และมี ลงสมุด ประสบการณ์มากกว่า ควรรับฟังผมู้ ีประสบการณม์ ากกวา่ และตอ้ งกตญั ญูต่อผู้มพี ระคุณ ขยายความเขาใจ คนสามขามปี ัญญาหาไวท้ ัก ทไี่ หนหลักแหลมคา� จงจา� เอา 1. ใหน กั เรยี นยกตวั อยา งคําประพันธ บทประพนั ธด์ ังกลา่ ว กล่าวถึงคนสามขา ในท่ีนี้หมายถงึ ผูส้ ูงอายุทเี่ ดินไมค่ อ่ ยไหวตอ้ ง ท่ีสะทอ นคา นยิ มของสงั คมไทย ใช้ไมเ้ ทา้ ค�้ายัน คนเหลา่ น้ีเปน็ ผ้ทู ี่มีประสบการณ์ เราควรรบั ฟังคา� ตกั เตอื น ท่ีพบในอศิ รญาณภาษติ (แนวตอบ เชน อยากใชเ้ ขาเราตอ้ งก้มประนมกร ใครเลยหอ่ นจะวา่ ตัวเปน็ วัวมอ - วธิ กี ารผกู มิตร ... “ผใู ดดีดีตอ อยากอ กิจ หญงิ เรยี กแม่ชายเรียกพ่อยอไวใ้ ช้ มนั ชอบใจขา้ งปลอบไม่ชอบดุ ผูใดผิดผอนพกั อยา หกั หาญ” - การพึ่งพาอาศัยกัน บทประพันธ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการนอบน้อมหรือการรู้จักพูดจาถ้อยทีถ้อยอาศัย “ชายขา วเปลือกหญิงขาวสาร เปน็ แนวทางปฏบิ ตั ทิ ีแ่ สดงความออ่ นน้อมถอ่ มตนเมือ่ ตอ้ งการความช่วยเหลือจากผ้อู ื่น โบราณวา นาํ้ พงึ่ เรือเสอื พึ่งปา อชั ฌาสัย” เปน ตน) ๒) สอนให้ส�ารวจจิตใจของตนอยู่เสมอ เพื่อจะได้เตือนตนได้ทันการณ์ ดัง บทประพนั ธ์ 2. นกั เรยี นคดิ วาคาํ ประพนั ธดงั กลา ว สะทอ นคานยิ มของคนไทยใน อยา่ นอนเปลา่ เอากระจกยกออกมา ส่องดหู นา้ เสยี ทหี นึ่งแลว้ จงึ นอน ปจ จุบันไดอยา งไร (แนวตอบ แนะนาํ วธิ กี ารผกู มติ ร บทประพันธด์ งั กล่าว กวีได้เปรยี บเทียบว่า ก่อนจะเข้านอนใหเ้ อากระจกส่องดูหน้าวา่ มี สามารถรกั ษามติ รภาพใหยนื ยาว สงิ่ ใดผิดปกติหรอื ไม่ คือให้พิจารณาจติ ใจหรือความฟงุ้ ซา่ นที่ทา� ให้จติ ใจไม่สงบ และกา� จดั ออกไปใหไ้ ด้ และชี้ใหเ หน็ ความสําคัญของการ ก่อนเข้านอน รวมทัง้ พจิ ารณาว่าตลอดทัง้ วันไดท้ า� คณุ ประโยชนใ์ ดไปบา้ ง พงึ่ พาอาศัยกนั จะไดอ ยูรวมกัน อยา งมีความสุข) 106 106 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate ๓) สอนให้รจู้ กั ประมาณตน ไมท่ �าอะไรเกนิ กา� ลงั และฐานะของตน ดงั บทประพันธ์ อธบิ ายความรู สงู อยา่ ใหส้ งู กวา่ ฐานนานไปล้ม จะเรยี นคมเรียนเถิดอยา่ เปิดฝัก 1. ครูใหนกั เรยี นจัดกลุม เพื่อจบั สลาก ประเด็นตางๆ ตอไปนี้ บทประพนั ธด์ งั กล่าวแสดงให้เหน็ วา่ การทา� สง่ิ ใดควรใหร้ จู้ กั พอด ี พอประมาณ ไม่มาก • การรจู กั ประมาณตน เกนิ ก�าลงั ความสามารถของตน และเมอื่ เรยี นรสู้ ง่ิ ใดแลว้ อยา่ อวดรจู้ นเกนิ งาม • การรจู ักขยันหมน่ั เพยี ร • การอยรู วมกนั ของคนในสังคม ๔) สอนให้รู้จักขยนั หมน่ั เพียร การท�าส่งิ ใดควรหม่นั ท�าอยู่เสมอ ดงั บทประพันธ์ • การทําบุญทําทานตามกาํ ลงั ทรพั ยของตน เอาหลงั ตากแดดเป็นนิจคดิ ค�านวณ รถู้ ่ีถ้วนจึงสบายเม่ือปลายมือ 2. ใหนักเรยี นแตละกลุมอภปิ ราย บทประพันธ์ข้างต้นหมายถึง การท�างานด้วยความขยนั อดทนท�างาน แม้ว่างานทีท่ �าจะ ตอบคําถามดงั นี้ เหนด็ เหนอ่ื ยและล�าบาก แต่สุดท้ายกจ็ ะได้อยู่อย่างสุขสบายในอนาคต • นกั เรยี นมแี นวทางในการปฏิบตั ิ ตามประเด็นทีจ่ บั สลากอยางไร ๕) สอนการอยรู่ ว่ มกันของคนในสังคม ตอ้ งรจู้ ักพ่งึ พาอาศัยกัน ควรรักและเหน็ ใจ (แนวตอบ เชน การขยันหมนั่ เพยี ร ซ่ึงกนั และกัน ดังบทประพนั ธ์ ในหนาที่ที่ตองรับผิดชอบ โดย การนาํ หลักพระพทุ ธศาสนา ............................................... น้�าพึ่งเรอื เสอื พง่ึ ปา่ อชั ฌาสัย อทิ ธบิ าท 4 อันไดแก ฉันทะ เราก็จิตคดิ ดูเลา่ เขาก็ใจ รกั กนั ไว้ดีกวา่ ชังระวงั การ ความพอใจ วิรยิ ะ ความเพยี ร ผใู้ ดดีดตี อ่ อย่าก่อกิจ ผูใ้ ดผดิ ผอ่ นพกั อยา่ งหกั หาญ จิตตะ ความเอาใจใส วิมังสา การสอดสองดูแลติดตามมาเปน หลักคิดและปฏิบัติ เปน ตน ) จากบทประพนั ธแ์ สดงใหเ้ หน็ การอยรู่ ว่ มกนั ทต่ี อ้ งพง่ึ พาอาศยั กนั แมจ้ ะกระทบกระทงั่ กนั ขยายความเขาใจ แตก่ ต็ อ้ งร้จู กั ใหอ้ ภยั เอาใจเขามาใส่ใจเรา มเี มตตากรณุ าตอ่ กัน จะทา� ให้อยรู่ ่วมกันไดอ้ ยา่ งสงบสุข 1. ใหนักเรียนทุกคนสํารวจพฤติกรรม ๖) การท�าบญุ ท�าทานใหท้ �าตามก�าลงั ทรพั ย์ของตน อยา่ ดูถกู การท�าบญุ ผู้อนื่ ดงั ของตนเอง แลว ตอบคําถาม บทประพนั ธ์ ตอ ไปนี้ • นักเรียนปฏบิ ัตเิ หมอื นหรอื ตา ง อยา่ ดถู ูกบุญกรรมว่าทา� นอ้ ย น�า้ ตาลย้อยมากเมื่อไรได้หนกั หนา จากประเด็นทเ่ี พ่ือนนําเสนอ อยา งไร จากบทประพนั ธแ์ สดงใหเ้ หน็ วา่ การทา� บญุ ขน้ึ อยกู่ บั จติ ใจอนั เปน็ กศุ ล ความตงั้ ใจทา� บญุ (แนวตอบ ไมมผี ดิ ไมมีถกู คาํ ตอบ หากตง้ั ใจดไี มว่ า่ จะทา� ดว้ ยจา� นวนมากหรอื นอ้ ยกไ็ ดบ้ ญุ เชน่ กนั ผทู้ า� บญุ ตอ้ งรจู้ กั ตนเองและประมาณตน ของนกั เรยี นขน้ึ อยกู บั เหตผุ ลและ ว่ามฐี านะอยา่ งไร ประสบการณของนักเรียนแตละ คน) 2. ครสู ุม นักเรยี น 3-4 คนมานาํ เสนอ หนาชัน้ เรยี น 107 คมู ือครู 107

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate อธบิ ายความรู (ยอจากฉบบั นกั เรยี น 20%) ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั ๗.๔ ขอ้ คดิ ทสี่ ามารถนา� ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจา� วนั สํานวนสภุ าษติ ทป่ี รากฏในเรอื่ ง อิศรญาณภาษติ อิศรญาณภาษิตเป็นวรรณกรรมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสอน โดยเฉพาะเรื่องการปฏิบัติตนท่ีจะ ทา� ให้อยู่ในสงั คมได้อยา่ งปกตสิ ุข ดงั นนั้ การอา่ นวรรณคดปี ระเภทนผ้ี ู้อ่านจะไดร้ ับขอ้ คิดในด้านตา่ งๆ • สํานวนหรอื คาํ สอนทปี่ รากฏใน ซึ่งสามารถน�าไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�าวันได้ โดยข้ึนอยู่กับวัยและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล อิศรญาณภาษิตนน้ั ยังมีความ ดงั ต่อไปนี้ สาํ คัญหรือไมในสงั คมปจ จบุ นั เพราะเหตุใด ๑) การพ่งึ พาอาศัยกัน มนษุ ยเ์ ปน็ สัตวส์ ังคม ไม่สามารถใช้ชีวติ อยู่อยา่ งโดดเดย่ี วได้ (แนวตอบ ยังมีความสําคัญอยู ย่อมต้องพึ่งพาอาศัยกัน ถ้าจะอยู่ในสังคมให้ได้ต้องมีการถ้อยทีถ้อยอาศัยให้อภัยซึ่งกันและกัน เชน “เดินตามหลังผูใหญหมา ดังบทประพนั ธ์ ไมกัด” เพราะการรับฟงและ ปฏิบัติตามคําแนะนําของผูใหญ ............................................... น้า� พึง่ เรอื เสือพึ่งป่าอชั ฌาสยั ที่ผานโลกมากอนทําใหไดรับ เราก็จิตคดิ ดเู ล่าเขากใ็ จ รกั กันไวด้ ีกวา่ ชงั ระวงั การ ความรูมากขึ้น ปองกันไมให เกิดความผิดพลาด คนรุนใหม จากบทประพันธ์ช้ีให้เห็นว่า การพ่ึงพาอาศัยกันเป็นส่ิงส�าคัญท่ีจะท�าให้มนุษย์อยู่รอด สามารถนําขอคิดมาปรบั ใชไ ด) แม้กระทั่งธรรมชาติยังพ่ึงพาอาศัยกัน มนุษย์ก็ควรท่ีจะรู้จักการพ่ึงพากัน รู้จักการให้อภัยและให้มี ความรักไวด้ ีกว่าการเกลยี ดชังท่ไี ม่สรา้ งผลดีใหเ้ กิดขึ้นแก่ใคร ขยายความเขาใจ ๒) การปรับตัวให้เข้ากับสังคมและการวางตนให้เหมาะสม ในชีวิตประจ�าวัน 1. ใหนักเรยี นพนิ ิจขอ คิดจากสาํ นวน ของมนุษย์ย่อมมีการติดต่อสื่อสารแลกเปล่ียนความรู้ความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน ในบางครั้งความ สภุ าษิตท่ีพบในอิศรญาณภาษติ ขัดแย้งอาจเกิดข้ึนได้ ดังนั้นอิศรญาณภาษิตจึงสั่งสอนเรื่องการปฏิบัติตนต่อผู้อ่ืนในที่สาธารณะ • สาํ นวนสุภาษติ ใดในอศิ รญาณ ดังบทประพนั ธ์ ที่เปนขอ คิดเตือนใจนักเรียน (แนวตอบ นกั เรียนตอบได ............................................... ไปพดู ขดั เขาท�าไมขัดใจเขา หลากหลายข้ึนอยูกบั มุมมอง ใครทา� ตงึ แลว้ หยอ่ นผอ่ นลงเอา นกั เลงเก่าเขาไมห่ าญราญนกั เลง ของนกั เรยี น แตครูควรแนะให นกั เรียนเห็นความสําคญั ของ ๓) การใหค้ วามเคารพผอู้ าวโุ ส ประพฤติปฏบิ ตั ิตามแนวทางทีผ่ ูใ้ หญเ่ คยทา� มาก่อน สํานวนสุภาษิตท่มี มี าแตโ บราณ) ผทู้ เ่ี กดิ กอ่ นยอ่ มมคี วามรแู้ ละมปี ระสบการณม์ ากกวา่ จงึ ควรขอคา� ปรกึ ษาจากผเู้ ฒา่ ผแู้ ก ่ ดงั บทประพนั ธ์ 2. ครูสุม นกั เรยี น 4-5 คนมานาํ เสนอ ค่อยด�าเนนิ ตามไตผ่ ู้ไปหน้า ใจความวา่ ผ้มู ีคุณอยา่ หุนหวน หนาชัน้ เรียน คนสามขามปี ญั ญาหาไวท้ ัก ท่ีไหนหลักแหลมคา� จงจา� เอา เดนิ ตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กดั ............................................... 108 108 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate กวไี ด้แสดงทศั นะไว้ในบทประพันธ์เพอ่ื ส่งั สอน ให้แนวคดิ และขอ้ คดิ เกี่ยวกับการวางตน อธิบายความรู ในสังคม โดยเร่ิมจากการหาความรู้ให้แก่ตน การเข้าสังคมให้รู้จักเลือกคบคนที่มีปัญญามีความรู้ เพราะการคบบณั ฑติ จะนา� พาไปในทางทดี่ งี าม โดยกวเี รยี กบคุ คลทม่ี ปี ญั ญาหรอื เปน็ ผใู้ หญว่ า่ คนสามขา ใหนกั เรียนชว ยกันวเิ คราะหว า ซึ่งเป็นภาพของคนถอื ไม้เท้า อกี ประการหนงึ่ คอื การพูดจาแลกเปลยี่ นความคดิ เห็นกบั ผู้อื่น ไม่ควรพูด ทําไมคนไทยนยิ มใชส าํ นวนสุภาษติ ขดั คอหรอื ขดั ใจ หรอื ถา้ หากระหวา่ งการสนทนาเกดิ เหตกุ ารณไ์ มพ่ อใจในคา� พดู ของกนั และกนั ควรทจ่ี ะ คําพังเพยกันมาก แลว บันทึกความรู ท�าใหส้ ถานการณค์ ล่คี ลายลง ไมค่ วรมคี วามบาดหมางกนั ลงสมุด ๔) การมสี ติ จติ ใจหนกั แนน่ ไมห่ ลงเชอ่ื คา� พดู ยยุ ง ใหร้ จู้ กั คดิ ไตรต่ รองใหร้ อบคอบกอ่ น (แนวตอบ เพราะ 1. ใชเปนเครื่อง ท่จี ะมคี วามเห็นคล้อยตามค�าพูดของผู้อืน่ ดงั บทประพนั ธ์ อบรมสงั่ สอน 2. สะทอนใหเหน็ สภาพ การดําเนินชีวิตความเปนอยูของคน อันเสาหนิ แปดศอกตอกเป็นหลกั ไปมาผลักบอ่ ยเขา้ เสายังไหว สมัยนั้น ท้ังดานสังคม การศึกษา จงฟงั หไู ว้หูคอยดไู ป เชื่อนา้� ใจดีกว่าอยา่ เช่ือยุ เปนตน 3. สะทอนใหเห็นความเชื่อ ความคิด วิสัยทัศนของคนสมัยกอน จากบทประพนั ธด์ งั กลา่ ว กวไี ดแ้ สดงขอ้ คดิ ประการสา� คญั ของการฟงั คอื ใหม้ สี ต ิ ใหร้ จู้ กั 4. ใชภ าษาไดด ี ใชค าํ นอ ยแตก นิ ความ ฟังหูไว้หู ไม่เช่ือค�าพูดของผู้ใดง่ายๆ และที่ส�าคัญต้องไม่หลงไปกับค�าพูดยุยงซ่ึงเป็นการฟังท่ีไม่เกิด มาก ผูฟงสามารถเขา ใจไดทนั ที) ประโยชนต์ อ่ ผฟู้ งั โดยนา� ลกั ษณะการฟงั ดงั กลา่ วเปรยี บเทยี บกบั เสาทท่ี า� ขนึ้ จากหนิ แมจ้ ะตอกลกึ ลงไป ในดนิ แลว้ แตถ่ า้ มคี นมาจบั หรอื ผลกั หลายๆ ครงั้ กอ็ าจสนั่ คลอนหรอื ไหวเอนได ้ เหมอื นกบั การฟงั คา� พดู ขยายความเขา ใจ ยยุ งเมื่อฟงั หลายครง้ั กอ็ าจหลงเชื่อหรือหว่ันไหวไปกบั คา� พดู เหล่านัน้ 1. ครูใหนักเรียนแสดงความคิดเห็น ๕) การรับราชการ โดยสอนการปฏิบัติตนของผู้ที่ท�างานใกล้ชิดผู้ที่มีอ�านาจ ดัง เก่ียวกบั สํานวนสุภาษิตในเรื่องการ บทประพนั ธ์ ฟงอยางมสี ติ • นกั เรยี นสามารถนําขอคดิ เปน็ ขา้ เฝา้ เหลา่ เสวกามาตย์ ยิง่ กวา่ ทาสทาสาคา่ สินไถ่ เกย่ี วกบั การฟง ไปใชในชวี ติ อย่าใช้ชดิ อย่าใหห้ ่างเป็นกลางไว้ ฝ่ายข้างในอยา่ นา� ออกนอกอย่าแจง ประจําวันไดอ ยา งไร (แนวตอบ ตอบไดหลากหลาย จากบทประพันธ์สะท้อนข้อคิดประการส�าคัญส�าหรับผู้รับราชการที่จะต้องรู้จักคิด การฟง เปน สง่ิ สาํ คญั มาก หากฟง ใครค่ รวญ ไตร่ตรอง ความในไมน่ า� ออก ความนอกไม่น�าเข้า เพราะจะทา� ใหเ้ กิดความเดือดร้อน ไมเ ขา ใจหรือตีความผดิ อาจ ทาํ ใหเสียโอกาสได เชน ฟง ครู ๖) การรู้จักใช้จ่าย สังคมมนุษย์ได้เปลี่ยนจากโครงสร้างพ้ืนฐานท่ีเคยเป็นระบบ สอนบา งไมฟ ง บา ง เมื่อถงึ เวลา แลกเปลี่ยนสินค้ามาเป็นระบบเงินตราที่มีบทบาทส�าคัญทางเศรษฐกิจ อิศรญาณภาษิตได้ให้ข้อคิด สอบกท็ าํ ขอ สอบไมไ ด เปนตน) ประการหนง่ึ ท่ีใหม้ นุษย์รู้จกั การออม ดงั บทประพันธ์ 2. ครูชวนนักเรียนยกตัวอยางสํานวน หาเงินติดไถไ้ ว้อย่าใหข้ าด ต�าลงึ บาทหาไม่คล่องเพียงสองสลงึ สภุ าษิตท่ีใชในปจจุบันเกย่ี วกบั การ ฟงและการรับราชการ พรอมบอก 109 ความหมาย (แนวตอบ การฟง เชน ฟง ไมไดศ ัพท จับไปกระเดียด เปนตน การรับ ราชการ เชน ซื่อกินไมหมดคดกิน ไมนาน เปนตน) คูมอื ครู 109

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Engage Explore Explain Evaluate ขยายความเขา ใจ (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%) นักเรียนคิดวาบทประพันธตอนใด จากบทประพันธ์สะท้อนให้เห็นว่าเงินตราเป็นส่ิงจ�าเป็นในชีวิตของมนุษย์ แม้มีไม่มาก ทไี่ พเราะจบั ใจและมคี วามหมายลกึ ซง้ึ แต่กค็ วรเกบ็ หอมรอมรบิ ไว้ใชใ้ นยามจา� เป็น ใหน กั เรยี นยกตวั อยา งและแสดงความ คดิ เห็น ๗) การคบมติ ร ในสงั คมปะปนไปทัง้ คนดีและไมด่ ี ดังนั้นการมีหลกั ยึดในการคบมิตร จงึ เปน็ ส่ิงสา� คัญ ซ่งึ อิศรญาณภาษติ ไดใ้ หข้ อ้ คดิ ประการนีไ้ ว ้ ดังบทประพันธ์ (แนวตอบ เชน “คนแกม ีส่ีประการโบราณวา อยา่ คบมติ รจติ พาลสันดานชัว่ จะพาตวั ให้เส่อื มท่เี ล่ือมใส แกธ รรมาพิสมัยใจแหง เหย่ี ว คบนกั ปราชญน์ ่ันแหละดีมกี า� ไร ท่านย่อมใหค้ วามสบายหลายประตู แกย ศแกวาสนาปญ ญาเปรยี ว แตแกแดดอยางเดยี วแกเ กเร” จากบทประพันธ์ดังกล่าว กวีแสดงทัศนะประการส�าคัญที่ผู้อ่านสามารถน�าไปประยุกต์ บทประพนั ธนี้มคี วามไพเราะมกี าร ใช้ในชีวิตประจ�าวันได้ คือการคบมิตรจะต้องเลือกคบบุคคลท่ีเป็นคนดี คนฉลาด เพราะจะน�าพาไป เลนคาํ วา “แก” ซ่ึงมีความหมายวา ในหนทางแหง่ ความเจรญิ ในขณะทกี่ ารคบมิตรท่เี ป็นคนพาลจติ ใจไมด่ ียอ่ มเป็นหนทางสู่ความหายนะ เช่ยี วชาญสนั ทดั ไมไดห มายถึงคน ผู้คนในสังคมย่อมได้รับการอบรมมาแตกต่างกัน อิศรญาณภาษิตได้ให้ข้อคิดประการ สูงอายุ เราควรนาํ มาเปน แนวทาง สา� คญั ในการเลือกคบคน ดังบทประพนั ธ์ ในการดําเนินชีวติ ) นกั เรยี นควรรู ดตู ระกูลกริ ิยาดูอากปั ดทู ิศจับเอาทผ่ี ลตน้ พฤกษา ดูฉลาดเลา่ กเ็ ห็นท่ีเจรจา ดูคงคากพ็ ึงหมายสายอบุ ล การคบมิตร เปนขอ คดิ เตอื นใจที่ ปรากฏในโคลงโลกนติ ิดวยเชน กัน จากบทประพันธ์ข้างต้นการเลือกคบคนหากพิจารณาจากกิริยามารยาท ก็จะรู้ว่า ดังวา มาจากชาติตระกูลท่ีอบรมส่ังสอนดีหรือไม่ ถ้าจะดูว่าเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดดูจากค�าพูด ปลารา พันหอ ดวย ใบคา ถ้าอยากจะรู้วา่ แม่น้า� มคี วามลึกต้ืนดูได้จากความยาวของก้านบวั ใบก็เหม็นคาวปลา คละคลงุ คอื คนหมูไปหา คบเพอ่ื น พาลนา ๘) ความสามคั คี ความสามคั คยี งั คงความสา� คญั และเปน็ ธรรมะทจี่ า� เปน็ ในการทา� งาน ไดแ ตร า ยรายฟงุ เฟอ งใหเ สียพงศ รว่ มกนั และยงั ทา� ใหป้ ระเทศชาตยิ งั ธา� รงอยไู่ ด ้ อศิ รญาณภาษติ ใหข้ อ้ คดิ เกยี่ วกบั คณุ คา่ ของความสามคั ค ี ใบพอพันหอ หุม กฤษณา โดยยกนทิ านเกีย่ วกบั นกกระจาบมาเป็นตวั อย่าง ดงั บทประพันธ์ หอมระรวยรสพา เพริศดวย คอื คนเสพเสนห า นกั ปราชญ นกกระจาบเดมิ หนักหนามากกว่าแสน ไมเ่ ดือดแคน้ สามคั คยี อ่ มมีผล ความสุขซาบฤๅมว ย ดจุ ไมกล่นิ หอม ครั้นภายหลงั อวดก�าลงั ต่างถือตน พรานก็ขนกระหนา�่ มาพากนั ตาย จากบทประพันธ์ได้ให้ข้อคิดประการส�าคัญ คือไม่ว่าท่ีใดก็ตามถ้ามีความสามัคคีที่นั่น ย่อมด�ารงอยู่ได้ แต่ถ้าเม่ือใดขาดความสามัคคีก็จะท�าให้ทุกอย่างเสื่อมสูญเหมือนดังฝูงนกกระจาบที่ ต้องตายเน่ืองดว้ ยแตกความสามัคคี 110 110 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Engage Explore Explain Evaluate ๙) ทา� ดไี ดด้ ี ทา� ชว่ั ไดช้ ว่ั สงั คมไทยเปน็ สงั คมทผี่ กู พนั อยกู่ บั พระพทุ ธศาสนา ซงึ่ มสี ว่ น ขยายความเขาใจ ในการกลอ่ มเกลาจติ ใจและพฤตกิ รรมของมนษุ ยใ์ หอ้ ยใู่ นครรลองของความด ี อศิ รญาณภาษติ ไดส้ ะทอ้ น ข้อคดิ ประการสา� คญั ทม่ี คี วามเกย่ี วเนือ่ งกับพระพุทธศาสนา ดงั บทประพันธ์ 1. ใหน ักเรยี นรวมกนั อภปิ รายแสดง ความคิดเหน็ เกย่ี วกับสภุ าษิตไทย ถา้ ทา� ดีก็จะดเี ปน็ ศรศี กั ดิ์ ถ้าท�าชว่ั ชวั่ จกั ตามสนอง • สุภาษิต “ทําดีไดดี ทําช่ัวไดช่ัว” ยงั ใชในปจ จบุ นั ไดห รือไม จากบทประพนั ธ์ได้สะทอ้ นข้อคิดท่มี คี วามเก่ียวเนอ่ื งกับพระพทุ ธศาสนา คอื ท�าดีได้ดี อยา งไร ท�าชั่วได้ช่ัว ตรงกับพุทธศาสนสุภาษิตท่ีว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรม (แนวตอบ ไดหรือไมไดขึ้นอยูกับ หมายความว่า ผู้ใดกระท�าสิง่ ใดไวย้ ่อมได้รับสงิ่ นน้ั เป็นการตอบแทน เหตุผลของนักเรียน แตครูควร แนะนําวาสุภาษิตนี้สอนใหเรา ๑๐) ใหร้ ูจ้ กั ตนเอง การที่มนษุ ยจ์ ะใช้ชีวิตอยูใ่ นสังคมได้อย่างสงบสุข นอกจากการรจู้ กั ทําดี เปนคนดีเพื่อเราจะอยูรวม บุคคลอื่นแล้วที่ส�าคญั ต้องร้จู กั จิตใจของตนเอง ดังบทประพันธ์ กนั อยา งสงบสขุ เพราะทกุ คนเปน คนดีไมเ บยี ดเบียนกนั ) เกิดเปน็ คนเชิงดูให้รเู้ ทา่ ใจของเราไม่สอนใจใครจะสอน 2. จากบทประพนั ธ จากบทประพนั ธด์ งั กลา่ ว กวไี ดแ้ สดงทศั นะทเ่ี ปน็ ขอ้ คดิ เตอื นใจใหแ้ กผ่ อู้ า่ นกลบั มาสา� รวจ “นกกระจาบเดมิ หนกั หนามากกวา แสน ตนเองว่า ความรู้บางประการอาจมีครูอาจารย์สอนได้ แต่ในบางเร่ืองตนเองจะเป็นผู้สอนตนเองได้ดี ที่สุด ไมเ ดือดแคนสามัคคียอมมีผล คร้นั ภายหลังอวดกาํ ลงั ตางถือตน การอ่านวรรณคดปี ระเภทคÓสอน ผอู้ ่านอาจไมร่ ู้สึกวา่ ตนกÓลังไดร้ ับการส่งั สอน พรานกข็ นกระหน่ํามาพากันตาย” โดยตรง เพราะความเพลดิ เพลนิ ในสÓนวนโวหาร ประโยชนส์ งู สดุ ของการอา่ นอศิ รญาณ- ภาษติ คอื การไดค้ ตเิ ตอื นใจ ไดแ้ นวทางสาำ หรบั การประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นเพอ่ื ใหอ้ ยใู่ นสงั คม จากขอความทีย่ กตวั อยา งมา ได้อย่างมีความสุข สิ่งที่สÓคัญท่ีสุดคือสัจธรรมคÓสอนในเร่ืองเป็นความจริงที่สามารถ สะทอ นใหเ หน็ ความสาํ คญั ของ พสิ จู นไ์ ด ้ แมว้ า่ จะเปน็ เพยี งเรอื่ งสนั้ ๆ แตก่ ใ็ หป้ ระโยชนแ์ กผ่ อู้ า่ นอยา่ งมหาศาล ถา้ ผอู้ า่ น ความสามคั คี ใหน ักเรยี นชวยกนั นำามาปฏิบตั ิในชีวติ ประจÓวนั ยกตัวอยา งวา มวี รรณคดี วรรณกรรม หรือนทิ านเรอ่ื งใดอีก 111 ท่ีเนนเรอื่ งความสามัคคี (แนวตอบ เชน เร่อื งสามัคคเี ภท- คาํ ฉนั ท) เกรด็ แนะครู ครูแนะใหนักเรียนนําขอคิดท่ีได จากเรื่องอิศรญาณภาษิตไปปรับใช ในชีวิตจริง ครูช้ีใหเห็นผลท่ีเกิดจาก การปฏิบัติตาม โดยยกตัวอยางจาก สถานการณจริงประกอบการชี้แนะ เพื่อใหนักเรียนเห็นภาพและแนะแนว ทางในการนําไปปฏบิ ตั ิ คูม อื ครู 111

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ (ยอ จากฉบบั นกั เรียน 20%) ใหนกั เรียนเลือกขอ คดิ ที่ประทบั ใจ บอกเลา่ เกา้ สิบ จากเรือ่ ง คําสภุ าษติ • ขอ คดิ น้ันมีความสาํ คัญตอ นักเรียนหรอื สังคมอยางไร สํานวนที่ปรากฏใชอยูในภาษาไทยปจจุบันหลายสํานวนมักใชผิด เพราะภาษาเกิดการ (แนวตอบ เชน เปล่ยี นแปลง คนตางยุคตา งสมยั จงึ ตคี วามคําศพั ทเขากบั ความเขา ใจพน้ื ฐานของแตล ะคน เม่อื ใช “ดตู ระกลู กริ ยิ าดูอากปั คําผิด ความหมายโดยแทจริงของสํานวนจึงผิดหรือคลาดเคล่ือนไปได ดังตัวอยางที่ปรากฏใน ดทู ิศจบั เอาท่ีผลตน พฤกษา อศิ รญาณภาษติ เชน “ผเี รือนตัวไมด ีผอี นื่ พลอย” ตรงกับสาํ นวนวา ผีซาํ้ ดาํ้ พลอย ซึ่งมกั มีผใู ช ดูฉลาดเลากเ็ หน็ ทเี่ จรจา ผิดวา ผซี ้ําดา มพลอย เพราะคําวา ดา ม เปน คาํ ท่ีคุนหูคนไทยปจ จุบันมากกวา ดคู งคากพ็ ึงหมายสายอุบล” ตรงกบั สาํ นวนท่ีวา คาํ วา ดาํ้ หมายถงึ ผเี รอื น ดงั นนั้ ผซี า้ํ ดาํ้ พลอย แปลความหมายตามคาํ ศพั ทไ ดว า ถกู ผที าํ ให “สาํ เนยี งสอ ภาษา กริ ยิ าสอ สกลุ ”) เกิดเคราะหกรรมแลวยังถูกผีเรือนซ้ําเติมใหเปนเคราะหรายซ้ําซอนกันมากขึ้นอีก ผีซ้ําดํ้าพลอย เม่ือเปน สาํ นวนจึงมีความหมายวา ถกู ซ้ําเติมเมือ่ พลาดพล้งั ลงหรอื เมื่อคราวเคราะหราย ตรวจสอบผล นอกจากนี้ ยังมีสาํ นวนอ่นื ๆ ท่มี กั ใชผิดอีก เชน 1. นกั เรยี นสรปุ เร่ืองยอเปน - ตีตนกอนไขหรือตีตนตายกอนไข หมายถึง กังวลทุกขรอนหรือหวาดกลัวในเรื่องท่ียัง ความเรียง แลวบนั ทกึ ลงสมุด ไมเกิดขน้ึ มกั ใชผิดวา ตตี วั ไปกอ นไข - ตีตวั ออกหากหรอื เอาใจออกหาก หมายถึง หางเหนิ ไปไมรวมมอื รว มใจเหมอื นเดิม ตตี น 2. นกั เรียนอธิบายความหมายของ จากไป ปลกี ตวั ออกไป มักใชผ ดิ วา ตตี วั ออกหา งหรือเอาใจออกหา ง เปนตน สํานวนสุภาษติ ในเร่ืองอศิ รญาณ ผใู ชภ าษาควรศกึ ษาและใชส าํ นวนใหถ กู ตอ ง เพอ่ื ใหส อื่ สารความหมายทแี่ ทจ รงิ ไดแ ละสบื ทอด ภาษติ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติท่ีสะทอนอยูใ นสาํ นวนภาษาใหคงอยสู ืบไป 3. นกั เรียนยกตวั อยางสํานวนสุภาษิต ในเรื่องอิศรญาณภาษิตทส่ี ะทอน ใหเห็นวถิ ีไทย และแสดงใหเ หน็ คุณคา ดานสังคมและวรรณศิลป 4. นกั เรียนยก “ขอ คิดในเรอ่ื ง อิศรญาณภาษิต” นาํ ไปใชใ นชีวติ ประจาํ วันได 5. นกั เรยี นทองจาํ บทอาขยานตาม ท่ีกําหนดได 6. นักเรยี นตอบคําถามประจําหนวย การเรยี นรู 112 112 คูมอื ครู


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook