ก ค�ำ น�ำ เอกสารประกอบการเรียนท่ีท่านกำ� ลงั ศึกษาอยนู่ ้ีเป็นเล่มท่ี 4 เร่ือง ภมู ลิ กั ษณร์ อง กบั การสร้างภมู ิทศั นท์ างวฒั นธรรม สำ� หรับนกั เรียนโรงเรียนบุญวาทยว์ ิทยาลยั อำ� เภอ เมือง จงั หวดั ลำ� ปาง โดยมีเป้าหมายเพอื่ ใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรู้ ภูมิลกั ษณ์ต่างๆท่ีเกิดข้ึนจาก กระบวนการทางธรรมชาติทำ� ใหเ้ กิดเป็นพ้ืนที่ต่างๆที่มนุษยส์ ามารถใชป้ ระโยชนไ์ ด้ โดยผจู้ ดั ทำ� หวงั วา่ จะช่วยพฒั นาการเรียนรู้ของนกั เรียนใหม้ ีประสิทธิภาพสอดคลอ้ ง กับหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 และหลกั สูตรภูมิศาสตร์ โอลิมปิ กของ มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิ กวิชาการ และพฒั นามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถมั ภส์ มเด็จพระเจา้ พี่นางเธอ เจา้ ฟ้ากลั ยาณิวฒั นา กรมหลวงนราธิวาสราช นครินทร์ ช่วยส่งเสริมการเรียนการสอนของครูใหส้ มั ฤทธ์ิผลมากยงิ่ ข้นึ สอดคลอ้ ง กบั ปรัชญาการเรียนรู้ที่ใหน้ กั เรียนสามารถเรียนรู้ไดต้ ลอดชีวิต และเพ่ิมประสิทธิภาพ ของนกั เรียนใหม้ ีศกั ยภาพในระดบั ชาติและระดบั นานาชาติสืบไป นายพภิ พภทั ร์ มดั ฉิมา ตำ� แหน่งครู วทิ ยฐานะ ชำ� นาญการ โรงเรียนบุญวาทยว์ ทิ ยาลยั อำ� เภอเมือง จงั หวดั ลำ� ปาง
ข สารบญั เรื่อง หนา้ ค�ำน�ำ ก สารบญั ข สารบญั รูปภาพ ค ค�ำแนะน�ำส�ำหรบั ครู ง ค�ำแนะน�ำส�ำหรบั นกั เรียน จ โครงสรา้ งของเอกสารประกอบการเรียน ฉ ค�ำช้ีแจงการใชเ้ อกสารประกอบการเรียน ช แผนผงั แสดงข้นั ตอนการเรียนโดยใชเ้ อกสารประกอบการเรียน ซ แบบทดสอบกอ่ นเรียน ณ เลม่ ที่ 4 เร่ือง ภมู ลิ กั ษณร์ องกบั การสรา้ งภมู ทิ ศั นท์ างวฒั นธรรม 1 ภมู ลิ กั ษณก์ ายภาพ 2 ภมู ลิ กั ษณว์ ฒั นธรรม 14 ภมู ทิ ศั นเ์ มอื ง 16 ปัญหาจากการสรา้ งภมู ทิ ศั นท์ างวฒั นธรรมของมนษุ ย ์ 18 แบบฝึกหดั ที่ 4.1 21 แบบฝึกหดั ที่ 4.2 22 แบบฝึกหดั ท่ี 4.3 25 แบบทดสอบหลงั เรียน 26 แบบบนั ทกึ คะแนน 29 ภาคผนวก 30 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน 32 เฉลยแบบฝึกหดั ท่ี 4.1 33 เฉลยแบบฝึกหดั ที่ 4.2 34 เฉลยแบบฝึกหดั ที่ 4.3 34 เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน 35 บรรณานกุ รม 28
ค สารบญั ภาพ เร่ือง หนา้ ภาพท่ี 1 ภมู ปิ ระเทศทเ่ี กดิ จากน้ำ� ผวิ ดนิ 3 ภาพที่ 2 ตวั อยา่ ง หุบผาชนั 4 ภาพที่ 3 ตวั อยา่ ง แกง่ 4 ภาพท่ี 4 เนนิ ตะกอนรูปพดั 5 ภาพท่ี 5 ทรี่ าบดนิ ดอนสามเหลย่ี มปากแมน่ ้ำ� 5 ภาพที่ 6 ภมู ปิ ระเทศเกดิ จากน้ำ� ใตด้ นิ 6 ภาพท่ี 7 ตวั อยา่ งถ้ำ� ผาไท 7 ภาพที่ 8 หลมุ ยบุ 7 ภาพท่ี 9 ภมู ลิ กั ษณน์ ้ำ� ทะเล 9 ภาพท่ี 10 ภมู ลิ กั ษณน์ ้ำ� ทะเล 9 ภาพที่ 11 ภมู ปิ ระเทศเกดิ จากลม 11 ภาพที่ 12 เสาเฉลยี ง 11 ภาพที่ 13 ภมู ปิ ระเทศจากธารน้ำ� แขง็ 13 ภาพที่ 14 ชายฝั่งแบบฟยอรด์ 13 ภาพท่ี 15 การท�ำไร่เลอ่ื นลอย 14 ภาพท่ี 16 การท�ำนาแบบวงกลม 14 ภาพที่ 17 การท�ำปศสุ ตั ว ์ 15 ภาพท่ี 18 การท�ำป่าไมแ้ ละเหมอื งแร่ 15 ภาพที่ 19 เมอื งในรูปแบบตา่ งๆ 17 ภาพที่ 20 การพฒั นาเมอื งแบบไรท้ ศิ ทาง 18 ภาพท่ี 21 ปรากฎการณโ์ ดมความรอ้ น 19 ภาพท่ี 22 แบบฝึกท่ี 6 22 ภาพที่ 23 แบบฝึกที่ 7 23 ภาพท่ี 24 แบบฝึกที่ 8 23 ภาพท่ี 25 แบบฝึกที่ 9 24 ภาพที่ 26 แบบฝึกที่ 10 24 ภาพที่ 27 ภมู ทิ ศั นว์ ฒั นธรรม 25
ง คำ� แนะนำ� ส�ำหรับครู การใชเ้ อกสารประกอบการเรียน เร่ือง บา้ นของฉนั โลกของเรา รายวชิ าสงั คมศึกษา ส�ำหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 เอกสารประกอบการเรียนเล่มท่ี 4 เรื่องภมู ลิ กั ษณร์ อง กบั การสรา้ งภมู ทิ ศั นท์ างวฒั นธรรมค ใชป้ ระกอบแผนจดั การเรียนรู้ท่ี 4 เวลาเรียนจ�ำนวน 1 ชวั่ โมง มีจุดมุ่งหมายเพ่ือใหก้ ารด�ำเนินกิจกรรมการเรียนไดบ้ รรลุตามมาตรฐาน ตวั ช้ีวดั และจุดมุ่งหมายของการเรียนและมีประสิทธิภาพ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน เพื่อให้นกั เรียนไดศ้ ึกษาและท�ำกิจกรรม เพื่อตรวจสอบความกา้ วหนา้ ของนกั เรียนโดย ผสู้ อนควรเตรียมความพร้อมและปฏิบตั ิตามค�ำแนะน�ำดงั ต่อไปน้ี 1. ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกบั แผนจดั การเรียนรู้ เน้ือหาท่ีสอน เอกสารประกอบ การเรียน และค�ำช้ีแจงต่างๆ ใหเ้ ขา้ ใจก่อนด�ำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ 2. เตรียมเอกสารประกอบการเรียนใหพ้ ร้อมและครบจ�ำนวนนกั เรียนในช้นั เรียน 3. ก่อนจดั กิจกรรมการเรียนรู้ครูควรช้ีแจงให้นกั เรียนเขา้ ใจบทบาทของตนเอง แนะน�ำข้นั ตอนการใชเ้ อกสารประกอบการเรียนแนวปฏิบตั ิในระหวา่ งการด�ำเนินกิจกรรม การเรียนรู้แลว้ จึงใหท้ �ำแบบทดสอบก่อนเรียน 4. ขณะที่นกั เรียนศึกษาเอกสารประกอบการเรียนครูคอยใหค้ วามช่วยเหลือ แนะน�ำ กระตุน้ ให้ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนอย่างกระตือรือร้นและตอบขอ้ สงสัยต่าง ๆ ระหวา่ งเรียน พร้อมท้งั สงั เกต และประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ของนกั เรียน 5. เมื่อนกั เรียนศึกษาเอกสารประกอบการเรียนครบถว้ นใหน้ กั เรียนท�ำแบบทดสอบ หลงั เรียนแลว้ น�ำผลการทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียนแจง้ ใหน้ กั เรียนทราบความกา้ วหนา้ ทางการเรียน พร้อมท้งั เฉลยและอธิบายสรุปความรู้ 6. การวดั และประเมินผลประเมินจากแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน สงั เกตพฤติกรรมการเรียนรู้ และประเมินผลการท�ำแบบฝึกหดั 7. เม่ือสิ้นสุดการปฏิบตั ิกิจกรรมการเรียนรู้ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนร่วมตรวจสอบและ เกบ็ เอกสารประกอบการเรียนใหเ้ รียบร้อยเพื่อสะดวกในการน�ำไปใชค้ ร้ังต่อไป
จ คำ� แนะนำ� ส�ำหรับนกั เรียน เอกสารประกอบการเรียนฉบบั น่้ีประกอบดว้ ยค�ำแนะน�ำส�ำหรับครู,ค�ำแนะน�ำ ส�ำหรับนกั เรียน,โครงสร้างเอกสารประกอบการเรียน,ค�ำช้ีแจงในการศึกษา,แผนผงั ของ เอกสารประกอบการเรียน,แบบทดสอบก่อนเรียน,เน้ือหา, แบบฝึกหดั และแบบทดสอบ หลงั เรียนใหน้ กั เรียนปฏิบตั ิตามค�ำแนะน�ำดงั ต่อไปน้ี คำ� แนะน�ำส�ำหรับหัวหน้ากล่มุ 1. เป็นผนู้ �ำในการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยน�ำเอกสารประกอบการเรียนใหส้ มาชิกทุก คนปฏิบตั ิตามค�ำแนะน�ำ ใหเ้ ป็นไปตามข้นั ตอน 2. ควบคุมดูแลการท�ำงานของสมาชิกใหเ้ รียบร้อยไม่ส่งเสียงดงั รบกวนกลุ่มอ่ืน 3. ติดต่อประสานงานกบั ครูผสู้ อนเมื่อพบปัญหาภายในกลุ่ม 4. เป็นผเู้ ฉลยกิจกรรมและตรวจค�ำตอบ คำ� แนะน�ำส�ำหรับเลขานุการกล่มุ 1. เป็นผชู้ ่วยหวั หนา้ กลุ่มในการด�ำเนินกิจกรรม 2. เป็นผดู้ �ำเนินการแทนหวั หนา้ กลุ่มหากหวั หนา้ กลุ่มมีภาระกิจอ่ืน คำ� แนะน�ำส�ำหรับสมาชิก 1. อ่านค�ำช้ีแจง ค�ำแนะน�ำการใชเ้ อกสารประกอบการเรียน ข้นั ตอนการเรียนโดย ใชเ้ อกสารประกอบการเรียนใหเ้ ขา้ ใจก่อนลงมือศึกษาเอกสารประกอบการเรียน 2. ศึกษาขอ้ มลู พน้ื ฐานประกอบดว้ ยมาตรฐานการเรียนรู,้ ตวั ช้วี ดั จดุ ประสงคก์ ารเรียน รู้ สาระการเรียนรู้ และสาระส�ำคญั 3. ท�ำแบบทดสอบก่อนเรียนที่ก�ำหนดไว้ จ�ำนวน 10 ขอ้ เพือ่ ตรวจสอบความรู้พ้ืนฐาน 4. ศึกษาส่วนเน้ือหาไวต้ ามล�ำดบั ที่ก�ำหนดไวใ้ นเอกสารประกอบการเรียน 5. เม่ือศึกษาเอกสารประกอบการเรียนเสร็จเรียบร้อยแลว้ ใหท้ �ำแบบฝึ กหดั แลว้ ตรวจสอบค�ำตอบไดจ้ ากเฉลยทา้ ยภาคผนวก 6. ท�ำแบบทดสอบหลงั เรียนจ�ำนวน 10 ขอ้ 7. ตรวจค�ำตอบจากเฉลยแบบทดสอบหลงั เรียนในทา้ ยภาคผนวก พร้อมบนั ทึก ผลคะแนนลงแบบบนั ทึกคะแนนเพื่อตรวจสอบความกา้ วหนา้ ทางการเรียน หากไม่ผา่ น เกณฑท์ ี่ก�ำหนดใหท้ บทวนเน้ือหาแลว้ ใหท้ �ำแบบทดสอบหลงั เรียนอีกคร้ังหากผา่ นเกณฑ์ การประเมินใหศ้ ึกษาเอกสารประกอบการเรียน เล่มที่ 2 สณั ฐานและภูมิประเทศ 8. หากมีขอ้ สงสยั ใหข้ อค�ำอธิบายหรือถามครูผสู้ อนเพอื่ ร่วมกนั สรุปขอ้ สงสยั น้นั ๆ
ฉ โครงสร้างของเอกสารประกอบการเรียน มาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐานการเรียนรู้ที่ ส 5.1 เขา้ ใจลกั ษณะของโลกทางกายภาพ และความสมั พนั ธ์ ของสรรพส่ิงซ่ึงมีผลต่อกนั และกนั ในระบบของธรรมชาติ ใชแ้ ผนท่ีและเคร่ืองมือทาง ภูมิศาสตร์ในการคน้ หาวเิ คราะห์ สรุป และใชข้ อ้ มูลภูมิสารสนเทศอยา่ งมีประสิทธิภาพ ตวั ช้ีวดั ที่ ส 5.1 ม 4-6/3 วเิ คราะห์การเปลี่ยนแปลงของพ้ืนท่ี ซ่ึงไดร้ ับอิทธิพลจาก ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์ในประเทศไทยและทวปี ต่างๆ จุดประสงค์การเรียนรู้ เม่ือนกั เรียนปฏิบตั ิกิจกรรมตามเอกสารประกอบการเรียนน้ีแลว้ นกั เรียนสามารถ ด้านความรู้ - อธิบายและจ�ำแนกลกั ษณะภูมิลกั ษณ์แบบต่างๆได้ ดา้ นทกั ษะ - นกั เรียนสามารถเขียนแผนผงั กระบวนการเปล่ียนแปลงของพ้นื ที่ได้ ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ - กระตือรือร้นในการท�ำงาน คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. มีวนิ ยั ในการท�ำงาน 2. ใฝ่ เรียนรู้ 3. ความมุ่งมนั่ ในการท�ำงาน สมรรถนะผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ทกั ษะการใชช้ ีวติ สาระการเรียนรู้ 1. กระบวนการเปล่ียนแปลงภายนอกประกอบดว้ ย น้ำ� ผวิ ดิน ,น้ำ� ใตด้ ิน ,น้ำ� ทะเล, ลม และธารน้ำ� แขง็ 2. ภูมิทศั นท์ างวฒั นธรรม สาระส�ำคญั ภูมิลักษณ์รอง เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายนอกประกอบด้วย กระบวนการผพุ งั การกร่อนตวั การพดั พาหรือการทบั ถมทางกายภาพของโลก ท�ำใหเ้ กิด เป็นภมู ิลกั ษณ์ตา่ งๆเช่น ภมู ิลกั ษณ์จากน้ำ� ผวิ ดิน ภมู ิลกั ษณ์จากน้ำ� ใตด้ ิน ภมู ิลกั ษณ์จากทะเล ภูมิลกั ษณ์จากลมและภูมิลกั ษณ์ท่ีเกิดจากธารน้ำ� แขง็
ช คำ� ชีแ้ จงการใช้เอกสารประกอบการเรียน 1. เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง “บา้ นของฉนั โลกของเรา” เลม่ ท่ี 1เล่มท่ี 4 เรื่อง ภมู ลิ กั ษณร์ องกบั การสรา้ งภมู ทิ ศั นท์ างวฒั นธรรม ใชเ้ วลาเรียน 1 ชวั่ โมง มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ใช้ เป็นเอกสารประกอบการเรียนท่ีเนน้ ใหน้ กั เรียนไดศ้ ึกษาและท�ำกิจกรรมทา้ ยเน้ือหาน้นั ซ่ึงมี เน้อื หาอยา่ งละเอยี ดมหี วั ขอ้ สอดคลอ้ งกบั แผนจดั การเรียนรใู้ นแตล่ ะแผนจดั การเรียนรูแ้ ละยงั ใช้ เป็นส่ือประกอบการจดั กระบวนการเรียนรู้ เอกสารประกอบการเรียนรูเ้ ลม่ น้ปี ระกอบดว้ ยเน้อื หา โครงสรา้ งของโลกมเี วลาเรียน 1 ชวั่ โมง 2. ส่วนประกอบของเอกสารประกอบการเรียน ประกอบดว้ ย 2.1 ส่วนน�ำของเอกสารประกอบการเรียน ค�ำน�ำ สารบญั ค�ำแนะน�ำส�ำหรับ คครุณู คล�กัำแษนณะนะอ�ำสนั �พำหึงรปับรนะกัสเงรคีย น์ สมาารตะรกฐาารนเรกียารนเรรูี้ยสนารรู้ะตสวั ช�ำค้ีวญดัั แจดุลปะแรบะสบงทคดก์ สารอเบรียกน่อรนู้ สเรมียรนรถนะ 2.2 ขอ้ มูลพ้ืนฐาน ประกอบดว้ ยมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั และจุด ประสงค ก์ ารเรีย2น.3รู้ทแบ้งั ดบา้ทนดคสวอามบรกู้ ่อทนกั เษรีะยนและคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 2.4 ส่วนเน้ือหา 2.5 แบบฝึกหดั ประจ�ำบท 2.6 แบบทดสอบหลงั เรียน 2.7 เกณฑก์ ารประเมิน 2.8 ภาคผนวก ประกอบดว้ ยเฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน เฉลยแบบทดสอบ หลงั เรียนและเฉลยแบบฝึกหดั 2.9 บรรณานุกรม ก ารเรียน3.กผ่อใู้นชใเ้ อชกอ้ สยา่างรลปะรเะอกียอดบการเรียนรู้น้ีควรศึกษาค�ำแนะน�ำในการใชเ้ อกสารประกอบ
ซ
ฌ แบบทดสอบกอ่ นเรียน เร่ือง ภมู ลิ กั ษณร์ องกบั การสรา้ งภมู ทิ ศั นท์ างวฒั นธรรม รายวชิ า สงั คมศกึ ษาฯ ส 32101 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 จ�ำนวน 10 ขอ้ คะแนนเตม็ 10 คะแนน คำ� ชี้แจง ใหน้ กั เรียนเลือกค�ำตอบที่ถูกตอ้ งท่ีสุดเพียงค�ำตอบเดียวโดยท�ำเคร่ืองหมาย กากบาท (x) ลงในกระดาษค�ำตอบ 1. ภมู ลิ กั ษณใ์ ดเกดิ จากกระบวนการกระท�ำของน้ำ� ใตด้ นิ 1. หลมุ ยบุ 2. กมุ ภลกั ษณ์ 3. หุบผาชนั 4. ลานตะพกั ล�ำน้ำ� 2 ภมู ปิ ระเทศแบบคาสต์ มกั สมั พนั ธก์ บั การเปลย่ี นแปลงภมู ลิ กั ษณแ์ บบใด 1. น้ำ� ผวิ ดนิ 2. น้ำ� ใตด้ นิ 3. ลม 4. ธารน้ำ� แขง็ 3. ดนิ ทเี่ กดิ จากการพดั พาโดยลมมกั มคี ณุ ลกั ษณะอยา่ งไร 1. ดนิ ตะกอนสีเขม้ ถงึ ด�ำมกั อยใู่ นเขตลาดเขา 2. ดนิ ตะกอนสีเทามกั พบบริเวณแอง่ ตำ่� 3. ดนิ ตะกอนสีเหลอื งมกั พบบริเวณทล่ี าด 4. ดนิ ตะกอนสีแดงเขม้ มกั ประกอบดว้ ยออกไซด์ 4. หินผลดั ถนิ่ มกั สมั พนั ธก์ บั กระบวนการเปลยี่ นแปลงภมู ปิ ระเทศแบบใด 1. หลมุ รูปกาตม้ น้ำ� 2. แอเรต 3. ตะกอนธารน้ำ� แขง็ 4. เซิรก์ 5.การกดั เซาะโดยลมมกั ท�ำใหเ้กดิ ภมู ปิ ระเทศทมี่ ลี กั ษณะเดน่ ทเี่ รียกวา่ เมซา หรือแพะเมอื งผ ี ในภาษาถนิ่ พบในภาคใดของประเทศไทย 1. ภาคเหนอื 2. ภาคใต้ 3. ภาคตะวนั ออก 4. ภาคกลาง 6. เนนิ ตะกอนรูปพดั พบบริเวณใด 1. ปากแมน่ ้ำ� 2. ทร่ี าบลมุ่ แมน่ ้ำ� 3. หุบเขาตน้ น้ำ� 4. บริเวณเชงิ เขา 7. ภมู ปิ ระเทศใดไม่ได้เกดิ จากหินปนู 1. หลมุ ยบุ 2. เสาหิน 3. หินงอก 4. คนั ดนิ ธรรมชาติ
ฎ 8. สนั ดอนทงี่ อกออกจากชายฝั่งมชี ่ือเรียกวา่ อะไร 1. สนั ดอน 2. สนั ดอนเชื่อมเกาะ 3. สนั ดอนจงอย 4. สนั ดอนปากอา่ ว 9. หากนกั เรียนตอ้ งการสงั เกตทุ ศิ ทางลมจากเนนิ ทรายไดห้ รือไมอ่ ยา่ งไร 1. ได้ เพราะปลายของเนนิ ทรายจะชไ้ี ปทางทลี่ ดพดั ไป 2. ได้ เพราะปลายของเนนิ ทรายจะชไ้ี ปทางทล่ี ดพดั มา 3. ไมไ่ ด้ เพราะลมมกี ารเคลอื่ นทไ่ี มแ่ นน่ อนท�ำใหเ้ นนิ ทรายเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา 4. ไมไ่ ด้ เพราะทศิ ทางของเนนิ ทรายไมไ่ ดเ้ กดิ จากการกระท�ำของลม 10. บริเวณใดทเี่ หมาะสมกบั การท�ำเป็นทา่ จอดเรือมากทสี่ ุด 1. ชายฝั่งเนนิ ทราย 2. ชายฝัง่ เนนิ กรวด 3. ชายฝั่งแบบฟยอรด์ 4. ชายฝัง่ นอนไช
ฏ เร่ือง ภูมลิ กั กษรณะด์ราอษงคกำ�บั ตกอาบรสทรด้าสงอภบูมกทิ ่อศั นนเ์รทียานงวฒั นธรรม ช่ือ-สกลุ .............................................................................ช้นั ................เลขที่................. คำ� ช้ีแจง ใหน้ กั เรียนเลือกคำ� ตอบที่ถูกตอ้ งท่ีสุดเพยี งคำ� ตอบเดียว โดยเขียนเคร่ืองหมาย กากบาท X ลงในช่องวา่ งท่ีถูกตอ้ ง ขอ้ ท่ี 1 2 3 4 คะแนนเตม็ ........................... คะแนนทไ่ี ด ้ ........................... 1 ........... ดมี าก ........... ดี 2 ........... พอใช้ 3 ........... ควรปรบั ปรุงง 4 ลงชื่อ.................................ผปู้ ระเมนิ 5 (.............................................................) 6 7 8 9 10 สรุปคะแนน เกณฑก์ ารประเมนิ คะแนนระหวา่ ง 8- 10 ระดบั เกณฑด์ มี าก คะแนนระหวา่ ง 6-7 ระดบั เกณฑด์ ี คะแนนระหวา่ ง 4-5 ระดบั เกณฑพ์ อใช้ คะแนนระหวา่ ง 0-3 ระดบั เกณฑค์ วรปรบั ปรุง
เลม่ ท่ี 4 เร่ือง ภมู ลิ กั ษณ์รองกบั การสร้างภมู ทิ ศั น์ทางวฒั นธรรม มาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐานการเรียนรู้ท่ี ส 5.1 เขา้ ใจลกั ษณะของโลกทางกายภาพ และความสมั พนั ธ์ ของสรรพสิ่งซ่ึงมีผลต่อกนั และกนั ในระบบของธรรมชาติ ใชแ้ ผนที่และเครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์ในการคน้ หาวเิ คราะห์ สรุป และใชข้ อ้ มูลภูมิสารสนเทศอยา่ งมีประสิทธิภาพ ตวั ช้ีวดั ท่ี ส 5.1 ม 4-6/3 วเิ คราะห์การเปลี่ยนแปลงของพ้นื ท่ี ซ่ึงไดร้ ับอิทธิพลจาก ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์ในประเทศไทยและทวปี ต่างๆ จุดประสงค์การเรียนรู้ เม่ือนกั เรียนปฏิบตั ิกิจกรรมตามเอกสารประกอบการเรียนน้ีแลว้ นกั เรียนสามารถ ด้านความรู้ - อธิบายและจำ� แนกลกั ษณะภูมิลกั ษณ์แบบต่างๆได้
1 ดา้ นทกั ษะ - นกั เรียนสามารถเขียนแผนผงั กระบวนการเปล่ียนแปลงของพ้นื ท่ีได้ ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ - กระตือรือร้นในการทำ� งาน คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. มีวนิ ยั ในการทำ� งาน 2. ใฝ่ เรียนรู้ 3. ความมุ่งมนั่ ในการทำ� งาน สมรรถนะผู้เรียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ทกั ษะการใชช้ ีวติ สาระการเรียนรู้ 1. กระบวนการเปล่ียนแปลงภายนอก 2. ภูมิทศั นท์ างวฒั นธรรม สาระส�ำคญั ภมู ลิ กั ษณร์ องเกิดจากกระบวนการเปลยี่ นแปลงภายนอกประกอบดว้ ยกระบวนการ ผพุ งั การกร่อนตวั การพดั พาหรือการทบั ถมทางกายภาพของโลก ทำ� ใหเ้ กิดเป็นภูมิลกั ษณ์ ต่างๆเช่น ภูมิลกั ษณ์จากน้ำ� ผวิ ดิน ภูมิลกั ษณ์จากน้ำ� ใตด้ ิน ภูมิลกั ษณ์จากทะเล ภูมิลกั ษณ์ จากลมและภูมิลกั ษณ์ที่เกิดจากธารน้ำ� แขง็
2 ภมู ลิ กั ษณท์ เ่ี กดิ จากกระบวนการเปลย่ี นแปลงภายนอกอนั ไดแ้ ก่ การเพมิ่ ลด ระดบั และปรบั สมดลุ ภูมิลกั ษณ์ โดยสามารถจำ� แนกได้ ดงั น้ี 1. ภมู ลิ กั ษณท์ างกายภาพ 1.1 ภมู ลิ กั ษณน์ ้ำ� ผวิ ดนิ เกดิ จากกระบวนการไหลของน้ำ� ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ การกร่อนตวั และ สะสมของภมู ลิ กั ษณท์ เ่ี กดิ จากน้ำ� ผวิ ดนิ จำ� แนกได้ 2 ลกั ษณะ คอื 1.1.1 ภมู ลิ กั ษณท์ เี่ กดิ จากการกร่อนตวั โดยน้ำ� ผวิ ดนิ หรือเรียกวา่ การกร่อนโดยลำ� ธาร โดยทว่ั ไปจะสมั พนั ธก์ บั อนภุ าคของตะกอน และความเรว็ ของน้ำ� ในการพดั พาโดยเกดิ จากกราฟ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความเรว็ ของตะกอนกบั ขนาดตะกอนโดยภมู ลิ กั ษณท์ เ่ี กดิ จากการกร่อนตวั เช่น 1) กมุ ภลกั ษณ์ เป็นหลมุ อยใู่ นหินแขง็ เกดิ บนทอ้ งแมน่ ้ำ� ไหลเชี่ยว กมุ ภลกั ษณ์ มขี นาดเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 2 - 3 นวิ้ ถงึ หลายฟตุ ทมี่ ขี นาดใหญอ่ าจลกึ หลายฟตุ ภายในหลมุ มกั มหี ินลกู กลมรี เมอื่ มนี ้ำ� วนจะเคลอ่ื นทไี่ ปรอบๆ ทำ� ใหพ้ น้ื ลา่ งของหลมุ สึกกร่อนลกึ ลงไปพบมาก บริเวณแมน่ ้ำ� โขงของไทย 2) การถดถอยไปตน้ น้ำ� เช่น การกร่อนตวั ของช้นั หินน้ำ� ตกไนแอการา ใน สหรฐั อเมริกา ทำ� ใหท้ ราบวา่ ในอดีตตำ� แหน่งของตน้ น้ำ� อยถู่ ดั ไปจากตำ� แหน่งปัจจบุ นั ถงึ 11 กโิ ลเมตร 3)หุบผาชนั (Canyon) ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศแบบ “หุบผาชนั ” (Canyon) เป็น ลกั ษณะภมู ิประเทศท่ีมกั เกิดในเขตภมู ิอากาศแหง้ แลง้ ที่มีฝนตกเป็นคร้งั คราว จะทำ� ใหเ้ กิด กษยั การข้นึ อยา่ งรุนแรงทำ� ใหห้ ุบเขาที่เป็นทางของลำ� น้ำ� มกี ารขยายตวั ออกกวา้ งและลำ� น้ำ� จะ มกี ารกดั เซาะหุบผาชนั และลกึ ลงไปมาก เช่น แกรนดแ์ คนยอน ทม่ี ีแมน่ ้ำ� โคโลราโดไหลผา่ น ในประเทศสหรฐั อเมริกา หรือในภาคเหนือเรียกวา่ ออบ เช่น ออบหลวงหรือออบขาน ใน จงั หวดั เชียงใหม่ 1.1.2 ภมู ลิ กั ษณท์ เ่ี กดิ จากการสะสมตวั โดยธารน้ำ� จากการกร่อนตวั มาสะสมตวั ณ อกี จดุ หน่งึ ซ่ึงมกั เกดิ จากการเปลย่ี นแปลงระดบั ความเรว็ โดยภมู ลิ กั ษณม์ กี ารสะสมตวั เช่น 1) ตะพกั ลำ� น้ำ� (Stream Terrace) ตะพกั ลำ� น้ำ� มีลกั ษณะเป็ นที่ราบ แคบๆ ท่ีมีระดบั ลดหลน่ั กนั ลงมา มกั ปรากฏตามสองฟากฝ่ังแม่น้ำ� ประกอบดว้ ย ดิน ทราย กรวดเป็ นตน้ สาเหตุเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงระดบั ความสูงของพ้ืนแผ่นดิน อนั เนื่องมาจากการยกตวั หรือการยุบตวั ท่ีเกิดข้ึนมาสลบั กนั เป็ นคร้ังคราว หรือเกิดจาก การทบั ถมของตะกอนท่ีเป็ นไปอย่างต่อเนื่องเป็ นเวลานาน คร้ันต่อมาการไหลของน้ำ� มคี วามรุนแรงมากข้นึ แผน่ ดนิ ถกู ยกตวั ใหส้ ูงข้นึ หรือระดบั น้ำ� ทะเลลดตำ่� ลง กระบวนการกดั เซาะจะยงั ดำ� เนนิ ตอ่ ไป และกดั เซาะทอ้ งน้ำ� และทรี่ าบน้ำ� ทว่ มถงึ เดมิ ใหล้ ดระดบั ลงมาอกี จงึ เกดิ
3 เป็นทร่ี าบลมุ่ ผนื ใหมข่ ้นึ มา และถา้ เกดิ วนเวยี นกนั เช่นนไ้ี ปเรื่อยๆ จะทำ� ใหป้ รากฏเป็นลกั ษณะท่ี ราบแคบๆ หลายผนื ตอ่ เนอื่ งกนั ไป แตม่ รี ะดบั ความสงู ลดหลน่ั กนั ลงมาเหมอื นข้นั บนั ไดบริเวณ สองฟากฝั่งของลำ� น้ำ� ตะพกั ลำ� น้ำ� ทม่ี อี ายมุ ากจะอยสู่ ูง ส่วนทอ่ี ายนุ อ้ ยจะอยลู่ ดหลนั่ กนั ลงมา ตามลำ� ดบั 3) เนนิ ตะกอนรูปพดั (alluvial Fan) เกดิ จากการตกตะกอนทบั ถมของวตั ถทุ ถ่ี กู น้ำ� พดั พามาและลำ� น้ำ� มกี ารไหลผา่ นลงมาจากหุบเขาชนั (Canton) สู่ทรี่ าบ (Plain) หรือหุบเขาขยาย ตวั ออกไปเป็นบริเวณกวา้ ง ทำ� ใหก้ ารเปลยี่ นระดบั ของลำ� น้ำ� ลงอยา่ งรวดเร็วทำ� ใหค้ วามรุนแรง ของกระแสน้ำ� ลดลง เกดิ การตกตะกอนทบั ถมของตะกอนแผก่ ระจายเป็นรูปพดั ข้นึ มาในบริเวณ หุบเขา เนนิ ตะกอนรูปพดั มรี ูปร่างคลา้ ยกรวย (Cone Shape) มขี นาดกวา้ งใหญเ่ ป็นดนิ ตะกอนที่ ถกู แมน่ ้ำ� พดั พามามกั พบบริเวณทรี่ าบเชงิ เขาเป็นส่วนมาก 4) ดนิ ดอนสามเหลย่ี มปากแมน่ ้ำ� เป็นลกั ษณะภมู ปิ ระเทศบริเวณปากแมน่ ้ำ� เกดิ จาก การทบั ถมของตะกอนปากแมน่ ้ำ� ทไ่ี หลลงสู่ทะเลหรือมหาสมทุ ร การทบั ถมของเมด็ ดนิ กรวด หรือทราย จะทำ� ใหเ้ กิดพ้นื ดนิ งอกสูงจากระดบั น้ำ� ทะเลข้นึ มา โดยการทบั ถมของตะกอนจะ เกดิ เมอื่ ความเรว็ ของน้ำ� ลดลง และกระแสน้ำ� บริเวณชายฝ่งั ทะเลไมแ่ รงเกนิ ไป ตะกอนหยาบจะ ตกทบั ถมตวั กอ่ น ส่วนตะกอนละเอยี ดจะตกทบั ถมในลำ� ดบั ตอ่ ไป โดยดนิ ดอนสามเหลย่ี มปาก แมน่ ้ำ� มหี ลายลกั ษณะ เช่น ดนิ ดอนสามเหลยี่ มรูปโคง้ รูปยาวหรือตนี กา เป็นตน้ (พวงเพชร์ ธนสิน, 2554, น. 36) ภาพประกอบที่ 1 : ภมู ปิ ระเทศทเี่ กดิ จากน้ำ� ผวิ ดนิ (มหิดลวทิ ยานสุ รณ.์ ม.ป.ป).
4 ตวั อย่าง ภมู ปิ ระเทศทเี่ กดิ จากนำ�้ ผวิ ดนิ ภาพประกอบที่ 2 : ตวั อยา่ ง หุบผาชนั (เชียงใหม่นิวส์,2559) ภาพประกอบท่ี 3 : ตวั อยา่ ง แก่ง (เชียงใหม่นิวส์,2559)
5 ภาพประกอบท่ี 4 : เนินตะกอนรูปพดั (Anonymous,n.d.). ภาพประกอบท่ี 5 : ท่ีราบดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ� (Nasa,n.d.)
6 1.2 ภมู ลิ กั ษณน์ ้ำ� ใตด้ นิ เป็นทรพั ยากรธรรมชาตทิ ส่ี ำ� คญั ประเภทหน่งึ เกดิ จากการสะสม ตวั ของน้ำ� ในช้นั หินทส่ี ามารถรองรบั น้ำ� หรือพน้ื ทซ่ี บั น้ำ� น้นั ไดโ้ ดยภมู ลิ กั ษณน์ ้ำ� ใตด้ นิ สามารถ จำ� แนกได้ 2 ลกั ษณะ คอื 1.2.1 ภมู ลิ กั ษณท์ เ่ี กดิ จากการกร่อนตวั โดยน้ำ� ใตด้ นิ เกดิ จากการกร่อนตวั โดยน้ำ� ใตด้ นิ เช่น 1) หลมุ ยบุ ลกั ษณะเป็นแอง่ กระทะ บริเวณหินปนู จะพบแอง่ เหลา่ น้กี ระจายโดย ทว่ั ไปมกั เกดิ จากการพงั ทลายของเพดานของโพรงถ้ำ� เกดิ การทรุดตวั เป็นแอง่ ในประเทศไทยมกั พบภาคใตส้ ่วนใหญเ่ ช่น พงั งา สตลู เป็นตน้ 2) ถ้ำ� ใตด้ นิ โพรงหรือหอ้ งหินปนู เกดิ จากการทน่ี ้ำ� ละลายหินปนู ออกเป็นถ้ำ� หรือ โพรงขนาดใหญ่ 1.2.2 ภมู ลิ กั ษณท์ เ่ี กดิ จากการสะสมตวั ของน้ำ� ใตด้ นิ เกดิ จากกระบวนการสะสมตวั เช่น 1) คราบหินปนู เป็นคราบทเ่ี กดิ จากการตกตะกอนของหินปนู ทถี่ กู พดั พามากบั น้ำ� 2)หนิ งอกหนิ ยอ้ ยมกั ปรากฏในถำ้� หรือโพรงทม่ี นี ้ำ� หยดจากเพดานถำ้� ลงมาขา้ งลา่ ง น้ำ� เหลา่ น้มี หี ินปนู ละลายอยดู่ ว้ ย หินปนู ทมี่ ากบั น้ำ� ตกตะกอนโดยการทนี่ ้ำ� ระเหยไป โดยส่วนท่ี ยอ้ ยลงมาเรียกวา่ “หินยอ้ ย” ส่วนดา้ นลา่ งทเ่ี กดิ การตกกระทบกบั พน้ื เรียกวา่ “หินงอก” หากท้งั สองบริเวณเช่ือมตอ่ กนั เรียกวา่ “เสาหิน” ภาพประกอบที่ 6 : ภมู ปิ ระเทศเกดิ จากน้ำ� ใตด้ นิ (มหิดลวทิ ยานสุ รณ.์ ม.ป.ป
7 ภาพประกอบที่ 7 : ตวั อยา่ งถ้ำ� ผาไท (สำ� นกั งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม, ม.ป.ป). ภาพประกอบท่ี 8 : หลุมยบุ (Oddviser,n.d.).
8 1.3 ภมู ลิ กั ษณน์ ้ำ� ทะเล เป็นผลจากการทน่ี ้ำ� ทะเลเคลอ่ื นทเ่ี ขา้ หาชายฝงั่ โดยปัจจยั ภายนอก เช่น ลม ซ่ึงปัจจยั ดงั กลา่ วทำ� ใหเ้ กดิ ภมู ลิ กั ษณส์ ำ� คญั โดยจำ� แนกได้ ดงั น้ี 1.3.1 ภมู ลิ กั ษณก์ ารกร่อนโดยน้ำ� ทะเล เกดิ จากกระบวนการกร่อนโดยน้ำ� ทะเลเกดิ จาก คลน่ื หกั เหเขา้ หาฝง่ั และเป็นคลน่ื ขนาดใหญ่ ซ่ึงทำ� ใหเ้ กดิ ภมู ลิ กั ษณ์ เช่น 1) เวา้ ทะเล (Sea Notch) เกิดจากการกร่อนตวั โดยคลนื่ ทะเลบริเวณฐานของ หนา้ ผาชนั ทตี่ ดิ กบั ทะเลหรือชายฝ่ังจะเหน็ เป็นรอยเวา้ ในแนวระดบั ซ่ึงจะขนานไปกบั ระดบั น้ำ� ทะเลในช่วงเวลา และยคุ ตา่ งๆ 2) ถ้ำ� ทะเล (Sea Cave) ถ้ำ� ทะเลเกดิ จากการกดั เซาะของคลน่ื ทหี่ ินผาสงู ชนั ชายฝง่ั โดยน้ำ� ทะเลจะกดั เซาะ ใหห้ ินเกดิ การผพุ งั ทำ� ใหเ้ กดิ เป็นช่องหรือโพรงลกึ เขา้ ไป หากถ้ำ� ทะเล เกิดการกร่อนตวั โดยคลนื่ ทะเลเป็นเวลานาน อาจทำ� ใหโ้ พรงน้นั ทะลอุ อกไปอกี ดา้ นหน่ึงทำ� ให้ เกดิ ลกั ษณะทเ่ี รียกวา่ “ถ้ำ� ลอด” 3)เกาะหินโดง่ (Stack) เกาะโขดหินขนาดเลก็ ทแี่ ยกออก จากผนื แผน่ ดนิ ใหญ่ หรือเกาะทอ่ี ยใู่ กลเ้ คยี ง เกดิ จากส่วนของหินแขง็ บริเวณชายฝง่ั เดมิ ทยี่ น่ื ออกไปในทะเล เกดิ จาก กระบวนการกร่อนตวั โดยคลน่ื ทะเลกดั เซาะท้งั สองขา้ งจนส่วนปลายแหลมทต่ี ดั ออกเป็นเกาะ ทำ� ใหช้ ายฝั่งพงั ทลายถอยร่นเขา้ ไปในภาคพน้ื ดนิ มากยง่ิ ข้นึ ส่วนหินแขง็ เหลา่ น้ถี กู ตดั ขาดออก จากชายฝั่ง เกดิ เป็น “เกาะหินโดง่ ” เช่น เขาตะปใู นเขตอทุ ยานแหง่ ชาตอิ า่ วพงั งา 1.3.2ภมู ลิ กั ษณก์ ารสะสมตวั โดยน้ำ� ทะเลเกดิ จากการพดั พาตะกอนตามชายทะเลทำ� ใหเ้กดิ ภมู ลิ กั ษณ์ เช่น 1) หาดทราย เป็นแนวการสะสมตวั ของทรายข้นึ เป็นช้นั หนาตามชายฝั่งโดยมี ปัจจยั สำ� คญั ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ หาดทราย คอื คลน่ื โดยหาดสามารถจำ� แนกไดต้ ามตะกอนทพี่ บ เช่น หาดทราย ซ่ึงเกดิ จากตะกอนของทราย หาดกรวดเกิดจากตะกอนของกรวด โดยตะกอนหาด เกดิ ขนาน กบั ชายฝ่งั ทะเล เรียกวา่ สนั ทราย 2) สันดอน เกิดจากการสะสมตวั ของทรายหรือตะกอนอ่ืนๆ ท่ีกระแส น้ำ� พดั พามาตกทบั ถมสะสมไว้ ตะกอนดงั กล่าวมาจากการครูดไถตามหน้าผาสูงชัน บริเวณชายฝั่งทะเล หรือจากดินดอนสามเหล่ียมปากแม่น้ำ� จะถูกกระแสน้ำ� ชายฝ่ัง พดั พาไปทบั ถมยงั บริเวณท่ีมีคล่ืนลมสงบ ตะกอนของทรายท่ีสะสมตวั ย่ืนออกไปใน ทะเลหากตะกอนสะสมตวั ยื่นจากชายฝั่งออกไปในทะเล เรียกว่า สันดอนจงอย หรือ หากสนั ดอนสะสมตวั และเช่ือมระหวา่ งชายฝ่ังทะเลหรือระหวา่ งเกาะตา่ งๆ เรียกวา่ สนั ดอน เช่ือมเกาะ (กลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษาฯ, 2557, น.31-32)
9 ภาพประกอบที่ 9 : ภมู ลิ กั ษณน์ ้ำ� ทะเล (มหิดลวทิ ยานสุ รณ.์ ม.ป.ป). ภาพประกอบท่ี 10 : ภูมิลกั ษณ์น้ำ� ทะเล (CNN,2014)
10 1.4 ภมู ลิ กั ษณจ์ ากลม มกั พบในบริเวณทมี่ คี วามแหง้ แลง้ มกั ไมม่ ผี ลรุนแรง โดยสามารถ จำ� แนกได้ 2 ลกั ษณะ คอื 1.4.1 ภมู ลิ กั ษณท์ เี่ กดิ จากการกร่อนตวั โดยลม การกร่อนโดยลมตอ้ งอาศยั การผพุ งั ทาง กายภาพ และเคมคี วบคไู่ ปกบั ความแหง้ แลง้ จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ การกร่อน และพดั พาโดยลมเป็นไปได้ ดว้ ยงา่ ย สสารทเี่ ปียกหรือชุ่มดว้ ยน้ำ� น้นั จะมกี ารยดึ เกาะไดด้ กี วา่ เพราะฉะน้นั จงึ ทำ� ใหก้ ารกร่อน ตวั โดยลมมกั จะเกดิ ไดด้ ใี นเขตแหง้ แลง้ มากกวา่ เขตชุ่มช้ืนโดยภมู ลิ กั ษณท์ เ่ี กดิ โดยลม เช่น 1) แอง่ ลมหอบ ซ่ึงมกั พบในเขตทะเลทราย เป็นแอง่ แผน่ ดนิ ทเี่ กดิ จากการพดั พาโดยลมนำ� มวลทรายออกไปจากบริเวณน้นั เหลอื เพยี งแอง่ ตำ่� โดยแอง่ เหลา่ น้อี าจมกี ารสะสม ตวั ของน้ำ� จนกลายเป็นแอง่ น้ำ� กลางทะเลทรายหรือ OASIS 2) แป้นหิน (Pedestal Rock) เกดิ จากการทก่ี ระแสลมพดั กราดเอาทรายไปขดั สี กดั กร่อน และครูดไถกบั หินทโ่ี ผลข่ ้นึ มา แป้นหินดงั กลา่ วจะถกู กระทำ� ในส่วนทอ่ี ยสู่ งู จากระดบั พน้ื ดนิ ไมม่ ากนกั การกร่อนตวั ดงั กลา่ วตอ้ งใชร้ ะยะเวลายาวนานมาก สว่ นลา่ งของมวลหินจะคอ่ ย ๆ ผพุ งั สลายตวั ลงไป จงึ เหลอื เป็นแทง่ หินหรือลำ� หินทร่ี องรบั มวลหินดา้ นบน โดยลกั ษณะของ แป้นหินดงั กลา่ วจงึ มรี ูปร่างคลา้ ยเหด็ 3) เนนิ เมซาและเนนิ ยอดป้าน (Mesa and Butte) เป็นลกั ษณะภมู ปิ ระเทศในเขตทะเล ทรายโดยปรากฏในรูปของแทง่ หินสงู รูปร่างแปลกตา แทง่ หินดงั กลา่ วมลี กั ษณะเดมิ เป็นทร่ี าบสงู (Plateau) ตอ่ มาการกดั เซาะพงั ทลายกลายเป็นภเู ขายอดราบ เรียกวา่ เนนิ เมซา (Mesa) เนนิ ยอด ป้าน (Butte) และแทง่ หินสงู เรียว (Pinnacle) เกดิ จากการกร่อนโดยลม เมอ่ื กระบวนการผา่ นไป เป็นระยะเวลานาน เนนิ เหลา่ น้จี ะมขี นาดเลก็ ลงกลายเป็นแทง่ หินสูงเรียว ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ เช่นน้พี บไดบ้ ริเวณพน้ื ทห่ี ุบเขาโมนูเมนต์ (Monument) บนทร่ี าบสงู อนั แหง้ แลง้ ในรฐั แอรโิ ซนา เป็ นตน้ 1.4.2. ภมู ลิ กั ษณท์ เี่ กดิ จากการสะสมตวั โดยลม เกดิ จากการพดั พาและสมสมตวั โดยมี ลมเป็นตวั การดว้ ยขนาดของตะกอนข้นึ อยกู่ บั ขนาดและทศิ ทางของลมในการพดั พา โดยลกั ษณะ ของตะกอนทลี่ มพดั พามามกั มลี กั ษณะละเอยี ดโดยภมู ลิ กั ษณส์ ำ� คญั เช่น 1) สนั ทราย (Sand Dune) เป็นภมู ลิ กั ษณท์ เ่ี กดิ จากการตกทบั ถมของเนนิ ทรายท่ี ตกทบั ถมกนั จะมรี ูปร่างตา่ งๆ กนั ข้นึ อยกู่ บั ปัจจยั ของ ทศิ ทางลม ความเรว็ ลม และสิ่งกดี ขวาง ทางลม เป็นตน้ สามารถแยกพจิ ารณาสนั ทรายตามลกั ษณะทางดา้ นกายภาพเช่น เนนิ ทรายรูป พระจนั ทรเ์ ส้ียว (Barchan), เนนิ ทรายตามขวาง (Transverse Dune) และ เนนิ ทรายพาราโบลา (Parabolic Dune) เป็นตน้
11 2) ดนิ ลมหอบ (Loess) เป็นดนิ ตะกอนทเี่ กดิ จากฝ่นุ ขนาดเลก็ ทถ่ี กู ลมพดั พามา ทบั ถมในบริเวณใกลเ้ คยี ง มลี กั ษณะเป็นตะกอนสีเหลอื ง เน้อื ละเอยี ดและคอ่ นขา้ งอดุ มสมบรู ณ์ ดนิ ลมหอบโดยทวั่ ไปจะเป็นดนิ ร่วนละเอยี ดอดุ มไปดว้ ยแคลเซียมจบั เกาะกนั แนน่ มาก และยอม ใหน้ ้ำ� ซึมผา่ นไดส้ ะดวก น้ำ� จะซึมลงสู่เบอ้ื งลา่ งอยา่ งรวดเรว็ บริเวณทพ่ี บดนิ ลมหอบมพี น้ื ทกี่ วา้ ง ขวาง บริเวณทพ่ี บดนิ ประเภทน้ีเช่น แถบลม่ แมน่ ้ำ� หวางเหอหรือฮวงโห เป็นตน้ (ปัญญา จารุศิริ และคณะ, 2558) ภาพประกอบท่ี 11 : ภมู ปิ ระเทศเกดิ จากลม (มหิดลวทิ ยานสุ รณ.์ ม.ป.ป). ภาพประกอบท่ี 12 : เสาเฉลียง (ไม่ปรากฎผแู้ ต่ง,2559).
12 1.5 ภมู ลิ กั ษณจ์ ากธารน้ำ� แขง็ เกิดจากมวลน้ำ� แขง็ ทสี่ ะสมตวั และละลายตามฤดกู าล ทำ� ใหก้ ารเกดิ การกร่อนตวั และสมตวั ของตะกอน โดยจำ� แนกได้ 2 ลกั ษณะ คอื 1.5.1 ภมู ลิ กั ษณท์ เี่ กดิ จากการกร่อนตวั โดยธารน้ำ� แขง็ เกดิ จากการครูดไถของธารน้ำ� แขง็ โดยเคลอื่ นทใี่ นพน้ื ทลี่ าดชนั โดยลกั ษณะภมู ลิ กั ษณส์ ำ� คญั เช่น 1) เซิรก์ (Cirque) ภูมิลกั ษณ์ท่ีเป็นไหลเ่ ขาชนั ลกั ษณะคลา้ ยรูปอฒั จนั ทร์ โคง้ ทเ่ี กดิ จากการกษยั การของธารน้ำ� แขง็ ร่วมกบั น้ำ� คา้ งแขง็ คอื เมอ่ื หิมะตกลงมาตามซอกหิน และ แทรกอยจู่ ะกลายเป็นน้ำ� แขง็ ดนั ใหห้ ินดนิ ดานแตกออก และเกดิ การครูดไถใหห้ ินทอ่ี ยดู่ า้ นขา้ ง ธารน้ำ� แขง็ และบริเวณพ้นื ธารสึกกร่อน ดา้ นหลงั ของแอง่ หิมะน้ำ� แขง็ ที่เป็นตน้ ธารจะถกู กดั เซาะจนโคง้ เวา้ ข้นึ ไปยงั สนั ปันน้ำ� ตลอดเวลา ตอ่ มาเมอื่ น้ำ� แขง็ ละลายจะมนี ้ำ� แช่ขงั อยกู่ ลายเป็น ทะเลสาบได้ หรือแอง่ น้ำ� บนภเู ขาไดเ้ช่นกนั 2)แอเรต(Arete)และยอดเขารูปพรี ะมดิ (Horn)เกดิ จากเมอ่ื ผนงั ดา้ นขา้ งของเซิรก์ มกี ารกษยั การอยอู่ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งกนั จะทำ� ใหผ้ นงั เซิรก์ สองแหง่ ทอ่ี ยตู่ รงกนั ขา้ มเวา้ โคง้ เขา้ หากนั จน กลายเป็นลกั ษณะภมู ปิ ระเทศแบบแอเรต และถา้ ถกู กระทำ� ตอ่ ไปเร่ือยๆ จนเกดิ การพงั ทลายเขา้ หา กนั จะทำ� ใหเ้ กดิ ภมู ปิ ระเทศคลา้ ยพรี ะมดิ ทมี่ ฐี านเป็นรูปสามเหลยี่ ม เราเรียกวา่ ยอดเขารูปพรี ะมดิ (Horn) ซ่ึงจะเหน็ ไดเ้ ดน่ ชดั ในภมู ปิ ระเทศแถบเทอื กเขาแอลป์ ของประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ 3) ฟยอรด์ เกดิ จากกระบวนการกดั เซาะของธารน้ำ� แขง็ มลี กั ษณะเป็นอา่ วขนาด เลก็ บริเวณชายฝง่ั ทะเลซ่ึงถกู น้ำ� กดั เซาะจนเวา้ แหวง่ มลี กั ษณะแคบและยาว เวา้ ลกึ เขา้ ไปในฝง่ั ระหวา่ งแผน่ ดนิ สงู ชนั หรือระหวา่ งหนา้ ผาสงู ชนั ตามเชงิ เขา 1.5.2 ภมู ลิ กั ษณท์ เี่ กดิ จากการสะสมตวั โดยธารน้ำ� แขง็ เกดิ จากการกร่อนตวั พดั พาเอา เศษหินและตะกอนจำ� นวนมากมาสะสมตวั เช่น 1)ทงุ่ ราบตะกอนน้ำ� แขง็ ละลาย(Outwashplain)เกดิ จากการสะสมตวั ของธารน้ำ� แขง็ โดยตะกอนจะมขี นาดแตกตา่ งกนั ออกไปเนื่องจากไมม่ กี ระบวนการคดั ตะกอนเหมอื นกบั การ พดั พาโดยน้ำ� 2) หลมุ รูปกาตม้ น้ำ� (Kettles) มกั พบตามทร่ี าบเศษหินธารน้ำ� แขง็ ทว่ั ไป เกดิ จาก การละลายของกอ้ นน้ำ� แขง็ ขนาดใหญท่ ีเ่ หลอื คา้ งอยตู่ ามพน้ื ผวิ เมอื่ ธารน้ำ� แขง็ หลกั ถดถอยไป แลว้ กอ้ นน้ำ� แขง็ ดงั กลา่ วจะถกู ทบั ถม และคอ่ ยๆ ละลายจนเกดิ เป็นหลมุ หากมนี ้ำ� ขงั จะกลาย เป็นทะเลสาบเลก็ ๆ และถา้ มกี ารสะสมตวั ของตะกอนมากข้นึ นานๆ ทะเลสาบกจ็ ะกลายเป็น ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศแบบทลี่ มุ่ น้ำ� ขงั (Swamps) ตอ่ ไป 3) ตะกอนธารน้ำ� แขง็ หรือ terminal moraine เกดิ จากกระบวนการพดั พาและทบั ถม ของธารน้ำ� แขง็ ทถ่ี กู กดั เซาะใหม้ าทบั ถมบริเวณพน้ื ทสี่ ะสมตวั ซ่ึงบริเวณดงั กลา่ วมกั พบหินทถี่ กู พดั พามาดว้ ยเรียกวา่ หินพลดั ถน่ิ หรือ erratics (ปัญญา จารุศริ ิและคณะ, 2558, น. 54-55)
13 ภาพประกอบท่ี 13 : ภมู ิประเทศจากธารน้ำ� แขง็ (มหิดลวทิ ยานสุ รณ.์ ม.ป.ป). ภาพประกอบที่ 14 : ชายฝั่งแบบฟยอร์ด (Gadventures,2010)
14 2. ภมู ิทศั นว์ ฒั นธรรม สิ่งมีชีวิตทกุ ชนิดสามารถเปล่ียนแปลงสภาพแวดลอ้ มโดยรอบๆตวั อนั เนื่องมาจากเทคโนโลยที ก่ี า้ วหนา้ มากข้นั โดยหนงั สือภมู ศิ าสตรก์ ายภาพ ไดจ้ ำ� แนกไวด้ งั น้ี 2.1 ภมู ิทศั นก์ ารเกษตรกรรม เกิดข้ึนมาต้งั แตอ่ ดีตกาลและมีพฒั นกาารอยา่ งตอ่ เนื่อง การต้งั รกรากในอดีตมีลกั ษณะเป็นชนเผา่ เช่นในลมุ่ แมน่ ้ำ� แอมะซอนไดต้ ดั ผา่ งที่ดิน เพอ่ื ยดึ ครองทำ� การเกษตร เป็นตน้ โดยภมู ิทศั นเ์ กษตกรรม สามารถจำ� แนกไดด้ งั น้ี - เกษตกรรมแบบพ้นื บา้ น เป็นการเพาะปลกู ในเขตพ้นื ท่ีมกี ารเพาะปลกู และใชป้ ๋ ุย เพ่อื รกั ษาความอุดมสมบูรณข์ องดิน และโดยทว่ั ไปมกั จะแยกพ้นื ท่ีปลกู พชื โดยใชแ้ นวพมุ้ ไมห้ รือแนวป่ าเป็นทก่ี ้นั ภาพประกอบท่ี 15 : การทำ� ไร่เลื่อนลอย (Ics partners,2009) - เกษตรเพอื่ อตุ สาหกรรม เป็นการเพาะปลกู พชื เชิงเดี่ยวท่ีตอ้ งใชพ้ ้นื ทก่ี วา้ งมกั ต้งั อยนู่ อกเขตเมือง เพราะมลู คา่ ที่ดินต่ำ� ภาพประกอบท่ี 16 : การทำ� นาแบบวงกลม (Ics partners,2009)
15 2.2 ภมู ิทศั นป์ ศุสตั ว์ เป็นพ้นื ที่อยอู่ าศยั ของสตั วเ์ ล้ียง ประกอบดว้ ยทงุ่ นา และทงุ่ หญา้ เล้ียงสตั ว์ มกี ารปลกู พชื พ้นื บา้ น มกั พบบริเวณที่ราบในทวปี อเมริกาเหนือและทวปี อเมริกาใต้ ราวศตวรรษท่ี 20 พ้นื ที่เหลา่ นไ้ี ดเ้ ปลี่ยนเป็นไร่ปศุสตั วเ์ ล้ียงววั โดยน้ำ� ร้วั มาก้นั มกี ารเกบ็ หญา้ แหเ้ งหรือหญา้ หมกั และมกี ารดูลสตั ว์ การทำ� ปศุสตั วเ์ ป็นส่ิงสำ� คญั ที่ทำ� ให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงและลดจำ� นวนสตั วป์ ่ าลงไป ภาพประกอบท่ี 17 : การทำ� ปศุสตั ว์ (123rf ,n.d.) 2.3 ภมู ิทศั นป์ ่ า ปัจจุบนั ไมจ้ ำ� เป็นตอ่ การก่อสร้าง เช้ือเพลิงและใชป้ ระโยชนใ์ นรูป แบบตา่ งๆ แตป่ ัจจุบนั ป่ าธรรมชาติที่สำ� คญั ของโลกเร่ิมหมดไป ทำ� ใหใ้ นปัจจุบนั มกี ารปลกู ป่ าอตุ สาหกรรมข้ึนมาเพอ่ื ใชใ้ นการบรโิ ภค โดยเป็นป่ าชนิดพชเชิงเด่ียว ที่ส่งผลเสียตอ่ พชื พรรณและสตั วป์ ่ าตามธรรมชาตไิ ด้ ป่ าท่ีมกั ปลกู ทใ่ี ชใ้ นอตุ สาหกรรมท่ีสำ� คญั คือ ป่ าสน ป่ ายคู าลิปตสั และป่ าไมย้ าง การจดั การไม่เป็นระบบอาจส่งผลเสียตอ่ ธรรมชาตไิ ด้ 2.4 ภูมิทศั น์เหมืองแร่ เป็ นการเปล่ียนแปลงสภาพพ้ืนที่ที่ส่งผลมากโดยฉพาะ ประชากรในเขตชนบท เพราะสามารถทำ� ลายสภาพพ้นื ที่ ที่รุนแรงและเป็นวงกวา้ ง และอาจ สขน่งผาลดใตหอ่ ญลกทั่ ษ่ีสณ่งผะลภใูเหขาเ้ กแิดลมะลเสพ้นษิ ททา้งังทเดาินงอนท้ำ� ตากามาศธแรรลมะชเสาียตงิ ตอกอี่ พท้งนืิ้ั กทาโ่ีรดขยดุ รพอ้นืบไทดี่ต้อ้ งใชเ้ คร่ืองมือ ภาพประกอบท่ี 18 : การทำ� ป่ าไมแ้ ละเหมืองแร่ (123rf ,n.d.)
16 3. ภมู ิทศั นเ์ มือง เมืองเกิดข้ึนมาต้งั แตส่ มยั โบราณโดยการเจริญเติบโตมากข้ึนในยคุ อตุ สาหกรรม และปัจจุบนั กส็ ามารถขยายตวั ข้ึนอยา่ งมากเป็นท่ีอยอู่ าศยั ของคนจำ� นวน มาก มกี ารเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอ้ มตา่ งๆไปโดยสิ้นเชิงและสร้างสภาพแวดลอ้ มที่เป็น เอกลกั ษณข์ ้ึนรอบๆตวั เอง โดยความเป็นพจิ ารณาจากจำ� นวนประชากร การพฒั นาเมือง การบรโิ ภคไฟฟ้า ประปะ อาหาร พลงั งาน เป็นตน้ และนอกจากน้ีการสร้างเมืองอาจนำ� มา สู่ปัญหาตา่ งๆทก่ี ่อใหเ้ กิดความเสียหายตอ่ พ้นื ทโี่ ดยรอบ องคป์ ระกอบของพ้นื ที่ โดยเมือง สามารถจำ� แนกตามหนา้ ทไ่ี ดด้ งั น้ี 3.1 เมืองตลาด บริเวณโดยรอบมกั พบพ้นื ท่ีเกษตรกรรม มีตลาดอยบู่ ริเวณศูนยก์ ลาง ของเมือง มีระบบขนส่งระหวา่ งภายในกบั ภายนอกตวั เมืองที่ดี โดยภายในเมืองจะประกอบ ดว้ ยพ้นื ท่ีราชการ สำ� นกั งานและร้านคา้ 3.2 เมอื งทา่ เรือ บริเวณน้ีจะมที า่ เรือซ่ึงอาจอยบู่ ริเวณริมฝั่งแมน่ ้ำ� ชายฝ่ังทะเลหรืออา่ ว เป็นท่ีต้งั ของทา่ เรือ บริเวณโดยรอบมีพ้นื ท่ีสำ� หรับจดั เกบ็ สินคา้ ขนาดใหญ่ บริเวณใกลเ้ คียง จะเป็นเขตเมืองอุตสาหกรรม มีระบบเส้นทางคมนาคมขนาดใหญ่สำ� หรับใชข้ นถา่ ยสินคา้ จากเมืองตลาด เมืองอตุ สาหกรรม เขา้ สู่บริเวณเมืองทา่ เรือ 3.3 เมืองอุตสาหกรรม เมืองอุตสาหกรรมในอดีตมกั ต้งั ใกลก้ บั เขตเหมืองถา่ นหิน ท่ีมีทางรถไฟหรือคลอง โดยมีชุมชนแออดั โดยรอบมกั เป็นที่อยูอ่ าศยั ท่ีต้งั ไม่เป็นระเบียบ ของแรงงานในภาคอุตสาหกรรม มาต้งั โดยรอบจนทำ� ใหเ้ กิดปัญหา Slum ในเขตเมืองอนั นำ� ไปสู่ปัญหาอ่ืนๆ 3.4 เมืองทอ่ งเที่ยว เมืองท่ีพบบริเวณชายหาดหรือเขตภายใน มกั มีความสำ� คญั ทาง ประวตั ศิ าสตร์ จะไมพ่ บเขตอตุ สาหกรรมภายในเมอื ง มรี ะบบขนส่งมวลชนที่ดีเพอ่ื ใชใ้ นการ เช่ือมตอ่ ระหวา่ งท่ีอยอู่ าศยั ท่ีทำ� งานและอหลง่ ทอ่ งเที่ยวภายในเมือง บริเวณน้ีมกั มโี รงแรม และระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (มาตรินี รักษต์ านนทช์ ยั และคณะ, 2558, น. 182)
17 หนงั สือภมู ิศาสตร์มนุษยข์ องมลู นิธิ สอวน. ไดก้ ำ� หนดหลกั เกณฑจ์ ำ� แนกเมืองเบ้ืองตน้ ไว้ ดงั น้ี ตวั อยา่ งเมืองประเภทตา่ งๆ ภาพประกอบที่ 19 : เมืองในรูปแบบต่างๆ (123rf ,n.d.)
18 4. ปัญหาจากการสร้างภมู ิทศั นท์ างวฒั นธรรมของมนุษย์ การพฒั นาเมืองในปัจจุบนั ที่มกี ารขยายตวั อยา่ งมาก เนื่องจากการพฒั นาในปัจจุบนั โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำ� ลงั พฒั นามีการกระจุกตวั ของการพฒั นาเฉพาะในเมืองหลวง หรือในเมืองใหญ่และไม่มีการวางแผนการพฒั นาเมืองหรือใช้ประโยชน์จากที่ดินหรือ ทรพั ยากรอยา่ งมีประสิทธิภาพจนทำ� ไปสู่ปัญหาตา่ งๆดงั น้ี 4.1 การพฒั นาเมืองแบบไร้ทิศทาง เกิดจากการขาดวางแผนควบคุมการใช้ที่ดินของภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ทปรำ� ใะหสเ้ิทมธือิภงาขพยาทยำ�อหอใก้เมไปืองโขดยยาขยาอดอดกกไาปรโวดายงขแาผดนกหารรสือวคาวงบแคผุมนกใชารท้ ใ่ีดชิน้ที่ดริวนมขถอึงงกภาารคขราฐัดอกยา่ารใงหมี้ บริการสาธารณปู โภค และสาธารณปู โภคการรองรบั การขยายตวั ของเมอื งอยา่ งเพยี งพอ โดย ในประเทศไทย การเตบิ โตของหมบู่ า้ นจดั สรรในเขตชานเมอื งและปริมณฑลกรุงเทพมหานคร ภาพประกอบท่ี 20 : การพฒั นาเมืองแบบไร้ทิศทาง (123rf ,n.d.)
19 4.2 โดมความรอ้ น ในส่วนของปัญหาสภาพภมู ิอากาศ และมลพษิ จากงานวจิ ยั พบ วา่ กิจกรรมของมนุษยแ์ ละโครงสรา้ งอาคารส่ิงปลกู สรา้ งมีผลอยา่ งมากตอ่ สภาพภมู อิ ากาศใน ระยะยาว ไมว่ า่ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงของลม ฝน เมฆปกคลมุ อณุ หภมู ิ ความช้ืน ความกด อากาศ และอื่นๆ พบวา่ ฝ่ นุ แกซ๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ควนั พษิ มีแนวโนม้ สูงข้ึนแตป่ ริมาณ ไอน้ำ� ในอากาศลดลง เนื่องจากการลดลงของตน้ ไมใ้ นพ้ืนท่ี และปริมาณการเผาไหมข้ อง อตุ สาหกรรม พาหนะ เคร่ืองยนตต์ า่ งๆมีมากข้ึน โดยเฉพาะสิ่งปลกู สร้างใชว้ สั ดุเกบ็ ความ รอ้ นสูงอกี ดว้ ย ทำ� ใหเ้ มอื งเหลา่ น้ีกลายเป็นแหลง่ เกบ็ ความรอ้ นจนเกิดเป็นปรากฎการณเ์ กาะ ความรอ้ นในเมอื ง เนื่องมาจากความรอ้ นทปี่ ลดปลอ่ ยมากจากวสั ดอุ าคารทป่ี ลดปลอ่ ยออกมา ในเวลากลางคทื ทนภายใตห้ มอกควนั จากการใขชช้ ีวติ ของคนภายในเมือง โดยปรากฎการณ์ ดงั กลา่ วส่งผลกระทบต่อคนเมืองอยา่ งมาก เช่น ความตอ้ งการใชพ้ ลงั งานมากข้ึน อุณหภู มิภา่ ยในเมืองสูงข้ึน มลพษิ ทางอากาศท่ีเพมิ่ ข้ึน สุขอนามยั ของคนเมืองท่ีมีแนวโนม้ ลดลง อยา่ งมาก (มาตรินี รักษต์ านนทช์ ยั และคณะ, 2558, น. 201) ภาพประกอบที่ 21 : ปรากฎการณ์โดมความร้อน (สิริประภาภรณ์ สิงหบรุ าจารย,์ 2559).
20 จากขอ้ มูลดงั กล่าวจะเห็นไดว้ ่า ลกั ษณะภูมิประเทศ ภูมิลกั ษณ์ทางกายภาพ ภูมิ ลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมที่มีความหลากหลายโดยภูมิลกั ษณ์ทางกายภาพเกิดจากการกระทำ� ทางธรรมชาติท้งั การผพุ งั การกร่อนตวั การพดั พาและการทบั ถม จนทำ� ใหเ้ กิดภมู ิลกั ษณท์ ่ี มีลกั ษณะเลน่ และแตกตา่ งกนั ออกไป ส่วนภมู ิลกั ษณท์ างวฒั นธรรมเกิดจากการกระทำ� ของ มนุษยท์ ไี่ ดใ้ ช้ประโยชนจ์ ากลกั ษณะทางกายภาพท่ีมีความแตกต่างกนั เกิดเป็นเอกลกั ษณ์ เฉพาะในแต่ละพ้ืนที่ แต่ถึงอย่างไรก็ตามการใช้ประโยชน์ของมนุษยืดงั กล่าวกไ็ ดก้ ่อให้ เกิดปัญหาตา่ งๆเช่นการพฒั นาเมืองแบบไร้ทิศทางหรือการเกิดเกาะความรอ้ นภายในเมือง เนื่องจากการขยายตวั ของเมืองท่ีมากเกินไป
21 แบบฝึกหดั ที่ 4.1 ช่ือ-สกลุ .............................................................................ช้นั ................เลขท่ี................. คำ� ช้ีแจง : ใหน้ กั เรียนจบั คู่ปรากฎการณ์ดงั ต่อไปน้ีกบั ลกั ษณะการเกิดใหถ้ ูกตอ้ ง (10 คะแนน) 1. กมุ ภลกั ษณ์ ก. ภูมิลกั ษณ์น้ำ� ผวิ ดิน 2. ฟยอร์ด 3. หลุมยบุ ข. ภูมิลกั ษณ์น้ำ� ใตด้ ิน 4. เกาะหินโด่ง 5. ดินลมหอบ ค. ภูมิลกั ษณ์จากน้ำ� ทะเล 6. ถ้ำ� ลอด 7. เนินตะกอนรูปฟัด ง. ภูมิลกั ษณ์จากลม 8. เสาหินปูน 9. เนินเมซา จ. จากธารน้ำ� แขง็ 10. แอแรต
22 แบบฝึกหดั ที่ 4.2 ช่ือ-สกลุ .............................................................................ช้นั ................เลขท่ี................. คำ� ช้ีแจง : ใหน้ กั เรียนพจิ ารณาขอ้ ความดงั ตอ่ ไปน้ีและตอบ ถกู หากเป็นขอ้ ความทถี่ กู ตอ้ งหรือ ผดิ หากเป็นขอ้ ความทผี่ ดิ จากความเป็นจริง พรอ้ มแกไ้ ขขอ้ ความใหเ้ ป็นจริง (10 คะแนน) 1 ภมู ปิ ระเทศรองมกั เกดิ จากกระบวนการลดและเพมิ่ ระดบั 2 กมุ ภลกั ษณเ์ กดิ จากน้ำ� ผวิ ดนิ 3 หินงอกมกั เกย่ี วขอ้ งกบั หินออ่ น 4 เวา้ ทะเลเกดิ จากคลน่ื ทะเลพดั พาเอาตะกอนมาทบั ถม ขอ้ ความ (/)หรอื (X) 6. จากภาพ เรียกวา่ หินผลดั ถนิ่ น ภาพประกอบท่ี 22 : แบบฝึกหดั 6 (SimileSmiles,n.d.).
23 (/)หรือ(X) ขอ้ ความ 7. จากภาพ เรียกวา่ ตะกอนน้ำ� พา ภาพประกอบท่ี 23 : แบบฝึกหดั 7 (National park service,2012). 8. จากภาพ เกดิ จากกระบวนการกร่อนตวั ดว้ ยน้ำ� ผวิ ดนิ ภาพประกอบท่ี 24 : แบบฝึกหดั 8 (Anonymous,n.d.).
24 (/)หรือ(X) ขอ้ ความ 9. จากภาพ เรียกวา่ สนั ดอนเชื่อมเกาะ ภาพประกอบท่ี 25 : แบบฝึกหดั 9 (Rakuten Travel,2009). 10. จากภาพ เรียกวา่ ดนิ ฝนพา ภาพประกอบท่ี 26 : แบบฝึกหดั 10 (Rakuten Travel,2009).
25 แบบฝึกหดั ท่ี 4.3 ชื่อ-สกลุ .............................................................................ช้นั ................เลขที่................. คำ� ช้ีแจง:ใหน้ กั เรียนพิจารณาภาพดงั ต่อไปน้ีและวิเคราะห์กระบวนการเปลี่ยนแปลงทาง ธรณีวทิ ยาดงั ตอ่ ไปน้ี (5 คะแนน) ภาพประกอบที่ 27 : ภมู ทิ ศั นว์ ฒั นธรรม (Buro,2014) จากภาพ Palm Jumeirah จดั วา่ เป็นภมู ปิ ระเทศใหมห่ รือไม่ เพราะเหตใุ ดจงึ ใหเ้ หตผุ ลเช่นน้นั ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................
26 แบบทดสอบหลงั เรียน เรื่อง ภมู ลิ กั ษณร์ องกบั การสรา้ งภมู ทิ ศั นท์ างวฒั นธรรม รายวชิ า สงั คมศกึ ษาฯ ส 32101 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 จำ� นวน 10 ขอ้ คะแนนเตม็ 10 คะแนน คำ� ชแี้ จง ใหน้ กั เรียนเลอื กคำ� ตอบทถ่ี กู ตอ้ งทส่ี ดุ เพยี งคำ� ตอบเดยี ว โดยทำ� เคร่ืองหมายกากบาท (x) ลงในกระดาษคำ� ตอบ (10 คะแนน) 1. เนนิ ตะกอนรูปพดั พบบริเวณใด 1. ปากแมน่ ้ำ� 2. ทร่ี าบลมุ่ แมน่ ้ำ� 3. หุบเขาตน้ น้ำ� 4. บริเวณเชงิ เขา 2. ภมู ลิ กั ษณใ์ ดเกดิ จากกระบวนการกระทำ� ของน้ำ� ใตด้ นิ 1. หลมุ ยบุ 2. กมุ ภลกั ษณ์ 3. หุบผาชนั 4. ลานตะพกั ลำ� น้ำ� 3. ภมู ปิ ระเทศใดไม่ได้เกดิ จากหินปนู 1. หลมุ ยบุ 2. เสาหิน 3. หินงอก 4. คนั ดนิ ธรรมชาติ 4 ภมู ปิ ระเทศแบบคาสต์ มกั สมั พนั ธก์ บั การเปลย่ี นแปลงภมู ลิ กั ษณแ์ บบใด 1. น้ำ� ผวิ ดนิ 2. น้ำ� ใตด้ นิ 3. ลม 4. ธารน้ำ� แขง็ 5. สนั ดอนทง่ี อกออกจากชายฝัง่ มชี ่ือเรียกวา่ อะไร 1. สนั ดอน 2. สนั ดอนเชื่อมเกาะ 3. สนั ดอนจงอย 4. สนั ดอนปากอา่ ว 6. ดนิ ทเ่ี กดิ จากการพดั พาโดยลมมกั มคี ณุ ลกั ษณะอยา่ งไร 1. ดนิ ตะกอนสีเทามกั พบบริเวณแอง่ ตำ่� 2. ดนิ ตะกอนสีเหลอื งมกั พบบริเวณทล่ี าด 3. ดนิ ตะกอนสีเขม้ ถงึ ดำ� มกั อยใู่ นเขตลาดเขา 4. ดนิ ตะกอนสีแดงเขม้ มกั ประกอบดว้ ยออกไซด์
27 7. หากนกั เรียนตอ้ งการสงั เกตทุ ศิ ทางลมจากเนนิ ทรายไดห้ รือไมอ่ ยา่ งไร 1. ได้ เพราะปลายของเนนิ ทรายจะชไ้ี ปทางทลี่ มพดั ไป 2. ได้ เพราะปลายของเนนิ ทรายจะชไ้ี ปทางทลี่ ดพดั มา 3. ไมไ่ ด้ เพราะทศิ ทางของเนนิ ทรายไมไ่ ดเ้ กดิ จากการกระทำ� ของลม 4. ไมไ่ ด้ เพราะลมมกี ารเคลอ่ื นทไี่ มแ่ นน่ อนทำ� ใหเ้ นนิ ทรายเปลยี่ นแปลงตลอดเวลา 8. หินผลดั ถนิ่ มกั สมั พนั ธก์ บั กระบวนการเปลยี่ นแปลงภมู ปิ ระเทศแบบใด 1. หลมุ รูปกาตม้ น้ำ� 2. แอเรต 3. ตะกอนธารน้ำ� แขง็ 4. เซิรก์ 9. บริเวณใดทเี่ หมาะสมกบั การทำ� เป็นทา่ จอดเรือมากทส่ี ุด 1. ชายฝง่ั เนนิ ทราย 2. ชายฝั่งเนนิ กรวด 3. ชายฝ่งั แบบฟยอรด์ 4. ชายฝ่งั นอนไช 10.การกดั เซาะโดยลมมกั ทำ� ใหเ้กดิ ภมู ปิ ระเทศทม่ี ลี กั ษณะเดน่ ทเี่ รียกวา่ เมซาหรือแพะเมอื งผี ในภาษาถนิ่ พบในภาคใดของประเทศไทย 1. ภาคเหนอื 2. ภาคใต้ 3. ภาคตะวนั ออก 4. ภาคกลาง
28 เรื่อง ภูมลิ กั กษรณะด์ราอษงคกำบ�ั ตกอาบรสทรด้าสงอภบูมหทิ ลศั งันเร์ทียานงวฒั นธรรม ช่ือ-สกลุ .............................................................................ช้นั ................เลขที่................. คำ� ช้ีแจง ใหน้ กั เรียนเลือกคำ� ตอบที่ถูกตอ้ งท่ีสุดเพยี งคำ� ตอบเดียว โดยเขียนเคร่ืองหมาย กากบาท X ลงในช่องวา่ งท่ีถูกตอ้ ง ขอ้ ที่ 1 2 3 4 คะแนนเตม็ ........................... คะแนนทไ่ี ด ้ ........................... 1 ........... ดมี าก ........... ดี 2 ........... พอใช้ 3 ........... ควรปรบั ปรุงง 4 ลงชื่อ.................................ผปู้ ระเมนิ 5 (.............................................................) 6 7 8 9 10 สรุปคะแนน เกณฑก์ ารประเมนิ คะแนนระหวา่ ง 8- 10 ระดบั เกณฑด์ มี าก คะแนนระหวา่ ง 6-7 ระดบั เกณฑด์ ี คะแนนระหวา่ ง 4-5 ระดบั เกณฑพ์ อใช้ คะแนนระหวา่ ง 0-3 ระดบั เกณฑค์ วรปรบั ปรุง
29 แบบบนั ทกึ คะแนน ช่ือ-สกลุ .............................................................................ช้นั ................เลขที่................. แบบทดสอบ/แบบฝึ กหัด คะแนนเตม็ คะแนนทไี่ ด้ หมายเหตุ แบบทดสอบก่อนเรียน 10 เล่มที่ 4 10 แบบฝึกหดั ที่ 4.1 10 แบบฝึกหดั ที่ 4.2 5 แบบฝึกหดั ท่ี 4.3 รวมแบบฝึ กหดั 25 แบบทดสอบหลงั เรียน 10 รวมแบบฝึกหดั + 35 แบบทดสอบหลงั เรียน ลงช่ือ.............................................................ผ้ลู งคะแนน เกณฑก์ ารประเม นิ 31-35 อยใู่ นระดบั ดมี าก คะแนนระหวา่ ง 26-30 อยใู่ นระดบั ด ี คะแนนระหวา่ ง 21-25 อยใู่ นระดบั ปานกลาง คะแนนระหวา่ ง 16-20 อยใู่ นระดบั พอใช ้ คะแนนระหวา่ ง 0 -15 อยใู่ นระดบั ควรปรบั ปรงุ คะแนนระหวา่ ง
30 ภาคผนวก
31 ประกอบดว้ ย เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน เฉลยแบบฝึกหดั ท่ี 4.1 เฉลยแบบฝึกหดั ท่ี 4.2 เฉลยแบบฝึกหดั ที่ 4.3 เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน
32 เฉลยคำ� ตอบก่อนเรียน เล่มที่ 4 เร่ือง ภูมิลกั ษณ์รองกบั การสร้างภูมิทศั นท์ างวฒั นธรรม ขอ้ ท่ี 1 2 3 4 1X 2X 3X 4X 5X 6 X 7 X 8 X 9 X 10 X สรุปคะแนน
33 เฉลยแบบฝึกหดั ที่ 4.1 คำ� ช้ีแจง : ใหน้ กั เรียนจบั คู่ปรากฎการณ์ดงั ต่อไปน้ีกบั ลกั ษณะการเกิดใหถ้ ูกตอ้ ง (10 คะแนน) 1. กมุ ภลกั ษณ์ ภูมิลกั ษณ์น้ำ� ผวิ ดิน 2. ฟยอร์ด ภูมิลกั ษณ์จากธารน้ำ� แขง็ 3. หลุมยบุ ภูมิลกั ษณ์น้ำ� ใตด้ ิน 4. เกาะหินโด่ง ภูมิลกั ษณ์ทางทะเล 5. ดินลมหอบ ภูมิลกั ษณ์จากลม 6. ถ้ำ� ลอด ภูมิลกั ษณ์ทางทะเล 7. เนินตะกอนรูปฟัด ภูมิลกั ษณ์น้ำ� ผวิ ดิน 8. เสาหินปูน ภูมิลกั ษณ์น้ำ� ใตด้ ิน 9. เนินเมซา ภูมิลกั ษณ์จากลม 10. แอแรต ภูมิลกั ษณ์จากธารน้ำ� แขง็
34 เฉลยแบบฝึกหดั ที่ 4.2 1. ตอบ / 2. ตอบ X 3. ตอบ X 4. ตอบ X 5. ตอบ / 6. ตอบ / 7. ตอบ X 8. ตอบ X 9. ตอบ / 10. ตอบ / เฉลยแบบฝึกหดั ที่ 4.3 เร่ือง กระบวนการเปลยี่ นแปลงทางธรณีภาค จากภาพ Palm Jumeirah จดั วา่ เป็นภมู ปิ ระเทศใหมห่ รือไม่ เพราะเหตใุ ดจงึ ใหเ้ หตผุ ลเช่นน้นั ตอบ เป็น 2 คะแนน เพราะเหตใุ ด โครงการถมทะเลสรา้ งภมู ลิ กั ษณใ์ หมเ่ กดิ จากการกระทำ� โดยมนษุ ยเ์พอ่ื เปลย่ี นแปลงลกั ษณะภมู ปิ ระเทศตามเทคโนโลยแี ละการพฒั นาโครงสรา้ งแบบใหมจ่ ดั เป็นภมู ิ ทศั นใ์ หมแ่ ตไ่ มจ่ ดั เป็นภมู ปิ ระเทศเพราะไมไ่ ดเ้ กดิ จากกระบวนการตามธรรมชาตแิ ตเ่ กดิ จาก กระบวนการเปลย่ี นแปลงโดยมนษุ ยเ์ทา่ น้นั ( 3 คะแนน )
35 เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน เล่มที่ 4 เรื่อง ภูมิลกั ษณ์รองกบั การสร้างภูมิทศั นท์ างวฒั นธรรม ขอ้ ท่ี 1 2 3 4 1X 2X 3X 4X 5X 6X 7X 8X 9X 10 X สรุปคะแนน
Search