Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เออร์เนสต์-รัทเทอร์ฟอร์ด66

เออร์เนสต์-รัทเทอร์ฟอร์ด66

Published by 945sce00461, 2021-11-30 12:05:58

Description: เออร์เนสต์-รัทเทอร์ฟอร์ด66

Search

Read the Text Version

เออรเ์ นสต์ รัทเทอรฟ์ อรด์ เออรเ์ นสต์ รทั เทอรฟ์ อร์ด บารอนรัทเทอร์ฟอร์ดท่ี 1 แห่งเนลสัน (อังกฤษ: Ernest Rutherford, 1st Baron Rutherford of Nelson) หรือที่นิยมเรียกว่า ลอร์ดรัทเทอร์ฟอร์ด เป็นนักฟิสิกส์ชาวบริติชท่ีเกิดใน นิคมนิวซีแลนด์ ได้รับการยกย่องให้เป็น \"บิดา\" แห่งฟิสิกส์นิวเคลียร์ เขาเป็นผู้บุกเบิกทฤษฎีการโคจรของ อะตอม ชือ่ ของเขาไดน้ าไปใช้เป็นชอื่ ธาตุท่ี 104 คือ รทั เทอร์ฟอร์เดียม 1. ประวัติ เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด เป็นบุตรชายของ เจมส์ รัทเทอร์ฟอร์ด ชาวนาผู้ซึ่งอพยพมาจากเมือง เพิร์ธ ประเทศสกอตแลนด์ กับ มาร์ธา (นามสกุลเดิม ธอมป์สัน) ซึ่งดั้งเดิมอาศัยอยู่ท่ีเมือง ฮอร์นเชิช เมือง เล็กๆ ในแถบตะวันออกของประเทศอังกฤษ บิดามารดาของเขาย้ายมายังประเทศนิวซีแลนด์ เออร์เนสต์ เกิด ในเมืองสปริงโกรฟ (ปัจจุบันคือ เมืองไบรท์วอเตอร์) ใกล้กับเมืองเนลสัน ประเทศนิวซีแลนด์ เขาศึกษาในเนล สันคอลเลจ และได้รับทุนการศึกษาเพื่อเรียนในแคนเตอร์บิวรีคอลเลจ (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยแห่งแคนเท อเบอร่ี ) ในปี 1895 หลังจากจบการศึกษาด้าน BA, MA และ BSc และใช้เวลา 2 ปีในการทาวิจัยเก่ียวกับ เทคโนโลยีไฟฟ้า รัทเทอร์ฟอร์ดเดินทางไปยังประเทศอังกฤษเพ่ือศึกษาต่อท่ี ศูนย์วิจัยคาเวนดิช มหาวิทยาลัย แคมบริดจ์ (1895 - 1898) เขาไดร้ บั การบันทึกไว้ในฐานะผู้ค้นพบระยะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในระหว่างการ ทดลองด้านกัมมันตภาพรังสี เขาเป็นผู้สร้างนิยามของรังสีแอลฟา และบีตา ซ่ึงเป็นคาที่ใช้เรียกรังสี 2 ชนิดท่ี ปล่อยออกมาจากทอเรียมและยูเรเนียม เขาค้นพบมันระหว่างการตรวจสอบอะตอม อย่างไรก็ตาม เขาไม่ ยอมรับว่าเป็นผู้ค้นพบรังสีแกมมา ซ่ึงถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฝร่ังเศส P.V. Villard ไม่นานหลัง รทั เทอรฟ์ อร์ดรายงานการค้นพบของเขาเกยี่ วกับการแพร่กระจายของกา๊ ซกัมมันตภาพรังสี ในปี 1898 รัทเทอร์ฟอร์ดได้เป็นหัวหน้าด้านฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ในมอนทรีออล ประเทศ แคนาดา ท่ีซ่ึงเขาสรา้ งผลงานจนไดร้ ับรางวัลโนเบลสาขาเคมี ในปี 1908 ออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด ผู้ให้กาเนิด แก่วิชาฟิสิกส์อะตอมสมัยใหม่ (modern atomic physics) และเป็น “หัวขบวน” ของยุคนิวเคลียร์ เขาเป็น หนึง่ ในนกั วทิ ยาศาสตรท์ ่ียิ่งใหญ่ทส่ี ุดของศตวรรษท่ี 20 โดยแอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ยกย่องว่าเขาคือ “นิวตันคนที่ สอง” บุรุษผู้ “มุดอุโมงค์เข้าไปถึงวัตถุตัวตนของพระเจ้าได้มากที่สุด” ผู้เป็นนักประดิษฐ์ นักทดลอง และลูก ชาวนาจากเนลสนั แคว้น (province) ทอี่ ยไู่ กลที่สุดขององั กฤษ รัทเทอร์ฟอร์ดได้บัญญัติคาหลายคาสาหรับใช้ในสาขาวิชาฟิสิกส์อะตอม เช่น รังสีแอลฟา บีตา และ แกมมา อนุภาคโปรตอนและนิวตรอน คร่ึงชีวิต (half-life) และอะตอมลูก (daughter atoms) เขามีลูกศิษย์ ระดับยักษ์ใหญ่ ด้านฟิสิกส์แห่งศตวรรษอยู่หลายคน เช่น นีลส์ โบร์ (Niels Bohr) เจมส์ แชดวิก (James Chadwick) และ รอเบริ ต์ ออปเพนไฮเมอร์ (Robert Oppenheimer) ที่แปลกและสาคัญที่สุดก็คือ เขาไม่เคย คิดว่ามนุษย์จะสามารถนาพลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์มาใช้ ประโยชน์ได้ แต่เขากลับเป็น เสมอื น “พอ่ ” ผ้ใู หก้ าเนดิ แกพ่ ลังงานนิวเคลยี ร์ เพราะเขาคือผคู้ ้นพบ “นิวเคลยี ส” ของอะตอม

รัทเทอร์ฟอรด์ บา้ นเกดิ ทส่ี ปรงิ โกรฟ ปู่และพ่อของรัทเทอร์ฟอร์ดแป็นชาวสกอต ได้อพยพครอบครัวท้ังหมดมายังนิวซีแลนด์ ก่อนเขาจะเกิดต้ังแต่ปี 1842 โดยทาฟาร์มอยู่ท่ี เมืองสปริงโกรฟ (Spring Grove ปัจจุบันคือ Brightawater) ใกล้ เมอื งเนลสนั (เมืองเอก ของแคว้นเนลสัน) พ่อของรัทเทอร์ฟอร์ดมีชื่อว่าเจมส์ เป็นช่างทาล้อรถม้า ส่วนแม่ของเขามีชื่อว่า มาร์ทา ทอมป์สัน มีอาชีพครู ซ่ึงก็อพยพมายัง นิวซีแลนดพ์ ร้อมกบั แม่ที่เป็นมา่ ย เมื่อปี 1855 ดงั นน้ั รทั เทอร์ฟอรด์ จึงเกดิ ทีน่ วิ ซีแลนด์ เขาเกิดเมื่อ วันท่ี 30 สิงหาคม 1871 และมีพี่น้องถึง 12 คน (ชาย 7 และหญิง 5) เขาชอบงานหนักงานฟาร์ม กลางแจ้ง แต่ก็เป็นเด็กเรียนดี และในปี 1889 ก็ได้รับทุนการศึกษาเข้าเรียนในวิทยาลัย Canterbury College ทีม่ หาวิทยาลัย University of New Zealand เมืองเวลลงิ ตัน ผลงานวิจัยของเขาทนี่ ่ีคอื การศึกษาเกย่ี วกับสมบัติของแม่เหล็ก และอุปกรณ์ที่สามารถวัด ช่วงเวลาขนาด หนึ่งในแสนวินาที ในปี 1894 หลังเรียนจบ (ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโทคือ BA. MA. และ BSc.) เขาได้รบั ทุนศึกษาวิจยั ระดับปริญญาโทท่ี หอ้ งปฏิบัติการคาเวนดิช (Cavendish Laboratory) ใน มหาวทิ ยาลยั เคมบริดจ์ (Cambridge University) ประเทศอังกฤษ อันที่จริงเขา สอบได้ท่ีสอง แต่คนที่สอบได้ท่ีหนึ่งสละสิทธ์ิเพราะมีแผนจะแต่งงาน มีครอบครัว จึงเกิดเป็นจุด เปล่ียนในชีวิตเขา ท่ีนั่นเขาได้เรียนกับ เจ.เจ. ทอมสัน (J.J. Thomson ซ่ึงไม่นานต่อมา จะเป็นผู้ คน้ พบอเิ ลก็ ตรอน) และในเวลาไมน่ าน ทอมสันก็เห็นแววและสนบั สนนุ ให้เขาร่วมวิจัยเกี่ยวกับรังสี

เอกซ์ ซ่ึงเพิ่งถูกคน้ พบมาไม่นาน (ค.ศ. 1895) อันเป็นจุดเร่ิมต้นของอาชีพด้านฟิสิกส์ของอะตอมท่ี รทั เทอรฟ์ อร์ด ทามาจนตลอดชีวติ และมีผลงานโดดเดน่ เหนือกวา่ ใคร ปี 1897 รัทเทอร์ฟอร์ดจบการศึกษาและเป็นปีที่ทอมสันค้นพบอิเล็กตรอน (เป็นคร้ังแรก ท่ีมีการค้นพบว่า ยังมีส่ิงท่ีเล็กกว่าอะตอม) และในปีถัดมาเขารายงานว่ารังสีท่ียูเรเนียมปล่อย ออกมาว่ามีรังสีแอลฟาและบีตา รวมทั้งได้ศึกษาสมบัติบางประการของรังสีดังกล่าว คือพบว่ารังสี แอลฟาเป็นอนุภาคท่ีมีประจุวก และรังสีบีตาเป็นอนุภาค ท่ีมีประจุลบ ในระยะนั้น ประจวบว่า ตาแหน่ง Macdonald Chair in Physics ในภาควิชาฟิสิกส์ท่ี มหาวิทยาลัยแมกกิลล์ (McGill University) เมอื งมอนทรอี อล ประเทศแคนาดาว่างลง เขาจึงไปรับตาแหน่งนี้ที่แคนาดา งานวิจัย ของเขาที่น่ี ประสบความสาเร็จสูงมาก และสร้างประเพณีนิยมความสาเร็จด้านฟิสิกส์ของ มหาวิทยาลัยแหง่ นีม้ าจนทุกวันน้ี ที่ McGill ในตอนตน้ ๆ เขาทาวจิ ัยตอ่ เนอื่ งเกีย่ วกับรังสีแอลฟาและบีตา ซ่ึงเขาพบว่าธาตุ กมั มันตรังสีทั้งหลาย ทรี่ ู้จักในขณะนั้น ล้วนปลดปล่อยรังสี 2 ชนิดนี้ และจากการศึกษาการปล่อย รังสีของธาตุทอเรียมร่วมกับ โอเวน (R.W. Owen) ก็ได้ค้นพบ แก๊สมีสกุล (noble gas) ชนิดใหม่ ซ่ึงเป็นไอโซโทปหน่งึ ของแกส๊ เรดอน และต่อมาร้จู ักกันในชอ่ื ว่า แกส๊ ทอรอน (thoron) ปี 1900 เฟรเดอรกิ ซอดดี (Frederick Soddy) จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมาร่วมงาน กับรัทเทอร์ฟอร์ด และในปี 1901-1902 ทั้งคู่ช่วยกันสร้าง ทฤษฎีการสลาย (disintegration theory) จาก ปรากฏการณ์กัมมันตภาพรังสี (radioactivity) ว่ากระบวนการสลายเกิดในระดับ อะตอมไม่ใช่ระดับโมเลกุล โดยมีหลักฐานมากมายจากการทดลอง การสลายของธาตุกัมมันตรังสี อาทิเชน่ ธาตเุ รเดียม อนั ทาใหค้ ้นพบธาตุกัมมันตรังสีใหม่ ๆ หลายธาตุซึ่งเกิดจาก การสลายอย่าง ต่อเน่ือง จากอะตอมของธาตุกัมมันตรังสีชนิดหน่ึง แปรธาตุเป็นอะตอมของธาตุกัมมันมันตรังสี อกี ชนดิ หนึ่งได้เอง โดยการขับเอาชนิ้ สว่ นของอะตอมออกมาดว้ ยความเร็วสูง (เช่นรังสีแอลฟาและ บีตา) ซ่ึงเกิดข้ึน เป็นทอด ๆ (เช่น ธาตุ A สลายเป็นธาตุ B จากนั้นธาตุ B สลายต่อไปอีกเป็นธาตุ C และ...จนถึงธาตุสุดท้าย ซ่ึงเป็นธาตุเสถียร เช่น ตะก่ัว) เรียกว่า อนุกรมกัมมันตรังสี (radioactive series) นักวิทยาศาสตร์จานวนมากในยุคนั้น หยันแนวคิดนั้นว่าเป็นพวก เล่นแร่ แปรธาตุ (alchemy) โดยยังยึดติดกับความเชื่อคร่าครึที่ว่า อะตอมน้ันแบ่งแยกไม่ได้ และ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่พอถึงปี 1904 ผลงานตีพิมพ์และความสาเร็จของรัทเทอร์ฟอร์ดก็เป็นที่ ยอมรับ รัทเทอร์ฟอร์ดเป็นนักวิจัยท่ีเป่ียมด้วยพลัง เพียงในระยะเวลา 7 ปีที่ McGill เขาก็ตีพิมพ์

ผลงานออกมาถึง 80 เร่ือง ผลงานเด่นอีกเรื่องหนึ่งของเขาท่ีแคนาดาก็คือ เขาได้แสดงให้เห็นว่า ธาตุกัมมันตรังสีทุกชนิด มีกัมมันตภาพรังสีลดลงในเวลาท่ีสม่าเสมอและเฉพาะตัวหรือท่ีเรียกว่า ครึ่งชีวิต (half-life) จนท้ายที่สุด สลายกลายเป็นธาตุเสถียร ครึ่งชีวิตคือระยะเวลาที่สาร กัมมันตรังสีใช้ในกระบวนการสลายกัมมันตรังสี เพ่ือลดกัมมันตภาพเหลือครึ่งหน่ึงของกัมมันต ภาพตั้งต้น เช่น ยูเรเนียม-238 มีครึ่งชีวิตประมาณ 4,500 ล้านปี หรือโคบอลต์-60 มีครึ่งชีวิต ประมาณ 5.26 ปี ข้อสังเกตประการหน่ึงขณะรัทเทอร์ฟอร์ดอยู่ท่ีแคนาดาก็คือ ระหว่างปี 1905-1906 ออท โท ฮาน (Otto Hahn) ผ้ทู ่ีตอ่ มาจะคน้ พบ การแบ่งแยกนิวเคลียส (nuclear fission) ก็เคยทางาน เปน็ ลกู มอื ของรัทเทอร์ฟอรด์ ในหอ้ งปฏิบัตกิ ารท่มี อนทรอี อลดว้ ย ในปี 1907 รัทเทอร์ฟอร์ดก็กลับมายังประเทศอังกฤษ รับตาแหน่งศาสตราจารย์ทาง ฟิสิกส์ (Langworthy Professor of Physics) ท่ีมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ งานวิจัยแรก ๆ ที่นี่ ของเขาคือการศึกษาต่อเน่ืองเก่ียวกับสมบัติ ของการสลายของธาตุเรเดียมรวมท้ังสมบัติของรังสี แอลฟา และร่วมกับลูกศิษย์ที่ช่ือว่า ฮันส์ ไกเกอร์ (Hans Geiger: ผู้ประดิษฐ์เครื่องวัดรังสีไกเกอร์ เคานเ์ ตอร)์ ก่อตั้งศูนยศ์ ึกษาดา้ นรงั สขี นึ้ ทนี่ ั่น ปี 1908 รัทเทอรฟ์ อร์ดก็ไดร้ บั รางวลั โนเบลสาขาเคมีจากผลงานด้านกัมมันตภาพรังสีรังสี เขารู้สึกขัดใจบ้าง เพราะเขาเป็นนักฟิสิกส์และถือตัวว่าเหนือกว่านักเคมี ซ่ึงคร้ังหน่ึงเขาเคยกล่าว ว่า “วิทยาศาสตร์ต้องฟิสิกส์เท่านั้น นอกน้ันเหมือนการเล่นสะสมแสตมป์” (“In science there is only physics; all the rest is stamp collecting.”) นอกจากน้ี ในการกล่าวสุนทรพจน์ใน วนั ท่ีเขาไปรับรางวัล เขายังได้กล่าวติดตลกในทานองว่า จากการวิจัย (ที่เขาได้รับรางวัลโนเบลน้ี) ของเขานี้ เขาไดเ้ หน็ การแปรธาตจุ ากธาตหุ นึ่งเป็นอีกธาตุหนง่ึ มากมายหลายคร้ัง แต่ไม่มีคร้ังไหนที่ เร็วกว่าคร้ังนี้ของตัวเขาเอง ท่ีแปรจากนักฟิสิกส์เป็นนักเคมี (“I had seen many transformations in my studies, but never one more rapid than my own from physicist to chemist.”) ในปี 1909 เขากับไกเกอร์และได้นักเรียนมาเป็นผู้ช่วยอีกคนชื่อว่า เออร์เนสต์ มาร์สเดน (Eenest Marsden) ก็เรมิ่ การทดลองทเ่ี ปล่ยี นโฉมหนา้ ของวิชาฟิสิกส์ทีเดยี ว การทดลองนี้เร่ิมเห็น ผลในปี 1910 เริ่มต้นจากการทดลอง หาวิธีตรวจจับอนุภาคแอลฟาเด่ียว ๆ ที่เรเดียมปล่อย ออกมาขณะเกิดการสลายกัมมันตรังสีและนับจานวนไว้ จากน้ันพวกเขาก็นาวิธีการนี้มาใช้ศึกษา โครงสร้างของอะตอม ซ่ึงลูกพ่ีเก่าของเขาคือทอมสันที่เพ่ิงค้นพบอิเล็กตรอน และจาก ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเล็กทรกิ (photoelectric effect) ทีอ่ ะตอมสามารถปล่อยอนุภาคอิเล็กตรอน

ออกมาได้ แต่การท่ีประจุของอะตอมเปน็ กลางก็แสดงว่าอะตอมประกอบด้วยประจุบวกและประจุ ลบจานวนเท่า ๆ กัน ดังนั้นทอมสันจึงเสนอทฤษฎี “พุดดิงลูกพลัม” (plum pudding) โดยบอก ว่าอะตอมเปน็ เหมอื นลูกกลม ๆ ประจุบวก ท่มี อี เิ ล็กตรอนขนาดเล็กจว๋ิ กระจายตัวอยู่แบบเดียวกับ ทเ่ี นอื้ ลูกพลมั เลก็ ๆ กระจายตัวอยูใ่ นก้อนพดุ ดงิ รัทเทอรฟ์ อรด์ ทดสอบทฤษฎนี ้โี ดยการปล่อยอนุภาคแอลฟาท่ีถูกปล่อยออกมาจากเรเดียม ให้เข้าไปท่ี แผ่นทองคาเปลว (gold foil) แล้วใช้วิธีตรวจจับและนับอนุภาคแอลฟา มาตรวจจับ และนับอนุภาคแอลฟา ที่ทะลุเข้าไปในแผ่นทองคาเปลว ว่าทะลุหรือหลุดกระเด็นออกมาใน ทิศทางใดบา้ งและมจี านวนเทา่ ใด ผลปรากฏว่าอนุภาคแอลฟาส่วนใหญ่ทะลุผ่านไป และมีจานวน เล็กน้อยท่ีกระดอนกลับหลัง แสดงว่าอะตอม มีเน้ือที่ส่วนใหญ่เป็นประจุลบ ล้อมรอบแก่นเล็ก ๆ ที่มีประจบุ วกอยู่ตรงกลางท่ีทาให้อนุภาคแอลฟา ซึ่งก็มีประจุบวก จึงผลักกันให้กระดอนกลับหลัง ออกมา (ซ้าย) การทดลองระดมยิงแผน่ ทองคาเปลวด้วย อนุภาคแอลฟา(ขวาบน) อะตอมแบบพุด ดงิ ลูกพลมั (ขวาล่าง) อะตอมแบบของ รัทเทอร์ฟอร์ด ที่มีนิวเคลียสเล็กจ๋ิว อยู่ตรงกลาง น่ันคือการ ค้นพบ “นิวเคลียส” (nucleus) ของอะตอม และรัทเทอร์ฟอร์ดได้พัฒนา “แบบจาลองอะตอม” ขึน้ โดยคล้ายกับระบบสรุ ิยะ กล่าวคือ อิเลก็ ตรอนเปน็ คล้ายกบั ดาวเคราะห์ ท่โี คจรรอบนิวเคลียสท่ี เป็นคล้ายกับ ดวงอาทิตย์ ปี 1912 ความยอมรับแบบจาลองน้ีเพ่ิมข้ึนหลังจากที่ นีลส์ โบร์ (Niels Bohr) มาทางานเปน็ ลกู มอื รัทเทอร์ฟอรด์ ท่ีแมนเชสเตอร์ และเขาใช้ ทฤษฎีควอนตัม (quantum theory) ของ มัคซ์ พลังค์ (Max Planck) มาอธิบายแบบจาลองนี้ และต่อมาเมื่อได้รับการ ปรับปรุงตามแนวคิดของ แวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก (Werner Heisenberg) แบบจาลองนี้จึงเป็นท่ี ยอมรับมาจนปัจจุบันน้ี คนซ้ายไกเกอร์ และคนขวารัทเทอร์ฟอร์ด ที่แมนเชสเตอร์ ปี 1913 รทั เทอร์ฟอรด์ กับ เฮนรี โมสลยี ์ (H.G. Moseley) ใช้ รังสีแคโทด (cathode rays) ซ่ึงเป็นกระแส ของ อนุภาคอิเล็กตรอน ระดมยิงอะตอมของธาตุต่าง ๆ ให้ปล่อยรังสีเอกซ์ออกมา ซึ่งพบว่า สเปกตรัมของรังสีเอกซ์ ท่ีแต่ละธาตุปล่อยออกมามีลักษณะเฉพาะตัว ทาให้สามารถกาหนด เลข เชิงอะตอม (atomic number) ของธาตุได้ ที่สาคัญคือ เลขเชิงอะตอมนี้เป็นตัวบอกสมบัติของ ธาตุไดด้ ้วย ปี 1914 รัทเทอร์ฟอร์ดได้รับพระราชทานเครอื่ งราชอิสรยิ าภรณ์ชั้นอศั วิน (Knight) ระหว่างสงครามโลกคร้ังที่ 1 รัทเทอร์ฟอร์ดท้ิงงานวิจัยไปช่วยกองทัพเรืออังกฤษ แก้ปัญหาการตรวจจบั เรอื ดานา้ แต่สักพกั เขากก็ ลับไปท่ีห้องปฏิบัติการของเขา โดยในปี 1919 ซึ่ง เป็นปีสุดท้ายท่ีแมนเชสเตอร์ของเขา รัทเทอร์ฟอร์ด ทดลองระดมยิงอนุภาคแอลฟาเข้าไปใน นิวเคลียสของอะตอมธาตุเบา อาทิ ธาตุไนโตรเจน สามารถทาให้อะตอม แตกสลายและ ปลดปล่อยอนุภาคเด่ียวออกมา เนื่องจากอนุภาคนี้มีประจุบวก ดังน้ันมันต้องหลุดออกมาจาก นิวเคลียส เขาเรียกอนุภาคชนิดใหม่นี้ว่า โปรตอน การทดลองน้ีภายหลังได้รับการพิสูจน์โดย

แพทริก แบล็กเก็ตต์ (Patrick Blackett) ว่าอะตอมไนโตรเจนในกระบวนการนี้ได้แปรธาตุเป็น อะตอมออกซิเจน ดังนั้น รัทเทอร์ฟอร์ดจึงได้ช่ือว่า มนุษย์คนแรกท่ีทาให้เกิด “ปฏิกิริยา นิวเคลยี ร์” ในช่วงปี 1919 นี้เชน่ กัน รทั เทอรฟ์ อร์ดยังได้เสนอทฤษฎีว่า นิวเคลยี สของอะตอมนอกจากมีประจุ บวกจาก นวิ ตรอน แล้ว ยังประกอบด้วยอนภุ าคที่ไมม่ ปี ระจุซงึ่ เขาเรยี กวา่ “นิวตรอน” ซ่ึงจะได้รับ การพิสูจนค์ วามถูกตอ้ งในอีก 13 ปีข้างหน้าโดยลูกศิษยข์ องเขาเอง ในปี 1919 นั้นเอง รัทเทอร์ฟอร์ดก็อาลาแมนเชสเตอร์ มารับตาแหน่งผู้อานวยการ ห้องปฏิบัตกิ ารคาเวนดิช ตอ่ จากทอมสัน ด้วยบุคลิกภาพอนั อบอุ่นและเปดิ เผย รวมทัง้ ความสาเร็จ ทางวิทยาศาสตร์ของเขา ทาให้เขาเป็นพี่เลี้ยง ผู้มีชื่อเสียงแก่นักวิจัยทาให้แห่กันมาร่วมงานด้วย รัทเทอร์ฟอร์ดริเริ่มการทดลองส่วนใหญ่ที่คาเวนดิช และด้วยการ สอนแนะ และช้ีนา ของเขาท่ีน่ี ได้กรุยทางให้นักวิจัยรุ่นน้องประสบความสาเร็จย่ิงใหญ่และได้รับรางวัลโนเบล กันเป็นทิวแถว เช่น เจมส์ แชดวิก ผู้ค้นพบอนุภาคนิวตรอน แพทริก แบล็กเก็ตต์ ผู้ค้นพบโพซิตรอน (ชาว อเมริกัน เออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ ก็คนพบโพซิตรอนในเวลาไล่เล่ียกัน) ค็อกครอฟต์ กับ วอลตัน ผู้ รว่ มกนั ประดิษฐ์เครอื่ งเร่งอนุภาค และ แอสตัน ผู้ประดษิ ฐ์สเปกโทรมิเตอร์มวล คนที่รู้จักคลุกคลีกับรัทเทอร์ฟอร์ดยกย่องว่าเขาเป็นนักทาการทดลองวิทยาศาสตร์ท่ียิ่งใหญ่ท่ีสุด ในศตวรรษ และในคริสต์ทศวรรษ 1920 และ 1930 เขาได้ทาให้เคมบริดจ์กลายเป็นเมืองหลวง ของการทดลองทางฟิสิกส์ของโลก และมีชาวอเมริกันมากมายท่ีมาร่าเรียนกับเขา จากนั้นก็นาเอา วิธีการทางานท่ีผสมผสานการทดลองกับทฤษฎี กลับไปใช้ท่ีบ้านเกิด ก่อให้เกิดการปฏิวัติทาง เทคโนโลยี ทาให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศทก่ี า้ วหน้าทส่ี ุดในโลก ในยุคของรัทเทอร์ฟอร์ด เคร่ืองไม้เคร่ืองมือทางวิทยาซาสตร์ยังไม่เจริญก้าวหน้า เขาค้นพบสิ่งต่าง ๆ มากมาย ได้ด้วยเคร่ืองมือง่าย ๆ ซ่ึงครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวว่า “ต่อให้อยู่ท่ีขั้วโลกเหนือ ผมก็ ทำงำนวจิ ัยได้” (?I could do research at the North Pole.?) ปี 1925 รทั เทอรฟ์ อร์ดได้รบั เครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้ันเมริต (Order of Merit) และถึงปี 1931 เขาเป็นคนแรก ท่ีได้รับบรรดาศักด์ิ บารอนแห่งเนลสัน (Baron of Nelson) ทาให้เขา สามารถเข้าร่วมประชุมใน สภาขุนนาง (House of Lords) ได้ เขาได้รับรางวัลเกียรติยศอ่ืน ๆ อีก มากมายรวมทงั้ ปริญญาดษุ ฎีบณั ฑิตกิตตมิ ศักด์จิ ากมหาวิทยาลยั ท่วั โลก ไม่นอ้ ยกวา่ 20 แห่ง เกียรตยิ ศอกี ประการหนึ่งของรัทเทอร์ฟอร์ดท่ีไม่อาจมองข้ามไปได้ก็คือ ระหว่างปี 1925- 1930 เขาได้ ดารงตาแหน่งเปน็ นายกแหง่ ราชสมาคม (The Royal Society) ซึง่ เขาได้รับเลือกให้ เปน็ ภาคีสมาชิกมาต้ังแต่ปี 1903

รัทเทอร์ฟอร์ดมีวาทะอันคมคายหลายครั้งดังกล่าวมาบ้างแล้วข้างต้น และยังมีอีก หนง่ึ “วรรคทอง” ท่ีแม้จะผิดพลาด แต่กลับสร้างช่ือเสียงให้กับเขาเป็นอย่างมาก คือ “ความคิดที่ จะเอาพลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ มาใช้ประโยชน์เป็น “เร่ืองเหลวใหล”” (“The energy produced by the breaking down of the atom is a very poor kind of thing. Anyone who expects a source of power from the transformation of these atoms is talking moonshine.”) โดยทุกวันนี้เรามไี ฟฟา้ ทผ่ี ลิตจากพลังงานนิวเคลยี ร์ใชอ้ ยูท่ ั่วโลก รัทเทอร์ฟอร์ดแต่งงานกับ แมรี นิวตัน เม่ือปี 1900 และมีบุตรสาวคนเดียวชื่อ ไอ ลีน (Eileen) การพกั ผ่อนหย่อนใจท่เี ขาโปรดปรานคอื กอล์ฟและรถยนต์ รัทเทอร์ฟอร์ดถึงแก่กรรมที่เคมบริดจ์เมื่อวันท่ี 19 ตุลาคม 1937 อัฐิธาตุของเขา ได้รับ เกียรติยศอย่างสูง ให้ฝังในสุสานที่โบสถ์เวสต์มินสเตอร์ ทางด้านตะวันตก ของหลุมศพของนิวตัน และอยู่เคียงข้างกบั หลมุ ศพของลอร์ดเคลวิน ท้าย ท่ีสุ ด ช่ือ ขอ ง รัท เท อร์ ฟ อร์ ด ยัง ได้ รับ เกี ยร ติน าไ ปตั้ งเป็ นชื่ อธ าตุ ลา ดับ ที่ 104 คื อ รทั เทอรฟ์ อร์เดยี ม (rutherfordium) อีกด้วย ทีม่ า : http://nkc.tint.or.th/nkc54/content-01/nstkc54-036.html


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook