Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อัลเบิร์ต ไอน์ชไตน์

อัลเบิร์ต ไอน์ชไตน์

Published by 945sce00461, 2021-08-31 06:45:14

Description: อัลเบิร์ต ไอน์ชไตน์

Search

Read the Text Version

อลั เบริ ์ต ไอนช์ ไตน์ อลั แบรท์ ไอนช์ ไตน์ หรอื อัลเบริ ต์ ไอน์สไตน์ เป็นนกั ฟิสิกส์ทฤษฎีชาวเยอรมันมาแต่โดยกาเนิด ซึ่งเป็น ท่ียอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นหน่ึงในนักฟิสิกส์ที่ย่ิงใหญ่ท่ีสุดตลอดกาล ไอน์สไตน์ได้เป็นที่รู้จักกันในการ พัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพ แต่เขายังมีส่วนสาคัญในการพัฒนาทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม ทฤษฎีสัมพัทธภาพ และทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมเป็นสองเสาหลักของฟิสิกส์สมัยใหม่ สูตรความสมมูลมวล–พลังงานของ เขา E = mc2 ซึ่งเกิดจากทฤษฎีสัมพัทธภาพจึงได้รับการขนานนามว่า เป็น \"สมการที่มีช่ือเสียงท่ีสุดในโลก\" ผลงานของเขาไดเ้ ป็นที่รู้จักจากอิทธิพลท่ีมีต่อปรัชญาทางวิทยาศาสตร์ เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1921 \"สาหรับทาหน้าที่ทางด้านฟิสิกส์ทฤษฏี\" โดยเฉพาะอย่างย่ิงสาหรับการค้นพบปรากฏการณ์โฟโตอิ เล็กทริก ข้ันตอนสาคัญในการพัฒนาทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม ความสาเร็จทางปัญญาและความคิดริเริ่มของ เขาสง่ ผลให้ \"ไอนส์ ไตน\"์ กลายเปน็ คาพ้องทีม่ ีความหมายตรงกบั คาวา่ \"จีเนยี ส\"(อัจฉริยะ) ภาพท่ี 1 อัลเบิร์ต ไอนช์ ไตน์ https://th.wikipedia. ในปี ค.ศ. 1905 ปีนั้นได้ถูกเรียกกันเป็นบางครั้งว่า annus mirabilis (ปีที่มหัศจรรย์) ไอน์สไตน์ได้ ตพี มิ พ์บทความถึงการค้นพบคร้งั ใหมถ่ งึ สี่ฉบับ ส่ิงเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงทฤษฏีปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ซึ่ง ได้อธบิ ายถึงการเคล่อื นที่แบบบราวน์ เปน็ การนาเสนอทฤษฎสี มั พทั ธภาพพเิ ศษและแสดงให้เห็นถึงความสมมูล มวล–พลังงาน ไอน์สไตน์คิดว่ากฏของกลศาสตร์คลาสสิคไม่อาจสอดคล้องกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้อีกต่อไป ซง่ึ ทาให้เขาพฒั นาทฤษฏีสมั พนั ธภาพพเิ ศษ จากนนั้ เขาไดข้ ยายทฤษฏสี นามแรงโน้มถ่วง เขาได้ตีพิมพ์บทความ เก่ียวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพท่ัวไปในปี ค.ศ. 1916 เป็นการนาเสนอทฤษฏีแรงโน้มถ่วง ในปี ค.ศ. 1917 เขาได้ ใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเพื่อสร้างแบบจาลองโครงสร้างของจักรวาล เขายังคงจัดการกับปัญหาของ กลศาสตร์เชิงสถิติและทฤษฎีควอนตัม ซึ่งนาไปสู่การอธิบายทฤษฎีอนุภาคและการเคล่ือนที่ของโมเลกุล

นอกจากนเี้ ขายงั ตรวจสอบคณุ สมบัตทิ างความร้อนของแสงและทฤษฎีควอนตมั ของการแผ่รังสี ซึ่งเป็นรากฐาน ของทฤษฎีโฟตอนของแสง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาต่อมาของอาชีพการงานของเขา เขาคิดค้นงานวิจัยอยู่ สองอย่าง ซ่ึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ประสบความสาเร็จเลย งานแรก แม้ว่าเขาจะมีส่วนอย่างมากในกลศาสตร์ ควอนตมั เขาไมเ่ หน็ ด้วยกับสิง่ ทม่ี ีการววิ ัฒนาการ โดยปฏเิ สธว่า ธรรมชาติ\"จะไม่ทอยลูกเต๋า \"งานที่สอง เขาได้ พยายามคิดค้นทฤษฎีสนามรวม โดยสรุปทฤษฎีความโน้มถ่วงทางเรขาคณิตเพ่ือรวมเข้ากับทฤษฎี แม่เหลก็ ไฟฟ้า เป็นผลทาใหเ้ ขาตตี ัวออกห่างจากกระแสหลักของฟิสิกส์สมยั ใหม่มากขนึ้ เรื่อย ๆ ไอน์สไตน์เกิดในจักรวรรดิเยอรมัน แต่ย้ายไปอยู่ท่ีสวิตเซอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1895 ได้ละท้ิงสัญชาติ เยอรมัน (เป็นเร่ืองของราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค) ภายหลังปีต่อมา ในปี ค.ศ. 1897 เมื่อมีอายุได้ 17 ปี เขาได้สมัครเรียนห ลักสูตรการสอนคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ระดับอนุปริญญาที่ โรงเรียนสารพัดช่างแห่ ง สหพนั ธรฐั สวิสเซอร์แลนด์ (ภายหลังถกู เปล่ียนช่ือเป็น สถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิสในซูริก) ในเมืองซูริก ซ่ึงจบการศกึ ษาในปี ค.ศ. 1900 ในปี ค.ศ. 1901 เขาได้รับสัญชาตสิ วสิ ซ่ึงเขาได้เกบ็ เอาไว้ตลอดชีวิตท่ีเหลืออยู่ และในปี ค.ศ. 1903 เขาได้ดารงตาแหนง่ อย่างถาวรท่ีสานกั งานสิทธิบัตรสวิสในกรุงเบิร์น ในปี ค.ศ. 1905 เขา ได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยซูริก ในปี ค.ศ. 1914 ไอน์สไตน์ได้ย้ายไปยังกรุงเบอร์ลินตามคาส่ังในการ เข้าร่วมกับสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งปรัสเซียและมหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1917 ไอน์สไตน์ได้ดารงตาแหน่งเป็นผู้อานวยการสถาบันฟิสิกส์ไคเซอร์วิลเฮล์ม เขายังได้กลายเป็นพลเมืองชาว เยอรมันอีกคร้ัง - ปรัสเซียในช่วงเวลานั้น ในปี ค.ศ. 1933 ในขณะที่ไอน์สไตน์ได้ไปเยือนท่ี สหรัฐอเมริกา อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ก็ก้าวขึ้นสู่อานาจ ไอน์สไตน์ไม่ได้เดินทางกลับเยอรมนีเพราะเขาค้ดค้าน นโยบายของรัฐบาลที่นาโดยนาซีซ่ึงได้รับเลือกต้ังขึ้นมาใหม่[12] เขาได้ตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกาและกลายเป็น พลเมืองชาวอเมริกันในปี ค.ศ. 1940[13] ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งท่ีสอง เขาได้เขียนจดหมายไปถึง ประธานาธิบดีสหรัฐแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ เพ่ือย้าเตือนเขาถึงโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเยอรมนีท่ีอาจจะ เกิดข้ึนได้ และแนะนาให้สหรัฐเริ่มทาการวิจัยโครงการแบบเดียวกัน ไอน์สไตน์ได้ให้การสนับสนุนแก่ฝ่าย สมั พนั ธมติ รแตส่ ่วนใหญก่ ็ประณามแนวคิดเรือ่ งอาวุธนิวเคลยี ร์ 1. ประวัตใิ นวัยเดก็ และในวทิ ยาลัย ไอน์สไตน์เกิดในเมืองอุล์ม ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค สมัยจักรวรรดิเยอรมัน ห่างจากเมืองชตุทท์ การ์ทไปทางตะวันออกประมาณ 100 กิโลเมตร ซ่ึงในปัจจุบันคือรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค ประเทศเยอรมนี บิดาของเขาช่ือว่า แฮร์มานน์ ไอน์สไตน์ เป็นพนักงานขายทั่วไปซ่ึงกาลังทาการทดลองเก่ียวกับเคมีไฟฟ้า มารดาช่ือว่า พอลลีน โดยมีคนรับใช้หน่ึงคนช่ือ คอช ทั้งคู่แต่งงานกันในโบสถ์ในสตุ๊ทการ์ท ( เยอรมัน: Stuttgart-Bad Cannstatt) ครอบครัวของเขาเป็นชาวยิว (แต่ไม่เคร่งครัดนัก) อัลเบิร์ตเข้าเรียนในโรงเรียน ประถมคาธอลกิ และเขา้ เรยี นไวโอลิน ตามความต้องการของแม่ของเขาที่ยนื ยันให้เขาไดเ้ รยี น เม่ือเขาอายุได้ห้าขวบ พ่อของเขานาเข็มทิศพกพามาให้เล่น และทาให้ไอน์สไตน์รู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่าง ในพื้นท่ีท่ีว่างเปล่า ซ่ึงส่งแรงผลักเข็มทิศให้เปล่ียนทิศไป เขาได้อธิบายในภายหลังว่าประสบการณ์เหล่านี้คือ หนงึ่ ในส่วนที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เขาในชีวิต แม้ว่าเขาชอบท่ีจะสร้างแบบจาลองและอุปกรณ์กลได้ในเวลา

ว่าง เขาถือเป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ช้า สาเหตุอาจเกิดจากการท่ีเขามี ความพิการทางการอ่านหรือ เขียน (dyslexia) ความเขินอายซึ่งพบได้ทั่วไป หรือการที่เขามีโครงสร้างสมองที่ไม่ปกติและหาได้ยากมาก (จากการชันสูตรสมองของเขาหลังจากท่ีไอน์สไตน์เสียชีวิต) เขายกความดีความชอบในการพัฒนาทฤษฎีของ เขาวา่ เป็นผลมาจากความเชือ่ งชา้ ของเขาเอง โดยกล่าวว่าเขามีเวลาครุ่นคิดถึงอวกาศและเวลามากกว่าเด็กคน อน่ื ๆ เขาจงึ สามารถสามารถพฒั นาทฤษฎเี หล่าน้ีได้ โดยการที่เขาสามารถรับความรู้เชิงปัญญาได้มากกว่าและ นานกว่าคนอน่ื ๆ ภาพท่ี 2 ภาพถา่ ยไอนส์ ไตนใ์ นวัยเด็ก ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2436 https://th.wikipedia.org/wiki ไอน์สไตน์เริ่มเรียนคณิตศาสตร์เมื่อประมาณอายุ 12 ปี โดยท่ีลุงของเขาทั้งสองคนเป็นผู้อุปถัมถ์ความ สนใจเชิงปัญญาของเขาในช่วงย่างเข้าวัยรุ่นและวัยรุ่น โดยการแนะนาและให้ยืมหนังสือซึ่งเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์และคณติ ศาสตร์ ใน พ.ศ. 2437 เน่ืองมาจากความล้มเหลวในธุรกิจเคมีไฟฟ้าของพ่อของเขา ทาให้ครอบครัวไอน์สไตน์ ยา้ ยจากเมืองมวิ นิก ไปยงั เมืองพาเวีย (ใกล้กับเมืองมิลาน) ประเทศอิตาลี ในปีเดียวกัน เขาได้เขียนผลงานทาง วทิ ยาศาสตร์ช้นิ หน่ึงขน้ึ มา (คือ \"การศึกษาสถานะของอีเธอร์ในสนามแม่เหล็ก\") โดยที่ไอน์สไตน์ยังอาศัยอยู่ใน บ้านพักในมิวนิกอยู่จนเรียนจบจากโรงเรียน โดยเรียนเสร็จไปแค่ภาคเรียนเดียวก่อนจะลาออกจากโรงเรียน มัธยมศึกษา กลางฤดูใบไม้ผลิ ในปี พ.ศ. 2438 แล้วจึงตามครอบครัวของเขาไปอาศัยอยู่ในเมืองพาเวีย เขา ลาออกโดยไม่บอกพ่อแม่ของเขา และโดยไม่ผ่านการเรียนหนึ่งปีคร่ึงรวมถึงการสอบไล่ ไอน์สไตน์เกลี้ยกล่อม โรงเรียนให้ปล่อยตัวเขาออกมา โดยกล่าวว่าจะไปศึกษาเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดตามคาเชิญจากเพื่อนผู้เป็น แพทยข์ องเขาเอง โรงเรยี นยนิ ยอมใหเ้ ขาลาออก แต่นีห่ มายถงึ เขาจะไมไ่ ดร้ ับใบรบั รองการศึกษาช้ันเรียนมัธยม

แม้ว่าเขาจะมีความสามารถชนั้ เลศิ ในสาขาวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ แต่การที่เขาไร้ความรู้ใด ๆ ทางด้านศิลปศาสตร์ ทาให้เขาไม่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิสในเมืองซู ริก (เยอรมัน: Eidgenössische Technische Hochschule หรือ ETH) ทาให้ครอบครัวเขาต้องส่งเขากลับไป เรียนมัธยมศึกษาให้จบท่ีอารอในสวิตเซอร์แลนด์ เขาสาเร็จการศึกษาและได้รับใบอนุปริญญาในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2439 และสอบเข้า ETH ได้ในเดือนตุลาคม แล้วจงึ ยา้ ยมาอาศยั อย่ใู นเมืองซูริก ในปีเดียวกัน เขากลับมาที่บ้านเกิดของเขาเพ่ือเพิกถอนภาวะการเป็นพลเมืองของเขาในเวอร์เทมบูรก์ ทาให้เขากลายเป็นผู้ ไรส้ ญั ชาติ ใน พ.ศ. 2443 เขาได้รับประกาศนียบัตรสาเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิส ได้รับสิทธ์ิพลเมืองสวิสในปี พ.ศ. 2444 และ พ.ศ. 2448 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เรียนจบปริญญาเอกจาก มหาวิทยาลัยซูรคิ 2. งานในสานักงานสทิ ธบิ ตั ร หลังจากจบการศึกษา ไอนส์ ไตนไ์ มส่ ามารถหางานสอนหนังสือได้ หลังจากเพียรพยายามอยู่เกือบสองปี พ่อของอดีตเพื่อนร่วมช้ันคนหนึ่งก็ช่วยให้เขาได้งานทาที่สานักงานสิทธิบัตรในกรุงแบร์น ในตาแหน่งผู้ช่วย ตรวจสอบเอกสาร หนา้ ท่ีของเขาคอื การตรวจประเมินใบสมัครของสิทธิบัตรในหมวดหมู่อุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้า ในปี พ.ศ. 2446 ไอน์สไตน์ก็ได้บรรจุเข้าเป็นพนักงานประจา หลังจากถูกมองข้ามมานานจนกระท่ังกลายเป็น ผูเ้ ชย่ี วชาญด้านเทคโนโลยจี กั รกล ไอน์สไตน์กับเพื่อนหลายคนที่รู้จักกันในแบร์น ได้รวมกลุ่มกันเป็นชมรมเล็กๆ สาหรับคุยกันเรื่อง วิทยาศาสตร์และปรชั ญา ตง้ั ชอื่ กลมุ่ อย่างล้อเลียนว่า \"The Olympia Academy\" พวกเขาอ่านหนังสือร่วมกัน เช่น งานของปวงกาเร แมค็ และฮมู ซงึ่ สง่ อิทธพิ ลตอ่ แนวคิดดา้ นวทิ ยาศาสตร์และปรัชญาของไอนส์ ไตน์มาก ตลอดช่วงเวลาเหล่าน้ี ไอน์สไตน์แทบจะไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยวใดๆ กับชุมชนทางฟิสิกส์เลย งานที่ สานักงานสิทธิบัตรของเขาโดยมากจะเกี่ยวกับปัญหาเร่ืองการส่งสัญญาณไฟฟ้าและการซิงโครไนซ์ทางเวลา ระหว่างระบบไฟฟ้ากับระบบทางกล ซ่ึงเป็นสองปัญหาหลักทางเทคนิคอันเป็นจุดสนใจของการทดลองใน ความคดิ ยุคนัน้ ซึง่ ในเวลาตอ่ มาได้ชักนาให้ไอน์สไตน์ไปสู่ผลสรุปอันลึกซ้ึงเก่ียวกับธรรมชาติของแสงและความ เกยี่ วพันพ้ืนฐานระหวา่ งอวกาศกับเวลา 3. ชวี ติ ครอบครวั กอ่ นหนา้ นี้ เขามีแฟนคนแรกตอนเรยี นมัธยมชอ่ื มารี วินเทเลอร์ แต่ต้องแยกย้ายกันไปเม่ือเขาเข้าเรียน มหาวิทยาลัย ไอน์สไตน์มีบุตรสาวหนึ่งคนกับมิเลวา มาริค ช่ือว่า ไลแซล (Lieserl) คาดว่าเกิดในตอนต้นปี พ.ศ. 2445 ทีเ่ มือง Novi Sad ไอน์สไตน์แต่งงานกับมิเลวาเม่ือวันท่ี 6 มกราคม พ.ศ. 2446 แม้จะถูกมารดาคัดค้านเพราะนางมีอคติ กบั ชาวเซิรบ์ และคดิ ว่ามารคิ นั้น \"แก่เกินไป\" ทง้ั ยัง \"หน้าตาอัปลกั ษณ์\" ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองค่อนข้างจะ เป็นส่วนตัวและเป็นคู่ชีวิตที่มีสติปัญญา ในจดหมายฉบับหน่ึงถึงหล่อน ไอน์สไตน์เรียกมาริคว่า \"สิ่งมีชี วิตที่

เสมอกันกับผม ผู้ซึ่งแข็งแรงและมีอิสระเฉกเช่นเดียวกัน\"[22] มีการถกเถียงกันอยู่เป็นบางคราวว่า มาริคมี อิทธพิ ลตอ่ งานของไอนส์ ไตนบ์ า้ งหรอื ไม่ อย่างไรกต็ าม นักประวัติศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์ต่างลงความเห็นเป็น เอกฉันทว์ า่ ไม่มี บุตรคนแรกของไอนส์ ไตนก์ บั มิเลวา คอื ฮันส์ อัลเบิรต์ ไอน์สไตน์ เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 ที่กรงุ แบรน์ ประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ บุตรคนท่ีสองคอื เอดูอาร์ด เกิดที่ซูริกเม่ือวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2453 อัลเบิร์ตกับมาริคหย่ากันเม่ือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2462 หลังจากแยกกันอยู่ 5 ปี ในวันที่ 2 มถิ นุ ายนปีเดยี วกนั นน้ั ไอนส์ ไตนแ์ ต่งงานกับ เอลซา โลเวนธาล (นี ไอน์สไตน์) นางพยาบาลท่ีช่วยดูแลอภิบาล ระหวา่ งท่เี ขาปว่ ย เอลซาเปน็ ญาติห่างๆ ทั้งทางฝั่งพ่อและฝั่งแมข่ องไอน์สไตน์ ครอบครัวไอน์สไตน์ช่วยกันเลี้ยง ดู มาร์ก็อต และ อิลเซ ลูกสาวของเอลซาจากการแต่งงานคร้ังแรกของเธอแต่ทั้งสองคนไม่มีลูกด้วยกัน อยู่ ด้วยกันตลอดจนเธอป่วยเสยี ชีวิตในปคี ศ 1936 ภาพที่ 3 มาดารของไอน์สไตน์ https://th.wikipedia.org/wiki 4. งานด้านวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4.1 การคดิ ค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ปี พ.ศ. 2448 ขณะที่ไอน์สไตน์ทางานอยู่ท่ีสานักงานสิทธิบัตร ก็ได้ตีพิมพ์บทความ 4 เรื่องใน Annalen der Physik ซึ่งเป็นวารสารทางฟิสิกส์ช้ันนาของเยอรมนี บทความท้ังสี่น้ีในเวลาต่อมาเรียกช่ือ รวมกันว่า \"Annus Mirabilis Papers\" บทความเกี่ยวกับธรรมชาติเฉพาะตัวของแสง นาไปสู่แนวคิดที่ส่งผล ต่อการทดลองท่ีมีชื่อเสียง คือปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก หลักการง่ายๆ ก็คือ แสงมีปฏิกิริยากับสสารใน รูปแบบของ \"ก้อน\" พลังงาน (ควอนตา) เป็นห้วงๆ แนวคิดน้ีเคยนาเสนอมาก่อนหน้านี้แล้วโดย แมกซ์ พลังค์

ในปี พ.ศ. 2443 ซึง่ เปน็ แนวคดิ ที่ขัดแย้งกับทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นแสงที่เช่ือกันอยู่ในยุคสมัยน้ันบทความเกี่ยวกับ การเคลื่อนท่ีของบราวน์ อธิบายถึงการเคลื่อนไหวแบบสุ่มของวัตถุขนาดเล็กมากๆ ซ่ึงเป็นผลโดยตรงจากการ กระทาของโมเลกุล แนวคิดน้ีสนับสนุนต่อทฤษฎีอะตอมบทความเก่ียวกับอิเล็กโตรไดนามิกส์ของวัตถุที่กาลัง เคลือ่ นท่ี เปน็ กาเนิดของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ แสดงใหเ้ ห็นว่าความเร็วของแสงท่ีกาลังสังเกตอย่างอิสระ ณ สภาวะการเคลื่อนทขี่ องผู้สงั เกตจะต้องมกี ารเปลยี่ นแปลงโดยพ้นื ฐานไปเหมือนๆ กัน ผลสืบเน่ืองจากแนวคิดน้ี รวมถึงกรอบของกาล-อวกาศของวัตถทุ ่กี าลังเคล่ือนทีจ่ ะชา้ ลงและหดสัน้ ลง (ตามทิศทางของการเคล่ือนท่ี) โดย สมั พทั ธก์ บั กรอบของผ้สู งั เกต บทความน้ียังโต้แย้งแนวคิดเกี่ยวกับ luminiferous aether ซ่ึงเป็นเสาหลักทาง ฟสิ กิ ส์ทฤษฎใี นยคุ น้ัน ว่าเป็นส่ิงท่ไี ม่จาเปน็ บทความว่าดว้ ยสมดลุ ของมวล-พลังงาน (ซึ่งก่อนหน้านี้เช่ือว่ามันไม่ เกี่ยวข้องกนั เลย) ไอน์สไตน์ปรับปรุงสมการสมั พัทธภาพพเิ ศษของเขาจนกลายมาเป็นสมการอันโด่งดังท่ีสุดแห่ง คริสต์ศตวรรษที่ 20 คือ E = mc2 ซ่ึงบอกว่า มวลขนาดเล็กจ๋ิวสามารถแปลงไปเป็นพลังงานปริมาณมหาศาล ได้ ซึง่ เป็นจุดกาเนดิ การพัฒนาของพลงั งานนวิ เคลยี ร์ 4.2 แสง กับทฤษฎสี ัมพทั ธภาพทวั่ ไป ปี พ.ศ. 2449 สานักงานสทิ ธิบัตรเลอ่ื นขั้นให้ไอน์สไตนเ์ ป็น Technical Examiner Second Class แต่เขากย็ ังไมท่ งิ้ งานด้านวิชาการ ปี พ.ศ. 2451 เขาได้เข้าเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแบร์น พ.ศ. 2453 เขาเขยี นบทความอธบิ ายถงึ ผลสะสมของแสงทีก่ ระจายตัวโดยโมเลกุลเด่ียวๆ ในบรรยากาศ ซ่ึงเป็นการอธิบาย ว่า เหตุใดท้องฟ้าจึงเป็นสีน้าเงินระหว่าง พ.ศ. 2452 ไอน์สไตน์ตีพิมพ์บทความ \"Über die Entwicklung unserer Anschauungen über das Wesen und die Konstitution der Strahlung\" (พัฒนาการของ มุมมองเกี่ยวกับองค์ประกอบและหัวใจสาคัญของการแผ่รังสี) ว่าด้วยการพิจารณาแสงในเชิงปริมาณ ใน บทความน้ี รวมถึงอีกบทความหน่ึงก่อนหน้าน้ันในปีเดียวกัน ไอน์สไตน์ได้แสดงว่า พลังงานควอนตัมของมักซ์ พลงั ค์ จะตอ้ งมีโมเมนตมั ทีแ่ น่นอนและแสดงตัวในลักษณะท่ีคล้ายคลึงกับอนุภาคที่เป็นจุด บทความน้ีได้พูดถึง แนวคิดเร่ิมต้นเกี่ยวกับโฟตอน (แม้ในเวลาน้ันจะยังไม่ได้เรียกด้วยคาน้ี ผู้ตั้งช่ือ 'โฟตอน' คือ กิลเบิร์ต เอ็น. ลิว อสิ ในปี พ.ศ. 2469) และให้แรงบันดาลใจเก่ียวกับความเก่ียวพันกันระหว่างคลื่นกับอนุภาค ในวิชากลศาสตร์ ควอนตัมพ.ศ. 2454 ไอน์สไตน์ได้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ท่ีมหาวิทยาลัยซูริก แต่หลังจากน้ันไม่นานเขาก็ ยอมรับตาแหน่งศาสตราจารย์ท่ีมหาวิทยาลัยเยอรมัน ชาร์ลส์-เฟอร์ดินานด์ ในกรุงปราก ที่น่ีไอน์สไตน์ได้ ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับผลกระทบของแรงโน้มถ่วงท่ีมีต่อแสง ซึ่งก็คือการเคลื่อนไปทางแดงเน่ืองจากแรงโน้ม ถ่วง และการหักเหของแสงเนื่องจากแรงโน้มถ่วง บทความนี้ช่วยแนะแนวทางแก่นักดาราศาสตร์ในการ ตรวจสอบการหักเหของแสงระหว่างการเกิดสุริยคราส นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน เออร์วิน ฟินเลย์-ฟรอนด์ ลิค ได้เผยแพร่ข้อท้าทายของไอน์สไตน์น้ีไปยังนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก พ.ศ. 2455 ไอน์สไตน์กลับมายัง

สวิตเซอร์แลนด์และรับตาแหน่งศาสตราจารย์ท่ีมหาวิทยาลัยเดิมท่ีเขาเป็นศิษย์เก่า คือ ETH เขาได้พบกับนัก คณิตศาสตร์ มาร์เซล กรอสมานน์ ซึ่งช่วยให้เขารู้จักกับเรขาคณิตของรีมานน์และเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ และ โดยการแนะนาของทุลลิโอ เลวี-ซิวิตา นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ไอน์สไตน์จึงได้เริ่มใช้ประโยชน์จากความ แปรปรวนร่วมเข้ามาประยุกต์ในทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขา มีช่วงหน่ึงที่ไอน์สไตน์รู้สึกว่าแนวทางน้ีไม่น่าจะ ใช้ได้ แต่เขาก็หันกลับมาใช้อีก และในปลายปี พ.ศ. 2458 ไอน์สไตน์จึงได้เผยแพร่ทฤษฎีสัมพัทธภาพท่ัวไปซึ่ง ยังคงใช้อยู่ตราบถึงปัจจุบัน ทฤษฎีนี้อธิบายถึงแรงโน้มถ่วงว่าเป็นการบิดเบี้ยวของโครงสร้างกาลอวกาศโดย วัตถุทีส่ ่งผลเป็นแรงเฉอ่ื ยตอ่ วตั ถุอ่นื 4.3 ทฤษฎีแรงเอกภาพ งานวิจัยของไอน์สไตน์หลังจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปมีหัวใจหลักอยู่ท่ีการพยายามทาให้ ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงสามารถอธิบายคุณสมบัติของแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ปี พ.ศ. 2493 เขาได้พูดถึงแนวคิดเร่ือง \"ทฤษฎแี รงเอกภาพ\" ในวารสาร Scientific American ในบทความชื่อว่า \"On the Generalized Theory of Gravitation\" แม้เขาจะไดร้ บั ความยกย่องอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนในการวิจัยเร่ืองน้ี และ ความทุ่มเทสว่ นใหญ่ของเขากไ็ มป่ ระสบความสาเร็จในความพยายามของไอนส์ ไตน์ท่ีจะรวมแรงพื้นฐานท้ังหมด เข้าในกฎเดียวกัน เขาได้ละเลยการพัฒนากระแสหลักในทางฟิสิกส์ไปบางส่วน ท่ีสาคัญคือแรงนิวเคลียร์อย่าง เข้มและแรงนิวเคลยี ร์อยา่ งอ่อน ซ่ึงไม่มีใครเข้าใจมากนกั ตราบจนอีกหลายปีผ่านไปหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว ขณะเดียวกัน แนวทางพัฒนาฟิสิกส์กระแสหลักเองก็ละเลยแนวคิดของไอน์สไตน์เกี่ยวกับการรวมแรง เช่นเดียวกัน ครั้นต่อมาความฝันของไอน์สไตน์ในการรวมกฎฟิสิกส์ท้ังหลายเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงจึงเป็นแรง บันดาลใจสาคัญต่อแนวทางศึกษาฟิสิกส์ยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงต่อทฤษฎีแห่งสรรพส่ิงและทฤษฎีสตริง ขณะทม่ี คี วามตื่นตวั มากขึ้นในสาขากลศาสตร์ควอนตัมด้วย 4.4 รางวลั โนเบล พ.ศ. 2465 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจาปี 2464 ในฐานะที่ \"ได้อุทิศตนแก่ ฟิสกิ ส์ทฤษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบกฎที่อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก\" ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงงาน เขยี นของเขาในปี 2448 \"โดยใช้มุมมองจากจิตสานึกเกี่ยวกับการเกิดและการแปรรูปของแสง\" แนวคิดของเขา ได้รับการพิสูจน์อย่างหนักแน่นจากผลการทดลองมากมายในยุคน้ัน สุนทรพจน์ในการมอบรางวัลยังระบุไว้ว่า \"ทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาเป็นหัวข้อถกเถียงที่น่าสนใจท่ีสุดในวงวิชาการ (และ) มีความหมายในทางฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ซง่ึ ประยุกต์ใช้อยา่ งชัดเจนในปจั จบุ นั \"

เชือ่ กันมานานว่าไอน์สไตน์มอบเงินรางวัลจากโนเบลทั้งหมดให้แก่ภรรยาคนแรก คือมิเลวา มาริค สาหรับการ หย่าขาดจากกันในปี พ.ศ. 2462 แต่จดหมายส่วนตัวที่เพิ่งเปิดเผยขึ้นในปี พ.ศ. 2549 บ่งบอกว่าเขานาไป ลงทุนในสหรัฐอเมริกา และสูญเงินไปเกือบหมดจากเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่าครั้งใหญ่ ไอน์สไตน์เดินทางไป นิวยอรก์ สหรัฐอเมรกิ า เปน็ ครงั้ แรก เมอื่ 2 เมษายน พ.ศ. 2464 เมอื่ มผี ู้ถามว่า เขาไดแ้ นวคดิ ทางวิทยาศาสตร์ มาจากไหน ไอนส์ ไตน์อธบิ ายวา่ เขาเช่ือวา่ งานทางวทิ ยาศาสตร์จะกา้ วหน้าได้จากการทดลองทางกายภาพและ การค้นหาความจริงท่ีซ่อนเอาไว้ โดยมีคาอธิบายที่สอดคล้องกันได้ในทุกสภาวการณ์โดยไม่ขัดแย้งกันเอง ไอน์สไตน์ยังสนับสนนุ ทฤษฎีทีค่ น้ หาผลลัพธ์ในจนิ ตนาการด้วย 4.5 เกยี รตคิ ณุ และอนสุ รณ์ พ.ศ. 2542 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้รับยกย่องเป็น \"บุคคลแห่งศตวรรษ\" โดยนิตยสารไทม์กัลลัพ โพล ได้บันทึกว่าเขาเป็นบุคคลผู้ได้รับการยกย่องสูงท่ีสุดอันดับ 4 แห่งคริสต์ศตวรรษท่ี 20 และจากการจัด อันดับ 100 บุคคลผู้มีอิทธิพลอย่างสูงในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์เป็น \"นักวิทยาศาสตร์ผู้ย่ิงใหญ่ท่ีสุดแห่ง คริสต์ศตวรรษที่ 20 และหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะตลอดกาล\" ต่อไปนี้เป็นรายช่ืออนุสรณ์ส่วนหน่ึง สหพันธ์ นานาชาติฟิสิกส์บริสุทธ์ิและฟิสิกส์ประยุกต์ ได้กาหนดให้ปี พ.ศ. 2548 เป็น \"ปีฟิสิกส์โลก\" เพ่ือเป็นการเฉลิม ฉลอง 100 ปีครบรอบการตีพิมพ์ Annus Mirabilis Papers - สถาบันอัลเบิรต์ ไอนส์ ไตน์ - อนสุ รณส์ ถานอัลเบิร์ต ไอนส์ ไตน์ โดย โรเบิร์ต เบริ ค์ ส์ - หนว่ ยวดั ในวชิ าโฟโตเคมี ชือ่ ว่า ไอนส์ ไตน์ - เคมธี าตลุ าดบั ท่ี 99 ช่ือ ไอน์สไตเนียม (einsteinium) - ดาวเคราะหน์ อ้ ย 2001 ไอน์สไตน์ - รางวลั ไอน์สไตน์ - รางวัลสันตภิ าพไอนส์ ไตน์ - ปี พ.ศ. 2533 ช่ือของไอน์สไตน์ถูกจารึกในวิหารวัลฮัลลา หอเกียรติยศซึ่งต้ังอยู่ริมแม่น้าดานูบ ประเทศ เยอรมนี

ภาพท่ี 4 ปา้ ยอนุสรณ์อัลเบริ ์ต ไอน์สไตน์ ในกรงุ เบอร์ลนิ https://th.wikipedia.org/wiki 5. มรดก ระหว่างท่ีเดินทางท่องเท่ียว ไอน์สไตน์ได้เขียนบันทึกประจาวันส่งให้ภรรยาของเขา คือเอลซา กับบุตรบุญ ธรรมอกี สองคนคือมาร์ก็อตและอิลซา จดหมายเหล่าน้ีรวมอยู่ในเอกสารท่ียกให้แก่มหาวิทยาลัยฮีบรู มาร์ก็อต ไอน์สไตน์ อนุญาตให้เผยแพร่จดหมายส่วนตัวแก่สาธารณชนได้ แต่จะต้องเป็นเวลา 20 ปีหลังจากเธอเสียชีวิต แล้วเท่าน้ัน (มาร์ก็อตเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2529 บาร์บารา โวลฟ์ ผู้ดูแลรักษาเอกสารของไอน์สไตน์ที่ มหาวิทยาลัยฮีบรู ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บีบีซีว่า มีจดหมายติดต่อส่วนตัวระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2455- 2498 เป็นจานวนมากกวา่ 3,500 หนา้ สถาบนั วทิ ยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา จัดสร้างรูปปั้นอนุสรณ์ อัลเบริ ์ต ไอนส์ ไตน์ เป็นทองแดงและหินอ่อนและสลกั โดยโรเบริ ์ต เบิรค์ ส์ ในปี พ.ศ. 2522 ต้งั อยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ใกล้กับ National Mall ไอน์สไตน์ทาพินัยกรรมยกลิขสิทธ์ิการใช้งานภาพของเขาท้ังหมดให้แก่ มหาวทิ ยาลยั ฮีบรู กรุงเยรูซาเล็ม ตอ่ มา บริษัท คอรบ์ ิส คอรป์ อเรชน่ั ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อและภาพต่างๆ ของ เขา ในฐานะตัวแทนผมู้ อี านาจแทนมหาวิทยาลยั ฮบี ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook