หน่วยท่ี 1 การกาเนิดไฟฟ้า ครูถวัลย์รัชต์ ภ่สู วาสด์ิ โรงเรียนเทศบาล ๑ กิตติขจร
ใบความรู้เร่ือง การกาเนิดไฟฟ้า โครงสร้ างของอะตอม วาเลนซอ์ ิเล็กตรอน นิวเคลียส ภาพท่ี 1 แสดงโครงสร้างภายในอะตอม ท่มี า : บญุ สบื โพธิ์ศรีและคณะ, 2546, หน้า 81. โครงสร้ างของสสารทุกชนิดนัน้ จะประกอบไปด้ วยส่วนท่ีเล็กที่สุดก็คือ อะตอม ซึ่ ง จ ะ ป ร ะ ก อ บ ไ ป ด้ ว ย ส่ ว น ข อ ง อิ เ ล็ ก ต ร อ น โ ป ร ต อ น แ ล ะ นิ ว ต ร อ น ซง่ึ อเิ ล็กตรอนมปี ระจไุ ฟฟา้ เป็นลบ โปรตอนมปี ระจไุ ฟฟา้ เป็นบวก และนวิ ตรอนไมม่ ปี ระจไุ ฟฟ้า โดยจะมีวาเลนซ์อิเล็กตรอนซึง่ ก็คืออิเล็กตรอนวงนอกสดุ ของอะตอม โดยจะมีมากที่สดุ ถึง 8 ตัว ซ่ึงจะมีผลต่อการนาไฟฟ้าของสสารชนิดต่างๆ โดยสสารท่ีมีวาเลนซ์อิเล็กตรอนเพียง 1-3 ตั ว จ ะ มี ส ถ า น ะ ข อ ง ส ส า ร เ รี ย ก ว่ า ตั ว น า ดงั นนั้ เมือ่ มีการได้รับพลงั งานความร้อนหรือพลงั งานไฟฟ้าอิเล็กตรอนกจ็ ะสามารถหลดุ ออกจากวง โคจรได้ง่าย ทาให้เคลื่อนที่ได้ง่ายในสสารได้อย่างอิสระ สาหรับสสารท่ีมีวาเลนอิเล็กตรอน 4 ตัว เช่น ซิลิกอน และเยอร์มนั เนียมจะมีสภาวะการนาไฟฟ้าอยู่ระหว่างตัวนาและฉนวน ซ่ึงจะเรียกว่า ส า ร ก่ึ ง ตั ว น า ส่ ว น ส ส า ร ที่ มี จ า น ว น ว า เ ล น ซ์ อิ เ ล็ ก ต ร อ น 5-8 ตั ว จะมสี ภาพการนาไฟฟา้ ทไี่ ม่ดีและไม่สามารถนากระแสไฟฟ้าได้ จะเรียกว่า ฉนวน
สนามไฟฟ้าของสสาร ทิศทางสนามไฟฟ้าของประจบุ วก ทิศทางสนามไฟฟ้าของประจลุ บ ภาพท่ี 2 แสดงทศิ ทางของสนามไฟฟ้า ท่มี า : บญุ สืบ โพธิ์ศรีและคณะ, 2546, หน้า 82. โดยทิศทางของประจุไฟฟ้านัน้ จะสามารถระบุทิศทางได้ 2 ลักษณะด้วยกันก็คือ โ ป ร ต อ น ซึ่ ง มี ป ร ะ จุ ไ ฟ ฟ้ า เ ป็ น บ ว ก นั้ น จ ะ มี ทิ ศ ท า ง พุ่ ง อ อ ก จ า ก ป ร ะ จุ และอเิ ล็กตรอนมปี ระจไุ ฟฟ้าเป็นลบจะมที ศิ ทางพงุ่ เข้าหาประจุ ประจตุ ่างกนั ดดู กนั ประจเุ หมอื นกนั ผลกั กนั ภาพท่ี 3 แสดงการดดู และผลักของประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ ท่มี า : บญุ สบื โพธิ์ศรีและคณะ, 2546, หน้า 82. และเม่อื มีการเปรียบเทียบกนั ระหวา่ งการนาวตั ถทุ ี่มีประจทุ างไฟฟา้ มาไว้ใกล้กนั จะมี การกระทาซง่ึ กนั ระหว่างประจไุ ฟฟา้ ซง่ึ ลกั ษณะการเกิดแรงกระทาขนึ ้ มานนั้ จะมีการเปรียบเทียบไว้ 2 สภาวะด้วยกนั คือ สสารที่มปี ระจไุ ฟฟ้าตา่ งชนิดกนั เมื่อนามาเข้าใกล้กนั ประจจุ ะผลกั ซงึ่ กนั และกนั แตเ่ ม่ือสสารท่ีมีประจเุ หมือนกนั จะมกี ารผลกั ซง่ึ กนั และกนั เกิดขนึ ้ มา
การเคล่อื นท่ขี องอเิ ลก็ ตรอนในวงจรไฟฟ้า การเคลื่อนทีข่ องอิเล็กตรอนในวงจรไฟฟ้านนั้ จะเกดิ จากการทเ่ี ม่อื มกี ารต่อวงจรพืน้ ฐานซง่ึ ประกอบ ไปด้วย แหลง่ จ่ายไฟฟา้ สายไฟฟ้า และหลอดไฟฟ้ากจ็ ะมีการจ่ายพลงั งานไฟฟ้าออกมาจากแหลง่ จ่ายไฟฟ้าทาให้หลอดไฟฟา้ สอ่ งแสงสว่างอ อกมา ทเี่ ป็นเช่นนกี ้ ็เน่ืองมาจาก อิเล็กตรอนอสิ ระ(ประจุไฟฟา้ ลบ) ทมี่ ีอย่ภู ายในลวดทองแดงหรือสายไฟถกู ดงึ ดดู ให้เคล่อื นที่ไปสายไฟฟ้าโดยขวั้ บวกของแหลง่ จ่ายไฟฟา้ เมื่ออิเลก็ ตรอนอสิ ระที่ถกู จา่ ยมา จะทาให้เกดิ การไหลของอิเล็กตรอนท่ีตดิ ตอ่ กนั อย่างต่อเนอ่ื งกนั ภายในสายไฟ เกดิ เป็นการไหลของกระแสไฟฟา้ ขนึ ้ มานน่ั เอง ภาพท่ี 4 แสดงการไหลของอิเล็กตรอนภายในสายไฟฟ้า
ความสาคญั ของพลังงานไฟฟ้า ภาพท่ี 5 การนาไฟฟ้าไปใช้งาน งานไฟฟา้ นนั้ มคี วามสาคญั กบั การดารงชวี ิตอยขู่ องมนษุ ย์ ซง่ึ อาจแบ่งได้เป็นหวั ข้อต่างๆ ได้คือ 1.งานไฟฟา้ ในการสร้างเคร่ืองมอื เคร่ืองใช้ต่างๆ อาจอยใู่ นรูปการให้พลงั งานความร้อน แสงสว่างพลงั งานกล ซงึ่ มีความจาเป็นในการใช้งานเคร่ืองใช้ไฟฟ้าของการดารงชวี ิตอย่ขู องมนษุ ย์ 2. ชว่ ยในการพฒั นาระบบการส่อื สารคมนาคมให้มีความสะดวกและเจริญก้าวหน้า 3. ช่วยพฒั นาระบบการผลิตสินค้าของโรงงานอตุ สาหกรรมรูปแบบตา่ งๆ แหล่งกาเนิดไฟฟ้า แหลง่ กาเนดิ ไฟฟ้านนั้ สามารถแบ่งได้ดงั นี ้ 1. แหลง่ กาเนิดไฟฟา้ ที่เกดิ ขึน้ จากการเสียดสีของวตั ถุ หรือการนาวตั ถุ 2 ชนิดมาเสียดสีกนั ทาให้เกิดไฟฟ้าที่เรียกวา่ ไฟฟ้าสถิต โดยนกั วทิ ยาศาสตร์ทคี่ ้นพบไฟฟ้าสถิตทาการทดลอง โดยการใช้แทง่ อาพนั ถกู บั ผ้าขนสตั ว์แล้วนาแท่งอาพนั ไปใกล้ขนนก ปรากฏว่าขนนกเข้ามาติดแท่งอาพนั แสดงว่าแท่งอาพนั เกิดอานาจไฟฟ้าสถติ ภาพท่ี 6 แสดงการถ่ายเทประจไุ ฟฟ้าระหว่างวสั ดุแท่งอาพันและขนสตั ว์ ท่มี า : บญุ สืบ โพธิ์ศรีและคณะ, 2546, หน้า 83.
2.แหลง่ กาเนิดไฟฟา้ ท่เี กิดขึน้ จากพลงั งานทางเคมี ซง่ึ เป็นแหลง่ กาเนิดทางไฟฟ้าจากพลงั งานทางเคมี ซงึ่ เป็นไฟฟ้าชนิดกระแสตรง (Direct Current) โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ 2.1 เซลลป์ ฐมภมู ิ (Primary Cell) เม่ือใช้แล้ว สารเคมีจะหมดไป และเม่อื ใช้กระแสไฟฟ้าหมดแล้ว ไม่สามารถนาไปประจไุ ฟฟ้าเพื่อนากลบั มาใช้ใหมไ่ ด้อีก เช่น ถา่ นไฟฉาย เซลลอ์ ลั คาไลน์ ภาพท่ี 7 โครงสร้างภายในและตัวอย่างเซลล์ปฐมภมู ิ (Primary Cell) ท่มี า : บญุ สืบ โพธิ์ศรีและคณะ, 2546, หน้า 86-87. 2.2 เซลล์ทตุ ิยภมู ิ (Secondary Cell) เมื่อใช้กระแสไฟฟา้ หมดแล้ว สามารถนาไปประจไุ ฟฟ้าเพ่อื นากลบั มาใช้ใหม่ได้อีก เชน่ เซลล์สะสมไฟฟ้าแบบตะกวั่ เซลล์ไฟฟา้ แบบนกิ เกลิ – แคดเมยี ม (นิกแคด) ภาพท่ี 8 เซลล์ทตุ ยิ ภมู ิ (Secondary Cell) ท่มี า : บญุ สืบ โพธิ์ศรีและคณะ, 2546, หน้า 88.
3. แหลง่ กาเนิดไฟฟ้าท่ีเกดิ ขึน้ จากพลงั งานแสง ซง่ึ เป็นแหลง่ กาเนิดทางไฟฟ้าทไ่ี ด้มาจากพลงั งานจากสารกึ่งตวั นาท่ีทาหน้าท่ีผลิตกระแสไฟฟ้าออ กมา เม่ือสารกง่ึ ตวั นาได้รับแสงเข้ามา อเิ ลก็ ตรอนภายในสารจะหลดุ ออกมาและเคลื่อนท่ีได้ เชน่ โฟโต้เซลล์ หรือ โซลาร์เซลล์ ภาพท่ี 9 รูปแบบการทางานของเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าพลังงานแสง ท่มี า : บญุ สบื โพธ์ิศรีและคณะ, 2546, หน้า 84. ภาพท่ี 10 การใช้งานแผงโซลาร์เซลล์ในการผลติ กระแสไฟฟ้า 4. แหลง่ กาเนิดไฟฟ้าที่เกิดขนึ ้ จากพลงั งานความร้อน กระแสไฟฟา้ เกิดขนึ ้ จากพลงั งานความร้อนโดยการนาโลหะ 2 ชนิดมายดึ ติดกนั แล้วให้ความร้อนจะเกดิ กระแสไฟฟา้ ไหล ในแท่งโลหะทงั้ สอง เมื่อใช้ความร้อนเผาปลายของโลหะที่ยดึ ตดิ กนั นนั้ พลงั งานความร้อนจะทาให้เกิดพลงั งานไฟฟา้ ขนึ ้ เกดิ กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเครื่องวดั ไฟฟา้ ภาพท่ี 11 การให้พลังงานความร้อนกบั อุปกรณ์การกาเนิดกระแสไฟฟ้า ท่มี า : บญุ สบื โพธิ์ศรีและคณะ, 2546, หน้า 83.
5. แหลง่ กาเนิดไฟฟ้าท่เี กิดขึน้ จากแรงกด สารทถ่ี ูกแรงกดหรือแรงดงึ จะเกิดกระแสไฟฟ้า เช่น ผลกึ ของควอตซ์ ทวั ร์มาไลท์และเกลือโรเซลล์ เมือ่ นาเอาผลกึ ดงั กลา่ วมาวางไว้ระหว่างโลหะทงั้ สองแผน่ แล้วออกแรงกด สารนจี ้ ะมีไฟฟ้าออกมาที่ปลายโลหะทงั้ สอง พลงั งานไฟฟา้ ทีเ่ กิดขึน้ นมี ้ คี ่าที่ต่ามาก จงึ นาไปใช้ในการออกแบบสร้างไมโครโฟน หฟู ัง โทรศพั ท์ เป็นต้น ภาพท่ี 12 รูปแบบการทางานของเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าจากแรงกด ท่มี า : บุญสบื โพธิ์ศรีและคณะ, 2546, หน้า 84. 6. แหลง่ กาเนิดไฟฟ้าท่ีเกิดขนึ ้ จากพลงั งานแมเ่ หล็กไฟฟ้า ซงึ่ กระแสไฟฟ้าที่ได้มาจากพลงั งานแม่เหลก็ โดยวธิ ีการใช้ลวดตวั นาไฟฟ้าตดั ผ่านสนามแมเ่ หลก็ ห รือการนาสนามแมเ่ หล็กวิง่ ตดั ผา่ นลวดตวั นาอย่างใดอย่างหนึ่ง ซงึ่ ทงั้ สองวิธีนจี ้ ะทาให้มกี ระแสไฟฟ้าไหลในตวั นานนั้ กระแสท่ผี ลติ ได้มที งั้ กระแสตรงและกระแสสลบั ภาพท่ี 13 การกาเนิดกระแสไฟฟ้าท่ีเกดิ จากพลังงานแม่เหลก็ ไฟฟ้า ท่มี า : บญุ สืบ โพธ์ิศรีและคณะ, 2546, หน้า 84, 93.
ชนิดของไฟฟ้า ไฟฟา้ ทเี่ กิดขนึ ้ แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด 1. ไฟฟ้าสถติ (Static electricity) เกดิ ขึน้ จากการเสยี ดสีของวตั ถุ ซง่ึ อาจเกดิ มาจากตามธรรมชาติ โดยการนาสารตา่ งชนิดกนั มาถกู นั อิเล็กตรอนท่ีอย่ใู นสารทงั้ สอง ซงึ่ สารชนิ ้ หน่ึงจะสญู เสยี ให้กบั สารอีกชนิดหน่ึง ถ้าหากสารนไี ้ มไ่ ด้รับการตอ่ จากสารภายนอกอเิ ล็กตรอน ไมม่ ีโอกาสถา่ ยเทได้จงึ คงอยทู่ สี่ ารนนั้ จงึ เรียกไฟฟา้ แบบนวี ้ ่า ไฟฟ้าสถิต ภาพท่ี 14 การเกิดไฟฟ้าสถติ 2. ไฟฟา้ กระแส (Electric current) เป็นไฟฟ้าท่ไี ด้ใช้อยใู่ นอาคารบ้านเรือนและโรงงานอตุ สาหกรรมทว่ั ไป ซง่ึ ไฟฟา้ กระแสสามารถแบ่งได้ 2 ชนิดคือ 2.1 ไฟฟา้ กระแสตรง ( Direct Current ) จะเป็นกระแสไฟฟ้าท่ีมีทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟา้ ในทศิ ทางเดยี วกนั การใช้งานเชน่ การต่อใช้งานโดยต่อจากแหลง่ จ่ายไฟฟา้ หรือแบตเตอร่ี ( Battery ) ถ่านไฟฉาย เซลล์สรุ ิยะหรือเซลลแ์ สงอาทิตย์ ไดนาโมกระแสตรง เป็นต้น ภาพท่ี 15 แหล่งกาเนิดกระแสไฟฟ้าท่ีเป็ นไฟฟ้ากระแสตรง
2.2 ไฟฟ้ากระแสสลบั ( Alternating Current ) จะเป็นกระแสไฟฟ้าท่มี ที ศิ ทางใน การเคลื่อนท่สี ลบั กนั ไปมาตลอดเวลา โดยกระแสไฟฟ้าท่เี กิดขึน้ ในขดลวดตวั นาของเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลบั ซงึ่ ใช้งานแพร่หลายทว่ั ไป โดยในระบบการจ่ายไฟฟ้าของการไฟฟา้ จะต้องมนี าไปร่วมกบั หม้อแปลงไฟฟ้า เพ่ือทาหน้าทเ่ี พมิ่ ความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้าเพ่ือให้สามารถใช้งานสง่ พลงั งานไฟฟ้าได้ระยะไกล และปรับค่าความต่างศกั ย์อีกครัง้ หนง่ึ ให้ลดลงกอ่ นท่จี ะใช้งานจา่ ยพลงั งานให้กบั บ้านเรือนทวั่ ไป ซงึ่ ภายในบ้านเรือนจะมีการใช้ ไฟฟา้ กระแสสลบั แบบเฟสเดียว ( Single Phase ) ลกั ษณะการเกิดกระแสไฟฟ้าแบบนีค้ ือ ขดลวดชดุ เดยี วหมนุ ตดั เส้นแรงแม่เหลก็ เกิดแรงดนั กระแสไฟฟ้าทาให้กระแสไหลไปยงั วงจรภายน อก โดยผ่านวงแหวน และแปรงถา่ นดงั กลา่ วมาแล้ว จะเห็นได้ว่าเม่ือออกแรงหมนุ ลวดตวั นาได้ 1 รอบ จะได้กระแสไฟฟ้าชดุ เดยี วเท่านนั้ และถ้าต้องกSารปริมาณกระแสไฟNฟ้าเพิม่ ขึน้ ก็ต้องใช้ขดลวดตวั นาหลายชดุ ไว้บนแกนที่หมนุ ขดลวด A แสดงภายในของไดนาโมเฟสเดียว ลกั ษณะเครื่องกาเนิดไฟฟา้ กระแสสลบั ภาพท่ี 16 ไฟฟ้ากระแสสลบั เฟสเดียว
แหล่งผลติ ไฟฟ้า ไฟฟ้าสามารถเปล่ียนรูปพลงั งานให้อย่พู ลงั งานในรูปแบบอื่นๆ ซงึ่ สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เชน่ พลงั งานความร้อน พลงั งานแสง พลงั งานเสยี ง พลงั งานกล และมีความไวในการสง่ ทม่ี คี วามเร็วสงู จงึ สามารถมกี ารนาไปใช้งานอยา่ งมากและเป็นความสะดวกมากในการทีจ่ ะเปลี่ยนเป็นพลงั งานรู ปแบบอน่ื ๆ และในสว่ นของการผลิตพลงั งานไฟฟ้านนั้ กจ็ ะมแี หลง่ พลงั งานอน่ื ๆ ทม่ี าทาให้เครื่องกาเนิดไฟฟ้าทางานเพื่อจะจา่ ยกระแสไฟฟ้าออกมา การผลิตกระแสไฟฟ้าของประเทศไทยในปัจจบุ นั สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. ประเภทไม่ใช้เชอื้ เพลิงในการเผาไหม้ 1.1 โรงไฟฟา้ พลงั นา้ จากนา้ ในอ่างเก็บนา้ เขอ่ื นเกบ็ นา้ ในฝาย ห้วยตา่ งๆ ภาพท่ี 17 เข่อื นท่ใี ช้การเกบ็ นา้ มาใช้ในการผลติ พลงั งานไฟฟ้า ภาพท่ี 18 โครงสร้างภายในเข่อื นท่ีใช้การเก็บนา้ ท่มี า : http://www.balanceenergythai.com
การผลติ กระแสไฟฟ้าที่ได้มาจากพลงั งานนา้ จากเข่ือนนนั้ จะมีหลกั การกกั เก็บนา้ ไว้เพ่อื ให้มแี รงดนั นา้ สงู มากขนึ ้ ก่อน และก่อนท่ีจะมีการจา่ ยนา้ ที่มีแรงดนั สงู จ่ายให้กบั ใบพดั ของเครื่องกาเนิดไฟฟา้ เพื่อทาหน้าท่ผี ลติ กระแสไฟฟา้ ขนึ ้ มาใช้งาน และก่อนท่จี ะสง่ พลงั งานไฟฟา้ จา่ ยไปในระบบไฟฟ้าจะมีการเพ่ิมคา่ ของความตา่ งศกั ย์ทางไฟฟ้าให้มคี ่าสงู มา กขนึ ้ เพ่ือให้มีค่ามากพอท่ีจะสง่ พลงั งานไฟฟา้ ไปในสายไฟฟ้าแรงสงู ท่ีอยใู่ นระบบสายสง่ ไฟฟา้ 1.2 โรงไฟฟา้ พลงั งานจากธรรมชาติจากพลงั งานท่ีใช้แล้วไม่สนิ ้ สดุ และไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เชน่ พลงั งานแสงอาทิตย์ พลงั งานลม พลงั งานคลนื่ พลงั งานนา้ ขนึ ้ -นา้ ลง พลงั งานจากความร้อนใต้พิภพ (ก) การผลิตพลงั งานไฟฟา้ จากพลงั งานลม (ข) การผลิตพลงั งานไฟฟา้ จากพลงั งานความร้อนใต้พิภพ ภาพท่ี 19 การผลติ พลังงานไฟฟ้าจากพลงั งานในธรรมชาติ ท่มี า : http://www.balanceenergythai.com จากภาพ (ก) เป็นการนาพลงั งานทม่ี อี ยใู่ นธรรมชาติทวั่ ไปมาใช้งาน ซง่ึ จะเป็นการใช้พลงั งานลมโดยใช้กงั หนั ลมขนาดใหญ่มาใช้ในการรับพลงั งานลมท่ีเกิดขนึ ้ เองตามธรรมชาติ แล้วเปลีย่ นพลงั งานในการหมนุ ของกงั หนั ลมเปลี่ยนมาเป็นพลงั งานไฟฟ้าอกี ครัง้ หน่ึง ซง่ึ จะต้องนากงั หนั ลมท่ีใช้งานนนั้ ในบริเวณท่มี ีความแรงของลมมาทีจ่ ะเพยี งพอให้กงั หนั ลมหมนุ ได้ตลอดเวล า ภาพ (ข) เป็นการนาพลงั งานความร้อนทีม่ ีอย่ใู ต้พนื ้ ดินลงไปซงึ่ มพี ลงั งานความร้อนทส่ี งู มากมาใช้ในการต้มไอนา้ ให้เดื อดและกลายเป็นไอนา้ ซง่ึ มแี รงดนั สงู นาไปหมนุ เคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า เพอื่ ผลติ กระแสไฟฟา้ ออกมาใช้งาน
ภาพท่ี 20 การผลติ พลังงานไฟฟ้าจากคล่นื ในทะเล ท่มี า : http://www.balanceenergythai.com การผลติ กระแสไฟฟา้ ท่ใี ช้ในพลงั งานจากการเคล่ือนท่ีขนึ ้ และลงของคล่นื ในทะเลมาใช้ในการผลิตกร ะแสไฟฟา้ โดยมีการนาพลงั งานท่ีได้จากการเคลือ่ นที่ของคลื่นมาผลกั ดนั ใบพดั ของเครื่องกาเนิดไฟฟ้า ซงึ่ จะทาหน้าทผี่ ลติ กระแสไฟฟ้าออกมา โดยคลื่นในทะเลนนั้ จะมกี ารเคลอ่ื นท่ีไปมาตลอดเวลาทาให้มีพลงั งานทท่ี าให้เคร่ืองกาเนดิ ไฟฟ้าเกิดการผลิต กระแสไฟฟา้ ได้ตลอดเวลา 2. ประเภทใช้เชือ้ เพลงิ ในการเผาไหม้ 2.1 โรงไฟฟ้าพลงั ไอนา้ จะมกี ารใช้งานไอนา้ ซงึ่ มแี รงดนั สงู ท่ีได้จากการต้มจากแหลง่ พลงั งานอ่นื เชน่ ถา่ นหนิ ก๊าซธรรมชาติ นา้ มนั เตา แล้วนาไปสง่ ให้กบั เคร่ืองกาเนดิ ไฟฟา้ เพื่อให้เครื่องกาเนิดไฟฟ้าเกิดการหมนุ และทางานผลิตกระแสไฟฟ้าออก มา ภาพท่ี 21 รูปโรงไฟฟ้าพลังไอนา้
ภาพท่ี 22 รูปโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากเชอื้ เพลงิ ท่มี า : http://www.balanceenergythai.com ภาพท่ี 23 รูปโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ท่มี า : http://www.balanceenergythai.com 2.2 โรงไฟฟ้าพลงั ความร้อน จะมีการใช้ก๊าซธรรมชาตหิ รือนา้ มนั ดเี ซล มาจา่ ยให้กบั เคร่ืองยนต์เพ่อื ก่อให้เกิดพลงั งานกลหรือการหมนุ เพอื่ ต่อไปยงั เครื่องกาเนดิ ไฟฟ้าให้ทางาน ต่อไป
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: