การออกแบบการจัดการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ รายวชิ า ชีววทิ ยา 3 รหัสวชิ า ว30243 ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง ระบบย่อยอาหาร จดั ทาโดย นางสาวจันจริ า ธนนั ชัย ตาแหนง่ พนักงานราชการ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ตาบลชา่ งเค่งิ อาเภอแมแ่ จ่ม จงั หวัดเชียงใหม่ สานักบริหารงานการศกึ ษาพิเศษ สานักงานการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
คาอธิบายรายวชิ า รายวชิ า ชีววิทยา 3 รหัสวิชา ว30243 ช้ัน มัธยมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 เวลา 60 ช่วั โมง จานวน 1.5 หนว่ ยกิต ****************************************** ศึกษาวิเคราะห์ อภิปรายและอธิบายเก่ียวกับการเคลื่อนท่ีของส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียว การเคล่ือนที่ของสัตว์ไม่มี กระดูกสันหลัง โครงสร้างและกระบวนการย่อยอาหารของสัตว์ท่ีไม่มี ทางเดินอาหาร สัตว์ท่ีมีทางเดินอาหารแบบไม่ สมบูรณ์ และสัตว์ที่มีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ทางเดินอาหาร สัตว์ที่มีทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ และสัตว์ที่มี ทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ โครงสร้าง หน้าที่ และกระบวนการย่อยอาหาร และการดูดซึมสารอาหารภายในระบบย่อย อาหารของมนุษย์ โครงสร้างและการทางานของหัวใจและหลอดเลือดในมนุษย์ การหมุนเวียนเลือดและระบบนาเหลือง ของมนุษย์ ระบบภูมคิ มุ้ กนั โครงสร้างและหน้าทีข่ องไต และโครงสรา้ งทใ่ี ชล้ าเลยี งปสั สาวะออกจากร่างกาย โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สืบเสาะหาความรู้ สืบค้นข้อมูล สังเกต วิเคราะห์ สังเคราะห์อธิบาย อภิปรายและสรุปกระบวนการกลุ่ม เพ่ือให้เกิดความรู้ความคิด ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ ส่ือสารสิ่งที่ เรียนรูแ้ ละนาความร้ไู ปใช้ในชีวิตของตนเอง และดูแลรกั ษาสิ่งมีชวี ิตอ่นื ๆ เฝ้าระวงั และพัฒนาสิง่ แวดลอ้ มอยา่ งยง่ั ยนื เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการนาความรู้ ความเข้าใจ ในด้านรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัยใฝ่ เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทางาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ รวมถึงการมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม สามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืน ป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากสารเสพติด น้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง มาประยกุ ต์ใช้ในการดาเนินชวี ิตประจาวันได้อยา่ งเหมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบเทยี บโครงสร้างและกระบวนการยอ่ ยอาหารของสตั ว์ที่ไม่มี ทางเดนิ อาหาร สัตว์ทม่ี ที างเดินอาหารแบบไมส่ มบูรณ์ และสตั วท์ ่มี ีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ 2. สังเกต อธบิ าย การกนิ อาหารของไฮดราและพลานาเรยี 3. อธบิ ายเก่ียวกับโครงสรา้ ง หน้าที่ และกระบวนการย่อยอาหาร และการดูดซึมสารอาหารภายในระบบย่อย อาหารของมนุษย์ 4. สืบค้นขอ้ มูล อธบิ าย และเปรียบเทยี บโครงสรา้ งที่ทาหนา้ ทแี่ ลกเปลีย่ นแกส๊ ของฟองนา ไฮดรา พลานาเรยี ไสเ้ ดอื นดนิ แมลง ปลา กบ และนก 5. สงั เกต และอธบิ ายโครงสรา้ งของปอดในสตั ว์เลียงลูกด้วยนานม 6. สืบค้นข้อมลู อธิบายโครงสรา้ งที่ใชใ้ นการแลกเปล่ียนแก๊ส และกระบวนการแลกเปล่ียนแกส๊ ของมนุษย์ 7. อธบิ ายการทางานของปอด และทดลองวดั ปริมาตรของอากาศในการหายใจออกของมนุษย์
8. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ าย และเปรยี บเทียบระบบหมุนเวียนเลอื ดแบบเปิดและระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด 9. สงั เกต และอธบิ ายทิศทางการไหลของเลอื ดและการเคลื่อนท่ีของเซลล์เม็ดเลอื ดในหางปลา และสรุป ความสมั พันธร์ ะหวา่ งขนาดของหลอดเลือดกับความเร็วในการไหลของเลือด 10. อธิบายโครงสรา้ งและการทางานของหวั ใจและหลอดเลือดในมนุษย์ 11. สงั เกต และอธิบายโครงสร้างหัวใจของสัตว์เลยี งลูกด้วยนานม ทิศทางการไหลของเลือดผา่ นหวั ใจของมนษุ ย์ และเขยี นแผนผงั สรุป การหมุนเวยี นเลอื ดของมนุษย์ 12. สบื คน้ ข้อมูล ระบุความแตกตา่ งของเซลล์เมด็ เลือดแดง เซลลเ์ มด็ เลือดขาวเพลตเลต และพลาสมา 13. อธิบายหมเู่ ลอื ดและหลกั การให้และรับเลือดในระบบ ABO และระบบ Rh 14. อธบิ าย และสรุปเก่ียวกบั สว่ นประกอบและหน้าท่ีของนาเหลอื ง รวมทงั โครงสร้างและหน้าทีข่ องหลอด นาเหลอื ง และต่อมนาเหลือง 15. สบื คน้ ข้อมลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บกลไกการต่อต้านหรอื ทาลายส่งิ แปลกปลอมแบบไมจ่ าเพาะและแบบ จาเพาะ 16. สืบค้นขอ้ มลู อธิบาย และเปรยี บเทียบการสร้างภมู คิ ุ้มกนั ก่อเองและภมู ิค้มุ กันรับมา 17. สืบค้นข้อมลู และอธิบายเก่ยี วกบั ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกนั ท่ีทาให้เกดิ เอดส์ ภูมิแพ้ การสร้างภูมิ ต้านทานต่อเนอื เย่ือตนเอง 18. สบื ค้นข้อมูล อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ งและหน้าท่ใี นการกาจัดของเสยี ออกจากร่างกายของฟองนา ไฮดรา พลานาเรีย ไส้เดือนดิน แมลง และสตั ว์มีกระดกู สนั หลงั 19. อธิบายโครงสรา้ งและหน้าทข่ี องไต และโครงสรา้ งที่ใชล้ าเลยี งปสั สาวะออกจากร่างกาย 20. อธิบายกลไกการทางานของหนว่ ยไต ในการกาจดั ของเสียออกจากร่างกาย และเขยี นแผนผงั สรุปขนั ตอน การกาจดั ของเสียออกจากรา่ งกายโดยหน่วยไต 21. สืบค้นข้อมูล อธบิ าย และยกตวั อย่างเก่ยี วกบั ความผดิ ปกตขิ องไตอนั เนื่องมาจากโรคต่าง ๆ รวมทั้งหมด 21 ผลการเรียนรู้
ผังมโนทศั น์ รายวิชาชวี วทิ ยา 3 รหัสวิชา ว 32203 ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2562 ชอื่ หน่วย การย่อยอาหาร ช่อื หน่วย ระบบหายใจ จานวน 9 ช่วั โมง : 20 คะแนน จานวน 18 ชว่ั โมง : 15 คะแนน รายวชิ าชวี วิทยา 3 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 จานวน 60 ชั่วโมง ช่อื หน่วย ระบบขับถ่าย ชื่อหน่วย ระบบหมุนเวียนเลอื ดและ จานวน 15 ชัว่ โมง : 15 คะแนน ระบบภูมคิ มุ้ กนั จานวน 18 ชว่ั โมง : 20 คะแนน
ผงั มโนทศั น์ รายวิชา ชีววิทยา 3 รหสั วิชา ว 32203 ระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่ือง การย่อยอาหาร จานวน 9 ช่ัวโมง : 20 คะแนน ชือ่ เร่ือง การยอ่ ยอาหารของจุลินทรีย์ จานวน 3 ช่วั โมง : 6 คะแนน หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรื่อง การย่อยอาหาร จานวน 9 ช่วั โมง ชื่อเรื่อง การยอ่ ยอาหารของสัตว์ ชอ่ื เร่อื ง การยอ่ ยอาหารของคน จานวน 3 ชวั่ โมง :6 คะแนน จานวน 3 ชว่ั โมง : 8 คะแนน
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 เร่ือง การย่อยอาหาร แผนจัดการเรียนรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง การย่อยอาหารของจุลนิ ทรีย์ รายวชิ า ชีววทิ ยา 3 รหสั วิชา ว 32203 ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2562 นา้ หนักเวลาเรยี น 1.5 (นน./นก.) เวลาเรยี น 3 ช่วั โมง/สปั ดาห์ เวลาที่ใชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 3 ช่ัวโมง ............................................................................................................................. ............................. 1. สาระสาคญั - การย่อยอาหารของแบคทเี รียและเห็ดรา - การยอ่ ยอาหารของอะมีบาและพารามเี ซยี ม 2. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตัวช้ีวัดชนั้ ป/ี ผลการเรยี นรู้/เปา้ หมายการเรียนรู้ 1. สืบคน้ ข้อมลู อธิบาย และเปรียบเทยี บโครงสรา้ งและกระบวนการยอ่ ยอาหารของสตั ว์ทไ่ี ม่มที างเดนิ อาหาร สัตวท์ มี่ ีทางเดนิ อาหารแบบไม่สมบูรณ์ และสตั ว์ท่มี ีทางเดินอาหารแบบสมบรู ณ์ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 เนือ้ หาสาระหลกั : นักเรยี นสามารถอธบิ ายกระบวนการย่อยอาหารของจุลนิ ทรีย์ได้ 3.2 ทักษะ/กระบวนการ : นกั เรยี นสรุปองคค์ วามรู้และนาเสนอได้ 3.3 คณุ ลักษณะท่พี ึงประสงค์ : นักเรยี นมีพฤติกรรมใฝ่เรียนรู้ในการเรยี น 4. สมรรถนะสาคญั ของนกั เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 5. คณุ ลักษณะของวิชา - ความรบั ผดิ ชอบ - ความรอบคอบ - กระบวนการกลมุ่ 6. คุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ 1. ใฝ่เรียนรู้ 2. มงุ่ มัน่ ในการทางาน 7. ชินงาน/ภาระงาน : - ใบงานท่ี 1 เรอ่ื ง การย่อยอาหารของจลุ ินทรีย์ 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ขันสรา้ งความสนใจ 1. ครูให้นักเรียนศึกษาภาพคนเล่นกฬี า เช่น ตะกร้อ และยกตัวอย่างการทากิจกรรมของนักเรียน เชน่ ยกโต๊ะ เกา้ อี ในห้องเรียน แล้วใหน้ กั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายโดยใชค้ าถาม ดังนี - ในขณะเลน่ ตะกรอ้ ผเู้ ล่นต้องอาศัยพลงั งานและการทางานทีส่ ัมพันธ์กนั ของระบบต่างๆ พลังงานเหลา่ นนั มา จากไหน และระบบตา่ งๆ ทางานสัมพนั ธก์ นั อยา่ งไร
2. ครใู หน้ กั เรียนระดมความคิด เพ่ือใหเ้ หน็ ว่าในการทากิจกรรมใดๆ ก็ตามต้องอาศยั การทางานทีส่ มั พันธก์ ันของ ระบบตา่ งๆ ในรา่ งกาย 3. เพื่อนาเข้าสเู่ รื่องระบบย่อยอาหารและการสลายอาหารเพอ่ื ให้ได้พลงั งาน และครตู ังคาถามเพม่ิ เติมวา่ พลังงานทีร่ า่ งกายใชใ้ นการทากจิ กรรมตา่ งๆ นนั มาจากไหน ( อาหารเปน็ แหล่งให้พลงั งานของรา่ งกาย) 2. ขนั สารวจและค้นหา 1. ครูใหน้ ักเรยี นร่วมกนั อภิปรายและยกตวั อยา่ งอาหาร ท่ีนักเรียนรบั ประทานในแต่ละวันวา่ ประกอบดว้ ย สารอาหารประเภทบ้าง นักเรียนสามารถนาอาหารท่ีรับประทานนนั ไปใชไ้ ด้ทันที หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด จากการอภปิ ราย นักเรียนควรสรปุ ได้ว่า สารอาหารทรี่ บั ประทานมีหลากหลาย มที ังประเภททมี่ โี มเลกลุ ขนาดใหญแ่ ละโมเลกลุ ขนาดเลก็ แตส่ ารอาหารท่ีร่างกายจะนาไปใชไ้ ด้นนั ต้องมีโมเลกุลขนาดเลก็ พอท่ีจะดดู ซมึ ได้ 2. ครูตังคาถามเพิ่มเตมิ เพ่ือนาเขา้ สกู่ ารศึกษาเรอ่ื ง อาหารและการย่อยอาหาร ดงั นี - รา่ งกายของสิ่งมีชวี ิตจะมีวิธีการอย่างไรจึงจะสามารถเปลย่ี นสารอาหารท่มี โี มเลกุลขนาดใหญเ่ ป็นโมเลกลุ ขนาดเล็ก - สิ่งมชี วี ิตแตล่ ะชนิดมวี ธิ ีการเปล่ียนสารอาหารท่มี ีโมเลกุลขนาดใหญเ่ ปน็ โมเลกลุ ขนาดเล็กเหมือนกนั หรอื ไม่ โดยเมื่อเรยี นจบหวั ข้อเรื่อง อาหารและการย่อยอาหาร แล้วนักเรียนควรตอบคาถามเหล่านไี ด้ 3. ครูนาตวั อย่างราท่ีขนึ บนขนมปงั ซึง่ อยูใ่ นถุงพลาสติกท่ปี ิดมดชิดแจกให้นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ เพ่ือสังเกตขนมปัง บรเิ วณท่มี รี าขึนว่ามลี ักษณะอย่างไร และให้นักเรยี นร่วมกันอภปิ รายจากการสงั เกตโดยใช้คาถามดังนี 3.1 ลกั ษณะขนมปงั บรเิ วณท่รี าขึนแตกต่างจากบรเิ วณใกล้เคียงอย่างไร จงอธิบาย (เนือขนมปังบริเวณนันจะหายไปบางสว่ น) 3.2 ความแตกต่างท่สี ังเกตไดน้ า่ จะมาจากสาเหตุใด (รามีการย่อยสลาย แปง้ ขนมปงั ) 3.3 นักเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ รานาแปง้ จากขนมปงั ไปใช้ (ปรมิ าณแปง้ ขนมปังลดลง ขณะทีป่ รมิ าณราเพิ่มขึน) 3.4 ราทเ่ี กดิ ขึน บนขนมปังมกี ระบวนการอยา่ งไร จงึ จะสามารถนาแป้งไปใช้ได้ (รานา่ จะปล่อยเอนไซม์ออกจากเซลลเ์ พื่อยอ่ ยแป้งแล้วจึงดูดซึมสารอาหารที่ย่อยได้ไปใช)้ 4. ครูใหค้ วามรู้เพ่ิมเติม เร่ือง เอนไซม์ อนิ เวอรเ์ ทสท่ยี ีสต์ผลิตขึน (ยสี ตเ์ ป็นราชนดิ หน่งึ ) ในจลุ นิ ทรีย์ เอนไซมห์ ลายชนิด เชน่ อะไมเลส โพรตเิ อส ลเิ พส แลกเทส และอินเวอร์เทส (invertase) เป็นต้น อนิ เวอร์เทส เป็น เอนไซมท์ าหน้าทีเ่ รง่ ปฏกิ ิริยาย่อยสลายซูโครสใหเ้ ป็นนาตาลฟรกั โทสและกลโู คส พบอยู่ในส่งิ มชี วี ติ ทั่วๆ ไป ทเ่ี ก่ียวข้อง กบั นาตาลซูโครส โดยเฉพาะในพืชและ จุลินทรีย์ ยีสตเ์ ป็นจลุ ินทรีย์ท่ผี ลติ อินเวอรเ์ ทสในปริมาณสงู เพ่ือใช้เปลี่ยน ซูโครสเปน็ นาตาลโมเลกลุ เดี่ยว ซึง่ จาเปน็ สาหรบั การเจรญิ เติบโตของเซลลย์ ีสตเ์ อง มนุษยน์ ายีสตม์ าใชใ้ นอุตสาหกรรม อาหารเป็นเวลานานแล้ว เราใชอ้ นิ เวอร์เทสผลติ นาตาลอนิ เวอร์ท (invert) ซง่ึ เป็นนาตาลผสมระหวา่ งกลูโคสและ ฟรกั โทส เพื่อใส่อาหารพวกขนมเค้ก ลกู กวาดและเครื่องด่ืมประเภทต่างๆเป็นต้น กระบวนการผลิตนาตาลอินเวอร์ท ปกตจิ ะใชน้ าตาลจากหวั ผักกาดหวาน (sugar beet) หรอื จากอ้อย (sugar cane) เป็นซับสเตรท 5. จากการอภปิ รายผลการทดลองเรื่อง การย่อยซูโครสของยีสต์ ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรยี น/ใบความรู้ นักเรียนควรสรปุ ไดว้ า่ ยสี ต์สามารถสร้างเอนไซม์และสง่ ออกมานอกเซลล์ เพื่อสลายนาตาลซโู ครส ซง่ึ เปน็ นาตาลไดแซก คาไรดใ์ ห้เป็นนาตาลมอโนแซกคาไรด์ คอื กลูโคส
6. ครทู บทวนความรูเ้ ดิมของนกั เรียนว่า นาตาลซโู ครสเป็นนาตาลไดแซกคาไรด์ ซ่งึ เกิดจากการรวมกนั ของมอโนแซกคา ไรด์ คือ กลโู ครสกับฟรักโทส ดังนัน การย่อยนาตาลซูโครส จงึ ได้ทงั กลูโคสกบั ฟรักโทส แต่เราตรวจสอบกลูโคสแตเ่ พียง อย่างเดียว 7. ครูใหน้ ักเรยี นสืบคน้ ข้อมูลและอภปิ รายเรื่อง รา ซ่งึ มีกระบวนการยอ่ ยสารอินทรีย์เหมือนกบั ยสี ต์คือ ปล่อย เอนไซม์ออกมาย่อยสารอินทรียน์ อกเซลล์ และให้นักเรียนร่วมกนั อภิปรายโดยใช้คาถามดังนี 7.1 นกั เรยี นเคยเหน็ ราขนึ อยทู่ ่ใี ดอีกบ้าง (ผลไม้สุก ขา้ วโพด ฟางข้าว) 7.2 ราทน่ี กั เรียนเหน็ นันมลี กั ษณะแตกตา่ งจากราท่ีขนึ บนขนมปงั หรอื ไม่ จงอธิบาย (มีทังเหมือนกันและแตกตา่ งกัน บางชนดิ สเี หลอื ง บางชนิดสีดา บางชนดิ มีสีส้มเปน็ ต้น) 7.3 นกั เรียนคิดว่าเพราะเหตใุ ด ราและแบคทีเรยี ตา่ งชนิดกันจงึ เจริญได้ดใี นอาหารตา่ งชนิดกนั (ราและ แบคทีเรียต่างชนดิ กนั อาจมีเอนไซมต์ า่ งชนดิ กนั จึงยอ่ ยสารอาหารไมเ่ หมือนกัน) 8. ครูอธิบายเพิม่ เตมิ ถึงการย่อยสารอินทรยี ์ของแบคทีเรยี ส่วนใหญ่ ซึง่ ครอู าจจะใหน้ ักเรียนร่วมกนั อภปิ รายวา่ ในชวี ติ ประจาวนั นกั เรียนเคยพบแบคทีเรยี ในอาหารใดบา้ ง 9. ครูใหน้ กั เรยี นร่วมกนั สรปุ กระบวนการย่อยอาหารของราและแบคทเี รีย และเพ่ือเชื่อมโยงเรอ่ื งทีเ่ รียนนีกับ การดารงชวี ติ ของคนและระบบนิเวศ ใหน้ กั เรียน ตอบคาถามในหนังสอื เรียน ซ่งึ มีแนวคาตอบดังนี - นักเรยี นคิดวา่ จุลินทรยี ท์ มี่ ีการยอ่ ยสลายสารอินทรยี ์ภายนอกเซลล์ มผี ลตอ่ การดารง ชวี ติ ของคนและ ส่ิงแวดลอ้ มอย่างไร (การทีจ่ ลุ ินทรยี ์ส่งเอนไซม์ออกมาย่อยสลายสารอนิ ทรีย์ต่างๆ ทเี่ ป็นอาหารทาให้ไดผ้ ลผลิตบางชนดิ ที่ มีประโยชน์ต่อมนุษย์ ปัจจบุ นั มกี ารนาเอนไซมข์ องจุลินทรีย์มาใช้ประโยชน์มากขึน โดยเฉพาะในดา้ นอุตสาหกรรมอาหาร เช่น จุลนิ ทรยี ท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งกับกระบวนการหมักของอาหารท่ีทาให้ได้ผลิตภณั ฑ์อาหารใหม่ทีม่ รี สชาติยิง่ ขึน มีคณุ ค่าทาง โภชนาการเพ่ิมขึน สามารถเก็บได้นานวัน เชน่ ยีสต์ซ่ึงใช้ในการหมักนาผลไม้เพ่ือทาไวน์ ทาขา้ งหมากหรือข้าวหมัก ลลล พวกแบคทเี รียบางชนดิ ใช้ในการทาแหนม ทานมเปรียว แต่จุลินทรีย์บางชนดิ ทเ่ี จรญิ ในอาหารของมนุษย์กท็ าให้เกดิ ความ เนา่ เสีย บางชนิดผลิตสารท่ีเปน็ อนั ตรายต่อสขุ ภาพ เช่น จลุ ินทรียท์ เ่ี จรญิ ในนมจะปลอ่ ยเอนไซมแ์ ลกเทสมาย่อยนาตาล แลกเทสในนมทาให้นมเปรียวเมอื่ ดม่ื เขา้ ไปแลว้ ทาใหท้ ้องเสียได้ ในด้านส่ิงแวดล้อมจุลินทรยี ์พวกนีจะทาหน้าทเ่ี ป็นผ้ยู ่อย สลายสารอนิ ทรีย์ในซากพชื และสตั ว์ จึงจัดว่าเปน็ สิ่งมชี ีวติ ทีม่ บี ทบาทสาคญั ในระบบนิเวศที่ทาใหเ้ กิดการหมนุ เวยี นสาร บางชนิด เชน่ ไนโตรเจน แต่บางครงั จุลนิ ทรยี ก์ ็ทาให้สภาพแวดล้อมเสยี หายได้ เชน่ ราท่ีขึนตามฝาผนงั เคร่อื งใช้ ภาชนะ) 10. ครนู านักเรียนเข้าสู่กิจกรรมที่ 5.1 โดยใหน้ กั เรียนยกตัวอยา่ งสิ่งมชี วี ติ ท่ีนกั เรยี นเคยรจู้ ัก ท่ีอยู่ในกลมุ่ ของจุลนิ ทรีย์ แต่ไมไ่ ด้ดารงชีวิตแบบเดียวกับราและแบคทเี รียบางชนดิ ได้แก่ อะมีบา พารามีเซียม 11. ครนู าอภิปรายถึงกจิ กรรมท่ี 5.1 เรื่อง การกินอาหารของพารามเี ซยี ม และให้ความรู้ และใช้คาถาม ดงั นี 11.1 พารามเี ซยี มมีวธิ ีการกินยีสตอ์ ยา่ งไร (พารามเี ซยี มจะใช้ซิเลียทีอ่ ยู่บรเิ วณรอบๆ รอ่ งปากพัดโบกเอา เซลล์ยีสต์เข้าไปทางรอ่ งปาก ต่อจากนนั เซลลย์ สี ตจ์ ะเข้าสู่พารามีเซยี มเกิดเป็นฟูดแวควิ โอล) 11.2 เซลล์ของยีสต์เมอ่ื เข้าส่ภู ายในเซลล์ของพารามเี ซียมแล้วมีการเปลยี่ นแปลงเกดิ ขึนหรือไม่อย่างไร (ฟดู แวคิวโอลท่ีมเี ซลลย์ สี ต์อยู่ภายในจะมีไลโซโซมมาเช่อื มรวม และเอนไซมใ์ น ไลโซโซมจะย่อยเซลลย์ ีสต์)
11.3 อะมีบาและพารามีเซยี มมกี ระบวนการย่อยอาหารเหมือนหรือแตกต่างจากราอยา่ งไร (อะมีบาและ พารามีเซียมมีการย่อยอาหารภายในเซลล์ ส่วนรามกี ารยอ่ ยอาหารภายนอกเซลล์) 12. ครูเปิดโอกาสให้นักเรยี นสอบถามเนือหา เรื่อง การย่อยอาหารของจุลนิ ทรยี ์ วา่ มสี ่วนไหนทไี่ ม่เขา้ ใจและให้ ความร้เู พ่มิ เตมิ ในส่วนนัน 3. ขนั ลงข้อสรปุ 1. ครูมอบหมายใหน้ ักเรียนสรปุ ความคิดรวบยอดเกย่ี วกับเนอื หาที่ไดเ้ รยี นในวันนี 2. ครใู ห้นกั เรียนทาใบงาน/แบบทดสอบเรื่อง การย่อยอาหารของจลุ ินทรยี ์ 3. ครูมอบหมายใหน้ ักเรียนไปศกึ ษาความรู้ เร่อื ง การยอ่ ยอาหารของสตั ว์ ซงึ่ จะเรียนในคาบตอ่ ไปมาลว่ งหนา้ 9. สือ่ การเรยี นการสอน / แหลง่ เรียนรู้ รายการสอื่ จานวน สภาพการใชส้ ื่อ 1. แบบทดสอบกอ่ นเรียน 1 ชุด ขันตรวจสอบความรูเ้ ดิม 2. ใบงาน 1 เรอ่ื ง การย่อยอาหารของจุลินทรยี ์ 1 ชุด ขนั สร้างความสนใจ 10. การวดั ผลและประเมนิ ผล เป้าหมาย หลักฐานการเรียนรู้ วิธีวัด เครอ่ื งมอื วดั ฯ ประเดน็ / การเรยี นรู้ ชนิ้ งาน/ภาระงาน เกณฑก์ ารให้ ตรวจใบงาน 1 ใบงาน 1 เรอื่ ง การย่อย นกั เรียนสามารถ ใบงาน 1 เรื่อง การ เร่ือง การย่อย อาหารของจลุ ินทรีย์ คะแนน อธิบายกระบวนการ ยอ่ ยอาหารของ อาหารของ ทาได้ถกู ต้อง 70 % ยอ่ ยอาหารของ จลุ ินทรีย์ จลุ ินทรยี ์ ขนึ ไป จลุ นิ ทรียไ์ ด้ ตรวจแบบทดสอบ แบบทดสอบกอ่ นเรียน แบบทดสอบกอ่ นเรียน กอ่ นเรยี น ทาได้ถกู ต้อง 70 % ขนึ ไป
11. การบูรณาการตามจุดเนน้ ของโรงเรียน หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ครู ผู้เรียน 1. ความพอประมาณ พอดดี า้ นเทคโนโลยี พอดีดา้ นจิตใจ รู้จกั ใช้เทคโนโลยีมาผลติ สื่อทเี่ หมาะสม มีจติ สานึกท่ีดี เอืออาทร ประนปี ระนอม และสอดคลอ้ งเนือหาเปน็ ประโยชนต์ ่อ นกึ ถึงประโยชนส์ ว่ นรวม/กลุ่ม ผเู้ รยี นและพฒั นาจากภมู ปิ ัญญาของ ผูเ้ รียน 2. ความมเี หตุผล - ยดึ ถือการประกอบอาชพี ดว้ ยความ ไม่หยุดน่งิ ทห่ี าหนทางในชวี ติ หลดุ พ้น ถูกต้อง สุจรติ แมจ้ ะตกอยใู่ นภาวะขาด จากความทกุ ข์ยาก (การคน้ หาคาตอบ แคลน ในการดารงชวี ติ เพือ่ ให้หลุดพ้นจากความไม่รู)้ 3. มีภูมคิ มุ กนั ในตัวท่ีดี ภมู ปิ ัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ ภูมปิ ัญญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ ระมัดระวัง ระมดั ระวัง สร้างสรรค์ 4. เงอ่ื นไขความรู้ ความรอบรู้ เรื่อง การยอ่ ยอาหาร ความรอบรู้ เรอ่ื ง การยอ่ ยอาหารของ ของแบคทีเรียและเห็ดรา การย่อยอาหาร แบคทีเรียและเหด็ รา การย่อยอาหารของ ของอะมบี าและพารามีเซียม อะมีบาและพารามเี ซยี ม 5. เง่ือนไขคุณธรรม มีความตระหนักใน คุณธรรม มี มคี วามตระหนักใน คณุ ธรรม มี ความซอ่ื สตั ย์สจุ รติ และมีความอดทน มี ความซื่อสตั ยส์ จุ รติ และมีความอดทน มี ความเพียร ใชส้ ติปัญญาในการดาเนิน ความเพยี ร ใช้สติปัญญาในการดาเนนิ ชีวิต ชีวิต สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน ครู ผเู้ รยี น การยอ่ ยอาหารของจุลนิ ทรยี ์ การย่อยอาหารของจุลินทรยี ์ การย่อยอาหารของจลุ นิ ทรยี ์ - การย่อยอาหารของแบคทเี รยี - การยอ่ ยอาหารของแบคทีเรยี และเหด็ - การยอ่ ยอาหารของแบคทเี รียและเหด็ และเห็ดรา รา รา - การยอ่ ยอาหารของอะมีบาและ - การยอ่ ยอาหารของอะมีบาและพารามี - การย่อยอาหารของอะมบี าและพารามี พารามเี ซียม เซยี ม เซียม ส่งิ แวดลอ้ ม ครู ผเู้ รียน การยอ่ ยอาหารของจลุ ินทรีย์ การย่อยอาหารของจุลนิ ทรีย์ การย่อยอาหารของจุลนิ ทรยี ์ - การรักษาสมดุลของธรรมชาติ - การรกั ษาสมดุลของธรรมชาตดิ ้วย - การรักษาสมดลุ ของธรรมชาตดิ ว้ ย ด้วยจลุ ินทรีย์ จลุ นิ ทรีย์ จุลนิ ทรีย์ - การอนุรกั ษส์ ่ิงแวดลอ้ ม - กระบวนการการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม - เสนอแนะแนวทางอนุรกั ษส์ ง่ิ แวดล้อม ลงชือ่ ..................................................ผ้สู อน (นางสาวจนั จิรา ธนันชยั )
ใบงาน การยอ่ ยอาหารของจลุ ินทรยี ์ คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามต่อไปนี 1.นกั เรียนคดิ วา่ สง่ิ มีชวี ติ ทีม่ ีการยอ่ ยสลายสารอินทรีย์ภายนอกเซลลม์ ผี ลต่อการดารงชีวิตของมนษุ ย์และ ส่ิงแวดล้อม อย่างไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................. ............... ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2.การย่อยอาหารของฟองนาเหมือนหรือแตกต่างกับอะมบี า และพารามีเซียมอย่างไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3.วิธกี ารนาอาหารเขา้ ส่รู า่ งกายของฟองนาและไฮดราแตกตา่ งกนั อย่างไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 4.ทางเดินอาหารของพลานาเรยี ท่ีนกั เรยี นสังเกตได้มลี กั ษณะแตกต่างจากไฮดราหรือไม่อยา่ งไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................
เฉลยใบงาน เร่อื ง การยอ่ ยอาหารของจลุ ินทรีย์ และส่งิ มชี ีวติ เซลล์เดยี ว 1.นักเรียนคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่มีการย่อยสลายสารอินทรีย์ภายนอกเซลล์มีผลต่อการดารงชีวิตของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม อย่างไร ตอบ การย่อยสลายสารอินทรีย์ภายนอกเซลล์ของจุลินทรีย์มีผลกับการดารงชีวิตของมนุษย์ สัตว์ และ สิ่งแวดล้อม เนื่องจากทาให้เกิดการย่อยสลาย ซากพืช ซากสัตว์และอินทรียวัตถุต่างๆ ทาให้เกิดการหมุนเวียนของสาร ตา่ งๆ เปน็ วัฎจักร เชน่ วฎั จกั รไนโตรเจน วัฎจกั รคาร์บอน และยงั เปน็ การเปล่ียนรปู สารอินทรียใ์ ห้เป็นสารอนินทรีย์ท่ีพืช นาไปใชไ้ ด้ด้วย 2.การยอ่ ยอาหารของฟองนาเหมือนหรือแตกต่างกับอะมีบา และพารามีเซยี มอยา่ งไร ตอบ ฟองนามีเซลล์ปลอกคอนาอาหารเข้าสู่เซลล์โดยใช้แฟลเจลลาพัดโบกอาหารให้เข้ามาในบริเวณปลอกคอ จากนนั จะจบั อาหารโดยวธิ ีฟาโกไซโทซีส ฟองนาย่อยอาหารภายในเซลล์ โดยใช้เอนไซม์ไลโซโซมจากไลโซโซมปล่อยเข้าไปย่อยในฟูดแวคิวโอล เชน่ เดียวกับอะมีบา และพารามีเซยี ม 3.วิธีการนาอาหารเขา้ สรู่ ่างกายของฟองนาและไฮดราแตกต่างกันอย่างไร ตอบ วิธีการนาอาหารเขา้ สูร่ า่ งกายของฟองนาและไฮดราแตกต่างกันคอื อาหารของฟองนามีขนดเล็กเพราะต้อง ผ่านเข้าไปกับนาทางช่องนาเข้า อาหารอาจเป็นทังส่ิงมีชีวิตขนาดเล็กหรือเป็นอินทรีย์สารขนาดเล็กก็ได้ แต่อาหารของ ไฮดราเปน็ สิง่ มชี ีวติ ขนาดใหญท่ ีไ่ ฮดราใชเ้ ขม็ พิษท่ีอย่บู นแทนทาเคิลยิงแล้วจับเข้าปาก 4.ทางเดินอาหารของพลานาเรียทน่ี กั เรยี นสังเกตได้มีลักษณะแตกต่างจากไฮดราหรือไม่อยา่ งไร ตอบ ทางเดินอาหารของพลานาเรียแตกต่างจากทางเดินอาหารของไฮดราคือ ไฮดรามีทางเดินอาหารเป็นช่อง กลางตัว แต่พลานาเรียมีทางเดินอาหารแตกแขนงออกไป ๒ ข้าง ลาตัว แต่ที่เหมือนกัน คือทางเดินอาหารมีทางเปิดทาง เดียว
แบบทดสอบหลังเรียน เร่อื ง การยอ่ ยอาหารของจลุ นิ ทรีย์และสง่ิ มีชวี ติ เซลล์เดยี ว คาช้ีแจง ให้นักเรียนทาเคร่ืองหมาย X หน้าข้อ ก. ถ้าเห็นว่าข้อความถูกและทาเคร่ืองหมาย X หน้าข้อ ข. ถ้าเห็นว่า ข้อความผดิ .......... 1) อวัยวะทท่ี าหนา้ ทีย่ อ่ ยอาหารของแบคทเี รยี คอื กระเพาะอาหาร .......... 2) ฟดู แวคิวโอล เปน็ อวัยวะที่ใชใ้ นกระบวนการย่อยอาหารของจลุ ินทรีย์ ......... 3) อะมบี าใช้สว่ นไซโทพลาสซึม ท่เี รยี กว่า ซโู ดโพเดยี มโอบล้อมอาหารเข้าสู่เซลล์ ......... 4) พารามเี ซียมใชแ้ ฟกเจลลัมในการโบกพดั อาหารเขา้ สู่ปาก ......... 5) เอนไซม์ท่ีใช้ในการย่อยอาหารอย่นู อกเซลล์ของยีสต์ คอื อนิ เวอร์เทส ......... 6) แบคทีเรียบางชนิดสามารถสงั เคราะห์อาหารเองได้ ......... 7) แบคทเี รียทีม่ ีเซลลแ์ คปซูลหุ้มเพ่ือปอ้ งกนั อันตรายและให้ความแข็งแรง ......... 8) กระบวนการยอ่ ยอาหารของแบคทีเรยี และพยาธมิ ลี ักษณะทีเ่ หมือนกนั ......... 9) มนุษยน์ าจุลินทรยี ม์ าใช้พัฒนาเทคโนโลยีชวี ภาพและดา้ นอตุ สาหกรรมต่างๆ ......... จ) ประโยชน์ของจุลนิ ทรยี ์ใชเ้ ป็นยารกั ษาโรคได้ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ เฉลยแบบทดหลังเรยี นเรอ่ื ง การย่อยอาหารของจลุ ินทรีย์ 1) ข. 2) ก. 3) ก. 4) ข. 5) ก. 6) ก. 7) ก. 8) ข. 9) ก. 10) ก.
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอื่ ง การยอ่ ยอาหาร แผนจดั การเรยี นรู้ที่ 2 เร่อื ง การย่อยอาหารของสตั ว์ รายวชิ า ชีววิทยา 3 รหสั วิชา ว 32203 ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2562 นา้ หนกั เวลาเรยี น 1.5 (นน./นก.) เวลาเรยี น 3 ช่ัวโมง/สัปดาห์ เวลาท่ีใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 3 ช่ัวโมง ............................................................................................................................. ............................. 1. สาระสาคัญ อาหารทส่ี ิง่ มชี วี ติ กินเข้าไปจะถกู ย่อยใหม้ โี มเลกลุ เล็กลงจนถงึ ขนาดทเี่ ซลล์นาไปใชใ้ นการดารงชวี ติ ได้ 2. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตัวช้ีวดั ชน้ั ปี/ผลการเรียนร้/ู เปา้ หมายการเรยี นรู้ 2. สังเกต อธบิ าย การกนิ อาหารของไฮดราและพลานาเรีย 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 เนือ้ หาสาระหลัก : นักเรียนมีความรู้ ความเขา้ ใจเกีย่ วกับโครงสรา้ งของระบบการยอ่ ยอาหารของสัตว์ 3.2 ทกั ษะ/กระบวนการ : นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูลอภิปรายและอธบิ ายกระบวนการยอ่ ยอาหารของสัตว์ได้ 3.3 คุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ : นกั เรยี นมพี ฤติกรรมใฝเ่ รียนร้ใู นการเรียน 4. สมรรถนะสาคญั ของนักเรยี น 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 5. คุณลักษณะของวิชา - ความรับผดิ ชอบ - ความรอบคอบ - กระบวนการกล่มุ 6. คณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ 1. ใฝ่เรยี นรู้ 2. มุ่งมั่นในการทางาน 7. ชนิ งาน/ภาระงาน : - ใบงาน เร่อื ง การยอ่ ยอาหารของสัตว์ 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ข้ันสร้างความสนใจ ครใู หน้ ักเรียนศกึ ษาภาพสัตวต์ า่ งๆ ในหนงั สอื เรียน ครูซักถามนกั เรยี นถึงประเดน็ ต่างๆดงั ต่อไปนี 1. นกั เรยี นร้จู กั สง่ิ มีชีวิตอะไรบา้ งจากที่ครูวาดใหบ้ นกระดาน (...คาถามปลายเปดิ ...) 2. นักเรยี นคดิ ว่าสง่ิ มชี ีวิตทีเ่ ห็นนีจาเป็นต้องกินอาหารหรือไม่ เพราะอะไร (จาเปน็ เพื่อใช้ในกจิ กรรมต่างๆ ของ การดารงชวี ิต) 3. สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีวิธีการเปล่ียนสารอาหารท่ีมีโมเลกุลขนาดใหญ่เป็นโมเลกุลขนาดเล็กเหมือนกันหรือไม่ (ไมเ่ หมือนกัน)
2. ขนั้ สารวจและค้นหา 1. ครูขึนหัวข้อเร่ืองท่ีจะสอน “การย่อยอาหารของสัตว์” เม่ือนักเรียนเรียนจบแลว้ นกั เรียนสามารถสืบค้นข้อมูล อภปิ ราย และอธิบายกระบวนการย่อยอาหารของสตั ว์ได้ 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาจับฉลากหน้าชันเรียนเพ่ือท่ีจะได้ช่วยกันศึกษาการย่อยอาหารของ สงิ่ มีชวี ิตแตล่ ะชนิดโดยใชเ้ วลาในการนาเสนอหนา้ ชนั เรียนกลมุ่ ละไม่เกิน ๑๐ นาที ตามหวั ขอ้ ตอ่ ไปนี หวั ข้อที่ 1 เรอ่ื ง การย่อยอาหารของฟองนา ไฮดรา หนอนตวั แบน หัวขอ้ ท่ี 2 เรือ่ ง การย่อยอาหารของ ไส้เดอื นดนิ ปลา แมลง หวั ข้อที่ 3 เรอ่ื ง การยอ่ ยอาหารของสตั ว์เคียวเออื ง 3. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาอภิปรายหน้าชันเรียน เร่ืองการย่อยอาหารของสัตว์ พร้อมทังครู อธิบายเพ่มิ เติมในเนือหาทีน่ ักเรียนรว่ มกันอภิปรายหน้าชัน 3. ข้ันอภิปรายและลงข้อสรปุ 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนือหาท่ีเพ่ือนๆ ร่วมกันนาเสนอหน้าชันเรียน จากนันครูใช้การถามคาถามเพ่ือ ทดสอบความเข้าใจของนกั เรียนกลุ่มอืน่ ๆ ทฟ่ี ังเพื่ออภิปรายหน้าชันเรียน ดังนี หัวข้อท่ี 1 เรอ่ื ง การยอ่ ยอาหารของฟองนา ไฮดรา หนอนตัวแบน คาถาม -วิธีการนาอาหารเข้าสู่ร่างกายของฟองนาและไฮดราแตกต่างกันอย่างไร (ฟองนาจะใช้วิธีนาอาหารเข้าสู่เซลล์ โดยวธิ ีฟาโกไซโทซิส ส่วนไฮดราจะใช้เทนทาเคลิ จับเหย่อื แล้วส่งเข้าปาก) - ทางเดินอาหารของไฮดราและพลานาเรียนเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (ทางเดินอาหารของไฮดราและพลา นาเรีย เป็นทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์เหมือนกัน แตท่ างเดนิ อาหารของพลานาเรยี มคี วามซับซ้อนมากกวา่ ) หัวข้อที่ 2 เรอ่ื ง การย่อยอาหารของ ไสเ้ ดือนดนิ ปลา แมลง คาถาม - ทางเดินอาหารของไส้เดือนดินและแมลงคล้ายคลงึ หรือแตกต่างจากทางเดินอาหารของไฮดราและพลานาเรีย อย่าไร (ไส้เดือนดินและแมลงมีทางเดินอาหารที่มีช่องเปิด 2 ทาง โดยอาหารจะเข้าทางปาก กากอาหารจะถูกกาจัดออก ทางทวารหนัก แต่ทางเดินอาหารของไฮดราและพลานาเรียเป็นแบบช่องเปิดทางเดียว โดยอาหารเข้าทางปากและกาก อาหารถูกกาจัดออกทางปากเชน่ กนั ) หวั ขอ้ ท่ี 3 เรอ่ื ง การย่อยอาหารของสตั ว์เคยี วเออื ง คาถาม - กระเพาะอาหารของวัวแบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่อะไรบ้าง และมีผลดีอย่างไร (รูเมน เรติคิวลัม โอมาซัม และอะ โบมาซัม อาหารส่วนใหญ่ท่ีสัตว์เคียวเอืองกินเข้าไปเป็นพวกพืชซึ่งมีเซลลูโลส และต้องกินในปริมาณมากเพื่อให้พอเพียง กับความต้องการของร่างกาย ทาใหไ้ ม่สามารถย่อยได้หมดในคราเดยี ว จงึ ต้องใช้เวลาหลายวันในการย่อย การท่ีสัตว์เคียว เอือง มีกระเพาะ 4 ส่วนจึงมีผลดีกับสัตว์ เพราะกระเพาะบางส่วนช่วยเก็บสารองอาหารไว้เพ่ือสารอกออกมาเคียวใหม่ และกลืนกลับเข้าไป) - สัตว์เคียวเอืองได้โปรตีนมาจากส่วนใด (สัตว์เคียวเอืองได้โปรตีนมาจากพืชที่กินเข้าไป และจากการสังเคราะห์ ของจุลินทรีย์ โดยสังเคราะห์โปรตีนจากแอมโมเนียและยูเรีย นอกจากนียังได้จากการย่อยเซลล์จุลินทรีย์ในกระเพาะ อาหาร)
- เพราะเหตุใดสัตว์กินพืชจึงต้องกินอาหารปริมาณมากกว่าสัตว์ท่ีกินเนือ (อาหารที่สัตว์กินพืชกินเข้าไปจะมีกาก อาหารมากและย่อยมาก จึงต้องใช้เวลาย่อยหลายวันและในพืชมีสารอาหารอยู่น้อยสัตว์จงึ ต้องกินมากและต่อเน่อื งกันไป สว่ นอาหารของสัตว์กนิ เนือจะมีกากอาหารน้อยกว่าเม่ือเทียบปริมาณอาหารเท่ากนั จึงไม่จาเป็นต้องกินอาหารมากก็ได้รับ สารอาหารท่เี พยี งพอ) - ถ้าในกระเพาะอาหารของสัตว์เคียวเอืองปราศจากจุลินทรีย์จะมีผลต่อการย่อยอย่างไรและความสัมพันธ์ของ จุลินทรีย์กับสัตว์เคียวเอืองเป็นความสัมพันธ์แบบใด (สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังทุกชนิดไม่มีเอนไซม์ย่อยเซลลูโลส แต่สัตว์ เคียวเอืองคือสัตว์พวกที่กินหญ้าจะมีจุลินทรีย์ได้แก่ ยีสต์ แบคทีเรียบางชนิดและโพรโทซัวท่ีอยู่ในกระเพาะช่วยย่อย เซลลูโลส และสงั เคราะห์กรดไขมันอย่างง่าย เพอื่ ใชเ้ ปน็ แหล่งพลังงานตอ่ ไป นอกจากนจี ลุ ินทรยี ์เหลา่ นยี ังชว่ ยสงั เคราะห์ กรดอะมิโนและวติ ามินบี 12 อีกด้วย ความสัมพนั ธ์ระหว่างจลุ ินทรยี ใ์ นทางเดนิ อาหารของสตั ว์เคียวเอืองจึงเปน็ แบบภาวะ พ่ึงพา (mutualism)) 2. ครูให้นักเรยี นแต่ละกลุ่มศกึ ษาใบงานเรอ่ื ง การย่อยอาหารของสัตว์ 4. ขั้นขยายความรู้ ครูกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจาเป็นต้องได้รับอาหาร เพ่ือใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของการดารงชีวิต จากนั นครูให้ ความรู้เพ่มิ เติม ดังนี - การจัดจาแนกสิง่ มีชวี ิตโดยใชก้ ารสรา้ งอาหารเป็นเกณฑ์ โดยแบง่ สงิ่ มีชวี ติ ออกเปน็ 2 กลมุ่ คอื กลุม่ ท่ี 1 สิง่ มีชีวิต บางชนิดสามารถสร้างอาหารเองได้ เรยี กวา่ autotroph ไดแ้ ก่ พืชและโพรทิสต์บางชนิด และกลุ่มที่ 2 ส่ิงมชี ีวิต ที่ไมส่ ามารถสรา้ งอาหารได้ เรยี กว่า heterotrophy ไดแ้ ก่ ดแ้ ก่ คน สตั ว์ และโพรทิสตบ์ างชนิด - กระบวนการย่อยอาหาร ประกอบด้วย 2 กระบวนการ คือ การย่อยทางเชิงกล และการย่อยทางเคมี ซ่ึงการย่อย ทางเชิงกลเป็นการย่อยโดยการบดเคียวเพ่ือทาให้อาหารมีขนาดเล็กลง ส่วนการย่อยทางเคมี จะต้องใช้นาย่อย หรือเอนไซมเ์ ขา้ ช่วยเพ่ือใหอ้ าหารมขี นาดโมเลกุลเลก็ ลง - ทางเดินอาหารของส่ิงมีชีวิต ที่มีการย่อยอาหารภายในเซลล์ สามารถจาแนกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ทางเดิน อาหารแบบสมบรู ณ์ และทางเดนิ อาหารแบบไมส่ มบรู ณ์ ซึ่งทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ คอื มีช่องเปิด 2 ทาง คอื อาหารมีทางเข้าและทางออกคนละทาง ส่วนทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ คือ มีช่องเปิด 1 ทาง คือ อาหารมี ทางเข้าและออกทางเดยี วกนั ๕. ขั้นประเมนิ ครูและนักเรียนรวมกนั เฉลยคาถามในใบงานเร่ือง การย่อยอาหารของสัตว์ จากนนั ครูถามคาถามเพื่อให้นักเรยี น ในหอ้ งได้รว่ มกนั อธิปรายพร้อมทังตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรียนในเนือหาทเี่ รียน ดงั นี 1. การย่อยอาหารของฟองนาเหมือนหรือแตกต่างกับอะมีบาและพารามีเซียมอย่างไร (ช่องเปิดของฟองนาทัง ดา้ นขา้ งและดา้ นบนเป็นทางให้นาเขา้ และออกจากร่างกาย เพราะฉะนนั ช่องในลาตัวไม่ได้ทาหน้าที่เป็นทางเดินอาหารจึง ไม่มีการย่อยอาหารในช่องลาตัว เพราะถ้าเซลล์ของฟองนาปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยอาหารในช่องลาตัว เอนไซม์จะถูก กระแสนาทเ่ี ข้าและออกพัดพาออกไป ดงั นัน จงึ นา่ จะมีการย่อยอาหารภายในเซลลเ์ ช่นเดียวกบั อะมีบา และพารามเี ซียม)
2. ทางเดนิ อาหารของพลานาเรยี ที่นักเรียนสังเกตได้มีลกั ษณะแตกต่างจากไฮดราหรือไม่อยา่ งไร (แตกต่างกนั คอื ไฮดรามีทางเดินอาหารแบบช่องกลวงตรงกลางลาตัว ส่วนพลานาเรียมีแขนงแยกออกไปตามลาตัว แต่สัตว์ทังสองมี ทางเดินอาหรแบบมีชอ่ งเปิดทางเดียว) 3. สัตว์เคียวเอืองได้โปรตีนมาจากแหล่งใด (สัตว์เคียวเอืองได้โปรตีนมาจากพืชท่ีกินเข้าไป และจากการ สังเคราะห์ของจุลินทรีย์โดยสังเคราะห์โปรตีนจากแอมโมเนียและยูเรีย นอกจากนียังได้จากการย่อยเซลล์จุลินทรีย์ใน กระเพาะอาหาร) 4. เพราะเหตุใดสัตว์กินพืชจึงต้องกินอาหารปริมาณมากกว่าสัตว์กินเนือ (อาหารท่ีสัตว์กินพืชกินเข้าไปจะมีกาก อาหารมากและย่อยยาก จึงต้องใช้เวลายอ่ ยหลายวันและในพืชมีสารอาหารอยู่น้อยสัตวจ์ งึ ต้องกินมากและต่อเน่ืองกนั ไป สว่ นอาหารของสัตว์กนิ เนือจะมีกากอาหารนอ้ ยกวา่ เมื่อเทยี บปรมิ าณอาหารเทา่ กัน จึงไมจ่ าเป็นต้องกนิ อาหารมากก็ได้รับ สารอาหารทีเ่ พียงพอ) 5. สัตว์ประเภทเดียวกันแต่กินอาหารต่างชนิดกันจะมีทางเดินอาหารต่างกันหรือไม่ อย่างไร (สัตว์ประเภท เดียวกันที่กินอาหารต่างกันจะมีความยาวของทางเดินอาหารต่างกัน เช่น สัตว์ท่ีกินพืชเป็นอาหารจะมีทางเดนิ อาหารยาว กว่าสตั วท์ กี่ นิ สัตว์เปน็ อาหาร) 9. ส่ือการเรยี นการสอน / แหลง่ เรียนรู้ รายการสอ่ื จานวน สภาพการใช้ส่อื 1. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 1 ชุด ขนั ตรวจสอบความรเู้ ดิม 2. ใบงาน เร่ือง การย่อยอาหารของสัตว์ 1 ชดุ ขันสร้างความสนใจ 10. การวดั ผลและประเมินผล เปา้ หมาย หลกั ฐานการเรยี นรู้ วิธวี ดั เครื่องมือวดั ฯ ประเด็น/ การเรยี นรู้ ชน้ิ งาน/ภาระงาน เกณฑก์ ารให้ นักเรยี นมคี วามรู้ ใบงาน เรือ่ ง การยอ่ ย ตรวจใบงาน เรือ่ ง ใบงาน เร่ือง การย่อย คะแนน ความเข้าใจเกย่ี วกบั อาหารของสตั ว์ การยอ่ ยอาหาร อาหารของสตั ว์ ทาได้ถกู ต้อง 70 % โครงสรา้ งของระบบ ของสตั ว์ ขนึ ไป การยอ่ ยอาหารของ แบบทดสอบกอ่ นเรียน สัตว์ ตรวจแบบทดสอบ แบบทดสอบกอ่ นเรียน ทาได้ถูกต้อง 70 % ก่อนเรียน ขึนไป
11. การบรู ณาการตามจดุ เนน้ ของ ครู ผเู้ รียน หลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง พอดดี า้ นเทคโนโลยี พอดดี า้ นจติ ใจ 1. ความพอประมาณ มีจติ สานกึ ท่ีดี เออื อาทร ประนีประนอม รูจ้ กั ใช้เทคโนโลยมี าผลิตสือ่ ทเี่ หมาะสม นึกถงึ ประโยชนส์ ่วนรวม/กลมุ่ 2. ความมเี หตุผล และสอดคลอ้ งเนอื หาเปน็ ประโยชนต์ ่อ ผเู้ รยี นและพฒั นาจากภมู ปิ ัญญาของ ไมห่ ยุดนง่ิ ทห่ี าหนทางในชีวติ หลดุ พ้น 3. มภี ูมคิ มุ กนั ในตวั ที่ดี ผู้เรยี น จากความทกุ ขย์ าก (การคน้ หาคาตอบ - ยดึ ถอื การประกอบอาชีพด้วยความ เพ่ือให้หลดุ พ้นจากความไม่รู้) 4. เง่ือนไขความรู้ ถูกตอ้ ง สุจริต แมจ้ ะตกอยใู่ นภาวะขาด ภมู ปิ ัญญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ แคลน ในการดารงชวี ติ 5. เง่ือนไขคุณธรรม ภูมปิ ัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ ระมัดระวงั สรา้ งสรรค์ ความรอบรู้ เรือ่ ง อาหารท่สี ิ่งมชี วี ิตกนิ สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน ระมดั ระวงั เข้าไปจะถูกย่อยให้มโี มเลกุลเลก็ ลงจนถงึ การยอ่ ยอาหารของสัตว์ ความรอบรู้ เรอื่ ง อาหารท่ีส่งิ มชี วี ิตกิน ขนาดทเี่ ซลลน์ าไปใชใ้ นการดารงชีวิตได้ - ทางเดนิ อาหารของสัตว์มี เข้าไปจะถูกยอ่ ยให้มโี มเลกุลเลก็ ลงจนถึง กระดกู สันหลงั ขนาดทเี่ ซลลน์ าไปใช้ในการดารงชวี ิตได้ มคี วามตระหนกั ใน คุณธรรม มี - การย่อยอาหารในสตั ว์เคียว ความซอ่ื สัตยส์ จุ ริตและมีความอดทน มี เอือง มีความตระหนกั ใน คุณธรรม มี ความเพียร ใช้สตปิ ญั ญาในการดาเนนิ ความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มี ชีวติ สิ่งแวดล้อม ความเพยี ร ใชส้ ติปญั ญาในการดาเนนิ การย่อยอาหารของสตั ว์ ชีวติ ผ้เู รียน - ความสัมพันธข์ องสง่ิ มชี วี ติ กบั การยอ่ ยอาหารของสตั ว์ ส่ิงแวดลอ้ ม ครู - ทางเดินอาหารของสตั ว์มีกระดกู สนั หลงั - การอนุรกั ษส์ ิง่ แวดล้อม การยอ่ ยอาหารของสตั ว์ - การย่อยอาหารในสตั วเ์ คียวเอือง - ทางเดนิ อาหารของสัตวม์ กี ระดูกสนั หลงั - การย่อยอาหารในสตั ว์เคยี วเออื ง ผู้เรยี น การยอ่ ยอาหารของสัตว์ ครู - ความสมั พันธ์ของส่ิงมชี วี ติ กบั การยอ่ ยอาหารของสัตว์ สิง่ แวดล้อม - ความสมั พนั ธข์ องสงิ่ มีชวี ติ กบั - เสนอแนะแนวทางอนรุ ักษส์ ิง่ แวดล้อม ส่ิงแวดลอ้ ม - กระบวนการการอนรุ กั ษส์ ่งิ แวดล้อม ลงชอื่ ..................................................ผ้สู อน (นางสาวจนั จริ า ธนนั ชัย)
ใบงาน เรอื่ ง การยอ่ ยอาหารของสัตว์ คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนตอบคำถำมต่อไปน้ี 1. กำรยอ่ ยอำหำรของฟองน้ำเหมือนหรือแตกตำ่ งกบั อะมีบำ และพำรำมีเซียมอยำ่ งไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2. วธิ ีกำรนำอำหำรเขำ้ สู่ร่ำงกำยของฟองน้ำและไฮดรำแตกต่ำงกนั อยำ่ งไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3. ทำงเดินอำหำรของพลำนำเรียที่นกั เรียนสงั เกตไดม้ ีลกั ษณะแตกตำ่ งจำกไฮดรำหรือไม่อยำ่ งไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 4. กระเพำะอำหำรของววั แบง่ เป็น ๔ ส่วน ไดแ้ ก่อะไรบำ้ ง และมีผลดีอยำ่ งไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 5. สัตวเ์ ค้ียวเอ้ืองไดโ้ ปรตีนจำกแหล่งใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 6. เพรำะเหตุใดสตั วก์ ินพชื จึงตอ้ งกินอำหำรปริมำณมำกกวำ่ สัตวก์ ินเน้ือ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................
เฉลยใบงาน เรอื่ ง การย่อยอาหารของสตั ว์ 1. การยอ่ ยอาหารของฟองนาเหมอื นหรือแตกตา่ งกับอะมีบา และพารามีเซียมอย่างไร ตอบ ฟองนามีเซลล์ปลอกคอนาอาหารเข้าสู่เซลล์โดยใช้แฟลเจลลาพัดโบกอาหารให้เข้ามาในบริเวณปลอกคอ จากนนั จะจับอาหารโดยวธิ ีฟาโกไซโทซีส ฟองนาย่อยอาหารภายในเซลล์ โดยใช้เอนไซม์ไลโซโซมจากไลโซโซมปล่อยเข้าไปย่อยในฟูดแวคิวโอล เชน่ เดียวกับอะมีบา และพารามีเซียม 2. วธิ กี ารนาอาหารเข้าสรู่ ่างกายของฟองนาและไฮดราแตกตา่ งกนั อยา่ งไร ตอบ วิธีการนาอาหารเข้าสรู่ ่างกายของฟองนาและไฮดราแตกต่างกันคือ อาหารของฟองนามีขนดเล็กเพราะต้อง ผ่านเข้าไปกับนาทางช่องนาเข้า อาหารอาจเป็นทังสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหรือเป็นอินทรีย์สารขนาดเล็กก็ได้ แต่อาหารของ ไฮดราเป็นสงิ่ มชี วี ติ ขนาดใหญท่ ีไ่ ฮดราใชเ้ ข็มพิษที่อยู่บนแทนทาเคลิ ยงิ แล้วจบั เข้าปาก 3. ทางเดนิ อาหารของพลานาเรยี ที่นักเรยี นสังเกตได้มลี ักษณะแตกตา่ งจากไฮดราหรือไมอ่ ย่างไร ตอบ ทางเดนิ อาหารของพลานาเลเรียแตกตา่ งจากทางเดนิ อาหารของไฮดราคือ ไฮดรามที างเดนิ อาหารเป็นช่อง กลางตัว แต่พลานาเรียมีทางเดินอาหารแตกแขนงออกไป ๒ ข้าง ลาตัว แต่ท่ีเหมือนกัน คือทางเดินอาหารมีทางเปิดทาง เดียว 4. กระเพาะอาหารของวัวแบ่งเปน็ ๔ ส่วน ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง และมีผลดีอย่างไร ตอบ สัตวเ์ คยี วเออื งมีกระเพาะ ๔ ส่วน มผี ลดี หลายประการ ได้แก่ ๑. สามารถเกบ็ สารองอาหารไดใ้ นปริมาณมากเพื่อสารองออกมาเคียวใหม่ ๒. ในกระเพาะมีจุลนิ ทรีย์ชว่ ยย่อยเซลลูโลสใหเ้ ป็นกรดไขมนั โมเลกุลเลก็ เพือ่ ใชเ้ ปน็ แหล่งพลงั งาน ๓. จลุ ินทรีย์ในกระเพาะชว่ ยสังเคราะหก์ รดอะมิโนและวติ ามนิ บี 12 ๔. 5. สัตว์เคยี วเออื งไดโ้ ปรตีนจากแหลง่ ใด ตอบ ได้โปรดตีนจากการท่ีจุลินทรีย์สังเคราะห์ขึนโดยสังเคราะห์จากแอมโมเนียและยูเรีย ได้เป็นกรดอะมิโน รวมทงั โปรตนี จากเซลลข์ องจุลนิ ทรยี ์เอง 6. เพราะเหตุใดสตั ว์กินพชื จึงตอ้ งกนิ อาหารปริมาณมากกวา่ สตั วก์ นิ เนือ ตอบ เพราะอาหารท่ีสัตว์กินพืชกินมีกากอาหารมาก และมีสารอาหารน้อย ทาใหต้ ้องกินอาหารมาก และอาหาร เหล่านันย่อยยากต้องใช้เวลาหลายวนั เพ่ือให้จุลินทรีย์เกิดการหมักหรอื ย่อย แล้วจึงมีการย่อยโดยกระตุ้นของเอนไซมท์ งั ในกระเพาะและลาไสเ้ ลก็ ของสัตวน์ นั อีก สัตวเ์ คียวเออื งจึงตอ้ งกินอาหารอยา่ งตอ่ เน่ือง
แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่ือง การย่อยอาหาร แผนจัดการเรียนรู้ท่ี 3 เรอื่ ง โครงสรา้ งทางเดนิ อาหารของคน รายวชิ า ชีววทิ ยา 3 รหสั วิชา ว 32203 ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2562 นา้ หนักเวลาเรยี น 1.5 (นน./นก.) เวลาเรียน 3 ชัว่ โมง/สัปดาห์ เวลาทีใ่ ช้ในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 3 ช่ัวโมง ............................................................................................................................. ............................. 1. สาระสาคัญ - การย่อยอาหารของคน - ตับอ่อน ( Pancreas ) - ปากและการย่อยอาหาร - ตับ ( Liver ) - บริเวณคอหอยและการกลนื - การดูดซมึ สารอาหารของลาไส้เล็ก - กระเพาะอาหาร และการย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร - ลาไสเ้ ล็ก และการย่อยในลาไสเ้ ล็ก - ลาไส้ใหญ่ 2. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชี้วดั ชน้ั ปี/ผลการเรยี นร้/ู เปา้ หมายการเรียนรู้ 3. อธิบายเก่ียวกับโครงสรา้ ง หนา้ ที่ และกระบวนการย่อยอาหาร และการดูดซึมสารอาหารภายในระบบยอ่ ย อาหารของมนุษย์ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 เน้อื หาสาระหลัก : นกั เรียนมีความรู้ ความเขา้ ใจเกีย่ วกับโครงสรา้ งของระบบการย่อยอาหารของคน 3.2 ทักษะ/กระบวนการ : นกั เรยี นสามารถสืบค้นข้อมลู และบอกสาเหตุบางประการของความผิดปกติทเ่ี กิด กับระบบทางเดินอาหาร อาการท่สี ังเกตได้ และวิธีป้องกันรกั ษา 3.3 คุณลักษณะท่พี ึงประสงค์ : นักเรยี นมพี ฤตกิ รรมใฝ่เรียนรูใ้ นการเรยี น 4. สมรรถนะสาคญั ของนกั เรยี น 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 5. คุณลักษณะของวชิ า - ความรับผิดชอบ - ความรอบคอบ - กระบวนการกลมุ่ 6. คุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ 1. ใฝเ่ รียนรู้ 2. มงุ่ มั่นในการทางาน 7. ชนิ งาน/ภาระงาน : - เกม bingo 1 ชุด
8. กิจกรรมการเรยี นรู้ 1. ขั้นสร้างความสนใจ 1. การลาเลียงอาหารของคนจากปากจนถึงทวารหนักประกอบด้วยส่วนสาคัญอะไรบ้าง (ปาก คอหอย หลอด อาหร กระเพาะอาหาร ลาไสเ้ ล็ก ลาไสใ้ หญ่ ไส้ตรง ทวารหนัก) 2. ครูให้นักเรียนดูแผนภาพโครงสร้างการย่อยอาหารของคนในหนังสือเรียนและถามนักเรียนว่าในแต่ละ หมายเลขในแผนภาพท่ีเหน็ คืออวยั วะอะไร 3. ครูให้นักเรียนเลือกอาหารท่ีนักเรียนรับประทานในชีวิตประจาวัน มา 1 ชนิด อาหารนันๆ ควรมีสารอาหาร หลายอยา่ งครบถว้ น ตวั อยา่ งเชน่ ข้าวผัด กะเพราไก่ไขด่ าว แล้วตังคาถามเพ่อื นาไปสู่การสารวจตรวจสอบ ดงั นี - นักเรียนทราบหรือไม่ว่าข้าวผัดกะเพราไก่ไข่ดาว เมื่อเข้าสู่ทางเดินอาหารแต่ละส่วนแล้วมีการเปล่ียนแปลง อย่างไรบ้าง และสารอาหารที่ได้จากการย่อยข้าวผัดกะเพราไก่ไข่ดาวเข้าสู่ทางเดินอาหารส่วนใด หรือให้นักเรียนลอง จินตนาการวา่ ถ้านักเรียนเป็นข้าวผัดกะเพราไก่ไข่ดาวเม่ือเข้าสู่ร่างกายจะผา่ นอวยั วะใดบ้าง ก่อนจะเหลือเป็นกากอาหาร ออกมาทางทวารหนัก 4. ครเู ปิดโอกาสให้นกั เรียนแสดงความคดิ เหน็ ตามความรู้ และประสบการณเ์ ดิมของตน 2. ข้ันสารวจและค้นหา 5. ครูขนึ หัวข้อเรื่องท่จี ะสอน “โครงสรา้ งทางเดินอาหรของคน” เมื่อนักเรยี นเรียนจบแลว้ นักเรียน มีความรูค้ วาม เขา้ ใจเกีย่ วกับโครงสร้างของระบบการย่อยอาหารของ 6. ครูอธิบายสาระการเรียนรู้เร่ืองที่จะเรียนในหัวข้อ เร่ือง โครงสร้างทางเดินอาหารของคน ประกอบด้วย ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก ลาไส้ใหญ่ ครูอธิบายเพ่ิมเติมในแต่ละหัวข้อพร้อมให้นักเรียนศึกษา โมเดลรา่ งกายมนุษย์พร้อมทังวาดภาพโครงสรา้ งทางเดนิ อาหารของคนแตะละสว่ นประกอบการอธิบาย 7. ครูถามคาถามเพ่ิมเติมเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการอภิปราย เนอื หา เรื่อง ปาก - ครูให้นักเรียนทากิจกรรม อวัยวะในชอ่ งปาก ทังนี เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นสามารถ - สารวจอวัยวะภายในช่องปากทีเ่ ก่ียวกบั การย่อยอาหาร - บอกวธิ กี ารรกั ษาสุขภาพของเหงอื กและฟันท่ีถูกตอ้ ง การใหน้ กั เรียนทากิจกรรม เพือ่ ศึกษาอวัยวะภายในช่องปากเกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร ได้แก่ ฟนั เพดานปาก ลินไก่ ลิน สิ่งท่ีควรเน้น คือ ความสาคัญของฟัน ความผิดปกติที่เกิดขึนกับฟันและเหงือก สาเหตุและวิธกี ารรักษาสุขภาพ ของเหงือกและฟนั ที่ถูกต้อง คาถาม 1. อวัยวะภายในช่องปากมีอวยั วะอะไรบา้ ง (ฟัน เพดานปาก ลนิ ไก่ ลนิ ) 2. ตอ่ มนาลายในช่องปากมที งั หมดกตี่ อ่ ม อะไรบ้าง (3 ตอ่ ม ตอ่ มนาลายใตข้ ากรรไกรล่าง ตอ่ มนาลายใตล้ ิน และ ตอ่ มนาลายบรเิ วณกกหู)
3. ถ้ามีไวรัสเข้าไปในต่อมนาลายบริเวณกกหู จะเกิดอะไรขึน (ถ้าหากมีไวรัสเข้าไปในต่อมนาลายบริเวณกกหจู ะ ทาใหเ้ กดิ โรคคางทูมได้ ในเด็กผู้ชายถ้าหากเป็นคางทูมเชอื ไวรสั นอี าจเข้าไปสู่ถุงอันฑะ ทาหเ้ กิดการอักเสบในถุงอันฑะ ซึง่ จะมีผลทาให้หลอดสรา้ งตัวอสุจิไมส่ ามารถสร้างตัวอสจุ ไิ ด้ตามปกติ และอาจเป็นหมนั ได)้ 4. นาลายมีสว่ นประกอบอะไรบ้าง (นา ๙๙.๕% เอนไซม์ไทยาลิน เมือกชว่ ยในการหล่อลืน่ อาหาร และแคลเซียม) 5. ตุ่มรับรสมีก่ีตุ่มอะไรบ้างพบที่ตาแหน่งไหนของลิน (ตุ่มรับรสมีทังหมด ๔ ตุ่ม คือ รสหวาน พบท่ีบริเวณปลาย ลิน รสขม พบท่บี รเิ วณโคนลิน รสเปรียว พบทบ่ี ริเวณขา้ งลนิ และรสเคม็ พบท่ีบริเวณขา้ งลินและปลายลนิ ) 6. การเปล่ียนแปลงของอาหารที่เกิดขึนในช่องปากโดยการทางานของฟันและเอนไซม์อะไมเลส แตกต่างกัน อยา่ งไร (ฟนั จะบดเคียวอาหารใหม้ ีขนาดเล็กลงทาใหพ้ ืนผิวของอาหารที่จะสมั ผสั กบั เอนไซม์มีมากขึน ส่วนเอนไซมอ์ ะเมส จะมีหน้าที่สลายพันธะท่ียึดระหว่างโมเลกุลย่อยๆ ของสารอาหารประเภทแป้งทาให้ขนาดโมเลกุลเล็กลงโดยมีนาเข้าร่วม ทาปฏิกิริยาดว้ ย) เรอื่ ง หลอดอาหารและคอหอย คาถาม 1. การกลื่น คืออะไร (เป็นกลไกการทางานร่วมกันระหว่างลืน เพดานอ่อน และฝาปิดกล่องเสียง ขณะท่ีกลืน อาหารผ่านเข้าสู่ลาคอ เพดานอ่อนจะถูกดันยกไปปิดช่องหายใจ อากาศจึงผ่านช่องนีไม่ได้ และปลายลินจะกระดกขึนไป หาเพดานปาก ดันบงั คบั ก้อนอาหารใหผ้ ่านเข้าไปในหลอดอาหารได้ พร้อมๆ กับฝาปดิ กล่องเสียงจะปิดหลอดลม) 2. นักเรียนทราบหรือไม่ว่าเหตุใดเวลารับประทานข้าวแล้วเกิดสาลักจึงมีข้าวออกทางจมูกได้(เพราะลินไก่และ เพดานออ่ นไม่ปิดกันทางตดิ ตอ่ ระหวา่ งคอหอยกบั โพรงจมูก ทาใหอ้ าหารจากชอ่ งปากขนึ ไปในจมูก) 3. การพดู คุยหรอื การหวั เราะในขณะท่ีเคยี วอาหารและกลืนอาหารจะมผี ลอย่างไร เพราะเหตใุ ด (อาหารอาจพลัดตกลงไปในกล่องเสียงและหลอดลม หรือขึนไปที่จมูกได้ เพราะขณะท่ีหัวเราะพูดคุยนันฝาปิดกล่องเสียง จะปิดกลอ่ งเสยี งไมส่ นิท และเปน็ จังหวะทล่ี ินไก่และเพดานอ่อนปดิ ช่องทางติดต่อกับชอ่ งจมูกไม่สนิทเช่นเดยี วกัน) 4. นักเรียนเคยสังเกตไหมว่า ในขณะท่ีกลืนอาหารจะมีการหายใจเกิดขึนพร้อมกันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด (ขณะกลนื ไม่มีการหายใจ เพราะลนิ ไก่และเพดานอ่อนจะปดิ ทางเดินอากาศจากช่องจมูกทจ่ี ะลงหลอดลมและฝาปดิ กล่อง เสียงจะปิดกล่องเสียงทาใหอ้ ากาศไมส่ ามารถออกมาจากกลอ่ งเสยี งได้) 5. นักบินอวกาศที่อยู่ในสภาพไร้นาหนักศีรษะหันลงสู่พืนสามารถใช้หลอดดูดนาเข้าตามทางเดินอาหาร โดยไม่ ไหลย้อนกลับได้อย่างไร (นาหรืออาหารที่เข้าสู่หลอดอาหารจะเคลื่อนไปตามหลอดอาหารโดยไม่ไหลย้อนกลับเนื่องจาก การหดตวั และคลายตวั ของกล้ามเนือทอ่ี ยรู่ อบๆ หลอดอาหาร ซ่ึงจะเกดิ ติดตอ่ กนั ไปจนสุดระยะของหลอดอาหาร) เรื่อง กระเพาะอาหาร คาถาม 1. กระเพาะอาหารแบ่งเป็นก่ีส่วนอะไรบ้างและแต่ละส่วนทาหน้าท่ีอะไร (๓ ส่วน cardiac ทาหน้าที่ป้องกัน ไม่ให้อาหารกลับสู่หลอดอาหาร fundus เป็นส่วนกลางของกระเพาะอาหาร และ pylorus ทาหน้าท่ีปิดและเปิดให้ อาหารในกระเพาะผา่ นออกไปยงั ลาไส้เลก็ ) 2. กระเพาะอาหารมีกล้ามเนือหูรูดทังหมดกี่แห่ง อะไรบ้าง (๒ แห่ง esophageal sphincter muscle และ pyloric sphincter muscle)
3. หน้าท่ีของกระเพาะอาหารมีอะไรบ้าง (กระเพาะอาหารมีหน้าท่ีดังนี เป็นท่ีพักอาหารช่ัวคราว ย่อยอาหาร ลาเลยี งอาหารเขา้ ส่ลู าไสเ้ ล็ก และทาลายแบคทเี รียทต่ี ิดมากับอาหาร) เรื่อง ลาไส้เลก็ คาถาม 1. หนา้ ทข่ี องลาไส้เล็กคืออะไร (ยอ่ ยอาหารและดดู ซึมอาหาร ทาลายแบคทีเรีย) 2. ลาไส้เลก็ แบ่งเป็นก่ีส่วน อะไรบ้าง (3 ส่วน ดูโอดินมั มีการยอ่ ยอาหารมากท่ีสดุ เจจนู ัม เป็นส่วนทม่ี ีการดูดซึม มากทสี่ ดุ ไอเลียม ทาหน้าที่ยอ่ ยและดูดซมึ อาหารทย่ี อ่ ยแล้ว) เรื่อง ลาไส้ใหญ่ คาถาม 1. ลาไส้ใหญ่ของคนเรามีหน้าท่ีในการดูดซึมสารอาหารหรือไม่ (ไม่ได้มีหน้าท่ีในการดูดซึมสารอาหารมีหน้าท่ีใน การดดู กลบั นาและวติ ามนิ ) 2. ลาไส้ใหญ่มีหน้าท่ีในการย่อยอาหารหรือไม่ (ไม่ได้มีหน้าท่ีในการย่อยอาหารโดยตรงแต่มีพวกจุลินทรีย์อาศัย อยู่ในลาไสใ้ หญช่ ว่ ยยอ่ ย) 3. อภิปรายและลงข้อสรุป 1. ครูให้นักเรียนแต่ละคนออกมาอธิบายเก่ียวกับโครงสร้างทางเดินอาหารของคน โดยใช้โมเดลร่างกายมนุษย์ ประกอบการอธบิ าย 2. ครูและนกั เรยี นสรปุ ในส่วนของเนอื หาเพิ่มเตมิ โดยการใช้การถามคาถามดงั นี คาถาม 1. การพูดคุยหรือการหัวเราะในขณะที่เคียวอาหารและกลืนอาหารจะมีผลอย่างไร เพราะเหตุใด (อาหารอาจผลัดตกลงไปในกล่องเสียงและหลอดลม หรือขึนไปที่จมูกได้ เพราะขณะท่ีหัวเราะหรือพูดคุยนันฝาปิดกล่อง เสียงจะปดิ กล่องเสยี งไม่สนิท และเป็นจงั หวะท่ีลินไกแ่ ละเพดานอ่อนปดิ ช่องทางติดต่อกับช่องจมูกไมส่ นทิ เชน่ เดยี วกัน) 2. นักบินที่อยใู่ นสภาพไร้นาหนักศีรษะจะหันลงสู่พืน สามารถใชห้ ลอดดูดนาเขา้ ตามทางเดนิ อาหารโดย ไม่ย้อนกลับได้อย่างไร (นาหรืออาหารท่ีเข้าสู่หลอดอาหารจะเคลื่อนไปตามหลอดอาหาร โดยไม่ไหลย้อนกลับ เนื่องจาก การหดตัวและคลายตัวของกลา้ มเนือทอี่ ยู่รอบๆ หลอดอาหาร ซงึ่ จะเกดิ ตดิ ตอ่ กบั ไปจนสดุ ระยะของหลอดอาหาร) 3. การรบั ประทานอาหารท่ีแห้งแข็ง และชนิ ใหญเ่ กนิ ไป หรืออาหารทเี่ คียวไม่ละเอียด ขณะกลนื จะแน่น ท่บี ริเวณหน้าอกเพราะเหตุใด (เพราะอาหารจะเคลื่อนตวั ไปตามหลอดอาหารไดล้ าบาก หลอดอาหารบบี ตัวอย่างและเกิด การเกร็งของกลา้ มเนอื หลอดอาหาร ทาให้รสู้ กึ จกุ แนน่ บริเวณหนา้ อก) 4. คนท่ีถูกผ่าตัดลาไส้เล็กออกไปบางส่วนจะมีผลอย่างไร (ทาให้พืนที่ในการย่อยอาหารและการดูดซึม อาหารน้อยลง) 5. ถา้ กากอาหารอยู่ในลาไส้ใหญน่ านๆ จะเกิดผลอยา่ งไร (กากอาหารจะแข็งเน่ืองจากมีการดูดนาและ แรธ่ าตเุ ข้าสู่หลอดเลือดฝอยบรเิ วณลาไสใ้ หญ่ ทาให้ถา่ ยไม่สะดวก) 3. จากนันครูให้นักเรียนเล่นเกม binggo เกี่ยวกับหัวข้อเร่ือง โครงสร้างทางเดินโดยจัดกิจกรรมให้มีการปรึกษา กันในแตล่ ะกลมุ่
4. ขน้ั ขยายความรู้ 1. ครูเน้นและให้ความรู้เพ่ิมเติม เก่ียวกับ ปัญหาสถิติผู้ป่วยด้วยโรคระบบย่อยอาหารรวมทังโรคในช่วงปากซึ่งมี ทงั สิน 12,566,716 คน นับเปน็ ปญั หาด้านสาธารณสุข นอกจากนีการจัดการให้มีการแข่งขันการบรโิ ภคอาหารบางชนิด ให้ได้จานวนมากๆ เกินความเป็นจริงท่ีควรบริโภคเป็นสิ่งท่ีควรพิจารณา เพราะอาจจะเป็นปัญหาเก่ียวกับสุขภาพใน ระบบทางเดินอาหารได้ การศึกษาเร่ืองระบบทางเดินอาหารและนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์เพื่อสุขภาพของร่างกายจึงเปน็ ส่ิงสาคญั 5. ขน้ั ประเมิน 1. ครูและนักเรียนรว่ มกันเฉลยเกมเกย่ี วกบั โครงสรา้ งทางเดนิ อาหารของคน 2 ครมู อบหมายให้นกั เรียนสรปุ ความคดิ รวบยอดเกยี่ วกับเนอื หาท่ีไดเ้ รียนในวนั นี 3. ครมู อบหมายให้นักเรียนไปศึกษาความรู้ เร่อื ง การยอ่ ยอาหารของคน ซง่ึ จะเรยี นในคาบต่อไปมาลว่ งหน้า 9. สอื่ การเรียนการสอน / แหลง่ เรียนรู้ รายการสื่อ จานวน สภาพการใช้สอ่ื 1. แบบทดสอบกอ่ นเรียน 1 ชดุ ขันตรวจสอบความรเู้ ดิม 2. เกม bingo 1 ชดุ 1 ชุด ขนั สรา้ งความสนใจ 10. การวัดผลและประเมนิ ผล เป้าหมาย หลักฐานการเรยี นรู้ วธิ วี ัด เคร่ืองมอื วัดฯ ประเด็น/ การเรียนรู้ ชิ้นงาน/ภาระงาน เกณฑ์การให้ นกั เรียนมคี วามรู้ เกม bingo 1 ชดุ คะแนนจากเกม เกม bingo 1 ชุด คะแนน ความเขา้ ใจเก่ียวกบั แบบทดสอบก่อนเรียน bingo 1 ชดุ ทาได้ถูกต้อง 70 % โครงสร้างของระบบ ขึนไป การย่อยอาหารของ ตรวจแบบทดสอบ แบบทดสอบก่อนเรียน คน กอ่ นเรยี น ทาได้ถูกต้อง 70 % ขนึ ไป
11. การบูรณาการตามจุดเนน้ ของโรงเรยี น หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ครู ผู้เรียน 1. ความพอประมาณ พอดดี ้านเทคโนโลยี พอดีด้านจิตใจ รู้จกั ใชเ้ ทคโนโลยมี าผลิตสื่อทเ่ี หมาะสม มีจติ สานกึ ทด่ี ี เออื อาทร ประนปี ระนอม และสอดคล้องเนือหาเป็นประโยชนต์ อ่ นกึ ถงึ ประโยชนส์ ่วนรวม/กลุ่ม ผู้เรยี นและพฒั นาจากภมู ิปัญญาของ ผูเ้ รียน 2. ความมเี หตุผล - ยดึ ถือการประกอบอาชพี ดว้ ยความ ไมห่ ยุดนงิ่ ที่หาหนทางในชวี ติ หลดุ พ้น ถูกตอ้ ง สจุ รติ แม้จะตกอยใู่ นภาวะขาด จากความทุกขย์ าก (การคน้ หาคาตอบ แคลน ในการดารงชวี ิต เพอ่ื ให้หลดุ พน้ จากความไม่ร้)ู 3. มภี มู คิ มุ กันในตวั ที่ดี ภูมิปัญญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ ภมู ิปญั ญา : มีความรู้ รอบคอบ และ ระมดั ระวงั ระมัดระวงั สร้างสรรค์ 4. เง่อื นไขความรู้ ความรอบรู้ เร่อื ง อาหารทค่ี น ความรอบรู้ เร่อื ง อาหารทค่ี น รับประทานเขา้ ไปจะถูกบดเคยี วให้มี รบั ประทานเขา้ ไปจะถูกบดเคยี วใหม้ ี ขนาดเลก็ ลง และยอ่ ยใหเ้ ปน็ สารท่มี ี ขนาดเล็กลง และยอ่ ยให้เปน็ สารทีม่ ี โมเลกุลเล็กลงด้วยเอนไซมซ์ งึ่ อยูใ่ นสว่ น โมเลกลุ เลก็ ลงด้วยเอนไซมซ์ ง่ึ อย่ใู นสว่ น ตา่ งๆ ของทางเดินอาหาร จากนนั จะถกู ต่างๆ ของทางเดนิ อาหาร จากนันจะถกู ดดู ซมึ และมกี ารลาเลียงไปยังเซลลต์ ่างๆ ดูดซึมและมกี ารลาเลียงไปยังเซลล์ตา่ งๆ ท่วั รา่ งกายทางกระแสเลือด ดงั นนั หนา้ ที่ ทว่ั รา่ งกายทางกระแสเลอื ด ดังนัน หนา้ ท่ี หลกั ของระบบยอ่ ยอาหารในคน หลกั ของระบบย่อยอาหารในคน 5. เง่อื นไขคุณธรรม มคี วามตระหนักใน คุณธรรม มี มคี วามตระหนักใน คณุ ธรรม มี ความซอื่ สัตย์สจุ รติ และมคี วามอดทน มี ความซอ่ื สตั ยส์ จุ ริตและมคี วามอดทน มี ความเพียร ใช้สตปิ ญั ญาในการดาเนิน ความเพียร ใชส้ ติปญั ญาในการดาเนนิ ชีวิต ชวี ติ สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ครู ผเู้ รยี น การยอ่ ยอาหารของคน การยอ่ ยอาหารของคน การย่อยอาหารของคน - ตบั ออ่ น ( Pancreas ) - ตบั อ่อน ( Pancreas ) - ตบั ออ่ น ( Pancreas ) - ปากและการย่อยอาหาร - ปากและการยอ่ ยอาหาร - ปากและการย่อยอาหาร - ตบั ( Liver ) - ตบั ( Liver ) - ตับ ( Liver ) - บรเิ วณคอหอยและการกลนื - บรเิ วณคอหอยและการกลืน - บรเิ วณคอหอยและการกลนื - การดดู ซมึ สารอาหารของลาไส้ - การดดู ซมึ สารอาหารของลาไส้เล็ก - การดูดซมึ สารอาหารของลาไสเ้ ล็ก เล็ก - กระเพาะอาหาร และการย่อยอาหารใน - กระเพาะอาหาร และการยอ่ ยอาหารใน - กระเพาะอาหาร และการย่อย กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหาร อาหารในกระเพาะอาหาร - ลาไสเ้ ลก็ และการย่อยในลาไสเ้ ลก็ - ลาไส้เลก็ และการยอ่ ยในลาไสเ้ ล็ก - ลาไส้ใหญ่ - ลาไสใ้ หญ่
- ลาไสเ้ ลก็ และการย่อยในลาไส้ ครู ผ้เู รียน เลก็ การย่อยอาหารของคน การย่อยอาหารของคน - ลาไส้ใหญ่ - กระบวนการการอนุรกั ษ์ส่ิงแวดลอ้ ม - เสนอแนะแนวทางอนรุ กั ษส์ ่งิ แวดลอ้ ม สง่ิ แวดล้อม การย่อยอาหารของคน - การอนุรักษ์สิ่งแวดลอ้ ม ลงช่ือ..................................................ผสู้ อน (นางสาวจนั จิรา ธนนั ชยั )
เกม binggo คาถาม ๑. ลาไสเ้ ลก็ ส่วนที่มีการดดู ซมึ มากทส่ี ุด (jeijunum) ๒. สว่ นของลาไสใ้ หญ่ทยี่ าวท่ีสุด (colon) ๓. ตอ่ มทอลซิลพบที่บริเวณใด (pharynx) ๔. สมองสว่ นทคี่ วบคุมการหลัง่ นาลาย (pons) ๕. การตรวจสุขภาพฟนั ควรตรวจปลี ะกคี่ รัง (๒ ครงั ) ๖. ธาตทุ ีพ่ บเป็นสว่ นประกอบของนาลายมากที่สดุ (Ca) ๗. ตมุ่ รับรสหวานพบที่ตาแหน่งใด (ปลายลิน) ๘. กระเพาะอาหารสามารถขยายไดส้ ูงสุดกเี่ ทา่ (๑๐-๔๐ เทา่ ) ๙. ลาไส้เล็กสว่ นทมี่ ีลกั ษณะคลา้ ยตัวยู (duodenum) ๑๐. ไสต้ ่งิ คือส่วนใดของลาไส้ใหญ่ (caecum) ตวั อย่างเกม binggo Colon Ileum ๓ ครงั้ Esophagus Pharynx โคนล้ิน ๒๐-๕๐ เท่า ขา้ งลิน Caecum ทวารหนัก Ca รากฟัน ๑๐-๔๐ เทา่ Hypothalamus Peristalsis Duodenu ๒ ครัง Ptyalin Rectum Fundus m ปลายลนิ้ pons HCl jeijunum K jeijunum รากฟัน ๒ ครัง้ Esophagus Rectum โคนลิ้น ๒๐-๕๐ เท่า ปลายลิน ข้างลนิ Colon Ca Ileum ๑๐-๔๐ เท่า Hypothalamus Peristalsis Duodenu ๓ ครัง Ptyalin Pharynx Caecum m K ทวารหนกั Fundus pons HCl
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: