นาเหลืองไหลไปตามทอ่ นาเหลอื ง โดยอาศยั ปจั จัย 3 ประการ คือ - การหดและคลายตัวของกล้ามเนอื ทจ่ี ะไปกดหรือคลายท่อนาเหลอื ง - ความแตกต่างระหว่างความดนั ไฮโดรสเตติก ซงึ่ ท่อนาเหลืองขนาดเล็กมีมากกว่า ท่อนาเหลืองขนาดใหญ่ - การหายใจเขา้ ซึง่ ไปมีผลขยายทรวงอกและลดความดันทาให้ท่อนาเหลืองขยายตัว ท่อนาเหลอื งขนาดใหญม่ ี 2 ทอ่ ท่ีสาคัญคอื - ทอ่ นาเหลืองทอราซกิ (Thoracic duct ) เปน็ ท่อนาเหลืองขนาดใหญ่ท่สี ดุ ทาหนา้ ที่รับ นาเหลอื งจากสว่ น ตา่ งๆของรา่ งกาย ยกเวน้ ทรวงอกขวาแขนขวาและส่วนขวาของหัวกับ คอ เข้าเสน้ เลือดเวน แล้วเข้าสู่เวียนาคาวากอ่ นเข้า ส่หู วั ใจ อยทู่ างซ้ายของลาตวั - ทอ่ นาเหลอื งทางด้านขวาของลาตวั ( Right lymphatic duct ) รับนาเหลอื งจากทรวง อกขวาแขนขวา และ สว่ นขวาของหวั กับคอเขา้ เส้นเลือดเวน แลว้ เขา้ สู่เวียนาคาวา เข้าสหู่ ัวใจ จากนันนาเหลืองที่ อยู่ในท่อนาเหลือง จะเขา้ หวั ใจปนกบั เลือดเพ่อื ลาเลยี งสารตา่ งๆต่อไป หน้าทข่ี องระบบนาเหลอื ง 1. สร้างเซลล์เมด็ นาเหลือง เม็ดลือดขาวชนิดลิมโฟไซตแ์ ละโมโนไซต์ 2. สร้างแอนติบอดี ซง่ึ ทาหน้าทีเ่ ป็นสารทสี่ รา้ งภมู ิคุ้มกันของรา่ งกาย 3. เป็นตวั กลางในการแลกเปลี่ยนสารและก๊าซระหวา่ งเซลล์กับเส้นเลือฝอยเพราะนาเหลืองแทรกอยูร่ ะหวา่ ง เซลล์ 4. ช่วยในการลาเลียงไขมันจากผนังลาไสเ้ ข้าสู่กระแสเลือด และชว่ ยในการนาโปรตนี และสารอ่นื ๆ ทีห่ ลดุ ออก จากเสน้ เลือดฝอยกลบั เขา้ สู่ระบบหมุนเวยี นเลอื ดอีกครงั หนึ่ง โดยปกติกรดไขมันจะซึมเขา้ สูร่ ะบบนาเหลืองมากกว่าซึม เขา้ สรู่ ะบบไหลเวยี นโลหติ 5. ทาหนา้ ท่กี รองนาเหลือง โดยการกาจดั สิง่ แปลกปลอมท่ีปนมากลบั นาเหลือง ออกกอ่ นเขา้ สู่กระแสเลือด 6. ทาลายเชอื โรคและส่ิงแปลกปลอมทเ่ี ขา้ สรู้ า่ งกาย เนือ่ งจากในนาเหลอื งมีเซลล์เม็ดเลือกขาวอยู่ด้วย และเม็ด เลือดขาวที่แก่ตัวหมดอายุแล้วด้วย 7. รกั ษาสภาวะสมดลุ ของเหลวและโปรตนี ในเลอื ด และเกบ็ สะสมเลือดไว้ใชเ้ มอ่ื รา่ งกายต้องการเลือดเพ่ิม ระบบนาเหลือง
แบบทดสอบหลังเรยี น 1. หัวใจเทยี มของไส้เดือนดินทาหนา้ ท่ีเหมือนกบั โครงสร้างใดของมนษุ ย์ 1 หัวใจ 2 เส้นเลือดและหวั ใจ 3 เวนทรเิ คิล 4 เอเทรียม 2. ในภาวะปกติรา่ งกายจะสญู เสียนาออกสูภ่ ายนอกเรียงตามลาดบั จากมากทสี่ ดุ ได้ ดงั นี 1 ปสั สาวะ หายใจออก อุจจาระ เหงอ่ื 2 ปัสสาวะ เหง่ือ หายใจออก อุจจาระ 3 เหงื่อ ปัสสาวะ อุจจาระ หายใจออก 4 เหงื่อ ปัสสาวะ หายใจออก อจุ จาระ 3. ชายผหู้ นึง่ เดินทางกลางทะเลทราย และขาดแคลนนาจึงดื่มปัสสาวะของตนเองแกก้ ระหายจะเกิดอะไรในช่วงเวลา 24 ชัว่ โมง หลงั ด่มื ปสั สาวะ 1 ถ่ายปสั สาวะออกมามีปรมิ าณมากกว่าทดี่ ่ืมเข้าไป 2 ถา่ ยปัสสาวะออกมามีปริมาณเท่ากับดื่มเขา้ ไป 3 ถ่ายปสั สาวะออกมามปี รมิ าณนอ้ ยกวา่ ทด่ี มื่ เขา้ ไป 4 ไม่มีการถ่ายปัสสาวะ 4. เสน้ เลือดใดที่พบว่ามีปริมาณนาตาลในเลอื ดเปล่ียนแปลงมากที่สุด ก hepatic vein ข hepatic portal vein ค pulmonary vein ง coronary artery จ carotid artery 1. ข เทา่ นนั 2 ค เท่านัน 3 ก และ ข 4 ง และ จ 5. เสน้ เลือดในข้อใดอธิบายความหมายของอารเ์ ทอรี (artery) 1 เสน้ เลือดที่นาเลอื ดท่มี ีปรมิ าณออกซเิ จนสงู 2 เฉพาะเสน้ เลอื ดท่ีนาเลอื ดทม่ี ีปรมิ าณออกซิเจนสงู ออกจากหวั ใจ 3 เส้นเลือดทน่ี าเลือดออกจากหัวใจทงั หมด 4 เฉพาะเส้นเลือดจากปอดเขา้ สูห่ วั ใจ 6. อวัยวะใดควบคุมอัตราการหายใจของสัตว์เลยี งลกู ดว้ ยนานม 1 สมองส่วนเมดลั ลา 2 กลา้ มเนอื ซโี่ ครง 3 กระบังลม 4 สมองสว่ นไฮโพทาลามสั
7. สง่ิ ที่แตกต่างระหว่างส่วนประกอบของสารภายใน glomerulus และ Bowmen’s capsule ของหน่อย nephron ของไต คือ 1 ระดับโปรตีน 2 ระดับโปรตีน และกลโู คส 3 ระดับนาและยูเรีย 4 ระดับโปรตนี นายูเรีย และกลโู คส 8. โครงสร้างของสตั ว์เลยี งลกู ด้วยนมทที่ าหน้าที่ เหมอื นกบั คอนแทรกไทลแ์ วคิวโอล ของพวกพารามเี ซียม 1 ไต 2 ผวิ หนัง 3 ต่อมนาตา 4 ถุงลมปอด 9. อวัยวะขบั ถา่ ยของสตั ว์ในข้อใด ข้อใด ทม่ี ีลักษณะและทาหนา้ ทคี่ ล้ายกนั 1 ทอ่ มลั พิเกียน เนฟรเิ ดียม 2 เนฟรเิ ดยี ม เฟรมเซลล์ 3 เฟลมเซลล์ คอนแทรกไทล์แวคิวโอล 4 คอนแทรกไทล์แวคิวโอล ท่อมัลพิเกยี น 10. โรคภูมิคุ้มกนั บกพร่อง ติดตอ่ ไดท้ างใดบ้าง 1 เพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชือไวรัส HIV 2 ทางเลือด เช่น การใชเ้ ข็มฉีดยาท่ปี นเป้อื นเชือ HIV 3 การติดเชอื จากมารดาระหวา่ งคลอด 4 การรับบริจาคเลอื ดจากผู้ท่ีมีเชอื แบคทเี รยี ก. ขอ้ 1 และ 2 ข. ขอ้ 1 และ 3 ค. ข้อ 1 2 และ 3 ง. ข้อ 1 2 3 และ 4
เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น 1. ตอบ = 2 2. ตอบ = 2 3. ตอบ = 3 4. ตอบ = 1 5. ตอบ = 3 6. ตอบ = 1 7. ตอบ = 1 8. ตอบ = 1 9. ตอบ = 3 10. ตอบ = 3
ใบงานที่ 1 เรอ่ื ง การป้องกันและทาลายเชอื้ โรคและสิ่งแปลกปลอม คาชีแจง ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี 1. ภูมคิ ุ้มกนั หมายถึง………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. แอนติบอดี หมายถึง……………………………………………………………………………………..…………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. อวยั วะที่ทาหน้าที่ป้องกนั เชือโรคและสิ่งแปลกปลอมเข้าสรู่ ่างกาย คือ………………………………………………..……………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. เซลล์เมด็ เลอื ดขาวชนดิ ลมิ โฟไซด์ ต่อตา้ นเชือโรคดว้ ยวิธี………………………………………………………….………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………
เฉลยใบงานที่ 1 เรือ่ ง การป้องกันและทาลายเชื้อโรคและสงิ่ แปลกปลอม คาชแี จง ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามต่อไปนี 1. ภูมิคุ้มกัน หมายถึง กลไกในการป้องกนั เชอื โรคตา่ งๆ ที่จะเข้าสู่รา่ งกาย 2. แอนติบอดี หมายถงึ สารพวกโปรตีนหรือสง่ิ แปลกปลอมอ่ืนๆ สามารถสรา้ งภูมิคุ้มกันโรคในร่างกาย 3. อวัยวะท่ีทาหน้าท่ปี ้องกันเชอื โรคและสงิ่ แปลกปลอมเขา้ สู่รา่ งกาย คอื ผิวหนัง เซลล์เม็ดเลือดขาว ระบบนาเหลอื ง 4. เซลล์เมด็ เลือดขาวชนิดลิมโฟไซด์ ต่อต้านเชือโรคด้วยวิธี สรา้ งแอนติบอดีท่ีจะตอ่ ต้านโรคและส่ิงแปลกปลอมเฉพาะตอ่ เชือโรค และส่งิ แปลกปลอมแต่ละชนิด
ใบงานท่ี 2 ภูมคิ มุ้ กันของคน คาช้แี จง ให้นกั เรยี นเตมิ ข้อความลงในแผนผงั ความคิดใหส้ มบรู ณ์ ภมู ิค้มุ กนั ของคน
เฉลยใบงานท่ี 2 ภูมคิ ุ้มกันของคน คาช้ีแจง ให้นักเรยี นเติมข้อความลงในแผนผังความคิดใหส้ มบรู ณ์ ภมู คิ ้มุ กนั ของคน ภมู คิ ้มุ กนั กอ่ เอง ภมู คิ ้มุ กนั รับมา วคั ซนี ทอกซอยด์ เซรุ่ม จลุ นิ ทรีย์ทต่ี ายแล้ว จลุ นิ ทรีย์ทีม่ ชี วี ิต คอตีบ แก้พิษงู โรคไอกรน ไทฟอยด์ วณั โรค บาดทะยกั แก้พษิ สนุ ขั อหิวาตกโลก โปลโิ อ บ้า หดั หดั เยอรมนั คางทมู วคั ซีน
ใบความรู้เร่อื ง ภมู คิ มุ้ กนั ของร่างกาย การที่บคุ คลใดจะเกิดโรคขนึ จะต้องอาศัยปจั จัย 3 ประการ คือ ตวั เชือโรค บคุ คลและส่งิ แวดล้อม บางคน เจบ็ ป่วยไดง้ า่ ย แต่บางคนไม่คอ่ ยเจบ็ ปว่ ย ทงั ที่ๆมีเชอื โรคเข้าสรู่ า่ งกายอยูเ่ สมอ เนือ่ งจากร่างกายของคนเรามคี วาม ต้านทาน หรอื ภูมิคุ้มกนั โรคน่ันเอง ภมู คิ ้มุ กนั โรค (Immunity) หมายถึง ร่างกายมีความต้านทานเกดิ จากมกี ลไกป้องกันหรอื ต่อต้านโรคใดโรคหนงึ่ โดยเฉพาะ และภมู ิคุม้ กนั โรคนอ่ี าจจะเปน็ เพยี งชวั่ คราวหรอื ตลอดไปก็ได้ ภมู คิ มุ้ กันโรคโดยทวั่ ไปอาจแบง่ ออกเปน็ 2 ชนิด ดังนี 1. ภูมคิ ุ้มกนั โรคท่ีมอี ยตู่ ามธรรมชาติ (Natural Immunity) เปน็ ภมู ิคมุ้ กนั โรคที่ถา่ ยทอดมาทางสายเลอื ด โดยมารดาจะถา่ ยทอดผ่านทางรกมาสู่ทารกในครรภ์ ดงั นนั ทารกท่ีเกิดใหม่จะมีภมู คิ ุ้มกันโรคบางชนิด เช่น โรคคอตบี โรคหัด และไข้ทรพิษไดเ้ องตามธรรมชาติ แตภ่ ูมคิ ุม้ กนั โรคตามธรรมชาตเิ หล่านคี งอยู่ไดป้ ระมาณ 3 เดอื นหลงั คลอด ตอ่ จากนันทารกจะมีภูมคิ ุ้มกันโรคลดลง นอกจานีร่างกายของคนเราโดยท่ัวไปยังมีผวิ หนงั เย่ือเมือกต่างๆ เช่น เยื่อตาและเย่ือจมูก นาย่อยอาหาร และเม็ดเลือดขาวไว้สาหรบั คุ้มกนั โรคตามธรรมชาติอกี ดว้ ย ภมู ิคมุ้ กนั โรคตามธรรมชาติเหล่านี จะมีมากหรือนอ้ ยขึนอยู่ กับเชอื ชาติ เพศ อายุ และความสมบรณู ์ของบุคคลเหลา่ นนั ๆ 2. ภมู คิ มุ้ กันโรคท่ีเกดิ ขึนภายหลัง (Acquired Immunity) เปน็ ภมู ิคมุ้ กันโรคที่เกิดขึนหลังคลอดออกจาก ครรภม์ ารดาแล้ว ภูมคิ ุ้มกนั โรคชนิดนียังแบ่งออกได้เปน็ 2 ประเภทคือ 2.1 ประเภทท่เี กิดขนึ ภายหลงั จากหายปว่ ยด้วยโรคตา่ งๆ เชน่ ไขท้ รพิษ หดั อสี กุ อีใส คางทูม เป็นตน้ ภมู ิคุ้มกันโรคท่ีเกิดขึนนี อาจมีอยูร่ ะยะเวลาหนึ่งหรือมีอยู่ไดน้ านตลอดชวี ิตก็ได้ ทังนขี นึ อยู่กบั ชนดิ ของโรคและสภาพ ของบุคคลด้วย 2.2 ประเภททท่ี าใหเ้ กดิ ได้โดยการปลกู ฝี ฉดี วคั ซีนเซรุ่มและทอ็ กซอยด์ เพ่ือชว่ ยใหร้ า่ งกายมหี รอื สรา้ งคมุ้ กัน เฉพาะโรคใดโรคหน่งึ ขึนมา ภมู คิ ุ้มกันโรคชนิดนี อาจแบ่งออกตามลักษณะการเกดิ ขึนได้เปน็ 2 ชนดิ ดังนี
(1) ภูมิคุ้มกันก่อเอง (Active Immunization) หมายถงึ ภมู ิคมุ้ กนั โรคทเี่ กิดจากการฉดี ตัวเชือโรคหรอื ผลติ ผลของตัวเชือโรค ซ่งึ ได้ทาให้รุนแรงของตวั เชือหรือพิษเชอื ใหน้ ้อยลงเข้าไปในรา่ งกายของมนุษย์ เพ่ือกระตุ้นให้ ร่างกายสร้างภมู คิ ุ้มกันเฉพาะโรคนันขึนมาได้ การฉีดวคั ซีนป้องกนั โรคต่างๆ เช่น วคั ซีนป้องกันโรค โรคไอกรน โรค คอตีบ โรคอหิวาตกโรค ไขร้ ากสาดน้อย เปน็ ต้น (2) ภมู คิ ุ้มกนั รบั มา (Passive Immunization) หมายถึง ภูมคิ มุ้ กนั โรคท่ีเกดิ จากการฉีดผลิตผลของเลือด สตั ว์หรือมนุษย์ ทท่ี ราบว่ามีภูมคิ ุ้มกนั โรคนนั เขา้ ไปในรา่ งกาย ทาให้ร่างกายมีภูมิคมุ้ กันโรคทนั ทตี ่างจากประเภทแรกซ่งึ ร่างกายจะตอ้ งค่อยๆ สรา้ งภมู ิค้มุ กนั โรคขึนมาเอง การสร้างภูมคิ ้มุ กันโรคชนดิ นี ไดแ้ ก่ การให้เซรุ่มป้องกันโรคตา่ งๆ เช่น โรคพษิ งู โรคพิษสุนขั บ้า บาดทะยัก คอตีบ เป็นต้น ซรี ัม (Serum) หมายถงึ สว่ นผสมของนาเหลืองของสัตวโ์ ดยการฉดี เชอื โรคเขา้ ไปในสตั ว์ทลี ะน้อยๆ จนกระท่ัง สตั ว์นันสามารถสรา้ งความตา้ นโรคขึนในเลือดไดเ้ พยี งพอ จงึ เอานาเหลอื งจากเลือดของสัตวม์ าทาใหเ้ ป็นนายาฉีดเขา้ ไป ในคนเพื่อป้องกนั หรือรักษาโรคนนั ๆได้ โดยในนาเหลืองของสัตวจ์ ะมีสารตา้ นทานโรค เรยี กว่า แอนติท็อกซิน (Antitoxin) วคั ซนี (Vaccine) หมายถงึ สารที่ได้จากการทาให้เชอื โรคตายหรอื หมดฤทธ์ิ เม่อื ฉีดเขา้ รา่ งกายจะไม่ทาให้เกิด โรค แตส่ ามารถกระตนุ้ ให้รา่ งกายสรา้ งภูมิคุ้มกันโรคได้ การใช้วัคซนี นี เรยี กวา่ การสรา้ งภมู ิคมุ้ กันโรคโดยตรง (ภมู คิ ุ้มกนั ก่อเอง) เพราะเมื่อให้วคั ซีนแล้วร่างกายค่อยๆสนองตอบและสร้างภูมิคุ้มกนั โรคขนึ มาต้านทานโรคนนั ๆ วคั ซนี ปอ้ งกันโรคต่างๆที่มีใช้กนั อยูใ่ นปจั จุบนั ทงั โรคตดิ เชือเกดิ จากเชือบัคเตรีและเชอื ไวรสั ดงั ต่อไปนีคอื
แบบฝึกเสรมิ ประสบการณ์ เรื่อง ภมู คิ มุ้ กนั ของร่างกาย 1. ระบบภมู ิค้มุ กันคืออะไร 2. ระบบภูมิคุม้ กนั แบ่งออกเปน็ กี่ชนิด 3. กรดแลคติกทีร่ า่ งกายขับออกมามปี ระโยชน์อยา่ งไร 4. ลมิ โฟไซต์ทมี่ จี านวนมากในรา่ งกายคือชนิดใด 5. เด็กแรกเกิด- 1 เดือนควรรับวคั ซีนชนดิ ใด 6. การฉีดวคี ซนี ป้องกันหัด หดั เยอรมนั คางทมู ควรฉีดในช่วงอายเุ ทา่ ใด 7. ภมู ิคุ้มกนั แบง่ ออกเปน็ กชี่ นิดอะไรบา้ ง 8. วคั ซนี คืออะไร 9. ทอกซอยด์คอื อะไร 10. ซรี ัม มวี ธิ ีการใชอ้ ย่างไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ เฉลยแบบฝกึ เสรมิ ประสบการณ์ เรอ่ื ง ภมู ิคุ้มกนั ของรา่ งกาย 1. ตอบ ร่างกายมีวิธีป้องกันและกาจดั ออกมา 2. ตอบ 2 ชนิด 3. ตอบ ฆ่าเชือโรค 4. ตอบ ชนิด ที 5. ตอบ วัณโรค 6. ตอบ 15 เดอื น 7. ตอบ 2 ชนดิ 8. ตอบ เชื้อโรคที่ถกู ทาให้ออ่ นกาลงั ลงแล้วนามากระตุ้นใหร้ า่ งกายสร้างแอนติบอดี 9. ตอบ วคั ซีนทีเ่ อาสารพิษออกหมด 10. ตอบ การเอามาฉดี ใหผ้ ้ปู ว่ ยเป็นการทาให้ร่างกายรบั ภูมิคมุ้ กนั มาโดยตรง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลงั เรยี น เร่ือง ภูมิค้มุ กันของร่างกาย คาชี้แจง ให้นกั เรียนเขียนขอ้ ที่ถูกลงในกระดาษคาตอบ ทคี่ รูแจกให้ 1. สารในกระแสดเลือดท่ีทาหน้าท่ปี ้องกัน หรอื กาจดั สงิ่ แปลกปลอมที่เปน็ ตัวการทาให้เกดิ โรค คอื ก. Vaccines ข. Immunity ค. antibody ง. Antitoxin 2. ภมู คิ ้มุ กนั รบั มา หมายถึง ก. ภูมิคุ้มกันโรคซึง่ มมี าแตก่ าเนิด ข. ภมู คิ มุ้ กนั โรคซึง่ มีเฉพาะเชือโรค ค. ภูมคิ ้มุ กันโรคที่สตั วส์ ร้างขึนเพอ่ื ป้องกันการรุกรานของเชือโรค ง. ภูมคิ มุ้ กันโรคซ่ึงสรา้ งขึนครังแรกจากสตั ว์อนื่ หรือคนอ่ืน 3. ภูมคิ มุ้ กนั ก่อเอง จะถูกสรา้ งขนึ มากจาก ก. มนษุ ยด์ ้วยกัน ค. เซลลข์ องคนใดคนหนง่ึ ข. สตั วท์ ดลองบางชนดิ ง. การเคยเปน็ โรคชนิดนนั มาก่อน 4. สารพษิ ซ่ึงเชอื โรคปล่อยออกสกู่ ระแสโลหติ เรยี กวา่ ก. toxin ข. Toxoid ค. antibody ง. Antitoxin 5. สารใดต่อไปนีจะถูกใชบ้ อ่ ย ๆในการใหภ้ ูมิคุ้มกนั แบบ passive immunity ก. ซรี ัม ข. วัคซีน ค. ทอกซอยด์ ง. Antitoxin 6. สารในขอ้ ใดต่อไปนมี คี ุณสมบัตเิ ปน็ แอนติเจน ก. วัคซนี ข. Toxin ค. Toxoid ง. ถูกหมดทกุ ข้อ 7. สารในข้อใดต่อไปนีท่ชี ว่ ยให้รา่ งกายมีภูมิคมุ้ กันโรคได้รวดเรว็ ท่สี ดุ ก. วัคซีน ข. Toxin ค. Toxoid ง. ซรี มั 8. วคั ซีนปอ้ งกันโรคหัดเยอรมัน และคางทมู ใช้ฉีดให้แก่เด็กทม่ี ีอายุตงั แต่ ก. 2-6 เดอื น ข. 10 เดือน ขึนไป ค. 15 เดือนขนึ ไป ง.1-6 ปเี หมาะสมทส่ี ุด 9. เด็กแรกเกดิ - 1 เดือน จะมีการสร้างภมู ิคุ้มกนั โดยการฉีดวัคซนี ปอ้ งกนั โรคใด ก. BCG - วณั โรค ค. OPV – โปลโิ อ ข. BCG – โปลิโอ ง. DTP - คอตีบ บาดทะยกั ไอกรน 10. เราจะแยกซีรมั ออกจากเลอื ดได้โดย ก. แยกเอาเม็ดเลือดออก ค. แยกเอาโปรตนี ทีล่ ะลายในเลอื ดออก ข. กรองเอาส่วนของเลือดท่ีแขง็ ตัวออก ง. แยกอาส่วนทเ่ี ป็นเม็ดเลอื ดและไฟบริโนเจนออก ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เฉลย 1) ค. 2) ง. 3) ง. 4) ค. 5) ข. 6) ง. 7) ก. 8) ก. 9) ก. 10) ง. -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Search