Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 2 สารบริสุทธิ์

หน่วยที่ 2 สารบริสุทธิ์

Description: หน่วยที่ 2 สารบริสุทธิ์

Search

Read the Text Version

2หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ องคป์ ระกอบของหนว่ ย บทที่ 1 สมบัติของสารบริสทุ ธ์ิ ● จดุ เดือดและจุดหลอมเหลว ● ความหนาแน่น บทท่ี 2 การจาแนกและองค์ประกอบของสารบริสทุ ธ์ิ ● การจาแนกสารบรสิ ุทธิ์ ● โครงสรา้ งอะตอม ● การจาแนกธาตแุ ละการใชป้ ระโยชน์

บทที่ 1 สมบัตขิ องสารบรสิ ทุ ธ์ิ สารบริสุทธ์ิ มเี น้ือสารเพียงชนิดเดียว จึงมีสมบัติคงที่ ทั้งจุดหลอมเหลว จุดเดือด ความ หนาแน่น สารผสมประกอบด้วยสารต้ังแต่ 2ชนิดข้ึนไปมาผสมกัน โดยมีสัดส่วนท่ีไม่คงท่ี ดังนั้น สมบัติของสารผสมเก่ียวกับจุดหลอมเหลว จุดเดือด ความหนาแน่น จึงไม่คงที่เปล่ียนแปลงตาม ชนิดของสารและสัดส่วนของสารที่ผสมกัน สามารถตรวจสอบสมบัติของสารเพื่อระบุได้ว่าเป็น สารบริสุทธห์ิ รอื สารผสม เรอ่ื งท่ี 1 จดุ เดอื ดและจดุ หลอมเหลว จดุ เดอื ด จุดเดือด (boiling point) คือ อุณหภูมิที่สารเปล่ียนสถานะจากของเหลวกลายเป็นไอ จุดเดือดของสารแต่ละชนิดจะขึ้นอยู่กับแรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลของสาร ถ้าแรงยึดเหนี่ยว ระหว่างโมเลกุลสูง จุดเดือดก็จะสูงตามไปด้วย หากเพิ่มอุณหภูมิหรือความร้อนให้กับสารใน สถานะของเหลวชนดิ หนึง่ พลังงานภายในโมเลกุลของสารนนั้ จะเพม่ิ ขึ้นเรอ่ื ย ๆ จนสามารถเอาชนะ แรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลของของเหลว โมเลกุลของของเหลวบางส่วนจึงเปล่ียนสถานะ กลายเป็นไอ และจะกลายเป็นไอมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อความ ดันไอของสารมีค่าสูงเท่ากับความดันบรรยากาศ สาร ทงั้ หมดจะเข้าสู่สมดุลของการกลายเป็นไออุณหภูมิที่เกิด ปรากฏการณด์ งั กลา่ วจะเรียกว่า จุดเดือด

จุดหลอมเหลว จุดหลอมเหลว (melting point) คืออุณหภูมิท่ีสารเปลี่ยนสถานะจากของแข็ง กลายเปน็ ของเหลว เมอื่ ของแขง็ ไดร้ ับความร้อนโมเลกุลของสารจะได้รับพลังงานเพ่ิมขึ้น ทาให้ แต่ละโมเลกุลมพี ลงั งานในตัวเองสูงขึ้นจนถึงระดับท่ีสามารถเอาชนะแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล ทาให้โมเลกุลสามารถเคลื่อนที่ได้เป็นอิสระเพิ่มข้ึน จึงเปล่ียนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว อณุ หภูมิทีข่ องแขง็ เปล่ียนเปน็ ของเหลวเรยี กวา่ จุดหลอมเหลว ภาพ การหาจดุ หลอมเหลว ทม่ี า : shorturl.asia/z6TuI

กิจกรรมท่ี 2.1 จดุ เดือดของสารบรสิ ุทธ์ิและสารผสมเปน็ อย่างไร จุดประสงค์ 1. วัดอุณหภูมิและเขียนกราฟการเปล่ียนแปลงอุณหภูมิของน้ากล่ัน และสารละลายโซเดยี มคลอไรดเ์ มื่อไดร้ บั ความร้อน 2. ตีความหมายข้อมูลจากกราฟเพ่ือเปรียบเทียบจุดเดือดของน้า กราดและสารละลายโซเดยี มคลอไรด์ วสั ดุและอปุ กรณ์ 1. สารละลายโซเดยี มคลอไรดห์ รอื น้าเกลอื 2. น้ากลนั่ 3. เทอมองมิเตอรส์ เกล 0-100 องศาเซลเซียส 4. บีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาสเซนตเิ มตร 5. ชดุ ตะเกียงแอลกอฮอล์ 6. ขาตงั้ พร้อมที่จบั หลอดทดลอง 7. แท่งแก้วคน 8. นาฬกิ าจบั เวลา 9. ไฟแชก็

วธิ กี ารดาเนนิ กจิ กรรม 1. เติมนา้ กลน่ั ปริมาตร 50 ลกู บาตรเซนตเิ มตรลงในบีกเกอร์ 2. จัดอปุ กรณ์เพ่อื วัดอุณหภูมิของน้ากลัน่ เมื่อให้ความร้อนดงั ภาพ โดยระวังกระเปาะของเทอมอมเิ ตอรไ์ ม่ให้สมั ผัสกับบีกเกอร์ 3. ใช้แท่งแก้วคนนา้ กล่ันในบกี เกอรข์ ณะ ภาพการจัดเตรยี มอปุ กรณ์ ใหค้ วามรอ้ นสงั เกตการเปลยี่ นแปลง วัดอณุ หภูมขิ องน้าทกุ ๆ 30 วินาที จนกระทงั่ น้าเดอื ดและวัดอุณหภมู ิ ตอ่ ไปอกี 2 นาที พร้อมบันทกึ ลงใน ตารางทอี่ อกแบบไว้ 4. ทาเชน่ เดยี วกับข้อ 3 โดยใช้ สารละลายโซเดียมคลอไรด์แทนนา้ กลัน่ ในปรมิ าณทเ่ี ท่ากัน 5. นาข้อมูลท่ีไดจ้ ากตารางบนั ทึกผลมา เขียนกราฟความสัมพันธร์ ะหวา่ ง อณุ หภมู กิ ับเวลา

กิจกรรมที่ 2.2 จุดหลอมเหลวของสารบริสุทธิ์และสารผสมเปน็ อย่างไร จุดประสงค์ วิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศ เพ่ือเปรียบเทียบช่วงอุณหภูมิที่ หลอมเหลวและจุดหลอมเหลวของแนฟทาลีนและกรดเบนโซอิก ในแนฟทาลีน วธิ กี ารดาเนินกจิ กรรม 1. สงั เกตชว่ งอณุ หภูมิท่ลี ม้ เหลวของแนวทาลนี และสารผสมระหว่าง กรดเบนโซอกิ ในแนฟทาลนี ท่มี อี ัตราส่วนตา่ งๆจากตาราง 2. หาจดุ หลอมเหลวของแนฟทาลนี และสารผสมระหว่างกรดเบนโซอิก ในแนฟทาลีนทมี่ ีอาจตัดสว่ นตา่ ง ๆ จากตาราง 3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างช่วงอุณหภูมิที่ล้มเหลวของแนฟทาลนี และสารผสมระหว่างกรดเบนโซอกิ ในแนฟทาลีนทม่ี อี ัตราสว่ นต่าง ๆ 4. อภิปรายเพื่อลงขอ้ สรปุ เกย่ี วกับจดุ หลอมเหลวของแนฟทาลีนและสาร ผสมระหวา่ งกรดเบนโซอกิ ในแนฟทาลนี ที่มีอตั ราสว่ นต่าง ๆ

ตาราง ช่วงอณุ หภมู ิท่ีหลอมเหลวของแนฟทาลีน ครัง้ ท่ี อณุ หภูมขิ องแนฟทาลนี ( 0c ) 1 78.5-79.0 2 78.0-78.5 3 78.5-79.0 ตาราง ช่วงอุณหภมู ทิ หี่ ลอมเหลวของกรดเบนโซอิกในแนฟทาลีนท่มี ีอัตราส่วนตา่ งกนั สาร อัตราส่วน ชว่ งอณุ หภมู ทิ ีห่ ลอมเหลว(0c ) 1. กรดเบนโซอิกในแนฟทาลนี 0.1 : 2 73.0-76.5 2. กรดเบนโซอิกในแนฟทาลีน 0.2 : 2 67.0-71.5 3. กรดเบนโซอกิ ในแนฟทาลนี 0.4 : 2 64.5-69.5

เรื่องที่ 2 ความหนาแน่น ความหนาแน่น ความหนาแน่น เป็นตัวบ่งชี้ว่า สาร 1 หน่วยปริมาตร มีมวลอยู่เท่าใดในปริมาณที่เท่ากัน สารที่มีความหนาแน่นมากจะมีมวลมากกว่าสารที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า ดังนั้น ค่าความ หนาแน่นของสารแต่ละชนิดจึงเป็นสมบัติเฉพาะตัวและคงท่ีโดยความหนาแน่นมีหน่วยเป็นกรัมต่อ ลกู บาเซนตเิ มตร หรอื กิโลกรัมต่อลกู บาศกเ์ มตร ความหนาแน่นของสารเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมวลของสารใน 1 หน่วยปริมาตรของ สารนนั้ ซ่ึงสามารถเขยี นความสมั พันธ์ได้ดงั น้ี ความหนาแน่นของสาร = มวล (g) หรอื ปรมิ าตร(cm3) ความหนาแน่นของสาร = มวล (kg) ปริมาตร(m3)

กจิ กรรมที่ 2.3 ความหนาแนน่ ของสารบริสุทธิ์และสารผสมเป็นอย่างไร จดุ ประสงค์ 1. หน้าเลยนะวดั มวลและปริมาตรเพอื่ คานวณหา ความหนาแน่นของสารบริสุทธิแ์ ละสารพระสงฆ์ 2. วิเคราะห์และเปรียบเทยี บความหนาแน่นของ สารบริสุทธิแ์ ละสารผสม วสั ดุและอปุ กรณ์ 1. เหลก็ 2 กอ้ นทมี่ มี วลต่างกัน 2. ทองแดง 2 ก้อน 3. สารละลายโซเดยี มคลอไรด์ความเขม้ ขน้ ตา่ งกนั 2 ชดุ 4. สารละลายนา้ ตาลทรายความเขม้ ข้นต่างกนั 2 ชดุ 5. เชอื กหรือด้าย 6. กระบอกตวงขนาด 50 ลกู บาศก์เซนติเมตร 7. บีกเกอร์ขนาด 100 ลกู บาศก์เซนติเมตร 8. แกว้ นา้ 9. ถงั ใสน่ ้า 10. เครือ่ งช่ัง 11. ถ้วยยเู รกา

วิธกี ารดาเนนิ กจิ กรรม ตอนท่ี 1 ความหนาแนน่ ของสารบริสุทธิ์ 1. ชงั่ มวลของเหล็ก กอ้ นท่ี 1 และ 2 บันทกึ ผล 2. ชงั่ มวลของทองแดง ก้อนที่ 1 และ 2 บนั ทกึ ผล 3. หาปรมิ าตรของก้อนเล็กก่อนท่ี 1 และกอ้ นท่ี 2 ก้อนทองแดงกอ้ นท1่ี และก้อนท่ี 2 โดยใชถ้ ว้ ย ยรู ีกา 4. คานวณความหนาแนน่ ของเหลก็ ทงั้ 2 ก้อน และทองแดงทั้ง 2 ก้อนบันทึกผล วธิ กี ารดาเนินกิจกรรม ตอนที่ 2 ความหนาแนน่ ของสารผสม 1. ชงั่ มวลของสารละลายโซเดียมคลอไรด์ ชุดท่ี 1 และ 2 บนั ทึกผล 2. ชงั่ มวลของสารละลายนา้ ตาลทราย ชุดท่ี 1 และ 2 บนั ทึกผล 3. วดั ปริมาณสารละลายโซเดยี มคลอรา้ ยชุดทีห่ น่งึ และชดุ ทสี่ องสาวละลายน้าตาลทรายชดุ ทห่ี น่งึ และชุดที่สองโดยใช้กระบอกตวงบนั ทกึ ผล 4. คานวณความหนาแนน่ ของสารละลายโซเดยี มคลอไรด์ทงั้ สองชุดและสารละลายนา้ ตาลทราย ท้ังสองชดุ บันทึกผล

บทท่ี 2 การจาแนกและองคป์ ระกอบของสารบริสุทธ์ิ ภาพเพชรและแกรไฟต์ เร่ืองท่ี 1 การจาแนกสารบรสิ ุทธ์ิ สารบริสุทธิ์มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวและความหนาแน่นคงท่ี ซึ่งเป็นสมบัติ เฉพาะตัวของสารบริสุทธิ์แต่ละชนดิ รอบตวั เรามีสารบริสทุ ธิ์อยหู่ ลายชนิด เช่น เอทานอล ผงตะใบเหลก็ ทองแดง ไอนา้ นา้ ตาลทราย เกลอื

ธาตุ สารบริสุทธิ์ สารประกอบ ธาต(ุ element) สารประกอบ สารบริสุทธ์ิท่ีไม่สามารถแยก (compound) ใหส้ ารใหม่โดยวิธีทางเคมีได้ เพราะมี องค์ประกอบเพยี งชนดิ เดียว เรียกว่า สารบริสุทธ์ิที่สามารถ ธาตุ ยกตัวอย่าง เช่น ออกซิเจน แยกสลาย เป็นองค์ประกอบมากกว่า ไฮโดรเจน ห น่ึ ง ช นิ ด เ รี ย ก ว่ า ส า ร ป ร ะ ก อ บ compound

กิจกรรมที่ 2.4 สารบรสิ ุทธ์มิ ีองค์ประกอบอะไรบา้ ง จดุ ประสงค์ แยกนา้ ดว้ ยไฟฟ้าและอธิบายผลทไ่ี ด้จากการแยกนา้ ด้วยไฟฟ้า วสั ดแุ ละอุปกรณ์ 1. สารละลายกรดซัลฟิวรกิ เจือจาง 2. น้า 3. แบตเตอรขี่ นาด 9 V 4. ไฟแช็ก 5. ธปู 6. เคร่อื งแยกนา้ ด้วยไฟฟา้ 7. สายไฟพร้อมคลิปปากจระเข้ ข้อควรระวัง ● ควรใชไ้ ฟแชก็ ดว้ ยความระมัดระวงั อยา่ ให้เปลวไฟเข้าใกล้สิ่งที่อาจเป็น เชือ้ เพลิงเช่นเส้นผมเส้ือผ้ากระดาษ ● ทดสอบสารท่เี กบ็ ได้ในหลอดทดลองทง้ั สองดว้ ยความระมดั ระวงั เนือ่ งจาก สารเหลา่ นน้ั อาจทาใหเ้ กดิ เสียงหรือเกิดเปลวไฟ

วิธกี ารดาเนนิ กจิ กรรม 1. ใส่น้าในถ้วยพลาสติกของเครื่องแยกน้าด้วย ไฟฟ้าจนเกือบเต็ม เติมสารละลายกรดซลั ฟวิ ริก เจือจางประมาณ 6-10 ลูกบาศก์เซนติเมตร เพ่ือช่วยให้น้านาไฟฟ้าได้ดีข้ึน แล้วปิดฝาครอบ ทีม่ หี ลอดแก้วและข้ัวไฟฟ้า 2. ชายปลายน้ิวปิดรรู้ ะบายอากาศท่ีฝาครอบแล้วคว่าถว้ ยพลาสติก เพ่ือใหน้ า้ เขา้ ในหลอดแก้วจนเต็มแลว้ หงายถ้วยพลาสติกข้นึ โดยไม่มีฟองอากาศในหลอด

วิธกี ารดาเนินกจิ กรรม 3. ต่อสายไฟจากแบตเตอรี่ขนาด 9 โวลต์ เข้า กั บ เ ค รื่ อ ง แ ย ก น้ า ด้ ว ย ไ ฟ ฟ้ า ใ ห้ ค ร บ ว ง จ ร สังเกตการณ์เปล่ียนแปลงในหลอดแก้วท้ังสอง บันทกึ ผล 4. เมื่อระดับน้าในหลอดใดหลอดหน่ึง 5. ระมัดระวังให้ปากหลอดยังคว่าอยู่ใต้น้า ลดลงเกอื บหมด หล่อนถอดสายไฟออก ตลอดเวลา จนกว่าจะทดสอบสารท่ีอยู่ใน ทาเคร่อื งหมายแสดงระดบั น้าทเ่ี หลืออยู่ หลอดค่อย ๆ ดันหลอดและจุกยางออก ในแต่ละหลอดและแสดงว่าแต่ละหลอด ด้านลา่ งของฝาครอบ เกบ็ ขัว้ ไฟฟา้ มาจากขัว้ ใด

วธิ กี ารดาเนนิ กิจกรรม 6. ทดสอบสารในหลอดจากข้ัวหัว โดยใช้ปลาย น้ิวช้ีปิดปากหลอดให้แน่นต้ังแต่ปากหลอด ยัง อย่ใู ตน้ า้ หงายขึ้นโดยยังไม่เปิดปากหลอดแล้วใช้ ธูปท่ีลุกเป็นเปลวไฟจ่อลงในปากหลอดทันทีท่ี ปลายนิ้วขยับเปิดปากหลอด สังเกตการณ์ เปล่ยี นแปลง บันทกึ ผล 7. ทดสอบสารในหลอดจากข้ัวลบ โดยวิธี เดียวกันกับข้อ 6 สังเกตการณ์เปล่ียนแปลง บนั ทกึ ผล 5. ทาซ้า ตั้งแต่ข้อ 1-5 แล้วทดสอบสาร ในหลอดจากขั้วบวกและข้ัวลบทีละหลอด โดยใช้ธูปท่ีเป็นถ่านแดงจ่อลงไปในหลอด ทันทีท่ีปลายน้ิวขยับเปิดปากหลอด สังเกต การ์ เปลย่ี นแปลง บนั ทึกผล

เรอ่ื งที่ 2 โครงสรา้ งอะตอม 1. การพฒั นาแบบจาลองอะตอม อะตอม (atom) เป็นอนุภาคท่ีเล็กที่สุดของธาตุนักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกดิโมคริตุส (Democritus) และลวิ ซิปปสุ (Leucippus) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับอะตอมว่า“ เมื่อแบ่งสารให้ มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จนไม่สามารถแบ่งย่อยให้เล็กต่อไปได้อีกจะได้หน่วยท่ีเล็กที่สุดเรียกว่า อะตอม” ต่อมาได้มีนักวทิ ยาศาสตร์เสนอแบบจาลองอะตอมและพฒั นาแบบจาลองอะตอมจนถึง ปจั จบุ ันรวม 5 แบบดงั น้ี แบบท่ี 1 ไ ด้ จ า ก ก า ร ร ว บ ร ว ม แ น ว คิ ด ข อ ง นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น บอกแต่ลักษณะ ไม่บอกอนุภาค แบบจาลองอะตอม ของดอลตัน

แบบท่ี 2 แบบจาลองอะตอม ของ ทอมสัน ได้จากการทดลองการนาไฟฟ้าของแก๊ส ในหลอดรังสีแคโทดเสนอว่าอะตอมมีลักษณะ เป็นทรงกลมประกอบด้วยเนื้ออะตอมซึ่งมีประจุ บ ว ก แ ล ะ มี อิ เ ล็ ก ต ร อ น ซึ่ ง มี ป ร ะ จุ ล บ จ า น ว น เ ท่ า กั บ ป ร ะ จุ บ ว ก ก ร ะ จ า ย อ ยู่ ท่ั ว ไ ป อ ย่ า ง ส ม่ า เ ส ม อ ภ า ย ใ น อ ะ ต อ ม ลั ก ษ ณ ะ ค ล้ า ย แบบจาลองขนมปังลูกเกด (plum pudding model) อะตอมจงึ มีสภาพเปน็ กลางทางไฟฟ้า แบบท่ี 3 แบบจาลองอะตอมของ ได้จากการยิงอนุภาคแอลฟาไปยัง รัทเทอรฟ์ อร์ด แผ่นทองคาเปลวที่ล้อมรอบด้วยฉากเรือง แสงเสนอว่าอะตอมประกอบด้วยนิวเคลียสท่ี มีขนาดเล็กมากอยู่ภายในและมีประจุบวกมี อิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่รอบนิวเคลียสเป็น บริเวณกว้างบริเวณของอะตอมส่วนใหญ่ เปน็ ที่วา่ ง

แบบท่ี 4 แบบจาลองอะตอม ของ โบร์ ได้จากการศึกษาการเกิดสเปกตรัม ของแก๊สไฮโดรเจน เสนอว่าอิเล็กตรอนท่ีอยู่ รอบนิวเคลียสจะอยู่เป็นช้ัน ๆ เรียกว่า ระดับ พลังงาน อิเล็กตรอนที่อยู่ในระดับพลังงานวง ในสุดจะมีพลังงานต่าสุด อิเล็กตรอนระดับ พลังงานชั้นนอกสุดจะมีพลังงานมากท่ีสุด เรียกอิเล็กตรอนวงน้ีว่า เวเลนซ์อิเล็กตรอน ปัจจุบันจัดระดับพลังงานของอิเล็กตรอน ออกเป็น 7 ระดับพลังงานคือ K, L, M, N, O, P และ 0 แบบท่ี 5 แบบจาลองอะตอม ไ ด้ จ า ก ก า ร ค้ น ค ว้ า แ ล ะ ใ ช้ ท ฤ ษ ฎี กลุ่มหมอก (ปจั จบุ นั ) ควอนตัมคานวณหาความน่าจะเป็นที่จะพบ อิเล็กตรอนในระดับพลังงานต่าง ๆ สร้าง มโนภาพได้ว่า อะตอมประกอบด้วยกลุ่ม หมอกของอิเล็กตรอนรอบนวิ เคลียส บริเวณ ที่มีกลุ่มหมอกหนาทึบ คือ บริเวณที่มีความ นา่ จะเปน็ ท่ีจะพบอเิ ลก็ ตรอนมากท่สี ุด

2. อนุภาคมูลฐานของอะตอม อนุภาคมลู ฐานของอะตอม (fundamental particle of atom) หมายถึง อนุภาค ท่อี ะตอมของทกุ ธาตุตอ้ งมีเปน็ องค์ประกอบ ได้แก่ โปรตอน นวิ ตรอน และอิเล็กตรอน ภาพ อะตอมประกอบด้วยอนภุ าคมูลฐาน 3 ชนิด คอื โปรตอน นวิ ตรอน และอิเลก็ ตรอน โปรตอน (proton) อยู่ในนิวเคลียสมปี ระจุบวกและเป็นจานวนเฉพาะของแต่ละธาตุ ถา้ จานวนโปรตอนเปลย่ี นจะกลายเป็นธาตุใหมซ่ ึง่ มสี มบตั ติ ่างจากธาตุเดิม อิเล็กตรอน (electron) เคลื่อนท่ีอยู่รอบนิวเคลียสเป็นช้ัน ๆ มีประจุลบและมี จานวนอนุภาคเท่ากับโปรตอนจานวนอิเล็กตรอนของธาตุอาจเปลี่ยนแปลงได้ทาให้อะตอม เปลยี่ นไปเป็นไอออนบวกหรอื ไอออนลบ แต่ธาตุยงั คงเป็นธาตุเดมิ นิวตรอน (neutron) อยู่ในนิวเคลียสค่ันระหว่างอนุภาคโปรตอนไม่มีประจุหรือเป็น กลางทางไฟฟา้

ตาราง อนุภาคมูลฐานของอะตอม สญั ลักษณ์นิวเคลียร์ คือ เปน็ สญั ลักษณท์ ่เี ขียนแทนชือ่ ธาตุพร้อมทง้ั แสดงชื่อมวลและเลขอะตอมของธาตุ เลขมวล คือ ผลรวมของจานวนโปรตอนกับนวิ ตรอนในนิวเคลยี สของธาตุ เลขอะตอม คือตัวเลขท่ีแสดงจานวนโปรตอนในนิวเคลียส อะตอมที่เป็นกลางทาง ไฟฟ้าจะมีจานวนโปรตอนเท่ากับจานวนอิเล็กตรอนที่เคลื่อนท่ีอยู่รอบ ๆ นิวเคลยี ส

สญั ลกั ษณน์ วิ เคลียรแ์ สดงถงึ ขอ้ มูลของอนภุ าคมลู ฐานของอะตอมได้ ดงั น้ี 11 โปรตอน กับ 12 นิวตรอน อยู่รวมกัน ต ร ง ก ล า ง เ ป็ น นิวเคลียส และ 11 อิเล็กตรอน เคลื่อนท่ี อยรู่ อบ ๆนิวเคลยี ส

3. การเกิดไอออน 3.1 การเกิดไอออนบวก ไอออนบวกเกิดจากอะตอมเสียอิเล็กตรอนให้กับสารอ่ืนทาให้มีจานวน โปรตอนมากกว่าจานวนอิเล็กตรอนจึงเปล่ียนไปเป็นไอออนบวกท่ีมีประจุบวก เทา่ กบั จานวนอเิ ล็กตรอนทีเ่ สียไป 3.2 การเกิดไอออนลบ ไ อ อ อ น ล บ เ กิ ด จ า ก อ ะ ต อ ม รั บ อิ เ ล็ ก ต ร อ น เ ข้ า ม า ท า ใ ห้ มี จ า น ว น อิเล็กตรอนมากกว่าจานวนโปรตอนจึงเปล่ียนไปเป็นไอออนลบที่มีประจุลบ เท่ากับจานวนอิเล็กตรอนทีร่ บั เขา้ มา

เรอ่ื งที่ 3 การจาแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธิ์ โลหะ อะลูมเิ นยี ม ▪ พน้ื ผวิ มันวาว ▪ นาไฟฟา้ และนาความรอ้ นได้ดี ▪ จดุ เดอื ดและจดุ หลอมเหลวสงู ▪ เหนยี ว ▪ สามารถตแี ผเ่ ป็นแผน่ หรอื ยดื เปน็ เสน้ ได้ อโลหะ ทองแดง ฟอสฟอรสั ▪ พืน้ ผิวไม่มันวาว ▪ ไม่นาไฟฟา้ และไม่นาความร้อน ▪ จุดเดือดและจุดหลอมเหลวตา่ ▪ เปราะ ทุบแลว้ แตก กามะถนั

เร่อื งที่ 3 การจาแนกและองค์ประกอบของสารบรสิ ทุ ธ์ิ กึ่งโลหะ ▪ มบี างสมบตั คิ ล้ายโลหะ บางสมบตั คิ ล้าย อโลหะ ▪ นาไฟฟา้ ไดด้ ขี นึ้ เมือ่ อุณหภูมสิ งู ข้ึน ซลิ ิคอน พลวง นอกจากการจาแนกธาตโุ ดยใช้สมบัติทางกายภาพเป็นเกณฑ์แล้ว ยังสามารถจาแนกธาตุ ได้โดยใชส้ มบัตกิ ารแผ่รังสเี ปน็ เกณฑไ์ ด้อกี ดว้ ย ธาตโุ ลหะ อโลหะ หรือกึ่งโลหะบางชนิดสามารถแผ่ รงั สไี ด้ ธาตเุ หล่านี้เรียกวา่ ธาตุกัมมันตรงั สี (radioactive element) ยูเรเนยี ม เรดอน พอโลเนยี ม การทีธ่ าตุแผ่รงั สอี อกมาอยา่ งตอ่ เน่อื ง เรียกวา่ กมั มันตภาพรงั สี (radioactivity)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook