การศกึ ษาความรู้ตามข้อกาหนดสาระเพอ่ื การเรียนรู้ ............................................................. สินทรพั ยท์ คี่ นรนุ่ ใหมต่ ้องมี ๑. ปณิธาน (Determination) คอื อุดมการณ์ เป้าหมาย ความคาดหวัง จุดมุ่งหมาย ที่เรากาหนดและ ตอ้ งการให้เกดิ ขึ้น มคี วามมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ งานพัฒนาคุณภาพ ด้วยความเตม็ ใจให้บริการ ปณิธานในการทางานท่ีจะนาไปใชป้ ฏบิ ัตติ น ในการบริหารสถานศึกษา มดี ังน้ี มคี วามกระตอื รือรน้ ใช้เวลา ให้เปน็ ประโยชนม์ ากทสี่ ดุ มีสายตากวา้ งไกล มคี วามออ่ นนอ้ มถอ่ มตน เป็นตวั อยา่ งทด่ี ี ใช้กฎระเบยี บอย่างมีเหตผุ ล ให้ความเคารพและให้เกยี รติผู้อ่นื อย่างเท่าเทียม เอาใจเขามาใสใ่ จเรา มีคณุ ธรรม มีความรบั ผิดชอบ ตง้ั ใจทางานอยา่ ง สดุ ความสามารถ และทาอย่างดีท่สี ุด ๒. สานึกโลก (Global Mindset) คอื ทัศนคตแิ บบสากล เป็นการมองภาพในมุมกวา้ ง ไมไ่ ดจ้ ากัดแค่เฉพาะ ความรู้ในประเทศ แตต่ ้องรใู้ หเ้ ท่าทนั โลกทพ่ี ฒั นาไปอยา่ งรวดเร็ว โดยพจิ ารณาข้อมูลจากหลากหลายแหลง่ แล้วนาไป คดิ วิเคราะห์ และสังเคราะห์ เพื่อใหเ้ ข้าใจความเป็นไปของโลก ซึง่ ทัศนคตแิ บบสากลน้ี ถอื เปน็ หนง่ึ ในทักษะท่ีสาคัญ และจาเปน็ อย่างยง่ิ โดยเฉพาะคนท่ีเปน็ ผ้นู า สานกึ ความยง่ั ยนื (Sustainability Mindset) หมายถึง ความสามารถในการดารงสภาพอยูไ่ ด้ตอ่ ไปยัง อนาคต ภายใตเ้ งือ่ นไขและข้อจากดั ตามวงจรการเปล่ยี นแปลงทั้งหลาย ทงั้ ภายในและภายนอก โดยมสี าม องค์ประกอบเปน็ เง่อื นไขทส่ี าคญั และจาเปน็ ซึ่งต่างเกิดข้ึนอยา่ งต่อเน่ือง สม่าเสมอ เกย่ี วโยง และวนเวยี นกันเป็นกลไก ควบผสมเรียกว่า วงจรความยง่ั ยนื เร่ือยไปเปน็ เวลายาวนาน ด้วยความขยันหมน่ั เพียร วิรยิ ะอุตสาหะ อดทนอดกลั้น ผา่ นกระบวนการประยุกตค์ ือ ปรับใชป้ ัจจยั ภายในและภายนอก ทต่ี า่ งไปให้ สัมฤทธ์ิผลผล ทง้ั รปู ธรรมและนามธรรม ในการปฏบิ ัติ ปฏิรปู และปฏิวตั ชิ วี ิต ความยงั่ ยืนยังเปน็ วตั ถุประสงค์โดยตรงของการบริหารความเสี่ยง การบรหิ ารการ เปลี่ยนแปลง จงึ ตอ้ งมีอยใู่ นทกุ สว่ นทุกกจิ กรรมขององค์กร ทง้ั คิดพูดทา ทง้ั ในวิสัยทัศน์ แผน เป้าหมาย กระบวนการ และผลงานผลิตภัณฑบ์ ริการ ต้องอยู่ในจิตสานึก ถึงจะรบั และปรับตวั ไดเ้ ร็วพอหรอื ทันเหตกุ ารณ์ ๓. ความสามารถด้านดจิ ิทัล (Digital Literacy) หมายถงึ ทกั ษะในการนาเคร่ืองมอื อปุ กรณ์ และเทคโนโลยี ดจิ ทิ ัล ทม่ี ีอยใู่ นปัจจุบัน อาทิ คอมพวิ เตอร์ โทรศพั ท์ แท็บเล็ต โปรแกรมคอมพิวเตอร์และสอ่ื ออนไลน์ มาใช้ให้เกิด ประโยชน์สงู สดุ ในการสอ่ื สาร การปฏบิ ตั ิงาน และการทางานรว่ มกัน หรือใชเ้ พอื่ พัฒนากระบวนการทางาน หรอื ระบบงานในองค์กรให้มีความทนั สมัยและมีประสทิ ธภิ าพ ความสามารถทางการเงิน (Financial Literacy) คือการตระหนัก ความรคู้ วามเขา้ ใจ ความเช่ียวชาญความ ชานาญ ทศั นคติ และพฤติกรรม ในลักษณะทีม่ ผี ลให้บคุ คลเกิดการตัดสนิ ใจทางการเงนิ ท่ดี ี ความสามารถทางการเงิน หมายถงึ ความรู้ ความเขา้ ใจแนวคดิ ทเี่ ก่ยี วกับการเงนิ ความเสี่ยงทางการเงนิ รวมถึงทักษะ แรงจงู ใจ และความเชอื่ ม่ันท่จี ะใชค้ วามรแู้ ละความเข้าใจเหล่านใ้ี นการตดั สนิ ใจท่ีมปี ระสิทธผิ ล ใน หลากหลายบรบิ ททางการเงิน เพ่ือปรบั ปรุงความอยูด่ มี สี ขุ ทางการเงนิ ของปัจเจกและสังคม และช่วยให้สามารถมีส่วน รว่ มในชวี ิตทางเศรษฐกจิ ความสามารถทางการเงนิ เปน็ พ้ืนฐานสาคญั ที่จาเป็นในการดารงชวี ติ ของประชาชน ผทู้ มี่ ีทักษะทางการเงนิ ดี จะมี ความรู้ความเข้าใจเกย่ี วกับผลิตภณั ฑ์ทางการเงนิ สามารถวางแผน และบรหิ ารจดั การเงนิ ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ
ท้ังในด้านการใช้จา่ ย การเก็บออม และการจดั การหน้สี นิ ซึง่ เป็นภูมิค้มุ กนั ทางการเงนิ สาคญั ท่ีจะช่วยเพ่ิมพูน ความมั่ง คั่งในการพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของตนเองและครอบครวั สามารถรบั มอื กบั ความท้าทายต่างๆ ไดอ้ ยา่ งมัน่ คง เช่น การ บรหิ ารจัดการหน้ีให้เหมาะกบั ความสามารถของตน และการเตรียมพร้อมสาหรบั เข้าสวู่ ยั เกษียณ ซ่งึ นาไปสู่ ความ เปน็ อยู่ท่ดี อี ยา่ งยงั่ ยืนของประชาชน และเสถยี รภาพทางเศรษฐกจิ ของประเทศตอ่ ไป ความสามารถทางสงั คม (Social Literacy)คือความสามารถของบุคคลในการปฏิบัติตนเพอื่ ให้สามารถอยู่ รว่ มกบั บคุ คลอื่น หรอื ทาส่ิงใดสิ่งหนึ่งร่วมกับบคุ คลอ่ืนตามวัตถปุ ระสงค์ที่กาหนดไว้ ภายใต้ระเบยี บกฎเกณฑ์ของสงั คม น้นั ๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม เป็นความสามารถในการรู้จกั เขา้ ใจ สรา้ งสรรคแ์ ละประสาน ความรู้สกึ ความตอ้ งการ ความสมั พนั ธ์ ตลอดจนแกป้ ญั หาและจัดการกบั การปฏสิ มั พันธข์ องบคุ คลทมี่ ีตอ่ กัน ทักษะทางสังคมประกอบดว้ ยกล่มุ ของทักษะต่างๆ ที่ใชใ้ นการปฏสิ ัมพนั ธ์และการสื่อสารระหว่างกันของบุคคลในสังคมได้แก่ ทักษะการสอื่ สาร การพูด การฟังและการทางานรว่ มกนั ความสามารถในการเข้าใจถึงสถานการณ์ท่ีหลากหลาย กฎกติกาตา่ ง ๆ ในสงั คม โดยมี วตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือสรา้ งความสัมพนั ธใ์ นทางบวกให้เกิดข้นึ ความสามารถทางสังคมเป็นทักษะหนงึ่ ทีส่ าคัญและจาเปน็ ทง้ั ในระดบั บุคคล ครอบครัว ชุมชนและสังคม เป็น ทักษะท่ีจาเป็นสาหรบั บุคคลทุกเพศ ทุกวัย เพอื่ ใช้ในการปฏสิ มั พนั ธ์ ติดต่อสอ่ื สาร และการอยรู่ ว่ มกันของบคุ คลใน สังคม บคุ คลที่มีทักษะทางสังคมดีจะสามารถอยรู่ ่วมกับบุคคลในครอบครวั ชมุ ชน และสงั คมได้อย่างมีความสขุ ทักษะ สังคมเปน็ ทกั ษะท่จี าเป็นตอ้ งได้รับการึกก ึนอย่างเป็นระบบเชน่ เดียวกับทกั ษะ อ่ืนๆ ๔. ทักษะคลอ่ งแคลว่ (Agility Skills) จาเป็นมากท่ีสุดในโลกยุคใหม่ท่ีมกี ารเปลี่ยนแปลงเรว็ แรง และมักมาแบบไมค่ าดหมาย เชน่ โควดิ ดงั นน้ั การ เจอปัญหาใหม่ๆแล้วสามารถ “ปรบั วิธคี ิด เปลี่ยนวธิ ีการทางาน เดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุดชะงกั ลดผลกระทบในทาง ลบท่ีเกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการสรา้ งโอกาสจากสถานการณใ์ หมท่ ม่ี าถึง” ความเช่ียวชาญเหล่านีเ้ รยี กวา่ ทักษะคลอ่ งแคล่ว ที่ต้องถกู ึกก ึนอยูต่ ลอดเวลาท้ังในสถานศกึ ษา และที่ทางาน ทักษะคน (Human Skills) การทางานเปน็ ทีม เพราะแนวโน้มอนาคตงานมักเปน็ โปรเจคข้ามึา่ ย ขา้ มแผนก ขา้ มประเทศ การทางานกับ คนท่ีมคี วามแตกต่างหลากหลายให้ประสบความสาเรจ็ จึงเป็นทกั ษะสาคญั ทกั ษะผูป้ ระกอบการ (Entrepreneurship Skills) รฐั บาลมนี โยบายในการส่งเสริมใหเ้ กิดผูป้ ระกอบการใหมเ่ พมิ่ ขึ้นท้ังในขนาดกลางและขนาดยอ่ ม เพื่อเป็น รากฐานสาคัญทางเศรษฐกิจ อนั จะนาไปส่กู ารพฒั นาด้านต่าง ๆ ของประเทศ โดยเรง่ รดั การดาเนินการท่ีเกี่ยวเนือ่ งทั้ง ในองค์กรภาครฐั และเอกชน เพ่อื ขบั เคลอ่ื นนโยบายให้เป็นรปู ธรรม อาทิ สตาร์ทอพั ไทยแลนด์ ซ่ึงเปน็ กิจกรรมท่ี สง่ เสริมใหผ้ ู้ประกอบการรายใหมไ่ ด้นาเสนอนวตั กรรมของผลิตภณั ฑท์ ่มี ีความนา่ สนใจและมคี วามเป็นไปได้ในการต่อ ยอดไปสเู่ ชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ ท้งั นี้คณะกรรมการนโยบายและพฒั นาการศึกษา หรอื ซปุ เปอร์บอร์ดการศึกษา ได้ให้ความสาคญั กบั การส่งเสรมิ ใหผ้ ้ทู ่ีจบอาชีวศกึ ษามอี งคค์ วามรู้ ดา้ นธรุ กจิ สามารถออกไปเปน็ ผปู้ ระกอบการทีต่ งั้ ตัว ไดโ้ ดยไม่จาเปน็ ต้องเขา้ สู่ภาคแรงงานเพยี งอยา่ งเดียว การพัฒนาการศึกษาวชิ าชีพดว้ ยการพฒั นาทักษะพนื้ ฐานของ ผเู้ รยี นอาชีวศึกษาให้มี ความรู้ทางด้านการจดั การธรุ กิจอย่างแท้จรงิ ตลอดจนพฒั นาทักษะในการคิดเชงิ สรา้ งสรรค์ (Creative thinking) ดว้ ยการสรา้ งชน้ิ งาน สิง่ ประดษิ ฐ์ หรอื นวัตกรรมใหมต่ ามสาขาวชิ าชพี และนามาตอ่ ยอดในเชงิ พาณชิ ย์รวมไปถึงการสร้างเครอื ขา่ ยเพือ่ พฒั นาผปู้ ระกอบการใหมใ่ ห้สามารถสรา้ งช่องทางการเข้าถงึ แหล่งทุน และ
องค์ความรทู้ างธรุ กจิ เพอื่ เพ่ิมช่องทางอาชีพ (Career path) ใหก้ ับผู้เรียน สามารถประกอบธรุ กจิ ได้อยา่ ง เปน็ รปู ธรรม มีการดาเนนิ โครงการสง่ เสรมิ การประกอบอาชีพอสิ ระ ในกลุ่มผู้เรียนอาชีวศกึ ษา ซึ่งอยูใ่ นแผนงานบรู ณาการส่งเสริม วสิ าหกิจขนาดกลางและขนาดยอ่ มทีม่ ุ่งให้ องคค์ วามรดู้ า้ นธรุ กจิ แก่นกั เรยี น นักศกึ ษาและสง่ เสริมการเปน็ ผู้ประกอบการแก่ผู้เรียนผ่านกระบวนการ จัดการเรยี นการสอน และกจิ กรรมภายใตศ้ นู ย์บม่ เพาะผู้ประกอบการ อาชวี ศกึ ษา ทกั ษะสื่อสาร (Communication Skills) ความเชี่ยวชาญในการเชอ่ื มโยงข้อมลู เพอื่ เล่าเรอ่ื งราวใหค้ นเข้าใจและจดจาได้ในเวลาอันส้นั ควบคู่กบั ความสามารถในการเลือกใชศ้ ัพท์หรอื สานวนท่ีสามารถโนม้ น้าวให้เกิดความน่าเช่อื ถอื และปฏิบัตติ าม ซง่ึ มีจาเปน็ มาก ขึน้ เรื่อยๆ โดยเฉพาะสาหรับผู้บรหิ าร และผู้ประกอบการ
การพัฒนาสถานศกึ ษาอาชวี ศกึ ษา ๑. การอาชวี ศึกษายกกาลังสอง (Eco System College) การสร้างระบบการศกึ ษายกกาลงั สอง ก็เพื่อให้เกิด “การศกึ ษาทมี่ ีความเปน็ เลิศ (Education for Excellence) ทกี่ ารศึกษาจะตอ้ งมีความยดื หยนุ่ เทา่ ทนั กับบริบทภายนอก และกระแสโลกท่ีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สามารถพัฒนาทนุ มนุษยข์ องประเทศ ทตี่ อบโจทย์ความต้องการของสงั คมและตลาดได้ ซงึ่ จะตอ้ งมุ่งเน้นไปท่ี การพฒั นาศกั ยภาพบคุ คล สคู่ วามเป็นเลิศในแบบฉบับของแต่ละคนนนั่ เอง รมว.ศธ.กล่าวถงึ โมเดลการศึกษายกกาลงั สอง (Thailand Education Eco-System Model) ประกอบด้วย HCEC (Human Capital Excellence Center) หรือ ศนู ยพ์ ฒั นาศักยภาพบคุ คลเพอ่ื ความเปน็ เลศิ ซึ่งเปน็ หนว่ ยพฒั นาทนุ มนุษย์ (HR) ของประเทศ เพอ่ื ตอบโจทยอ์ าชพี อุตสาหกรรม และธุรกิจ DEEP (Digital Education Excellence Platform) หรือ แพลตฟอร์มด้านการศกึ ษาเพอ่ื ความเปน็ เลิศ เปน็ หน่วยบริหารจัดการองค์ความรู้ (KM) ของประเทศ เพอื่ ตอบโจทย์การเรยี นรตู้ ลอดชีวิต EIDP (Excellence Individual Development Plan) หรอื แผนพฒั นารายบุคคลเพอ่ื ความเป็น เลศิ ซึง่ เปน็ ตน้ แบบการพัฒนาศักยภาพบุคคล (Human Potential : HP) เพอื่ ตอบโจทยเ์ สน้ ทาง ความสาเรจ็ ของชีวติ ความสาคญั อกี ส่วนของการเปลย่ี นระบบการศกึ ษา ก็เพอ่ื นาไปสู่ การเปลยี่ นระบบการศึกษา กเ็ พ่อื นาไปสู่ “ระบบนเิ วศ” ทางการศึกษาเพอื่ ความเป็นเลิศ โดยจะต้องให้ ความสาคญั กบั การเปลีย่ นนกั เรียน ครู ห้องเรียน สอื่ การเรียนรู้และโรงเรียน เพอื่ ยกกาลังสองไปพรอ้ มกนั ทั้งระบบ นกั เรียนยกกาลังสอง จะตอ้ งเปล่ียนจากการเรียนเพอ่ื สอบ ไปสเู่ รยี นเพอื่ รู้ ให้เด็กอยากท่ีจะเรยี นรู้ เรยี น เพอ่ื อยากเรียน มีการึกก ึนเพ่ือทา สรา้ งทกั ษะอา่ นออกเขยี นได้ คดิ เลขเป็น ภาษาท่ี 2-3 และยกระดับ ทักษะชีวติ สรา้ งความสามารถของผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 เป็นตน้ ครูยกกาลงั สอง เม่อื ต้องการให้เดก็ เก่ง กต็ ้องมรี ะบบสรา้ งครูที่เกง่ มีระบบที่ให้คนเกง่ เข้ามาเป็นครู ให้ อาชพี ครเู ป็นอาชีพในึัน เกง่ เป็นครู โดยออกแบบโมเดลอาชีพครใู ห้เป็นความใึ่ึนั ของนักเรียนนกั ศึกษา หอ้ งเรียนยกกาลังสอง จากการเรยี นท่โี รงเรียน ไปส่กู ารเรยี นทบ่ี ้านถามท่ีโรงเรยี น (หอ้ งเรียนกลับด้าน) โดยให้ผ้เู รยี นหาความรู้ทีบ่ ้าน เพ่ิมความรู้เสริมทกั ษะทโี่ รงเรียน (ลดเวลาเรยี น เพ่ิมเวลารู้) ทาหลกั สูตรให้ ยืดหยนุ่ ส่อื การเรียนรู้ยกกาลงั สอง เรียนจากตารา สู่การเรยี นผ่านส่ือแบบผสมผสาน (การเรียนรอู้ อกแบบได)้ เรียนท่ไี หนก็ได้ทมี่ ีอนิ เทอร์เนต็ และอปุ กรณ์ โรงเรยี นยกกาลงั สอง เน้นการประเมนิ โรงเรยี นจากจานวนนักเรยี น ไปสู่คุณภาพ ตอบโจทยค์ วามรู้และ ทักษะทเ่ี พมิ่ ความสามารถในการเรียนรูต้ ามบริบท ความเปน็ เลิศทางวิชาการ และความเป็นเลิศทางภมู ิ ปัญญาทอ้ งถิน่ รวมท้งั วสิ าหกิจชุมชน ยา้ วา่ การศกึ ษายกกาลังสอง ศธ.ไม่ควรตดั สินใจว่าจะให้ใครหรือ โรงเรยี นใดเป็นแบบไหน แต่ควรสง่ เสรมิ ใหโ้ รงเรียนพิจารณาพัฒนาตามบริบทและศักยภาพ ไปสคู่ วามเปน็ เลิศของตนเอง ไมว่ ่าจะมีความเปน็ เลศิ ด้านวชิ าการ หรอื ดา้ นภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่ินและวิสาหกจิ ชมุ ชน
การขับเคล่ือนนโยบายอาชีวศกึ ษายกกาลงั สอง โดยการ ๒. การอาชีวศกึ ษาสู่สากล (Global College) ในส่วนของหน่วยงานทางการศกึ ษา เชน่ ระดับมธั ยมศึกษา ระดับอาชีวศกึ ษา และระดับอุดมศึกษา ตอ้ ง ปรับเปลี่ยนมาตรฐานการเรียนการสอนใหส้ งู ขนึ้ หรอื ทัดเทียมกบั นานาอารยะประเทศ เพอ่ื พัฒนาประชากรใหพ้ รอ้ มที่ จะเรยี น หรอื ทางานได้ทกุ แหง่ ในโลกในมาตรฐานเดยี วกนั จึงมรี ูปแบบการจดั การศกึ ษามาตรฐานสากล เกิดขึน้ รูปแบบการจัดการศึกษามาตรฐานสากลในความคิดของผูบ้ ริหาร สรปุ ได้ ๘ ดา้ น คอื ด้านที่ 1 ด้านผูเ้ รยี น ผ้เู รยี นมีสมรรถนะทาง วชิ าชพี สงู ผ้เู รียนมีทักษะการสือ่ สารภาษาองั กฤษมี คะแนน ทดสอบผา่ นเกณฑก์ ารทดสอบภาษาองั กฤษจากองค์กรทีส่ านักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษาให้ความรบั รอง ดา้ นที่ 2 ดา้ นครู ซง่ึ ครเู ปน็ ประเด็นทสี่ าคญั ที่สดุ ในการจดั การศกึ ษาทุกระดบั สถานภาพของครู อาชีวศึกษา ในปจั จุบัน จาเปน็ ตอ้ งไดร้ บั การแก้ไขและให้การสนบั สนนุ ด้านท่ี 3 ดา้ นผ้บู รหิ าร ผูบ้ ริหารควรมกี ารกากบั ติดตามการดาเนินการของสถานศึกษาให้บรรลพุ ันธกจิ ของ สถานศึกษาและนโยบายของสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดา้ นท่ี 4 ด้านการบริหารจัดการ การจดั การศึกษาที่สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษาเป็นมาตรการ เรง่ ด่วน ในการยกระดบั การจัดการศึกษาของไทยให้มีคุณภาพเทยี บเทา่ สากล ความสาเรจ็ ของ การดาเนนิ งานของการ จดั อาชวี ศึกษามาตรฐานสากล ดา้ นท่ี 5 ด้านการพัฒนาหลักสตู ร ปัจจบุ นั การจดั การเรยี นการสอนของสถานศกึ ษาในประเทศไทยมกี าร พฒั นาหลกั สูตรใหเ้ ปน็ ทางเลอื กสาหรับผู้เรียนในหลายรปู แบบ โดยมวี ัตถุประสงค์และเป้าหมายสาคัญเพอ่ื ตอบสนอง ตอ่ ความต้องการจาเป็นในการพฒั นาประเทศให้สามารถแข่งขนั และทดั เทยี มนานาประเทศ ด้านท่ี 6 ดา้ นการจดั การเรยี นการสอน การจดั การเรียนการสอนใหม้ คี ณุ ภาพเทยี บเคียง มาตรฐานสากล เพือ่ เข้าส่รู ูปแบบการจดั อาชีวศกึ ษามาตรฐานสากลของสถานศกึ ษา ด้านท่ี 7 ดา้ นความรว่ มมือและการบรกิ ารวิชาชีพ สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา มีภารกจิ หลัก ในการจดั การศึกษาทมี่ ุง่ เนน้ ความเป็นเลิศด้านวชิ าชีพ เนน้ การเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ตั จิ ริง ส่งเสรมิ ให้นกั เรียน นกั ศกึ ษา เม่ือสาเรจ็ การศึกษา เพอื่ ให้สอดคล้องกับความตอ้ งการดา้ น กาลังคนของสถานประกอบการ ด้านท่ี 8 ดา้ นการจดั สภาพแวดล้อมและสง่ิ อานวยความสะดวก สถานศึกษาจะตอ้ งมีการจดั สภาพแวดล้อม สงิ่ อานวยความสะดวก พอเพียง ใชก้ ารได้ดี นาไปสูก่ ารพฒั นาผเู้ รียนทุกด้าน ๓. ศนู ย์ความเปน็ เลิศการอาชวี ศกึ ษา (Excellent Center College) สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษามีเปา้ หมายมุง่ เขา้ สู่การสร้างศูนย์การเรียนรู้ หรือ Excellent Center สาหรบั ธุรกิจตา่ งๆ ที่เหมาะสมกบั แต่ละบริบทของภูมิภาค เช่นธรุ กิจการบิน กจ็ ะอยใู่ นจังหวัดสมุทรปราการ ชลบุรี ภูเกต็ เชยี งใหม่ เพือ่ ท่ีจะแยกให้เห็นกลุ่มธุรกิจท่ีชัดเจนและลงทนุ อย่างตรงจุด สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา สามารถบรหิ ารจดั การความเชี่ยวชาญในดา้ นต่าง ๆ ให้แตล่ ะพ้ืนทีไ่ ด้ อกี ทง้ั การดาเนินการในลักษณะนี้ทาใหเ้ อกชนท่ี ทาทวภิ าคกี ับ สอศ. สามารถสง่ ผเู้ ช่ียวชาญให้ความรู้กบั วิทยาลัยไดอ้ ยา่ งตรงกบั ความตอ้ งการดว้ ย ทาใหผ้ เู้ รยี นสนใจ มาเรียนสายอาชพี มากยงิ่ ข้นึ
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาไดด้ าเนินการเกีย่ วกบั ศูนย์ความเปน็ เลิศอาชีวศึกษา (Excellence Center) มาอยา่ งต่อเนือ่ ง โดยไดร้ ับความอนุเคราะหแ์ ละความรว่ มมือจากบรษิ ัทเอกชนท่ีมีความเชี่ยวชาญ จานวน ๒๓ บรษิ ัท รว่ มพัฒนาหลกั สตู รการเรยี นการสอนกบั สถาบนั การอาชีวศกึ ษา จานวน ๑๙ แห่ง ใน ๘ สาขาวชิ า คอื ๑. ๓ D ๒. P-TECH, ๓. Programming, ๔. Digital Marketing, ๕. Networking, ๖. Aviation, ๗. Industrial Robotics ๘. AI Robotics โดยนกั เรยี น นกั ศึกษาอาชวี ศึกษา จะไดร้ บั การถ่ายทององคค์ วามรจู้ ากสถานประกอบการท่ีมคี วามเช่ียวชาญ ในสาขานัน้ ๆ อนั จะเปน็ ประโยชนใ์ นการพฒั นาทกั ษะด้านวชิ าชพี ๔. การอาชีวศึกษาเพ่อื ส่ิงแวดลอ้ ม (Green College) การพัฒนาสถานศึกษาทเี่ ปน็ มิตรกบั สิ่งแวดล้อม เปน็ ยุทธศาสตรก์ ารพัฒนาประเทศ และแผนการศกึ ษา แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙ กาหนดในยุทธศาสตรท์ ่ี ๕ การจดั การศกึ ษาเพ่ือเสรมิ สรา้ งคุณภาพชวี ติ ท่ีเป็นมิตรกบั ส่ิงแวดลอ้ มเพือ่ พฒั นาคนไทยยคุ ใหมใ่ ห้สอดคลอ้ งกบั ยทุ ธศาสตรช์ าตริ ะยะ ๒๐ ปี โดยสรา้ งคา่ นิยมหลกั ๑๒ ประการ และไดก้ าหนดให้การจัดการศกึ ษากับคุณภาพชวี ติ ท่เี ปน็ มิตรกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ซึ่งสถานศึกษาจะตอ้ งพฒั นาหลกั สตู รที่ สง่ เสรมิ คา่ นิยมสีเขยี วให้กับผู้เรยี น สถานศกึ ษามกี ารสอดแทรกให้ผู้เรียนมีจติ สานกึ รักษาสง่ิ แวดลอ้ ม สง่ เสริมให้ผ้เู รียน เหน็ ความสาคญั ต่อส่ิงแวดล้อม ๕. การอาชวี ศกึ ษาดิจิทลั (Digital College) สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษามีความร่วมมือกบั ICDL Thailand ยกระดบั ความรแู้ ละทกั ษะการใช้ งานเทคโนโลยีดจิ ิทลั โดยมีนโยบายในการพัฒนาทกั ษะดิจิทลั เพ่ือเตรยี มความพรอ้ มด้านกาลังคนในยุคดิจิทัล ซงึ่ ได้ลง นามความรว่ มมอื กบั บรษิ ัท ICDL Thailand Company Limited หรือ (ICDL Thailand) ได้รับการแตง่ ต้งั ให้เป็น National Operator ของมลู นธิ ิ ICDL Foundation ทาหนา้ ที่ดแู ลบรหิ ารงานวฒุ ิบตั รรบั รองทักษะดจิ ทิ ัล มาตรฐานสากล ICDL ทัง้ หมดในประเทศไทยเป็นแนวทางในการขับเคลือ่ นสนบั สนุนการยกระดบั ความรู้และทกั ษะ การใชเ้ ทคโนโลยีดจิ ิทัลพน้ื ฐานท่ีจาเปน็ และการใชเ้ ทคโนโลยีดจิ ิทลั ข้นั สูง ให้แก่ นกั เรียนนกั ศกึ ษา ครู อาจารย์ และ บคุ ลากรของสานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา เพอ่ื สร้างและพฒั นาผ้บู ริหาร ครู นกั เรยี น นักศกึ ษา และ บคุ ลากรทางการศกึ ษา ใหส้ อดรับกับการพฒั นามาตรฐานทักษะและความร้ดู ้านดจิ ทิ ัล ใหพ้ รอ้ มเข้าส่ยู ุคเศรษฐกจิ และ สังคมยุคใหม่ ต่อยอดเรยี นรู้ พร้อมทางานในวถิ ชี วี ิตใหม่ (new Normal) แนะให้ครู สถานศึกษาสอื่ สารกับนกั เรียนผา่ น เฟสบ๊คุ และไลน์ ตอบรบั ของการเป็นพลเมืองในศตวรรษที่ 21 ตามยุทธศาสตร์การพฒั นาดจิ ิทลั เพอื่ เศรษฐกิจและ สงั คมของการพฒั นาประเทศไปสไู่ ทยแลนด์ 4.0
๖. การอาชีวศึกษาเพ่ือทักษะอนาคต (Future Skill College) นกั เรียน นกั ศึกษาต้องมที ักษะท่ีสาคัญทสี่ อดคล้องกับสภาพการเปล่ียนแปลงของโลกยคุ ปัจจุบัน ทมี่ ีความ กา้ วหนา้ อย่างรวดเรว็ ทางด้านเทคโนโลยี และข้อมลู ข่าวสาร ดงั น้ันถ้าผู้เรียนไม่มีความรู้และทกั ษะท่ีจะเรยี นรู้เทา่ ทนั การเปลีย่ นแปลง ก็จะตกเป็นเหยอ่ื ของสังคมได้ สาหรับทกั ษะสาหรับผูเ้ รียนในศตวรรษท่ี 21 นัน้ ทักษะทส่ี าคัญได้แก่ 3R และ 4C ซง่ึ มีองค์ประกอบ ดังน้ี 3R ไดแ้ ก่ Reading (การอา่ น), การเขียน(Writing) และ คณิตศาสตร์ (Arithmetic) และ 4C ได้แก่ Critical Thinking- การคดิ วเิ คราะห์, Communication-การสอื่ สาร Collaboration-การร่วมมอื และ Creativity-ความคิดสร้างสรรค์ รวมถงึ ทักษะชีวิตและอาชพี และทักษะดา้ นสารสนเทศสื่อและเทคโนโลยี และการ บรหิ าร จัดการด้านการศกึ ษาแบบใหม่ กรอบแนวคดิ ข้างต้นเองกเ็ ป็นจุดเริม่ ตน้ ของการพฒั นาทักษะแห่งอนาคตใหม่ ในประเทศไทย โดยเฉพาะอยา่ งการจดั การศกึ ษาในระดบั อาชีวศึกษา เพราะปัจจยั แหง่ ความสาเร็จที่สาคัญอยทู่ ่ี \"ศักยภาพของระบบการศกึ ษาเพอื่ การสง่ เสรมิ นวตั กรรมและความคดิ สรา้ งสรรค\"์ จะเปน็ ตวั ชี้วัดความสาเรจ็ ของ ระบบเศรษฐกจิ ในศตวรรษท่ี 21 ดงั นัน้ ความท้าทายของการก้าวสศู่ ตวรรษท่ี 21 จงึ อยทู่ ว่ี า่ ทาอย่างไรให้ ความคดิ สร้างสรรคแ์ ละนวัตกรรมเกดิ ขนึ้ และเตบิ โตไดอ้ ย่างต่อเน่ืองนจ่ี ึงเปน็ โจทย์สาคัญของการจัดการ อาชวี ศกึ ษา ว่าจะ พฒั นาหลักสูตร และการจดั การเรียนการสอนอยา่ งไร จึงจะทาใหเ้ ดก็ อาชวี ะ มที กั ษะ 3R และ 4C โดยเฉพาะอย่างย่งิ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการสรา้ งนวัตกรรมเพือ่ ส่งเสริมการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ ท่ียั่งยนื ใน อนาคต ซงึ จากผลงานวจิ ยั หลายชนิ้ ทพี่ บวา่ การสอนเด็กใหม้ ีทักษะการ เรยี นรแู้ ละความคิดสร้างสรรคเ์ พ่ือสร้างสรรค์ นวตั กรรมนนั้ เน้นทกี่ ระบวนการเรยี นรมู้ ากกว่าความรู้ ดงั น้ันถงึ เวลาแล้วท่ีผเู้ ก่ยี วขอ้ งจาเป็นตอ้ งปรับเปล่ยี นกระบวน ทศั น์ใหม่ในการจัดการเรยี นการสอนทเี่ นน้ กระบวนการเรยี นรู้ มากกวา่ การอดั ความรู้เข้าไปในสมองเด็ก ผสู้ อนตอ้ ง เปดิ ใจ และเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้ พฒั นาความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง ขณะเดียวกนั ผู้สอนกต็ ้องเปดิ เวทีและพน้ื ท่ี สาหรบั การแสดงผลงานของ ผเู้ รยี นเชน่ กัน ๗. การอาชวี ศกึ ษาเพื่อความยงั่ ยืน (Sustainable College) มติ ิใหมอ่ าชีวศกึ ษา เพือ่ การพัฒนาท่ยี ั่งยนื “อาชวี ะ ึมี อื ชน คนสรา้ งชาติ” เปิดระบบการเช่ือมโยงฐานข้อมูล Big Data โดยมภี าคอุตสาหกรรม ภาคธรุ กิจและบริการ สถานประกอบการช้นั นาของประเทศ รว่ มจดั งาน แสดง ความกา้ วหน้าในการจัดการอาชวี ศึกษาเพ่ือการพัฒนาทย่ี ่งั ยนื ในรปู แบบต่างๆ มีการโชวค์ วามสาเร็จศูนยป์ ระสานงาน การผลติ และพัฒนากาลังคนอาชีวศกึ ษา รวมขอ้ มลู ความตอ้ งการกาลังคนของทุกภาคส่วน โดยเปิดระบบ Big data ศูนยป์ ระสานงานการผลิตและพัฒนากาลงั คนอาชีวศึกษา อยา่ งเป็นทางการ เพอื่ เช่อื มโยงข้อมูลของศนู ยผ์ ลิตและ พฒั นากาลังคนอาชวี ศกึ ษา 1 ศนู ย์กลาง 6 ศูนย์ภาค 18 ศูนย์กลุ่มจงั หวัด และการขึ้นทะเบียนครูพิเศษอาชีวศึกษา ให้ ทกุ ภาคสว่ นสามารถนาขอ้ มลู ไปใช้ในการบริหาร พัฒนา และจัดการกาลังคนเพอ่ื การพฒั นาประเทศอยา่ งยั่งยนื ซ่งึ การ เปิดระบบขอ้ มลู Big data จะทาใหท้ ราบถึงความต้องการกาลงั คน รวมไปถึงแนวโน้มในอนาคตทปี่ ระเทศตอ้ งจัดหา กาลงั คนทมี่ คี ณุ สมบัติเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั ภาคเศรษฐกจิ พรอ้ มกนั นใี้ นขอ้ มูล Big data ยังได้รวมผมู้ คี วาม เชย่ี วชาญในภาคอุตสาหกรรมต่างๆสู่การเป็นครูพเิ ศษสอนให้ผเู้ รยี นอาชีวศกึ ษา ซึ่งก็จะนาไปสกู่ ารผลิตและพัฒนาการ จัดการเรียน การสอน และหลกั สตู รตา่ ง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการอยา่ งแท้จรงิ ของประเทศ
๘. การอาชวี ศกึ ษาเพ่อื การเปน็ ผปู้ ระกอบการนวตั กรรม (Innopreneur College) ผปู้ ระกอบการธรุ กจิ นวตั กรรม หมายถึง ผู้ประกอบการทแ่ี ตกต่างจากทั่วไปคอื คนคิดรเิ ร่ิมสรา้ งธุรกิจท่ีต้องใช้ ความรหู้ รือเทคโนโลยีมาสร้างสรรคธ์ รุ กิจใหม่ เป็นทแ่ี น่นอนวา่ กลุ่มผ้ปู ระกอบการธุรกจิ นวัตกรรม จะตอ้ งเป็นผทู้ ่ีมี ความร้เู ฉพาะในด้านใดด้านหนึ่งมาก่อนแลว้ กอ่ นทจ่ี ะตัดสนิ ใจนาความรเู้ หล่านัน้ มาสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ไดส้ นับสนนุ การเป็นผปู้ ระกอบการนวตั กรรมให้กบั ผเู้ รยี น โดยการ ึกก และบ่มเพาะผู้ประกอบการทีเ่ ป็นนักเรียน นักศึกษา โดยผรู้ ับผดิ ชอบแต่ละสถานศึกษา คอื งานศนู ย์บ่มเพราะ ผปู้ ระกอบการอาชวี ศกึ ษา เน่อื งจากปัจจบุ นั มีเทคโนโลยีใหม่ๆ และสง่ิ ประดษิ ฐ์ นวตั กรรมทีผ่ ู้เรียนอาชีวศึกษาได้ ประดิษฐ์คดิ คน้ ข้ึนมางานศูนยบ์ ่มเพาะผ้ปู ระกอบการอาชีวศึกษาไดด้ าเนนิ การตอ่ ยอดเชงิ พาณชิ ยแ์ ละจัดหาชอ่ งทาง จาหนา่ ย เชน่ ทาง Social Net Work ในตา่ งประเทศ ธรุ กจิ นวตั กรรมประเภทนี้ จะถูกเรียกวา่ เป็น ธุรกิจไฮเทค (high-technology firms) หรือ ธุรกจิ เริม่ ใหม่ที่ใช้พ้ืนฐานด้านเทคโนโลยี (NTBFs - new technology-based firms) ที่จุดเริ่มต้นของธรุ กิจ มักจะเปน็ บริษทั ขนาดเลก็ แต่มีความชานาญเฉพาะด้านสูง โดยที่ผู้กอ่ ตั้งธรุ กจิ จะเปน็ ผู้สรา้ งและบรหิ ารธุรกจิ ดว้ ยตนเอง และ เป็นผทู้ มี่ คี วามเก่ยี วขอ้ งเชือ่ มโยงกบั เทคโนโลยีทันสมยั ในด้านใดด้านหนง่ึ มากอ่ นแลว้ บริษัททต่ี ั้งขึ้นใหม่ มวี ัตถปุ ระสงค์ ทจี่ ะแสวงหาโอกาสทางการตลาดด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยที ี่เหนือกวา่ เปน็ บริษทั ทีเ่ ปน็ อสิ ระ ไม่ เปน็ บรษิ ทั ยอ่ ยของบรษิ ัทอื่น และบริหารจดั การด้วยผูก้ อ่ ตัง้ หรอื กลุ่มผู้ใกลช้ ดิ ท่มี คี วามรู้ในระดับที่ใกล้เคยี งกันจานวน ไมม่ าก ตน้ แบบของแนวคิดธรุ กจิ นวัตกรรม เกดิ จากการท่นี ักวิจัยหรอื อาจารย์ในมหาวทิ ยาลยั ท่มี หี นา้ ท่ีคน้ คว้าหา วิทยาการใหมๆ่ เห็นประโยชนใ์ นเชิงพาณิชย์ของผลงานการวิจยั ของตวั เอง จงึ ตัดสินใจพลกิ ผันตัวเองออกมาเปน็ เจา้ ของธุรกิจเอง (เรยี กว่า spin-offs) ในบางครัง้ spin-offs เหล่านี้ ยังคงได้รับการสนบั สนนุ จากมหาวิทยาลยั ต้นสังกัด เชน่ ยงั ใหค้ งสภาพเป็นอาจารย์หรอื นักวิจัยอยู่ หรอื เข้าร่วมลงทุนในการกอ่ ตัง้ บรษิ ทั มีการศึกษาวา่ องคป์ ระกอบทีจ่ ะ เอื้อให้นักธุรกิจนวัตกรรมเหล่านี้สามารถประสบความสาเรจ็ เชงิ พาณิชย์ได้ เกดิ ข้นึ จากภมู หิ ลังหรือประสบการณ์ของผู้ กอ่ ตั้งบริษทั เป็นอยา่ งมาก ปจั จยั ท่จี ะทาใหผ้ ู้ประกอบการธรุ กิจนวตั กรรมประสบความสาเร็จ ได้แก่ ๑. บคุ ลกิ ภาพส่วนตัว มักจะเป็นผทู้ ม่ี ีความพยายามสูง ต้องการประสบความสาเร็จ และมคี วามกระตือรือรน้ ตอ่ สิง่ ท่ีตนเองสนใจอย่างจรงิ จงั ๒. สภาวะทางครอบครวั จะตอ้ งได้รบั การสนบั สนุนจากคู่สมรส ไมม่ ีความขดั แยง้ ทางครอบครัว และอาจยังไม่ มีลูก หรือมลี ูกเพยี ง 1 หรอื 2 คนเท่าน้นั ๓. สถานะทางสงั คม มกั จะเปน็ ผู้ทไ่ี ดร้ ับการศึกษาถึงระดับมหาวิทยาลัย บางครง้ั พบว่าหากมผี ู้ปกครองเปน็ อาจารยใ์ นมหาวิทยาลัยหรือเปน็ นักวจิ ัย กจ็ ะเป็นปจั จยั เสริมอยา่ งดี ส่วนใหญจ่ ะอยู่ในครอบครวั ชนช้นั กลาง ๔. ประสบการณ์ในการทางาน หากตอ้ งเก่ียวขอ้ งหรอื เคยประสบกับสถานการณเ์ ชน่ ความขัดแย้ง ความ หงดุ หงิด ความซ้าซอ้ น ในการทางาน กจ็ ะเปน็ ปัจจัยเสริมผลกั ดนั ให้ต้องออกมาประกอบธุรกิจของตนเอง ได้ ๕. มีแหล่งสนับสนนุ ทางการเงิน เช่น ฐานะของผ้ปู กครองหรอื ญาตสิ นิทดีพอทจ่ี ะใหก้ ารสนบั สนนุ ทางการเงนิ การเขา้ ถงึ แหล่งเงนิ สนับสนนุ จากภาครัฐ หรอื การไดร้ ับรางวลั ต่าง ๆ จากการประกวดความคดิ สร้างสรรค์ การประกวดส่งิ ประดิษฐ์ หรอื การประกวดนวตั กรรม
๖. ความเช่อื มโยงกับแหล่งเทคโนโลยี บรษิ ัทตง้ั อยใู่ นสภาพแวดลอ้ มทสี่ ่งเสรมิ การพฒั นาและแลกเปลีย่ น เทคโนโลยที นั สมยั หรือสภาพแวดล้อมแห่งความคิดสร้างสรรค์ โอกาสในการเขา้ ถงึ ขอ้ มูล หรือการไดร้ บั การค้มุ ครองทรัพยส์ นิ ทางปัญญา ๗. ความใกล้ชดิ กับตลาดและผ้บู รโิ ภค โดยเฉพาะความใกล้ชดิ กับตลาดเป้าหมายหรอื กลมุ่ ลกู ค้าเป้าหมาย และมบี รรยากาศของการสร้างสมั พนั ธก์ บั ตลาดไดด้ ี ๙. ศูนยป์ ฏบิ ตั กิ ารอาชวี ศึกษา (Complex College) ด้วยรัฐบาลมแี นวความคดิ ท่ีจัดตัง้ ศูนยป์ ฏบิ ัตกิ ารสาหรบั การึกก นักเรียน-นักศึกษา เฉพาะทางในภมู ิภาคทงั้ ๕ ภมู ภิ าค และจดั ตง้ั ศูนยป์ ฏิบตั กิ ารอาชวี ศึกษาข้นึ อย่างนอ้ ยภมู ภิ าคละ ๑ แห่ง เพอื่ ทาการึกกวิชาชีพท่ตี อ้ งการแรงงาน เฉพาะทางของแต่ละภมู ภิ าคแบบครบวงจร โดยรว่ มมอื กับภาคเอกชน รวบรวมวทิ ยากรผูท้ รงคุณวุฒิและมีความ สามารถเชย่ี วชาญเฉพาะดา้ น มาประจา โดยจดั สถานท่ี บรรยากาศ ห้องเรียน สถานที่ให้ความพรอ้ ม และมที ี่พกั เป็น สถานท่ใี ห้ผ้เู รยี นและบุคคลทว่ั ไปึกกปฏบิ ัตงิ านอาชีพตา่ ง ๆ อย่างครบวงจร โดยจะมีคณะวิทยกรผู้เช่ยี วชาญจากท้ังใน พืน้ ท่แี ละนอกพื้นที่ ผลัดเปลี่ยนกันมาอบรมใหค้ วามรู้เฉพาะดา้ นตามหลกั สตู ร เป็นศูนย์รวมความรคู้ วามสามารถของ ความรู้และวทิ ยากรผเู้ ช่ียวชาญเฉพาะสาขา เพ่อื สนองความตอ้ งการแรงงานในภมู ภิ าคใหต้ รงกบั ความตอ้ งการของ ตลาดแรงงานภูมภิ าคนั้นๆ ที่แท้จริง เชน่ ภาคใต้ จัดตัง้ ท่ีวิทยาลัยเทคนิคกระบ่ี เปน็ ศนู ยึ์ กก อบรมปฏิบัติการด้านการ ทอ่ งเท่ียว
หลักการเรยี นรูท้ ค่ี วรศกึ ษา ๑. การจดั การเรียนรู้โดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน (Problem Based Learning :PBL) เป็นกระบวนการจดั การ เรียนรู้โดยเร่ิมตน้ จากปญั หาทีเ่ กิดขนึ้ ซ่ึงต้องเปน็ ปัญหาท่ใี กล้ตัวและพบเจอในชวี ติ ประจาวัน เพราะผเู้ รียนจะรบั ทราบ และเขา้ ถงึ ผู้เรยี นไดง้ ่าย และสร้างองค์ความรู้ใหเ้ กดิ ขนึ้ โดยใช้กระบวนการทางานแบบกลุม่ เพือ่ ใหเ้ กดิ การแก้ปญั หา ดังกล่าว ทาให้ตัวของปัญหานนั้ คอื จดุ สาคัญของการจัดการเรยี นรู้รูปแบบน้ี โดยลกั ษณะสาคญั ของการจดั การเรียนรู้ แบบใช้ปญั หาเปน็ ฐานนน้ั ประกอบด้วย 1. ต้องมีสถานการณ์ทเ่ี ป็นปัญหาและใชป้ ัญหานน้ั มาเป็นตัวกระตนุ้ ให้เกดิ กระบวนการเรยี นรู้ 2. ปญั หาทน่ี ามาใช้ ต้องมาจากสงิ่ ใกล้ตวั ผู้เรยี น และผู้เรยี นมโี อกาสพบเจอ 3. ผเู้ รียนเรยี นรู้และเลอื กเฟน้ วิธกี ารและประเมนิ ผลดว้ ยตวั เอง 4. เนน้ ให้ผ้เู รียนเรียนรูเ้ ปน็ กลุ่มยอ่ ย เพ่อื ประโยชน์ในการคน้ หาความรู้ และรับสง่ ข้อมูลร่วมกนั 5. เป็นการเรยี นรูแ้ บบบูรณาการความรแู้ ละทักษะกระบวนการต่างๆ เขา้ ด้วยกนั 6. ความร้ทู จ่ี ะเกดิ ข้ึน เม่ือจดั การเรยี นรู้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐานแล้วเท่านน้ั 7. ใชก้ ารประเมินผลตามสภาพจรงิ โดยพจิ ารณาความกา้ วหน้าในการปฏบิ ัติงานของผูเ้ รยี น และด้วยความท่กี ารจัดการเรียนรแู้ บบใช้ปญั หาเป็นฐานน้นั จาเปน็ ต้องใชป้ ญั หาในการดาเนนิ กจิ กรรม ดังนน้ั การ กาหนดปัญหาอยา่ งเหมาะสม จึงถือเป็นหัวใจสาคัญของการจัดการเรียนรู้ในรปู แบบนี้ แนวทางในการเลือกปัญหาอยา่ งเหมาะสมกบั การเรยี นรรู้ ปู แบบน้นี ั้น มีหลักการดงั นี้ - ตอ้ งเปน็ ปญั หาทเ่ี กิดข้ึนในชวี ิตจริงและเกิดจากประสบการณ์ของผเู้ รยี นหรอื มโี อกาสที่ผูเ้ รียนจะต้องเผชิญ - ตอ้ งเปน็ ปัญหาท่พี บบ่อย มคี วามสาคญั และมขี อ้ มลู เพียงพอสาหรบั การคน้ คว้า - ตอ้ งเป็นปัญหาทยี่ ังไมม่ คี าตอบที่ชัดเจนตายตวั มีความซบั ซอ้ น คลมุ เครือ เพื่อกระตุน้ ใหผ้ ู้เรียนมคี วาม สงสัยใครร่ ู้ - ตอ้ งเป็นปญั หาที่มีประเด็นขัดแยง้ กันถกเถยี งกัน เพ่ือใหเ้ กดิ การอภปิ ราย - ตอ้ งเปน็ ปญั หาท่อี ยใู่ นความสนใจของผ้เู รียน - ตอ้ งเปน็ ปญั หาที่จาเป็นต้องระดมความคิดเห็นจากหลาย ๆ คนก่อนตดั สินใจ - ตอ้ งเป็นปัญหาที่ส่งเสรมิ ใหเ้ กิดการพิสูจน์ขอ้ เท็จจริง - ต้องเปน็ ปญั หาที่สามารถมีคาตอบได้หลากหลายแนวทาง - ตอ้ งเป็นปญั หาท่เี หมาะสมกับวฒุ ภิ าวะและพืน้ ฐานความรขู้ องผเู้ รียน - ต้องเป็นปญั หาที่จาเป็นตอ้ งสารวจ คน้ คว้า รวบรวมขอ้ มูล รวมถึงทดลอง กอ่ นทีจ่ ะได้คาตอบ - ต้องเปน็ ปญั หาท่ีสอดคล้องกับเน้อื หาท่ตี อ้ งการใหผ้ ้เู รยี นเรยี นรู้ การจดั การเรยี นร้โู ดยใชป้ ญั หาเป็นฐานน้ัน ประกอบด้วย 6 ข้ันตอน อนั ไดแ้ ก่ ขั้นที่ 1 กาหนดปัญหา ผสู้ อนสรา้ งสถานการณต์ ่างๆ เพอื่ กระตนุ้ ผเู้ รยี น โดยอาจเปน็ การแนะนาแนวทาง ยกตวั อยา่ งสถานการณ์ หรอื ถามคาถามทใี่ ห้คดิ ตอ่ เพือ่ ให้ผเู้ รียนเกดิ ความสนใจและมองเห็นปัญหา มโี อกาสเลอื กเฟ้นและเสนอปญั หาที่ หลากหลาย และสามารถแบง่ กลุ่มตามความสนใจ ซงึ่ ก่อนท่จี ะกาหนดปัญหาน้ัน ครผู ู้สอนควรทดสอบความรพู้ ื้นฐาน ของผ้เู รียนเสยี กอ่ น เพอื่ ใชเ้ ป็นขอ้ มูลในการกาหนดปัญหา ซ่งึ ตอ้ งเหมาะสมกบั ความร้พู นื้ ฐานท่ผี ู้เรยี นมี
ขน้ั ท่ี 2 ทาความเขา้ ใจกบั ปญั หา ผู้สอนจะกระตนุ้ ผู้เรียนดว้ ยคาถามหรือการเสรมิ แรง เพอ่ื ให้ผ้เู รียนทาความเขา้ ใจกบั ปัญหาท่อี ยากรู้ โดยเนน้ ใหเ้ กิดการระดมสมอง เพ่อื หาแนวทางและวธิ ีการในการหาคาตอบ โดยมคี รูผสู้ อนคอยดูแลตรวจสอบเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความ ถูกต้อง ขัน้ ท่ี 3 ดาเนนิ การศกึ ษาคน้ ควา้ ผู้เรยี นจะตอ้ งดาเนินการศึกษาค้นควา้ อย่างเป็นระบบรว่ มกนั โดยมีการกาหนดกตกิ า วางเป้าหมาย และ ดาเนินกจิ กรรมตามระยะเวลาทีก่ าหนด โดยมีครูผู้สอนคอยให้คาชแี้ นะและอานวยความสะดวก ขั้นที่ 4 สงั เคราะหค์ วามรู้ ผเู้ รยี นแต่ละคนสังเคราะห์ความรู้ท่ไี ดจ้ ากการค้นคว้า โดยมีการนาเสนอกนั ภายในกลุม่ เพอ่ื หาขอ้ สรุป ทบทวน และตรวจสอบความถกู ตอ้ ง โดยมีครูผู้สอนถามคาถามโดยกระตุ้นให้ผเู้ รียนมีการแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ และเกิด ความคิดรวบยอด ขัน้ ท่ี 5 สรปุ และประเมินค่าของคาตอบ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนาข้อสรปุ ที่ได้มาสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ และเลือกวิธที ี่จะนาเสนอสภู่ ายนอก โดยผา่ น ความเหน็ ชอบจากครูผู้สอนในการตรวจสอบความถกู ตอ้ ง และความเหมาะสมในการนาเสนอ ขั้นที่ 6 นาเสนอและประเมินผลงาน ผ้เู รียนแต่ละกล่มุ นาองคค์ วามรทู้ ไ่ี ด้ไปนาเสนอตามวิธกี ารที่ได้กาหนดไว้ เพอื่ เผยแพรอ่ อกส่สู าธารณะ โดย ครูผ้สู อนประเมนิ ผลการเรียนร้จู ากการดาเนินงานของผเู้ รยี นตามสภาพจริง การจดั การเรยี นรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน นับว่าเปน็ หนง่ึ ในแนวการจดั การเรยี นรทู้ ่เี หมาะสมกับการศึกษาใน ศตวรรษที่ 21 เพราะเปน็ หนึง่ ในแนวการจดั การเรียนรู้ทีเ่ นน้ ผ้เู รยี นเป็นสาคญั โดยสามารถนามาใช้กบั ผเู้ รียนแทบทุก ระดบั ชัน้ โดยขึ้นอยกู่ ับการค้นหาปัญหาท่ีเหมาะสมกับพนื้ ฐานความรขู้ องผเู้ รยี น สาหรับข้อจากัดของการจดั การเรียนรู้รปู แบบน้ี คือ จะตอ้ งมีพน้ื ท่ีเพียงพอใหผ้ ู้เรยี นได้ปฏิบตั ิการแบบกลมุ่ ย่อย มแี หล่งศกึ ษาค้นคว้าทเี่ หมาะสมและเข้าถงึ งา่ ย และสาคญั ท่ีสุด คอื ครูและบุคลากรท่ีเก่ยี วขอ้ งจะต้องมคี วาม เขา้ ใจและมีทัศนคตทิ ่ีดตี ่อการจัดการเรยี นรูโ้ ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน จึงจะสามารถดาเนินการตามแนวการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปญั หาเปน็ ฐานได้อยา่ งเหมาะสม ๒. การเรยี นร้โู ดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning : PjBL) การเรียนรโู้ ดยใช้โครงการเป็นฐาน หมายถงึ การจัดการเรียนรูท้ มี่ คี รเู ป็นผกู้ ระตุ้น เพอื่ นาความสนใจทีเ่ กิดจาก ตวั นกั เรยี นมาใชใ้ นการทากจิ กรรมค้นคว้าหาความรู้ดว้ ยตวั นกั เรยี นเอง นาไปสู่การเพม่ิ ความรู้ทไ่ี ดจ้ ากการลงมือปฏบิ ัติ การฟังและการสังเกตจากผู้เชีย่ วชาญ โดยนักเรยี นมีการเรยี นรผู้ ่านกระบวนการทางานเปน็ กล่มุ ท่ีจะนามาสู่การสรุป ความรใู้ หม่ มีการเขียนกระบวนการจดั ทาโครงงานและไดผ้ ลการจัดกจิ กรรมเป็นผลงานแบบรูปธรรม ลักษณะของการเรียนรูแ้ บบโครงงาน มีดังนี้ ๑. นกั เรียนกาหนดการเรยี นรขู้ องตนเอง ๒. เชื่อมโยงกบั ชวี ิตจริง ส่งิ แวดล้อมจรงิ ๓. มีฐานจากการวจิ ัย หรือ องคค์ วามรูท้ เี่ คยมี ๔. ใช้แหลง่ ขอ้ มูล หลายแหลง่ ๕. ึังตรงึ ดว้ ยความรู้และทกั ษะบางอยา่ ง (embedded with knowledge and skills)
๖. ใช้เวลามากพอในการสร้างผลงาน ๗. มผี ลผลิต ขน้ั ตอนการจัดการเรยี นร้แู บบโครงงาน ๑. ขน้ั นาเสนอ หมายถงึ ขน้ั ทผี่ สู้ อนให้ผู้เรยี นศกึ ษาใบความรู้ กาหนดสถานการณ์ ศกึ ษาสถานการณ์ เลน่ เกม ดรู ูปภาพ หรือผู้สอนใชเ้ ทคนคิ การต้งั คาถามเกี่ยวกบั สาระการเรยี นรู้ท่กี าหนดในแผนการจัดการเรยี นร้แู ตล่ ะแผน เชน่ สาระการเรยี นร้ตู ามหลักสูตรและสาระการเรยี นรู้ทเี่ ปน็ ขั้นตอนของโครงงานเพ่อื ใชเ้ ปน็ แนวทางในการวางแผนการ เรยี นรู้ ๒. ขัน้ วางแผน หมายถงึ ขั้นท่ีผู้เรียนร่วมกันวางแผน โดยการระดมความคิด อภิปรายหารอื ขอ้ สรปุ ของกล่มุ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติ ๓. ขน้ั ปฏบิ ัติ หมายถงึ ข้นั ทีผ่ ู้เรยี นปฏบิ ัตกิ จิ กรรม เขียนสรุปรายงานผลทีเ่ กดิ ข้นึ จากการวางแผนรว่ มกนั ๔. ขัน้ ประเมนิ ผล หมายถงึ ข้ันการวดั และประเมินผลตามสภาพจริง โดยให้บรรลุจดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้ทู ี่ กาหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ โดยมผี ูส้ อน ผู้เรยี นและเพ่อื นร่วมกนั ประเมิน ๓. การเรียนรูต้ ลอดชีวิต (Lifelong Learning) การเรยี นร้ตู ลอดชีวติ (Lifelong Learning) หมายถงึ การรบั รู้ความรู้ ทกั ษะ และเจตคติ ตั้งแต่เกดิ จนตาย จากบคุ คลหรอื สถาบันใดๆ โดยสามารถจะเรยี นรดู้ ้วยวิธีเรียนต่างๆ อย่างมรี ะบบหรือไม่มีระบบ โดยตง้ั ใจหรือโดย บงั เอิญกไ็ ด้ ทั้งนสี้ ามารถทาให้บุคคลนัน้ เกิดการพัฒนาตนเอง การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (Self-Learning) เป็นกระบวนการท่ีบคุ คลใช้ในการสรา้ งความ ตอ้ งการในการเรียนร้กู ารตง้ั จดุ มุ่งหมายในการเรยี นรู้การทา กิจกรรมเพอ่ื คน้ หาความรูเ้ ชน่ การค้นคว้า เอกสารและแหล่งความรตู้ า่ ง ๆ การพบปะบุคลากรเลือกและการกาหนด แผนการเรยี นรู้และการประเมนิ ผล การเรียนรู้กิจกรรมสว่ นใหญเ่ กิดข้ึนด้วยตวั เองซึ่งอาจจะได้รบั หรอื ไมไ่ ด้รบั ความ ช่วยเหลอื จากผู้อื่นกต็ าม ๔. การจัดการเรยี นการสอนตามสภาพจริง (Authentic Instruction) การเรยี นการสอนตามสภาพจริง (authentic instruction) เป็นการเรียนที่ผเู้ รยี นจะเปน็ ผ้คู ิด วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ประเมิน ตัดสนิ ใจไดเ้ อง มีกระบวนการทใ่ี ช้เป็นยทุ ธศาสตรใ์ นการคดิ อย่างเปน็ ระบบ ผ้เู รียนเป็นผอู้ ธิบาย นาเสนอได้อยา่ งมีหลกั วชิ าการ ดว้ ยการเรียบเรียงดว้ ยตนเอง อธบิ ายได้อยา่ งครอบคลุมและชดั เจน มีกระบวนการทดี่ ี มคี วามคดิ รวบยอด และหลกั การของวิชาที่เรียนรู้ รวมท้ังผูเ้ รียนสามารถนาไปใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้ นาความรู้ตา่ ง ๆ ไปพัฒนาคุณภาพชีวิต คุณภาพงาน คุณภาพสงั คม สงิ่ แวดล้อมไดอ้ ยา่ งเป็นปกตวิ สิ ัย จนเปน็ หนง่ึ เดยี วกัน ๕. การจัดการศึกษาบูรณาการกบั การทางาน (Work Integrated Learning) การจัดการการเรยี นการสอนท่บี รู ณาการกับการทางาน (Work-integrated Learning: WIL) เปน็ รูปแบบการ จดั การเรียนการสอนรปู แบบหนึ่งทม่ี ีต้นแบบมาจากประเทศแถบตะวันตก โดยเนน้ การเรียนในช้ันเรยี นควบคู่ไปกบั การ ทางานในสถานประกอบการจริง เพื่อเปดิ โอกาสให้นกั ศกึ ษาได้ประยกุ ตใ์ ช้ความรู้ทางวิชาการ ทไ่ี ด้จากในหอ้ งเรยี นไป ประยุกตใ์ ชใ้ นการึกก เป็นกรณหี นงึ่ ของการเรียนรู้เชงิ ประสบการณ์ ทช่ี ว่ ยให้ผเู้ รยี น มีโอกาสในการประยุกตค์ วามรู้ ทกั ษะการทางาน และทักษะทีส่ ัมพันธ์กนั ได้ร้จู ักชวี ติ การทางานทีแ่ ท้จรงิ กอ่ นสาเร็จการศึกษา
เปน็ การจดั การศกึ ษาแบบ ผสมกลมกลืนระหว่างประสบการณ์ทางานทางวิชาชีพนอกห้องเรยี น กับการเรียนใน หอ้ งเรียน ท้ังในรูปแบบการศึกษาวิจยั การึกกงาน การทางานเพ่ือสงั คม การทางานในสถานประกอบการหรอื การึกก ประสบการณ์วิชาชพี เง่ือนไขของการจดั การเรยี นการสอนแบบบูรณาการการเรียนกบั การทางานในรายวิชา คือ ๑. ต้องมีการผสมกลมกลืน มีจดุ รว่ ม และหลอมรวมกนั ระหวา่ งความรทู้ างทฤษฎีทไ่ี ดจ้ ากการเรยี นในหอ้ ง เรียนกับประสบการณท์ างานนอกหอ้ งเรยี น ๒. ต้องเป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษาในรายวิชา ๓. ต้องอยใู่ นสภาพแวดล้อมของการทางานจริง ๔. งานทึ่ี กก ปฏิบตั ิต้องเปน็ งานทมี่ คี ุณภาพหรอื สามารถพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาได้ ๖. การจดั การเรยี นการสอนโดยการลงมือปฏบิ ตั ิ (Active Learning) Active Learning เป็นรปู แบบการเรยี นร้ทู ่ชี ว่ ยพัฒนาศกั ยภาพของตัวเองอย่างสมบรู ณ์แบบ เพราะเป็นการ เช่อื มโยงความรูท้ ่ีได้เคยศกึ ษามาในอดีตและที่เพิ่งไดเ้ รยี นมาประยุกตใ์ ช้จริงและเหน็ ถงึ องค์ประกอบอื่น ในความรนู้ นั้ ๆ เพือ่ นาไปตอ่ ยอดในการทางานต่อไปได้ Active Learning คือกระบวนการจัดการเรยี นรทู้ ่ีผ้เู รยี นได้ลงมือกระทาและได้ใช้กระบวนการคดิ เกีย่ วกับสิง่ ทีเ่ ขาได้กระทาลงไป เป็นการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ภายใต้สมมติฐานพ้นื ฐาน 2 ประการคือ ๑. การเรียนรูเ้ ป็นความพยายามโดยธรรมชาตขิ องมนุษย์ ๒. แต่ละบุคคลมแี นวทางในการเรียนรทู้ ่ีแตกต่างกัน โดยผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้ (receive) ไปสู่การมสี ว่ นรว่ มในการสร้างความร้(ู co-creators) เปน็ กระบวนการเรยี นการสอนอยา่ งหนึ่งคอื เปน็ การ เรียนร้ผู า่ นการปฏิบัติ หรอื การลงมือทาซึ่งความรู้ทเี่ กิดข้ึนก็เปน็ ความรู้ที่ไดจ้ ากประสบการณ์ กระบวนการในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ทีผ่ เู้ รียนต้องได้มีโอกาสลงมือกระทามากกว่าการฟังเพยี งอย่างเดียว ต้องจดั กิจกรรมให้ผเู้ รียนได้ การเรยี นรู้โดยการอ่าน, การเขียน, การโต้ตอบ, และการวเิ คราะห์ปญั หา อีกทง้ั ใหผ้ ้เู รียนไดใ้ ชก้ ระบวนการคิดขน้ั สงู ได้แก่ การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ และการประเมินคา่ เป็นกระบวนการเรยี นร้ทู ่ีให้ผู้เรียนได้เรียนรูอ้ ย่างมคี วามหมาย โดยการรว่ มมือระหว่างผเู้ รียนดว้ ยกนั ครูตอ้ งลดบทบาทในการสอนและการใหข้ ้อความรแู้ กผ่ ู้เรียนโดยตรงลง แตไ่ ป เพิ่มกระบวนการและกิจกรรมท่ีจะทาใหผ้ ้เู รียนเกิดความกระตือรอื ร้น ในการจะทากิจกรรมตา่ งๆ มากข้นึ และอย่าง หลาก หลาย ไมว่ ่าจะเปน็ การแลกเปล่ยี นประสบการณ์ โดยการพูด การเขียน การอภปิ รายกับเพื่อนๆ ลักษณะของ Active Learning เป็นการเรียนการสอนท่พี ฒั นาศักยภาพทางสมอง ไดแ้ ก่ การคดิ การแกป้ ัญหา การแก้ปญั หาและการนา ความรู้ไปประยุกตใ์ ชเ้ ป็นการเรยี นการสอนที่เปิดโอกาสให้ผ้เู รียนมสี ่วนรว่ มในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด ผู้เรยี นสรา้ ง องคค์ วามรู้และจัดระบบการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ผูเ้ รียนมสี ว่ นรว่ มในการเรียนการสอนทงั้ ในด้านการสรา้ งองค์ความรู้ การสร้างปฏิสมั พันธร์ ่วมกัน และรว่ มมอื กนั มากกวา่ การแขง่ ขัน ผู้เรียนได้เรยี นรคู้ วามรบั ผิดชอบรว่ มกัน การมีวินยั ใน การทางาน และการแบ่งหนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบ เป็นกระบวนการสรา้ งสถานการณใ์ หผ้ ู้เรียนอา่ น พดู ฟงั คิดอยา่ งลุม่ ลึก ผเู้ รยี นจะเปน็ ผู้จดั ระบบการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง เป็นกจิ กรรมการเรียนการสอนเนน้ ทกั ษะการคิดข้ันสงู เป็นกิจกรรมท่ี เปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นบูรณาการข้อมลู , ขา่ วสาร, สารสนเทศ, และหลกั การส่กู ารสร้างความคิดรวบยอดความคิดรวบ ยอด สอนจะเป็นผอู้ านวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผเู้ รียนเป็นผู้ปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง ความรูเ้ กิดจาก ประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรยี น
- ๑๕ - บทบาทของครู กับ Active Learning ๑. จดั ให้ผ้เู รยี นเป็นศูนยก์ ลางของการเรยี นการสอน กจิ กรรมต้องสะท้อนความต้องการในการพฒั นาผูเ้ รียน และเนน้ การนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตจรงิ ของผูเ้ รยี น ๒. สร้างบรรยากาศของการมสี ว่ นรว่ ม และการเจรจาโต้ตอบทีส่ ่งเสริมให้ผเู้ รียนมีปฏิสัมพันธท์ ่ดี กี บั ผสู้ อนและ เพ่อื นในชั้นเรียน ๓. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนใหเ้ ป็นพลวัต ส่งเสริมใหผ้ ู้เรยี นมสี ว่ นรว่ มในทุกกิจกรรมรวมทง้ั กระตุน้ ให้ ผูเ้ รยี นประสบความสาเร็จในการเรียนรู้ ๔. จดั สภาพการเรยี นรแู้ บบร่วมมอื ส่งเสริมให้เกดิ การรว่ มมอื ในกลมุ่ ผเู้ รียน ๕. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทาย และให้โอกาสผ้เู รยี นไดร้ ับวิธกี ารสอนทหี่ ลากหลาย ๖. วางแผนเกย่ี วกับเวลาในจดั การเรียนการสอนอยา่ งชัดเจน ทั้งในส่วนของเน้ือหา และกิจกรรม ๗. ครูผูส้ อนต้องใจกวา้ ง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคดิ เของทีผ่ ู้เรยี น รปู แบบของ Active Learning สามารถสรา้ งให้เกิดขึน้ ได้ทั้งในและนอกหอ้ งเรียน รวมทง้ั สามารถใช้ไดก้ บั ผู้เรียนทุกระดับ ทงั้ การเรยี นรูเ้ ปน็ รายบคุ คล การเรียนรูแ้ บบกลมุ่ เลก็ และการเรียนรแู้ บบกลุ่มใหญ่ รูปแบบการจัดกจิ กรรมการเรียนรทู้ ี่จะช่วยให้ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรแู้ บบ Active Learning ไดด้ ี ไดแ้ ก่ ๑. การเรียนรูแ้ บบแลกเปลยี่ นความคิด (Think-Pair-Share) คอื การจัดกิจกรรมการเรยี นรทู้ ีใ่ ห้ผู้เรียนคิด เกี่ยวกบั ประเดน็ ทก่ี าหนดคนเดียว 2-3 นาที (Think) จากนนั้ ให้แลกเปลีย่ นความคิดกับเพ่ือนอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนาเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรยี นท้งั หมด (Share) ๒. การเรียนรูแ้ บบร่วมมือ (Collaborative learning group) คอื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ีใ่ ห้ผู้เรียนได้ ทางานร่วมกบั ผอู้ ่นื โดยจดั กลุ่มๆ ละ 3-6 คน ๓. การเรียนรแู้ บบทบทวนโดยผเู้ รียน (Student-led review sessions) คือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่เี ปดิ โอกาสให้ผู้เรียนไดท้ บทวนความรูแ้ ละพจิ ารณาข้อสงสัยต่างๆ ในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการเรียนรู้โดยครูจะคอยช่วยเหลอื กรณีทีม่ ปี ญั หา ๔. การเรยี นรูแ้ บบใชเ้ กม (Games) คอื การจัดกจิ กรรมการเรียนรูท้ ่ีผู้สอนนาเกมเขา้ บูรณาการในการเรยี นการ สอน ซ่ึงใชไ้ ด้ทง้ั ในข้นั การนาเขา้ สู่บทเรียน, การสอน, การมอบหมายงาน, และหรือข้ันการประเมนิ ผล ๕. การเรยี นร้แู บบวิเคราะหว์ ดี ีโอ (Analysis or reactions to videos) คือการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ท่ีให้ ผู้เรยี นไดด้ ูวดี ีโอ 5-20 นาที แล้วให้ผู้เรยี นแสดงความคิดเห็น หรอื สะท้อนความคิดเกยี่ วกับสง่ิ ที่ไดด้ ู อาจโดยวิธกี ารพดู โต้ตอบกนั การเขยี น หรอื การรว่ มกันสรปุ เป็นรายกล่มุ ๖. การเรียนรแู้ บบโต้วาที (Student debates) คือการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ทจี่ ดั ให้ผู้เรียนได้นาเสนอขอ้ มูลที่ ไดจ้ ากประสบการณ์และการเรยี นรู้ เพ่อื ยืนยนั แนวคิดของตนเองหรือกล่มุ ๗. การเรยี นร้แู บบผ้เู รยี นสร้างแบบทดสอบ (Student generated exam questions) คือการจัดกิจกรรมการ เรียนรทู้ ีใ่ ห้ผเู้ รียนสรา้ งแบบทดสอบจากสง่ิ ท่ไี ด้เรียนรมู้ าแล้ว
๘. การเรยี นรู้แบบกระบวนการวิจยั (Mini-research proposals or project) คอื การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ท่อี งิ กระบวนการวจิ ยั โดยใหผ้ ู้เรียนกาหนดหัวข้อทตี่ อ้ งการเรยี นร,ู้ วางแผนการเรียน, เรียนรตู้ ามแผน, สรปุ ความรูห้ รือ สรา้ งผลงาน, และสะท้อนความคิดในสง่ิ ที่ไดเ้ รยี นรู้ หรืออาจเรียกวา่ การสอนแบบโครงงาน(project-based learning) หรอื การสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน(problem-based learning) ๙. การเรียนรแู้ บบกรณศี กึ ษา (Analyze case studies) คอื การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีให้ผเู้ รยี นไดอ้ า่ นกรณี ตัวอยา่ งทต่ี อ้ งการศึกษา จากนนั้ ใหผ้ ู้เรียนวเิ คราะห์และแลกเปลย่ี นความคดิ เห็นหรอื แนวทางแก้ปัญหาภายในกลุ่ม แล้วนาเสนอความคิดเห็นตอ่ ผ้เู รียนทัง้ หมด ๑๐. การเรยี นรู้แบบการเขียนบนั ทึก (Keeping journals or logs) คอื การจดั กิจกรรมการเรียนร้ทู ผ่ี เู้ รียนจด บนั ทึกเรื่องราวต่างๆ ทไ่ี ดพ้ บเหน็ หรือเหตุการณ์ที่เกิดข้นึ ในแต่ละวนั รวมทัง้ เสนอความคดิ เพิ่มเติมเกี่ยวกบั บนั ทึกท่ี เขียน ๑๑. การเรยี นรแู้ บบการเขยี นจดหมายข่าว (Write and produce a newsletter) คอื การจัดกจิ กรรมการ เรียนร้ทู ี่ใหผ้ ู้เรยี นร่วมกนั ผลิตจดหมายขา่ ว อันประกอบดว้ ย บทความ ขอ้ มลู สารสนเทศ ข่าวสาร และเหตกุ ารณท์ ี่ เกดิ ขนึ้ แลว้ แจกจา่ ยไปยังบคุ คลอน่ื ๆ ๑๒. การเรยี นรู้แบบแผนผงั ความคดิ (Concept mapping) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ใ่ี ห้ผูเ้ รยี นออกแบบ แผนผงั ความคดิ เพือ่ นาเสนอความคิดรวบยอด และความเช่ือมโยงกันของกรอบความคดิ โดยการใชเ้ สน้ เปน็ ตัว เชอ่ื มโยง อาจจดั ทาเปน็ รายบุคคลหรืองานกล่มุ แลว้ นาเสนอผลงานต่อผ้เู รยี นอ่นื ๆ จากนั้นเปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นคนอ่นื ไดซ้ กั ถามและแสดงความคดิ เห็นเพ่ิมเตมิ ๗. การแบ่งปนั ความรู้ (Knowledge Shairing) การแบง่ ปันความรู้ คือ การท่ีกล่มุ คนท่มี ีความสนใจในเรอื่ งใดเร่อื งหนง่ึ รว่ มกัน มารวมตัวกนั และแลกเปลย่ี น เรยี นรู้ ด้วยความสมคั รใจ เพ่ือร่วมสรา้ งความเข้าใจหรอื พฒั นาแนวปฏิบตั ใิ นเร่ืองนน้ั ๆ การแบง่ ปันความรู้มหี ลายวิธี 1. การสรา้ งวฒั นธรรมในองค์กรใหม่ ให้รู้จกั การแบ่งปนั ความรู้ หรือพูดงา่ ยๆ คอื การสร้างองคก์ รแห่งการ เรียนรู้ (Learning Organization) 2. การนาหลกั การของ การจัดการองค์ความร้มู าใชใ้ นองคก์ ร หรอื ทเี่ รามกั จะเรียกกนั ว่า Knowledge management 3. การถ่ายทอดความรู้ หรอื ประสบการณ์ส่วนตวั ด้วยเวบ็ ไซต์ หรือบล็อก 4. หัดรบั ฟงั ความคิดเห็นของคนในองคก์ ร เพอ่ื สร้างวัฒนธรรมในการคิดใหก้ ับทุกๆ คน 5. ในแง่การศกึ ษาก็เช่นเดียวกัน ครู อาจารย์ควรรบั ฟงั แงค่ ดิ ของเดก็ ๆ นกั เรยี น นักศึกษาบ้าง บ่อยใหเ้ ด็กๆ คิดอะไรกไ็ ด้ ไม่ใช่ว่าจากัดกรอบความคิดเพียงแคใ่ นตาราเรียน หลักการทีเ่ ป็นพื้นฐานสาคญั ของการแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ 1. ตอ้ งมคี วามเอาใจใส่กนั (Care) 2. ต้องมคี วามรัก ความเอื้ออาทรต่อกัน (Love) 3. ต้องมคี วามไว้เนอ้ื เชื่อใจกนั (Trust) 4. ตอ้ งร้สู กึ ปลอดภยั (Safe)
องคป์ ระกอบหลกั ท่ีสาคัญๆ ของการแลกเปล่ียนเรียนรู้ (Knowledge Sharing) ๑. คน (People) ถือวา่ เป็นองคป์ ระกอบทีส่ าคญั ทีส่ ุด เพราะเป็นแหล่งศนู ย์รวมของความรทู้ ส่ี มควรนา ออกมาแบ่งปันเป็นอยา่ งยงิ่ ๒. สถานที่ และบรรยากาศ (Place) เป็นองคป์ ระกอบท่จี ะทาใหก้ ารแลกเปล่ยี นเรียนร้มู ชี วี ติ ชีวาและ นา่ สนใจ ๓. สงิ่ อานวยความสะดวกต่าง ๆ (Infrastructure) เป็นองค์ประกอบทชี่ ่วยให้การแบง่ ปนั และแลกเปล่ยี น เรยี นรูเ้ กดิ ได้งา่ ยและสะดวกขน้ึ ๘. หลกั การสร้างพลังความคิดเชิงบวก (The Power of Positive Thinking) คือการสรา้ งความเชอ่ื มน่ั ในตนเอง เช่ือในส่ิงที่ดงี ามว่าเป็นสงิ่ ท่ีถูกต้อง มองสิง่ ต่างๆ อยา่ งเข้าใจ ยอมรับได้ใน ด้านลบ มองปญั หาความทุกข์ความไม่ราบร่ืนเปน็ เร่อื งธรรมดา รจู้ กั เลอื กใชป้ ระโยชน์จากด้านบวกที่แึงอยูจ่ ากสง่ิ นัน้ ๆ ได้ เหตุการณ์บางอยา่ ง เราไมส่ ามารถเลอื กได้วา่ จะใหเ้ กิดหรอื ไมใ่ ห้เกดิ บคุ ลกิ ภาพเชิงบวก (Personality Plus) คนเราต่างเกิดมาพรอ้ มกบั ขอ้ ดแี ละข้อเสียของตัวเอง ไม่มสี ูตรสาเร็จใดที่ใช้ได้กับคนทกุ คน เพราะแตล่ ะคนมี เอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละบคุ คลท่จี ะทาใหป้ ระสบความสาเรจ็ ในรูปแบบท่แี ตกต่างกนั ไป บคุ ลกิ ภาพของคนแบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท ดงั น้ี 1. รว่ มสนุกกับคนรา่ เรงิ 2. จัดระเบียบไปกบั คนเจ้าระเบยี บ 3. ทางานให้คบื หน้าไปกบั คนไม่ยอมใคร 4. ผ่อนคลายกับคนประเภทอะไรก็ได้ การจะเข้าใจคนอ่ืนได้นน้ั เราตอ้ งเร่มิ จากการเข้าใจตัวเองเสียก่อน ไมว่ ่าคณุ จะมีพ้ืนฐานบุคลิกภาพแบบใด หากคุณเร่ิมตน้ ท่ีจะลงมืออยา่ งจริงจงั พัฒนาจุดเดน่ แกไ้ ขจุดดอ้ ยของตัวเอง คณุ ก็สามารถพัฒนาตวั เองและ สมั พันธภาพกบั คนอืน่ ไดอ้ ยา่ งไมน่ า่ เชื่อ วธิ ที ่ีดีทสี่ ุดคือเขา้ ใจตัวเอง เขา้ ใจคนอน่ื ยอมรบั ตัวเองและยอมรับคนอนื่ อยา่ ง ทเ่ี ขาเปน็ ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ความฉลาดทางอารมณ์ หมายถงึ ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ มีจิตใจทม่ี น่ั คง การมองโลกในแงด่ ี รู้จัก เหน็ อกเหน็ ใจผ้อู น่ื รจู้ ักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มคี วามมุ่งมัน่ แน่วแน่ มเี หตผุ ล มีสติ สามารถควบคมุ ตนเอง มี ความสามารถในการรบั ร้ถู ึงความตอ้ งการของคนอ่ืน และรจู้ ักมารยาททางสงั คม เปน็ ต้น ความฉลาดทางอารมณ์ ประกอบดว้ ยปัจจยั สาคัญ ๓ ประการไดแ้ ก่ ๑. ความดี ๒. ความเก่ง ๓. ความสุข ซึ่งแตล่ ะปจั จัยกใ็ ห้ความหมายท่ี แตกต่างกันดงั ตอ่ ไปน้ี คณุ ลักษณะ 10 ประการ ของผ้มู ีระดับคุณภาพทางอารมณส์ ูง 1. รบั รู้อารมณ์ของตนเอง มากกวา่ ท่จี ะกล่าวโทษสถานการณ์ หรอื ผูอ้ ่นื 2. สามารถแยกแยะระหวา่ ง ความคิด กบั ความรู้สกึ ได้ 3. มีความรับผดิ ชอบตอ่ ความร้สู ึกของตนเองไม่โทษโนน่ โทษน่ี 4. รจู้ กั ใช้ ความร้สู กึ เพ่อื ช่วยในการตัดสินใจ 5. มีความเคารพ ให้เกียรตใิ นความร้สู กึ ของคนอ่ืน
6. เมื่อถกู กระตนุ้ ให้โกรธ จะสามารถ ควบคมุ จิตใจไมใ่ ห้โกรธได้ และสามารถแปลงพลังความโกรธใหเ้ ปน็ พลงั ในทางสรา้ งสรรคไ์ ด้ 7. เข้าใจเหน็ อกเหน็ ใจและยอมรบั ในความรสู้ กึ ของผอู้ ่ืน 8. รจู้ ักึกกหาคุณค่าในทางบวก จากอารมณใ์ นทางลบ 9. ไม่ชอบวิพากษว์ จิ ารณ์ ตัดสิน ออกคาส่งั ทาการควบคมุ หรอื แนะนาสงั่ สอนผ้อู ่ืน เปน็ กจิ วัตร 10. หลีกเลี่ยงการปะทะอารมณ์กบั คนทไี่ ม่ยอมรบั หรอื ไมเ่ คารพความร้สู ึกของผู้อื่น ความฉลาดทางอารมณ์ สามารถสรุปได้ดังน้ี ความฉลาดทางอารมณ์ = เข้าใจตนเอง + เข้าใจผู้อนื่ + แกไ้ ขความขัดแยง้ ได้ เข้าใจตนเอง = เขา้ ใจอารมณ์ ความรู้สกึ และความต้องการในชีวติ ของตนเอง เข้าใจผูอ้ นื่ = เขา้ ใจอารมณ์ความรู้สึกของผอู้ ่นื และสามารถแสดงออกมาได้อย่างเหมาะสม แกไ้ ขความขัดแย้งได้ = เมอ่ื มปี ัญหาสามารถแกไ้ ขจัดการให้ผ่านพ้นไปได้อยา่ งเหมาะสมท้งั ปัญหาความเครียดในใจ หรอื ปญั หาทีเ่ กิดจากการขดั แยง้ กับผอู้ ่ืน ๙. หลกั การสร้างความสาเรจ็ ดว้ ยกฎแหง่ ความสาเร็จ (The Law of Success) เมือ่ กลา่ วถึงหลักการคิดเพอ่ื การสรา้ งความสาเร็จในอนาคตหลายคนอาจจะมีหลกั คดิ ทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป แต่ หากต้องการหลกั การหรือปรัชญาเพอื่ มงุ่ ไปสูค่ วามสาเรจ็ อย่างยั่งยืน การเลอื กเอาปรชั ญาเพื่อนาไปสู่การประสบความ สาเรจ็ ที่มีหลายๆ คนนิยมใช้ทัว่ โลกนับเปน็ สิ่งทไ่ี ม่ควรมองขา้ ม ท้งั นี้กเ็ พ่อื ใหก้ ารไปสคู่ วามสาเร็จไม่ใช่เรือ่ งยากอกี ตอ่ ไป นั่นเอง หลกั ปรชั ญาแห่งความสาเร็จ นัน้ มีที่มาจากนโปเลียน ฮิลล์ ผู้เปน็ นักเขยี นที่ได้รบั การยกย่องจากผู้คนทั่ว โลก พรอ้ มกนั นัน้ ก็ยงั ได้รบั การยอมรบั จากคนทัว่ ไปว่าเขาเป็นผู้ทปี่ ระสบความสาเรจ็ มากทส่ี ดุ คนหนงึ่ เขามสี ่วนสาคญั ในการสรา้ งแนวคดิ ท่ดี ใี ห้กับเจ้าของธุรกิจท่ียง่ิ ใหญ่ท่วั โลก จนอาจจะกลา่ วได้ว่าเขาเป็นหน่งึ ในผสู้ ร้างประวัติศาสตร์ ของนกั บรหิ ารไดเ้ ลยทเี ดียว หลกั การของ นโปเลียน ฮลิ ล์ 17 ขอ้ ท่ี ดงั นี้ 1. การกาหนดเปา้ หมายทชี่ ดั เจน การมเี ป้าหมายทีแ่ นน่ อนชดั เจน คือจุดเริม่ ต้นของการประสบความสาเร็จ ทง้ั ปวง การที่คุณไมม่ เี ป้าหมายหรือแผนการในหัวนน้ั จะทาให้คุณใช้ชวี ติ อยา่ งไร้จุดมงุ่ หมายเหมอื นกบั เรอื ทลี่ อยเควง้ คว้างอยกู่ ลางมหาสมทุ ร 2. การร่วมมอื ร่วมใจกนั การทางานรว่ มกนั ระหว่างสองบุคคลข้ึนไปเพื่อทีจ่ ะบรรลุเป้าหมายทไ่ี ด้วางไว้ และ ความสาเรจ็ จะเกิดขน้ึ ไม่ได้เลยหากปราศจากการร่วมมือกันกับผู้อน่ื 3. การมีความศรัทธา คือ สภาวะทจี่ ิตใจของเราแึงไปดว้ ย เปา้ หมาย แรงปรารถนา และแผนการ ซึง่ สง่ิ เหล่าน้เี องที่จะนาไปสู่ความสมดุลในชีวติ และทรพั ย์สิน 4. การทามากกวา่ ทใี่ ครคาดหวงั การทาให้มากเกนิ กว่าท่ใี ครคาดหวงั คอื การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีใหม้ ากกว่าเงนิ เดือนทค่ี ุณถกู จา้ ง และเมอ่ื คุณทมุ่ สุดตวั เมือ่ ใด เม่ือน้ันคณุ ก็จะได้รับคา่ ตอบแทนอนั คุ้มค่าตามมา 5. การมีบคุ ลิกภาพทีด่ ี คือภาพรวมของ จติ ใจ อารมณ์ความรสู้ กึ ลักษณะทา่ ทาง และอุปนสิ ัยของเรา ท่ี สามารถแยกลักษณะออกจากบุคคลคนอ่นื ๆ ได้ ส่งิ น้เี องทีค่ นอน่ื ใช้ตดั สนิ เราว่าเราเปน็ คนน่าไวใ้ จหรือไม่
6. การริเริ่มทตี่ วั ของเราเอง คือพลังทจ่ี ะกระตุ้นใหเ้ กิดการบรรลุเปา้ หมายที่เราไดต้ งั้ ไว้ มันคอื พลงั ซ่งึ เป็น จุดเร่ิมต้นของการกระทาทง้ั ปวง คณุ จะไม่สามารถเป็นอสิ ระไดเ้ ลย จนกว่าคุณจะเรียนรู้ทจ่ี ะทาในสงิ่ คุณอยากทาและมี ความกล้าพอท่ีจะลงมอื ทามัน 7. การมที ัศนคติทดี่ ี การมที ัศนคติเชิงบวก คือส่ิงที่ควรทาในทุกสถานการณ์ เพราะเราคิดสงิ่ ใดมันยอ่ มดงึ ดดู ส่ิงนั้นเข้ามาเสมอ ความสาเร็จก็มักดงึ ดูดความสาเรจ็ มากมายเข้ามา ขณะท่ีความลม้ เหลวก็มกั จะดึงดดู ความล้มเหลว มากมายเข้ามาเชน่ กนั 8. การกระตอื รอื ร้น คือการมีศรัทธาหรือความปรารถนาอันแรงกล้าท่ีออกมาจากภายใน และสามารถแสดง ออกมาผา่ นนา้ เสียง สีหน้า ทา่ ทาง และอารมณไ์ ด้ 9. การมีวนิ ยั ในตนเอง เรม่ิ จากการเปน็ นายของความคดิ ตัวเอง หากคุณควบคุมมันไมไ่ ด้ คุณกค็ วบคมุ ความ ตอ้ งการของตวั เองไมไ่ ด้เช่นกนั ซงึ่ การที่คุณจะมีวนิ ัยในตัวเองไดน้ น้ั คณุ จาเปน็ ต้องมคี วามสมดลุ ของสมองและหวั ใจ หรือสมดุลการใชเ้ หตุผลและอารมณน์ ้นั เอง 10. การมีความคิดทเ่ี ท่ียงตรง พลงั แห่งความคิด อาจเป็นพลังท่อี นั ตรายที่สุดหรืออาจจะเป็นประโยชน์ที่สดุ สาหรบั มนษุ ยชาติ ข้ึนอยกู่ ับวา่ คุณจะใชม้ ันอยา่ งไร 11. การใส่ใจในสิง่ ท่ที าอยู่ นาไปสู่การเปน็ นายของความเพียรพยายาม นอกจากมันจะชว่ ยใหค้ ุณสามารถ โฟกัสความคิดของคณุ ไดแ้ ล้ว มันยังช่วยให้คณุ บรรลเุ ปา้ หมายและรกั ษาความตง้ั ใจของคุณเอาไวไ้ ด้ดว้ ย 12. การทางานเป็นทมี ทมี เวิรค์ คอื การทางานเป็นอนั หนงึ่ อนั เดียวกัน ซึ่งก็คือ ความต้ังใจ สมคั รใจ และ ความเปน็ อสิ ระ เม่ือใดก็ตามที่ทุกคนมคี วามสามัคคกี ันในการทาธรุ กิจหรอื อุตสาหกรรม ความสาเรจ็ กย็ ่อมไมห่ นีไป ไหน ความสามัคคีกลมเกลยี วจึงเปน็ เสมือนสมบัติที่ประเมินคา่ ไม่ไดเ้ ลย 13. การรู้จักความลาบากและความพ่ายแพ้ ความล้มเหลวเปน็ เพียงความพา่ ยแพเ้ พยี งชัว่ คราวท่ีพิสจู นว์ ่า น่ี อาจจะเป็นพรอันประเสริฐทแี่ ปลงตวั มา หรือเรียกอีกอยา่ งก็คอื เรือ่ งดี ๆ ทแ่ี ึงอย่ใู นเรื่องรา้ ย ๆ การทีค่ นเราจะ ประสบความสาเรจ็ ไดน้ ้ัน ล้วนผา่ นความยากลาบากและความลม้ เหลวมาก่อนแลว้ ทง้ั นนั้ 14. การคิดอยา่ งสร้างสรรค์ การมคี วามคดิ สร้างสรรค์ เกิดขึน้ จากการที่คณุ กล้าคดิ กล้าจนิ ตนาการได้อย่าง อสิ ระ มนั จงึ ไมใ่ ชป่ าฏิหารยิ ์และไม่เกยี่ วกับการมพี รสวรรค์หรือไม่มีพรสวรรค์มาแตก่ าเนดิ 15. การมีสขุ ภาพทด่ี ี การมสี ุขภาพร่างกายแข็งแรงเร่มิ ดว้ ยการึกก ึนสมาธิ ซึ่งก็เหมือนกับการประสบความ สาเรจ็ ในการลงทุน ท่เี รมิ่ ด้วยการเจรญิ สติ 16. การบรหิ ารเวลาและเงิน เวลาและเงนิ คือทรัพยากรที่มคี ่า และมคี นที่กาลงั ตอ่ สเู้ พื่อความสาเร็จเหล่าน้ี เพียงไมก่ ่ีคนเท่านนั้ ทีเ่ ชอื่ มน่ั วา่ พวกเขาจะตอ้ งครอบครองสง่ิ เหล่านใ้ี หไ้ ด้ 17. อุปนสิ ยั การพัฒนาและการสร้างนิสยั เชิงบวกจะชว่ ยใหจ้ ิตใจเราสงบข้นึ มสี ุขภาพดแี ละมีความมน่ั คง ทางการเงินดว้ ย ดังนนั้ ความสาเร็จลว้ นมาจากสิ่งเหล่าน้ีกค็ ือ นสิ ัยเชงิ บวก วธิ ีคิด และการกระทาของคณุ เอง
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: