ปรชั ญาขงจือ้ (confucianism) ภายหลังจากยุคสมัยแหง ความเชื่อดั้งเดมิ อันยาวนาน และการสะสมสติปญญาท่ีเพิม่ ขึ้นท่ีละเล็กละนอยจนี ก็ได กาวเขา สูย ุค “ปรชั ญาเมธี” (philosophical Period) ประมาณศตวรรษที่ 6 กอ นครสิ ตศักราช ปรัชญาจนี ไดเปดฉากขน้ึ แลว และตลอดประวัติศาสตรท างความคดิ อันยาวนานของจีน จีนไดคดิ คนและเสนิระบบจริยะศาสตรแ ละระบบการ ปกครองสาํ หรับการใชใ นสาํ คมมนุษยคร้งั แลวครง้ั เลาอยางนบั ไมถ วน ควบไปกบั จริยะและการเมือง จีนก็ไดค นหา ความหมายของการดาํ รงอยูของชีวติ มนุษย และความกลมกลนื ระหวางมนุษยกบั จักรวาลที่เขาอาศัยอยู แนวความคดิ เหลา น้ไี ดหลอ หลอมจยิ ะธรรมจีนใหม ีลกั ษณะเดนดา นสรางสรรคช ีวติ ความเปนอยูท ง้ั ของสังคมและปจเจกบุคคล และ ดํารงความตอ เน่ืองมาโดยไมขาดสาย นกั ปรชั ญาจนี สว นใหญใ หคามสนใจเรื่องจริยธรรมและการปกครอง เรื่องทั้งสองน้ีกลายเปนลักษณะเดน ของ ปรชั ญาจนี ปรชั ญาขงจ้ือ (confucianism) ในฐานะท่ีเปนสวนหนึ่งของปรชั ญาจีนไดใหความสาํ คัญในเร่อื งจรยิ ธรรม และการเมืองเปนอยางมาก นกั ปราชญที่สําคญั ในปรัชญาขงจื้อมสี ามทานคอื ขงจ้ือ เมงจอ้ื และซนุ จ้อื ขงจื้อเปนผูกอ ตั้ง สํานักโดยมเี มงจ้อื และซนุ จ้ือเปนสานุศิษยร ุนหลงั ทีม่ าอธบิ ายขยายความสืบตอ คําสอนของขงจือ้ ใหกวางขวางออกไป ชีวิตของขงจ้อื (Confucius) ขงจอ้ื (511 -479 กอน ค.ศ.) หรืออาจารยขง (k’ung Tzu or master K’ung) เปน ทีร่ ูจักกันในหมู นักศึกษาชาวตะวนั ตกวา Confucius ซง่ึ นเปนคําภาลาตนิ ทชี าวตะวันตกในยุคหลังไดตั้งใหแกทาน ขงจื้อมีชือ่ สกลุ วา ขง (k,ung) และมชี ือ่ ตวั วา ชิว (Ch,iu) ชีวิตของขงจื้อพอจะแบง ไดเ ปน5 ชวงดงั นี้ 1. วัยเยาวทสี่ นั โดษ (อายุ 1-21 ป) ขงจ้อื เกดิ และตายในรัฐหลู (LU) ซึง่ อยูทางใตข องจังหวัดชางตงุ (Shangtung) ในปจจุบันชางตุงไดก ลายเปน ดินแดนอันศกั ดส์ิ ิทธข์ิ องชาวจนั นบั ต้ังแตนั้น ขงจอื้ เปน ลูกคนสดุ ทอ งและเปน บุตรชายคนเดียวท่สี มประกอบเพียงคนเดียว ในจํานวนพี่นองท้ังหมด 11 คน บิดาไดถ งึ แกกรรมเมือ่ ทานมอี ายุไดเพียง 3 ป นบั แตน ้นั ทานตอ งทํางานหลักเพอื่ ชว ยเหลือ จนุ เจอื ครอบครัว ทานแตง านเม่อื อายุ 29 ป ในคัมภีรขงจื้อไมม ีหลักฐานยนื ยันถึงภรรยาของทานแตอยา งใด นอกจากตอนที่ ขงจอ้ื กลาวติเตยี นบุตรชายของตอนเองในเรื่องการไวทุกขในการตายของมารดา ขงจอื้ เขมงวดกวดขันตอ บตุ รชายคนเดยี ว ของตนเปนอยา งมาก ทา นเปนแบบอยา งที่ดใี นการทาํ งานในตําแหนง แรกของทา น 2. ครผู ปู ระสบความสาํ เร็จ (อายุ 21- 51 ป) โรงเรียนสว นตัวท่ีทา นตัง้ ขึ้นไดเ ตบิ โตจนกระทั่งทานมลี กู ศิษย 3,00 คน ทา นเปน คนท่ีมีเมตตาสงู ไมเ คยปฏเิ สธ นักศึกษาท่ยี ากจนแตมีความตั้งใจจรงิ สง่ิ ทที่ านตองการเพียงอยางเดียวคือความเอาใจใสตอ การศกึ ษา ทานมคี วามสนใจ อยา งกวางขวาง และวิชาท่ีทา นสอนกม็ มี าก เชน ประวตั ิศาสตร กวนี ิพนธ วรรณคดี นิตธิ รรมเนยี ม การปกครอง ธรรมชาติศึกษา ดนตรี เปนตน สิ่งท่ีทานหลีกเยงคอื การใชกําลงั ความไรระเบยี บ เวทมนตค าถาและไสยศาสตร ทา นจะ ชนื่ ชอบเปนพิเศษตอ ลกู ศิษยทีแ่ สดงความสามารถในดา นคุณธรรมวาทศลิ ป การบริหาร และอกั ษรศาสตร 3. ความสาํ เร็จในชวี ิตราชการ (อายุ 51 – 55 ป) ขงจือ้ ในฐานะนักปราชญท ่ีมชี ื่อเสยี งแหง ทอ งถิ่นไดรับการแตง ตัง้ ใหเปนหวั หนา ผพู ิพากษาของเมอื ง ทา นได กาวหนาขนึ้ ตามลาํ ดับจนกระท้งั เปน ผชู วยผอู าํ นวยการดา นการทาํ งานและหวั หนา ฝา ยความยุตธิ รรมของรัฐ ทง้ั ในการ
บรหิ ารภายในและในกจิ การระหวา งรฐั ขงจือ้ ประสบความสาํ เร็จโดยไดร ับความเคารพเช่อื ฟงเปน อันดี และเกดิ ความสงบ สุข ความเปนระเบียบเรยี บรอ ย และแมกระทัง้ การเร่มิ ตนลดกําลังอาวุธ ทานประกาศวาสง่ิ จาํ เปน ขอ แรกสดุ สาํ หรับรฐั บาล นนั้ ไมใชร ายได แตค ือการกระทําตามหนา ทอ่ี ันเหมาะสมของบุคคลอยางไรกต็ ามดวยความฉอ แลภายในบางประการ ประจวบกบั ความอิจฉารษิ ยาจากรัฐขางเคยี ง ทําใหขงจื้อตองลาออกตําแหนง 4. ผสู ่ังสอนท่จี ารกิ แรรอน (อายุ 55- 68 ป) ดว ยความเชือ่ มันอยา งไมท อ ถอยในความสามารถของตนในบานะนกั ปฏิรปู สังคมและการบริหาร ขงจ้ือได เสาะหาตาํ แหนงราชการในรฐั อนื่ แตไ มประสบความสาํ เร็จ อยา งไรก็ตาม ความเช่อื มนั่ ของทา นยังมอี ยตู อ ไปในขอทว่ี า รัฐบาลทดี่ ียอ มจะยังผลใหเกิดการปฏริ ูปทุกอยา งทจ่ี าํ เปน แมแตการปฏิรปู ธรรมชาติของมนุษยด วย ทานไดใหก ําลงั ใจแก สานศุ ิษยท ่ีผิดหวงั ของทา นเอง ดวยการแดงความกระตอื รอื รนอยางเชื่อมั่นในอันท่ีจะปฏิรูปสงั คมในรัฐตาง ๆ ของจีน ในการสนทนาครัง้ หน่ึงกับขาราชการช้ันผนู อ ยคนหนงึ่ ขงจื้อไดก ลา วถงึ หนาทีอ่ นั สวรรคส ง มาสาํ หรับทา นใน ฐานะนักปฏริ ูปผูทรงคุณธรรมแมเ ม่ือตอ งเผชิญกบั ภยั อนั ตรายของชีวติ ทา นยงั คงเชอื่ ม่นั ในคณุ ธรรมแหงสวรรคของทาน แมถ ูกรมุ ทํารา ยและเกอื บจะถูกฆาตายในเมอื งกวา ง (The town of Kwang) ทา นก็ยงั เสดงถึงความเช่อื มั่นถึงการ ปกปองของสวรรคในการปฏิบัติหนา ทีแ่ หง สัจจะของทา น และเม่ือทานตองตกตาํ่ แทบสน้ิ เนือ้ ประดาตวั ทานกย็ ังคงรา เรงิ อยใู นคณุ ธรรมโดยไมปรปิ ากบนแมแตคําเดยี ว แมแตตองทนทุกขรว มกับสานศุ ิษยผูผิดหวังของทา น ทานกย็ งั คงไมเสื่อม ถอยในคุณธรรม แทนทีจ่ ะปลีกตัวไปอยูอ สิ ระเพียงผเู ดียว ทา นกลับต้งั ใจแนว แนในอนั ทจ่ี ะชวยโลกทย่ี ุงยากน้ี แมบ างครั้ง จะผิดหวงั และถูกยว่ั เยา มากเพียงใดก็ตาม ทา นกไ็ มเคยขาดสานุศิษยผ สู ือ่ สัตยแมแ ตคร้งั เดยี ว 5. งานดานอักษรศาสตรในบ้ันปลาย (อายุ 68-72 ป) ชวงชีวติ ระหวางน้ที า นไดร วบรวมงานเขียนซ่งึ เปนทร่ี ูจักกนั วา “วรรณกรรมของขงจ้ือ” (Confucian Classics) จนเสรจ็ สมบูรณทัง้ หมดนี้มีเพียงเลม เดียวเทา นั้นท่ีเปนงานเขียนโดยตรงของทา นคือ บนั ทกึ ฤดูใบไมผ ลแิ ละฤดู ใบไมรวง (Spring and Autumn Annals) อนั เปนบันทึกเหตุการณของรฐั หลู (The State of Lu) ซึง่ มผี ลตอ การปฏริ ปู เปลย่ี นแปลงอยางสาํ คัญในเวลาตอ มา และกอ นท่ีทา นจะจากไป ขงจ้ือไดพดู กบั ตวั เองวา “ขนุ ผาอันย่ิงใหญ จะตองแตกทะลาย ขื่อคาที่แข็งแรงจะตองแตกรา ว และผูมปี ญ ญาจะรว งโรยไปเหมอื นตนไมเล็ก ๆ ไมมีผใู ดในอาณาจกั รนี้ แมแตค นเดียวท่ีจะเปน ครูของฉันได เวลาแหง ความตายของฉนั ไดมาถงึ แลว” พัฒนาการทางสตปิ ญ ญาของขงจื้อ ขงจอ้ื ไดก ลาถึงพัฒนาการทางสตปิ ญญาของตนเองไวด ังนี้ เม่ืออายุ 15 ป ขา พเจา ต้ังจิตใจไวกบั การศึกษา เมื่ออายุ 30 ป ขาพเจา สามารถยืนได เมื่ออายุ 40 ป ขา พเจาไมมีความสงสัย เมื่ออายุ 50 ป ขาพเจา รูถึง “บัญญัตแิ หงสวรรค” เมือ่ อายุ 60 ป ขาพเจาเชอื่ ฟง (ตอ “บัญญตั แิ หง สวรรค” ) เมอ่ื อายุ 70 ป ขา พเจาสามารถทําตามความตองการของจิตใจตนเอง โดยไมกา วลํ้าออกนอกขอบเต (ของสิง่ ที่ถูกตอง) (ขงจือ้ 2.4)
แมว าวถิ ีชวี ติ ของขงจ้อื จะเปน เชนใดกต็ าม แตส ตปิ ญ ญาของทา นไดก า วหนาข้นึ เปน ลําดับอยางไมหยดุ ย้งั เม่ือ อายไุ ด 15 ป ขงจ้อื ไดก ลายเปนคนทใี่ ฝใจตอ การศึกษาอยา งแทจริง ขงจ้อื กลา ววา “ทานอาจจะผมเห็นบคุ คลทม่ี ีคุณธรรม แบบขาพเจา แตเปนการยากยง่ิ นักที่จะพบเห็นบุคคลท่ีใฝใจตอ กรศกึ ษาเชนเดียวกับขาพเจา ” ขงจ้ือเปนผทู ใี่ ฝใจตอ การศกึ ษาตง้ั แตอ ายยุ งั นอ ย เมือ่ อายุ 30 ปขงจือ้ สามารถยนื อยูไดบนพน้ื ฐานของคณุ ธรรมและความถกู ตองตามประเพณที ่ีดี งาม ทา นกลา ววา “เม่อื ไมรูจักประเพณีทด่ี งี ามแลว ก็เทา กับวาไมมจี ุดยนื ” (ขงจอื้ 20.3) เม่ืออายไุ ด 40 ปขงจอื้ ไมม ีความสงสัยในเรอื่ งความดีความชั่ว ความถูกความผดิ ทานกลาววา “ผมู ีปญ ญาเปน อิสระจากความสงสยั ผูมีคณุ ธรรมเปน อิสระจากความวติ กกังวล ผทู ก่ี ลาหาญเปน อสิ ระจากความกลวั ” (ขงจ้ือ 9.28) เมอ่ื อายุได 50 ปทา นไดรูถ งึ “บญั ญัตแิ หง สวรรค” ซ่งึ เปน เร่ืองทพี่ นไปจากอาํ นาตของมนุษยจ ะเขาไปจดั การได ก่ีทรี่ ูวา นอกจากผลงานการกระทําของตนเองแลว ยังมี “บัญญัติแหง สวรรค” เขามาเกี่ยวของกับวชี ีวิตของมนุษยอยู เปนเร่อื งของ ปญญาที่ไดตระหนักถึงสงิ่ ทยี่ ิ่งใหญกวา ตน ขงจอื้ กลา ววา “ผูทีไ่ มรจู ัก บญั ญตั แิ หงสวรรค ไมส ามารถจะเปนบุคคลที่ สูงสงได” (ขงจื้อ 20.3) เม่อื อายไุ ด 60 ป ขงจื้อเช่ือฟงตอ “บญั ญัตแิ หง สวรรค” น้ีโดยสมบูรณ ทานยอมรับถงึ ความจาํ กดั ของตนเอง และยอมรับถึงอาํ นาจทอ่ี ยูเ หนือกวา ทา กลาววา “ทาหากหลักการของฉันจะยงั คงอยใู นโลกน้ี ก็เพราะบัญญัติแหงสวรรค ทาหากลกั การของฉันจะสฯู สน้ิ ไป กเ็ ปน เพราะบญั ญตั แิ หงสวรรค อีกเชนกนั ” (ขงจอ้ื 14.38) และเม่อื ทานอายไุ ด 70 ป ทา นสามารถกระทาํ สงิ่ ตางๆไดอยางอิสระ โดยไมม สี งิ่ ใดที่ผิดทํานองคลองธรรมเลย เปนการเอาชนะจติ ใจของตนเองได อยา งสมบรู ณ นับเปนพัฒนาการข้นั สุดทา ยของนักปราชญ ขงจือ้ กับวรรณกรรมทัง้ หก (Confucius and the Six Classics) งานเขียนที่ขงจอื้ รวบรวมและชาํ ระสะสางมอี ยดู ว ยกนั 6 เลม เรียกวา “วรรณกรรมทงั้ หก” (The Six Classics หรอื Liu Ching) ใน “วรรณกรรมทัง้ หก” นี้สว นใหญเ ปน งานรวมรวบและชาํ ระสะสาง มเี พียงเลม เดียว เทานั้นทขี่ งจ้ือเขยี นข้นึ เองคือ บันทึกฤดูใบไมผ ลแิ ละฤดูใบไมรวง และ “วรรณกรรมทง้ั หก” น้ไี ดต กทอดมาถึงปจ จบุ ัน ยกเวน เพียงเลมเดียวเทา นั้นคอื ดนตรี “วรรณกรรมทั้งหก”ของขงจอื้ มีดังน้ี 1. หนังสอื แหงความเปลี่ยนแปลง (book of Changes หรือ I Ching) 2. หนงั สือแหงกวีนิพนธ (Book of Poetry หรอื Shih Ching) 3. หนงั สือแหง ประวตั ิศาสตร (Book of History หรือ Shu Ching) 4. หนงั สือแหง ประเพณีพิธี (Book of Rituals หรือ Li Ching) 5. ดนตรี (Music หรอื Yueh) 6. บันทึกฤดใู บไมผ ลแิ ละฤดูใบไมรว ง (Spring and Autumn Annals หรอื Ch’un Ch’iu) ขงจ้ือเปนนักศึกษาทสี่ ําคญั ยิ่งของจนี ทา นเปน ผทู ีต่ ีความคําสอนท่ีมมี าแตโบราณใหชดั แจนและมีความหมาย ในทางจริยะธรรมย่งิ ขน้ึ “วรรณกรรมทง้ั หก” นที้ า นเปนผนู ํามาชําระสะสางเสียใหมใ หเปน ระเบียบเรียบรอ ย พรอมทงั้ เขียนคําอธิบายและเพม่ิ เติมความเห็นเขา ไวดว ย ดังนัน้ ขงจอ้ื ไดช ่อื วา ไมเพียงแตเ ปนผูสืบทอดวฒั นธรรมทมี่ ีมาแตโ บราณให คงอยเู ทาน้ัน หากยังไดเพิ่มเติมคําสอนใหมๆ และขยายความวัฒนธรรมเดมิ นั้น จนเปน ระบบคาํ สอนท่ีชดั เจนขน้ึ มา
ตวั อยางเชน ตามวฒั นธรรมเดมิ ทไี่ ดปฏิบตั กิ นั มาน้ัน เมอ่ื บิดามารดาถึงแกก รรม บตุ รธิดาจะตอ งไวทุกขใ หแก บิดามารดาเปนเวลา 3 ป ขงจื้อก็ไดมาใหค วามหมายของการปฏิบัติเชน นว้ี า “เดก็ ไมสามารถที่จะจากออมแขนของพอ แม ไปได จนกวาจะมีอายุ 3 ป น้ีเปนเหตุผลที่วา ทําไมการไวทกุ ขเ ปน เวลา 3 ป จงึ เปน สงิ่ ทป่ี ฏบิ ัติกันอยางแพรห ลายจนเปน สากล” (ขงจือ้ 17 :21) และเมอ่ื พดู ถึง หนังสอื แหงกวนี พิ นธ ขงจื้อกไ็ ดใหค ุณคา ทางจริยธรรมแกหนังสือเลม น้ี โดยกลาววา “ใน หนังสอื แหงกวนี พิ นธนม้ี โี คลงกลอนทั้งหมด 300 บท แตเนอ้ื แทท้ังหมดของโคลงกลอนทั้งหมดเหลา น้ี สามารถสรุปลง ไดเ หลอื เพียงประโยคเดียววา อยาไดม ีความคิดท่ีคดโกง” (ขงจ้อื 2 :2) คมั ภรี ท้งั ส่ีในปรชั ญาขงจอ้ื (The Four Books in Confuciaism) คัมภรี ท่ีสําคญั ทเี่ ปนหลักในปรัชญาขงจ้อื มอี ยูดวยกัน 4 เลม เปน คมั ภีรทส่ี านศุ ิษยร นุ หลังของขงจื้อชวยกัน รวบรวมแตง ขนึ้ เรียกวา “คมั ภีรทัง้ สี่” (The four Books) ซ้ึงมีดังน้ี 1. ขงจ้อื (The Analects of Confucius หรือ Lun Yu) 2. หลกั แหง ทางสายกลาง (The Doctrine of the mean หรือ Chung Yung) 3. การศกึ ษาทีย่ ่ิงใหญ (the Great Learning หรอื Ta Hsueh) 4. เมง จอื้ (The Mencius หรือ Meng Tzu) เลน แรกนั้นเปนหนังสอื รวบรวมคาํ สอนของขงจ้อื ท่สี านศุ ิษยในสมัยหลังไดร วบรวมเขียนขึ้น เราไดท ราบถึง แนวความคดิ ของขงจ้ือในหนังสือเลมน้ีเปนสว นใหญ เลมทส่ี องเปนบทหนงึ่ ในหนังสอื แหง พธิ ีกรรม (Book of Rites หรอื Li Chi) ซึ่งเช่ือกนั วา จอ้ื ซู หลานชายของขงจื้อเปนผูเขยี นขึ้น เลมที่สามเปนอกี บทหนึง่ ใน หนังสือแหงพิธีกรรม เชน กัน สานุศษิ ยข องขงจ้อื ในศตวรรษที่ 3 และที่ 2กอ น ค.ศ. เปนรวบรวมข้นึ เลมทส่ี องและเลม ทีส่ ามน้ีเปนหนงั สือ รวบรวมคําสอนของเมงจอ้ื นักปราชญท สี่ ําคญั ในปรชั ญาขงจื้อรองลงมาจากขงจื้อ จรยิ ธรรมของปรัชญาขงจอื้ จรยิ ธรรมของปจ เจกบุคคล 1. ความชอบธรรม (อ)ี้ (Righteousness, Yi) ความดีสูงสดตามทรรศนะของขงจื้อไดแกส ่ิงท่เี รียกวา “ความชอบธรรม” (อ)้ี ความชอบธรรมของขงจ้อื หมายถึง “สิ่งท่คี วรจะเปน” (The “Oughtness” of a Situation) หรอื ความเหมาะสมถูกตอ งของเหตุการณ ทกุ ๆ คนใน สงั คมตา งกม็ ีหนา ทที่ ่ีเหมาะสมแกต นในการปฏบิ ตั ิ การรูตนเองควรจะทําสง่ิ ใด และการทาํ ในส่ิงทีต่ นเองควรกระทาํ คอื ความชอบธรรม อยางไรก็ตาม ถาบุคคลกระทาํ สิ่งใดสง่ิ หนึง่ โดยคํานงึ ถงึ ผลประโยชนเ ปนหลกั แมว าการกระทําของเขา จะบังเอิญออกมาถกู ตอ งกต็ าม แตการกระทาํ ของเขาน้ันไมจ ดั เปน “ความชอบธรรม” บคุ คลผูมปี ญญาหรอื “สภุ าพบรุ ุษ” (Superior Man) จะปฏิบัติภาระหนาท่ีของตนความหลักแหงความชอบธรรมนี้ ในขณะที่บุคคลผดู อยสตปิ ญญา (Inferior Man) จะกระทาํ ทุกสิ่งทกุ อยางเพยี งเพื่อกาํ ไร ขงจอ้ื กลา ววา ในการตดิ ตอ กับโลกภายนอก ผูทเี่ ปนสภาพบรุ ุษจะไมคาํ นึงถึงความเปนมติ รหรอื ศัตรู แตจ ะคาํ นงึ ถึงสง่ิ ทเ่ี ปนวา “ถกู ตอง” เทานั้น (ขงจอ้ื 4.10) ผูเปนสภุ าพบรุ ษุ จะใชค วามพยายามเพ่อื คน หาความถกู ตอ งในขณะที่ผูที่ตํ่ากวา จะใชค วามพยายามเพื่อคนหาผล กาํ ไร (ขงจ้ือ 4.16)
เม่ืออยูหนา คนดีจงคิดตลอดเวลาวา ทําอยางไรจึงจะสามารถปฏบิ ัติตวั ใหท ัดเทียมเขาไดเ มื่อพบคนชัว่ จงหลีกเลย่ี ง เสยี (ขงจื้อ 4.17) 2.มนุษยธรรม (เหยิน) (Humen – Heartedaness, Jen) “มนุษยธรรม” (เหยิน) ตามความหมายของขงจอ้ื หมายถึง “การมคี วามรกั ในบุคคลอื่น (Loveing others) ทุกๆ คนมีหนาที่ที่จะตอ งกระทําตามฐานะทางสังคมและตาํ แหนงในความรบั ผดิ ชอบของตน แตหนาที่อนั สําคัญทท่ี กุ คน จะกระทาํ รว มกันคือ การมคี วามรักในบุคคลอ่ืน ผูทีม่ ีความรกั ในบุคคลอืน่ อยา งแทจริงเทาน้ัน จงึ จะสามารถปฏิบัติ ภาระหนา ที่ของตนในสงั คมไดอยา งสมบูรณ ขงจ้ือกลา ววา “มนุษยธรรม ประกอบไปดวยความรักในบุคคลอื่น (ขงจื้อ 12.22) ตามหลกั ของปรชั ญาขงจอ้ื “ความชอบธรรม” (อ)้ี จะเกิดขึน้ ไดก็ตอ เมือ่ บุคลมี (มนุษยธรรม” (เหยนิ ) หรอื “ความรักในบคุ คลอื่น” ในความหมายทว่ี า “ขยายขอบเขตของการปฏิบตั ใิ หค รอบคลมุ ไปถึงบุคคลอน่ื ” เมงจื้อกลาววา จงปฏิบตั ิตอผูใหญในครอบครวั ของทา นใหเหมาะสมและขยายการปฏบิ ัตินีไ้ ปยังผใู หญใ นครอบครวั ของบุคคล อนื่ จงปฏิบัติตอ ผูนอ ยในครอบครวั ของทา นใหเ หมาะสม แขยายการปฏบิ ตั ิน้ไี ปยงั ผนู อยในครอบครวั ของบุคคลอื่น (เม งจื้อ 1 ก.7) บคุ คลที่ดีเม่ือเก่ยี วของกับวตั ถุส่ิงของจะรกั มัน แตไมใ ชดวยมนษุ ยธรรม เมอ่ื เกี่ยวของกับบุคคลอ่ืนจะมี มนุษยธรรม แตไ มใชด ว ยความรักใครเ สนหา บุคคลพึงมคี วามรักใครเ สนห าตอ สมาชิกในครอบครัว มมี นษุ ยธรรม ตอ บุคคลอื่น และมคี วามรักตอ วตั ถุสิ่งของ (เมงจ้ือ 7 ก.45) 3. ความรสุ ึกผิดชอบ (จง) (Conscientiousness’ Chung) “ความรูสกึ ผดิ ชอบ” (จง) เปนการปฏิบตั ิในแงบวกทม่ี งุ สู “มนุษยธรรม” (เหยิน) และ “ความชอบธรรม” (อ)ี้ หลักสาํ คญั มีอยูว า “จงปฏิบัติตอบุคคลอืน่ ใหเหมอื นกับทานตองการใหอื่นปฏิบตั ิตอ ทา น” ขงจอื้ กลาววา มนษุ ยแหง เหยิน คอื บุคคลทเ่ี ม่ือตองการเจือจุนตนเองก็เจอจุบุคคลอนื่ ดวยเมื่อตองการพฒั นาตอนเองก็พัฒนา บคุ คลอน่ื ดวยการมีความสามารถคํานึงถึงเพอื่ จะปฏิบัติตอคนอื่นใหเ หมอื นกับตวั เอง นนั่ และสง่ิ ที่เรียกวา การปฏิบัติเหยนิ (ขงจื้อ 6.28) ในหนังสอื หลงั แหง ทางสายกลาง (doctrine of the mean) กลา วไววา “จงปฏิบัตติ อ บดิ าของทานให เหมือนกับที่ทา นตองการใหบตุ รของทานปฏิบัตติ อทาน.. จงปฏบิ ัติตอผปู กครองของทา น ใหเหมอื นกบั ท่ีทา นตอ งการใหผู อยูใตปกครองของทานปฏิบตั ิตอ ทา น.. จงปฏิบตั ติ อพชี่ ายของทานใหเหมือนกับท่ีทา นตอ งใหใ หน องชายของทา นปฏิบัติ ตอทาน.. จงปฏบิ ตั ิเปนตัวอยา งตอเพ่ือนใหเหมือนที่ทา นตอ งการใหเพื่อนของทา นปฏิบัตติ อ ทาน” 4. ความเหน็ แกผ อู ื่น (สู) (Altruism, Shu) “ความเห็นแกผ ูอื่น” (สู) เปน การปฏบิ ัตใิ นแงลบท่ีมุง ไปสู “มนษุ ยธรรม” (เหยิน) และ “ความชอบธรรม (อ)้ี หลักสาํ คัญมีอยูวา “อยาไดป ฏิบัตติ อบุคคลอืน่ ในสงิ่ ท่ีทา นไมอ ยากใหบุคคลอ่ืนปฏิบัตติ อทา น” หนงั สอื การศึกษาที่ยงิ่ ใหญ (The Great Learning) กลา วไวว า “อยาไดน ําสิง่ ท่ีทานไมช อบในบุคคลทส่ี ุ งกวาทา นไปใชก บั บุคคลท่ีตํา่ กวา ทาน อยาไดน าํ ส่งิ ทไี่ มชอบในบุคคลที่ตกวา ทานไปใชก บั บุคคลที่สูงกวา ทาน อยา ไดนาํ ส่งิ ที่ทานไมช อบในบุคคลขา งหนาไปใชก ับบุคคลทีอ่ ยขู า งหลัง อยา ไดน ําสิง่ ทที่ านไมช อบในบุคคลท่ีอยขู างหลงั ไปใชก ับ
บคุ คลท่ีอยูขา งหนา อยาไดนําส่ิงทท่ี านไมช อบในทางขวาไปใชก ับทางซา ย อยา ไดน าํ ส่ิงท่ีทานไมชอบในทางซายไปใชก บั ทางขวา” สมัยหนง่ึ จอื คุง ถามขงจอ้ื วา “จะมีคาํ ใดบา งไหมท่ีจะใชเปนกฎปฏิบัติสาํ หรับทกุ สิง่ ในชวี ติ ของคนเรา” ขงจอ้ื ตอบวา “คาํ นนั้ ไมใ ช สู ดอก หรือ ส่ิงท่ีทา นไมชอบใหปฏิบตั ิตอตัวเอง อยาไดป ฏบิ ัติตอบุคคลอืน่ ” (ขงจอ้ื 15.23) อกี สมยั หนึง่ ขงจ้ือกลาววา “เชน (ชอื่ จรงิ ของ เซียงจอ้ื สานุศิษยคนหน่ึงของขงจอ้ื ) คาํ สอนของฉันท้งั หมดเกี่ยว โยงกนั ดวยหลักอนั เดียว” “เปนเชน นัน้ ” เซียงจ้อื ตอบ เมื่อขงจ้อื ออกจากหอ งไปแลว พวกสานศุ ิษยท้งั หลายพากันถามขนึ้ วา “ทา นหมายถงึ อะไร” เซยี งจือ้ ตอบวา “คาํ สอนของอาจารยของเราประกอบดว ยหลกั ของ จง และ สู และก็มเี พียงเทาน้ีเอง” (ขงจอ้ื 4.15) ดงั นั้น จง และสู จงึ เปนหนทางปฏิบัตทิ ่ีจะนาํ ไปสู เหยิน (ความรักในบคุ คลอ่นื ) อนั จะกอ ใหเกิด อี้ (ความชอบ ธรรม) ขนึ้ มา 5. บญั ญัติแหงสวรรค (หมงิ ) (Decree of Heavan, Ming) ปรัชญาขงจื้อมีหลักท่ีเกย่ี วกบั “การทาํ หนาทเ่ี พื่อหนาท”ี่ ขงจอ้ื สอนใหบคุ คลทงั้ หลายกระทําในสง่ิ ทตี่ นเองควร กระทาํ อยา งเตม็ ความสามารถ โดยไมตองวิตกกงั วลกับผลท่ีจะไดรบั จากงานน้ัน ทาํ งานเพราะเหน็ วาเปน ส่งิ ทถี่ กู ตอ งดี งามท่คี วรจะทาํ ทาํ เพราะเหน็ วา เปนหนาท่อี ันแทจริงของตน และทาํ เพราะเห็นวางานเปน เปน สง่ิ ที่มคี ุณคา ในตวั ของมันเอง และไมว าผลของงานจะออกมาในรูปใดกไ็ มค วรจะยึดติดกับผลของงานนั้น ขงจอ้ื ไดเสนอแนวความคิดเรอื่ ง “บญั ญตั สิ วรรค” (หมิง) เพือ่ ท่ีจะมาอธบิ ายถึงผลของงานท่ีจะปรากฏออกมา “บัญญัตแิ หง สวรรค” อยูนอกอยเู หนอื อาํ นาจการควบคมุ ของมนษุ ย และเปน สิ่งที่คอยบงการวิถีชีวิตของมนุษยอ ยู เพราะ “บัญญัตสิ วรรค” น้เี องท่ีทําใหบุคคลแตล ะคนไดร ับผลของงานและฐานะตางๆ ไมเ ทาเทียมกัน แตทกุ ๆ คน ควรจะทํางาน ในความรบั ผดิ ชอบใหเ ต็มท่ีจนสุดความสามารถ และผลของงานจะเปน อยางไรก็สดุ แลวแต “บัญญตั ิสวรรค” ชวี ิตของขงจ้อื เองเปนตัวอยา งท่ีดีในคําสอนเรื่องน้ี ทา มีชวี ติ อยูใ นยุคสมัยแหงความปนปว นทางสังคมและ ทางการเมืองครงั้ ใหญ ทา นไดพ ยายามอยา งเตม็ กําลงั ความสามารถในอนั ท่ีจะเปล่ยี นแปลงสังคมจีนในขณะนั้นใหด ีขน้ึ ทานไดเดนิ ทางไปทกุ หนทุกแหงและไดพดู คุยกบั คนทุกคน แมวา คามพยายามของทานจะปราศจากผลแตทานกไ็ มเคย ผิดหวัง แมท า นจะรูดวี า ทานไมประสบความสําเร็จแตทา นกไ็ มเคยละความพยาม ขงจอ้ื พูดถึงตวั เองวา “ถาหากหลกั การของฉนั นั้นจะคงอยใู นโลกน้ีก็เพราะ บัญญัตแิ หงสวรรค ถาหากหลักการ ของฉนั จะสูญสิน้ ไป กเ็ ปนเพราะ บญั ญตั ิแหง สวรรค อกี เชน กัน” (ขงจอื้ 14.38) ทา นไดพยายามอยา งเต็มความสามารถ สว นผลลพั ธทานปลอยใหเปนเร่ืองของ “บัญญัตแิ หง สวรรค” สําหรับขงจื้อแลว “บญั ญตั ิแหงสวรรค” (หมิง) คอื พลังที่ มีจุกมุงหมาย การรูจัก “บญั ญัติแหง สวรรค” เปนคณุ สมบตั สิ ําคัญในการเปนสภุ าพบรุ ุษ (Superior Man) ตาม ความหมายของขงจื้อ ดงั น้ันขงจ้ือกลาววา “ผไู มรูจ ักหมงิ ไมส ามารถท่ีจะเปน สภุ าพบรุ ษุ ได” (ขงจอ้ื 20.0) และ “ผูที่เปน สภุ าพบรุ ษุ จะมแี ตความสุขอยเู สมอ สวนผูทด่ี อยปญ ญาจะมีแตความโศกเศรา ” (ขงจ้ือ 7.36) เหตุผลทผี่ ูม ีคุณธรรมพยายามตอ สูในทางการเมอื ง ก็เพราะเขาเห็นวา เปนสง่ิ ท่ีถูกตองท่ีจะทําเชน น้ัน แมเ ขาจะรูดี วา ความพยายามของเขาจะไมบรรลุผลกต็ าม (ขงจอ้ื 18.7)
ชวี ติ และความตายขึ้นอยกู ับ “บัญญตั ิแหง สวรรค” ความมนั่ คงและฐานนั ดรก็ขึ้นอยูกับ “บญั ญตั แิ หง สวรรค” (ขงจือ้ 12.5) การเปน สภุ าพบุรษุ หรือผสู งู สงหรอื ผมู ปี ญ ญา (Superior Man) ตามทัศนะของขงจอื้ จึงจะตอ งประกอบดวย คณุ สมบตั ขิ อง อี้ (ความชอบธรรม) เหยิน (ความรักในบุคคลอ่ืน) จง (ปฏิบตั ติ อคนอน่ื ใหเหมือนกบั ตนเอง) สู (ไม ปฏบิ ัตติ อคนอนื่ ในสิง่ ทีต่ นเองไมตองการ) และจะตองรูจ กั หมงิ (บัญญตั แิ หงสวรรค) อีกดวย บุคคลท่ีขาดคณุ สมบัติขอ ใดขอหน่งึ ขางตนไมสามารถเปนสุภาพบรุ ษุ ทีแ่ ทจรงิ ได จะเปนไดเพยี งคนธรรมดาสามัญหรือผูดวยปญญา (Inferior Man) เทานั้นเอง จริยธรรมทางสังคม 6. ความสมั พันธท ง้ั หา (The Five Relationships) ตามทศั นะของขงจ้ือ สงั คมท่ีดีท่ีสุดสาํ หรับมนุษยคอื สงั คมท่ีมี อี้ (ความชอบธรรม) ท่นี ้ีทาํ อยางไรสงั คมจงึ จะ เกดิ ความชอบธรรมข้ึนมา ขงจื้อใหทัศนะวาสังคมประกอบขึ้นจากครอบครัวหลาย ๆ ครอบครวั มารวมกัน ดังน้ัน ครอบครัวจึงเปนพืน้ ฐานของสงั คม ถาหากวา สามารถจัดระเบยี บครอบครวั ใหม่ันคง มีความสุข และความชอบธรรมได แลว สังคมโดยสว นรวมกจ็ ะเปน ปก แผน มน่ั คง มคี วามสงบสขุ และความชอบธรรมไปดว ยขงจ้อื จึงเนนความสําคัญของ สถาบนั ครอบครวั เปนอยางมาก ทีน้ที าํ อยางไรระบบครอบครวั จงึ จะมั่นคง มีความสขุ และความชอบธรรม (อ)ี้ เกิดขึ้น ขงจอ้ื เสนอใหใ ชหลกั เหยิน (ความรักในบุคคลอ่ืน) มาใชในครอบครวั ในทางปฏบิ ัติคือปฏบิ ัตติ ามหลกั จง และสู นั่นเอง ขงจ้อื วิเคราะหค วามสมั พนั ธในครอบครัวออกเปน 5 ลักษณะดว ยกัน เรียกวา “ความสัมพนั ธท ง้ั หา” (The Five Relationships) ซ่ึงมดี งั น้ี 1 พอ แมก ับลกู 2 พก่ี บั นอ ง 3 สามีกบั ภรรยา 4 เพอื่ นกบั เพือ่ น 5 นายกบั บาว ทาบุคลเหลา นีใ้ นครอบครวั เคารพซ่ึงกนั และกันตามหนา ที่ทต่ี นมีอยู ตามหลักของจงและสู กจ็ ะเกิดเหยนิ (ความ รกั ) และอี้ (ความชอบธรรม) ขึ้น และคณุ ธรรมขออนื่ ๆ กจ็ ะเกิดตามข้ึนมา เชน 1. พอ แมจ ะมีความรักความเมตตา ลูกจะมคี วามกตัญูกตเวที 2. พีจ่ ะมีความสภุ าพออ นโยน นอ งจะมีความออ นนอมและเคารพนับถือ 3. สามมจี ะความประพฤตทิ ถ่ี ูกตอง ภรรยาจะมีความซอื่ ตรงและภคั ดี 4. เพ่อื นจะมีความซื่อสัตยและจริงใจตอกัน 5. นายจะมีความเมตตากรุรา บา วจะมคี วามเคารพเช่ือฟง
ขงจ้อื กลา ววา “จงประพฤติตนในลักษณะที่วาพอ แมของทานไมมคี วามวติ กหว งใยในตวั ทานอกี ตอไป นอกจาก ในสว นทีเ่ กยี่ วกบั สุขภาพของทาน” (ขงจอื้ 2.6) เปน การดีเสมอท่บี ุคคลจะรอู ายุพอแมของตน ในทางหนงึ่ ความรูเชน นจี้ ะทาํ ใหเขาสบายใจ ในอีกทางหนึ่งจะทาํ ใหเ ขารสู ึกวาตอ งรบี ทดแทนบญุ คุณดว ยความกตัญกู ตเวที (ขงจ้ือ 4.21) ในขณะที่พอ และแมมีชีวติ อยูลกู ทดี่ ไี มควรจะเดินทางไปอยูหางไกล หรือถาจะตองไปก็ไปเฉพาะที่ท่ีบอกไว เทาน้นั (ขงจื้อ 2.5) ในดา นความสมั พนั ธอ่นื ๆ ขงจื้อกลา วไววา แนน อนที่สุด การประพฤติปฏิบตั ติ อพอ แมแ ละพอี่ ยา งเหมาะสม เปน ทางมาแหงความดงี าม (ขงจื้อ 1.2) ในกาติดตอกบั ผูใหญจ งทําใหท านเหลา นั้นสบายใจในการติดตอ กับเพ่ือนจงมีความเชือ่ ม่นั ท่ีอีตอ กัน ในการตดิ จอ กับผนู อยจงใหค วามเอน็ ดตู อเขา (ขงจื้อ 5.25) โดยวัฒนธรรมแลว สุภพบุรุษจะเลอื กคบเพ่อื นทเ่ี ทาเทียมเขา และจากเพอ่ื นเหลานเี้ ขาจะสง เสริมความดีซงึ่ กันและ กนั (ขงจอ้ื 12.24) ความสมั พันธระหวาง นายกบั บาว ขงจอื้ ไดข ยายออกเปน ความสมั พนั ธระหวา ง “ผปู กครอง” กบั ผูถ ูกปรก ครอง” หรืออกี นัยหน่ึง รัฐบา” กับ “ประชาชน” ซงึ่ ยังคงตอ งยึดถือหลักปฏิบัติทาํ นองเดียวกันและขงจ้อื เองไดใหความ สนใจในเรื่องการปกครองเปนอยางมาก ผปู กครองทีด่ ีจะดาํ เนินกิจการตา งๆ อยา งจรงิ จัง จะรกั ษาคําม่นั สัญญาอยางแทจ ริง จะประหยดั ในการใชจาย จะมี ความเห็นอกเห็นใจตอ ผูอ ยูใตปกครองโดยทว่ั ไป และใชแรงงานของชาวชนบทเฉพาะเวลาท่เี หมาะสมในแตละปเทานั้น (ขงจอื้ 1.5) 7. การแกไ ขชื่อตําแหนง (Rectification of names) “การแกไขช่ือตําแหนง” ในปรชั ญาขงจ้ือนนั้ คอื หลกั แหงความรับผิดชอบของบุคคลตามหนาทต่ี างๆ เพือ่ ทจ่ี ะใหสงั คมมรี ะเบยี บแบบแผนท่ีดีงาม สง่ิ แรกท่ีควรจะกระทําคอื การแกไขชอ่ื ของตาํ แหนงและหนาทตี่ า งๆ ให ถูกตอ งชัดเจน เพ่ือวา บคุ คลทง้ั หลายจะไดร ูจ ักขอบเขตของงานในหนา ทีแ่ ละความรบั ผิดชอบของตัวเอง และปฏบิ ัติตนให สอดคลองกับหนาท่ีความรบั ผิดชอบนนั้ ไดถูกตอ ง ไมเ กดิ ความสับสนวนุ วายในบทบาทและภารกจิ ของตนเอง คร้ังหนึ่ง สานุศิษยคนหนง่ึ ชือ่ จือหลู ไดถาม ขงจอื้ วา ถาขงจ้ือไดเ ปนผปู กครองรับทา นจะทาํ สิ่งใดกอน ขงจือ้ ตอบวา “สิ่งแรกท่จี ําเปนอยา งย่งิ กค็ ือการแกไขชอ่ื ตําแหนงใหถูกตอ ง” (ขงจือ้ 13.3) เมือ่ จือหลูถ ามดว ยความงุนงงสงสัยวา ทํามยั จึงเปน เชน นั้น ขงจ้ือไดอธบิ ายวา เมื่อชอ่ื ไมถ กู ตอ งแลว ความหมายของชอื่ กไ็ มถูกตอ งดวย และเมือ่ ความหมายของ ชอ่ื ไมถกู ตอ งแลว ขอบเขตของหนา ท่ีและความรบั ผิดชอบก็จะไมถูกตอ งไปดว ย และเมอื่ คนไมรจู ักขอบเขตของหนา ท่ี และความรบั ผดิ ชอบที่แทจริงของตนแลว สงั คมจะมีระเบยี บ ความสงบสขุ และความชอบธรรมไดอยางไร อีกสมยั หนงึ่ ขนุ นางผูหน่ึงถามขงจื้อถงึ หลักของการปกครองท่ีดี ขงจื้อกลาววา “ใหผ ูปกครองทาํ หนาท่ีของ ผปู กครอง รัฐมนตรีกาํ หนา ท่ีขอรฐั มนตรี พอ ทําหนา ที่ของพอ และลกู ทําหนา ท่ีของลกู ” (ขงจอ้ื 12.11)
ชื่อตําแหนง (Name) ยอมจะมีคําจาํ กดั ความ (Definition) อันบง บอกถึงขอบเขตของหนา ทอี่ ันชอบธรรมไว ดวย เม่ือบคุ คลรูช่ือตําแหนง รวมทั้งขอบเขตของหนา ท่อี นั ชอบธรรมอยางชดั เจนแลว ยอมจะปฏิบัตหิ นาท่ีอยา งถูกตอง จะ เกิดความเปนระเบียบของสังคม (Social Order) ข้ึนมา ดงั น้ันช่อื และความเปนจรงิ จะตองถูกตองกนั ความชอบธรรม (อ)ี้ ในสงั คมจงึ จะเกิดขึ้นได ขงจอ้ื สอนใหคนปฏิบัตติ นใหถกู ตองกบั ฐานะและตําแหนง ของตนทีม่ ีอยู แตถาบคุ คลนน้ั ไมส ามารถปฏิบัตติ นให ถกู ตองไดแลว ขงจอ้ื ก็เสนอใหแ กไขชอ่ื ของบุคคลนัน้ ลงมาใหเหมาะสมกบั ความเปนจรงิ ในทางตรงกันขา มบุคคลใดปฏบิ ัติ ตนไดครบถวนกบั ฐานะและตาํ แหนงและยงั มคี วามสามารถมากไปกวานน้ั อกี ขงจอ้ื ก็เสนอแกไ ขชอ่ื และตาํ แหนงสูงขึ้นไป อกี ใหเหมาะสมกับความสามารถของบุคคลนัน้ สุภาพบรุ ุษที่แทจรงิ แมในความคิดก็ไมเคยออกไปจากขอบเขตส่ิงที่เหมาะสมกบั ตน (ขงจอ้ื 14.28) ซนุ จ้ือ นักปราชญคนสําคญั ในลัทธิขงจ้อื คนหนึ่ง กลา ววา “ชือ่ ถูกกาํ หนดขน้ึ มาเพียงบง บอกถงึ ความเปน จริง” (ซุนจอื 22) เมอื่ พระราชาไดบัญญตั ิช่ือตางๆ ช่ือเหลา น้ันก็ถกู กําหนดแนน อนลงไปและความเปน จรงิ กแ็ ยกแยะออกมา หลักการตาง ๆ กส็ ามารถไดร บั การปฏบิ ัติอยางไดผล และเจตจํานงก็จะปรากฏใหไดรู ดงั นนั้ เขาจะนาํ ประชาชนใหเปน ปกแผนอยา งระมัดระวงั เพราะฉะนน้ั การใหความหมาของคําอยา งผดิ ๆ การต้งั คําใหม การทําใหวธิ ีการใหช ่ือสบั สน จะ ทําใหประชาชนเกดิ ความลงั เลสงสัยและนําไปสกู ารฟอ งรอ งเปน ความกัน น่คี ือภยั อนั ชั่วราย มนั เปรยี บเหมือนการใช หนังสือแนะนาํ ตัวทผ่ี ิดหรอื การใชเ คร่อื งวัดทผ่ี ิด (ซุนจอ้ื 22) ศาสนาขงจอ้ื (Religious Confucianism) นักวิชาการบางคนอา งวา ปรัชญาขงจ้ือยากท่ีจะจดั เปน ศาสนาหนึ่งได จะเปน ไดเพยี งจรยิ ศาสตรร ะบบหน่ึง เทานน้ั เพราะวา ผกู อตัง้ ไมสงเสรมิ ความเชอ่ื ในเรอ่ื งพระเจาท่มี ีตัวตน การสวดออนวอน และการบชู าตอสิ่งสงู สดุ ในหมู ประชาชน อยางไรกต็ ามปรชั ญาขงจ้ือไดส อนเสมอไมเ พยี งแตการมอี ยขู องสิ่งสงู สดุ แตย ังไดส อนถงึ อาํ นาจแหง สวรรคที่ เปนทางการติดตอกันมาขาดสาย จนประทั่งประเพรีโบราณนย้ี กเลิกไปในป ค.ศ. 1915 เม่อื จนี สถาปนาการปกครองเปน สาธารณรฐั ท่ีจรงิ แลวศาสนาขงจื้อไดหามประชาชนธรรมดาไมใ หบวงสรวงติดตอ กบั อํานาจสูงสดุ ของโลก ทาํ นองเดยี วกบั ท่ี ประชาชนสามัญไมไดร ับอนุญาตใหเ ขาใกลพ ระจักรพรรดิของจีน แตศาสนาขงจอื้ ไดส อนใหประชาชนบูชาบวงสรวงอยา อืน่ ทดแทน แมวา อาจจะไมครบถว นทุกแงทกุ มมุ แบบศาสนาอื่น ๆ ก็ตาม มีการใชคมั ภีรข งจอ้ื เปนหลกั ในการสอบบรรจุเขารับราชการในแผนดนิ จีนมาโดยตลอด เพง่ิ จะมายกเลกิ ในป ค.ศ. 1905 นี่เอว แมว า ระบบการสอบและการศกึ ษาสว นใหญจะใชก ารทอ งจาํ และการศกึ ษาอยางกวา งขวางในหมูสามัญ ชนพึง่ จะมีขึ้นในสมัยหลังกต็ าม ศาสนาขงจื้อประสบความสําเร็จอยางสูงสดุ ในประวตั ิศาสตรข องมนุษยชาติ ท่ีสามารถทาํ ใหช าวจนี ท้ังประเทศประพฤตปิ ฏบิ ตั ิในหลักของความกตญั กู ตเวทีตอบิดามารดาอยา งแนนแฟน และศาสนาขงจื้อก็ได เนน หลกั ทวี่ า ใหท ุกคนทําตามหนาท่ที เ่ี หมาะสมทง้ั ตอ ตนเองและตอบุคคลอ่นื ในสงั คมอยางจริงจังย่ิงกวาศาสนาใด ๆ
ในชวงเวลาที่เกดิ ความวนุ วายปน ปวนขน้ึ ในสังคม ไดม ีครูทีย่ ่ิงใหญคนหน่งึ เกิดข้ึนและครูทา นน้ไี ดรับเกยี รติให เปนศาสดา และชอื่ ของครูทานี้ก็ไดรบั เกียติใหต งั้ เปนชอื่ ของศาสนาที่ไดป ฏบิ ตั ิสืบทอดกันมาเปนเวลาชานาน “ขงจ้อื ” คอื ช่ือของครูทานนั้น แนวความคดิ เรื่องเทพเจา (The Conception of Deity) 1. ธรรมชาตขิ องมนษุ ยไดม าจากสรวงสวรรค แมว าความสนใจหลกั ของปรัชญาขงจ้อื จะอยูท่ีจรยิ ศาสตรม ากกวา ศาสนา แตใ นระบบจรยิ ศาสตรของปรชั ญา ขงจ้อื ก็มสี าระของสาสนาท่แี ทจริงอยดู วย ลักทธิขงจ้ือเชื่อวา ธรรมชาตขิ งอมนุษยนนั้ มีคณุ ความดีติดตัวมาแตก าํ เนดิ และ คณุ ความดีทต่ี ิดตวั แตกําเนิดนเี้ ปนสง่ิ ทไี่ ดร บั จากสวรรค พระเจา ที่ย่ิงใหญ ไดใ หสํานึกในทางศีลธรรมแมแกบุคคลทตี่ ํ่าตอ ยกวา ใหไดร ับรถู งึ ธรรมชาติอันถูกตรงท่ไี ม เปล่ียนแปลง ในตัวเอง (คมั ภรี ศ ักดสิ์ ิทธิ์แหง ตะวนั ออก 3.89 – 90) 6:1.2.2) มนษุ ยเกดิ ขน้ึ มาเพอื่ ความดี (6.17) สง่ิ ท่สี วรรคใหมาเรียกวาธรรมชาติ (หลักแหงทางสายกลาง 1.1) แนวโนมของธรรมชาตขิ องมนุษยคอื ความดี ไมม สี ง่ิ อืน่ ใดนอกไปจากแนวโนมสคู วามดนี ี้ (เมงจ้ือ 2. อาํ นาจทสี่ ูงสุดแหงสรวงสวรรค คมั ภีรขงจอ้ื ทุกเลมไดกลา วพาดพิงถงึ อาํ นาจสงู สุดของโลกมกี ารระบอุ าํ นาจทส่ี งู สุดนเ้ี ปน 3 ลักษณะดวยกนั คือ 1. ฉางตี้ (Shang Ti) แปลตามตัวอกั ษรวา “ผูปกครองที่สงู สุด” เปน ชอ่ื เรียกท่มี ลี ักษณะเปนตัวตน ใน หนงั สอื คัมภรี ศ กั ดิ์สิทธิแ์ หงตะวันออก มกั จะแปลกันวา “พระเจา” 2. เทยี น (T’ien) แปลตามตัวอกั ษรวา “สรวงสวรรค” หมายถึงกฎระเบยี บทางศีลธรรมที่สงู สุดของโลกใน ลกั ษณะทไี่ มเปนตวั ตนคาํ ทง้ั สองนี้มักใชด ว ยกนั และสามารถใชแ ทนกนั ได 3. หมิง (Ming) แปลตามตัวอักษรวา “บัญญัต”ิ หรอื “ชะตา” หมายถงึ จดุ มงุ หมายของสวรรคในบททา ย ของคัมภีร ขงจอื้ มีการเช่ือมโยงระหวา งจรยิ ศาสตร กับอาํ นาจแหง สวรรคอยางใกลชดิ แสดงใหเ ห็นถงึ ความเชือ่ ในอาํ นาจ ของสรวงสวรรค ขงจือ้ กลา ววา “เมือ่ ไมไดร ูถึง บัญญตั แิ หงสวรรค ก็เปน ไปไมไ ดทจี่ ะเปนบุคคลผสู ูงสง เม่ือมรี ูจักกฎของการ ประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ันถูกตอง กเ็ ปนไปไมไ ดท ี่จะใหเกิดบคุ ลิกภาพที่ดขี ้ึนมา” (ขงจ้ือ 20:3.1-2) 3. เทพเจา อื่น ๆ ในศาสนาขงจื้อ มกี ารบชู าเซน ไหวเทพเจา อ่ืน ๆ เปน อันมาก ทง้ั จากบนั ทกึ โบราณตา ง ๆ และการเซน ไหวน ้ันก็ ไดส บื ทอดมาถงึ ปจ จบุ ันเทพเจา บางอยา งเชน ฟา เปน สง่ิ ท่เี ดนชดั บางอยา งก็เปน พลังในธรรมชาติ เชน แผนดนิ พระ อาทติ ย พระจนั ทร หรอื ภเู ขาและแมนา้ํ ท่สี ําคัญในประเทศจีน เทพจา บงอยา งก็เปน เทพเจา ประจาํ ธรรมชาติเลก็ ๆ เทพเจา บางองคเปนบุคคลในเทพนยิ ายหรือบคุ คลในประวตั ิศาสตร เชน ขงจ้อื และกวางตี่ (Kwang Ti) จักรพรรดิจีนโบราณ
ซ่ึงนบั ถือกันในฐานะเปนเทพเจา แหงสงคราม เปน ตน การบชู าบวงสรวงเทพเจาตา ง ๆ เหลานี้ บางกพ็ ระจักรพรรดิทรง เปน ผปู ระกอบพธิ ีบวงสรวงดว ยพระองคเ องบา งกใ็ หข าราชการในระดับตา ง ๆ เปนผูประกอบพิธีบูชา และบางกป็ ระชาชน สามญั เปนผูบูชาเซนไหว พระโอรสแหง สวรรค (หมายถึงพระจักรพรรดิ) ไดบชู าบวงสรวงตอฟา และดนิ ตอ ถูเขาทม่ี ชี อ่ื และสายน้าํ ที่ ยงิ่ ใหญภ ายใตแ ผนฟา ท้ังหมด ตอภเู ขาทัง้ หาและแมนํ้าท้ังสี่ เจาชายแหงรัฐตาง ๆ ไดบ ูชาบวงสรวงตอ เทพเจา แหงแผนดิน และพชื พนั ธุธ ัญญาหาร ตอ ภเู ขาท่ีมชี อและสายนํ้าทย่ี ิ่งใหญซ่ึงอยูภายในอาณาเขตของตน (คัมภรี ศกั ดส์ิ ิทธ์ิแหงตะวันออก 27.225) ศาสนาขงจ้ือในฐานะศาสนาประจาํ รัฐ ในศาสนาขงจอ้ื ไมปรากฏวา มีสถาบันพระทแ่ี ยกออกเปน อกี สถาบันหนง่ึ ตางหาก หนาที่ของพระนั้นตามปกติ แลว ขา ราชการของรัฐบาลจะเปนผูก ระทาํ ขุนนางระดับทอ งถ่ินจะทาํ หนาทบ่ี ชู าบวงสรวงขงจื้อเปนประจําป ในขณะที่ ขา ราชการชนั้ สงู จะทําหนา ท่บี ูชาบวงสรวงธรรมชาติ พระจกั รพรรดิซ่ึงเปนผูปกครองทมี่ ีอํานาจสูงสดุ ในประเทศจีนจะทรงประกอบพธิ ีอยา งเปนทางการในบานะ ตัวแทนของประชาชาตจิ ีนในการบวงสรวงบูชาสวรรค (The Worship of Heaven) ซง่ึ เปนอํานาจที่สูงสดุ แหงโลก ประเพณีน้ีเปน ประเพณกี ารบวงสรวงทางศาสนาที่ยนื ยาวทส่ี ดุ กวา ท่ีใด ๆ ในโลก การบูชาบวงสรวงสวรรค กระทํากันทกุ ปเ ปนประจําในคืนฤดหู นาวทพี่ ระอาทติ ยอ ยหู างไกลจาดลกมาทส่ี ดุ คอื วันที่ 22 เดอื นธนั วาคม ในพิธีบวงสรวงบชู าจะมี การเซนไหวด ว ยการเผาวัวตอน อาหาร ผาไหม และสุรา นอกจากนี้ยงั มกี ารขับดนตรี การประดับไฟตาง ๆ ขบวนแห และผเู ขา รว มพธิ ที ่มี เี กียรติอีกหลายหมูเหลาสถานประกอบพิธีเปน แทนบูชากนิ ออ นสีขาว ขนาดใหญแ ละกลม มสี ามแทน ตัง้ อยทู างทิศใตของกรุงปก ก่งิ และนับวา เปนแทนบชู าทใ่ี หญท ีส่ ุดในประวัติศาสตรของโลก คาํ สวดของพระจกั รพรรดิจีน ซงึ่ ไดใ ชส วดในการประกอบพีในป ค.ศ. 1539 มีดังตอไปน้ี พระผูยงิ่ ใหญและสงู สง พระองคไดทรงนาํ ความพึงพอใจและความคํานงึ มาสูพระองค ทรง เปรียบเทียบประดุจชางปนหมอ ที่ไดส รา งสรรคส ่งิ ที่มีชีวิตทง้ั มวล จะมีของเขตหรือขอ จํากัดอนั ใดเหลอื อยอู กี เลาในขณะที่ เราไดกลา วฉลองพระนามอนั ยิ่งใหญของพระองค พระองคทรงสรา งแผน ฟาอันสงู สงา และผนื ดนิ โลกทง้ั หมดเคารพยํา เกรงพระองค มนุษยท ้ังมวล สรรพส่ิงบนพืน้ โลก แสดงความชน่ื ชมพรอมกนั ในพระนามอนย่ิงใหญ (Legge, 1880,47,51) ภายหลงั จากการดคนลมราชวงศแมนจู กไ็ มมีจกั รพรรดิบนราชบัลลังกโบราณของจีนท่ีประกอบพระราชพิธี ประจําปอีกตอไปแตประธานาธิบดคี นแรกของสาธารณรฐั จนี ทเ่ี พ่ิงสถาปนาข้ึนใหมคือ ยวน ซี ไข (Yuan Shi Kai) ก็ ยงั คงประกอบพธิ บี วงสรวงน้อี ีกตอ ไปทัง้ ๆ ท่ีรูปแบบของรัฐบาลและการปกครองไดเปลีย่ นแปลงไปจากเดมิ อยา งสิน้ เชงิ อยางไรก็ตามพธิ ที างศาสนาทเี่ ทาแกนานนบั หลายสิบศตวรรษของการบชุ าสวรรคไ ดค อย ๆ เส่อื มโทรมไปพรอม ๆ กบั วดั ขงจ้ือ จาํ นวนมากที่ไดเสอื่ มโทรมลงดวย การบชู าแผนดิน (The Worship of Earth) เปน การบูชาธรรมชาติอีกอยา งหนึง่ ซึ่งเก่ียวของกัน เพยี งแตว า มีความสาํ คัญนอยกวา ขาราชการของรฐั บาลเปน ผูป ระกอบพิธีเปนประจาํ ทุกป ในฤดรู อ งท่ีดวงอาทิตยหางไกลจากโลกท่สี ุด คือวันที่ 21 เดอื นมิถุนายน สถานท่ปี ระกอบพิธีคอื แทน บูชาแผนดิน รปู ส่ีเหลย่ี มจตั รุ สั ลอ มรอบดว ยน้ํา ต้ังอยทู างทิศ เหนือของกรงุ ปกกิ่ง
การบชู าพระอาทิตย (Worship of the Sun) กระทาํ ท้งั เปน ประจาํ ทกุ ปเชนเดยี วกนั ในฤดใู บไมพ ลิที่ กลางวนั ยาวเทากบั กลางคืน คือประมาณวันท่ี 21 เดือนมนี าคม สถานท่ปี ระกอบพิธีอยูทป่ี ระตตู ะวันออกของเมืองหลวง และการไหวพระจนั ทร (Worship of the Sun) ก็กระทํากันทกุ ปเปน ประจํา ในฤดใู บไมรว งทก่ี ลางวนั ยาวเทา กับ กลางคนื คือประมาณวันท่ี 22 เดอื นกันยายน สถานทีป่ ระกอบพธิ ีคือ ประตูตะวนั ตกของเมืองหลวง ดงั นนั้ ในฤดกู ารทั้ง 4 ของปแ ละทศิ ที่สาํ คญั ทัง้ ส่ีของเมืองหลวง จะมกี ารประกอบพิธีทางศาสนาอยา งเปน ทางการ เปนประจาํ โดยเจาหนาทช่ี น้ั สงู ของรัฐบาลเปนผูประกอบพธิ แี ละถอื กันวา เปนสวนหนึ่งของหนาท่ีราชการประจาํ ทตี่ อ ง ปฏิบัติ แตศาสนาขงจื้อในฐานะท่เี ปนศาสนาของทางราชการไดล ม เลกิ ไปเมอ่ื ไมกป่ี มานี้เอง ศาสนาขงจ้อื ในฐานะศาสนาของสามญั ชน ศาสนาขงจอ้ื ไดกาํ หนดการบวงสรวงบชู าทางศาสนาสําหรับประชาชนสามญั ของตนี ไวอยางแนน อน เชนเดยี วกับท่กี ําหนดไวแ นนอนสําหรบั รัฐ การบูชาบรรพบรุ ษุ (Ancestor Worship) เปนประเพณีอันยาวนานทเ่ี ปน ทีน่ ิยมแพรห ลายในหมูประชาชน ใหม คี วามตงั้ ใจระมดั ระวงั ในการประกอบพิธีฝง ศพใหแ กแ มเมื่อตาย และใหมพี ธิ เี ซนไหวต ิดตอกันไปอยาได ขาดแมกาลเวลาจะผานไปยาวนาน เมอ่ื ทาํ ไดเ ชน นผี้ คู นกม็ ีคณุ ธรรมอนั เหมาะสมเปน เลิศ (1.9) ความกตญั กู ตเวทีตอพอแมใ นขณะทีย่ ังมชี วี ิตอยู เปนสิ่งท่ศี าสนาขงจือ้ ตอ งการใหทกุ คนปฏิบัติ และเมอื่ พอแม ถึงแกกรรมกใ็ หแ สดงความกตัญกู ตเวทีตอ เนื่องไปมใิ หขาด ดว ยการประกอบพธิ ีบชู าบรรพบุรุษ ความกตญั ูกตเวทเี ปนรากฐานของคณุ ธรรมทง้ั ปวง และคาํ สอนทางจรยิ ธรรมทง้ั หมดทแ่ี ตกกิ่งกานมากจาก คณุ ธรรมขอน้ีรางกายของเรานับตัง้ แตเสนผมทุกเสน จนถึงกระดูกทุกชิน้ ลว นไดรับมาจากพอ แมข องเราท้งั ส้นิ เราจงึ ไมมี สิทธ์ทิ จี่ ะทาํ อันตรายตอ ทา นโดยประการทงั้ ปวง (คัมภรี ศักด์ิสิทธ์แิ หงตะวนั ออก 3.446) การเสดงออกซ่งึ ความรักความเคารพบชู าตอ พอแมใ นขณะทีท่ า นยังมชี ีวิตอยู และการแสดงออกถึงความเศรา โศก เสียใจเมอ่ื ทานถงึ แกก รรมลงน้ีเปนหนา ทพี่ ้ืนฐานของมนษุ ยท่ยี งั มีชวี ติ อยจู ะพึงกระทาํ ใหสําเรจ็ ลลุ ว งไปโดยสมบรู ณ (คมั ภีรศักด์ิสิทธิแ์ หง ตะวนั ออก 3.488) การบุชาบรรพบุรุษทีต่ ายไปน้ันมิไดก ระทําไปดวยความกลวั หรือการวิงวอนรอ งขอสงิ่ ใดส่งิ หน่งึ แตอยา งใด แต เชือ่ กนั วาบรรพบรุ ษุ ที่ตายไปนน้ั ยังคงอยูใกล ๆ กับทอ่ี าศัยเดิมในบานของครอบครัวและใกลๆ กบั บริเวณหลุมฝงศพ อาหารท่นี าํ มาเซนไหวใ นพิธบี ชู าบรรพบรุ ุษนน้ั มใิ ชเ ปนการสงั เวยเพือ่ ลา งบาป แตเปนมือ้ อาหารอันศักดส์ิ ทิ ธ์ิรว มกันใน ครอบครัว นอกจากการบวงสรวงวญิ ญาณของบรรพบุรุษแลว ประชาชนโดยท่วั ไปของจีนยังมีความคิดและการปฏิบตั ิตอ วญิ ญาณอนื่ ๆ นบั จํานวนไมถ ว น ซง่ึ เชือ่ กนั วามีอยูทั่วไปทั้งแผนดินและในอากาศ นอกจากนก้ี ารดูทศิ ทางของ “ลมและ นํ้า” (Feng – Shui) จากความเกรงกลวั ที่วา จะไปรบกวนถกู วญิ ญาณ “ลมและน้ํา” ยงั เปน ปจจยั ท่สี ําคัญอันหนึ่งใน ชีวติ การปฏิบัติศาสนกิจของศาสนาขงจื้อ ฐานะของขงจื้อยางเปนทางการในประวตั ิศาสตร
195 กอน ค.ศ. พระจักรพรรดิของจีนไดท รงประกอบพิธีเซนบวงสรวงดวงดาววญิ ญาณของขงจ้อื ที่หลมุ ฝง ศพ ค.ศ. 1 ขงจ้อื ไดรับการขนานนามจากจกั รพรรดิวา “ขุนนางนิ (Duke Ni) ผเู พียบพรอมและเรยี งนาม” ค.ศ. 57 มกี ารประกาศอยางเปนทางการใหป ระกอบพธิ บี วงสรวงขงจื้อเปนประจาํ ท้งั ในสาํ นักพระราชวงั และท่ี ทาํ การรฐั ทุกจงั หวัด ค.ศ. 267 มปี ระกาศอยางเปนทางการใหม ีพิธีประกอบประณตี และใหญโตขึน้ เพือ่ บวงสรวงขงจอ และให บวงสรวงปล ะ 4 ครงั้ ค.ศ. 492 ขงจอ้ื ไดรับการขนานนามใหเ ปน นักบญุ วา “นกั บญุ ผูสาํ เร็จท่ีนาเคารพ” ค.ศ. 545 มคี าํ สัง่ ใหส รา งวดั เพ่ือบชู าขงจื้อขึน้ โดยเฉพาะในหัวเมอื งทุกเมืองในประเทศจีน ค.ศ. 740 มีการเคล่อื นยา ยรปู ปน ของขงจ้อื จากดา นขางมาอยูตรงกลางของสํานักพระราชวัง เพื่อตั้งในระดับ เดยี วกับกษตั ริยในประวัติศาสตรของจีน ค.ศ. 1068-1086 ขงจือ้ ถกู ยกขึ้นสตู ําแหนงพระจกั รพรรดิเตม็ ขัน้ ค.ศ. 1906 30 ธันวาคม มีพระราชกาํ หนดจากพระจักรพรรดิยกขงจ้อื ขึ้นสตู าํ แหนงเทยี บเทากบั เทพเจา แหงฟา และ ดนิ ค.ศ. 1914 ยวน ซี ไข ประธานาธบิ ดีคนแรกของสาธารณรฐั จนี ไดประกอบพธิ บี ชู าขงจอ้ื แนวคดิ ที่ตอตา นขงจือ้ : ปรชั ญาโมจอ้ื (Mohism) โมจ้อื (Mo Tzu) โมจ อ้ื (479-381 กอน ค.ศ.) มีช่ือสกลุ วา “โม” (MO) และมีช่ือตัววา “ต่ี” (Ti) แหลงสําคัญท่ใี ชเปนหลักใน การศกึ ษาความคิดของโมจ้ือคือหนงั สือ โมจ ือ้ (The Mo – Tzu) ซึ่งมี 53 บท เปนหนังสอื รวบรวมงานทางความคดิ ของโมจื้อซงึ่ เขียนโดยสานุศิษยของโมจ ้อื และตัวของโมจ้ือเอง โมจื้อเปน ผกู อต้ังสาํ นกั ทางความคิดซ่ึงเปน ท่รี จู กั กันวา ปรัชญาโมจื้อ (Mohiam) โมจือ้ เปน นกั ปราชญจ ีนคนแรกที่ตอตานแนวความคิดของขงจอื้ การรจู ักพืน้ ฐานชวี ิตของโมจื้อจะชว ยใหเ ขา ใจ ความคิดของโมจ้ือดีขึ้น ในขณะทขี่ งจอ้ื เปนปญ ญาชนในหมูข ุนนาง (Ju, Literati) น้นั โมจ ้ือกลบั เปนปญ ญาชนในหมู นักรบ (Hsieh, Knights-Errant) ขงจอื้ มีความเขา อกเขา ใจในสถาบนั ตาง ๆ ที่สืบทอดมาตามประเพณี เชน พธิ ีกรรม ดนตรี และวรรณคดีในสมยั ราชวงศโจวตอนตน และพยายามทําใหส ถาบันเหลานี้เหตุผลและถกู ตองในทาง จรยิ ธรรมขน้ึ มา ตรงกันขา ม โมจือ้ กลับต้งั คาํ ถามในความถูกตองเหมาะสมและประโยชนข องสง่ิ เหลานนั้ และพยายามหา บางสิง่ ทง่ี ายกวา และมีประโยชนกวา ตามทัสนะของเขามาแทนทีโ่ ดยสรปุ แลวขงจื้อเปน ผูทีใ่ หเหตุผลและความถกู ตอ งแก อารยธรรมโบราณ ในขณะท่ีโมจื้อเปน ผทู ่ีวิพากษว ิจารณอารยธรรมโบราณเหลา นั้น ในสมัยนั้นพธิ กี รรมตา ง ๆ และดนตรถี ูกจาํ กดั อยูเฉพาะในหมูขุนนางเทาน้ันเพราะฉะนัน้ ตามทัศนะของสามญั ชนแลวส่ิงเหลา นน้ั เปนของฟุมเฟอยและไมม ีประโยชนอะไรตอการดาํ รงชวี ิต จากจดุ ยืนนี่เองทโ่ี มจื้อและสานุศิษยไดว ิ พากษ์ิวิจารณส ถาบนั ทสี่ บื ทอดตามประเพณีเหลา นี้รวมไปถึงขงจ้ือและนกั ปราชญในปรชั ญาขงจ้อื ที่ไดพยายามความและ ใหเ หตุผลแกหลักจริยธรรมในชนชัน้ ของตนซ่งึ เปนชนชัน้ ทหาร ไดก ลายมาเปนแกนกลางของปรัชญาของโมจ อื้
พื้นฐานทางสงั คมของสาํ นกั โมจ ื้อ ยคุ สมัยของโมจอื้ แผน ดินจีนยงั แตกเปนกกเปนเหลา แตกแยกเปนนครรฐั เลก็ ๆ มากมาย แตละนครรัฐเปน อิสระไมข ึน้ ตอกนั ตางกม็ ีเจานครรัฐทําหนาท่ีปกครอง มีการทาํ สงครามแยง ชงิ ความเปน ใหญก ันอยูเ สมอในบรรยากาศ ของการรบพุงเชน นี้ทาํ ใหเ กิดชนช้ันหน่ึงข้นึ เรยี กวา “พวกนักรบเรรอ น” (Hsieh หรอื Yu hsieh, Knights-Errant) มอี าชพี รบั จา งทําการรบใหกับนครรฐั ตา ง ๆ พวกนกั รบเรรอ นในสมยั นั้นเปนพวกท่ีมี “คณุ ธรรมของความเปนนกั รบ” อยู อยา งเตม็ ตัว ตามบนั ทกึ ทางประวตั ศิ าสตรก ลาววา คําพูดของบุคคลเหลา น้จี รงิ ใจและเช่ือถอื ไดเสมอ การกระทําของเขาเหลานฉ้ี ับไวเตม็ ไปดว ยการ ตัดสนิ ใจ เมื่อไดใหคํามน่ั สัญญาอะไรแลว จะรกั ษาคํามน่ั สญั ญานั้นดวยชีวติ และพรอ มทจี่ ะเผชญิ หนากบั ความตายอยา ง ไมห วาดหวัน่ (Historical Records, Ch.124) ในบรรดานักรบเรรอนเหลานี้ โมจ ้อื เปนหวั หนาของนักรบเรรอ นกลมุ หนึ่ง มีอาํ นาจเดด็ ขาดสูงสดุ ปกครองกลมุ อยางไรก็ตามโมจ อ้ื และสานศุ ษิ ยแตกตางจากนกั รบเรรอนกลมุ อื่น ๆ อยู 2 ประการ คอื 1. นักรบเรรอ นโดยท่ัวไปน้ันจะรับจางทําการรบทุกแหง ถาหากไดรับคาตอบแทนเปน ท่ีพอใจจากเจานครรฐั นั้น ๆ แตโ มจ ือ้ และสานุศิษยนั้นปฏิเสธการทําสงครามรกุ ราน และรับจา งรบกแ็ ตในกรณที ่ีเปนการรบเพอื่ ปองกนั ตนเอง เทา นัน้ 2. ในขณะที่นกั รบแรรอนคนอน่ื ๆ น้ันปฏบิ ัติตาม “คณุ ธรรมของความเปน นกั รบ” ท่ยี ดึ ถือกันมาเพียงอยาง เดยี ว โมจ ือ้ ไดขยาย “คณุ ธรรมของความเปนนกั รบ” นี่ใหกลายเปน “คณุ ธรรมสากล” และไดอ ธบิ ายใหเ หตุผลไวอยาง ชดั เจน มีเรอื่ งหนึ่งท่ีสะทอ นใหเห็นถงึ สติปญ ญาอนั เฉลียวฉลาดของโมจ้ือและหลกั ปรัชญาการรบเพ่ือปกปองกันตัวเอง จากการรุกรานเทา นนั้ เร่อื งมีอยวู า นครรัฐจู (Stste of Cg’u) ไดวา จา งนักประดิษฐ ทม่ี ชี ือ่ เสียงคนหน่งึ ช่อื คง-ซู ปน (Kung-Shu Pan) ให ประดิษฐอ าวุทแบบใหมส าํ หรับใชโ จมตกี าํ แพงเมืองในขณะน้ันนครรฐั จกู าํ ลังเตรยี มท่ีจะโจมตี นครรัฐซุง (Stste of Sung) ดวยอาวธุ แบบใหมน้ี นครรัฐซุงไดวาจางใหโ มจ อื้ ชวยปองกันบานเมอื งให โมจื้อเมื่อไดทราบขาวการประดิษฐ อาวุธอยางใหมนี้จึงไดเดินทางไปท่ีนครรัฐจู ของรองใหก ษตั ริยรัฐจู อยาเพงิ่ ยกกองทัพไปและเรียกตัว คง-ซู ปน ใหม า ประลองยุทธวธิ กี าร รุกและการรับดวยอาวุธใหมก นั ตอหนา กษตั ย คง-ซู ปน ไดใชอาวธุ แบบใหมถึง 9 ชนิด ในการโจมตี แตโ มจอื้ กส็ ามารถแสดงยุทธวิธตี อบโตใหถอยกลับไปไดทุกคร้ังจนในทส่ี ุด คง-ซู ปน ก็หมดหนทางที่จะเขาโจมตไี ด แคแลว คง-ชู ปน กพ็ ูดข้ึนมาวา “ขาพเจารวู ิธที จี่ ะทาํ ใหทานแพแตขาพเจา จะไมบอก” โมจ ือ้ จงึ ตอบวา “ขา พเจา กร็ ูวาทา นหมายถึงอะไรแตข าพเจาก็ไมบอกเชนเดยี วกัน” กษัตริ ัฐจูไมเ ขาใจวา บุคคลท้งั สองกําลงั พูดถงึ อะไรกนั อยู จงึ เอย ถามข้นึ โมจ ้ือจงึ ตอบวา “คง-ซู ปน กาํ ลังคดิ ท่ีจะฆา ขา เจาเสีย แตเ ขากล็ ืมไปวา สานศุ ษิ ยของขาพเจาคอื ชนิ คลู - ลิ (Ch’in Ku-Li) และคนอื่น ๆ อีกถงึ 300 คน เปนผูท ี่เชีย่ วชาญ กลยุทธในแบบฉบับบของขา พเจาเปน อยา งดี พวก เขากําลังยืนอยูบนกาํ แพงรัฐซงุ เพือ่ เตรียมตอบดตก ารรกุ ของทาน แมขาพเจา จะถกู ฆาตาย ทา นก็มีทางท่ีจะเอาชนะพวกเขา ได” กษัตรยิ รฐั จเู มื่อไดยินเชน นั้นจงึ ไดล มเลกิ ความตง้ั ใจท่ีจะโจมตีรฐั ซงุ (The Mo-Tzu Ch.50) ขอ วพิ ากษปรัชญาขงจือ้
โมจื้อวิจารณปรัชญาขงจ้อื วา การที่ปรัชญาขงจ้ือเนนความสาํ คญั ของสถาบันครอบครัว โดยสอนใหคนเรารัก บุคคลในครอบครัวของตวั เองกอ นแลว ขอ ย ๆ ขยายความรักนไี้ ปยังบุคคลอื่น หลักน้ีถามองโดยผวิ เผินแลว อาจจะเปนวา ใชได แตถ า มองในมุมกลับแลวจะเห็นไดวา หลกั นจี้ ะนาํ ผลรา ยมาสูสงั คม เชน ถา หากวา คนในครอบครัวของตัวเอง เดอื ดรอ นกนั คนในครอบครวั ของบุคคลอน่ื เดอื ดรอน ถาปฏบิ ัติตามหลักของขงจอื้ แลว เรากต็ องชวยคนในครอบครวั ของ ตัวเองกอนแลว จึงจะคดิ ชวยคนในครอบครวั อื่น และระหวางคนท่ีรจู กั คนท่ไี มรูจกั เราจะชว ยคนท่ีรจู ักกอ นเสมอ อันน้แี ละ ทเ่ี ปนสาเหตกุ อ ใหเกดิ ความเหล่ือมล้าํ การแงแยก และการเลน พรรคเลน พวกข้ึนในสงั คม เพราะถา ทกุ คนถอื หลกั ดังกลา ว แลว ในทสี่ ดุ ทกุ คนก็คิดถงึ แตต วั เอง คดิ ถงึ แตค รอบครวั และสมัครพรรคพวกของตวั เอง แลวความไมย ตุ ธรรมตา ง ๆ ก็จะ เกิดข้ึนมาในสังคมไดโ ดยงา ย ฉะน้ั หลกั ของขงจ้อื ดงั กลาวจึงอาจเรียกไดวาเปนหลกั ของ “การแบงแยก” (Discrimination) เมื่อไดว พิ าก วิจารณท ฤษฎี “การแบงแยก” ของขงจ้ือแลว โมจ้อื จึงไดเสนอแนวความคดิ ของตนเองขน้ึ เรียกวาทฤษฎี “ความรักสากล” (All-Embracing Love) หลกั ความรักสากล (All-Embracing Love) ความคิดหลกั ในเร่ือง “ความรักสากล” (Ch’ien-Ai, All-Embracing Love หรอื Universal) กค็ ือ “คนทกุ คนในโลกควรจะรักบุคคลอืน่ อยา งเสมอหนากนั ทัง้ หมด โดยไมมีขอยกเวนและโดยไมม ีการแบงแยก” โมจ ้อื เปรยี บเทียบหลัก “การแบงแยก” (Discrimination) กับหลกั “ความรักสากล” (All-Embracing Love) ดังน้ี คนทถ่ี ือหลัก “กาแบง แยก” จะพดู วา “มันมเี หตุผลแตอ ยา งใดท่ีฉนั จะตอ งไปสนใจดแู ลเพอื่ นใหเหมอื นกับท่ีฉนั ดแู ลตนเองและกไ็ มต องมีเหตผุ ลท่ีจะไปสนใจดแู ลพอแมของคนอื่นมากเทาทส่ี นใจดูแลพอ แมของฉนั เอง” เมอื่ เปน เชน นี้ แลว ในม่ีสุด คนๆ น้ีก็จะไมไ ดทําอะไรมากนกั ใหแ กคนอื่น สําหรบั คนทถี่ ือหลัก “ความรกั สากล” จะพดู วา “ฉนั จะตอ งเอาใจใสเ พื่อนของฉันใหมากเทา กบั ที่ฉันเอาใจใส ตนเอง และจะสนใจดแู ลพอ แมข องเพ่ือนใหเหมอื นกับท่ีฉันสนใจดูแลพอแมต นเอง” เมื่อเปนเชนนบ้ี คุ คลนี้จะทําทุกอยา ง ทีส่ ามารถจะทาํ ไดตอบุคคลอ่นื แลว โมจ ้อื กถ็ ามวา หลักอันไหนกันแนทีถ่ กู ตอ งกวากัน โมจื้อไดแ สดงเหตุผลตอไปอีกวา ในบรรดาความทกุ ขยากท้ังหลายทเ่ี กดิ ข้นึ ในโลกนั้นอะไรคอื ความทุกขย ากท่ี ใหญหลวงทีส่ ดุ โมจื้อเห็นวา 1. การทีร่ ฐั ใหญเบียดเบียนรัฐเลก็ 2. บา นใหญขม เหงรังแกบา นเล็ก 3. คนแขง็ แรงกวา ขม เหงคนท่อี อ นแอกวา 4. คนหมมู ากรังแกคนหมูนอ ย 5. คนโกงหลอกลวงคนซือ่ 6. คนช้ันสงู ดูถูกเหยียดหยามคนที่ตํา่ กวา เหลานี้คือความทกุ ขของโลก ถาจะถามวา ความทกุ ขเหลานี้เกิดข้ึนไดอยา งไร ก็จะตอบวา เกดิ จากความเกลยี ดชังและจิตใจท่ีมงุ ประทษุ รายนเ้ี กดิ จากหลกั ของ “การแบงแยก” ดังนัน้ โมจอ้ื จึงสรปุ วาหลกั ของ “การแบง แยก” เปนสาเหตุท่ีกอใหเ กดิ ความทกุ ขท ่ีเกิดขึ้น ในโลก จึงเปนหลักทผ่ี ิด ดมจื้อไดเสนอใหทกุ คนหันมาใชห ลัก “ความรกั สากล” แทนโดยอธบิ ายวา เมือ่ ปฏิบตั ิตามกลกั “ความรกั สากล” แลว 1. รฐั ใหญจ ะไมเ บยี ดเบยี นรัฐเล็ก 2. บานใหญจะไมขม เหงบา นเลก็ 3. คนท่แี ขง แรงกวา กจะไมขม เหงรังแก คนออ นแอกวา 4. คนหมมู ากจะไมร ังแกคนหมูนอ ย 5. คนก็จะไมคดโกงหลอกลวงกัน 6. คนช้นั สงู กไ็ มด ูถกู เหยียดหยาม คนท่ีตาํ่ กวาเพราะทกุ คนจะมีความรักเสมอหนา เทา เทยี มกนั หมดโยมกี่ ารแบงแยก
เมอ่ื เปนเชนน้ีแลว โลกกจ็ ะเกิดความสงบและความสุขข้ึน ถา จะถามวาความสุขท่เี กิดขึน้ นเ้ี กิดจากอะไร กจ็ ะ ตอบวา ไดว า เกดิ จากความรกั และจติ ใจทมี่ ุง จะบําเพ็ญประโยชนตอ บุคลน้ีเกดิ จากหลกั “การแบง แยก” หรือ หลกั “ความ รกั กล” ก็จะตอบไดวา เกดิ จากหลกั “ความรกั สากล” ดงั น้ันโมจ้ือจึงสรุปวาหลัก “ความรกั สากล” เปนสาเหตุที่ กอ ใหเ กดิ ความสุขขน้ึ ในโลก จงึ เปนหลักทถี่ กู ตอ ง เมื่อทุกคนปฏิบัตติ ามหลกั “ความรักสากล” แลว ก็จะเกิดสวัดิการขนึ้ เองในสงั คมเพราะทกุ คนจะคอยชวยเหลอื ดูแลซึ่งกนั และกันคนแกจ ะไดร ับการเลย้ี งดจู นกวา จะสิน้ อายุขยั เด็ก คนออนแอ และคนพกิ าร จะไดร บั การเลยี้ งดู สนบั สนุน ใหเติบโตอยางเทา เทียมกัน หลัก “ความรกั สากล” จงึ อาํ นวยประโยชนส ุขใหแกส งั คมอยางไพศาล แนวคิดเร่อื งเทพเจา ปญ หาพ้นื ฐานขอ หนึ่งกค็ ือ ทาํ อยางไรจงึ จะชกั ชวนใหคนหันมาใชห ลัก “ความรักสากล” น้ี เราอาจจะให เหตุผลวา 1. การปฏิบตั ิตามหลัก “ความรกั สากล” เปน หนทางเดียวท่ีจะเกิดประโยชนส ุขแกโ ลก 2. มนุษยผูมีคุณธรรมทุกคนจะปฏิบัตติ ามหลกั “ความรกั สากล” ท้ังส้ิน แตคนกอ็ าจจะถามวา ฉันจะทาํ ประโยชนส ขุ แกโลกไปทําไมกัน และ ฉันจะเปนมนุษยม คี ุณธรรมไปทําไมกัน เราอาจจะใหเหตุผลตอไปวา 3. ถา โลกโดยสว นรวมไดร บั ประโยชนส ุขแลว ตวั เราก็จะพลอยจะไดรับประโยชนสุขดวย ดงั ท่ีโมจ อื้ กลา ววา ผทู ี่รกั บุคคลอ่ืนกจ็ ะไดรบั ความรกั จากบคุ คลอน่ื ดว ย ผูท่ีทาํ ประโยชนสขุ ใหแ กผูอื่นก็จะไดรบั ประโยชนสุขจาก ผอู นื่ ดวย ผูท ่ีเกลยี ดชงั ผูอื่นกจ็ ะไดรบั ความเกลียดชงั จากผูอ่ืนดว ย (โมจอ้ื บท 17) แตถาคนสวนใหญมองไมเห็นความจรงิ ขอน้ีละ จะทําอยา งไร โมจือ้ ไดน ําเรื่องราวของเทพเจามาเปน เครอื่ งชกั จูงใหคนปฏิบตั ิตาม โดยใหเหตุผลวา 4. พระเจาและวญิ ญาณตา ง ๆ มอี ยู คอยลงโทษแกคนทชี่ อบแบงแยกปละใหร างวลั แกคนที่ปฏิบัติตามหลกั “ความรักสากล” ในหนังสือ โมจ ้ือ (The Mo-Tzu) บทวา ดวย “ความปรารถนาแหง สวรรค” และ “ขอพสิ จู นถึงการมีอยู ของวิญญาณ” มีความตอนหนงึ่ วา พระเจา มอี ยู พระองคท รงรกั มวลมนษุ ย ความปรารถนาของพระองคคือใหมนุษยทกุ คนมีความรกั ซึง่ กนั และกัน พระองคทรงคอยตรวจสอบการกระทาํ ของมนษุ ยอ ยูเสมอ โดยเฉพาะอยางย่ิงพวก ผูปกครองบานเมอื ง พระองคทรง ลงโทษตอ บุคคลท่ีไมเ ชือ่ ฟง พระองคด ว ยการใหเกดิ ภยั พบิ ัตติ า ง ๆ และทรงใหร างวลั แกบุคคลที่เชอ่ื งฟงโดยการประทาน โชคลาภให นอกไปจากพระเจาแลว ยังมวี ิญญาณอ่ืน ๆ อีก เปน จาํ นวนมากท่คี อยใหร างวัลแกบุคคลทีป่ ฏิบัติตามหลัก ความรกั สากล และคอยลงโทษตอบุคคลที่ชอบแบงแยก มีเรื่องที่นาสนใจในขอนเ้ี กีย่ วกับตวั โมจ ้ือดังน้ี ครั้งหนึง่ เมื่อโมจ อื้ ปวย ไทป (Tieh Pi) ไดม าเยย่ี มและถามวา “ทานครับ ทา นถอื วญิ ญาณตา ง ไ นน้ั เฉลียว ลาดและสามารถควบคมุ ภัยพิบตั ิกบั โชคลาภได พวกน้ันจะใหร างวลั แกคนดีแลลงโทษคนชว่ั เวลานีท้ านเปน นกั ปราชญ
คนหนึง่ แลว ทานสามารถปว ยไดอยา งไร จะเปนเพราะวาคําสอนของทานไมถูกตอ งครบถวน หรอื วา วญิ ญาณเหลา น้นั แทจริงแลวไมเฉลียวฉลาดกนั แน” โมจ ้ือตอบวา “แมวาขา พเจา ปว ย แลว ทาํ ไมจะตองบอกวาพวกวิญญาณไมเ ฉลยี วฉลาดดวยเลา คนเราสามารถ เจ็บปว ยจากสาเหตุดวยกนั บางคนปว ยเพราะความหนาวหรือความรอน บางคนปวยจากความเหน็ดเหนอื่ ยตรากตราํ ถามี ประตูท้ังหมด 100 บาน และเราปดเพยี งบานเดียว จะไมมชี อ งทางใหขโมยเขามาหรอื ”(โมจอ้ื , บท 88) เรอื่ งน้โี มจอ้ื ตอ งการบอกวา การลงโทษของพวกวญิ ญาณเปน สาเหตุหนงึ่ ของความปว ยไข แตไ มใ ชส าเหตุ ท้ังหมด ขอ สงั เกตบางประการ ถาตะถามวา ความคดิ ของปรัชญาขงจื้อและความคิดของปรชั ญาโมจ้อื ในเร่อื งท่ีเกย่ี วกบั เทพเจา และและการ ประกอบพิธกี รรมตาง ๆ จะขดั แยงกันเองอยูในตัวหรือไม กลาวคอื ขงจอื้ ไมไดมีความเช่ือในเร่อื งพระเจา และวิญญาณ ทั้งหลายแตยงั สอนใหคนประกอบพิธีบวงสรวงตาง ๆ อยู สว นโมจือ้ พดู ถึงเรอื่ งพระเจา และวิญาณตา ง ๆ แตก ลบั ตอตา น การประกอบพธิ ีบวงสรวงบูชา ขัดแยง เหลาน้ีเปน ทีไ่ มม อี ยจู ริง โดยสว นตัวแลว ขงจอ้ื ไมไ ดเชอื่ เรอ่ื งพระเจาและวญิ ญาณศกั ด์สิ ิทธิ์ แตย ังคงสอน ใหผ ูคนประกอบพธิ ีกรรมตอ ไปนัน้ ขงจื้อตอ งการใชพิธีกรรมเหลาน้นั เปนเครื่องมอื ท่ีทาํ ใหสงั คมมรี ะเบียบแบบแผน ประการหนึ่ง ตัวอยางเชนการประกอบพิธบี ูชาบรรพบุรุษ ไมใ ชเปนเพราะเชื่อวาวิญญาณของบรรพบุรุษตายไปแลวจะมอี ยู แตเปนเพราะตอ งการใหค นตงั้ ม่ันอยใู นหลกั ของความกตัญูกตเวที แมพ อ แมจะถงึ แกกรรมแลว กต็ าม และการบูชาบรรพ บุรษุ นีย้ ังเปนจารตี ประเพณที แ่ี สดงออกใหล กู หลานรุนถดั ไปไดเห็น เพือ่ นเอาเยี่ยงอยางในเร่ืองความกตญั ูกตเวที ทาํ ให สงั คมมีระเบยี บแบบแผนที่ดีขึ้นมา สาํ หรบั โมจือ้ นน้ั การทีเ่ ขาพดู ถงึ พระเจาและวญิ ญาณศกั ดิส์ ทิ ธิ์กเ็ พ่อื ทจ่ี ะใชเปนเคร่ืองมือใหคนทาํ ตามหลกั “ความรกั สากล” มากกวา ทจี่ ะสนใจอยา งจรงิ จังในเรอื่ งเหลาน้ัน โดยใชเ ปนเหตผุ ลสุดทา ยสําหรบั ประชาชนสามญั วา พระเจา และวญิ ญาณศักดสิ์ ทิ ธิ์จะคอยใหรางวัลแกผูทีท่ ําตามหลกั “ความรักสากล” และจะคอยลงโทษแกผูทีไ่ มป ฏิบัติตาม สวนทโ่ี มจื้อไมเห็นดว ยกบั การประกอบพธิ กี รรมตาง ๆ น้นั เพราะเห็นวาเปน การส้นิ เปลอื งโดยไมม ีประโยชนป ระการหน่ึง และพธิ ีกรรมเปน เครอ่ื งแบงชั้นวรรณะอีกประการหนึ่ง ทฤษฎกี ารดําเนินของรฐั (Origin of the state) นอกจากเหตุผลทางศาสนาแลว โมจ ้ือเห็นวา อาํ นาจรัฐเปนส่งิ จําเปนที่ตองใชเพื่อนใหประชาชนปฏบิ ตั ติ ามหลัก “ความรกั สากล” หนา ที่ท่สี าํ คญั ของผูปกครองรัฐคอื การดูแลความประพฤติของประชาชนคอยใหรางวัลแกผทู ่ปี ฏิบตั ิตาม หลัก “ความรักสากล” และคอยลงโทษแกผ ูทไี่ มป ฏบิ ัติตาม โมจอ้ื จึงเชื่อในเรื่องรับบาลกลางทเ่ี ขม็ แขง็ ตามทศั นะของโมจ อื้ เดิมทีเดยี วกอ นทจี่ ะเกดิ รฐั ใด ๆ มนุษยอยูในสภาพท่ี ทอมัส ฮอบส (Thomas Hobbes) เรยี กวา “สภาพตามธรรมชาติ” (The State of Nature) ในยุคสมยั แรกเริ่มนี้ “ทุกคนตางมีมาตรฐานความถกู และ ความผิดของตนเอง เมอ่ื มีคนเดียวก็มมี าตรฐานเพยี งอยางเดียว เมือ่ มสี องคนกม็ ีมาตรฐานความถกู และความผดิ มากเทาน้ัน ทุกคนถอื วามาตรฐานของตนเองถูกและของคนอนื่ ผิด”
โลกตกอยูในความวุนวายปน ปวนครงั้ ใหญและมนษุ ยเปน เหมือนนกและสัตวป า มนษุ ยจึงไดเ รยี นรูวา ความ วนุ วายปน ปวนท้ังหมดของโลกเกดิ ขนึ้ เพราะการขาดผูนํา ดังนัน้ บคุ คลทงั้ หลายจึงไดเ ลือกบุคคลท่ีมีคุณธรรมมากท่ีสดุ และ มคี วามสามารถท่สี ุดของโลก และแตงต้ังบุคคลผูนั้นเปน บุตรแหงสวรรค (หมายถึงกษตั รยิ ) (โมจ ้ือ, บท 11) ดังนนั้ ผปู กครองรฐั ในครัง้ แรกจงึ เกิดขึ้นตามความปรารถนาของประชาชนเพอื่ ทจ่ี ะชวยในบุคคลท้ังหลายพนไป จากสภาพที่ไมม ีการปกครอง โมจ ้ือเช่ือในเรอ่ื งของอาํ นาจเด็ดขาดสงู สุด (Totalitarianism) มมี าตรฐานของความถูกและความผดิ (Standard of Right and Wrong) เพียงมาตรฐานเดียว เพราะมฉิ ะน้นั แลว มนุษยจะกลบั ไปหา “สภาพตาม ธรรมชาติ” อีก ซงึ่ กจ็ ะมแี ตความวนุ วายปน ปวนไมเปนระเบยี บสาํ หรับโมจ ือ้ แลว มาตรฐานของความถูกและความผิด มาตรฐานเดยี วท่ดี ีท่สี ุดคือ “การปฏบิ ัตติ ามหลัก ความรักสากล เปน ส่ิงที่ถกู และการปฏิบตั แิ บบแบงแยกเปนสง่ิ ท่ีผิด” และ ตามบันทกึ ประวตั ิศาสตรเราทราบวา ชีวิตของโมจื้อเองไดเ ปนแบบอยา งท่ีแทจริงของคําสอนในเรื่องนี้
แนวความคดิ ของเมง จื้อ (Mencius) เมง จ้ือ (Mencius) เมง จอื้ (Mencius หรอื Meng Tzu) (ประมาณ 371 – 289 กอ นค.ศ.) เปนคนพ้ืนเมอื งในรฐั โชว (The State of Tsou) ซึ่งอยทู างตอนใตข องจังหวัดซาวตุงทางภาคตะวันออกของจนี ในปจจุบัน ทานเก่ยี วโยงกับขงจือ้ โดย การศกึ ษากับลกู ศษิ ยของขงจ้ือ – ซู (Tuz – Ssu) ซ่ึงเปน หลานชายของขงจ้อื ในสมัยนน้ั กษัตริยแ หง รฐั ฉี (the King of Ch’i) ซ่งึ เปน รัฐขางเคียงเปนผทู ่ยี กยอ งการศกึ ษาเปนอยา งสูง ไดสรางศูนยการศกึ ษาขึ้นท่ีในเมอื งและไดชุบเลีย้ ง นกั ปราชญราชบัณฑติ เปนจาํ นวนมาก เมง จอื้ เคยพกั อยูที่น่นั ครั้งหน่ึงในฐานะนกั ปราชญทีมชี ือ่ เสียงหลงั จากนน้ั ทานก็ไดเดนิ ทางไปตามรฐั ตาง ๆ เพ่ือ เสนอแนวความคดิ ของตนตอ ผูปกครองรัฐ แตไ รผ ล ในทีส่ ดุ ทานพรอมดวยเหลา สานุศิษยไดเขียนบันทึกคาํ สนทนา ระหวา งเมง จือ้ กบั เจาครองนครรัฐในสมยั นน้ั และคําสนทนาระหวา งเมง จือ้ กับสานศุ ิษย หนังสอื เลมนภี้ ายหลังไดร บั เกยี รติ ใหเปน คัมภรี เ ลม หนึ่งใน “คมั ภรี ทั้งสี่” (The four Books) ของปรัชญาขงจือ้ และไดใชเ ปน พ้ืนฐานของการศึกษา แบบขงจอื้ มานานนบั พันป ทฤษฎมี นุษยด มี าแตก ําเนิด (The Goodness of Human Nature) มนุษยเ กิดมาดีหรือเลว อะไรคอื ธรรมชาตขิ องมนุษยคําถามนเ้ี ปนปญหาท่ถี กเถียงกันมากท่สี ดุ ปญ หาหนึ่งใน ปรัชญาจนี ในสมยั ของเมงจ้ือทีทฤษฎอี น่ื ๆ ทอ่ี ธิบายถงึ เรือ่ งนี้อยา งนอยที่สดุ 3 ทฤษฎี คือ 1. มนุษยเ กดิ มาไมดไี มเ ลว ธรรมชาตขิ องมนุษยเปนกลาง 2. มนุษยเกิดมาสามารถเปนไดท ั้งดีและเลว ทฤษฎีน้ีดูเหมอื นจะหมายความวา ธรรมชาตขิ องมนษุ ยนั้นมีธาตเุ ลว ติดตัวมาแตกาํ เนิด 3. มนษุ ยบางคนเกิดมาดีบางคนเกิดมาเลว ธรรมชาติของมนษุ ยแตล ะคนมีดีมีชว่ั ไมเหมอื นกัน (เมงจ้อื 6ก, 3-6) ทฤษฎีแรกน้ัน เปน ของเกา จือ้ (Kho tzu) นกั ปราชญใ นสมัยเดียวกบั เมงจอื้ เราทราบความคดิ ในทฤษฎนี ้ี ดีกวา ทฤษฎีอืน่ ๆ จากคาํ สนทนาท่ียาวระหวา งเกา จ้ือและเมงจอ้ื ซ่งึ ปรากฏในหนังสอื เมง จอื้ เมงจอ้ื เสนอทฤษฎีวา “ธรรมชาติของมนุษยดมี าแตก ําเนิด” (The Goodness of Human Nature) หมายความวา ธรรมชาติของมนษุ ยม ธี าตุดี (Good Elements) ติดตัวมาแตก าํ เนดิ เมง จ้อื ใหเ หตุผลดังนี้ มนษุ ยทกุ คนมีจติ ใจท่ไี มส ามารถทน (เห็นความทกุ ขยากของ) ผอู ื่นได ... ถาขณะนี้คนเผอญิ เหลือบไปเหน็ เดก็ คนหนง่ึ กําลงั จะตกลงไปในบอน้ํา เขาจะเกิดความรูส ึกตืน่ ตกใจ (ตออนั ตรายที่จะเกิดกบั เด็ก และพรอมท่ีจะวงิ่ ตรงเขา ชว ยเหลอื เด็กคนนั้นในทนั ที) โดยไมมีขอยกเวน ... จากกรณีนเี้ ราอาจสรุปไดวา ผทู ขี่ าดความรูสกึ ออนนอ มถอมตนไมใช มนษุ ย และผทู ่ีขาดความรูส ึกผิดชอบชั่วดีไมใ ชมนษุ ย (เมง จอ้ื 2ก, 6) เมงจ้อื อธบิ ายตอ ไปวา ความรูสึกที่ดที ั้ง 4 ประการนี้เปนส่ิงทต่ี ิดตัวมนษุ ยม าแตก าํ เนิดหรอื เปนธรรมชาตทิ แี่ ทจริง ของมนุษย ทาหากเราพัฒนา “ความรูสกึ ทงั้ 4 ประการ” นใ้ี หเ ติบโตเต็มท่ีแลว กจ็ ะกลายเปน ”คุณธรรม 4 ประการ” ขน้ึ มาดังน้ี ความรสู กึ (Feelings) คณุ ธรรม (Virtues) 1. ความเห็นอกเห็นใจ (Sympathy) เปนจดุ เร่ิมตนขงิ มนุษยธรรม (Jen, Human –
2. การละอายในสง่ิ ท่ีผดิ และภาคภูมใิ จในสงิ่ ท่ี heartedness) ถกู (Shame and Dignity) 3. ความออ นนอ มถอมตน (Modesty) เปนจุดเรมิ่ ตนขิงความชอบธรรม 4. ความรูสึกผดิ ชอบช่ัวดี (Yi, Righteousness) (Sense of Right and Wrong) เปน จุดเริม่ ตนขงิ ความประพฤตอิ ันเหมาะสม (Propriety) เปน จุดเรม่ิ ตน ของปญญา (Wisdom) เมือ่ มนุษยมีคณุ สมบตั ิท้ัง 4 นี้อยูในตัวแลว มนษุ ยก ็ควรที่จะรูจ กั พัฒนาคุณสมบัติเหลาน้ีใหเ ติบโตเต็มทก่ี ลายเปน คณุ ธรรมขึน้ มาชีวิตมนษุ ยจงึ จะมีความหมายที่สมบรู ณ ความรสู ึกทงั้ 4 น้ี เปรยี บเหมอื นกับเมล็ดพืช เมอื่ ไดรบั การดูแลให เติบโตอยางเต็มทแี่ ลวยอ มกลายเปนตน ไมทใ่ี หด อกใหผลสมบรู ณตอ ไป หรอื เปรยี บเหมือนกับชอ ซ่ึงเม่อื บานเต็มท่แี ลวยอ ม กลายเปนดอกไมท ี่สวยงามข้นึ มาได และการทค่ี นบางคนไมดีเทาทคี่ วรนั้นกเ็ นอ่ื งมาจากความรูสกึ ทงั้ 4 น้ี ไมไ ดรบั การ พัฒนาในหนทางทถ่ี ูกตองเทา ท่ีควรน่นั เอง ความรูส ึกเห็นอกเห็นใจเปน จดุ เริ่มตนของมนุษยธรรมความรูส กึ ละอายในสิ่งทผี่ ิดและภาคภมู ิใจในส่ิงท่ีถูกตอง เปนจดุ เริม่ ตนของความชอบธรรม ความรสู ึกออ นนอมถอมตนเปนจุดเร่ิมตน ขิงความประพฤตอิ ันเหมาะสม ความรูส ึกผดิ ชอบชวั่ ดเี ปน จดุ เร่ิมตน ของสติปญญา มนุษยม จี ุดเรมิ่ ตน ทง้ั 4 ประการนเี้ ชนเดียวกบั ท่ีเขามีแขนและขา 4 ขาง ... เน่ืองจาก มนษุ ยท ุกคนมีจดุ เร่ิมตนทงั้ 4 ประการนีใ้ นตัวเอง ใหเขาไดร ูถึงการพัฒนาคณุ สมบตั ิเหลานีใ้ หเต็มที่และสมบรู ณ ผลจะ เกดิ ขึ้นดุจดงั ไฟที่เริ่มลกุ ไหม หรือดจุ ดังนํา้ พุที่เรม่ิ หาทางพลงุ ข้ึนมา ใหเขาไดพ ฒั นาตนเองใหเตม็ ท่ีและเขาจะมเี พยี ง พอทจ่ี ะปกปองสง่ิ ตา ง ๆ ทงั้ หมดในทะเลท้งั ส่ี แตถ า หากวา เขาถกู ปฏิเสธมิใหเกดิ การพฒั นาน้นั เขากจ็ ะมีไมเพยี งพอแมแ ต การปรนนิบัตติ อพอ แมข องเขาเอง (เมง จื้อ 2ก, 6) อยางไรก็ตาม แมแ มง จอ้ื เหน็ วา ธรรมชาตขิ องมนุษยน ั้นมีธาตุดีตดิ ตัวมาตง้ั แตเดิม แตท า นกย็ อมรับวา นอกจาก ธาตดุ นี แ้ี ลว มนษุ ย ยังมีสัญชาตญาณตดิ ตัวมาดวย และสญั ชาตญาณน้ีหากขาดการควบคมุ แลวอาจอาจนาํ ไปสคู วามเลวได ความเลวจงึ เปนสิง่ ทมี าจากภายนอกสญั ชาตญาณนมี้ นษุ ยม รี วมกันกบั สตั วอื่น และถือเปน ลกั ษณะ “แบบสตั ว” ของชีวิต มนษุ ย จึงไมจัดเปนธรรมชาตทิ แี่ ทจรงิ ของ “มนุษย” ทัศนะของเมงจอื้ ท้ังหมดน้แี ตกตา งจากทศั นะของเกาจอื้ ซึ่งเสนอ ทฤษฎีวา ธรรมชาตขิ องมนุษยน ัน้ เปนส่งิ ทไ่ี มดไี มเ ลว ดังนั้นจริยธรรมจึงเปนบางสิ่งซึ่งเปนของปรุงแตง เพม่ิ เติมมาจาก ภายนอก มคี ําถามอกี วาทําไมมนุษยจ ึงควรพฒั นา “ความรสู ึกท่ดี ี 4 ประการ” ใหเ ตบิ โตเปนคุณธรรมข้ึนมาแทนที่จะปลอ ย ตวั ไปตามสญั ชาตญาณฝายตํา่ เมงจอ้ื ตอบวา ความรสู ึกทัง้ 4 นี้เองท่ีทําใหมนุษยแ ตกตางจากสัตวม นษุ ยจึงควรพฒั นา ความรูสึกท้ัง 4 นี้ใหเต็มทีเ่ พื่อวา มนษุ ยจ ะไดเปน “มนษุ ย” ที่แทจริง เมง จื้อกลาววา “ส่ิงทีม่ นษุ ยแตกตา งจากนกและสัตว มีเพยี งไมก ่ีอยา ง คนสวนใหญทอดทง้ิ ส่ิงเหลานไี้ ป ในขณะท่ีผมู ีปญญารักษาสง่ิ เหลาน้ันไว” (เมงจ้ือ 4ข, 19)
ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) เมงจอื้ มีความเปนตรงกบั อรสิ โตเตลิ (Aristotle) ในขอที่วา “มนุษยเ ปนสตั วก ารเมือง” (Man is political animal) และมนษุ ยจะสามารถพฒั นาตวั เองไดเ ต็มที่ก็แตใ นรัฐหรือในสงั คมเทา น้ัน รัฐเปนสถาบันทาง ศีลธรรม (Moral Lnstitution) และผปู กครองรัฐ ควรเปนผูนําท่ที รงคุณธรรม (Moral Leader) ดงั น้ันใน ปรัชญาการเมอื งของขงจอ้ื นักปราชญ (Sage) เทาน้ันที่เปน ผปู กครองท่แี ทจริงเมงจอื้ ไดช ใ้ี หเห็นวา อดุ มคตนิ ี้เคยเกดิ ข้ึน มาแลว ในอดีตสมยั เม่ือนกั ปราชญเยา (Yao) ไดเปนพระจักรพรรดิ (ประมาณ 24 ศตวรรษกอ น ค.ศ.) เมอ่ื นักปราชญเยา แกตัวลงไดเ ลือกนักปราชญซนุ (Shun) ใหสบื ทอดตาํ แหนง พระจักรพรรดนิ ้ี และเม่ือนักปราชญซุนแกต วั ลงกไ็ ดเลอื ก นกั ปราชญยู (YU) ใหสบื ทอดตําแหนงพระจกั รพรรดิอกี ดังนัน้ บัลลงั กพ ระจักรพรรดิไดสบื ทอกันมาจากนกั ปราชญหน่ึง ไปยังนกั ปราชญอ ีกคนหน่ึง ซ่ึงเมง จือ้ เห็นวา สิง่ ที่ควรจะเปน ถา ผูปกครองขาดคณุ ธรรมของความเปนผูปกครองขาดคณุ ธรรมของความเปนผูปกครองแลว ประชาชนมสี ทิ ธิอัน ชอบธรรมท่จี ะปฏวิ ตั ิ เพราะการนกั ปกครองไมไดก ระทําตนใหเปนนักปกครองท่ีดีแลว เขากจ็ ะหมดไปจากความเปน นัก ปกครองทนั ที ตามทฤษฎกี ารแกไขช่ือตําแหนง ในปรัชญาขงจ้อื เมงจอ้ื กลาววา “ประชาชนเปนสิ่งท่ีสําคญั ทีส่ ุด (ในรัฐ) ผนื ดนิ และธัญญาหารเปนสิ่งทสี่ องและนกั ปกครองเปน ส่งิ สุดทา ย” (เมงจ้อื 7ข, 14) ความคิดของเมงจอื้ ในเร่ืองนม้ี อี ิทธิพล อยางใหญห ลวงในประวัติศาสตรของจีนแมก ระทั่งการปฏิวตั ใิ นป ค.ศ. 1911 ซึ่งนาํ ไปสูการสถาปนาสาธารณรฐั จนี แมว า แนวความคิดแบบประชาธิปไตยจากตะวนั ตกจะมีบทบาทอยูดว ยก็ตาม แตค วามคิดทีม่ ีอยกู อ นในเรื่อง “สทิ ธิของกา ปฏวิ ตั ”ิ มีอทิ ธพิ ลมากกวา ในหมปู ะชาชนสวนใหญ ตามทัศนะของเมงจ้อื รัฐบาลแบงออกเปน 2 ประเภท คอื (1) รฐั บาลแบบ หวาง (Wang) มกี ษัตริยนกั ปราชญ (Sage – king) เปนผูปกครอง (2) รฐั บาลแบบ ปา (Pa) มีพวกขนุ ศกึ (Military Lord) เปน ผปู กครอง รฐั บาล ของกษตั รยิ นกั ปราชญป ฏิบตั ิภาระหนาท่ีโดยใชก ารสั่งสอนทางจริยธรรมและการศกึ ษาเปนหลัก สว นรัฐบาลของพวกขุน ศกึ จะใชก ําลังและการบังคับ อํานาจของรัฐบาล แบ หวาง เปนอํานาทางศีลธรรม สว นอาํ นาจของรับบาลแบบ ปา เปน อาํ นาจทางการทหารเมงจื้อไดกลาวถงึ เร่ืองนีว้ า “ผทู ี่ใชก าํ ลงั แทนคุณธรรมเปน พวก ปา ผูทีม่ ีคุณธรรมและปฏิบตั ิ มนษุ ยธรรมเปน หวาง ผูทีเ่ อาชนะผูอนื่ ดวยกําลัง คนท้ังหลายจะยินยอมก็เพยี งภายนอกเทาน้ันเพราะเขาไมมกี ําลังพอทีจ่ ะ ตอ ตาน สวนภายในจิตใจนั้นหาไดยนิ ยอมไม สว นผทู ชี่ นะผูอื่นดวยคุณธรรม คนท้ังหลายจะรสู ึกนิยมยนิ ดแี ละจะยนิ ยอม จากสว นลกึ ของหวั ใจ ดังเชน สานุศิษยทงั้ 70 ของขงจือ้ ” (เมง จอื้ 2ก, 3) ในดานเศรษฐกจิ นั้นเนอื่ งจากสังคมจีนในยุคน้นั เปนสงั คมเกษตรกรรม เมง จื้อจึงเนนความเสมอภาคของการ ครอบครองท่ีดินเปนสําคญั ระบบทีด่ ินของเมงจือ้ เปนทีร่ จู ักกันวา “ระบนาบอ” (Well-Field System) ตามระบบนี้ ที่ดนิ ทุก ๆ หนงึ่ ตารางล้ี (ประมาณ 1/3 ของไมล) จะแบงออกเปนทดี่ นิ จัตุรสั 9 สว นเทา ๆ กัน จัตุรสั ตรงกลางเรียงกันวา “นารวม” (Public Field) สําหรบั จัตรุ ัสรอบ ๆ อกี 8 สวน เปนท่ีดินสวนตวั ของชาวนาแตละครอบครวั ๆ ละ 1 สว น ชาวนาแตละครอบครวั จะทํานาของตนเอง และในขณะเดียวกันก็ทํานารว มกัน ผลผลิตท่ไี ดจากท่ีนาของตนจะเกบ็ ไวใ ชเ อง สว นผลผลิตทไี่ ดจากนารวมจะสงไปใหรฐั บาล การแบง ท่ดี ินออกเปนรูปจัตุรสั 9 สว นนคี้ ลายกบั ตัวอกั ษรจีนคําวา “บอ นาํ้ ” # จงึ เรยี กกนั วา “ระบบนาบอ ” นอกจากนกี้ ารจดั ท่ีดินเปน จัตุรัส 9 สวนนี้ มีลกั ษณะคลายกบั รูปบอ นาํ้ สเ่ี หลี่ยม “นารวม” ตรงกลางเปรยี บเหมอื นนา้ํ ซึง่ จะตกั ตวงไปใชใ หเ กดิ ประโยชนต อ สังคมไดอยางไมรูจักหมดสน้ิ
นอกจากนีเ้ มง จ้อื ยงั แนะนาํ ใหแตละครอบครัวปลูกตน หมอนไวรอบ ๆ บา นของตนเพือ่ วา ผูสงู อายุในครอบครวั วจะไดม ีผา ไหมใส และแตล ะครอบครัวควรจะเล้ียงเปด ไกและหมูเพ่ือวา จะไดม เี น้ือไวร ับประทานถา ทําไดด งั นแ้ี ลวทกุ คน จะสามารถ “บาํ รุงเลีย้ งผูท่ีมชี ีวิตอยู ปละฝงศพขอผูที่ถงึ แกก รรมไปโดยไมม คี วามขัดเคอื งใจแมแ ตนอ ย นีเ้ ปนเครื่องหมาย ของการเริ่มตนวถิ ที างของกษตั รยิ นกั ปราชญ” (เมง จอื้ 1ก, 7) เมงจือ้ ไดเ ชอื่ มโยงธรรมชาติของมนุษยเ ขากบั การปกครอง ของกษัตริยนกั ปราชญด ังนี้ “มนายท ุกคนมีจิตใจที่ไมสามารถทน (เหน็ ความทกุ ขยากขอ) ผอู ่ืนได กษตั ริยในคร้ังแรกเรมิ่ ก็ เชนเดยี วกัน จงึ ไดจดั ตง้ั รฐั บาลที่ไมดดู ายตอความทกุ ขย ากของประชาชนขนึ้ ” (เมงจอ้ื 2ก, 6) ในขณะทีข่ งจอื้ ไดสอนหลกั ธรรมของการพัฒนาตนเองนั้นเมงจอื้ ไดขยายแนวความคิดไปสูร ฐั บาลและการเมือง หลกั ของขงจอ้ื นั้นเปนการปฏบิ ัติเพ่อื “ความเปนปราชญภายใน” (Sageliness Within) สว นเมงจ้อื นั้นไดข ยาย หลกั การปฏบิ ัติออกไปเพอื่ “ความเปน กษตั ริยภายนอก” (Kingliness Without) เพิม่ ขน้ึ อกี ดวย แมใ นเรื่อง “ความ ยิง่ ข้ึน โดยกลา ววา “ผทู ่ีพฒั นาจิตใจของตนเองโดยสมบูรณจ ะรจู ักธรรมชาตขิ องตนเอง ผูท่รี ูจักธรรมชาติของตนเองจะ รูจกั สวรรค” (มง จอ้ื 7ก, 1) จิตใจในท่นี ้ีหมายถึง จิตใจท่ีไมส ามารถทนเหน็ ความทกุ ขย ากของคนอ่นื ได หรอื “ความรสู กึ เหน็ อกเหน็ ใจ” น่นั เอง อันนี้เปนธรรมชาตขิ องมนุษยค อื “สิ่งที่สวรรคใหแกเ รามา” (เมง จื้อ 6ก, 15) ดังนั้นเม่ือมนุษยรูจกั ธรรมชาตขิ องตนเองแลว ยอ มจะรูจกั สวรรคด วย มนุษยก ับจักรวาล (Man and Universe) ตามทัศนะของเมง จ้ือ จกั รวาลนี้โดนแกนแทแ ลวจักรวาลท่ีมีระเบียบมเี หตผุ ลมีความถูกตองชอบธรรมอยูในตวั (Moral Universe) ศลี ธรรมจรรยาในหมมู นุษยเ ปนเพียงภาพสะทอ นมาจากจกั รวาลทม่ี ีเหตผุ ลและความชอบธรรมนี้ และธรรมชาติของมนุษยก ม็ าจากธรรมชาตขิ องจกั รวาลเชน เดยี วกัน เม่ือพดู ถงึ “สวรรค” (Hesven) เมงจ้ือหมายถึง จกั รวาลที่ชอบธรรม” (Moral Universe) น้ี ลัการรจู กั และเขา ใจ “จกั รวาลท่ชี อบธรรม” นี้กค็ อื “การรจู ักสวรรค” (Knowing Heaven) น่นั เอง คนทร่ี ูจักสวรรคไ ม เพยี งแตเปนพลเมืองของสงั คมเทาน้ัน แตย ังเปน “พลเมืองของสวรรค” (T’ien Min, Citizen of Heaven) อกี ดว ย มนษุ ยธรม (Human – Heartedness) ความชอบธรรม (Righteousness) ความซื้อสัตยส ุจริต (Loyalty) การมคี วามเชอื่ มน่ั ทีด่ ี (Good faith) แลการปฏิบัตแิ ตส่ิงท่ีดีงามอยา งไมร ูจักเหน็ดเหน่อื ย (Untiring Practice of the Good) เหลานเ้ี ปนเกยี รติยศแหง สวรรค (Honors of Heaven) ในขณะที่ตําแหนงกษัตรยิ ร บั มนตรแี ละขา ราชการเปนเกยี รตยิ ศแหงมนษุ ย (Honors of Man) (เมง จอ้ื 6ก, 16) ผูท่เี ปน “พลเมืองของสวรรค” จะยนิ ดีเฉพาะแต “เกยี รติยศแหง สวรรค” (Honors of Heaven) เทาน้นั ในขณะที่พลเมอื งของสังคมจะยินดีในเกียรตยิ ศของมนุษย เมง จอื้ กลา ววา “ทุกสิง่ ทุกอยา งสมบูรณอยูใ นตวั เรา (All things are complete within us) ไมมีความ ยินดีอันใดจะดีไปกวา การเห็นแจงความจรงิ ขอน้ดี วยการฝกฝนตนเอง และไมม หี นทางของมนุษยธรรมอันใดจะดไี ปกวา การปฏบิ ัติตามหลกั ของสู (Shu)” (เมง จื้อ 7ก, 1) ดว ยการพฒั นาธรรมชาติของตนเองใหเตม็ ท่ี มนษุ ยไ มเ พียงแตจะ สามารถรูจ กั สวรรคเ ทา นนั้ แตย ังสามารถเปน อันหน่ึงอนั เดยี วกับสวรรคอีกดวย เม่ือมนษุ ยพ ัมนาความรูสึกเห็นแกเห็นใจ ใหเตม็ ทก่ี จ็ ะเกิดมนุษยธรรมข้ึนมาภายใน และหนทางของมนุษยธรรมทีด่ ีท่ีสดุ คอื การปฏบิ ตั ิ จงและ สู (Chung and Shu) ดว ยการปฏบิ ัติเชนนี้ ความเห็นแกตวั ของมนุษยก็จะคอย ๆ ลดลง เมอื่ ความเห็นแกตัวของมนุษยลดลงก็จะไมเกิด
การแบง แยกตวั เรากบั ผูอ่นื อีกตอ ไป และกไ็ มเ กิดการแบงแยกระหวา งตวั เรากับจักรวาลดว ย น่ันคือ เราเปนอันหนึง่ อัน เดยี วกับจักรวาลทั้งมวลและเกิดความเห็นแจงวา “ทกุ ส่งิ ทกุ อยางสมบูรณอยใู นตวั เรา” ศีลธรรมทย่ี ิ่งใหญ (Great Morale) “ศลี ธรรมท่ยี ่ิงใหญ” (Hao jan Chin Ch’I, Great Morale) เปนเรื่องคุณคา ที่เหนือระดับจรยิ ธรรม ธรรมดา (Spuper –Moral Value) เปนเรอ่ื งความสมั พันธร ะหวา งมนุษยกับจักรวาล เปน คุณสมบัตขิ องบุคคลที่เขา เปน อันหน่ึงอันเดียวกบั จกั รวาล เปน คุณสมบัติของบคุ คลที่เขา ถงึ ความเปนอันหนึ่งอันเดยี วกับจกั รวาล “ศีลธรรมทีย่ ่ิงใหญ” เปน สิง่ ที่ ปกแผไปท่วั ท้งั สวรรคและโลก” (It pervades all between Heaven and Earth) วิธที จ่ี ะเขาถึง “ศีลธรรมทย่ี ง่ิ ใหญ” มอี ยู 2 ลักษณะดวยกัน ดังน้ี (1) “ความเขาใจแหงเตา” (Tao) (คําวา “เตา แปลวา “ทาง” หรือ “สจั จะ”) คือ หนทาง ซึ่งจะนําไปสกู าร ยกระดบั จติ ใจ (2) “การสะสมความชอบธรรม” (Righteousness) คือการประพฤติปฏิบตั ิแตสง่ิ ทจ่ี ะนาํ ไปสกู ารเปน “พลเมอื งของจกั รวาล” (Citi-Zen of the universe) โดยสมบูรณ ดังนน้ั “ศีลธรรมท่ียงิ่ ใหญ” จึงเปน “ผลรวมของของความชอบธรรมท่ียง่ิ ใหญ” ก็จะคอย ๆ ปรากฏออกมา อยางเปนธรรมชาติจากแกนกลางของชวี ิต ครงั้ หน่งึ สานศุ ิษยคนหน่งึ ถามเมง จอื้ วาทา นชํานาญในเร่ืองอะไรเปนพิเศษ เมงจ้ือตอบวา “ฉนั รูจกั วา คาํ พดู ใดผดิ หรอื ถกู และความสามารถหยง่ั รศู ีลธรรมที่ยิ่งใหญ” สานุศิษยคนนั้นถามวา ศีลธรรมทย่ี ่ิงใหญคือ อะไร เมง จ้อื ตอบวา “ศีลธรรมท่ีย่งิ ใหญทสี่ ุดและมัน่ คงทสี่ ุด ถาหากวามกี ารฝก ฝนอยางจรงิ จังโยไมข าดตก บกพรองแลว มันจะปกแผไ ปทว่ั ท้งั สวรรคและโลก ศีลธรรมทีย่ ง่ิ ใหญน ี้จกั บรรลุถึงไดโ ดยผลรวมของความชอบ ธรรมและเตา หากขากการฝกฝนเหลาน้แี ลว มนั จะคอยออ นตัวลง (เมง จอ้ื 6ข, 2) อยางไรกต็ มพฒั นาธรรมชาติพนื้ ฐานใหเติบโตข้ึนจนเปน ศลี ธรรมทยี่ ิ่งใหญน ้ีตอ งคอยเปนคอ ยไปตามขั้นตอน การฝน บังคับอยางไมถูกตอ งแทนทจี่ ะใหผลดีกลบั ใหผลรายและความลมเหลว ดงั ท่ีเมงจอ้ื ไดย กอุทาหรณใ หฟ งวา “เรา ไมค วรเอาอยา งคนรฐั ซงุ (Sung) มีคนในรฐั ซุงคนหนง่ึ เปน คนใจรอนอยากเหน็ ขาวของตนโตเร็ว ๆ จึงชวยดงึ ตน ขาวให สูงข้ึน เม่ือเขากลับมาถงึ บานไดบอกกับคนที่บานดวยความไมมีประสีประสาวา วันน้ฉี ันเหนอื่ ยทง้ั วนั เพราะไดไ ปชว ยตน ขาวใหโตเร็วขนึ้ ลูกชายเมอ่ื ไดยินดงั น้ันจึงรีบว่ิงออกไปดู ปรากฏวา ตนขา วไดเ หย่ยี วเฉาทัง้ หมด” (เมงจอ้ื 2ก, 2)
แนวความคดิ ของซุนจือ้ (Hsun tzu) ซุนจ้ือ (Hsun tzu) ซนุ จ้ือ (298 -238 กอน ค.ศ.) มีชอื่ เดมิ วา ควง (K’uang) หรอื รูจกั กนั ในอกี ช่ือวา ซนุ ชิง (Hsun Ch’ing) เปนคนพ้ืนเมืองในรฐั เชา (Chao) ซึง่ อยูท างตอนใตของจงั หวัดโฮเปย (Hopei) และจังหวดั ชานสี (Shansi) ใน ปจจุบัน เมอื่ อายไุ ด 50 ป ซนุ จอ้ื ไดเดนิ ทางไปยังรัฐฉี (Ch’i) และทา นอาจเปน นกั เดินทางท่ยี ิ่งใหญคนสดุ ทายแหง สํานกั ชิ เซยี (Chi – Hsia) อันเปน ศุนยก ลางของการศึกษาในเวลนั้น หนังซื้อซุนจอ้ื (The Hsun tzu) มีทัง้ หมด 32 บท เปน งานเขยี นทใ่ี หร ายละเอียดและลําดับเหตผุ ลทางความคิดของซุนจ้อื ซ่ึงบางทีทานอาจเปนผูแตง ข้นึ โดยตรงก็ได ทฤษฎมี นุษยเ ลวมาแตกําเนิด (The evil of Human Nature) ซนุ จื้อมชี อื่ เสยี งจากทฤษฎที ่ีวา “ธรรมชาตขิ องมนุษยเลวมาแตก าํ เนิด” (Human Nature is Originally evil ) หมายความวาธรรมชาติของมนษุ ยนั้นมธี าตุเลวมาแตกําเนิด (Bad Elements) ติดตวั มาแตกําเนิด ตั้งแตเกิดมา เปนมนุษยก ็มีความรสู ึกทีเ่ ห็นแกตัว (Egocentric) มีความอยากกระหาย (Desirous) แสวงหาแตกาํ ไลและความ ไดเปรียบมาสูต ัว (Profit and advantage) มีอารมณท ี่รนุ แรงในการอจิ ฉาริษยาและเกลียดชงั ผูอืน่ (Envy andHatred) เมื่อมองผิวเผนิ แลวอาจจะเห็นวา ซุนจ้อื มองมนุษยในแงท ี่ตาํ่ มาก แตมนุษยก ็ยงั มีความหวงั เพราะซุนจ้ือเชือ่ วา มนษุ ยส ามารถพฒั นาตัวเองใหดีขึ้นมาไดถ ามีความมานะพยายาม ปรชั ญาของซนุ จือ้ จึงอาจเรยี กไดวา เปน “ปรชั ญา วฒั นธรรม” (Philosohy of Culture) เพราะซนุ จ้ือเชือ่ วาทุกสิง่ ทุกอยา งทีด่ ีงามอละมีคุณคานนั้ เกิดจากความพยายาม ของมนุษย สิง่ ท่ดี งี ามและมีคุณคาน้นั ไดมาจากวฒั นธรรม และวัฒนธรรมก็เปนผลผลติ ของมนุษย ดังนนั้ มนุษยจงึ มี ความสําคญั เทียบเทากบั ฟา และดิน ซนุ จอื้ กลาววา ฟา มีฤดูการท้ังส่ี ดินมที รพั ยากรธรรมชาติ มนษุ ยม วี ัฒนธรรม นัน่ คอื ความหมายเมือ่ กลาววามนุษย สามารถทจี่ ะเปนหนึ่งในสาม (Trinity) รว มกัน (กบั ฟา และดิน) (ซนุ จื้อ บท 17) ทฤษฎีของซุนจื้อคอื “ธรรมชาติของมนุษยนัน้ เลว ความดเี กดิ จากการฝก ฝนอบรม” (ซนุ จ้อื บท 23) และตาม ทศั นะของซนุ จอ้ื แลว “ธรรมชาติเปนของด้ังเดิมท่ียังไมไดถกู ตกแตงสง่ิ ทต่ี อ งการคอื การขดั เกลาดวยวฒั นธรรมให กลายเปน ของมคี า ขึ้นมา ถา ไมม ีธรรมชาตแิ ลวก็ไมม ีของสาํ คัญท่ีจะขัดเกลาและถาไมมกี ารขัดเกลาแลวธรรมชาตกิ ็ไมอาจ สวยงามดวยตัวเองได” (ซุนจอ้ื บท 23) แมว า ซนุ จื้อมีความเห็นวาธรรมชาติของมนุษยน ้ันมีธาตเุ ลวติดมาแตเดมิ แตทานก็ยอมรับวา นอกจากธาตุเลวน้ี แลว มนุษยย ังมีสติปญญาอยดู วย และสตปิ ญ ญานีเ่ องทีท่ ําใหม นุษยพัฒนาตนเองใหก ลายเปน คนดีได ตามคําพดู ของซนุ จอื้ “มนษุ ยทุกคนท่ีเดินอยตู ามถนนหนทางมีความสามารถท่ีจะรมู นุษยธรรม ความชอบธรรม การเชื่อฟงกฎหมายและความ ยุตธิ รรม และรถู งึ วิธีในการปฏิบัติหลกั เหลา นด้ี วยกนั ท้ังสน้ิ ดงั นั้นจึงเปนอันเชอ่ื มน่ั ไดวาเขาสามารถจะเปนนักปราชญยู (Yu) ได” (ซุนจอื้ บท 23) ดงั นั้นในขณะที่เมง จ้อื บิกวา มนุษยทุกคนสามารถท่ีจะเปนนักปราชญเ ยา (Yao) หรือ นกั ปราชญซ นุ (Shun) ไดเ พราะเขาดีมาต้ังแตเดิม ซุนจอื้ บอกวามนษุ ยท กุ คนสามารถเปนนักปราชญยู (Yu) ไดเ พราะ เขามสี ติมาแตเดิม
การกําเนดิ ของคณุ ธรรม (Origin of Morality) ถา หากวามนุษยเกิดมาเลวแลว ความดนี นั้ มาจากไหน มนุษยจะกลายเปน คนดีขึ้นมาไดอ ยางไร ซนุ จ้ือเห็นวาทม่ี า ของความดี คือ (1) การที่มนุษยอ ยูรวมกนั ในสงั คม (Social Oranization) ก. รว มมือชวยเหลือซึ่งกันและกนั ทาํ ใหม ีสภาพชวี ติ ทด่ี ีขนึ้ ซุนจือ้ กลาววา “มนษุ ยค นหนึ่ง ๆ นน้ั ตองการความรวมมอื ชว ยเหลือจากบุคคลอนื่ นับเปนจาํ นวนรอ ยเพอื่ ให สิง่ ตาง ๆ สําเร็จลลุ วงไปดว ยดี แตบุคคลธรรมดาก็ไมสามารถเชยี วชาญอะไรมากไปกวา หนึ่งสง่ิ และคน ๆ หนึ่งก็ไมสาม รถท่ีจะทําสองสง่ิ ในเวลาเดียวกนั ได ถา ประชาชนทั้งหลายอยูก ันตามลาํ พังและไมชวยเหลอื ซึง่ กันและกันแลว เขาท้งั หมด ก็จะตกอยใู นความยากจน” (ซุนจือ้ บท 10) ข. เพ่อื ทีจ่ ะเอาชนะสัตวอ ่ืน “ในดา นพละกําลงั นั้นคนมีไมมากเทา กบั ววั ในดา นฝเทาแลวคนก็วิ่งเรว็ สูมา ได แตค นกส็ ามารถนําวัวและมา มาใชสอยได ทาํ ไมจึงเปน เชนนั้น ฉันอยากจะกลาววา เปนเพราะคนมีความสามรถทจ่ี ะรวมตัวกันเปนสังคม ในขณะทีส่ ตั ว ไมสามารถทําเชน นนั้ ได... เมอ่ื รวมตวั กนแลวคนก็มีพละกําลงั ที่มากกวา เมื่อมพี ละกําลงั มากกวาแลวกจ็ ะมีอาํ นาจมากกวา เมือ่ มีอํานาจมากกวาก็สามารถเอาชนะสตั วอ ่ืนได” (ซนุ จ้ือ บท 10) และมนษุ ยจะรวมตัวกนั เปนสังคมทด่ี ไี ด กต็ องมีระเบียบกฎเกณฑทางสงั คมที่เรียกวา หล่ี (Li) นัน่ เอง ซุนจอ้ื ไดพดู ถึงการกําเนิดของหล่ไี วดงั นี้ “หลเ่ี กิดขนึ้ มาแตเม่อื ใด คาํ ตอบกค็ อื มนษุ ยเกดิ มาพรอ มกบั ความอยากกระหาย (Desires) เม่อื ความ อยากระหายงั ไมส มปรารถนา มนุษยไมส ามารถจะหยุดน่ิงไดตองออกแสวงหาเพอื่ บาํ บัดความอยากของตน เมอื่ การแสวงหาส่งิ บําบดั ความอยากของตนกระทาํ ไปโดยไมม ีขอบเขตจํากดั มนุษยก ็เกดิ การทะเลาะวิวาทกนั ขนึ้ เมือ่ เกิดการทะเลาะวิวาทก็เกดิ การวนุ วายปน ปว น เม่ือวุนวายปนปวนทุกส่งิ ทกุ อยางก็จบสิน้ กษัตรยิ ในสมัย แรกเริ่มเกลียดความวุนวายปนปว นน้ีจึงไดต ง้ั หล่ี (กฎเกณฑข องความประพฤติ) และอ้ี (Yi) (ความชอบธรรม) ขน้ึ เพ่ือยุตคิ วามยงุ ยากสับสนเหลา นี้” (ซุนจือ้ บท 19) มนุษยจ ําเปนจะตอ งอยูดวยกนั และการทีจ่ ะอยูรว มกนั โดยไมตอ งแกงแยงทะเลาะกันน้นั จําเปนที่ทุกคนจะตองมี ขอบเขตในการแสวงหาสิง่ บาํ บัดความตองการของตน ขอบเขตอันนน้ั คอื หลี่ เม่ือมหี ลี่ จึงมี ความดีเกดิ ข้ึน เพราะฉะนั้น ใครที่ปฏิบตั ิตาม หลี่ คอื คนดี ใครท่ีไม ปฏิบตั ติ าม หลี่ คือคนไมด ี (2) การท่มี นุษยส ามารถแยกความสมั พันธในสังคม (social Distinctions) เชน ความสมั พนั ธระหวางพอ แมกับลูก สามกี บั ภรรยา พีก่ ับนอง เพ่ือนกับเพื่อน ผูปกครองกบั ผูถกู ปกครอง และสามารถปฏิบัตติ อ กันไดอยางถูกตอ ง เหมาะสมตาม หล่ี ความดีจงึ เกิดข้นึ ในขณะท่ีสตั วไ มสามารถแยกเรื่องนีไ้ ด ซุนจือ้ กลา ววา “มนษุ ยมิไดเปนมนุษยด วยเหตุผลท่ีวาเขามีลกั ษณะเฉพาะคอื มีสองเทา และไมมขี น (ตามรางกาย) แตเ ปนมนษุ ยดว ยเหตผุ ลที่วา เขาสามารถแยกความสัมพันธในสงั คมไดอ อก นกและสตั วม พี อและ ลกู แตไมมคี วามผูกพันระหวา งพอ กับลูก มตี ัวผแู ละตัวเมยี แตไ มมีการแบงแยกทเี่ หมาะสมระหวางตัวผูกบั ตัว เมยี ดงั นน้ั ในวถิ ที างของมนษุ ยจะตอ งมกี ารแยกความสมั พนั ธใ นสังคม ไมม กี ารแยกความสัมพนั ธใ นสงั คมอัน ใดจะยิ่งใหญไ ปกวา หล”ี่ (ซุนจ้อื บท 5)
ความสัมพนั ธทางสงั คม (Social Relationships) ระหวา งพอกับลูก สามีกับภรรยา ฯลฯ เปน ผลผลิตของ วฒั นธรรมและอารยธรรมมิใชเปนส่ิงทเ่ี กดิ ข้นึ เองตามธรรมชาติ มนษุ ยควรจะมาสมั พันธท างสังคมและปฏิบัตใิ หถ ูกตอ ง ตาม หล่ี เพราะสิ่งนเี้ ทา นน้ั ทท่ี าํ ใหมนุษยแตกตางจากนกและสตั ว ในปรชั ญาขงจ้อื คาํ วา หล่ี (Li) มีความสามารถกวางบวางมากสามารถแปลไดว า (1) กฎเกณฑของความ ประพฤติทางสังคม (Rules of Social Conduct) (2) พธิ หี รือธรรมเนยี ม (Ceremonies or Rituals) ใน ความหมายแรกนั้น หลี่ เปนกฎขอ บังคับสําหรับมนุษยใ นการแสวงหาส่งิ บาํ บดั ความตอ งการของตนเอง ในความหมายท่ี สอง หลี่ เปนเครื่องขัดเกลาอารมณืของมนุษยใหสะอาดบริสทุ ธ์ิ ทฤษฎีพิธีกรรมและดนตรี (Theory of rites and music) พิธีกรรมทีส่ าํ คัญทส่ี ดุ และปฏบิ ัติกันอยางแพรห ลายในหมูช าวจีนไดแกก ีไ่ วทกุ ข (Mourning) และการบชู า บรรพบรุ ุษ (Ancestor Worship) เมือ่ กระทํากนั อยา งแพรห ลายจงึ เกดิ ความเชือ่ ทางไสยศาสตร (superstition) และเทพนิยาย (Mythology) แฝงตวั อยูดวยไมน อย ซุนจ้ือและสานุศิษยไ ดพ ยายามใหเหตุผลในการตีความหมายใหม ๆ และนําความคิดใหมม าสพู ธิ กี รรมเลานน้ั หนังสอื ที่สําคญั ในปรัชญาขงจอ้ื ทีก่ ลา วถงึ เร่ืองพิธกี รรมมสี องเลม คือ หนังสอื แหง มารยาทละพธิ กี รรม (Yi Li, Book of Etiquette and Ceremonial) ซง่ึ บันทึกข้ันตอนในการประกอบพธิ ีใน สมยั นัน้ และหนังสอื แหงพธิ กี รรม (Li Chi, Book of Rites) ซง่ึ เปนหนงั สอื ท่ีตคี วามพิธกี รรมตาง ๆ เช่ือกันวา เลม หนงั สานศุ ิษยข องซนุ จ้ือชว ยกันแตง ขึน้
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: