Grade 2A ชนิดของคำ ในภาษาไทย จัดทำโดย นางสาวกรรณิการ์ ศรีณะพรม รหัสนักศึกษา 64040101213 สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์
ก คำนำ E-Book เรื่อง \"ชนิดของคำในภาษาไทย\" ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของรายวิชา ED13201 นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการ สื่อสาร การศึกษาและการเรียนรู้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียน การสอนและเป็นสื่อการเรียนการสอนในรายวิชาภาษาไทย เพื่อให้ ผู้อ่านได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อง ชนิดของคำในภาษาไทย และได้ ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน โดย E-Book ฉบับนี้ ประกอบด้วยเนื้อหาดังนี้ ชนิดของคำในภาษาไทย 7 ชนิด และตัวอย่าง ชนิดของคำในภาษาไทย ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า E-Book ฉบับนี้จะเป็นประโยชน์กับ ผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อ แนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภ้ย มา ณ ที่นี้ กรรณิการ์ ศรีณะพรม วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566
ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ.......................................................................... ก สารบัญ........................................................................ ข ชนิดของคำในภาษาไทย............................................... 1 คำนาม........................................................................ 2 คำสรรพนาม................................................................ 5 คำกริยา....................................................................... 7 คำวิเศษณ์.................................................................... 9 คำบุพบท....................................................................12 คำสันธาน...................................................................13 คำอุทาน ....................................................................14 สรุปชนิดของคำในภาษาไทย .......................................15 แบบฝึกหัด..................................................................16 เฉลยแบบฝึ.ก...ห.ั.ด............................................................18 อ้างอิง....................................................................... 20 ประวัติผู้เขียน............................................................. 21
1 ชนิดของคำในภาษาไทย คำ เป็นเสียงที่เราเปล่งออกมาตั้งแต่ 1 พยางค์ขึ้นไป ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ คำแตกต่างจากพยางค์ตรงที่ พยางค์จะมีความหมายหรือ ไม่มีก็ได้ แต่คำต้องมีความหมายเสมอ คำในภาษาไทย แบ่งตามหน้าที่ในประโยคได้เป็น 7 ชนิด ได้แก่ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำวิเศษณ์ คำบุพบท คำสันธาน และคำอุทาน คำทั้ง 7 ชนิดนี้ จะทำหน้าที่ต่าง ๆ ในประโยค เพื่อ สื่อความหมายให้ถูกต้อง ชัดเจน คำบางคำมีหลายความ หมาย และสามารถทำได้หลายหน้าที่ การที่จะรู้ความ หมายที่ถูกต้องได้ต้องดูที่หน้าที่ของคำนั้นในประโยค
คำนาม 2 คำนามเป็นชื่อเรียก คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ที่เป็นรูปธรรม หรือชื่อเรียกสิ่งที่เป็นนามธรรม คำนามจะทำหน้าที่เป็นประธาน และกรรมของประโยค ใช้ระบุบ่งชี้ถึงสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้รู้ว่ากำลังพูด ถึงใคร หรืออะไร ชชนนิิดดขขอองงคคำำนนาามม 1.สามานยนาม คือ คำนามที่เป็นชื่อทั่วไป 2. วิสามานยนาม คือ คำนามเป็นชื่อเฉพาะ 3. สมุหนาม คือ คำนามบอกหมวดหมู่ ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ ที่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ 4. ลักษณนาม คือ คำนามที่ใช้บอกลักษณะของคำสามานยนาม 5. อาการนาม คือ เป็นคำนามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “การ” หรือ “ความ” นำหน้า
ตัวอย่างคำนาม 3 คำนามแบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ 1.) สามานยนาม คือ คำนามที่เป็นชื่อทั่วไป เช่น นก ปลา คน รถ ตึก วัด ตลาด ทะเล ภูเขา ดวงดาว 2.) วิสามานยนาม คือ คำนามเป็นชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อคน (สมชาย วิศรุต โธมัส) ชื่อสถานที่ (เชียงใหม่ ยุโรป ถนนเพชรเกษม) ชื่อหนังสือและตัวละคร สมมติ (สามก๊ก เวนิสวาณิช หนุมาน) ตลอดจนชื่อของเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อทั้งหลาย 3.) สมุหนาม คือ คำนามบอกหมวดหมู่ ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ ที่รวม กันเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ เช่น ฝูงสัตว์กำลังแตกตื่น คณะนักศึกษาไปทัศนศึกษา เหล่าทหารกำลังสวนสนาม โขลงช้างกำลังข้ามลำห้วย 4.) ลักษณนาม คือ คำนามที่ใช้บอกลักษณะของคำสามานยนาม เช่น รถ 6 คัน ปืน 5 กระบอก ช้าง 3 เชือก บ้าน 4 หลัง ขลุ่ย 1 เลา พระ 4 รูป 5.) อาการนาม คือ เป็นคำนามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “การ” หรือ “ความ” นำหน้า โดยคำว่า “การ” มักนำหน้าคำกริยา เช่น การเดิน การวิ่ง การว่าย น้ำ การแข่งขัน การเสียสละ การรบ การประชุม การเดินทาง เป็นต้น ส่วนคำ ว่า “ความ” มักนำหน้าคำวิเศษณ์ เช่น ความสุข ความสำเร็จ ความรัก ความ พร้อม ความรู้ ความหวัง ความแห้งแล้ง ความสงบ เป็นต้น
ตัวอย่างคำนาม 4 1. สามานยนาม ไก่ บ้าน จรวด 2. วิสามานยนาม วัดพระแก้ว พ่อขุนรามคำแหง 3. สมุหนาม โขลงช้าง ฝูงนก 4. ลักษณนาม สุนัข 3 ตัว หนังสือ 5 เล่ม 5. อาการนาม การนอน การกิน ความโกธร
คำสรรพนาม 5 คำสรรพนามเป็นคำที่ใช้แทนคำนาม ในกรณีที่ต้องพูดถึงนามนั้นซ้ำ หรือใช้แทนตัวผู้พูดและแทนตัวผู้อื่น เป็นคำที่ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าใครเป็น ผู้พูด ซึ่งผู้พูดจะใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 เสมอ โดยแทนผู้ฟังด้วยสรรพนาม บุรุษที่ 2 และแทนผู้ที่อยู่นอกการสนทนาด้วยสรรพนามบุรุษที่ 3 ชชนนิิดดขขอองงคคำำสสรรรรพพนนาามม 1.บุรุษสรรพนาม คือ สรรพนามใช้แทนผู้พูด ผู้ฟัง และผู้ที่กล่าวถึง 2. ประพันธสรรพนาม คือ คำสรรพนามที่ใช้แทน(เชื่อม)คำนามที่อยู่ข้างหน้า 3. วิภาคสรรพนาม คือ คำสรรพนามที่ใช้แทนคำนามเพื่อบอกความชี้ช้ำ แบ่งพวก รวมพวก 4. นิยมสรรพนาม คือ คำสรรพนามที่ใช้แทนนามที่ชี้เฉพาะเจาะจง หรือชี้ระยะ 5. อนิยมสรรพนาม คือ คำสรรพนามที่แทนนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงและไม่ได้ กล่าวในเชิงถาม หรือสงสัย 6. ปฤจฉาสรรพนาม คือ คำสรรพนามใช้เป็นคำถาม
ตัวอย่างคำสรรพนาม 6 คำสรรพนามแบ่งได้ 6 ชนิด คือ 1.) บุรุษสรรพนาม เป็นสรรพนามใช้แทนผู้พูด ผู้ฟัง และผู้ที่กล่าวถึง แบ่งออกเป็น - สรรพนามบุรุษที่ 1 ใช้แทนผู้พูด ได้แก่ ฉัน ข้าพเจ้า กระผม ผม ดิฉัน ข้า เรา - สรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้แทนผู้ฟัง ได้แก่ เธอ ท่าน คุณ ใต้เท้า พระคุณ - สรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนคนที่เรากำลังกล่าวถึง ได้แก่ เขา พวกเขา มัน 2.) ประพันธสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยค ทำหน้าที่แทนคำนาม หรือสรรพนามที่อยู่ข้างหน้า และทำหน้าที่เชื่อมประโยคโดยให้ประโยค 2 ประโยค มีความเชื่อมกัน ได้แก่คำว่า ผู้, ที่, ซึ่ง, อัน เช่น ผู้หญิงคนที่อยู่ในบ้านนั้นเป็นป้า ของฉัน 3.) วิภาคสรรพนาม เป็นสรรพนามบอกความชี้ซ้ำที่ ใช้แทนนามหรือสรรพนามที่ แยกออกเป็นส่วนๆ ได้แก่คำว่า ต่าง, กัน, บ้าง” เช่น นักกีฬาต่างดีใจที่ได้ชัยชนะ เด็กนักเรียนบ้างก็อ่านหนังสือบ้างก็ร้องเพลง 4.) นิยมสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใช้แทนนามชี้เฉพาะเจาะจง หรือบอกความใกล้ ไกล ที่เป็นระยะทาง ได้แก่คำว่า นี่, นั่น, โน่น, นี้, นั้น, โน้น เช่น นี่เป็นของขวัญที่เธอให้ฉัน โน่นเป็นรถที่จะพาเราไป 5.) อนิยมสรรพนาม เป็นสรรพนามใช้แทนนามบอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจง ได้แก่ คำว่า ใคร, อะไร, ที่ไหน, ผู้ใด บางครั้งก็เป็นคำซ้ำๆ เช่น ใครๆ, อะไรๆ, ไหนๆ เช่น ใครจะไปกับฉันก็ได้ ไหน ๆ ก็มาแล้ว 6.) ปฤจฉาสรรพนาม เป็นสรรพนามใช้ในการถาม ได้แก่คำว่า ใคร, อะไร, ผู้ใด, ไหน ปฤจฉาสรรพนามต่างกับอนิยมสรรพนามตรงที่อนิยมสรรพนามใช้ในประโยค บอกเล่าหรือปฏิเสธ แต่ปฤจฉาสรรพนามใช้ในประโยคคำถาม เช่น ใครมาหน้าบ้าน อะไรอยู่ในห้อง ไหนร้านที่เธอบอก
คำกริยา 7 คำกริยาเป็นคำที่ใช้บอกอาการของนาม หรือสรรพนาม ให้รู้ว่านาม หรือสรรพนามนั้น ๆ มีอาการอย่างไร หรือทำอะไร ชชนนิิดดขขอองงคคำำกกรริิยยาา 1.อกรรมกริยา คือ กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ 2. สกรรมกริยา คือ กริยาที่มีกรรมมารับจึงจะได้ใจความสมบูรณ์ 3. วิกตรรถกริยา คือ กริยาที่ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ต้องอาศัย คำนาม สรรพนาม หรือคำวิเศษณ์มาเติม ข้างหลังจึงจะได้ใจความ 4. กริยานุเคราะห์ คือ กริยาช่วย เป็นคำที่ช่วยให้กริยาอื่นที่อยู่ข้าง หลังครบความ เพื่อบอกกาล หรือบอกการ กระทำให้สมบูรณ์ 5. กริยาสภาวมาลา คือ กริยาที่ทำหน้าที่เป็น ประธาน กรรม หรือ บทขยายของประโยคก็ได้
ตัวอย่างคำกริยา 8 คำกริยาแบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ 1.) อกรรมกริยา คือ กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ เช่น ไก่ขัน, หมาเห่า 2.) สกรรมกริยา คือ กริยาที่มีกรรมมารับจึงจะได้ใจความสมบูรณ์ เช่น ฉันอ่านหนังสือ, น้องขี่จักรยาน 3.) วิกตรรถกริยา คือ กริยาที่ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ต้องอาศัยคำ นาม สรรพนาม หรือคำวิเศษณ์มาเติมข้างหลัง จึงจะได้ใจความ ได้แก่กริยา คำว่า ว่า, เหมือน, คล้าย, เท่า, คือ, เสมือน, ประดุจ, แปลว่า เช่น คุณเป็นนัก ดนตรี, ลูกคล้ายกับเรา, น้ำใจประดุจน้ำทิพย์ 4.) กริยานุเคราะห์หรือกริยาช่วย เป็นคำที่ช่วยให้กริยาอื่นที่อยู่ข้างหลัง ครบความ เพื่อบอกกาล หรือบอกการกระทำให้สมบูรณ์ ได้แก่ กำลัง, คง, ย่อม, ต้อง, เคย, ให้, ยอม, แล้ว, เสร็จ, ถูก, น่าจะ, จะ, จะได้, นะ, เถิด, เถอะ, สิ, ดอก, หรอก, จง, อย่า กริยานุเคราะห์จะวางอยู่หน้าคำกริยา หรือ หลังคำกริยาก็ได้ เช่น ประจักษ์ถูกครูดุ, เขาน่าจะสอบไม่ผ่าน, แม่ซักผ้าเสร็จ, พ่อกำลังไปตกปลา, พรุ่งนี้ฝนคงไม่ตก, เราเจอกันพรุ่งนี้นะ, ฉันไม่ไปกับเขา หรอก, คุณไปคนเดียวเถอะ, ผมไปด้วยคนสิ, เธอเคยไปที่นั่นมาแล้ว เป็นต้น 5.) กริยาสภาวมาลา คือ กริยาที่ทำหน้าที่เป็น ประธาน กรรม หรือบท ขยายของประโยคก็ได้ เช่น ว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายที่ดี (ว่ายน้ำ เป็น ประธานของประโยค), ชาวจีนชอบเที่ยวเชียงใหม่ (เที่ยว เป็นกรรมของกริยา ชอบ), เขาซื้อดอกไม้เพื่อมอบให้ฉัน (มอบ เป็นบทขยายกริยา ซื้อ)
9 คำวิเศษณ์ คำวิเศษณ์เป็นคำที่ใช้ขยายคำนาม สรรพนาม กริยา และคำวิเศษณ์ เพื่อให้ข้อความนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะคำวิเศษณ์เป็นคำที่บอกคุณสมบัติ หรือลักษณะเฉพาะของสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งอาการต่าง ๆ เช่น เมื่อเราระบุถึง บ้านหลังหนึ่ง คำวิเศษณ์จะบอกให้รู้ว่า เรากำลังหมายถึงบ้านที่มีสีแดง ไม่ใช่บ้านสีเขียว หรือเมื่อเรากำลังพูดถึงคนที่วิ่งอยู่ คำวิเศษณ์จะบอกให้รู้ ว่า เรากำลังระบุถึงคนที่วิ่งเร็วที่สุด ไม่ใช่คนที่วิ่งช้าๆ เป็นต้น
ชชนนิิดดขขอองงคคำำววิิเเศศษษณณ์์ 10 1.ลักษณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอก สี ขนาด สัณฐาน กลิ่น รส 2. กาลวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกเวลา เช้า สาย บ่าย เย็น อดีต 3. สถานวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกสถานที่ 4. ประมาณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกจำนวน หรือปริมาณ 5. นิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ 6. อนิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกความไม่ชี้เฉพาะ 7. ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ใช้ถาม 8. ประติชญาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ใช้แสดงการขานรับหรือโต้ตอบรส 9. ประติเสธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ 10. ประพันธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ประกอบคำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อเชื่อมประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน
ตัวอย่างคำวิเศษณ์ 11 คำวิเศษณ์แบ่งออกเป็น 10 ชนิด คือ 1.) ลักษณวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ที่บอก สี ขนาด สัณฐาน กลิ่น รส เช่น น้ำเย็น จัดอยู่ในแก้วใสแจ๋ว, ข้าวผัดจานนี้มีรสหวาน, ประยุทธ์สูงที่สุดในห้อง 2.) กาลวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกเวลา เช้า สาย บ่าย เย็น อดีต เช่น คนใน อดีตเป็นที่น่าจดจำ, เธอไปก่อนฉันตามไปทีหลัง 3.) สถานวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกสถานที่ อาทิ ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ เช่น เขาอยู่ใกล้เธออยู่ไกล, แม่ทัพอยู่บนข้าอยู่ล่าง, เชียงใหม่อยู่เหนือกระบี่อยู่ใต้ 4.) ประมาณวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกจำนวน หรือปริมาณ อาทิ หนึ่ง สอง สาม มาก น้อย ที่หนึ่ง หลาย เช่น ฉันเลี้ยงแมวสี่ตัว, ป้ามีที่ดินมากมาย 5.) นิยมวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ อาทิ นี่ นั้น โน้น ทั้งนี้ เช่น ฉันชอบรถคันนี้, บ้านหลังนั้นโดนไฟไหม้ 6.) อนิยมวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกความไม่ชี้เฉพาะ อาทิ ใด อื่นๆ กี่ ไหน อะไร เช่น ฉันจะไปที่ไหนก็ได้, พูดอะไรระวังๆ หน่อย 7.) ปฤจฉาวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ใช้ถาม อาทิ ใด ไร ไหน อะไร ทำไม อย่างไร เช่น คุณจะไปไหนครับ, คุณคิดจะทำอะไร 8.) ประติชญาวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ใช้แสดงการขานรับหรือโต้ตอบ อาทิ ครับ ขอรับ ขา คะ จ๋า เช่น คุณครูครับผมมีเรื่องอยากปรึกษาคุณครูครับ, คุณแม่ขาปูน้อย หนีบมือค่ะ 9.) ประติเสธวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ อาทิ ไม่ ไม่ใช่ มิใช่ มิได้ เช่น เขาไม่ใช่เพื่อนฉัน, ฉันไม่ได้หยิบของของเขา 10.) ประพันธวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ประกอบคำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อเชื่อม ประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน อาทิ ที่, ซึ่ง, อัน เช่น ขวดสีแดงที่อยู่ด้านในสุดหล่น แตก, อาหารจานนี้มีรสเค็มซึ่งเกินค่ามาตรฐาน
12 คำบุพบท คำบุพบทเป็นคำที่ทำหน้าที่เชื่อมคำ 2 คำให้สัมพันธ์กัน อาจนำหน้า คำนาม สรรพนาม หรือกริยาที่ทำหน้าที่เป็นนาม เพื่อบอกสถานการณ์และ ตำแหน่งของคำเหล่านั้นให้ชัดเจนขึ้น เช่น ของ ที่ แห่ง เพื่อ ใน บน สำหรับ กับ แก่ แด่ ต่อ เป็นต้น ชชนนิิดดขขอองงคคำำบบุุพพบบทท 1.) บอกสถานภาพความเป็นเจ้าของ เช่น พ่อซื้อบ้านของคุณอา, สุนัขของเขาหายไปจากบ้าน เป็นต้น 2.) บอกความเกี่ยวข้อง เช่น เธอไปกับเขา, นักศึกษามอบของขวัญปีใหม่แด่อาจารย์ เป็นต้น 3.) บอกความประสงค์ เช่น อาหารนี้สำหรับไปทำบุญ, น้องตั้งใจเรียนเพื่ออนาคต เป็นต้น 4.) บอกเวลา เช่น เขามาตั้งแต่บ่าย, เขากลับถึงบ้านตอนหกโมง เป็นต้น 5.) บอกตำแหน่ง ที่ตั้ง สถานที่ เช่น เธอมาจากอุดรธานี, ผมขอลงตรงสะพานลอย เป็นต้น 6.) บอกความเปรียบเทียบ เช่น เหล็กหนักกว่าไม้, แม่รักลูกยิ่งกว่าชีวิต เป็นต้น
13 คำสันธาน คำสันธานเป็นคำที่ใช้เชื่อมคำ เชื่อมความ และเชื่อมประโยค ให้ติดต่อเป็นเรื่องเดียวกันและสละสลวย ชชนนิิดดขขอองงคคำำสสัันนธธาานน 1.) เชื่อมคำกับคำ ได้แก่คำว่า และ, กับ เช่น เขาและเธอต้องทำงาน, แมวกับหนูเป็นศัตรูกันเสมอ เป็นต้น 2.) เชื่อมประโยคกับประโยค ได้แก่คำว่า หรือ, และ, เพราะ, จึง, แต่ เช่น เธอจะทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น 3.) เชื่อมข้อความกับข้อความ ได้แก่คำว่า เพราะฉะนั้น, แม้ว่า…ก็, เพราะ…จึง เช่น เพราะเขาขยันหมั่นเพียร เขาจึงร่ำรวย, ฉันชอบอากาศหนาว เพราะฉะนั้น ฉันจึงชอบไปเที่ยวยุโรป เป็นต้น 4.) เชื่อมความให้สละสลวย ได้แก่คำว่า ก็, อันว่า, อย่างไรก็ตาม, อนึ่ง เช่น เขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง, อันว่ากริยามารยาทอันงดงามนั้น ย่อมเป็นที่ชื่นชมของผู้ที่พบเห็น, อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรประมาท ในการใช้ชีวิต เป็นต้น
14 คำอุทาน คำอุทานเป็นคำที่เปล่งออกมาโดยอาจไม่มีความหมาย แต่เน้นที่ การแสดงอารมณ์ ความรู้สึกของผู้พูด ชชนนิิดดขขอองงคคำำออุุททาานน 1.) คำอุทานบอกอาการ คือ คำอุทานที่สื่อให้รู้อาการต่าง ๆ ของผู้พูด เช่น อาการดีใจ เสียใจ ตกใจ และประหลาดใจ เป็นต้น ได้แก่คำว่า เอ๊ะ! โอ๊ย! อ๊ะ! เฮ่! เฮ้ย! โธ่! อนิจจา! แหม! ว้า! ว้าย! วุ้ย! เป็นต้น คำอุทานแสดงอารมณ์มักจะมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) อยู่ด้านหลัง 2.) อุทานเสริมบท เป็นคำอุทานที่ใช้เสริมคำอื่น เพื่อให้คล้องจอง หรือเป็นคำ สร้อยในคำประพันธ์ คำเสริมอาจอยู่ข้างหน้า หรือข้างหลังคำหลักก็ได้ เช่น โบร่ำ โบราณ, บ้านนอกคอกนา, ละคงละคร, ผลม้งผลไม้ หรืออยู่กลางคำอื่น เช่น ผลหมากรากไม้ ส่วนคำสร้อยอื่น ก็ได้แก่ นา, แลนา, แฮ, เฮย, เอย ในคำประพันธ์หรือสร้อยคำ ก็เช่น ชังกันบ่แลเหลียว ตาต่อ กันนา
15 สสรรุุปป ชนิดของคำในภาษาไทย 1. คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ที่เป็นรูปธรรมหรือชื่อเรียก สิ่งที่เป็นนามธรรม คำนามจะทำหน้าที่เป็นประธาน และกรรมของประโยค ใช้ระบุบ่ง ชี้ถึงสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้รู้ว่ากำลังพูดถึงใคร หรืออะไร 2. คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนคำนามในกรณีที่ต้องพูดถึงนามนั้นซ้ำ หรือใช้แทน ตัวผู้พูดและแทนตัวผู้อื่น เป็นคำที่ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าใครเป็นผู้พูด ซึ่งผู้พูดจะใช้ สรรพนามบุรุษที่ 1 เสมอ โดยแทนผู้ฟังด้วยสรรพนามบุรุษที่ 2 และแทนผู้ที่อยู่นอก การสนทนาด้วยสรรพนามบุรุษที่ 3 3. คำกริยา คือ คำที่ใช้บอกอาการของนาม หรือสรรพนาม ให้รู้ว่านาม หรือ สรรพนามนั้น ๆ มีอาการอย่างไร หรือทำอะไร 4. คำวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้ขยายคำนาม สรรพนาม กริยา และคำวิเศษณ์เอง เพื่อให้ ข้อความนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะคำวิเศษณ์เป็นคำที่บอกคุณสมบัติ หรือลักษณะ เฉพาะของสิ่งต่างๆ รวมทั้งอาการต่าง ๆ 5. คำบุพบท คือ คำที่ทำหน้าที่เชื่อมคำ 2 คำให้สัมพันธ์กัน อาจนำหน้าคำนาม สรรพนาม หรือกริยาที่ทำหน้าที่เป็นนาม เพื่อบอกสถานการณ์ให้ชัดเจนขึ้น 6. คำสันธาน คือ คำที่ใช้เชื่อมคำ เชื่อมความ และเชื่อมประโยค ให้ติดต่อเป็นเรื่อง เดียวกันและสละสลวย 7. คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาโดยอาจไม่มีความหมาย แต่เน้นที่การแสดง อารมณ์ ความรู้สึกของผู้พูด
แบบฝึกหัด 16 เรื่อง ชนิดของคำในภาษาไทย ตอนที่ 1 จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. คำในภาษาไทยมีกี่ชนิด อะไรบ้าง ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... 2. ปฤจฉาสรรพนามต่างกับอนิยมสรรพนามอย่างไร ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... 3. คำวิเศษณ์มีเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ...........................................................................................
แบบฝึกหัด 17 เรื่อง ชนิดของคำในภาษาไทย ตอนที่ 2 จงจับคู่ความหมายและชนิดของคำ โดยให้นำพยัญชนะหน้าความหมายเขียน เติมหน้าข้อชนิดของคำที่มีความสัมพันธ์กัน ก. คำที่แสดงอาการของคำนามหรือสรรพนาม เพื่อให้รู้ว่าคำนามหรือสรรพนามนั้น ทำอะไร หรือเป็นอย่างไร ข. คำทีี่ใช้ประกอบคำอื่นเพื่อให้ความหมายของคำนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ค. คำที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ง. คำที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างคำหรือประโยคคำหรือข้อความให้ติดต่อกัน จ. คำที่ใช้นำหน้าคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อบอกตำแหน่ง ของเหล่านั้น และแสดงความสัมพันธ์กันระหว่างคำ หรือประโยคว่าเกี่ยวข้องกัน อย่างไร ฉ. คำที่เปล่งออกมาโดยอาจไม่มีความหมาย แต่เน้นที่การแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้พูด ช. คำที่ใช้แทนคำนามหรือข้อความที่กล่าวมาแล้ว เพื่อไม่ต้องนามหรือข้อความนั้นซ้ำ 1. คำนาม 5. คำบุพบท 2. คำสรรพนาม 6. คำสันธาน 3. คำกริยา 7. คำอุทาน 4. คำวิเศษณ์
เฉลยแบบฝึกหัด 18 เรื่อง ชนิดของคำในภาษาไทย ตอนที่ 1 จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. คำในภาษาไทยมีกี่ชนิด อะไรบ้าง ต..อ..บ.....ช..น.ิ.ด..ค..ำ..ใ.น...ภ..า..ษ..า..ไ.ท...ย..ม.ี..7...ช..น.ิ.ด...ค.ื.อ...ค..ำ..น..า..ม...,.ค..ำ..ส..ร..ร..พ..น..า..ม..,...... .........ค..ำ..ก..ริ.ย..า..,..ค..ำ..ว.ิเ..ศ..ษ..ณ.์..,..ค..ำ..บ.ุ.พ..บ..ท..,..ค..ำ..ส.ั.น...ธ.า..น...แ..ล..ะ..ค..ำ..อ.ุ.ท..า..น........ ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... 2. ปฤจฉาสรรพนามต่างกับอนิยมสรรพนามอย่างไร ต..อ..บ....ป..ฤ..จ..ฉ..า.ส..ร..ร.พ...น..า..ม..ต.่.า..ง.ก..ั.บ..อ..น.ิ.ย..ม..ส..ร..ร.พ...น..า..ม..ต..ร..ง.ท.ี.่อ..น.ิ..ย..ม..ส..ร.ร..พ..น..า..ม. ........ใ.ช.้.ใ..น..ป..ร..ะ.โ..ย..ค..บ..อ..ก..เ..ล.่.า.ห...รื.อ..ป..ฏ.ิ..เ.ส..ธ...แ.ต..่.ป..ฤ..จ..ฉ..า.ส..ร..ร..พ..น..า..ม..ใ..ช.้ใ..น..... .........ป..ร..ะ.โ..ย..ค..ค..ำ..ถ..า..ม............................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... 3. คำวิเศษณ์มีเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง .ต..อ..บ.....ค..ำ..วิ.เ.ศ...ษ..ณ.์..ม.ี..1..0...ช..น.ิ.ด...ค.ื.อ....ล.ั.ก..ษ..ณ...ว.ิ.เ.ศ..ษ..ณ..์.,..ก..า..ล..ว.ิ.เ.ศ..ษ..ณ..์.,......... .........ส..ถ..า..น..ว.ิ.เ.ศ..ษ..ณ..์.,..ป..ร..ะ.ม...า..ณ..ว.ิ.เ.ศ..ษ...ณ.์..,.น..ิ.ย..ม..ว.ิ.เ.ศ..ษ..ณ..์.,..อ..น.ิ.ย..ม..ว.ิ.เ.ศ..ษ...ณ.์.., .........ป..ฤ..จ..ฉ..า..วิ.เ.ศ...ษ..ณ.์..,..ป..ร.ะ..ต.ิ.ช..ญ...า..ว.ิเ..ศ..ษ..ณ.์..,..ป..ร..ะ.ต.ิ.เ..ส..ธ.ว.ิ.เ.ศ..ษ...ณ.์............. .........แ..ล..ะ..ป..ร.ะ..พ.ั.น..ธ..ว.ิ.เ.ศ..ษ..ณ..์........................................................ ...........................................................................................
เฉลยแบบฝึกหัด 19 เรื่อง ชนิดของคำในภาษาไทย ตอนที่ 2 จงจับคู่ความหมายและชนิดของคำ โดยให้นำพยัญชนะหน้าความหมายเขียน เติมหน้าข้อชนิดของคำที่มีความสัมพันธ์กัน ก. คำที่แสดงอาการของคำนามหรือสรรพนาม เพื่อให้รู้ว่าคำนามหรือสรรพนามนั้น ทำอะไร หรือเป็นอย่างไร ข. คำทีี่ใช้ประกอบคำอื่นเพื่อให้ความหมายของคำนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ค. คำที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ง. คำที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างคำหรือประโยคคำหรือข้อความให้ติดต่อกัน จ. คำที่ใช้นำหน้าคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อบอกตำแหน่ง ของเหล่านั้น และแสดงความสัมพันธ์กันระหว่างคำ หรือประโยคว่าเกี่ยวข้องกัน อย่างไร ฉ. คำที่เปล่งออกมาโดยอาจไม่มีความหมาย แต่เน้นที่การแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้พูด ช. คำที่ใช้แทนคำนามหรือข้อความที่กล่าวมาแล้ว เพื่อไม่ต้องนามหรือข้อความนั้นซ้ำ 1. ค คำนาม 5. จ คำบุพบท 2. ช คำสรรพนาม 6. ง คำสันธาน 3. ก คำกริยา 7. ฉ คำอุทาน 4. ข คำวิเศษณ์
20 อ้างอิง ชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค. สืบค้นเมื่อ 4 มกราคม 2566, จาก https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/34280 ชนิดของคำในภาษาไทย. สืบค้นเมื่อ 4 มกราคม 2566, จาก https://shorturl.asia/w72nx
21 RREESSUUMMEE ปปรระะววััตติิผผูู้้เเขขีียยนน ชื่อ : นางสาวกรรณิการ์ ศรีณะพรม ชื่อเล่น : อีฟ วันเดือนปีเกิด : วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 สัญชาติ : ไทย เชื้อชาติ : ไทย ศาสนา : พุทธ ที่อยู่ปัจจุบัน : บ้านเลขที่ 232 หมู่ 4 บ้านคำม่วง ตำบลทุ่งคลอง อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ 46180 กำลังศึกษา : สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี ประวัติการศึกษา : - ระดับประถมศึกษา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนคำม่วงจรัสวิทย์ จังหวัดกาฬสินธุ์ - ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สำเร็จการศึกษา จากโรงเรียนคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ - ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ความสามารถพิเศษ : วิ่ง, เล่นบาสเกตบอล คติประจำใจ : จงมีความสุขในทุก ๆ วัน งานอดิเรก : ดูซีรีส์ อ่านนิยาย ติดต่อ : โทรศัพท์ 080-6906631
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: