Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ระบบป้องกัน หน่วยที่ 1

ระบบป้องกัน หน่วยที่ 1

Published by baychak85, 2017-05-13 00:21:30

Description: ระบบป้องกัน หน่วยที่ 1

Search

Read the Text Version

4104-2010 การป้ องกนั ระบบไฟฟ้ า (Electrical Protection)สมรรถนะรายวชิ า 1. คานวณหาขนาดอุปกรณ์ป้ องกนั 2. เลือกใชอ้ ุปกรณ์ป้ องกนั ระบบไฟฟ้ า

คาอธิบายรายวชิ า ศึกษาและปฏิบตั ิเกี่ยวกบั อปุ กรณ์ป้ องกนั ระบบไฟฟ้ ากาลงั เฟสเซอร์ และภาวะข้วั ส่วนประกอบสมมาตร แหล่งสญั ญาณเขา้ ของรีเลย์ หลกั สาคญั ของระบบป้ องกนั หลกั การในการเช่ือมต่อระบบลงดิน การป้ องกนั เคร่ืองกาเนิดไฟฟ้ าหมอ้ แปลงไฟฟ้ า รีแอกเตอร์ ตวั เกบ็ ประจุ ขนาน บสัมอเตอร์ และสายตวั นาไฟฟ้ า

4104-2010 การป้ องกนั ระบบไฟฟ้ า (Electrical Protection)หน่วยการเรียน 1. การป้ องกนั ระบบไฟฟ้ ากาลงั เบ้ืองตน้ (Introduction of Electric PowerSystem Protection) 2. การคานวณค่ากระแสลดั วงจร (Short Circuit Calculations) 3. อุปกรณ์ป้ องกนั ระบบไฟฟ้ ากาลงั 4. การป้ องกนั กระแสไฟร่ัวลงดิน (Ground-Fault Protection) 5. การป้ องกนั เคร่ืองกาเนิดไฟฟ้ า (Generator Protection) 6. การป้ องกนั มอเตอร์ (Motor Protection) 7. การป้ องกนั หมอ้ แปลง (Transformer Protection) 8. การป้ องกนั สถานีและบสั (Station-Bus Protection) 9. การป้ องกนั สายตวั นาและวงจรไฟฟ้ า (Line and Circuit protection)

หน่วยที่ 1 การป้ องกนั ระบบไฟฟ้ ากาลงั เบือ้ งต้น(Introduction of Electric Power System Protection)

ในระบบไฟฟ้ ากาลงั ประกอบดว้ ย เครื่องกาเนิดสวทิ ชเ์ กียร์ หมอ้ แปลง บสั บาร์ วงจรส่ง วงจรจ่าย และอปุ กรณ์ป้ องกนั ต่างๆ การส่งกาลงั ไฟฟ้ าดว้ ยแรงดนั ไฟสูงไปยงั ระยะทางไกลๆ และในวงจรเนคเวิดใหญ่ๆ อาจจะมีฟอลต์หรือภาวะผดิ ปกติของระบบเกิดข้ึน จึงจาเป็นตอ้ งมีการป้ องกนั ระบบ เพอื่ ใหค้ วามเสียหายที่เกิดข้ึนน้นั นอ้ ยที่สุด

ภาวะผดิ ปกติของระบบไฟฟ้ า การลดั วงจรระหวา่ งเฟสต่อเฟสหรือเฟสกบั ดิน มีสาเหตุมาจาก ความเครียด และการเสื่อมของฉนวนไฟฟ้ า การเกิดภาวะแรงดนั สูง (over voltage) มีสาเหตุมาจากอุปกรณ์ ควบคุมแรงดนั ไฟฟ้ าไม่ปกติ ฟ้ าผา่ หรือสวิตชิงเสิร์จ การเกิดความถ่ีต่า (under frequency) มีสาเหตุมาจากการผลิต กาลงั ไฟฟ้ าไม่เพยี งพอกบั โหลด การเกิดโหลดเกิน (over load) มีสาเหตุมาจากการใชง้ านอุปกรณ์ ไฟฟ้ าเกินกาลงั

ฟอลต์ในระบบไฟฟ้ ากาลงั ฟอลตใ์ นระบบไฟฟ้ ากาลงั เนื่องจากการลดั วงจรในสายส่งระหวา่ งสายเสน้ หน่ึงกบั ดิน ระหวา่ งเฟสกบั เฟส ระหวา่ งสายเฟสกบัเฟสลงดิน หรือการลดั วงจรในสายสามเฟส และการเปิ ดวงจรของสายส่งเฟสใดเฟสหน่ึงเนื่องจากสายขาด นอกจากน้นั ในเครื่องจกั รไฟฟ้ าฟอลตท์ ี่เกิดข้ึนเนื่องจากการลดั วงจรระหวา่ งขดลวด หรือการลดั วงจรของขดลวดหน่ึงลงดิน

ฟอลตจ์ ากการลดั วงจรในระบบ ฟอลตเ์ ป็นเหตุใหก้ ระแสไหลสูงมากผดิ ปกติ การอาร์คของไฟฟ้ าในของเหลว ฟอลตจ์ ะก้นั การไหลของกาลงั ไฟฟ้ า ฟอลตเ์ ป็นเหตุใหร้ ะบบสามเฟสไม่สมดุล ระบบจะมีเสถียรภาพไม่ดี

สถิติของฟอลต์ สถิตของฟอลต์ท่ีเกิดขนึ ้ บอ่ ยครัง้ ในอปุ กรณ์ตา่ งๆ ของระบบไฟฟ้ ากาลงั ซงึ่ จะใช้เป็ นข้อมลู ชว่ ยในการพิจารณาถึงด้านการออกแบบและการนาไปใช้งานของระบบป้ องกนั ในตารางที่ 1 แสดงถึงความถ่ีของฟอลต์ซงึ่ เกิดขนึ ้ ในการตอ่ เช่ือโยงสว่ นตา่ งๆ ของระบบไฟฟ้ ากาลงั

ตารางท่ี 1 ความถี่ของฟอลต์ซ่ึงเกดิ ขึน้ ในการต่อเช่ือมโยงส่วนต่างๆ ของระบบ ไฟฟ้ ากาลงั อุปกรณ์ไฟฟ้ า ความถ่เี ป็ นร้อยละสายส่งเหนือหัว 50สายเคเบลิ 10สวิตช์เกียร์ 15หม้อแปลง 12ซีทแี ละพที ี 2อุปกรณ์ควบคุม 3อ่ืนๆ 8 จากตารางที่ 1 แสดงใหเ้ ห็นวา่ ความถี่ของฟอลตท์ ี่เกิดข้ึนมากท่ีสุดในอุปกรณ์ไฟฟ้ า คือ สายส่งเหนือหวั ร้อยละ 50 ความถ่ีรองลงมา ไดแ้ ก่ สวติ ชเ์ กียร์ร้อยละ 15 และความถี่ที่เกิดนอ้ ยท่ีสุด คือ ซีทีและพีที ร้อยละ 2

ตารางที่ 2 ความถ่ีของฟอลต์แบบต่างๆ ท่เี กดิ ขนึ้ บนสายส่ง ชนิดของฟอลต์ ความถ่เี ป็ นร้อยละ1. ฟอลลต์ของสายเส้นหน่ึงลงดนิ 75 (Line to ground fault)1. ฟอลต์ระหว่างสายกับสาย 15 (Line to line fault) 101. ฟอลต์ระหว่างสายกับสายลงดนิ (Line to line to ground fault)1. ฟอลต์ของสายสามเฟส 0.05 (Three – phase fault) จากตารางที่ 2 แสดงใหเ้ ห็นวา่ ฟอลตข์ องสายเส้นหน่ึงลงดินมีความถ่ีมากที่สุด เป็นร้อยละ 75 ความถ่ีรองลงมา ไดแ้ ก่ ฟอลตร์ ะหวา่ งสายกบั สาย ร้อยละ 15 และความถี่ต่าสุด ไดแ้ ก่ ฟอลตข์ องสายสามเฟส ร้อยละ 0.05

คุณสมบตั ิที่ดีของระบบการป้ องกนั มีความเช่ือถือไดด้ ี (reliability) ทางานโดยถกู ตอ้ ง (dependability) ทางานโดยรวดเร็ว (high speed) คา่ บารุงรักษาต่า อายกุ ารใชง้ านของระบบป้ องกนั ทนนาน มีราคาพอสมควร

อุปกรณ์ป้ องกนั ระบบไฟฟ้ าอุปกรณ์ป้ องกนั กระแสเกินไดแ้ ก่ ฟิ วส์ (Fuse) 1. ฟิ วส์แรงต่า (Low Voltage Fuse) 2. ฟิ วส์แรงสูง (High Voltage Fuse) เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) 1. เซอร์กิตเบรกเกอร์แรงต่า (Low Voltage Circuit Breaker) 2. เพาเวอร์เซอร์กิตเบรกเกอร์แรงสูง (High Voltage Power Circuit Breaker) รีเลยป์ ้ องกนั (Protective Relay)

องคป์ ระกอบในการเลือกอุปกรณ์การป้ องกนั แรงดนั ไฟฟ้ า ระดบั การฉนวนอิมพลั ส์มลู ฐาน (basic impulse insulation level) ความถ่ีท่ีกาหนด (rated frequency) พิกดั กระแสต่อเน่ือง (continuous current rating) พิกดั กระแสโมเมนเทรี (momentary current rating) พกิ ดั กระแสช่วงเวลาส้นั (short time current rating) พกิ ดั กระแสขณะอินเตอร์รัพต์ (interrupting current rating) พิกดั เวลา (time rating) รอบทางาน (duty cycle)

 แรงดันไฟฟ้ า 1. แรงดนั ที่กาหนด (rated voltage) เป็นแรงดนั ที่กาหนดของอุปกรณ์การป้ องกนั น้นั อยา่ งนอ้ ยตอ้ งมีค่าเท่ากบั หรือมากกวา่ แรงดนั ระหวา่ งเฟสต่อเฟส 2. แรงดนั ที่ระบุ (nominal voltage) หมายถึงแรงดนั ระบบ (systemvoltage) ข้ึนอยกู่ บั มาตรฐานของการไฟฟ้ า 3. แรงดนั ใชง้ านสูงสุด (maximum operating voltage) หมายถึงแรงดนั สูงสุดตามท่ีเป็นจริงของระบบซ่ึงจะนาอุปกรณ์การป้ องกนั ไปใช้ 4. แรงดนั ออกแบบสูงสุด (maximum design voltage) หมายถึงคา่ แรงดนั สูงสุดที่ใชเ้ ป็นมลู ฐานในการออกแบบอุปกรณ์การป้ องกนั 5. แรงดนั ใชง้ านต่าสุด (minimum operating voltage) หมายถึงค่าแรงดนั ต่าสุดของอุปกรณ์การป้ องกนั ท่ียงั มีความสามารถท่ีจะตดั กระแสตามพิกดัMVA น้นั ได้

 ระดบั การฉนวนอมิ พลั ส์มูลฐาน (basic impulse insulation level) คา่ BIL เป็นคา่ ของแรงดนั ไฟฟ้ าท่ีฉนวนของอุปกรณ์การป้ องกนั ทนคลื่นฟ้ าผา่ ไดโ้ ดยปลอดภยั อุปกรณ์การป้ องกนั ที่จะเลือกนามาใชง้ านตอ้ งผา่ นการทดสอบท่ีเรียกวา่ การทดสอบอิมพลั ส์ (impules test) หาค่าฉนวนของอุปกรณ์การป้ องกนั สามารถผา่ นการทดสอบไปไดโ้ ดยปลอดภยั ความถท่ี ก่ี าหนด (rated frequency) การเลือกขนาดความถี่ที่กาหนดของอุปกรณ์การป้ องกนั น้นั จะตอ้ งเลือกใหเ้ ท่ากบั ความถ่ีของระบบ

 พกิ ดั กระแสต่อเน่ือง (continuous current rating) หรือกระแสท่ีกาหนด (rated current) เป็นปริมาณสูงสุดของกระแสท่ีอุปกรณ์การป้ องกนั จะรับไดส้ ม่าเสมอตลอดเวลา โดยที่อุณหภมู ิจะไม่สูงเกินกวา่ ปกติ พกิ ดั กระแสโมเมนเทรี (momentary current rating) ในขณะท่ีเกิดกระแสลดั วงจรกระแสไฟฟ้ าจะพุง่ พรวดข้ึนถึงจุดสูงสุดในคร่ึงไซเกิลแรก โดยท่ีอุปกรณ์การป้ องกนั จะตอ้ งสามารถทนต่อกระแสไดใ้ นช่วงเวลา ½ ไซเกิลถึง 1 ไซเกิล หรือในเวลา 1/100 วนิ าทีถึง 1/50วนิ าทีไดโ้ ดยปลอดภยั หลงั จากการเกิดฟอลตใ์ นไซเกิลแรกๆ ผา่ นพน้ ไปแลว้กระแสลดั วงจรจะลดลงอยา่ งรวดเร็ว

 พกิ ดั กระแสช่วงเวลาส้ัน (short time current rating) เป็นค่า RMS ของกระแสลดั วงจรที่อุปกรณ์การป้ องกนั จะทนไดใ้ นระยะเวลาส้นั ๆ ที่กาหนด พกิ ดั กระแสขณะอนิ เตอร์รัพต์ (interrupting current rating) หรือพิกดั กระแสขณะตดั วงจร เป็นค่ากระแสลดั วงจร RMS สมมาตรโดยท่ีอุปกรณ์การป้ องกนั ตอ้ งสามารถตดั กระแสไดใ้ นเวลาไม่เกิน 8 ไซเกิลภายใตแ้ รงดนั ที่กาหนด ในบางคร้ังอาจกาหนดเป็นพิกดั กาลงั ไฟฟ้ าขณะอินเตอร์รัพต์ หรือ interrupting MVA rating MVA = 3 × แรงดนั ออกแบบสูงสุด (kV) × กระแสขณะอินเตอร์รัพต์ (kA)

 พกิ ดั เวลา (time rating) 1. เวลาขณะอินเตอร์รัพต์ (interrupting time) คือช่วงเวลาที่อุปกรณ์การป้ องกนั ตดั กระแสลดั วงจรและเปลวอาร์กไดด้ บั สนิทแลว้ ซ่ึงใชเ้ วลาตดักระแสอยา่ งชา้ ไม่เกิน 8 ไซเกิล หรือ 8/50 วินาที 2. เวลาสบั ซ้า (reclosing time) คือช่วงเวลาที่อุปกรณ์การป้ องกนั สบัซ้าต่อเขา้ สู่วงจรอีกคร้ังหน่ึง ท้งั น้ีจะใชเ้ วลา 20 ถึง 30 ไซเกิล หรือประมาณ ½วนิ าที รอบทางาน (duty cycle) เมื่อเกิดฟอลตข์ ้ึน และเซอร์กิตเบรกเกอร์ไดท้ ริปแลว้ รีเลยส์ บั ซ้าอตั โนมตั ิจะสัง่ ใหเ้ ซอร์กิตเบรกเกอร์สับต่อวงจรอีกคร้ังหน่ึง แตถ่ า้ หากในระบบไฟฟ้ าฟอลตย์ งั คงมีอยเู่ ซอร์กิตเบรกเกอร์กจ็ ะทริปอีก และรีเลยก์ จ็ ะสั่งสับซ้าใหม่ไปเรื่อยๆ จนกระทงั่ ถึงจานวนคร้ังที่ต้งั ไวร้ ีเลยก์ จ็ ะไม่ส่ังใหส้ ับซ้าอีก

การป้ องกนั อนั ตรายทางกลของอุปกรณ์ไฟฟ้ า วสั ดุอุปกรณ์ไฟฟ้ าท่ีสาคญั ๆ นอกจากที่จะตอ้ งมีการผลิตอยา่ งไดม้ าตรฐานของวสั ดุอุปกรณ์แลว้ ยงั จะตอ้ งมีการกาหนดความสามารถในการป้ องกนั อนั ตรายทางกลของเคร่ืองห่อหุม้ ของอุปกรณ์ไวด้ ว้ ย เพอ่ื ใหก้ ารใชง้ านเป็นไปอยา่ งปลอดภยั จากของแขง็หรือของเหลวในสภาวะแวดลอ้ มท่ีติดต้งั มาตรฐานท่ีใชส้ าหรับระบุความสามารถในการป้ องกนั ทางกลของอุปกรณ์ไฟฟ้ าท่ีนิยมใชก้ นัไดแ้ ก่ ดชั นีแสดงคา่ มาตรฐานการป้ องกนั (Index of Protection) ซ่ึงกาหนดโดยมาตรฐาน IEC 529 ของทวปี ยโุ รปและมาตรฐานNEMA ของประเทศสหรัฐอเมริกา

ดชั นีแสดงค่ามาตรฐานระดบั การป้ องกนั ส่ิงห่อหุม้ เครื่องอุปกรณ์ (Index of Protection) จะแสดงดว้ ยตวั เลขรหสั 2 ตวั หรือ 3 ตวั ตามหลงั ตวั อกั ษร IP คา่ ของตวั เลขรหสั ตวั ที่ 1 จะแสดงถึงความสามารถในการป้ องกนั วตั ถุท่ีเลด็ ลอดเขา้มาภายในผลิตภณั ฑ์ ส่วนคา่ ของตวั เลขรหสั ตวั ท่ี 2 จะแสดงถึงความสามารถในการป้ องกนั ของเหลวที่เลด็ ลอดเขา้ ไปทาความเสียหายใหก้ บั อุปกรณ์ได้และตวั เลขรหสั ตวั ท่ี 3 จะแสดงถึงความสามารถในการป้ องกนั การกระแทกทางกลจากวตั ถุ อยา่ งไรกต็ าม โดยทว่ั ไปแลว้ จะนิยมใชเ้ พยี ง 2 ตวั เท่าน้นั ตามตารางท่ี 1 ถา้ ผลิตภณั ฑร์ ะบุระดบั การป้ องกนั เป็น IP 65 จะหมายความวา่ผลิตภณั ฑน์ ้ีสามารถป้ องกนั ฝ่ นุ ไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์และสามารถป้ องกนั ของเหลวท่ีถกู ฉีดมาตกกระทบในทุกทิศทางได้

ตารางที่ 1 ความหมายตวั เลขกากบั ระดบั การป้ องกนั หลงั สญั ลกั ษณ์ ตวั เลขตวั ที่ 1 ตวั เลขตัวที่ 2 ประเภทการป้ องกนั วตั ถุจากภายนอก ประเภทการป้ องกนั ของเหลวเลข ระดบั การป้ องกนั เลข ระดบั การป้ องกนั0 ไม่มีการป้ องกนั 0 ไมม่ ีการป้ องกนั1 ป้ องกนั วตั ถุที่มีขนาดใหญ่กวา่ 50 มิลลิเมตร 1 ป้ องกนั หยดเฉพาะในแนวด่ิง เช่น สัมผสั ดว้ ยมือ 2 ป้ องกนั หยดและน้าสาดทามุมไมเ่ กิน 15 องศา กบั แนวดิ่ง2 ป้ องกนั วตั ถุท่ีมีขนาดใหญ่กวา่ 12 มิลลิเมตร เช่น นิ้วมือ 3 ป้ องกนั หยดและน้าสาดทามุมไม่เกิน 60 องศา กบั แนวด่ิง3 ป้ องกนั วตั ถุที่มีขนาดใหญ่กวา่ 2.5 มิลลิเมตร เช่น เคร่ืองมือ เส้นลวด 4 ป้ องกนั น้าสาดเขา้ ทุกทิศทาง4 ป้ องกนั วตั ถุที่มีขนาดใหญก่ วา่ 1 มิลลิเมตร 5 ป้ องกนั น้าฉีดเขา้ ทุกทิศทาง เช่น เคร่ืองมือเล็กๆ เส้นลวดเล็กๆ 6 ป้ องกนั น้าฉีดอยา่ งแรงเขา้ ทุกทิศทาง 7 ป้ องกนั น้าท่วมชว่ั คราว5 ป้ องกนั ฝ่ นุ 8 ป้ องกนั น้าเมื่อใชง้ านอยใู่ ตน้ ้า6 ผนึกกนั ฝ่ นุ

ระดบั การป้ องกนั ตามมาตรฐาน NEMA การป้ องกนั ทางกลของเคร่ืองห่อหุม้ อุปกรณ์ไฟฟ้ าตามมาตรฐาน NEMA น้นั จะใชร้ หสั ตวั เลข หรือรหสั ตวั เลขและตวั อกั ษร เป็นตวั บอกความเหมาะสมในการนาไปใชง้ าน โดยแบ่งออกเป็นระดบั ต่างๆ ตามตารางท่ี 2 อยา่ งไรกด็ ีทาง ว.ส.ท. ไดจ้ ดั ทาตารางเปรียบเทียบระหวา่ งระดบั การป้ องกนั ตามมาตรฐาน NEMA และ ดชั นีป้ องกนั IP ไว้ดว้ ยดงั ตารางท่ี 3

ตารางท่ี 2 ระดบั การป้ องกนั ตามมาตรฐาน NEMA คาอธิบายการใช้งาน NEMA Enclosure Type NumberNEMA Type 1 ใชภ้ ายในอาคารทวั่ ไป (General Purpose, Indoor use only)NEMA Type 2 ใชภ้ ายในอาคาร สามารถป้ องกนั หยดน้าได้ (Driptight)NEMA Type 3R ใชภ้ ายนอกอาคารทวั่ ไป ทนอากาศและทนฝนได้ (Raintight)NEMA Type 3 เหมือน NEMA Type 3R และสามารถป้ องกนั ฝุ่นที่ฟ้ ุงกระจายได้NEMA Type 3S เหมือน NEMA Type 3R และสามารถป้ องกนั ฝ่นุ ที่ฟ้ ุงกระจายและน้าแขง็ เกาะได้NEMA Type 4 ใชภ้ ายนอกอาคาร สามารถกนั น้าสาดได้ (Watertight)NEMA Type 4X เหมือน NEMA Type 4 และมีความสามารถตา้ นทานสนิมได้NEMA Type 5 ใชภ้ ายในอาคาร สามารถกนั ฝ่นุ ได้ (Dusttight)NEMA Type 6 เหมือน NEMA Type 3R และสามารถใชใ้ นสภาวะที่มีน้าขงั เป็นคร้ังคราว เช่น ภายในเหมืองแร่หรือบ่อพกั เป็นตน้ (Submersible)NEMA Type 6P เหมือน NEMA Type 3R และสามารถใชใ้ นสภาวะท่ีมีน้าขงั สามารถตา้ นทานสนิมได้ (Corrosion Resistance)NEMA Type 7 ใชก้ บั สถานที่อนั ตรายประเภท 1 ซ่ึงมีกา๊ ซท่ีเป็นอนั ตรายติดไฟได้NEMA Type 8 (Hazardous Locations-Class I, Air Break)NEMA Type 9NEMA Type 10 ใชก้ บั สถานที่อนั ตรายประเภทท่ี 1 ซ่ึงมีไอน้ามนั ติดไฟได้NEMA Type 11 (Hazardous Locations-Class I, Oil Immersed) ใชก้ บั สถานที่อนั ตรายประเภท 2 ซ่ึงมีฝ่นุ ที่อนั ตรายติดไฟได้ (Hazardous Locations-Class II) กนั การระเบิดได้ เหมาะกบั การใชง้ านในเหมืองถ่านหิน (Bureau of Mines-Explosion-Proof ) สามารถป้ องกนั ไอกรดและไอน้ามนั ซ่ึงมีฤทธ์ิกดั กร่อนได้ เหมาะกบั การใชง้ านในอุตสาหกรรมเคมี (Acid and Fume-Resistance-Oil Immersed)NEMA Type 12 และ 12K เหมาะสาหรับใชภ้ ายในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถป้ องกนั ฝุ่นและหยดน้าได้ (Industrial Use)NEMA Type 13 เหมาะสาหรับใชภ้ ายในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถป้ องกนั ฝุ่นและน้าฉีดได้

ตารางท่ี 3 ตารางเปรียบเทียบระหวา่ งระดบั การป้ องกนั ตามมาตรฐาน NEMA และดชั นีป้ องกนั IPNEMA Enclosure Type Number IEC Enclosure Classification Designation 1 IP 10 2 IP 11 3 IP 54 3R IP 14 3S IP 54 4 and 4X IP 56 5 IP 52 6 and 6P IP 6712 and 12K IP 52 13 IP 54

ระบบจาหน่ายไฟฟ้ า (Distribution System) ระบบจาหน่ายไฟฟ้ าในประเทศไทยมีการดาเนินการโดยรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง คือ การไฟฟ้ านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้ าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยการไฟฟ้ านครหลวงจะรับผดิ ชอบในการจาหน่ายพลงั งานไฟฟ้ าใหก้ บั ผใู้ ชใ้ นเขตกรุงเทพมหานครและพ้นื ที่จงั หวดั นนทบุรีและจงั หวดั สมุทรปราการ ส่วนการไฟฟ้ าส่วนภูมิภาคจะรับผดิ ชอบในเขตจงั หวดั อื่นๆ ท้งั หมด ยกเวน้ 3 จงั หวดัดงั กล่าว ซ่ึงมีรายละเอียดดงั น้ี

การไฟฟ้ านครหลวง จะรับกาลงั ไฟฟ้ ามาจากการไฟฟ้ าฝ่ ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ซ่ึงเป็นรัฐวสิ าหกิจอีกแห่งหน่ึงมีหนา้ ที่ในการจดั หาและผลิตพลงั งานไฟฟ้ าให้เพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการของประเทศ โดยจะรับกาลงั ไฟฟ้ าในระบบสายส่งแรงสูงขนาด 230 kV, 115 kV หรือ 69 kV แลว้ ทาการแปลงระดบั แรงดนั ที่สถานีไฟฟ้ ายอ่ ยของการไฟฟ้ าฯ ใหอ้ ยใู่ นระดบั 12 kV หรือ 24 kV เพอ่ืจาหน่ายใหก้ บั ผใู้ ชท้ ี่ขอซ้ือไฟฟ้ าในระบบแรงสูงต่อไป สาหรับผขู้ อใชไ้ ฟฟ้ าที่มีความตอ้ งการใชไ้ ฟฟ้ าคอ่ นขา้ งมาก เช่นหา้ งสรรพสินคา้ หรือโรงงานขนาดใหญ่ การไฟฟ้ าฯอาจจะพิจารณาใหส้ ถานประกอบการน้นั ต้งั สถานีไฟฟ้ ายอ่ ยเองแลว้ จ่ายไฟฟ้ าใหใ้ นระดบั แรงดนัขนาด 69 kV หรือ 115kV กไ็ ด้

ส่วนผใู้ ชท้ ี่ขอซ้ือไฟฟ้ าในระบบแรงดนั ต่าน้นั การไฟฟ้ าฯจะทาการติดต้งั หมอ้ แปลงไฟฟ้ าในบริเวณพ้นื ท่ีท่ีมีการใชไ้ ฟฟ้ าแลว้ ทาการแปลงไฟฟ้ าในระดบั 12 kV หรือ 24kV ใหเ้ ป็นระดบั แรงดนั ต่า 416/240 V 3 เฟส 4 สายเพื่อจาหน่ายใหก้ บั ผใู้ ชไ้ ฟฟ้ าต่อไป รูปแสดงระบบจาหน่ายไฟฟ้ าของการไฟฟ้ านครหลวง

การไฟฟ้ าส่วนภมู ิภาค จะรับกาลงั ไฟฟ้ ามาจากการไฟฟ้ าฝ่ ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)เป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกบั การไฟฟ้ านครหลวง แตจ่ ะมีบางพ้ืนท่ีท่ีการไฟฟ้ าส่วนภมู ิภาคผลิตไฟฟ้ าจาหน่ายเองเน่ืองจากสภาพของพ้ืนที่ที่อยหู่ ่างไกลไม่คุม้ คา่ กบั การลงทุนเชื่อมโยงระบบสายส่ง ท้งั น้ีระบบจาหน่ายของการไฟฟ้ าส่วนภมู ิภาคจะมีอยู่ 2 ระดบั คือ 22 kV และ 33 kV โดยพ้นื ท่ีทว่ั ไปจะจาหน่ายในระบบแรงดนั สูง 22 kV ส่วนระบบแรงดนั สูง 33 kV จะใชส้ าหรับในพ้ืนที่ท่ีมีภเู ขาสูงและอยหู่ ่างไกล เช่น บริเวณบางส่วนในจงั หวดั เชียงรายและพะเยาทางภาคเหนือ และบริเวณภาคใตต้ ้งั แต่จงั หวดั ระนองลงไปเท่าน้นั สาหรับทางดา้ นแรงดนั ต่าจะเป็นระบบ 400/230 V 3 เฟส 4 สาย

รูปแสดงระบบจาหน่ายไฟฟ้ าของการไฟฟ้ าส่วนภูมิภาค


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook