Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คำผวน ผญา ปริศนาคำทาย

คำผวน ผญา ปริศนาคำทาย

Published by ptwkorn, 2021-03-04 02:52:43

Description: คำผวน ผญา ปริศนาคำทาย

Search

Read the Text Version

รายงาน เร่อื ง คำผวน ผญา ปรศิ นาคำทาย เสนอ คณุ ครู สภุ ลกั ษณ์ พลเรอื ง จดั ทำโดย นาย นทั ฐเ์ ศรษฐ์ นำสวา่ งร่งุ เรอื ง ม.๕/๒ เลขท่ี ๗ นาย คุณากร กลายกลาง ม.๕/๒ เลขท่ี ๑๐ นาย กติ ติธัช หงสช์ ู ม.๕/๒ เลขที่ ๑๑ รายงานนเ้ี ปน็ สว่ นหนึ่งของวชิ าภาษาไทย ภาคเรยี นที่ ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ โรงเรียนราชสีมาวทิ ยาลัย สำนักงานเขตการศกึ ษานครราชสีมา

กติ ติกรรมประกาศ รายงานฉบับนีเ้ สร็จสมบรู ณไ์ ดเ้ พราะได้รบั ความอนเุ คราะห์เกบ็ รวมรวบข้อมูล รวมทงั้ อำนวยความสะดวกดา้ นตา่ ง ๆเปน็ อยา่ งดี จากอาจารย์ ศภุ ลักษณ์ พลเรอื ง อาจารย์ ประจำวชิ าภาษาไทย มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๕ ผู้ทำรายงานขอขอบคุณเป็นอยา่ งสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณคณะครูอาจารย์ บุคคลากรจากโรงเรยี นราชสมี าวิทยาลยั ท่ีใหค้ วาม ร่วมมอื ในการใหข้ ้อมลู เป็นอยา่ งดี และขอขอบคุณเพื่อนนักเรยี นโรงเรยี นราชสมี าวิทยาลัย คณุ ประโยชนแ์ ห่งความดที ีไ่ ด้รับจากรายงานเล่มนี้ ผู้วิจยั ขอมอบใหแ้ ดค่ ุณพ่อคุณแมพ่ ร้อม ทงั้ ญาตพิ ี่ นอ้ ง ท่ีเปน็ แรงบนั ดาลใจและให้การสนบั สนุน พร้อมทง้ั ให้กำลงั ใจอนั เป่ียมลน้ ดว้ ยความรกั ความเขา้ ใจในตวั ข้าพเจา้ เสมอมา คณะผ้จู ดั ทำรายงาน

คำนำ รายงานเรือ่ ง คำผวน ผญา ปรศิ นาคำทาย เป็นสว่ นหนึง่ ของวิชา ภาษาไทย รหัสวิชา ท๓๒๑๐๒ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๕ มวี ตั ถุประสงคเ์ พอื่ ศกึ ษาเก่ียวกับคำผวนต่าง ๆ ซึ่งรายงาน ฉบับนี้มีเนือ้ หาเก่ียวเน่อื งกับอิทธิพลของคำผวน ผจู้ ดั ทำหวังเปน็ อย่างย่ิงว่าเน้ือหาในรายงานฉบับนที้ ่ีไดเ้ รยี บเรียงมาจะเป็นประโยชน์ ต่อผ้สู นใจเป็นอย่างดี หากมีสง่ิ ทผ่ี ดิ พลาดประการใด ผจู้ ดั ทำขอนอ้ มรบั ในขอ้ ชแี้ นะและจะ นำไปปรับปรุงแกไ้ ขและพฒั นาให้ถกู ตอ้ งสมบรู ณ์ต่อไป คณะผจู้ ดั ทำรายงาน ๑ มีนาคม ๒๕๖๔

สารบญั ความหมายของผญา ๒ ความหมายของคำผวน ๓ ความหมายของปรศิ นาคำทาย ๓ ผญา มีความเปน็ มาอย่างไร ๕ ประเภทของผญา ๖ หลกั ทั่วไปของการผวนคำ ๑๒ ปรศิ นาคำทาย ๑๔ ตัวอยา่ งปริศนาคำทาย ๑๖ บรรณานกุ รม ๓๐

1 บทที่ ๑

2 ดนิ แดนทร่ี าบสูงแถบตะวันออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทยทง้ั ๑๙ จงั หวดั หรอื ที่ เรยี กกนั โดยท่วั ไปว่า ภาคอสี าน ซ่ึงเปน็ ดินแดนแห่งอารยธรรมท่ีมีขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมอนั เก่าแกม่ าแต่บรรพกาลแห่งหนง่ึ ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีภาษาท่เี ปน็ เอกลักษณเ์ ฉพาะของตนเอง เรียกวา่ ภาษาอีสาน เปน็ ภาษาที่สืบเชอ้ื สายมาจาก อาณาจกั รลา้ นชา้ ง ผญาคืออะไร ผญา เปน็ คำพดู ที่ชาวไทยอีสาน ใชพ้ ดู กนั เพอ่ื แสดงถึงภูมิปัญญาของผู้ พูด นักวชิ าการและผ้รู ูไ้ ด้ให้ทัศนะเกย่ี วกับความหมายของ ผญา ไว้ดงั น้ี ปรชี า พณิ ทอง (2532 : 528) ไดใ้ ห้ความหมายว่า ผญา (น.) หมายถงึ ปัญญา, ความรู,้ ความฉลาด คำภาษิตท่ีมคี วามหมายลึกซ้ึงเรยี กวา่ ผญา ส่วน นงลักษณ์ ขนุ ทวี (มปป.) ให้ความหมายเกย่ี วกับคำว่าผญา ไวด้ งั นี้ ผญา เป็นคำภาษาถิ่นอีสาน ตรงกบั ภาษาไทยกลางว่า ปัญญาหรือปรชั ญา เพราะในภาษา ถิ่นอสี าน จะใชเ้ สียง ผ แทนเสียง ป หรือ ปร ในภาษาไทยกลาง เช่น เผด เปน็ เปรต , โผด เปน็ โปรด, ผาบ เปน็ ปราบ, ผาสาด เปน็ ปราสาท สำนกั งานส่งเสรมิ ศิลปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ (2540 : 45) ได้ สรุปความหมายของ ผญา ไวด้ ังนี้ ผญา (น) เปน็ คำพูดของนักปราชญถ์ นิ่ อสี านโบราณ และ เป็นภาษาที่มอี ายมุ ากพอสมควร ผญาเป็นคำทีถ่ ่ายทอดมาจากคำวา่ ปัญญา และปรัชญาซึ่ง อพยพมาตามหลกั ธรรมคำส่ังสอนของพระพทุ ธศาสนา นกั ปราชญโ์ บราณอสี านท่านเปล่ยี น จากคำเดมิ คือ ปญั ญา เปน็ ผญา เพอ่ื ความสะดวกหรือเพ่อื ความเหมาะสมกับภาษาถิ่นก็ อาจเป็นได้ ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ ดังน้นั คำว่า ผญา กค็ งมคี วามหมายเชน่ เดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน สำนักงานศกึ ษาธิการจังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ (มปป.) ใหค้ วามหมายวา่ คำผญา หรือ ผะหยา เปน็ กาพยก์ ลอนพนื้ เมอื งอยา่ งหนง่ึ ท่ีแสดงความคิด ปัญญา ความฉลาดหลัก แหลมของชาวบา้ น พรอ้ มกนั นนั้ กเ็ ปน็ คำพูดท่ีแสดงถงึ ความมไี หวพรับปฏิภาณอันหนกั แนน่ ระหว่างหนมุ่ สาว หญงิ ชาย ทย่ี กขึน้ มาเพื่อถามไถเ่ กีย่ วกบั ความรรู้ อบตัว ทัศนคตคิ ณุ สมบตั ิ ทมี่ คี วามรักตอ่ กัน

3 จากทศั นะดังกล่าวเห็นวา่ คำว่า ผญา ปญั ญา ปรชั ญา เป็นกลมุ่ ภาษาเดียวกัน มีความหมายคลา้ ยคลึงและใกลเ้ คยี งกนั ซ่ึงอาจใชแ้ ทนกันได้ ดงั นนั้ สรุปไดว้ ่า ผญา, ปญั ญา , ปรัชญา (wisdom, philosophy, maxim, aphorism) หมายถงึ ปญั ญา ความรอบรู้ ไหวพริบ สตปิ ัญญา คำคม สุภาษิต หรือคำทพ่ี ูดเป็นปริศนาฟงั แลว้ ไดน้ ำมาคิดมาวิเคราะห์ เพ่อื คน้ หาคำตอบจากปญั หาว่าความจริงเปน็ อย่างไร มีความหมายว่าอย่างไร ความหมายของคำผวน เป็นวิธกี ารสลับคำ โดยใชส้ ระและ ตัวสะกดของพยางคห์ น้าและพยางค์สุดท้าย มา สลบั กัน ทำใหเ้ กดิ คำใหม่ทีอ่ าจไม่มคี วามหมาย แตก่ ารออกเสียงจะคล้องจองกับรูปเดิม ทำ ใหส้ ือ่ ความหมายกนั ได้ คำผวนนัน้ นยิ มใช้กบั คำสองหรอื สามพยางคเ์ ปน็ ส่วนใหญ่ เพราะ สามารถสลับตำแหนง่ ได้ง่าย คำพยางค์เดียวนนั้ ไมส่ ามารถผวนได้ คำที่พยัญชนะพยางค์ หน้าและพยางค์สุดทา้ ยเหมือนกันหรือเสียงเดยี วกันน้ันไมส่ ามารถผวนได้ คำทสี่ ระและ ตัวสะกดพยางค์หน้าและพยางค์สดุ ทา้ ยเหมอื นกนั หรอื ตวั สะกดมาตราเดียวกนั นนั้ ไม่ สามารถผวนได้ สว่ นคำหลายพยางค์ อาจต้องแยกเปน็ สว่ น ๆ ไม่สามารถสลบั ตำแหน่งอยา่ ง คำนอ้ ยพยางค์ วธิ กี ารสร้างคำผวน เรียกวา่ \"ผวน\" หรอื \"การผวนคำ\" ความหมายของปรศิ นาคำทาย ปรศิ นาคำทาย หมายถงึ ปญั หาหรือคำถามซ่งึ ผู้ถามอาจจะถามตรง ๆ หรือถามทางอ้อมก็ตาม คำถามอาจจะใช้ถอ้ ยคำธรรมดาเปน็ ภาษารอ้ ยแกว้ หรอื จะมสี มั ผสั แบบภาษาร้อยกรองก็ได้ ภาษาทีใ่ ชน้ ั้นเปน็ ภาษาสัน้ ๆ ง่าย ๆ กระชับความ แต่ยากแก่การ ตคี วามในตัวปริศนาอยูบ่ ้าง สว่ นคำตอบ มักจะเปน็ สง่ิ ทีพ่ บเหน็ ในชวี ติ ประจำวนั ในสมยั น้ัน ๆ และในบางคำถามมักจะมเี คา้ หรือแนวทางสำหรบั คำตอบ ซงึ่ ผู้ตอบจะต้องใช้ความสังเกต ความคดิ และไหวพริบในการคิดหาคำตอบ

4 บทที่ ๒

5 ผญา มคี วามเปน็ มาอย่างไร วรรณกรรมมขุ ปาฐะประเภทผญาหรือ คำคม ภาษติ ท้องถ่ินอีสานนี้ มีความ เปน็ มาอยา่ งไรหรอื ใครเปน็ ผู้ให้กำเนิด ยากทจ่ี ะตัดสนิ ได้วา่ มาจากไหน ใครเปน็ ผู้ให้กำเนดิ หรือริเริม่ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม มผี ู้รูแ้ ละนกั วิชาการ ทท่ี ำการศกึ ษาค้นคว้า วจิ ยั เกยี่ วกบั เรื่องผญา หรอื ภาษติ อสี าน ได้สนั นิษฐานหรือใหท้ ัศนะเกย่ี วกับทีม่ าของผญาพอสรปุ ได้ ดงั น้ี 1. ผญาเกิดจาก คำสัง่ สอนและศาสนา โดยหมายเอา คำสอนของผู้ใหญ่ท่ี มตี ่อเด็ก ครบู าอาจารยท์ ่ีมีต่อศษิ ย์ พ่อแม่ท่มี ตี ่อลูกหลาน ทั้งนกี้ ส็ บื เน่อื งจากคำสอนของ ศาสนาโดยเฉพาะพระพทุ ธศาสนา 2. ผญาเกดิ จากขนบธรรมเนยี มประเพณี โดยหมายเอา ข้อปฏบิ ัตทิ ่คี นใน สังคมอสี านปฏิบตั ติ อ่ กนั ในวิถีชวี ิต 3. ผญาเกิดจากการเกย้ี วพาราสขี องหนมุ่ สาว อาจหมายเอาแรงบันดาลใจ หรอื ความรู้สกึ ภายใจทอ่ี ยากจะบอกตอ่ กนั และกัน จงึ กล่าวออกมาดว้ ยคำคมเชิงโวหาร ภาพพจน์ตา่ ง ๆ แล้วเกดิ การโต้ตอบถ้อยคำแกก่ นั และกนั 4. ผญาเกิดจากการเลน่ ของเดก็ โดยหมายเอา การเล่นกันระหวา่ งเดก็ แลว้ มี การต้ังคำถามอย่างเช่น ปริศนาคำทาย แต่แทนท่ีจะถามโดยตรงกับสรา้ งเป็นถอ้ ยคำทค่ี ลอ้ ง จองกนั 5. ผญาเกดิ จากสภาพแวดล้อมหรือเหตุการณอ์ นื่ ๆ ในวถิ ชี ีวติ โดยหมายเอา สภาพการณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ในชวี ิตแล้วเกดิ แรงบันดาลใจให้เกดิ ถอ้ ยคำในใจและมกี ารกล่าวถอ้ ยคำ ที่คลอ้ งจองแกก่ ันและกัน ในโอกาศทเ่ี ดนิ ทางไปมาค้าขาย หรือกิจกรรมอน่ื ๆ (อดศิ ร เพยี ง เกษ, ๒๕๔๔: ๙๖) จากการสนั นษิ ฐานทีม่ าของการเกดิ ข้ึนของผญา จะเหน็ ว่าผญานั้นมี ความหมายต่อชาวอสี าน ไมว่ า่ ชาวอีสานอาศยั อยู่สถานทีใ่ ด เมอื่ มีกิจกรรมใด ๆ รว่ มกัน หรือสนทนากนั ในกลุม่ จะมกี ารกล่าว ผญาสอดแทรกข้นึ มาเสมอ ดว้ ยเหตุผลดงั กล่าว ทำ

6 ให้ผญามบี ทบาทหนา้ ทีแ่ ละมีความสำคัญต่อสังคมชไทยอีสานต้ังแตอ่ ตดี จนถึงปจั จบุ ัน อาจ แบง่ เป็นประเภทตา่ ง ๆ แลว้ แตโ่ อกาสท่ีจะนำไปใชใ้ นกจิ กรรมน้นั ๆ ประเภทของผญา ผญาหรือคำคม ภาษิตโบราณอีสานน้ี แบง่ ออกเปน็ ประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๔ ประเภท ดงั น้ี ๑. ประเภทคำสอน เรยี กวา่ ผญาคำสอนหรือผญาภาษติ ๒. ประเภทเกยี้ วพาราสี เรยี กว่า ผญาเครือ, ผญาย่อย หรอื ผญา โต้ตอบ ๓. ประเภทปรศิ นา เรยี กวา่ ผญาปรศิ นา-ปญั หาภาษติ ๔. ประเภทอวยพร เรยี กวา่ ผญาอวยพร ๑. ประเภทคำสอน ผญาคำสอนหรอื ผญาภาษติ คอื การใช้ถอ้ ยคำท่กี ลา่ วเป็นร้อยกรองสั้น ๆ แฝง ไวด้ ว้ ยคติธรรม คำเตอื นใจ หรอื อนี ัยหนงึ่ คอื ขอ้ ความทเ่ี ป็นอุปมาอปุ มัย ให้ผูฟ้ ังไดค้ ดิ ตีความสามารถนำไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นทางที่ดงี ามถกู ต้อง ตัวอยา่ ง “คันเจา้ ไดข้ ีซ่ ้างกงั้ ฮ่มเปน็ พระยา อย่าไดล้ ืมคนทกุ ขผ์ ้ขู ี่ ควายคอนกล้า” “คันเจ้าได้ขซ่ี ้างก้ังฮม่ สปั ทน อยา่ ได้ลืมคนจนผแู้ หน่ ำตนี ซา้ ง” ความหมาย : ถา้ ไดด้ ีหรอื ไดเ้ ป็นใหญ่แลว้ ก็อย่าไดล้ ืมผูค้ นรอบข้างหรือ เบอ้ื งหลงั “ความตายนีแ้ ขวนคอทกุ บาทย่าง ไผก็แขวนออ้ นต้อน เสมอดา้ มดงั เดยี ว” ความหมาย : ความตายนยี้ อ่ ม ติดตามเหมือนเงาตามตัว ไมม่ ี ผู้ใดหลุดพ้น

7 “บญุ บุญนบ้ี ่แหม่นของแบง่ ได้ ปนั แจกกนั แหลว่ บ่อห่อน แยกออกได้ คือไมผ้ า่ กลาง คือจ่งั เฮากินขา้ ว เฮากนิ เฮาอ่ิม บแ่ หม่นไปอิ่มท้อง เขาพนุ้ ผู้บก่ ิน” ความหมาย : เรือ่ งของบญุ ใครเปน็ คนทำ คนน้ันไดร้ ับผลเอง ไมส่ ามารถ แบ่งปนั ไดเ้ หมือนสง่ิ ของ เหมือนกินข้าวผู้ทก่ี ินผูน้ ้ันก็อม่ิ เอง “คำสอนพอ่ แม่นี้หนักเก่ิงธรณี ผใู้ ดยำเยงนบหากสิดเี มอื หน้ความหมาย : ผใู้ ดเคารพคำสงั่ สอนพอ่ แม่จะ เจริญก้าวหนา้ “ขอให้อดสาสู้ เพียรไปใหถ้ ืกปอ่ ง คณุ อาจารย์ยกใส่เกลา้ คนิงไว้อย่าสิลมื ” ความหมาย : อดทนสใู้ นสิ่งทถี่ ูกต้อง ยกยอ่ งคุณอาจารย์ ๒. ประเภทอวยพร ผญาอวยพร คือ การใช้ถ้อยคำทีใช้พดู อวยพรในโอกาสต่าง ๆ ส่วนใหญ่ มกั จะเปน็ คำพดู ทผ่ี สู้ ูงอายหุ รือคนทเี่ คารพนบั ถือ พูดเพอื่ ให้เปน็ สิริมงคลแกผ่ ฟู้ งั หรอื ผู้รับ พร อาจแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ดังน้ี ๒.๑ อวยพรท่ัวไป “ ค่อยอยดู่ สี ำบายมน่ั เสมอมนั เครือเกา่ เดอ ใหเ้ จ้าอยดู่ ีมีแฮงความเจบ็ อยา่ ให้ ได้ความไข้อยา่ ใหม้ ี ใหไ้ ปดมี าดผี ้อู ยู่ใหม้ ีชยั ผู้ไปให้มีโชค โชคมา้ อย่เู ทิงอาน อย่เู ทิงเครือ่ งอลังการสำรบั นอนหลับให้เจ้าได้เงินพัน นอนฝันให้เจา้ ไดเ้ งิน หม่นื นอนต่นื ให้เจา้ ได้เงินแสน แบมอื ไปให้ไดแ้ กว้ มณโี ชติ โทษฮ้ายอย่ามา พาน มารฮา้ ยอย่ามาผา่ ให้เจา้ มีอายุ วรรณัง สุขัง พลงั เดอ ” ความหมาย : ใหอ้ ยู่สขุ สบาย ความเจ็บไข้อยา่ ได้มี ไปดีมาดี ผู้อยขู่ อให้มีชยั ผู้ ไปขอ ให้มีโชค อย่บู นเครอ่ื งสำรบั อันอลังการ นอนหลับขอให้ได้เงินพนั นอนฝนั ขอใหไ้ ด้เงิน หม่นื นอนตืน่ ขนึ้ มาขอใหไ้ ด้เงินแสน แบมอื ไปใหไ้ ด้แกว้ มณีโชติ โทษรา้ ยอยา่ มาพานพบ มารร้ายอย่ามากลำ้ กลาย ใหม้ อี ายุวรรณะ สขุ ะ พละ

8 ๒.๒ อวยพรคบู่ ่าวสาว “ ใหเ้ จ้าเป็นคู่แกว้ ค่ขู วัญ ใหเ้ จา้ ฮักกันบม่ เี ปดิ ลูกแกว้ เกดิ หญิงชาย สขุ สำ บายจนแก่เฒ่า สมบตั หิ ล่ังเข้าเนืองนอง เงินทองมีมากลน้ เทอญ” ความหมาย : ขอให้คู่บ่าวสาวจงมคี วามรกั ตอ่ กันอย่าไดเ้ สื่อมกัน ให้ไดล้ กู หญงิ ลกู ชาย ใหม้ ีความสขุ ในครอบครัวจนแกเ่ ฒา่ ชรา มีทรพั ยส์ มบัติแกว้ แหวนเงินทองมากมายอย่าขาด มอื ๒.๓ อวยพรพธิ ีสขู่ วัญ “ผูกเบื้องซา้ ยให้ขวัญเจา้ มา ผกู เบื้องขวาให้พระเจา้ อยู่ ฝา้ ยเส้นนม้ี คี ำแถน นำมา ผูกแขนผอวนเจา้ อยา่ มศี รีเศร้าตัวเจ้าอยา่ งหมองหม่น คุณพระพุทธ พระ ธรรม มากลน้ ไหลตื้อต่นื ประสงค์ เจ้านอนหลบั ใหไ้ ดเ้ งินหม่นื เจ้านอนต่นื ใหไ้ ดเ้ งินแสน แปนมอื ไปใหไ้ ด้แก้วมณโี ชติ โทษรา้ ยอยา่ พานมารร้ายอยา่ เบยี ด” ความหมาย : ผูกแขนซ้ายขอให้ขวัญมาอยกู่ บั เนือ้ กับตวั ผกู แขนขวาขอให้คุณ พระคุณเจ้าอยู่คุ้มครอง ฝา้ ยผูกแขนเส้นมคี ำพรจากเทวดาให้นำมาผกู แขนเจา้ อย่าให้มี ความเศร้าหมองอยู่ในตวั ดว้ ยคุณพระรตั นตรัยมมี ากล้นขอให้เจ้าได้ทกุ สงิ่ สมประสงค์ เมื่อ เจ้านอนหลบั ขอใหไ้ ดเ้ งนิ หมน่ื นอนตืน่ ขอให้ได้เงนิ แสน ย่ืนมือออกไปขอใหไ้ ดแ้ กว้ แหวนเงนิ ทอง ภัยร้ายท้ังปวงอย่าไดม้ าเบยี ดเบียน ๓. ผญาประเภทปรศิ นา-ปัญหาภาษิต ผญาปริศนา-ปัญหาภาษติ คือ การใชถ้ อ้ ยคำท่แี ทรกขอ้ คดิ ปรชั ญา คติชีวติ ในเชิงเปรยี บเทยี บในถ้อยคำ ทำให้ผฟู้ ังตอ้ งนำไปขบคิดและตคี วามเอาเอง ตัวอย่าง “อศั จรรย์ใจแข้ หางยาว ๆ สังบ่ไดฮ้ องน่ัง บาดกระตา่ ยหางแป ๆ กระต่ายหางก้อม ๆ สงั มาได้นัง่ ฮอง”

9 ความหมาย : อศั จรรย์ใจ ที่ผ้มู คี วามรมู้ ามาก ๆ ไมส่ ามารถชว่ ยเหลอื ตัวเองได้ แต่ผู้ รำ่ เรียนมานอ้ ยกลับมีความสามารถประกอบอาชีพการงานได้สำเร็จและมัน่ คงใน ชีวติ “อัศจรรยใ์ จโอ้ โอทองสงั มาแตก บาดว่ากะโปะหมากพรา้ ว สงั มาม่นั กวา่ โอ” ความหมาย : อัศจรรย์ใจ ผทู้ ี่มเี ชอื้ สายจากสกลุ ใหญ่โต มีเกยี รติยศช่อื เสยี ง ทำไมจงึ แตกแยกขดั แยง้ กนั ได้ แตท่ ำไมผู้อย่ใู นตระกูลธรรมดาสามัญชนท่วั ไป กลับมคี วามกลมเกลียว มีความสามัคคกี ันดี “กวางกินหมากขามป้อม ไปคากน้ ขีม้ ง่ั คันแม่นม่ังบ่ข้ี สามมอื้ กระต่ายตาย คนั กระต่ายตายแลว้ เห็น อ้ม ผัดเน่าเหมน็ ” ความหมาย : ลูกหลานกระทำความผดิ มผี ลกระทบถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง ถา้ ไม่ สามารถแกป้ ญั หาได้ ไมน่ านกจ็ ะเป็นปญั หากระทบไปถึงญาตพิ น่ี ้องเดือดรอ้ นกนั ไปหมด (รวมถงึ สถาบันด้วย) “อยากกินขา้ ว ให้ปลกู ใสพ่ ะลานหนิ อยากมีศลี ใหฆ้ ่าพ่อตีแม่ อยากให้คนมาแวะ ใหฆ้ า่ หมู่เดียวกัน” ความหมาย : ถา้ หากตอ้ งการความสำเรจ็ มกี นิ มใี ชร้ ำ่ รวย ต้องเป็นผูม้ ีความอดทน เพียรพยายาม ต่อการทำทาน มีขนั ตธิ รรม (ปลูกข้าวใส่พะลานหิน) ถ้าอยากเปน็ ผู้มี คุณธรรม เอาชนะใจตนเองได้ ต้องดบั ตัวกิเลส คอื โลภ โกรธ หลง ซึง่ เปน็ รากเหงา้ แหง่ กิเลสท้ังปวง (ฆ่าพอ่ ตีแม่) และถา้ ตอ้ งการให้คนเคารพนบั ถอื ชืน่ ชอบ ตอ้ งขจดั พฤตกิ รรมที่ เลวรา้ ยไปใหห้ มด มีความเหน็ แกต่ วั (ฆ่าหมเู่ ดียวกนั ) เป็นตน้ และใหส้ ำรวมกาย วาจา ใจ ๔. ผญาประเภทเก้ยี วพาราสี ผญาประเภทน้ีมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปว่าผญาเครือ, ผญายอ่ ยหรือผญา โตต้ อบ คือการใช้ถ้อยคำพูดโตต้ อบกนั เชิงเก้ียวพาราสี ทักทายปราศยั สรรเสริญเยนิ ยอ หรอื ความอาลยั

10 ตวั อย่าง “ฝนั คนื นี้ฝันเป็นประหลาดตา่ ง ฝันวา่ เสาเฮอื นเนงิ้ ไปทาง ตะวันออกฝันว่าปอกมดี โต้ตกนำ้ ลอ่ งหนี ฝนั ว่าธำมะรงเหล้อื มใน มือกระเดน็ แตกเกรงว่านาถเจ้าใจเล้ียวจากเฮยี ม” ความหมาย : ฝันเมอ่ื คืนช่างฝันประหลาดนกั ฝันวา่ เสาเรอื นเอียงไปทางทศิ ตะวันออก ฝนั วา่ ปลอกมดี ตกไปในนำ้ ฝนั ว่าแหวนเพชรในมอื หล่นแตก เกรงว่าจะเป็นลาง ร้ายหรอื น้องจะจากไป “สบิ ปกี ะสิถา่ ซาวพรรษากะสิอยู่ คันบไ่ ดเ้ ป็นคู่เหน็ แต่อแุ อ่งนำ้ กะ ปานได้นง่ั เทียม” ความหมาย : สิบปี ยี่สบิ ปกี ็จะรอนอ้ งอยู่ ถงึ ไม่ได้เคยี งคูน่ ้องมองเห็นแค่ตมุ่ ใสน่ ้ำก็ เหมือนได้นั่งเคียง “อย่าให้เสยี แฮงอ้ายเดินทางหิวหอด คือด่ังม้าอยากนำ้ เดือนห้า หอดหิว คนั บ่กรู ณ์ าอ้าย เหน็ สิตายมอ้ ยระแหม่ง เห็นสติ ายหอดแห้งหิวนำ้ หอดแฮง” ความหมาย : อยา่ ให้เสียแรงท่พี ตี่ ้องด้นั ด้นมาหา ได้โปรดกรุณารับไมตรีพไี่ วอ้ ยา่ แล้ง นำ้ ใจนักเลย “พสี่ ิลาจากนอ้ งกลบั ต่าวเคหงั ปาสิลาวังเวนิ เสนิ่ ไปคือฮงุ้ ทงุ สิ ไลลาผา้ สาหนองสลิ าบวก ฮวกสิลาแมน่ ้ำ นางน้องค่อยอยดู่ ี แดเ่ นอ” ความหมาย : พต่ี ้องลาจากนอ้ งไปแลว้ เหมอื นปลาที่ลาจากน้ำ นกลาจากหนอง ขอให้นอ้ งอย่สู ขุ สบายดนี ะ “พีน่ ีป้ ลอดอ้อยซอ้ ย เสมอออ้ ยกลางกอ กาบกะบ่ห่อ หน่อ น้อย กะบ่ซอน ช้บู ซ่ ่อนเมียอา้ ยบ่ม”ี ความหมาย : พีน่ ้ยี งั เป็นโสด ไร้คใู่ จเหมอื นต้นออ้ ยกลางกอ จึงไดม้ งุ่ หมายมารักน้อง

11 “นกเขาตู้พรากคกู่ ะยังขนั กาเวาวอนพรากฮงั กะยังฮอ้ ง นอ้ ง พรากอา้ ยคำเดยี วบเ่ อน้ิ ส่งั คนั บเ่ อน้ิ สงั่ ใกล้ขอใหเ้ อน้ิ สัง่ ไกล” ความหมาย : นกพรากคูพ่ รากรังยังร้องเพรยี กหา แต่น้องจากพ่ไี ปไมม่ แี มค้ ำรำ่ ลาก็ ไม่มี ผญาเกย้ี วพาราสโี ตต้ อบหนมุ่ สาว ตวั อยา่ ง (ชาย) .... สขุ ซำบายหมั้นเสมอมันเครือเก่าบ่นอ เทงิ พ่อแม่พี่น้องซำบายถว้ นอย่สู ูค่ น บ่เด (สขุ สบายเหมอื นเดมิ หรือเปลา่ ทัง้ พอ่ แมพ่ นี่ อ้ งมคี วามสขุ ถว้ นหนา้ กันไหม) (หญงิ ) .... น้องน่ี สุขซำบายหมนั้ เสมอมันเครอื เก่าอยู่ดอกอา้ ย เทิงพอ่ แมพ่ นี่ อ้ งซำบาย พรอ้ มสู่คน (นอ้ งนี้ สขุ สบายดีเหมือนเดมิ พอ่ แม่พีน่ ้องก็สบายดกี ันทกุ คน) (ชาย) .... อา้ ยนีอ่ ยากถามขา่ วน้ำ ถามขา่ วเถิงปลา ถามข่าวนา อยากถามขา่ วเถงิ เข้า อา้ ย อยากถามขา่ วน้องวา่ มผี ัวแล้วหรอื บ่ หรอื ว่ามแี ตซ่ ู้ ผัวสซิ ้อนหากบม่ ี (พี่อยากถามขา่ วคราวเรอื่ งน้ำเรอ่ื งปลา ถามขา่ วเกย่ี วกับนากอ็ ยากจะถามถึง ขา้ ว พ่ีอยากถามขา่ วเกี่ยวกับตวั น้องว่ามแี ฟนหรอื ยงั ) (หญิง) ....โอนอ อ้ายเอย นอ้ งน้ีปอดอ้อยซ้อยเสมอด่ังตองตัด พัดแต่เป็นหญงิ มาบ่มีซายสิ มาเก้ยี ว ผัดแตส่ อนลอนข้ึนบม่ เี ครอื สิเกีย้ วพมุ่ ผัดแตเ่ ป็นพุม่ ไมเ้ ครอื สเิ กยี้ วกะบ่มี (พี่เอย๋ น้องนีย้ งั บริสทุ ธิ์ยงั ไม่มีแฟน เหมือนกับใบตองท่ตี ดั พบั ไว้ ตัง้ แตเ่ กดิ เป็น หญิงมาไมม่ ชี าใดเข้ามาเกีย่ วพัน เหมอื นดง่ั พุ่มไม้ไมม่ เี ถาวลั ยม์ าเกาะพัน) (ชาย) .... น้องอย่ามาตแิ ถลงเว้า เอาเลามาปลกู บแ่ หมน่ เซ้ือซาติออ้ ยกนิ ไดก้ ะบห่ วาน (น้องนช่ี า่ งพดู เหมอื นเอาต้นเลามาปลกู เพราะมนั ไม่ใช่ออ้ ยกินไดก้ ไ็ ม่หวาน) (หญิง) .... คนั บ่จริงน้องบ่เว้า คนั บเ่ อาน้องบห่ ว่า คันบ่แม่นทา่ น้องบไ่ ลค่ วายลง ตลี ง แลว้ ถอยคืนมนั สยิ าก มนั สิลำบากน้องเทยี วหยงุ่ อยบู่ ่เซา (ถา้ ไมจ่ ริงนอ้ งไมพ่ ดู ถา้ ไมใ่ ช่ทา่ นำ้ น้องไมไ่ ล่ควายลงนำ้ เมื่อไลค่ วายลงไป แลว้ จะไลต่ อ้ นความขึน้ มามนั กล็ ำบาก) (ชาย) .... อ้ายน่ีเป็นดงั อาซาไนมา้ เดินทางหวิ ฮอด มาพอ้ น้ำสา้ งแล้วในถ้ำกะส่องดาย กลายไปแลว้ ผดั คืนมาก้มสอ่ ง อยากกินกะกนิ บ่ได้ เลียลนิ้ อยู่เปลา่ ดาย

12 (พ่ีน้ีเป็นเหมือนกับมา้ เดนิ ทางดว้ ยความหิวน้ำ เมื่อมาเจอบ่อนำ้ ลงกนิ ไมไ่ ด้ เพียงได้แตส่ อ่ งดูน้ำ อยากกนิ ก็ลงกนิ ไม่ได้คงได้แคแ่ ลบลิ้นด้วยความกระหาย) (หญิง) .... นอ้ งนเ้ี ปน็ ดงั เฮือคาแกง้ เสาประดงคุงหาด หาผคู้ ดึ ซอ่ ยแก้ ให้หายฮอ้ น กะบม่ ี (นอ้ งเปน็ ดังเรอื ท่คี ้างอยใู่ นแกง่ น้ำ เสาประโดงตดิ อยู่ จะหาคนมาชว่ ยกไ็ ม่มี) จากคำผญาท่ยี กตวั อยา่ งมา เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้วสามารถแบง่ เป็น ๓ ลกั ษณะคอื ๑. หมวดทว่ี ่าด้วยผญาภาษติ ไดแ้ ก่ คตสิ อนใจ ปริศนา เชน่ “ครนั เจ้าไดข้ ่ีซ้าง ก้งั ฮม่ เป็นพญา อย่าสิลมื ชาวนาผขู้ ี่ควายคอนกล้า” ๒. หมวดทวี่ ่าดว้ ยผญาอวยพร เชน่ “นอนหลับให้เจ้าไดเ้ งินหมื่น นอนตน่ื ให้ เจ้าได้เงินแสน แปนมือไปใหไ้ ดแ้ ก้วมณโี ชติ โทษฮา้ ยอยา่ พาล มารฮา้ ยอย่ามาเบียด” ๓. หมวดทีว่ า่ ดว้ ยผญาเกีย้ ว ไดแ้ ก่ การเกย้ี วพาราสกี นั ระหว่างหญงิ ชาย เช่น “ครนั อ้ายคดึ ฮอดน้องให้เหลยี วเบิง่ เดือนดาว สายตาเฮาสิกา่ ยกนั อยเู่ ทิงฟา้ ” คำผวน หลกั ท่วั ไปของการผวนคำ ๑. คำผวนเปน็ การเล่นทางภาษาอยา่ งหน่ึงในภาษาไทย ทีใ่ ชว้ ธิ ีการผวนคำ หรือสลับ ตำแหน่งเสยี งสระและพยัญชนะท้าย ๒. การสลบั ตำแหน่งท่สี มบูรณ์จะเกดิ ขึ้นกบั คำสองพยางค์ เช่น ดำเนนิ - เดนิ นำ ในที่นี้ พยัญชนะตน้ ของท้งั สองพยางค์ยังคงตำแหน่งเดมิ แต่สลบั เสียงสระ (พรอ้ มตัวสะกด) คอื สลับ ระหว่าง สระ \"อำ\" กบั สระ \"เอนิ \" ๓. ในคำ 3 พยางค์ การผวนจะยุ่งยาก จงึ อาจเลอื กทจี่ ะผวนเฉพาะบางค่ขู องพยางค์ เชน่ สวัสดี (สะ-หวัด-ด)ี มักเลอื กผวนเฉพาะ พยางคท์ ี่สองและสาม คอื หวัด (สระ \"อะ\" เสียงเอก+ตัวสะกด \"กด\") -ดี (สระ \"อ\"ี เสยี งสามัญ ตัวสะกดไม่ม)ี -> วี (สระ \"อี\" เสียงสามัญ ตวั สะกดไมม่ ี) - ดดั (สระ \"อะ\" เสียงเอก + ตวั สะกด \"กด\")

13 ๔. คำ 4 พยางคข์ ้นึ ไป ถึงแม้ไมน่ ยิ มกนั มากนัก แตก่ ย็ ังมคี ำทใ่ี ชผ้ วนได้ โดยนำพยางค์ แรกกับพยางคส์ ุดท้ายมาผวนกนั สว่ น 2 พยางคต์ รงกลางยังอยู่คงเดิม เชน่ หมายเลขไอพี - หมเี ลขไอพาย ๕. คำผวนเปน็ การเลน่ เสยี งเพื่อความสนุกสนาน บางคนนยิ มใชผ้ วนคำหยาบเรอ่ื งเพศ เป็นการเลยี่ งทจ่ี ะเอย่ ถงึ คำหยาบนนั้ ตรง ๆ หรอื ผวนคำเปน็ ปริศนา ซง่ึ นยิ มกันมาก ในปริศนาคำกลอนทีเ่ รียกวา่ ผะหมี นอกจากนี้ ยังมนี ักเขยี นจำนวนไม่นอ้ ย ใชก้ าร ผวนชื่อจรงิ เพ่อื นำมาใชเ้ ป็นนามปากกา ตวั อย่างคำผวน ๑. ท่ัวไป อะหรด่ี อย = อรอ่ ยดี (คำ 3 พยางค,์ ผวนเฉพาะสองพยางคห์ ลัง) สวดี ัด = สวสั ดี (คำ 3 พยางค,์ ผวนเฉพาะสองพยางคห์ ลงั ) ไข้เจา = เข้าใจ ขึงเถา้ = เขา้ ถึง ก้างใหญ่ = ไกย่ ่าง จอเข็บ = เจ็บคอ หน้ที ่า = หนา้ ท่ี อา้ ดนำ = อำนาจ สมคงั = สังคม อฐิ กรัง = อังกฤษ ซานผะ = สะพาน ไสเฟา = เสาไฟ

14 ๒. นามปากกาหรอื ชอ่ื คน จักร ภูมสิ ทิ ธิ์ (นามปากกาของ จิตร ภมู ิศักด)์ิ ธนา วงศญ์ าณณาเวช (นามปากกาของ ธเนศ วงศ์ยานนาวา) โต้ ชีรกิ (ติ๊ก ชโี ร)่ คดิ ลกึ (คกึ ฤทธิ์ ปราโมช) นมอุโด้ต (โน้ต อดุ ม) วิริว ทองโชติ (วิโรจน์ ทองชวิ ) ปริศนาคำทาย ๒. ท่มี าของปริศนาคำทาย ปริศนาคำทาย เกิดจากความตอ้ งการลองภมู ิปญั ญากนั จงึ มีการทายปริศนา ใน สมัยกอ่ นนยิ มเลน่ กนั ทง้ั เดก็ และผู้ใหญ่ มักจะเล่นกนั ในยามวา่ งจากการทำงาน ๓. ลกั ษณะของปรศิ นาคำทาย ๓.๑ นยิ มใชค้ ำคล้องจองกันโดยไม่กำหนดจำนวนคำในแตล่ ะวรรค เป็นข้อความสน้ั ๆ กะทดั รดั หรืออาจผูกเป็นปริศนากลอน ซง่ึ บ่งบอกถงึ ความเปน็ คนเจา้ บทเจา้ กลอนทำให้จำ ได้งา่ ย ๓.๒ เนือ้ หานน้ั มักจะนำมาจากสง่ิ ต่างๆทอี่ ยรู่ อบตัวเรา เชน่ ของใช้ คน สตั ว์ ผกั พืช เวลา สถานที่ เครือ่ งใช้ ปรากฏการณธ์ รรมชาติ เชาว์ปัญญา ฯลฯ ซง่ึ ผู้ผูกปรศิ นาจะต้องเป็นคน ช่างสังเกต แลว้ นำเอาสิง่ ท่ีสงั เกตเหน็ มาผูกปรศิ นาให้ผ้อู ืน่ ใช้ปัญญาเพื่อแก้หรือทาย ๓.๓ จำนวนข้อความคำถามจะมีความสัน้ ยาวไม่เท่ากนั คอื อาจจะมีเพยี งตอนเดยี ว สอง ตอน สามตอน หรอื มากกวา่ นี้ แต่ข้อความทุกตอนจะเป็นการบอกคำตอบอยใู่ นตวั เปน็ นยั ๆ ซงึ่ เมอื่ นำคำตอบมารวมกนั จะเปน็ ลกั ษณะของสิ่งทท่ี ายน่ันเอง ๓.๔ ไม่นิยมถามตรง ๆ แตจ่ ะใช้สิ่งเปรียบเทียบ ๓.๕ มีการท้าทายใหผ้ ้ไู ขปริศนาพยายามคิด

15 ๔. ประเภทของปรศิ นาคำทาย ๔.๑ ปริศนาคำทายเกี่ยวกับปรากฏการณธ์ รรมชาติ เชน่ อะไรเอ่ยเขียวชอมุ่ พมุ่ ไสวไมม่ ใี บมแี ตเ่ ม็ด=ฝน ๔.๒ ปรศิ นาคำทายเก่ียวกบั พชื เชน่ อะไรเอย่ ตน้ เท่าครกใบปรกดิน= ตะไคร้ ๔.๓ ปริศนาคำทายเก่ียวกบั สตั ว์ อะไรเอ่ย สีเ่ ท้าเดินมาหลังคามุงสังกะสี = เตา่ ๔.๔ ปรศิ นาคำทายเกย่ี วกับอาชพี อะไรเอย่ ข้างโนน้ ก็เขาขา้ งน้กี เ็ ขาเรือสำเภาแล่นตรงกลาง = ก่ีทอผ้า ๔.๕ ปริศนาคำทายเกย่ี วกบั อวัยวะ อะไรเอย่ ไม่ใกล้ไม่ไกลมองเห็นรำไร = จมกู ๔.๖ ปริศนาคำทายเกี่ยวกับศาสนา-ประเพณี อะไรเอ่ย หัวเปน็ หนามถามไมพ่ ูด = พระพทุ ธรูป ๔.๗ ปริศนาคำทายเกย่ี วกับวรรณกรรม พระรามชอบสีอะไร = สดี า ๔.๘ปรศิ นาคำทายเกีย่ วกบั เชาวป์ ญั ญา อะไรอยู่บนฟา้ = วรรณยุกต์โท ๕. วิธกี ารเล่นปริศนาคำทาย บรรดาสมาชิกในครอบครวั หรืออาจจะมีเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคยี งมาร่วมดว้ ยก็ ได้ จะนง่ั ล้อมวงกนั หรือน่งั ตามสบาย ผ้ทู ายจะผลัดกันทายแลว้ แตใ่ ครจะคิดปญั หาได้ ถา้ มี ผตู้ อบถกู ผู้ตอบมสี ทิ ธลิ งโทษผ้ทู ายตามแตจ่ ะตกลงกัน และเชน่ เดยี วกนั หากผู้ตอบตอบผิด ผทู้ ายก็มสี ิทธิลงโทษผู้ตอบ เมื่อปฏิบตั ติ ามกฎ ก็เริม่ ต้นทายปรศิ นาใหมต่ อ่ ไป ๖. ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับ ๑. ผู้เลน่ ได้รบั ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ขบขัน เป็นการพฒั นาจิตใจให้แจม่ ใส ๒. ฝกึ ให้ผเู้ ล่นเป็นผู้มีนสิ ัยชา่ งสงั เกต ช่างคิด ฉลาดเฉลียวในการฝกึ ปัญญาของผเู้ ล่น ๓. ผ้เู ลน่ จะไดร้ บั ความรดู้ า้ นตา่ ง ๆ เชน่ สำนวนภาษา สังคมวิทยา และธรรมชาตวิ ทิ ยา ๔. เป็นการใชเ้ วลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ๕. เป็นการสร้างความสามคั คสี รา้ งมนุษยสมั พันธ์ในหม่ผู ู้เล่นอกี ดว้ ย ๖. เป็นการพฒั นาการใชภ้ าษา ๗. เป็นการฝึกใหม้ ไี หวพริบ เชาวน์ ปญั ญาดี

16 1.ปรศิ นาเกย่ี วกับบุคคล เฉลย ปรศิ นาคำทาย ใครหือชื่อตกแลว้ ไมห่ ลน่ คิดวัตถุชอบกล แปลก พระร่วง ทรงคดิ กะละออม หรอื ครุ ไซร้ ของน้ีแหละใหผ้ ล พลิ กึ ช่วยการเปน็ ไทได้ แต่ ข้นึ มาใสน่ ้ำส่งสว่ ยไปยงั เมืองขอม เบ้อื งโบราณ ใครเอย่ แตเ่ ดก็ กล้า รบแรง พ่อออกนามว่าแขง พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เศิกไซร้ เป็นขนุ จ่งึ จดั แจง จาฤกประวตั ขิ องตนไว้ คดู่ ้าวแดนตน อะไรเอ่ย สามขาเดินมาหลงั คามงุ สำลี คนแก่ถอื ไมเ้ ทา้ อะไรเอย่ หวั เป็นหนามถามไมพ่ ูด พระพุทธรปู 2. ปริศนาเกี่ยวกบั สัตว์ เฉลย ปรศิ นาคำทาย อะไรเอ่ยรถยนตก์ ไ็ มใ่ ช่ รถไฟกไ็ มเ่ ชงิ ว่งิ เตลิด กิ้งกอื หมายความวา่ ก้ิงกือเดนิ อยู่ เปดิ เปงิ อยูก่ ลางปา่ ท่วั ไป อะไรเอ่ยคนสามแสน หามแกนไมป้ ระดู่ ก้งิ กือ แกนไม้ประดู่ หมายถึงตวั กิง้ กือ มีสแี ดงคล้ายสขี องไม้ประด่แู ดง อะไรเอย่ เขยี วเหมอื นพระอินทร์ บินเหมือน แมลงทบั นก ศรปกั อก นกก็ไม่ใช่ อะไรเอย่ เรือนสองเสา หญ้าคาสองตับ นอน ไก่ เรอื นสองเสา หมายถึงไก่มี ๒ ขา ไมห่ ลบั ลกุ ข้นึ ร้องเพลง หญา้ คาสองตบั หมายถึง ปกี ไกท่ ้ัง

17 สองข้างมลี กั ษณะเหมอื นตบั หญ้าคา ที่ใชม้ งุ หลงั คาบ้าน อะไรเอ่ยวงิ่ โทง ๆ มีธงข้างหลงั สุนัข โทง ๆ หมายถงึ ไมส่ วมเส้ือผา้ ธง ตามธรรมชาตขิ องสุนัขเวลาว่ิงหางจะ โบกไปมาเหมือนธง อะไรเอย่ สีต่ ีนเดินมาหลงั คามงุ กระเบื้อง เต่า อะไรเอย่ ตนี เป๋อ ๆ คะเย่อกนิ ใบไผ่ ชา้ ง คำว่าเปอ๋ หมายความถึง เฉย ๆ และธรรมชาตขิ องชา้ งของกิน หนอ่ ไม้ ใบไผ่ และพชื อน่ื อะไรเอย่ สต่ี นี เชอ่ื ง ๆ ไม่มงุ กระเบื้องแต่มงุ ชา้ ง คำว่าเปอ๋ หมายความถึง เฉย ๆ เขม็ และธรรมชาติของช้างของกนิ หนอ่ ไม้ ใบไผ่ และพชื อื่น อะไรเอย่ แหวนกับแหวนชนกนั ท่ีหนั อากาศ ววั แหวนกับแหวนชนกนั คอื การ เกิดเป็นสัตวป์ ระหลาด ชอบกินหญ้า สะกดคำมตี วั อักษร ว. ๒ ตัว = วัว อะไรเอย่ ช่อื เหมือนคนตายมีปีกบินได้ หากนิ ผเี สือ้ กับดอกไม้ นกอะไรไม่ใชข่ องเรา นกเขา อะไรเอ่ยมัจฉาหนึง่ หน้ายาวราวสักฟตุ ปลาม้า มจั ฉาหนึ่งชือ่ บอกเป็นฝรัง่ ปลาทู หมายถงึ ออกเสยี งเหมือนคำใน ภาษาอังกฤษ มจั ฉาหน่งึ ดรุ า้ ยใคร ๆ ชงั ปลาเสือ มจั ฉาหนึ่งถกู ขงั ไมด่ น้ิ รน ปลากระปอ๋ ง

18 อะไรเอย่ ชื่ออยบู่ นฟา้ กายาอยู่ในน้ำ ปลาดาว อะไรเอย่ ชื่ออยูป่ า่ กายาอยใู่ นน้ำ ปลาเสือ อะไรเอ่ยช่ืออย่ใู นครัว ตวั อยูใ่ นดิน แมงกระชอน กระชอน คอื ของใชใ้ น ครวั สำหรับกรองกะทิ 3. ปริศนาเก่ยี วกบั พืชผกั ผลไม้ เฉลย ปรศิ นาคำทาย อะไรเอย๋ เมื่อเดก็ นุ่งผา้ เม่อื ชราเปลอื ยกาย ต้นไผ่ เปน็ การบอกลกั ษณะว่าเม่ือต้นไผ่ ยงั อ่อน (เป็นหนอ่ ไม้) มีกาบห้มุ แตเ่ มอ่ื โตข้ึนกาบทหี่ มุ้ จะหลุดออก อะไรเอ่ยเด็กดำนอนมุ้งขาว เรือนปั้นหยาสี น้อยหน่า เด็กดำ คือ เมลด็ มงุ้ ขาว คือ เขียว เนื้อเรือนสเี ขยี ว คือ เปลือก อะไรเอ่ยข้างนอกขรุขระ ขา้ งในตะติ๊งโหนง่ นอ้ ยหนา่ หรือทุเรียน เป็นการบอก ลกั ษณะของผลไมว้ ่าผิวข้างนอกขุรขระ ไม่สวยแตเ่ น้อื ขา้ งในดีรบั ประทานอร่อย อะไรเอย่ ขา้ งนอกสกุ ใส ขา้ งในเปน็ โพรง มะเดื่อ ซง่ึ มผี วิ นอกแดงสวย แตใ่ นลกู เป็นโพรง เพราะถกู หนอนเจาะ อะไรเอย่ ใบหยกั ๆ ลกู รกั เตม็ คอ มะละกอ ตน้ ตาล ก็ไม่ใช่ อะไรเอย่ ตน้ เท่าครก ใบปรกดนิ ตะไคร้

19 อะไรเอย่ สุกไมห่ อม งอมไมห่ ล่น แหง้ คาต้น ข้าวโพด เพราะเม่อื แก่ไดท้ ่ีก็ไมห่ อมแหง้ คนกินได้ อยูก่ บั ต้น อะไรเอ่ยตน้ เท่าเข็มใบเต็มทุ่งนา ผักแวน่ เปน็ ผกั ที่มลี ำตน้ เล็กขนาดต้น ถัว่ งอก ใบเป็นรปู หัวใจ ๓ แฉกติดกนั เปน็ รปู กลม มัก 4. ปรศิ นาเกย่ี วกับเครือ่ งใชใ้ นครวั เฉลย ปรศิ นาคำทาย อะไรเอ่ยชกั ออกมาดำ ตำเข้าไปแดง มีแสง ไมข้ ีด สมยั กอ่ นไมข้ ดี ไฟจะมีหวั ขีดทท่ี ำ ไฟ จากฟอสฟอรสั สีดำ เม่ือนำไปเสยี ดสี (ขดี ) กบั ขา้ งกล่อง จะเป็นไฟสเี ทา ต้อง เอาไปท้ิง อะไรเอ่ย ซ้อื มาเปน็ สดี ำ นำมาใชเ้ ป็นสี ถ่านไม้ ท่ีมีสดี ำเพราะนำไม้ไปเผาก่อน แดง พอส้ินแสงกลายเป็นสีเทา ตอ้ งเอาไป แลว้ จงึ นำมาใช้ ทง้ิ อะไรเอย่ นั่งบนตอหัวรอ่ คัก ๆ น่งั บนตักหวั หมอ้ ขา้ วบนเตาไฟ รอ่ คึก ๆ อะไรเอ่ยมา้ สามขา เจา้ พระยาข้ึนข่ใี ส่ คือ โม่ ในสมัยโบราณทุกบา้ นจะตอ้ งมี หมวกกำมะหย่ี สูบบหุ ร่ี ควนั ปยุ๋ โมไ่ วส้ ำหรบั บดข้าว หรอื เมลด็ พชื ให้เปน็ แปง้ เพอ่ื นำไปประกอบอาหาร ลกั ษณะ ของโม่เปน็ หนิ กลม ๒ แผ่น

20 5. ปรศิ นาเกีย่ วกับเครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการประกอบอาชพี ปริศนาคำทาย เฉลย อะไรเอย่ ขา้ งโนน้ ก็เขาข้างน้ีก็เขาเรอื กีท่ อผา้ สำเภาแลน่ ตรงกลาง อะไรเอ่ยคนแก่หลังโกง ลงนำ้ ไมข่ นุ่ เบ็ดตกปลา เบด็ มีลกั ษณะงองมุ้ เหมอื นคนแก่ หลักโกง อะไรเอย๋ กดหัวทอ้ งปอ่ ง สาแหรก หวายท่ผี กู ดา้ นลา่ งถักยึดกันเปน็ รปู ส่เี หลย่ี มขนาดกวา้ งพอ ทีว่ างก้นกระบงุ หรือ กระจาดได้ มีสายขน้ึ มามุมละเส้นนำปลายมาถกั รวมกนั และถกั ทค่ี ัน่ สำหรับสอดไมค้ าน สาแหรกจะสงู ประมาณ ๑-๑.๒๐ เมตร เวลาจะ นำกระบงุ หรอื กระจายใสต่ อ้ งกดสว่ นบนให้ตรง กลางป่องออก เพ่ือจะได้นำกระบุงหรอื กระจาด วางบนกันสาแหรกได้สะดวก อะไรเอ่ยตวั อยู่นา ตาอยบู่ า้ น อย่นู ากัด ตะปู ขา้ ว อย่บู ้านกดั ฝา อะไรเอ่ยดำมดิ หมี ย่ิงตยี ิง่ กดั ดำเหมอื น สิว่ กับคอ้ น เพราะส่วิ และค้อนทำด้วยเหล็กมีสี หมดั ยิ่งกดั ยิง่ ดี ดำ เวลาใช้สกดั ไมจ้ ะต้องใชส้ ิ่วกดลงไปบนไม้ แล้วใช้ค้อนตีลงบนดา้ มส่วิ เพื่อเจาะในเนื้อไม้ อะไรเอย่ หนา้ ขาว ๆ ตัวยาวศอก พอตัด ขวาน เป็นปริศนาทีผ่ ้ทู ายจะต้องใช้เชาวน์ในการ ขนออกยาวแค่วา ตอบ หมายถงึ หากตดั พยญั ชนะตัวหน้าคอื ข. และพยญั ชนะสะกดตัวท้ายคือ น. จะเหลือแต่ ตรงกลางคอื \"วา\"

21 อะไรเอย่ มีหาง มีปาก มตี า กินปลา แห เปน็ อาหาร กบไสไม้ อะไรเอย่ กินขา้ งลา่ ง ขี้ขา้ งบน 6. ปรศิ นาเกี่ยวกับการคมนาคม เฉลย ปรศิ นาคำทาย เรอื เนอ่ื งจากแล่นในนำ้ ไม่มีรอ่ งรอยใหเ้ ห็น อะไรเอ่ยมะลมุ มะลำ เดินวันยังคำ่ ไม่ เหน็ รอย ถนน คำว่าตัดในทีน่ คี้ งหมายถงึ การตดั พ้นื ท่ี อะไรเอ่ยย่ิงตัดย่ิงยาว บางส่วนมาสรา้ งถนน 7. ปริศนาเกยี่ วกับธรรมชาติ เฉลย ปรศิ นาคำทาย อะไรเอย่ กลางวันเก็บใสก่ ระบาย ดาว กลางคนื กระจายออก อะไรเอ่ยเขยี วชอมุ่ พมุ่ ไสว ไมม่ ีใบมีแต่ ฝน เม็ด อะไรเอย่ กะลาซีกเดยี ว ข้ามทะเลได้ พระจนั ทร์ อะไรเอย่ สูงเทียมฟา้ ตำ่ กวา่ หญา้ นดิ ภูเขา เดยี ว อะไรเอย่ สงู กว่าน้ำตำ่ กวา่ เรือ ฟองนำ้ จะอยู่ข้าง ๆ เรือ เวลาแล่นในน้ำจะมี ฟองลอยอยดู่ ว้ ย

22 8. ปริศนาเก่ียวกบั เบ็ดเตลด็ เฉลย ปริศนาคำทาย อะไรเอ่ยนารมี รี ู เพชรสีชมพคู ารนู ารี ตุม้ หู อะไรเอย่ นกกระปดู แดง น้ำแหง้ ก็ตาย ตะเกยี ง สมยั โบราณใช้น้ำมันก๊าด ถา้ น้ำมันหมด ตะเกียงกด็ บั อะไรเอ่ยมฟี นั มากมายแตก่ ินอะไร หวี ไม่ได้ อะไรเอ่ยหึ่งๆ เหมอื นผง้ึ ภมุ รา เอกบา ลูกขา่ ง เวลาหมุนจะมเี สียงดงั ห่งึ ๆ ทาจะเร ๆ อะไรเอ่ยไมม่ ีคอไมม่ หี ัว มีแต่หนา้ ถงึ กลอง เวลาตไี ด้ตีเอา อะไรเอย่ สองหูสี่ตา เบอ่ื นักหนา เอา แวน่ ตา ขาไว้ทหี่ ู อะไรเอย่ สองหน้ามีงาเตม็ ตัว ข้าวเกรียบงา ขนมสมัยโบราณ จะทาน ตอ้ งนำมาปิง้ อะไรเอ่ยสต่ี ีนเกาะฝา อา้ ปากกนิ คน มงุ้ 9. ปริศนาเกี่ยวกับอวัยวะ

23 ปริศนาคำทาย เฉลย จมกู อะไรเอ่ยไม่ใกลไ้ ม่ไกลมองเหน็ รำไร ผม อะไรเอ่ยตัดโคนกไ็ มต่ าย ตัดปลายก็ ไมเ่ น่า 10.ปรศิ นาคำทายเกย่ี วกบั เชาวป์ ัญญา คำถาม คำตอบ 1.ครอู ะไรใชป้ ากกาด้ามเดียว ? 1. ครวู ันเพ็ญ ( one pen ) 2.โรงเรยี นอะไรมหี อ้ งเรียนอยกู่ ลางถนน 2. โรงเรียนสอนขับรถยนต์ ? 3.ชมรมดนตรไี ทยกลัวชมรมอะไรใน 3. ชมรมจิก๊ ซอว์ โรงเรยี น 4.สัตวอ์ ะไรห้ามอา่ นหนังสือ ? 4. แกะ ( ห้ามแกะอ่าน ตามร้าน หนังสอื ) 5.นมกลอ่ งกับนมของผูห้ ญงิ ตา่ งกนั 5. นมกลอ่ งเจาะก่อนแลว้ ค่อยดูด แตน่ ม ตรงไหน ? ของผหู้ ญงิ ดดู กอ่ นแลว้ คอ่ ยเจาะ 6.หากเจอเหรยี ญ 5 บาทจะทำอย่างไร ? 6.ก็ไปทำแผลนะสิ 7.ถา้ วันนี้เปน็ วนั จันทร์ วันองั คารเป็น 7.วันพรุ่งนี้ วันอะไร ? 8.คนท่มี ขี าขวาเพียงขา้ งเดยี วเรียกวา่ ? 8.คนปกติ ( ใครมขี าขวา 2 ขา้ งกนั ละ ) 9.พรกิ อะไรเอย่ มีมือ ? 9.พริกชฟ้ี ้า

24 10.ชื่ออะไรท่ีโดนขมขืนมากทส่ี ดุ ? 10.ชอ่ื ว่า นามสมมุติ 11.ถา้ สมรักษ์ชกกบั หมา ใครจะชนะ ? 11. หมา เพราะมนั มหี มดั เยอะกวา่ 12.อะไรเอ่ย ย่งิ เดง้ ยง่ิ เด้า ยิง่ เข้า ยิง่ แข็ง 12.คนสูบรถจกั รยาน ? 13.ตู้เยน็ กบั ผู้หญงิ เหมือนกนั ตรงไหน ? 13.มชี อ่ งใส่ไขเ่ หมือนกัน ลกั ษณะขอ้ ความในปริศนาคำทาย 1. ปรศิ นาคำทายทม่ี ีขอ้ ความเพยี งตอนเดียว ปริศนาคำทาย เฉลย ตน้ สีบาทพาดข้างรั้ว ผกั ตำลึง นำ้ อะไรไม่เคยขนึ้ น้ำตก 2. ปริศนาคำทายที่มีข้อความสองตอน เฉลย ปริศนาคำทาย กาฝาก กาไม่ใชก่ าแท้ การอ่ แรเ่ กาะกงิ่ ไม้ ตะไคร้ ต้นเท่าก้อย ใบห้อยถงึ ดิน แตงโม กลง้ิ อยู่บนพนื้ ธรณี สชี มพูอย่ใู นกลมกล้ิง บวั หลวง ตน้ เทา่ เทยี น ใบเท่าถาด ใบบัวใบบอน ฝนตกสิบห่า หลังคาไมเ่ ปยี ก ไผ่ เม่อื เดก็ น่งุ ผ้า เมอ่ื ชราเปลอื ยกาย

25 แก่เรียกห้าว สาวเรียกอ่อน มะพรา้ ว ต้นเท่าเข็ม ใบเต็มแม่นำ้ ผักแว่น ตน้ เท่าเรือ ใบห่อเกลือไมม่ ิด มะขาม ขา้ งนอกสกุ ใส ขา้ งในเปน็ โพรง มะเดือ ต้นเทา่ สายพาน ลูกยานโตงเตง มะระ มีตารอบตวั หัวไว้จกุ สับปะรด ตน้ เท่าแขน ใบแล่นเลยี้ ว อ้อย แม่ชสี าวชาววัง ไมร่ ับสัง่ ไม่ออก ขม้ี กู สามขาเดนิ มา หลงั คามงุ สำลี คนแกถ่ ือไมเ้ ทา้ อยู่ขา้ งหนา้ สดุ ตาแลเหน็ จมกู น้ำบอ่ นอ้ ย คนต้งั ร้อยวดิ ไม่แหง้ น้ำลาย พ่ีนอ้ งทอ้ งเดียว แลเหลยี วไมเ่ หน็ กนั ใบหู อย่ใู นนำ้ เป็นปลา อยู่สขุ ศาลาเป็นคน หมอ เกดิ มามหี างไมม่ ขี า พอโตขึ้นมามีขาไม่มหี าง กบ ข้างบนเหน็บกริช ท้ายปิดเรือยนต์ กุ้ง ตัดหวั ตดั หาง เหลือกลางวาเดียว ความ,กวาง ส่ีตนี เดนิ มา หลงั คามงุ กระเบือ้ ง เตา่ ชอ่ื น่ากลัว ตัวนา่ รัก ผเี สือ้

26 ทุกครงั้ ที่กางขา ต้องอา้ ปากทุกที กรรไกร นางท้าวแขนออ่ น กินกอ่ นพระ ทพั พี มีฟนั มากมาย แต่กินอะไรไมไ่ ด้ มฟี นั มากมาย แต่ หวี กนิ อะไรไม่ได้ สี่ตีนเกาะฝา อา้ ปากกินคน ม้งุ ตัวอยใู่ นนา ตาเกาะฝาบา้ น ตะปู นกกะปูดตาแดง นำ้ แหง้ เกอื บตาย ตะเกยี ง ตาเป็นไฟ ใจเปน็ เหล็ก รถยนต์ เดนิ มาเปน็ แถว กนิ ขา้ วแลว้ หรอื ยัง ตวั หนงั สือ โตเท่าภเู ขา เบานดิ เดียว เมฆ เมื่อจะใชเ้ อาไปทอด เมื่อจะจอดเอาไปท้งิ สมอ สุกเตม็ ต้น เกบ็ กนิ ไม่ได้ แสงแดด สงู เทยี มฟ้า ตำ่ กว่าหญ้านิดเดียว ภเู ขา 3. ปรศิ นาคำทายท่ีมขี อ้ ความสามตอน

27 ปรศิ นาคำทาย เฉลย ห่อผ้าเหลืองอรา่ ม อยู่ในอาราม ไมใ่ ชพ่ ระ ตน้ โพธห์ิ ่อผา้ เดก็ ดำนอนในมงุ้ ขาว เรือนปัน้ หยา หลงั คาเดียว นอ้ ยหนา จะวา่ เจก๊ กไ็ มใ่ ช่ จะวา่ ไทยก็ไม่ผดิ มีหางอยนู่ ดิ ๆ มะพร้าว ใบหยักๆ ลูกรักเต็มตน้ มะละกอกไ็ มใ่ ช่ ตน้ ตาล ไมม่ ีหัว ไม่มีหาง เดินขวางๆรีๆ ปู ชือ่ เหมือนคนตาย มีปกี บนิ ได้ มดี อกไม้เปน็ ทีก่ นิ ผีเสอ้ื ตวั เปน็ ไม้ ฟนั เป็นเหลก็ มะพร้าวใหญเ่ ลก็ กนิ ไม่ กระตา่ ยขูดมะพร้าว เหลอื มลี ูกติดดิน มีตารอบตัว มหี อู ยู่บนหวั แห มาจากอังกฤษ ไม่มีชีวิต แต่พูดได้ วทิ ยุ สกุ ไม่หอม งอมไม่หล่น คนกินไม่ได้ พระจันทร์ คนจับไม่ได้ เพราะไมม่ ีตวั ตน ถา้ มนั จบั คนหนา้ ตา ลม มดื มวั มาจากเมอื งแขก ตีไม่แตก ฟนั ไมเ่ ข้า เงา แกๆ่ นุ่งแดง เดก็ ๆนุ่งขาว สาวๆนุ่งเขยี ว พรกิ ขี้หนู 4. ปรศิ นาคำทายท่มี ีความสี่ตอน

28 ปริศนาคำทาย เฉลย สุกไมห่ อม งอมไม่หลน่ แห้งคาตน้ คนกนิ ได้ ขา้ วโพด ตน้ เทา่ นิว้ กอ้ ย ใบยอ้ ยถงึ ดนิ เดก็ เกบ็ มากนิ พริก รอ้ งใหร้ ำ่ ไร ผ่าไม้ผุ ทะลไุ ม้แก่น ถึงแท่นดินสอ ถงึ บ่อนำ้ มะพรา้ ว ใส ไม่มเี มีย ไม่มลี กู ไม่มีขา้ วปลกู แต่มีขา้ วกิน พระ มหี ูสองหู มขี าสองขา เวรหนักหนา เอาขา ปน่ิ โต แยงหู มหี าง มีปาก มตี า กินปลาเป็นอาหาร แห 5. ปรศิ นาคำทายทีม่ คี ำทายและคำตอบหลายอยา่ งมารวมกนั ปริศนาคำทาย เฉลย สุกเหมอื นดาว ขาวเหมอื นฟา้ ดำเหมอื นกา มะปราง , มะไฟ , มะเกลอื , ดา่ ไม่ฟัง มะดนั ผักหน่ึงอย่หู นอง ผกั สองอยู่วัด ผักสามอย่ปู า่ ผักเปด็ , ผักชี , ผกั กระสัง , ชา้ ผกั ส่อี ย่นู า ผักแว่น 6. ปริศนาคำทายทีม่ ีข้อความเป็นสว่ นหนึ่งของคำกลอน

29 ปริศนาคำทาย เฉลย สมอเรอื เม่อื จะใชเ้ อาไปทอด เมือ่ จะจอดเอาไปทงิ้ ว่าว ต้นเป็นสายยาวดูเป็นเส้น ดอกหางเหน็ เลน่ บนเวหา

30 บรรณานุกรม ๑. กรมศิลปากร. พื้นอีสาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมการศาสนา, ๒๕๓๑. ๒. ผญา ภูมปิ ัญญาอสี าน (๒๕๕๙, ๔ มถิ นุ ายน ) [ออนไลน์] เข้าถงึ ไดจ้ าก : https://www.mcu.ac.th/article/detail/465 ( วันทส่ี ืบคน้ : ๑ มนี าคม ๒๕๖๔ ) ๓. สำนกั งานส่งเสรมิ ศิลปวฒั นธรรม. มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . พิมพ์กวีศรอี ีสาน ดร. พิมพ์ รตั นคณุ สาส์น. ขอนแก่น, ๒๕๔๐. ๔. อดศิ ร เพียงเกษ. หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาเร่ืองบาป-บุญ ทป่ี รากฏในผญาอสี าน. วทิ ยานิพนธพ์ ุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑติ วิทยาลยั . มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๔ ๕. สำนักงานราชบณั ฑติ ยสภา. \"คำผวน (๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓)\". สบื ค้นเม่ือ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook