กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนศรวี ิชยั วทิ ยา “เกรด็ ความรู้ คู่ภาษาไทย”
“สวสั ด”ี ท่ีมาเป็นอย่างไร ผูท้ ี่รเิ ริ่มใช้คำว่ำ “สวัสด”ี คอื พระยำอุปกิตศิลปสำร (น่ิม กำญจนำชีวะ) โดย พิจำรณำมำจำกศัพท์ “โสตถิ” ในภำษำบำลี หรือ “สวัสติ” ในภำษำสันสกฤต โดยได้ เร่ิมใช้เป็นคร้ังแรก ณ คณะอักษรศำสตร์ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย ขณะท่ีพระยำ อุปกิตศิลปสำร (น่ิม กำญจนำชีวะ) เป็นอำจำรย์อยู่ท่ีน่ัน หลังจำกน้ัน ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ จอมพล ป.พิบูลสงครำม นำยกรัฐมนตรีในสมัยนั้นเห็นชอบให้ใช้คำว่ำ “สวสั ดี” เป็นคำทกั ทำยอย่ำงเปน็ ทำงกำรต้งั แต่วนั ที่ ๒๒ มกรำคม ๒๔๘๖ เป็นตน้ มำ “สวัสดี” เป็นภำษำสันสกฤต มำจำกคำว่ำ “สุ” เป็นคำอุปสรรค แปลว่ำ ดี งำม หรือ ง่ำย และคำว่ำ “อสฺติ” เป็นคำกิริยำแปลว่ำ มี แผลงคำว่ำ “สุ” เป็น “สว” (สฺวะ) ไดโ้ ดยเอำ “อ”ุ เปน็ “โอ” เอำ “โอ” เป็น “สฺว” ตำมหลักไวยำกรณ์ แล้วสนธิกับคำว่ำ “อสฺติ” เป็น “สวสฺติ” อ่ำนว่ำ สะ-วัด-ติ แปลว่ำ “ขอควำมดีควำมงำมจงมี (แก่ท่ำน)” พระยำอุปกิตศิลปสำร (น่ิม กำญจนำชีวะ) ได้ปรับเสียงของคำว่ำ “สวสฺติ” ท่ี ทำ่ นได้สรำ้ งสรรค์ขึน้ ให้งำ่ ยต่อกำรออกเสียงของคนไทย จำกคำสระเสียงส้ัน (รัสสระ) ซ่ึงเป็นคำตำย มำเป็นคำสระเสียงยำว (ทีฆสระ) ซึ่งเป็นคำเป็น ทำให้ฟังไพเรำะ ร่ืนหู กว่ำ จึงกลำยเป็น “สวัสดี” ใช้เป็นคำทักทำยที่ไพเรำะและส่ือควำมหมำยดี ๆ ต่อกัน ของคนไทย ส่วนคำว่ำ “รำตรีสวัสด์ิ” ซ่ึงเป็นคำแปลจำกคำว่ำ “good night” ซ่ึงเป็น คำลำในภำษำอังกฤษ ได้ถูกสรำ้ งข้นึ ในสมัยของจอมพล ป.พิบลู สงครำม เช่นกัน ท่ีมำ https://iruksthai.wordpress.com
คะ กบั ค่ะ ตา่ งกันอย่างไร บำงคนอำจจะสับสนว่ำ กำรใช้คำว่ำ \"ค่ะ\" กับ \"คะ\" ใช้ต่ำงกันอย่ำงไร ซึ่งถ้ำใน ภำษำพูดน้นั ส่วนใหญก่ จ็ ะใช้กันถูกต้องอยู่แล้ว แต่บำงทีในกำรพิมพ์หรือเขียนออกมำ เปน็ ภำษำเขียนก็ยังมผี ดิ พลำดกนั อยบู่ ้ำง ไม่เฉพำะแค่เดก็ ๆ เท่ำนั้น จรงิ ๆ แล้วเร่ืองนี้ ต้องอ้ำงอิงจำกหนังสือ ภำษำไทยเรื่องกำรผันวรรณยุกต์ ซ่ึงบำงคนอำจจะเคยเรียน เมอ่ื นำนมำแล้ว แตพ่ อนำน ๆ เขำ้ ก็ลืม คำว่ำ \"ค่ะ\" (อกั ษรค่เู สียงต่ำ รูปวรรณยุกต์เอก เสียงวรรณยุกต์โท) เป็นคำลง ทำ้ ยสำหรับสตรใี ชใ้ น คำบอกเลำ่ หรอื กำรตอบรับ เพือ่ ใหเ้ กิดควำมสุภำพ เช่น \"สวัสดี ค่ะ\" \"ใช่ค่ะ\" สว่ นคำวำ่ \"คะ\" (อักษรคู่เสยี งต่ำ รปู วรรณยุกต์สำมัญ เสียงวรรณยุกต์ตรี) ใช้ ลงท้ำยคำถำม หรือกำรแสดงควำมสงสยั หรือควำมไม่แน่ใจค่ะ เช่น \"สบำยดีไหมคะ?\" \"อำจำรย์คะ\" \"ทำนอะไรรยึ ังคะ?\" ส่วน \"นะคะ\" จะใช้กับประโยคบอกเล่ำได้เหมือนกัน เช่น \"ขอบคุณค่ะท่ี อุดหนนุ \" หรือ \"ขอบคณุ นะคะที่อดุ หนนุ \" \"ยนิ ดดี ว้ ยนะคะ\" แต่คำว่ำ \"น่ะคะ\" หรือ \"นะ คะ่ \" ทคี่ นชอบใช้กนั ผดิ ๆ ไมม่ ใี นภำษำไทยนะคะ ที่มำ banprak-nfe.com
กริยา กบั กริ ยิ า คำวำ่ กรยิ ำ กบั กิริยำ เปน็ คำทม่ี รี ูปเขยี นใกลเ้ คียงกนั และออกเสียง ใกล้เคียง กนั จึงทำให้ผู้ใช้ภำษำเข้ำใจว่ำ ๒ คำดังกล่ำวสำมำรถใช้แทนกันได้เหมือนคำว่ำ ภรรยำ กับ ภริยำ หรือคำว่ำ ปกติ กับ ปรกติ ด้วยเหตุนี้ เพื่อมิให้ผู้อ่ำนสับสนเมื่อจะนำคำว่ำ กรยิ ำ กบั กริ ิยำ ไปใช้ คำว่ำ กริยำ หมำยถึง คำที่แสดงอำกำรของนำมหรือสรรพนำม อ่ำนได้ ๒ แบบ คือ กฺริ-ยำ และ กะ-ริ-ยำ มำจำกคำว่ำ กฺริยำ ในภำษำสันสกฤต เป็น คำที่ใช้ใน ไวยำกรณ์ แบ่งออกเป็นหลำยประเภท เช่น กริยำนุเครำะห์ หรือ กริยำช่วย หมำยถึง กริยำที่ใช้ช่วยกริยำอื่น เช่น คง จะ ถูก น่ำ กริยำวิเศษณ์ หมำยถึง คำวิเศษณ์ใช้ ประกอบคำกรยิ ำหรือคำวิเศษณด์ ้วยกนั ให้มีควำมแปลกออกไป ส่วนคำว่ำ กิริยำ น้ัน แม้จะมีรูปเขียนและกำรออกเสียงที่ใกล้เคียงกัน แต่ใช้ใน ควำมหมำยท่ีตำ่ งกนั โดยหมำยถงึ กำรกระทำ อำกำรท่ีแสดงออกมำด้วยกำย มำรยำท มำจำกคำว่ำ กิริยำ ในภำษำบำลี มักพบใช้ในคำว่ำ มีกิริยำ หมำยถึง มีกิริยำดี อำกัปกิริยำ หมำยถึง กิริยำท่ำทำง กิริยำมำรยำท หมำยถึง กิริยำวำจำที่ถือว่ำสุภำพ เรียบร้อยถูกกำลเทศะ เปน็ ต้น ทมี่ ำ http://www.royin.go.th
ทาไมถึงเรียก ร้อนตับแตก ทุกวันนี้โลกร้อนข้ึนมำกเหลือเกิน บำงครั้งหนึ่งวันมีถึง ๓ ฤดูก็มี เดำไม่ถูกเลยว่ำ พร่งุ น้ีอำกำศจะเปน็ อยำ่ งไร ในวนั ท่อี ำกำศร้อนมำก ๆ เรำมักจะได้ยินคำ ๆ หน่ึง ที่ติดปำก คนไทยมำชำ้ นำน นน่ั กค็ อื คำว่ำ \"รอ้ นตับแตก\" คำน้มี ำจำกไหนนะ ทำไมถึงต้องพดู อย่ำงน้ี คำว่ำร้อนตับแตกนี้ไม่ได้หมำยถึง ตับที่เป็นอวัยวะเคร่ืองในของเรำนะ แต่มัน หมำยถึง ใบจำก ท่ีเรำใช้มุงหลังคำบ้ำน ซึ่งเม่ือเวลำตอนท่ีมันโดนแดดจัด ๆ ร้อนจนร้อน มำก ๆ ใบจำกที่ถูกเย็บเรียงติด ๆ กัน (เรียกว่ำตับ) มันจะแตก หรือโก่งตัวเบียดกัน ระหว่ำงใบในตบั จนเกิดเสยี งดังเปรี๊ย ๆ จนเรำสำมำรถได้ยินได้ (อันน้ีคำดว่ำน่ำจะเป็นใบ จำกท่ีใบหนำมำก ๆ หรือแก่จัดและแห้งมำก ๆ) จนคนสมัยโบรำณ เอำมำเป็น Indicator ว่ำถ้ำวันไหนได้ยินหรือรู้ได้ว่ำ ตับจำกท่ีมุงหลังคำบ้ำน \"แตก\" เม่ือไหร่ วันน้ันเรำจะถือว่ำ รอ้ น มำก ๆ ร้อนจน \"ตับแตก\" \"ตบั จำก\" ที่ใช้มงุ หลังคำ เป็นสง่ิ ท่ีเปรยี บเทยี บ \"ร้อนตับแตก\" น่นั เอง ทมี่ ำ ภำษำมหำสนกุ และเซยี นภำษำไทยไขขอ้ ข้องใจ
เดก็ ไมเ่ อาถ่าน คาน้มี ที ี่มาจากอะไร? เด็กท่ีวัน ๆ เอำแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่ำนหนังสือเรียน กำรบ้ำนไม่ทำ งำนบ้ำนก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทำนอำหำรแล้วไม่รู้จักล้ำงจำนชำม เหล่ำน้ลี ้วนเป็นตวั อย่ำงพฤติกรรมของ “เดก็ ไม่เอำถ่ำน” ทำไมจึงเรียก “เด็กไม่เอำถ่ำน” คำดกันว่ำคำนี้มีที่มำจำกคำเดิม คือ “เหล็กไม่ เอำถ่ำน” เพรำะในสมัยก่อนน้ัน กำรหลอมเหล็กหรือตีอำวุธจำกเหล็กให้แข็งแกร่งน้ัน จำเปน็ ตอ้ งใช้ถ่ำนในกำรกอ่ เปลวไฟจนลุกโชน เพอื่ ให้ควำมร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่ำนหรือ คำร์บอนจะแทรกตัวเข้ำไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจำกกำรถลุง ถ้ำเหล็กไม่มีถ่ำนผสมอยู่ เลย เหล็กน้ันจะมีคุณภำพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอท่ีจะเรียกว่ำ เหล็กกล้ำ แต่หำก มมี ำกเกินไปจะทำใหเ้ หล็กเปรำะ เหล็กท่ีดีควรมีคำร์บอนเข้ำไปผสมอยู่ประมำณ ๐.๑ – ๑.๘ % ช่ำงตีอำวุธจำกเหล็กในสมัยโบรำณ จำเป็นต้องคิดค้นหำกลวิธี เพ่ือขจัดปัญหำ ดำบหัก เพรำะแสดงถึงกรรมวิธีกำรผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอำถ่ำน จนกลำยเป็น คำพูดติดปำก เปรยี บเทียบนสิ ยั คนกบั อำวุธว่ำ “เหลก็ ไมเ่ อำถำ่ น” ทมี่ ำ https://www.bloggang.com
ทม่ี าของสานวนไทย \"ควนั หลง“ สำนวนไทยคำว่ำ \"ควันหลง\" เป็นสำนวนที่ได้มำจำกวงนักเลงสูบฝ่ินหรือ กัญชำ เพรำะพวกนี้จะเข้ำใจคำว่ำ \"ควันหลง\" เป็นอย่ำงดีที่สุด หมำยควำมถึง ควัน ทหี่ ลงเหลืออยใู่ นบ้องกัญชำหรือกล้องสูบฝ่ิน ภำยหลังท่ีสบู แล้ว คนทไี่ ม่เคยสูบเม่ือได้ เห็นเข้ำก็มักอยำกลองสูบ หรือลองดูดดูว่ำจะมีรสชำติเป็นฉันใด คร้ันดูดดูเล่น ๆ นึกว่ำเป็นกล้องเปล่ำ แต่กลำยเป็นอัดเอำควันหลงเข้ำไปเต็มปอด เพรำะยังเหลือค้ำง ในกล้อง จะเกิดควำมมนึ เมำขน้ึ ทันทที ันควัน ในทำงสำนวน หมำยถึง ผู้ท่ีไม่ได้เป็นตัวกำร แต่พลอยถูกกระเส็นกระสำย ในเร่ืองรำ้ ย ๆ ที่เขำก่อกันขึ้นไว้เป็นกำรใหญ่ แล้วพลอยถูกเกำะกุมตัวไปด้วยภำยหลัง โดยสำนวนจงึ หมำยถงึ วำ่ ผนู้ น้ั โดนเอำควนั หลงเข้ำใหแ้ ล้ว ทีม่ ำ ปัญหำสอบเชำวน์ และ ควำมรรู้ อบตวั โดย ชำลี เอีย่ มกระสินธ์ุ
ที่มาของคาว่า ขึ้นคาน \"ขึ้นคำน\" เป็นสำนวน หมำยควำมถึงหญิงท่ีมีอำยุเลยวัยสำวแล้วแต่ยังไม่ได้ แต่งงำน เปน็ คำทม่ี ีนัยตำหนิ เพรำะแต่โบรำณมำนิยมให้ผู้หญิงแต่งงำนเพื่อให้มีผู้ดูแลและ ปอ้ งกันภัย ไมโ่ ดดเดี่ยว คร้ังอดีต วิถีไทยใกล้ชิดแม่น้ำลำคลอง บ้ำนเรือนส่วนใหญ่หันหน้ำหำสำยน้ำมีเรือ เป็นพำหนะสำคัญพำสัญจรไปมำ ครั้นเมื่อใช้นำนเข้ำเรือมีอันเกิดชำรุดเสียหำยต้องซ่อม ยำมจะซ่อมต้องยกข้ึนมำบนบกซึ่งทำท่ีรับเรือรอไว้แล้ว ท่ีรับเรือน้ันเรียกว่ำ \"คำน“ อำศัย อรรถำธิบำยจำกขุนวิจิตรมำตรำ ปรำชญ์ภำษำไทย ท่ำนว่ำ สำนวน \"ขึ้นคำน\" มำจำกเรียก เรอื ท่ยี กขึ้นพำดไวบ้ นคำนเพื่อซ่อมรอยร่ัว ยำชัน ทำน้ำมันใหม่ ในตอนน้ันเรือใช้ประโยชน์ ไมไ่ ด้ ค้ำงเตง่ิ อยู่บนคำน เรยี กว่ำข้นึ คำน ตอ่ มำจึงนำคำวำ่ ขน้ึ คำน เป็นสำนวนเรียกสตรีผู้ถึงวัยมีลูกมีผัวแล้วแต่ยังเล่นเน้ือ เล่นตัว ไม่ยอมตกล่องปล่องช้ินมีคู่เสียที จึงถูกนำไปเปรียบเทียบกับเรือ ถ้ำเรือร่ัวหรือ ชำรุดเสียหำย เจ้ำของนำข้ึนมำซ่อมบนบก ก็ต้องทำคำนสำหรับรองเรือไว้ เรือท่ีขึ้นคำนจึง อยู่ห่ำงน้ำ เมื่อเรือห่ำงน้ำก็เหมือนเสือห่ำงป่ำจะมีคุณค่ำอันใดคนไทยแต่โบรำณ จึงนำเอำ คำวำ่ ขน้ึ คำนมำนยิ ำมหญงิ ทย่ี ังไม่แตง่ งำนจนลว่ งเลยวัยสำวไปแลว้ นัน่ เอง ทีม่ ำ สนกุ ! กูรู
๑๘ มงกุฎ คานีม้ ีที่มาอย่างไร หำกพดู ถึง ๑๘ มงกุฎ หลำยคน คงนกึ ถึงพวกนักหลอกต้มตนุ๋ แต่กอ่ นท่ี คำว่ำ ๑๘ มงกฎุ จะมีควำมหมำยในทำงไม่ดี น้ี ในอดีตคำนี้หมำยถึงอะไรกนั นะ แลว้ มันมที ่มี ำของคำยงั ไง คำว่ำ๑๘ มงกุฎ ในอดีต หมำยถึง วำนร ๑๘ มงกุฎ เป็นวำนรท่ีมำจำกสองเมือง คอื ๑. เมอื งขีดขินของสคุ รพี และ ๒. เมืองชมพูของท้ำวมหำชมพู วำนรสิบแปดมงกุฏน้ีแต่ เดิมก็คือเทวดำ ๑๘ องค์ ที่อำสำมำช่วยพระนำรำยณ์ตอนอวตำรมำเป็นพระรำมนั้นเอง วำนรทงั้ ๑๘ ตน มีรำยนำมดงั น้ี ๑. เกยูร ๒. โกมทุ ๓. ไชยำมพวำน ๔. มำลนุ ทเกสร ๕. วิมลวำนร ๖. ไวยบุตร ๗. สตั พลี ๘. สุรกำนต์ ๙. สรุ เสน ๑๐. นิลขนั ๑๑. นลิ ปำนนั ๑๒. นลิ ปำสนั ๑๓. นิลรำช ๑๔. นิลเอก ๑๕.วิสันตรำวี ๑๖. กุมิตนั ๑๗. เกสรทมำลำ ๑๘. มำยูร มูลเหตุที่ทำให้คำว่ำ \"สิบแปดมงกุฎ\" กลำยควำมหมำยมำเป็นคำไม่ดี มีท่ีมำจำก เหตุกำรณ์ในสมัยรัชกำลที่ ๖ ได้มีกลุ่มนักเลงกำรพนันใหญ่ที่ถือว่ำมีช่ือเสียงโด่งดังใน ยุคนั้น ตำมร่ำงกำยจะนิยมสักรูปมงกุฎ จนเป็นที่มำของสำนวน \"สิบแปดมงกุฎ“ ในทำง ร้ำย ทีห่ มำยถงึ พวกนักเลงกำรพนัน พวกที่มีเล่ห์เหล่ียมกลโกง นักต้มตุ๋น ซ่ึงพลอยทำให้ ช่ือเสียงเกียรติคุณดี ๆ ของวำนรสิบแปดมงกุฎ (เทวดำ) เลือนหำยไป และกลำยควำมไป ในท่สี ุด ในหนังสือ \"สำนวนไทย\" ของ ขุนวิจิตรมำตรำ (สง่ำ กำญจนำคพันธ์) เขียนไว้ว่ำ สิบแปดมงกุฎ นำมำใช้เป็นสำนวนในสมัยพระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่หัว เมื่อ มีนักเลงกำรพนันใหญ่ลือช่ือพวกหนึ่ง กล่ำวกันว่ำเป็นนักเลงช้ันยอด สักตำมตัวเป็นรูป มงกุฎ จึงเรียกว่ำ สิบแปดมงกุฎ ตำมเร่ืองรำวในรำมเกียรต์ิ จำกน้ันถ้ำใครเป็นนักเลง กำรพนันก็เลยเรียกว่ำ สิบแปดมงกุฎ ปัจจุบันสิบแปดมงกุฎมิใช่สำนวนท่ีใช้เรียกพวก นักเลงพนันเท่ำนั้น แต่ใช้เรียกพวกมิจฉำชีพทั้งหลำย เป็นสำนวนที่พบเห็นบ่อยมำกตำม ส่อื มวลชนต่ำง ๆ ซ่ิงมีควำมหมำยถึงพวกท่ียักยอก ต้มตุ๋น หลอกลวงให้ผู้อ่ืนหลงเช่ือแล้ว ยักยำ้ ยถ่ำยเททรัพย์สนิ ผอู้ ื่นมำเป็นของตน ทมี่ ำ สนกุ ! กรู ู
คาวา่ รับประทานอาหาร กับความหมายท่แี ท้จรงิ ทุกวันน้ีคำว่ำ \"รับประทาน \" ถูกบรรจุเอำไว้ในพจนำนุกรมภำษำไทย แปลว่ำ \"กิน\" ในระดับภำษำของ \"คาสุภาพ\" แต่จริง ๆ แล้วท่ีมำที่ไปของคำ ๆ นี้ ไม่ได้ มีรำกศัพท์ใด ๆ เกี่ยวกับกำรกินเลยแม้แต่น้อย คาว่ารับประทานน้ัน เป็นกริยำแปลว่ำ รับ (สิ่งใดสิ่งหน่ึง) จำกผู้ใหญ่ช้ันเจ้ำนำย ในอดีตเรำมีเจ้ำนำยหลำยพระองค์ แต่ละ พระองค์ก็จะมีวังซ่ึงต้องมีข้ำรำชบริพำร ข้ำทำสบริวำรเป็นอันมำก และหน้ำที่ของท่ำน เจ้ำของวังอย่ำงหนึ่งก็คือดูแลเลี้ยงดูให้เป็นสุขกันตำมสมควร มีโรงครัวใหญ่โต มีอำหำร เลี้ยง ตำมธรรมเนียมไทยคือนอกจำกแขกไปใครมำจะมีอำหำรเลี้ยงทุกเวลำแล้ว ก็มี อำหำรให้ทุกชีวิตในวังให้อ่ิมถ้วนหน้ำเสมอกัน สำหรับข้ำรำชบริพำรหรือข้ำทำสบริวำรใน วงั นั้น กจ็ ะได้รับควำมเมตตำกรุณำด้ำนอำหำรกำรกิน ไม่ขำดตกบกพร่อง เวลำออกจำก วังไปไหนมำไหนหรือใครถำมว่ำ \"กินข้าวหรือยัง\" ซ่ึงเป็นคำถำมติดปำกคนไทย คำตอบ ท่ีได้รับก็คือ \"ได้รับพระรำชทำนอำหำรมำแล้ว\" หรือ \"ได้รับประทำนอำหำรมำแล้ว\" แล้วแต่ช้ันยศของเจ้ำนำยของวังนั้น ๆ ว่ำจะใช้รำชำศัพท์ระดับไหน ซึ่งคำตอบแบบนี้ สันนิษฐำนว่ำถูกย่อใหเ้ หลอื สัน้ ลงวำ่ \"รบั พระรำชทำนแลว้ \" หรือ \"รับประทำนแล้ว\" จนคา ว่า \"รบั ประทาน\" ถกู กลืนความหมายจากความหมายเดมิ นัยว่า รับประทานอาหารมา กินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลายเป็น \"กิน\" ซึ่งก็เป็นธรรมชำติของภำษำท่ีเกิดขึ้นได้ เพรำะ ภำษำมีกำรเปล่ียนแปลงได้ทำให้ทุกวันนี้ \"รับประทำน\" จึงกลำยเป็นคำสุภำพของคำว่ำ \"กิน\" แต่ทุกวันนี้ \"รับประทำน\" ถูกตัดลงอีกครับ เหลือคำว่ำ \"ทำน\" และคำว่ำ \"ทำนข้ำว\" เป็นคำสภุ ำพท่ีเกดิ ขึน้ และใชแ้ พรห่ ลำยมำก ซงึ่ จรงิ ๆ ผิด เพรำะทำนแปลว่ำ \"กำรให้\" ไม่ได้ เกีย่ วกับกำรกนิ และยงั ไมไ่ ด้มีกำรบญั ญัติในพจนำนุกรมใหม่แต่อย่ำงใด หำกจะใช้คำสุภำพ ต้องใช้คำวำ่ \"รับประทำน\" หรือไมก่ ็ \"กนิ \" ไปเลย ทีม่ ำ truelife.com
ที่มาของคาว่า ok คนส่วนใหญ่ น้อยคนนักท่ีไม่รู้จักคำว่ำ O.K. เรำมักจะได้ยินคนพูดกันติดปำก ไม่ว่ำจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอำยุ ไม่ว่ำวัยใดก็ตำม แต่ทรำบหรือไม่ว่ำ.. คำคำน้ีมี ทม่ี ำอย่ำงไร ? จริง ๆ แล้วท่ีมำของคำนเ้ี ปน็ ทถ่ี กเถียงกนั มำยำวนำน และยังไมม่ ีข้อสรุปอย่ำงแน่ ชัด แต่หน่งึ ในเรื่องรำวที่นิยมกนั คอื เร่ืองน้ี คำว่ำ O.K. มำจำกคำเต็มว่ำ Oll Korrect ซ่ึงท่ีถูกต้องคือ All Correct (แปลว่ำ ถูกต้อง) มีประวัติควำมเป็นมำที่น่ำสนใจจำก พ่อค้ำชำวอเมริกันคนหน่ึง ทุกคร้ังที่เขำ ส่ังงำนลงในใบส่ัง ถ้ำงำนชิ้นใดถูกต้อง ตกลง และอนุมัติ เขำจะ เขียนคำว่ำ Oll Korrect ลงในใบสั่งใบนั้นเสมอ ๆ ต่อมำกิจกำรของพ่อค้ำคนนี้ มีควำมเจริญก้ำวหน้ำ มำก งำนท่ีติดต่อมำก็มีมำกข้ึน ใบสั่งงำนก็มีมำกมำยล้นโต๊ะ กำรที่เขำจะต้องเขียนคำ Oll Korrect ลงในใบสั่งทุกใบทำให้ต้องใช้เวลำมำก เขำจึงย่อเหลือเพียงส้ัน ๆ คำ O.K. ซึ่งมีผล และควำมหมำยเหมือนกัน คำว่ำ \"อนุมัติ\" น่ันเอง และก็เลยมีกำรใช้กัน อย่ำง แพร่หลำย ท้ังภำษำพดู และภำษำเขียน มำกนั จนปัจจบุ ันทวั่ โลกทเี ดียว ท่ี ม ำ blogspot.com
ทม่ี าของคาวา่ กูรู \"กูรู\" คำนี้เรำได้ยินเป็นประจำ แต่น้อยคนนักท่ีจะรู้ว่ำมันมีที่มำอย่ำงไร คำว่ำ กูรู (guru ทับศัพท์ต่ออีกทีจำกภำษำอังกฤษ) มำจำกคำว่ำ คุรุ ในภำษำสันสกฤต หมำยถึง ครู หรือ อำจำรย์ ถ้ำแยกศัพท์ออกมำแล้ว จะมีสองคำ คือ คำว่ำ คุ ซึ่งแปลว่ำ แสงสว่ำง (เป็นผู้ชี้ทำงแสงสว่ำง) และคำว่ำ รุ แปลว่ำ ควำมมืดมน (เป็น ผู้ขจัดควำมเขลำท่ีมืดมน) ในศำสนำพรำหมณ์ฮินดู มำจำกปรัชญำควำมเชื่อ ในควำมสำคัญของกำรเข้ำถึงควำมรู้ โดยมี คุรุ หรือ อำจำรย์เป็นผู้ชักนำไปสู่จุดสูงสุด ในประเทศอินเดียในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่นับถือศำสนำฮินดู และซิกข์ คำ คุรุ นี้ยังคง ควำมหมำยของควำมศักด์สิ ิทธ์ิ เชน่ ครุ นุ ำนกั ครุ ปุ ัทมสัมภวะ คุรุนำคำรชุน คำว่ำ คุรุ มีกำรทบั ศัพท์เปน็ ภำษำอังกฤษ โดยสะกดว่ำ \"guru\" ซงึ่ หำกทับศัพท์ มำใช้ในภำษำไทย ก็จะต้องเขียน \"คุรุ\" ซ่ึงมีศัพท์นี้อยู่แล้วในภำษำไทย เช่น คุรุสภำ, คุรุศึกษำ เป็นต้น (ในภำษำบำลีใช้ \"ครุ\" เช่น ครุศำสตร์, ครุภัณฑ์) อย่ำงไรก็ตำม ในปัจจุบันมีควำมนิยมใช้คำว่ำ คุรุ นี้ในเชิงกำรบริหำรและกำรศึกษำ หมำยถึง ผ้เู ชี่ยวชำญเฉพำะด้ำนในสำขำน้นั ๆ คุรุ ในภำษำสันสกฤต น้ันยังใช้หมำยถึง พฤหัสบดี ซึ่งเป็นเทพเจ้ำองค์หน่ึง ซ่ึงตรงกับเทพเจ้ำจูปิเตอร์ของชำวโรมันน่ันเอง ตำมควำมเชื่อในศำสนำฮินดูนั้น ดำวจูปีเตอร์/คุรุ/พฤหัสบดี ถือว่ำเป็นดำวท่ีมีอิทธิพลต่อกำรเรียนรู้ ในภำษำต่ำง ๆ ของอินเดีย คำว่ำ พฤหัสปติวำร (วันพฤหัสบดี) จะเรียกอีกอย่ำงหนึ่งว่ำ คุรุวำร (วันคุรุ) โดย วำร นั้นหมำยถึงวันคุรุ ในอินเดียในทุกวันนี้ใช้ในควำมหมำยท่ัวไป หมำยถงึ \"ครู\" ในประเทศตะวันตก คุรุ ยังใช้ในควำมหมำยท่ีกว้ำงขึ้น หมำยถึง บุคคล ที่เผยแพร่ศำสนำ หรือ กลุ่มควำมเช่ือตำมปรัชญำต่ำง ๆ คำนี้ยังใช้ในควำมหมำยเชิง อุปมำ หมำยถึงบุคคลผู้ซ่ึงอยู่ในสถำนะที่เช่ือถือได้ เนื่องมำจำกควำมรู้ และ ควำมชำนำญ ทเี่ ปน็ ทป่ี ระจกั ษ์และยอมรับ
ส้มตาทาไมไมเ่ รยี กมะละกอตา ส้มตำ.. ทำจำกมะละกอแท้ ๆ ทำไมไม่เรยี กมะละกอตำกนั นะ ? ส้มตำอำหำรจำนเด็ด สำหรับผู้นิยมอำหำรรสแซ่บ และยังได้รับควำมนิยมใน หมู่ชำวต่ำงชำติ จนกลำยเป็นอำหำรประจำชำติไปแล้ว คำว่ำ \"ส้มตำ\" เป็นภำษำถ่ิน มำจำกคำว่ำ \"ส้ม\" มีควำมหมำยว่ำรสเปรี้ยว ส่วนคำว่ำ \"ตำ\" เป็นกริยำ หมำยถึง กำรทำให้แหลกโดยอุปกรณ์เฉพำะท่ีเรียกว่ำ \"สำก\" คำว่ำ \"ส้มตำ\" จึงหมำยถึง อำหำร รสเปรย้ี วทีผ่ ำ่ นกำรตำ ส้มตำจัดเป็นอำหำรกลุ่มเดียวกับสลัด โดย จะนำผัก และผลไม้ มำผสม รวมกัน แล้วคลุกให้เข้ำกันด้วยกำรตำ ส่วนมำกจะใช้มะละกอดิบ มำตำในครกกับ มะเขือเทศ ถั่วลิสงค่ัว กุ้งแห้ง พริก และกระเทียม แล้วปรุงรสด้วย น้ำตำลปี๊บ นำ้ ปลำ มะนำว เน้นรสเปร้ียวและเผ็ด ทั่วไปนิยมทำนคู่กับข้ำวเหนียวและไก่ย่ำง โดย มกี ระหลำ่ ปลี หรอื ถ่ัวฝักยำว เปน็ เครอ่ื งเคียง คนท่ัวไปมักเข้ำใจว่ำ \"ส้มตำ\" เป็นอำหำรพื้นเมืองของภำคอีสำน หรือของ ประเทศลำว แต่แท้จริงแล้ว ส้มตำถือเป็นอำหำรสมัยใหม่ ท่ีถือกำเนิดมำรำว 40 ปี เท่ำนั้น เนื่องจำกมะละกอ เป็นพืชนำเข้ำมำจำกประเทศมำเลเซีย ในช่วงสงครำม เวียดนำม ซึง่ เวลำนน้ั สหรัฐอเมรกิ ำได้เขำ้ มำตง้ั ฐำนทัพในประเทศไทย และได้มีกำรตัด ถนนมิตรภำพ เพ่ือใช้ในกำรลำเลียงยุทโธปกรณ์ต่ำง ๆ พร้อมท้ังได้นำเมล็ดพันธุ์ มะละกอ ไปปลูกทั้งสองข้ำงถนนมิตรภำพ ด้วยเหตุน้ี มะละกอจึงได้เดินทำงเข้ำสู่ภำค อสี ำน และเกิดเป็นอำหำรจำนเดด็ อย่ำง \"ส้มตำ\" ข้นึ ที่มำ สนุก! กูรู
ทาไมคนต่างชาติ ถึงถกู เรียกวา่ ฝร่ัง \"ฝร่ัง\" เป็นคำเรียกติดปำกของคนไทยที่เรียกชำวต่ำงชำติ จริง ๆ แล้วคำว่ำ ฝรั่ง เค้ำว่ำกันว่ำพวกแขกโซนอำหรับเป็นผู้เรียกก่อนใครเพ่ือน เพรำะเค้ำได้ติดต่อ สมำคมกับพวกฝรง่ั มำนำนแล้ว พวกเคำ้ จะเรียกชำวต่ำงชำตกิ ันวำ่ \"แฟรงก์\" สำเหตทุ ี่เรียกอยำ่ งน้กี ็เพรำะว่ำ แฟรงก์ เป็นชื่อของชำวยุโรปโบรำณที่มีชื่อเสียง มำก ชำวแขกก็เลยเหมำรวมเรียกชำวต่ำงชำติว่ำ แฟรงก์ กันหมด แต่ไหงไม่รู้อีท่ำไหน พออิมพอร์ตเข้ำมำเมืองไทยในสมัยอยุธยำสำเนียงถึงเพ้ียน จำกแฟรงก์ เป็นฝำรั่ง หรือ ฝรง่ั ซึง่ เรียกเพ้ยี นตอ่ ๆ กันมำตำมควำมถนดั ของล้ินอีกทอดหนงึ่ ทีม่ ำ blogspot.com
ความหมายของคาว่า “บาง” ควำมหมำยของคำว่ำ “บำง” ในพจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. ๒๕๔๒ คือ ทำงน้ำเล็ก ๆ ทำงน้ำเล็กท่ีไหลข้ึนลงตำมระดับน้ำในแม่น้ำ ลำคลอง หรือ ทะเล ตำบลบ้ำนที่อยู่ หรือเคยอยู่ริมบำง หรือในบริเวณที่เคยเป็นบำงมำก่อน แต่มี กำรสันนิษฐำนว่ำ “บำง” อำจกลำยเสียงมำจำกคำว่ำ “บัง” ในภำษำมอญ หมำยถึง เรือ แล้วนำมำใชใ้ นควำมหมำยว่ำ ย่ำนหรือสถำนท่ีจอดและข้ึนลงเรือ รวมไปถึงชุมชน ที่อยโู่ ดยรอบ เชน่ บำงโพ บำงปลำ บำงกอก เปน็ ต้น ดังน้ัน “บำง” อำจหมำยถึงสถำนท่ี หรือชุมชนใดชุมชนหนึ่งท่ีน่ำจะมีลำคลอง แม่น้ำ หรือทำงน้ำพำดผ่ำน หรือส้ินสุดลง กลำยเป็นย่ำนชุมชนท่ีมีผู้คนอยู่รวมกัน มีกำรแลกเปลี่ยน ทำมำหำกิน ค้ำขำย และในย่ำนน้ัน มักจะมีท่ำเรือให้คนในและนอก ใช้จอดเรอื เพ่อื ร่วมสงั สรรค์กนั ได้อย่ำงสะดวก ในกำรใช้คำว่ำ “บำง” เป็นชื่อต้นของชุมชน จึงมักหมำยถึงแหล่งท่ีมีทำงน้ำ หรือมีท่ำเรือซ่ึงมีเรือจอดอยู่เสมอ ขณะเดียวกันหำกพ้ืนท่ีน้ันมีสิ่งใดท่ีโดดเด่นแล้ว ชำวบำ้ นมกั นำชื่อของส่ิงน้ันมำตั้งเป็นชุมชนต่อท้ำยคำว่ำ บำง ของตนเอง เช่น บำงกะปิ บำงขนุ พรหม บำงรัก ท่ีมำ หนังสือ ๑๐๐ ปี เขตบำงกะปิ
ห ลั ก เ ก ณ ฑ์ ใ น ก า ร ตั ด สิ น ว่ า ศั พ ท์ ค า ไ ห น ค ว ร บ ร ร จุ ไ ว้ ใ น พจนานกุ รม พจนำนุกรมท่ีผ่ำนกำรศึกษำวิจัยมำอย่ำงถ่ีถ้วน เป็นผลิตผลจำกกำรอ่ำน หนังสือมำกมำย คนอำ่ นจะต้องคอยติดตำมนติ ยสำร หนังสอื หนังสอื พมิ พ์ และแม้แต่ รำยกำรอำหำรในภัตตำคำรกับแค็ตตำล็อก วัตถุประสงค์ก็เพื่อหำคำสองประเภท คือ คำใหม่เอี่ยม เช่น blog หมำยถึงเว็บไซต์ส่วนตัว หรือคำท่ีมีอยู่แล้วแต่ถูกนำไปใช้ใน ควำมหมำยใหม่ เชน่ cougar หมำยถึง ผหู้ ญงิ ทคี่ วงกับชำยหนมุ่ อำยุน้อยกว่ำ แคทเทอรีน บำร์เบอร์ บรรณำธิกำรอำนวยกำรของ Canadian Oxford Dictionary กล่ำวว่ำ “ข้อควำมที่มีคำทั้งสองประเภทนี้อยู่ จะถูกรวบรวมไว้ใน ฐำนข้อมูลขนำดใหญ่ เม่ือเห็นว่ำคำนั้นปรำกฏอยู่ซ้ำ ๆ คณะบรรณำธิกำรก็จะพิจำรณำ ว่ำควรบรรจุคำคำน้ันไว้ในพจนำนุกรมหรือไม่ ถ้ำถำมว่ำ.. ต้องปรำกฏซ้ำบ่อยแค่ไหน อนั น้ีต้องขน้ึ อยู่กับขนำดของพจนำนกุ รม หลักทั่วไป คือ ปรำกฏอยู่ในข้อควำม ๑๕ คร้ังจำกแหล่งข้อมูลท่ีแตกต่ำงกัน ๑๕ แหล่ง และมีระยะเวลำประมำณ ๕ ปี ด้วยเหตุนี้ เรำจึงเล่ียงศัพท์ประเภท คำคะนอง ซึ่งคน ๆ เดียวใช้อยู่ประเด๋ียวประด๋ำวกับศัพท์วูบวำบตำมสมัย เช่น tofukey มำจำกคำว่ำ tofu (เต้ำหู้) กับ turkey (ไก่งวง) หมำยถึง เต้ำหู้ท่ีนำไปใช้ แทนเน้ือไก่งวงเวลำทำอำหำรมังสวิรัติ อย่ำงไรก็ตำม ในกำรจัดทำครั้งต่อไปคำว่ำ tofukey อำจถูกบรรจุไว้ก็ได้ หลักเกณฑ์เหล่ำนี้ช่วยให้ตัดสินได้ว่ำคำไหนควรจะ กลำยเปน็ คำสำมัญในภำษำของเรำต่อไป” ที่มำ คอลัมน์ สงสัยจริง นิตยสำร สรรสำระ Reader ‘s Digest
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรยี นศรวี ิชัยวทิ ยา เรียนรเู้ พม่ิ เตมิ
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: