Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร

การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร

Published by Reading Room, 2021-08-10 03:56:01

Description: กลุ่ม 7 การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร

Search

Read the Text Version

ช่ือโครงการวจิ ยั การปรบั ตวั ตอ่ การเรียนแบบออนไลน์ของนสิ ติ หลักสูตรพยาบาลศาสตร ชือ่ คณะผ้วู ิจัย บณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร The Adjustment to Online learning of the Bachelor Nursing Students, Naresuan University 1. ชลลดา คาเสาร์ รหสั นสิ ติ 61560275 2. นฤพร ปฐั วี รหสั นสิ ิต 61560602 3. ธญั พสิ ษิ ฐ์ แทง่ ทอง รหสั นิสติ 61560503 4. พลอยไพลิน อินทร์น้อย รหัสนสิ ิต 61560787 5. รงุ่ ไพลนิ แขวงแข่งขัน รหัสนสิ ิต 61560947 6. ศิริพร อินปงค์ รหสั นสิ ิต 61561098 7. สภุ าวดี จว๋ิ พรม รหัสนิสิต 61561302 8. อมรรัตน์ ทองหล่อ รหัสนิสติ 61561371 ปริญญา หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต สาขาวชิ า วจิ ยั เบอื้ งต้นทางการพยาบาล ที่ปรึกษาโครงการ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. แสงหลา้ พลนอก คาสาคัญ พยาบาลศาสตรบัณฑิต, การปรับตวั ต่อการเรียนแบบออนไลน์

ก คานา การศึกษาวิจัยเร่ือง การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตร บณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั นเรศวร (The Adjustment to Online learning in the Bachelor Nursing Students, Naresuan University) ฉบบั นี้เปน็ งานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ จัดทาขึน้ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือเพ่ือศึกษาการปรับตัว ตอ่ การเรียนแบบออนไลน์ของนสิ ิตหลกั สูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑติ มหาวิทยาลยั นเรศวร และเพื่อเปรยี บเทียบ ความแตกต่างในการปรับตัวต่อการเรยี นแบบออนไลน์ของนสิ ิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชัน้ ปที ่ี 3 และ ช้ันปที ่ี 4 ซ่ึงผลการวิจัยและข้อเสนอแนะต่างๆ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ท่ีเก่ียวข้องไม่มากก็น้อยในการนา ผลการวจิ ยั ไปใช้เปน็ เป็นแนวทางในการปรับตัวของนสิ ิตหลักสตู รพยาบาล ศาสตรบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ใหม้ ีความพร้อมในการเรยี นแบบออนไลน์ และสามารถใช้เป็นข้อมูลให้ผู้ที่สนใจในการศึกษาค้นคว้าและอ้างอิง ในการศกึ ษาครั้งตอ่ ไป คณะผวู้ จิ ยั 28 มีนาคม 2564

ข กติ ติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับน้ีสาเร็จลุล่วงไปด้วยดี เนื่องจากได้รับความกรุณาอย่างสูงจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. แสงหล้า พลนอก อาจารย์ท่ีปรึกษางานวิจัย ท่ีกรุณาให้คาแนะนาปรึกษา ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่อง ต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่อย่างดีย่ิง ผู้วิจัยตระหนักถึงความตั้งใจจริงและความทุ่มเทของอาจารย์ และ ขอขอบพระคณุ เปน็ อย่างสงู ไว้ ณ ทน่ี ี้ ขอขอบพระคุณ อาจารย์ ดร.กมลรจน์ วงษ์จันทร์หาญ ดร.กัญญาณัฏฐ์ สาธกธรณ์ธันย์ และผู้ช่วย ศาสตราจารย์ ดร. จิรารัตน์ หรือตระกูล อาจารย์พยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีการศึกษา ซึ่ง เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ความอนุเคราะห์ตรวจสอบเคร่ืองมือวิจัย และให้ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ ในการ ปรับเครื่องมือวิจัยให้มีความสมบูรณ์มากย่งิ ขึ้น รวมถึงขอขอบคุณนิสิตหลกั สูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑิต ช้ันปีท่ี 3 และ 4 มหาวิทยาลยั นเรศวร ท่ใี ห้ความรว่ มมือในการตอบแบบสอบถามและการเก็บรวบรวมข้อมูล จนทาให้ งานวิจัยสาเร็จลุลว่ งไปด้วยดี อน่งึ คณะผูว้ ิจยั หวังว่า งานวิจยั ฉบับน้จี ะมปี ระโยชนอ์ ย่ไู ม่นอ้ ย หากงานวจิ ัยมขี อ้ บกพร่องใด คณะผวู้ จิ ัย ขอน้อมรับ และยินดีรับฟังคาแนะนาจากทุกท่านท่ีได้เข้ามาศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนา งานวิจัย ต่อไป คณะผวู้ ิจัย 28 มีนาคม 2564

สารบญั ค บทที่ หน้า คานา ก กติ ตกิ รรมประกาศ ข สารบัญ ค บทคดั ย่อ ง บทที่ 1 บทนา 1 1.1 ความเป็นมาและความสาคัญ 3 1.2 คาถามการวจิ ยั 3 1.3 วตั ถุประสงค์การศึกษา 3 1.4 สมมติฐานการวิจยั 3 1.5 ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รบั 3 1.6 ขอบเขตการศกึ ษา 5 1.7 กรอบแนวคิดการวจิ ัย บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง 6 13 2.1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการปรับตวั 13 14 2.2 การปรับตัวตอ่ การเรียน 18 2.3 ตวั แปรทเี่ ก่ยี วข้องกบั การปรบั ตวั ของนสิ ิต 19 21 2.4 ความรทู้ ่ัวไปเก่ียวกบั การเรียนแบบออนไลน์ 23 23 บทท่ี 3 วิธดี าเนนิ การศึกษา 24 3.1 การกาหนดประชากรและการเลือกตัวอย่าง 3.2 เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั 27 3.3 สถติ ิท่ีใชใ้ นการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 29 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 30 3.5 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 3.6 สถติ ิที่ใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล 4.1 วเิ คราะห์ข้อมลู ท่ัวไปของกลมุ่ ตวั อย่าง 4.2 ระดับการปรับตัวต่อการเรยี นแบบออนไลน์ของกลุ่มตวั อย่าง 4.3 ความแตกต่างของการปรับตัวตอ่ การเรยี นแบบออนไลน์ ระหว่างนิสติ ชนั้ ปที ี่ 3 และ 4

บทท่ี 5 สรปุ ผลการวจิ ัย อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 32 33 5.1 สรุปผลการศึกษา 37 5.2 อภิปรายผล จ 5.3 ข้อเสนอแนะ ฉ บรรณานุกรม ช ภาคผนวก ประวตั ผิ ู้วจิ ัย

1 บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร และเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างในการปรับตัวต่อการเรียน แบบออนไลน์ของนิสติ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชน้ั ปที ่ี 3 และ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ในสถานการณ์ โรคติดเชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) ผู้วจิ ยั ได้นาแนวคิดทฤษฎกี ารปรับตัวของรอยมาเปน็ กรอบงานวิจัย และพัฒนาแบบประเมินการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ช้ันปีที่ 3 และ ช้ันปีท่ี 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ท่ีลงทะเบียนเรียนในภาคการศึกษาที่ 3/2563 จานวนชั้นปีละ 96 คน เก็บรวบรวม ข้อมูลโดยให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามในรูปแบบออนไลน์ท่ีแบ่งเป็น 1.ข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบด้วย คาถามจานวน 6 ข้อ ได้แก่ เพศ ชั้นปี ภูมิลาเนา ที่พักอาศัยปัจจุบัน อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนออนไลน์ และ ระบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้ในการเรียนออนไลน์ และ 2. แบบสอบถามในการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ แบ่งเป็น 4 ด้านได้แก่ การปรับตัวด้านการเรียน ด้านสังคม ด้านอารมณ์ และด้านร่างกาย จานวนด้านละ 10 ข้อ รวมท้ังหมด 40 ข้อ มลี กั ษณะคาตอบให้เลอื ก 4 ระดบั เช่น มีการปฏิบัติตนจริงมากทส่ี ุด คะแนน 4 และ มี การปฏบิ ัติตนไม่จรงิ คะแนน 1 ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ด้านความตรงเนื้อหา โดยผูเ้ ชยี่ วชาญ มีค่าเท่ากับ 0.96 การหาค่าความเช่อื มั่นของแบบประเมินโดยนาไปทดสองใชใ้ นกลุ่มตัวอย่าง นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสต์ ช้ันปีที่ 2 ที่เรียนบทเรียนแบบออนไลน์ จานวน 30 คน พบว่า ค่าความเช่ือม่ันของเครื่องมือเท่ากับ 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ ดังนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลนาไปหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน ข้อมูลการปรับตัวต่อการเรียนออนไลน์ทั้งส่ีด้าน นาไปหาค่าเฉลี่ย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ วิเคราะห์สถิติหาการปรับตัวแต่ละด้าน และเปรียบเทียบคะแนนการปรับตัวของนิสิตชั้นปีที่ และ 4 ด้วยการ ทดสอบที (T-test for independent samples) ผลการศกึ ษา พบวา่ การปรบั ตวั ต่อการเรยี นแบบออนไลน์ ในสถานการณ์ที่มโี รคตดิ เชื้อโควิด-19 ใน นิสิตชั้นปีที่ 3 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.80 คะแนน (S.D.=0.17) และนิสิตชั้นปีท่ี 4 มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.00 คะแนน (S.D.=0.19) การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ในแต่ละด้านพบว่า มีระดับนิสิตชั้นปีที่ 3 มีค่าเฉลี่ยการ ปรับตวั ในดา้ นสังคมมากทส่ี ดุ 2.99 คะแนน(S.D.=0.21) รองลงมาคือด้านร่างกาย 2.89 คะแนน(S.D.=0.28) ด้านการเรียน 2.69 คะแนน(S.D.=0.26) และด้านอารมณ์ 2.64 คะแนน(S.D.=0.17) นิสิตชั้นปีท่ี 4 มี ค่าเฉล่ียการปรับตัวในด้านสังคมมากที่สุด 3.18 คะแนน(S.D.=0.22) รองลงมาคือด้านร่างกาย 3.14 คะแนน (S.D.=0.27) ด้านการเรียน 2.85 คะแนน(S.D.=0.36) และด้านอารมณ์ 2.83 คะแนน(S.D.=0.11) เปรียบเทียบค่าเฉล่ียการปรับตัวในแต่ละด้านใน นิสิตชั้นปีที่ 3 และ 4 พบว่ามีคะแนนการปรับตัวต่อการเรียน ออนไลน์ ไม่แตกต่างกันในด้านการเรียน ด้านสังคม และด้านร่างกาย แต่มีการปรับตัวต่อการเรียนออนไลน์ที่ แตกต่างกัน คอื ดา้ นอารมณ์ (p=0.01)

2 Abstract The purpose of this research was to study the adjustment of online learning the Bachelor nursing students, Naresuan university and to compare the adjustment to online learning between the third and fourth year students of Bachelor nursing students, Naresuan university during the pandemic of corona virus 2019 (COVID19). The researcher has applied the Roy adaptation theory to be a framework for research and development of the adjustment to online learning assessment for the Bachelor of Nursing students, Naresuan University. The sample groups in the research were the third and fourth year Bachelor of Nursing students, Naresuan University who were enrolled in semester 3/2020, and 96 people were selected for each year. Data were collected by the sample group answered the questionnaire in an online format which consisted of: 1 . Personal information: 6 questions including: gender, year of study, domicile, current residence, equipment used for online learning and the Internet system for online learning; and 2. for adjustment to online learning. Consists of 4 parts including: the learning adjustment part, social adjustment part, emotional adjustment part, and physical adjustment part. There are 10 items for each part, with totally 40 items, with 4 levels of answer characteristics, such as having the most real behavior, score 4 and having untrue behavior, score 1. The content validity value of the adjustment to online learning tool was evaluated by three experts was 0.96. The tool reliability value was tested by 30 second-year students of the Bachelor of nursing students who were studying online learning, was 0.93. The data for the adjustment to online learning were analyzed as follows: personal data and adjustment to online learning: average mean and standard deviation; compared the adjustment to online learning score between the third and the fourth year students by T-test for independent samples. The results of the study showed that average score of the adjustment to online learning during the situation of COVID-19 infection of the third year student was 2.28 (S.D.= 0.17) and fourth year was 3.00 (S.D.=0.19). The adjustment to online learning average score in each part are as follow: the third year students had the highest average mean of social adjustment 2.99 (S.D. = 0.21), the physical adjustment pare was 2.89 (SD = 0.28), academic adjustment part was 2.69 (SD = 0.26) and emotional adjustment part was 2.64 (SD = 0.17). Moreover, fourth year students had the most social adjustment average mean as 3.18. (SD =

3 0.22), the physical adjustment part was 3.14 (S.D. = 0.27), academic adjustment part was 2.85 (S.D.=0.36), and the emotional adjustment part was 2.83 (S.D. = 0.11). There were no differences of average mean of adjustment to online learning in academic, social and physical part, but there was different in emotional part (p = 0.01).

4 บทท่ี 1 บทนา 1.1 ความเปน็ มาและความสาคัญ จากสถานการณก์ ารระบาดของโรคตดิ เชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เริม่ ต้นท่ีประเทศจีน ต้งั แต่ วันท่ี 30 ธันวาคม 2562 ต่อมาได้พบผู้ป่วยยืนยันในหลายประเทศทั่วโลก วันที่ 11 มีนาคม 2563 องค์การ อนามัยโลกได้ประกาศโรค COVID-19 ระบาดใหญ่ (Pandemic) มีจานวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มข้ึนเป็น จานวนมากอย่างรวดเร็วโดยมผี ู้ติดเชื้อทว่ั โลกกว่า 7.41 ล้านคน ผู้เสียชวี ติ ท่ัวโลกกว่า 4.18 ลา้ นคน อตั ราการ เสยี ชีวติ จากโรคประมาณร้อยละ 4.6 กล่มุ ผปู้ ่วยทม่ี อี าการรนุ แรงส่วนมากเปน็ ผู้สูงอายุ และผทู้ ่มี ีโรคประจาตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2563) จากการระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างมากทั้งในด้านเศรษฐกิจสังคมและสุขภาพของ ประชาชน ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี การดาเนินชีวิต และระบบการเรียนการสอน การติดเช้ือไวรัสโค โรนา (COVID 19) จึงกลายเป็นปัญหาสาคัญ ทาให้ประเทศไทยได้มีการประกาศราชกิจจานุเบกษาให้โรคติด เชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 หรือโรคโควดิ 19 (Coronavirus Disease 2019 ; COVID-19) เปน็ โรคตดิ ตอ่ อันตราย ตามพระราชบญั ญตั ิโรคตดิ ต่อ พ.ศ.2558 ประกาศ ณ วนั ท่ี 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 และได้แถลงประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ณ ทาเนียบรัฐบาล ได้เห็นชอบประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพ่ือควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยจะเร่ิมบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มนี าคม พ.ศ. 2563 การควบคุมสถานการณ์ตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรคโควิด- 19 ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 ท่ีประกอบด้วย 1) มาตรการตรวจคัดกรอง แยกกัก กักกัน หรือคุมไว้ให้สังเกตเพื่อการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคจากผู้ เดินทางซึ่งมาจากพื้นที่หรือประเทศนอกราชอาณาจักร กรณีโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค COVID- 19; 2) กรณีจาเป็นต้องพบปะผู้อ่ืน ให้ใช้หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า; 3) รักษาระยะห่างไม่น้อยกว่า 1-2 เมตรหรือ 1-2 ช่วงแขน (Social Distancing) และใช้เวลาพบปะผู้อื่นให้ส้ันที่สุด; 4) หม่ันล้างมือให้สะอาดอยู่ เสมอด้วยนา้ และสบหู่ รอื แอลกอฮอล์เจลล้างมือและไมน่ ามอื มาสัมผสั ตา จมกู ปาก โดยไม่จาเปน็ ; 5) ไม่ใชข้ อง สว่ นตัวรว่ มกับผอู้ ื่น (เช่น ผ้าเชด็ หน้า แกว้ น้า ผา้ เช็ดตัว) (บลั ลงั ก์ โรหิตเสถียร, 2563) เนือ่ งจากเชื้อก่อโรคทาง ระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหล่ังของผู้ติดเช้ือ; และ 6) รับประทาน อาหารปรงุ สกุ รอ้ น มาตรการสาคัญของการลดการแพรร่ ะบาดของเชื้อไวรสั ที่สง่ ผลตอ่ การเรยี นการสอนของนสิ ติ พยาบาล ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร คือ มาตรการการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing ) และใช้เวลาพบปะผู้อื่นให้ส้ันที่สุด ทาให้มีการประกาศปิดสถาบันการศึกษาทุกแห่งเพื่อควบคุม สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มจากภาคการศึกษาฤดูร้อน คือ เดือน เมษายน ปี พ.ศ. 2563 จึงให้มีการสับเปลี่ยนรายวิชา ปฏิบัติการท้ังหมดให้เลื่อนการฝึกปฏิบัติออกไปภาค

5 การศกึ ษาที่ 1 ปีการศกึ ษาถัดไปเมือ่ ประเทศไทยสามารถควบคุมโควิด 19 ได้เป็นอยา่ งดีแลว้ นารายวิชาทฤษฏี มาสอนในภาคฤดูร้อนแทน โดยเปล่ียนเปน็ ระบบการเรียนออนไลน์ 100% จึงส่งผลให้นิสิตนักศึกษาต้องเรียน ท่ีบ้านด้วยระบบเรียนออนไลน์ ซึ่งต้องมีการเตรียมความพร้อมและความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนในหลักสูตร แบบออนไลน์ เก่ียวกับวิธีการเรียนการสอน การทาแบบฝึกหัดท้ายบท และการสอบออนไลน์ นิสิตจึงต้องการ การปรับตัวในด้านตา่ งๆ เปน็ อย่างมาก ซึ่งผู้วิจัยได้ทาการค้นคว้าข้อมูลเก่ียวกับปัจจัยท่ีส่งผลต่อการเรียนแบบออนไลน์ จากงานวิจัยของ ธน พรรณ ทรพั ย์ธนาดล (2554) กลา่ วถึงปัจจัยทสี่ ง่ ผลตอ่ การเรียนแบบออนไลน์ มดี งั นี้ 1. ปัจจัยด้านผู้เรียน คือ ความพร้อมและความเข้าใจของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตในการ ใช้สื่อการเรียนการสอนที่มีหลากหลายรูปแบบ เช่น การเรียนผ่านทาง Google meet, Zoom, Ms team รวมท้งั การทากจิ กรรมการเรยี นการสอนผ่านทางออนไลน์ 2. ปัจจัยด้านความพร้อมของสื่อและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนออนไลน์ ซ่ึงนิสิตต้องมีอุปกรณ์ในการ เข้าถึงสื่อการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เช่น สมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ค แท็ปเลต การใช้สัญญาณเครือข่าย อินเตอร์เนต็ ที่ต้องมีความเสถียรในการเข้าเรียนบทเรียนออนไลน์ เพ่ือทาแบบทดสอบท้ายบทเรยี น และการส่ง งานที่ไดร้ ับมอบหมาย 3. ปัจจัยด้านรูปแบบการเรียนการสอน การจัดการเรียนการสอนหลากหลายรูปแบบ มีการแนบ เอกสารประกอบการสอนและสื่อคลิปวิดีโอในระบบ E-learning ในการให้นิสิตเข้าไปศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนแบบออนไลนผ์ า่ นการสอนแบบถา่ ยทอดสดเสมือนเรียนในหอ้ งเรียนกับผูส้ อน 4. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ซ่ึงการเรียนในรูปแบบออนไลน์น้ันนิสิตต้องเข้าเรียนในระบบออนไลน์ด้วย ตนเองจากสถานท่ีภายนอกท่ีไม่ใช่การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย ทาให้มีส่ิงเร้าภายนอกท่ีเป็นตัวกระตุ้น ความกระตือรือร้นหรือตัวรบกวนการเรียนการสอน เช่น สถานที่ที่อาศัยอยู่ สภาพแวดล้อมรอบตัว เสียง รบกวนภายนก ด้วยเหตุนี้ทาให้ผู้วิจัยสนใจท่ีศึกษาในเร่ืองการปรับตัวของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ท่ีได้มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์ จากการใช้แบบสอบถาม พบว่า เม่ือ นสิ ติ หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิตได้ศึกษาในการเรยี นแบบออนไลนต์ ้องเกิดการเรียนรู้ เพื่อใหม้ ีการปรับตัว ในทุกๆ ด้าน เช่น ท้ังด้านการเรียน ด้านอารมณ์ ด้านสังคม ด้านร่างกาย และมีความพร้อมต่อการเรียนใน รูปแบบออนไลน์ในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ซึ่งผลการศึกษาจะเป็นแนวทางในการวางแผน แก้ไข ปัญหาและการให้ความช่วยเหลือนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตให้มีการปรับตัวที่ดีต่อการเรียนแบบ ออนไลน์ มีสุขภาพทางกายและสุตภาพจิตที่ดี ตลอดจนเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนของ มหาวิทยาลัยและการจัดการกับสิ่งแวดล้อมของนิสิตให้มีความเหมาะสมกับการเรียนแบบออนไลน์ในแต่ละ บุคคล

6 1.2 คาถามการวิจยั 1.2.1 การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย นเรศวรเปน็ อยา่ งไร 1.2.2 การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย นเรศวรชนั้ ปที ่ี 3 และ 4 มคี วามแตกตา่ งกันหรอื ไม่ อย่างไร 1.3 วัตถุประสงคก์ ารศกึ ษา 1.3.1 เพื่อศึกษาการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร 1.3.2 เพ่ือเปรียบเทียบความแตกต่างในการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑติ ชัน้ ปที ี่ 3 และชั้นปีท่ี 4 1.4 สมมติฐานการวจิ ยั H0 = การปรบั ตวั ตอ่ การเรียนแบบออนไลน์ของนสิ ติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ ช้นั ปที ี่ 3 และชน้ั ปที ่ี 4 ไม่แตกตา่ งกนั HA = การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ช้ันปีท่ี 3 และ ชน้ั ปที ี่ 4 มีความแตกตา่ งกนั 1.5 ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ 1.5.1 ผลการศึกษาค้นคว้าในคร้ังนี้ อาจนาไปใช้เปน็ แนวทางในการปรบั ตัวของนสิ ติ หลักสูตรพยาบาล ศาสตรบัณฑติ มหาวิทยาลยั นเรศวรใหม้ คี วามพร้อมในการเรียนแบบออนไลน์ 1.5.2. ผลการศกึ ษาคน้ ควา้ ในครั้งน้สี ามารถใชเ้ ปน็ ข้อมูลให้ผู้ท่ีสนใจในการศึกษาค้นคว้าและอา้ งอิงใน การศกึ ษาครั้งตอ่ ไป 1.6 ขอบเขตการศกึ ษา 1.6.1 ประชากรท่ใี ช้ในการศกึ ษา คือ นิสิตช้นั ปที ่ี 3 และชั้นปีที่ 4 ทกี่ าลงั หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวรจานวน 250 คน นสิ ติ ชนั้ ปีท่ี 3 มจี านวน 125 คน เปน็ เพศชาย 9 คน และเพศหญงิ 116 คน

7 นิสิตช้ันปีที่ 4 จานวน 125 คน เปน็ เพศชาย 11 คนและเพศหญิง 114 คน 1.6.2 ตวั แปรทีศ่ กึ ษา การปรับตวั ต่อการเรียนแบบออนไลนข์ องนสิ ิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร 1.6.3 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ : การเรียนแบบออนไลน์ หมายถึง การเรียนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยตนเอง ในรูปแบบส่ือการ เรยี นแบบออนไลน์ ผู้สอนและผู้เรียนอยู่ไกลกนั แต่ผู้สอนสามารถถ่ายทอดประสบการณโ์ ดยอาศยั ส่ือประสมใน รูปชุดวิชาท่ีประกอบด้วยสื่อหลักและสื่อเสริมในรูปคอมพิวเตอร์ท้ังระบบเครือข่ายและซีดี เพ่ือช่วยให้ผู้เรียน สามารถศึกษาได้ด้วยตนเองโดยพึ่งตนเองและพึ่งผู้อ่ืนน้อยที่สุดผู้เรียนสามารถเลือกเรียนตามความชอบของ ตนเอง ในส่วนของเน้ือหาของเรียน ประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง VDO และMultimedia อ่ืนๆ ส่ิง เหลา่ นจี้ ะถกู ส่งตรงไปยังผู้เรยี นผ่าน Web Browser ท้ังผ้เู รียน ผสู้ อน และเพอื่ นรว่ มชั้นทุกคน สามารถติดต่อ สื่อสาร ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนทั่วไป โดยการใช้ E-mail Chat Social Network การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย นเรศวร หมายถงึ การทนี่ สิ ติ ท่ีเรียนในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ แสดงออกในการพยายามท่ีจะปฏิบัติ ตนเองให้ เขา้ กับการเรียนผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่อยู่ในรูปแบบของส่ือการเรียนออนไลน์ ในรูปแบบที่ หลากหลาย เป็นการใชเ้ ทคโนโลยสี มยั ใหม่รว่ มกบั เครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต เพ่ือรักษาความสมดุลของชีวิต เป็นผล ให้เกิดความสุขกายสบายใจ ประสบความสาเร็จในการเรียนและการใช้ชีวิตเป็นนิสิต ซ่ึงผู้วิจัยได้แบ่งการ ปรับตัวออกเปน็ 4 ด้าน ไดแ้ ก่ ดา้ นการเรียน, ด้านสังคม, ดา้ นอารมณ์ และด้านร่างกาย 1. ด้านการเรียน หมายถึง การท่ีนิสิตสามารถมีความรับผิดชอบ มีความเอาใจใส่ในการเรียน มีความ ขยัน มีสมาธิ ติดตามการเรียนได้ทันเวลา กล้าอภิปรายและซักถามเก่ียวกับเน้ือหาความรู้กับอาจารย์ ทบทวน บทเรยี น การเตรียมความพรอ้ มในการเรียนในการเรียนรูปแบบออนไลน์ 2. ด้านสงั คม หมายถึง การทนี่ สิ ติ สามารถอยู่ร่วมกับกลมุ่ เพ่อื นนิสติ ได้อยา่ งมคี วามสุข มมี นุษยสมั พันธ์ กับเพอ่ื น เขา้ กบั เพ่ือนได้ดี เคารพในสิทธิของผู้อ่ืน เห็นแกป่ ระโยชน์ส่วนรวม การให้ความชว่ ยเหลือเพื่อน การ แสดงความห่วงใยซง่ึ กนั และกัน การแสดงความคดิ เห็นและยอมรับฟงั ความคิดเห็นของผอู้ ื่น ให้ความร่วมมือใน การทางาน มีความม่ันใจในตนเองถึงจะเป็นการเรยี นในรูปแบบออนไลน์ แตน่ ิสิตกข็ ว่ ยเหลือซึ่งกนั และกัน โดย การพูดคุยกนั ผ่านช่องทางแบบออนไลน์ 3. ดา้ นอารมณ์แต่ละบุคคล หมายถงึ การที่นิสติ สามารถแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม รู้จัก ควบคุมอารมณ์และความต้องการของตนเอง เป็นคนมองโลกในแง่ดี ยอมรับตนเองตามสภาพความเป็นจริง รู้จักข้อดีข้อบกพร่องของตนเอง มีการนับถือตนเอง ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลและรู้จักใช้เหตุผลใน การแก้ปญั หา ถึงจะมีการปรับรูปแบบการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ นสิ ิตยงั คงมีความตั้งใจ พรอ้ มที่จะ เผชญิ สิ่งแปลกใหม่ และเรยี นร้ทู จี่ ะแก้ปัญหา ในการดารงชีวิตอยู่รว่ มกนั ในสงั คมกลุม่ เพ่ือนและการทากจิ กรรม ร่วมกับผู้อื่น นิสิตมีความเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้อื่น สร้างความสัมพันธ์ท่ีดี ถึงแม้ว่ านิสิตจะพบกับ สภาพแวดลอ้ มท่ีแตกต่างจากเดมิ

8 4. ดา้ นร่างกาย หมายถึง การท่นี ิสติ สามารถดูแลรา่ งกายของตนเองได้อยา่ งเหมาะสม การรับประทาน อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายครบทั้ง 3 ม้ือ ตรงเวลา การอาบน้าทุกวนั เวลาเช้าและเย็น ดแู ลทาความสะอาด เครื่องใช้และเครื่องแต่งกาย การพักผ่อนวันละ 6-8 ชั่วโมง การออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ อย่างน้อย 3-5 ครั้งตอ่ สปั ดาห์ การพกั สายตาโดยการหลบั ตาหรือมองไกลๆเปน็ บางช่วงขณะเรียนผ่านทางออนไลน์ ซึง่ ทง้ั หมด ท่ีกลา่ วมา เปน็ ปจั จยั ท่ีสง่ เสรมิ ให้นสิ ติ มกี ารปรับตัวตอ่ การเรียนในระบบออนไลน์ได้มากขนึ้ การเรียนออนไลน์ เป็นการเรียนการสอนออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ตในรูปแบบที่หลากหลาย ได้แก่ วิดีโอบรรยายประกอบรูปภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว แบบฝึกหัดทา้ ยบทออนไลน์ การมอบหมายการทางานเด่ียว และกลุ่มของนิสิตพยาบาลผ่านการประชุมกลุ่มออนไลน์ การนาเสนองานออนไลน์ เป็นการใช้เทคโนโลยี สมัยใหม่ร่วมกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพ่ือให้เกิดความสะดวกและเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว ทุกสถานที่ ทุกเวลา และประสบความสาเร็จในการเรยี นโดยมีการประชุมพูดคยุ ปรกึ ษาในกลุม่ ระหวา่ งผู้สอนและผูเ้ รยี น ผเู้ รียนและ ผเู้ รียน เพ่อื รกั ษาดลุ ยภาพชีวติ นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต หมายถึง นิสิตพยาบาลที่กาลังศึกษาอยู่ช้ันปีที่ 3 และ 4 ใน หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ระดับปริญญาตรี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 1.7 กรอบแนวคดิ การวิจัย การปรบั ตวั ดา้ นการเรยี น การปรบั ตวั ดา้ นสงั คม การปรบั ตวั ดา้ นอารมณ์ การปรบั ตวั ดา้ นรา่ งกาย การปรับตวั ต่อการเรียนแบบออนไลน์ บทท่ี 2

9 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้อง 2.1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการปรบั ตัว 2.1.1 ความหมายของการปรบั ตวั เบอรน์ าด (Bernard, 1960 อา้ งใน จุมจนิ ต์ สลัดทุกข์. 2543 : 12 ) ได้กลา่ วถงึ การปรบั ตัววา่ หมายถึง การที่บุคคลสามารถปรับตัวให้เข้ากับตนเองและโลกภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความพึงพอใจ ความ แจม่ ใสอย่างสูงสุด มีพฤตกิ รรมทีเ่ หมาะสมกับสภาพสังคม มีความสามารถท่ีจะเผชิญและยอมรับความจริงของ ชวี ิต วราภรณ์ ตระกูลสฤษดิ์ (2545 : 3) ได้ให้ความหมายของการปรับตัวไว้ดังน้ี การปรับตัว หมายถึง กระบวนการท่ีบุคคลใช้ความพยายามในการปรับตนเองเม่ือเผชญิ กับสภาพปัญหาความอึดอัดใจ ความคับข้อง ใจ ความเครียด ความทุกข์ใจ ความวิตกกังวลต่าง ๆ ฯลฯ จนเป็นสภาพการณ์ท่ีบุคคลนั้นสามารถอยู่ในสภาพ ปัญหาน้ันได้ ถ้าบุคคลปรับตัวแล้วสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมได้อย่างมีความสุขได้น้ันแสดงว่าบุคคลนั้นมี สุขภาพจิตดี แต่หากว่าบคุ คลปรบั ตวั แล้วยังมีความทุกข์ใจ ว้าว่นุ ใจไม่สบายใจอยู่ ความร้สู กึ ดงั กล่าวย่อมจะทา ให้บุคคลน้นั กลายเปน็ บุคคลทม่ี ีสุขภาพจิตไมด่ ีและหากเรื้อรังรุนแรงมากขนึ้ อาจเป็นโรคประสาทหรอื โรคจิตได้ ทองหล่อ วงษ์อินทร์ (2523 : 143) ได้กล่าวว่า เม่ือมีความคับข้องใจหรือความขัดแย้งในใจเกิดข้ึน คนเรายอ่ มหาวิธกี ารตา่ ง ๆ ท่ีจะขจดั ความคบั ข้องใจให้หมดไปหรือเพ่ือแกไ้ ขสถานการณ์นน้ั ให้ดีขนึ้ อยา่ งน้อยก็ เพื่อระบายความเครียดให้เบาบางลง การกระทาเพ่ือใหห้ ลดุ พน้ จากความอึดอัดไมส่ บายใจนี้ เราเรียกว่า “การ ปรับตัว” (Adjustment) ซึ่งสอดคล้องกับ ชวนพิศ ทองทวี (2522 : 222) ได้ให้ความหมายวา่ การปรับตัว คือ การที่มนุษย์พยายามเอาชนะความคับข้องใจท่ีเกิดจากมีอุปสรรคมากีดขวางทางนาไปสู่จุดมุ่งหมายท่ีต้องการ เพื่อรกั ษาสมดลุ ของชวี ติ ในทานองเดยี วกนั ปราณี รามสูตร (2518) กล่าวว่า การปรับตัว หมายถึงการท่ีบุคคลพยายามท าตัวให้เข้ากับความ เป็นอยู่ หรือสง่ิ แวดลอ้ มได้อยา่ งดี และมคี วามสขุ ซง่ึ ความพยายาม นี้มที ้ังที่อย่ใู นระดับจติ สานึกและจิตไร้สานึก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นจิตไร้สานึกมากกว่า คือเป็นไปโดยบุคคลน้ัน มิได้จงใจนอกจากนี้ โคลแมน และแฮมเมน (Coleman and Hammen, 1981 อ้างใน อรพินทร์ ชูชม และอัจฉรา สุขารมณ์. 2532 : 6) กล่าวว่า การ ปรับตัว หมายถึง ผลของ ความพยายามของบุคคลท่ีพยายามปรับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นแก่ตนเอง ไม่ว่าปัญหา น้ันจะเป็น ปัญหาด้านบุคลิกภาพ ด้านความต้องการหรือด้านอารมณ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม จนเป็น สภาพการณท์ ่บี คุ คลนนั้ สามารถอย่ใู นสภาพแวดลอ้ มนน้ั เมล์ม และ เจมมิสัน (Malm and Jamison, 1952 อ้างใน นิภา นิธยายน. 2530 : 5 ) ได้อธิบาย ความหมายของการปรับตัวว่า การปรับตัว หมายถึง วิธีการที่คนเราปรับตัว ให้เป็นไปตามความต้องการของ ตนเองในสภาพแวดล้อมซึ่งบางครั้งส่งเสริม บางคร้ังขัดขวางและบางครั้งสร้างความทุกข์ทรมานแก่เรา กระบวนการปรับตัวนี้เกิดขึ้นจากความจริงที่ว่า มนุษย์ทุกคนมีความต้องการและเราสามารถใช้วิธีการแบบ ต่างๆ ในการดาเนินการเพื่อให้ บรรลุถึงความต้องการนั้น ในสภาวะแวดล้อมท่ีปกติหรือมีอุปสรรคขัดขวาง

10 ต่างๆ กันไป สรุปได้ว่า การปรับตัวเป็นกระบวนการปรับและการเปลี่ยนแปลงของบุคคลให้สามารถเข้ากับ สภาพแวดลอ้ มและสถานการณต์ า่ ง ๆ ตามความต้องการของตนเองไดอ้ ย่างมคี วามสุข สรุปว่า การปรับตัวในความหมายของนักวิจัย คือ การปรับตัวของนิสิตที่เรียนในหลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิตการพยายามที่จะปรับตนเองให้เข้ากับการ เรียนผ่านทางอินเทอร์เน็ตท่ีอยู่ในรูปแบบ ของสอ่ื การเรียนออนไลน์ ในรปู แบบที่หลากหลาย เปน็ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่รว่ มกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพอ่ื ให้เกดิ ความสะดวกและเข้าถงึ ได้อย่างรวดเรว็ ทุกสถานที่ ทกุ เวลา และประสบความสาเรจ็ ในการเรียนโดย มกี ารประชมุ พูดคยุ ปรึกษาในกลมุ่ ระหว่างผ้สู อนและผู้เรียน ผ้เู รยี นและผเู้ รียน เพ่ือรกั ษาดุลยภาพชีวิต 2.1.2 แนวคิดทฤษฎเี กี่ยวกบั การปรับตวั แนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วขอ้ งกับการปรบั ตัวมหี ลายแนวคดิ ดังต่อไปนี้ - ทฤษฎีการปรับตัวของรอย (Roy’s Adaptation Model)(Roy & Andrews, 1999 อ้างใน เบญจมาศ สขุ ศรเี พ็ง,2550 )กลา่ วถงึ การ ปรบั ตัวและการให้ความชว่ ยเหลือบุคคลที่มีปญั หาในการปรบั ตัวเม่ือ มีเหตุการณห์ รือการเปลีย่ นแปลงเข้ามาในชวี ิต โดยการปรบั ตวั เป็นกระบวนการและผลลัพธ์ท่ีเกดิ ขึ้นจากการท่ี บุคคลมีความคิดและความรู้สึก จากการใช้ความตระหนักรู้ทางปัญญาและการสร้างสรรค์ในการบูรณาการ ระหวา่ งบุคคลกับสิ่งแวดล้อมใหก้ ลมกลนื รอยใชแ้ นวคดิ จากทฤษฎีระบบมาอธิบายระบบการปรับตวั ของบุคคล ว่าบุคคลเป็นเหมือนระบบการปรับตัวท่ีมีความเป็นองค์รวม (Holistic adaptive system) และเป็นระบบเปิด ประกอบด้วยสิ่งนาเข้า (Input) กระบวนการเผชิญปัญหา (Coping process) สิ่งนาออก (Output) และ กระบวนการป้อนกลับ (Feedback process) แต่ละส่วนน้ีจะทางานสัมพันธก์ ันเปน็ หน่ึงเดียว โดยเม่ือส่ิงเร้าท่ี เกดิ จากการเปล่ยี นแปลงของส่ิงแวดล้อมทงั้ ภายนอกและภายในผา่ นเข้าสรู่ ะบบการปรับตวั จะกระตุ้นให้บุคคล มีการปรับตัวตอบสนองต่อสิ่งเร้าน้ันโดยใช้ กระบวนการเผชิญปัญหา 2 กลไก คือ กลไกการควบคุมและกลไก การคิดรู้ กลไกทั้งสองน้ีจะทางานควบคู่กันเสมอ ส่งผลให้บุคคลแสดงพฤติกรรมการปรับตัวออกมา 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอัตมโนทัศน์ ด้านบทบาทหน้าท่ีและด้านการพึ่งพาระหว่างกัน ผลลัพธ์การปรับตัวมี 2 ลักษณะ คือ ปรับตัวได้และปรับตัวไม่มีประสิทธิภาพ โดยสิ่งนาออกจากระบบนี้จะป้อนกลับไปเป็นส่ิงนาเข้า ระบบเพ่ือการปรับตัวที่เหมาะสมต่อไป ทั้งน้ีความสามารถในการปรับตัวของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกัน โดย ขนึ้ อย่กู บั ความรนุ แรงของสง่ิ เร้าและระดับความสามารถในการปรบั ตวั ของบุคคล โดยมีรายละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี ส่ิงนาเข้า (Input) : เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับส่ิงแวดล้อมก่อให้เกิดส่ิงนาเข้าสู่ ระบบการปรับตัวของบุคคล เรียกว่า ส่ิงเร้า (Stimuli) ซ่ึงมาจากสิ่งแวดล้อมท้ังภายในและภายนอกตัวบุคคล การเปล่ียนแปลงสิ่งแวดล้อมจะกระตุ้นให้บุคคลเกิดปฏิกิริยาการปรับตัวตอบสนอง โดยสิ่งเร้าแบ่งออกเป็น 3 กล่มุ

11 - สิ่งเร้าตรง (Focal stimuli) เป็นส่ิงที่บุคคลต้องเผชิญและให้ความสนใจในขณะน้ันมากท่ีสุด กอ่ ให้เกดิ การเปล่ียนแปลงและส่งผลกระทบโดยตรงทา ให้บคุ คลตอ้ งมีการปรบั ตวั - ส่ิงเร้าร่วม (Contextual stimuli) เปน็ ส่งิ เร้าอ่นื ๆ ทีป่ รากฏอยใู่ นเหตกุ ารณ์หรอื สงิ่ แวดล้อมที่บุคคล กาลังเผชิญอยู่โดยอาจจะมีผลเป็นตัวเสริมผลของส่ิงเร้าตรงโดยอาจมีผลในทางบวกหรือทางลบต่อการปรบั ตวั - สิ่งเร้าแฝง (Residual stimuli) เป็นส่ิงเร้าที่เป็นผลมาจากประสบการณ์ในอดีตเป็นลักษณะ เฉพาะตัวของบุคคล และเป็นปัจจัยท่ีอาจจะมีอิทธิพลต่อการปรับตัวในเหตุการณ์ที่บุคคลประสบอยู่แต่ไม่ ชัดเจน บุคคลอาจไม่ตระหนักถึงอิทธิพลของปัจจัยดังกล่าว เช่น เจตคติความเชื่อ ค่านิยม ประสบการณ์เดิม โดยสงิ่ เร้าดงั กล่าวจะกระตนุ้ ใหบ้ คุ คลตอบสนองโดยการปรับตวั โดยบุคคลจะปรับตัวได้หรือไม่นั้นข้ึนอยู่กับความรุนแรงของสิ่งเร้า และระดับความสามารถในการ ปรับตัว (Adaptation level) ของบุคคลในขณะนั้น ซึ่งหมายถึงระดับหรือขอบเขตที่แสดงถึงความสามารถใน การปรบั ตัวของบุคคลต่อสถานการณท์ ่เี ปล่ยี นแปลงไปในกระบวนการชีวิตมี 3 ระดบั คือ ระดับปกติ (Integrated level) เป็นภาวะทีโ่ ครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องรา่ งกาย ทางานเป็นองค์ รวม สามารถตอบสนองความต้องการของบุคคลได้อยา่ งเหมาะสม ระดับชดเชย (Compensatory level) เป็นภาวะที่กระบวนการชีวิตถูกรบกวนทาให้กลไก การควบคมุ และการรับรขู้ องระบบบคุ คลถูกกระต้นุ ให้ทางานเพ่ือจดั การกบั สิง่ เร้า ระดับบกพร่อง (Compromised level) เป็นภาวะที่กระบวนการปรับตัวระดับปกติและ ระดบั ชดเชยทางานไม่เพียงพอทจี่ ะจดั การกับสงิ่ เร้าไดก้ ่อให้เกิดปญั หาการปรบั ตัวตามมา ระดับความสามารถในการปรับตัวของแต่ละบุคคลในสถานการณ์หนงึ่ ๆ มีขอบเขตจากัดไม่เหมือนกนั หากส่ิงเร้าตกอยู่ภายในขอบเขตระดับความสามารถในการปรับตัว บุคคลก็จะสามารถปรับตัวตอบสนองส่งิ เรา้ ได้อย่างเหมาะสม แต่ส่ิงเร้านั้นรุนแรงตกอยู่นอกขอบเขต ระดับความสามารถในการปรับตัวบุคคลจะปรับตัว ตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่สามารถปรับตัวได้ แต่อย่างไรก็ตามระดับความสามารถใน การปรบั ตวั เปน็ ส่ิงที่เปล่ียนแปลงไดใ้ นกระบวนการชวี ิต กลา่ วคอื บคุ คลสามารถเพม่ิ ระดับความสามารถในการ ปรับตัวได้โดยแสวงหาการ เรียนรู้ส่ิงใหม่ๆ เพ่ือให้ตนเองมีระดับความสามารถในการปรับตัวต่อสถานการณ์ ใหม่ๆน้นั เพม่ิ ขนึ้ ได้ กระบวนการเผชิญปัญหา (Coping process) : เป็นกระบวนการควบคุมระบบการปรับตัวของ บุคคล ซึ่งเป็นวิธีการที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์ต่อส่ิงแวดล้อมที่เปล่ียนแปลงไปโดยมีทั้งวิธีการท่ีเกิดข้ึนเองโดย อัตโนมัติหรือวิธกี ารท่ีเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ รอยได้จัดหมวดหมู่ของกระบวนการเผชิญปัญหาเป็นระบบยอ่ ย 2 กลไก คือ 1. กลไกการควบคุม (Regulator subsystem) เป็นกระบวนการตอบสนองต่อสิ่ง เร้าโดยอัตโนมัติซ่ึง บุคคลไม่รู้สึกตัว เกิดจากการทางานร่วมกันของระบบประสาท สารเคมีและระบบต่อมไร้ท่อโดยสิ่งเร้าจาก

12 ส่ิงแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเป็นส่ิงนาเข้าสู่ระบบประสาท มีผลต่อสมดุลของน้า อิเลคโตรไลท์และกรด ด่างๆ และระบบต่อมไร้ท่อ กลไกการควบคุมน้ีทางานเพ่ือควบคุมระบบต่างๆ ภายในร่างกายให้อยู่ในภาวะ ปกติ 2. กลไกการคิดรู้ (Cognition subsystem) เป็นกระบวนการตอบสนองต่อส่ิงเร้า โดยผ่านทางระบบ ประสาทแห่งการรับรู้และการแสดงอารมณ์ 4 กระบวนการ คือ 1) กระบวนการรับรู้ ได้แก่ กิจกรรมการเลือก รับข้อมูล การเก็บรหัสและจดจาข้อมูล 2) การถ่ายทอดข้อมูลการเรียนรู้ ที่เก่ียวข้องกกับการเลียนแบบ การ เสริมแรงและการหย่ังรู้ เพื่อนาไปสู่ 3) การตัดสินใจหาวิธีแก้ไขปัญหาท่ีเหมาะสม และ 4) การตอบสนองทาง อารมณ์ เป็นกลไกการป้องกันท่ีใช้เพ่ือให้บุคคลเกิดความสบายใจและคลายความวิตกกังวลและอารมณ์ เป็น ผลทีไ่ ด้มาจากการประเมินค่าทางอารมณแ์ ละความผูกพนั ของบุคคล โดยสิ่งเร้าของกลไกการรับร้ปู ระกอบด้วย ปัจจยั ทมี่ ผี ลตอ่ ด้านจิตใจ สังคม กายภาพและสรีรวทิ ยา กลไกการควบคุมและกลไกการคิดรู้จะทางานควบคู่กันเสมอเพ่ือดารงบูรณภาพของบุคคลในการ ปรับตัว ผลจากการทางานของ 2 กลไกนี้จะแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมการปรับตัว 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอัตมโนทัศน์ ด้านบทบาทหน้าที่และด้านการพึ่งพาระหว่างกัน โดยพฤติกรรมการปรับตัวทั้ง 4 ด้านนี้จะ สะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ ระดับการปรับตวั ของบคุ คล ซ่งึ แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมของบคุ คลและยังสะท้อนใหเ้ ห็นถึง การใช้กระบวนการเผชิญปัญหาในแบบแผนพฤติกรรมท้ัง 4 ด้าน ตลอดจนความสาเร็จหรือประสิทธิภาพของ การตอบสนองโดยสังเกตไดจ้ ากพฤติกรรมของบุคคลทแ่ี สดงออกมาให้ปรากฏ โดยมีรายละเอยี ดพฤติกรรมการ ปรบั ตวั แตล่ ะดา้ นดงั นี้ 1) การปรับตัวด้านร่างกาย (Physiological mode) เป็นการปรับตัวเพื่อรักษาความมั่นคงของ ร่างกาย ซึ่งหมายถึงความสาเร็จในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในความต้องการด้านสรีระค่อนข้างจ ะมี ความเปน็ รปู ธรรมสูง มีพฤตกิ รรมทีเ่ หน็ ได้ชัดเจน เข้าใจง่าย พฤติกรรมการปรบั ตวั ดา้ นน้ีจะสนองตอบต่อความ ต้องการพื้นฐานในการดารงชีวิตของมนุษย์ 5 ด้าน คือ ความต้องการออกซิเจน ภาวะโภชนาการ การขับถ่าย กิจกรรมและการพักผ่อน 2) การปรับตัวด้านอัตมโนทัศน์ (Self- concept mode) เป็นการปรับตัวเพ่ือความม่ันคงทางจิตใจ และจิตวญิ ญาณ อตั มโนทัศนเ์ ปน็ ความเชื่อและความรู้สึกท่ีบุคคลมีต่อตนเองในช่วงเวลาหน่ึง เกิดจากการรับรู้ ภายในตนเองและการรับรู้จากปฏิกิริยาของบุคคลอื่นท่ีมีต่อตนเอง อัตมโนทัศน์มีผลสะท้อนต่อพฤติกรรมท่ี แสดงออกของแต่ละบคุ คลแบ่งเป็น 2 แบบย่อย ไดแ้ ก่ อตั มโนทัศนด์ า้ นรา่ งกาย (Physical self) เป็นความรสู้ กึ ของตนเองต่อร่างกายเก่ียวกับรูปร่างหน้าตาการทาหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ภาวะสุขภาพ และสมรรถภาพทาง เพศ อัตมโนทศั นด์ ้านส่วนบคุ คล(Personal self) เปน็ ความรสู้ ึกของตนเอง เกี่ยวกับความคาดหวังคา่ นิยม อดุ ม คติการให้คุณคา่ ปณธิ านทตี่ นเองยึดถอื 3) การปรับตัวด้านบทบาทหน้าที่ (Role function mode) เป็นการปรับตวั เพ่ือความมั่นคงทางสังคม เกีย่ วขอ้ งกับการทาหน้าท่ตี ามบทบาททต่ี นดารงอยู่ในสงั คม ซึง่ ตอ้ งเป็นไปตามความคาดหวงั ของสงั คมเกี่ยวกับ สิ่งที่บุคคลควรกระทาต่อผู้อ่ืนในสังคมตามตาแหน่งหน้าท่ีในบทบาทของตน บุคคลจึงต้องมีการปรับตัวหรือ แสดงบทบาทของตนให้เหมาะสมเพื่อให้เปน็ ที่ยอมรับของผู้อ่นื ซง่ึ จะทาใหเ้ กิดความรสู้ ึกมั่นคงทางสังคมและอยู่

13 ในสังคมได้อย่างมคี วามสขุ 4) การปรับตัวด้านการพ่ึงพาระหว่างกัน (Interdependent mode) เป็นการปรับตัวเพื่อความม่ันคง ทางสงั คมในด้านความสัมพันธ์ท่ีใกลช้ ดิ ระหว่างบคุ คลหรือกลุ่มคน โดยมุ่งประเด็นไปท่ีการมีปฏิสมั พนั ธร์ ะหว่าง บุคคลในสังคมท่ีเก่ียวข้องกับการให้และรับความรักและการยกย่องซึ่งกันและกันอย่างเต็มใจ ความต้องการ พ้ืนฐานในการปรบั ตวั ด้านน้ีมี 3 องคป์ ระกอบ คือการได้รับความรักอยา่ งเพียงพอ การได้รับการเรยี นรแู้ ละการ เจริญเติบโตตามพัฒนาการและการได้รับการตอบสนองความต้องการในเร่ืองแหล่งประโยชน์ของบุคคล เพ่อื ทีจ่ ะให้บรรลุถึงความรู้สกึ ม่ันคงในความสัมพันธร์ ะหว่างกัน บุคคลทส่ี ามารถปรับตัวดา้ นการพงึ่ พาระหว่าง กัน (Interdependence) ได้อย่างเหมาะสม จะต้องมีความสมดุลระหว่างการพึ่งพาตนเอง (Independence) และการพึ่งพาผู้อ่ืน (Dependence) รวมท้ังต้องมีพฤติกรรมทั้งการเป็นผู้ให้ (contributive behaviors) และ พฤติกรรมการเป็นผู้รับ (Receiving behaviors) อย่างเหมาะสม จึงจะทาให้บุคคลสามารถดารงชีวิตร่วมกับ ผู้อื่นในสังคมได้ด้วยความรู้สึกม่ันคงและปลอดภัย พฤติกรรมการปรับตัวท้ัง 4 ด้านเป็นผลจากการทางาน ภายในของกระบวนการปรับตัวด้วยการประสานงานกันระหว่างกลไกการควบคุมและกลไกการคิดรู้แสดง ออกเป็นพฤติกรรมการปรับตัวท้ัง 4 ด้าน ซึ่งพฤติกรรมแต่ละด้านจะมีความเก่ียวพันซึ่งกันและกันภายใน กระบวนการปรบั ตัวของบคุ คลโดยผลลัพธจ์ ากการปรับตัวด้านใดดา้ นหนง่ึ อาจมีผลกระทบหรือกลายเป็นสิ่งเร้า ต่อการปรับตัวอีกด้านหนึ่งหรือทุกด้านก็ได้หรือส่ิงเร้าชนิดหนึ่งอาจมีผลต่อการปรับตัวหลายๆ ด้านในเวลา เดียวกัน พฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมาจึงเป็นผลจากการประสานเก่ียวข้องกันของทุกส่วนในกระบวนการ ปรบั ตวั ซ่งึ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ บคุ คลเป็นระบบการปรบั ตวั ทม่ี คี วามเป็นองคร์ วม สิ่งนาออก (Output) : สิ่งนาออกจากระบบการปรับตัวของบุคคลคือปฏิกิริยาตอบสนองซึ่งเป็น พฤติกรรมที่สามารถสังเกต ตรวจสอบหรอื บอกได้โดยอาจเปน็ พฤติกรรมการปรับตัวได้ (Adaptive behavior) หรือพฤติกรรมการปรับตัวท่ีไม่มีประสิทธิภาพ(Ineffective behavior) พฤติกรรมการปรับตัวท่ีดีจะช่วย ส่งเสริมความมั่นคงของบุคคลให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเจริญเติบโต การมีชีวิตอยู่รอดสามารถสืบทอด เผ่าพันธุ์และเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้และพฤติกรรมที่ไม่ส่งเสริมให้บุคคลบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะเป็น พฤตกิ รรมการปรบั ตัวทไ่ี มม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ ระบบป้อนกลับ (Feedback process) สิ่งนาออกจากระบบจะป้อนกลับไปเป็นสิ่งนาเข้าระบบเพื่อ การปรับตัวท่เี หมาะสมตอ่ ไป นอกจากแนวคิดทฤษฎกี ารปรับตวั ของรอย ยังมีอกี หลายทฤษฎที เ่ี ก่ยี วกบั การปรบั ตัว เชน่ - Rogers (Rogers, 1972 อ้างใน จมุ จินต์ สลดั ทุกข์, 2543 : 16) ผนู้ าทฤษฎวี ่าด้วยตนและทฤษฎีการ ให้คาปรึกษาแบบผู้รับคาปรึกษาเป็นศูนย์กลาง เขาได้พิจารณาการปรับตัวในแง่ของการปรับตัวภายในตนเอง โดยเขาเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเป็นศูนย์กลางของประสบการณ์ต่างๆ รอบตัว ซึ่งเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่วน หน่งึ ของประสบการณ์ท่บี ุคคลได้รับรู้และมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน รวมทั้งการประเมินผลจากการมปี ฏสิ ัมพันธ์ น้ันก่อให้เกิดตัวเรา (Self) หรือ “โครงสร้างของตน” ขึ้นมา เป็นการรับรู้เก่ียวกับตนในด้านต่างๆ เช่น บุคลิกลักษณะความสามารถของตน บทบาทต่างๆ ของตนในการเก่ียวข้องกับผู้อ่ืนและสิ่งแวดล้อม ทัศนคติ

14 และค่านิยมต่างๆ ของตัวเรา ประสบการณ์ท่ีแต่ละบุคคลได้รับจึงมีส่วนสาคัญในการกาหนดบุคลิกภาพของ บุคคลให้แตกตา่ งกัน โดยท่ีแต่ละคนจะเขา้ ใจและร้จู ักโลกสว่ นตัวของเขาได้ดีทสี่ ุด บคุ คลทีป่ รับตวั ได้ คอื บคุ คล ท่ีเป็นตัวของตัวเอง เข้าใจและยอมรับตนเองและผู้อื่น รวมท้ังสามารถรับรู้ประสบการณ์ต่างๆตามความเป็น จริง นาประสบการณ์น้ันมาจัดให้สอดคล้องกับโครงสร้างหรือบุคลิกลักษณะของตน อย่างไม่ขัดแย้งหรือ บิดเบือน จะมีการรับรู้และความคิดเกี่ยวกับตนเองในทางบวก ส่วนบุคคลที่ปรับตัวไม่ได้ จะมีความขัดแย้ง ระหว่างความคิดเกี่ยวกับตนกับประสบการณ์ท่ีเกิดขึ้นมาใหม่อย่างมาก ทาให้เกิดความตึงเครียด วิตกกังวล สับสนไมแ่ นใ่ จสญู เสียความเป็นตัวของตวั เองและมคี วามคิดเห็นเกยี่ วกับตนจะเปน็ ไปในทางลบ - Williamson (Williamson, 1950 อ้างใน นิภา คาภาทู, 2547 :15) ผู้นาทฤษฎีการให้คาปรึกษา แบบนาทางมีความเชื่อว่ามนุษย์มีสติปัญญาและเหตุผล ตลอดจนมีแนวโน้มท่ีจะพัฒนาตนเองได้ แต่การท่ีจะ พัฒนาได้น้ันต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่น โดยเฉพาะสังคมส่ิงแวดล้อมเขาอยู่ การท่ีบุคคลมีปฏิสัมพันธ์ กับบุคคลอ่ืนในสังคมจะทาให้เขามองเห็นและรู้จักตนเองในด้านต่างๆ เช่น ความรู้ ความสามารถ ความสนใจ ค่านิยมและ ทัศนคติความต้องการและเป้าหมายท่ีเขาเลือก ในขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้จากผู้อ่ืน ได้รับรู้ ประสบการณส์ งั คมในด้านตา่ งๆ เชน่ ค่านิยมทางสังคม มาตรฐานและขอ้ จากดั ทางสงั คม ปัญหาตา่ งๆ ในสังคม ตลอดจนวิธีการท่ีจะจัดการแก้ไขทั้งทางตรงและทางอ้อม จากความเชื่อดังกล่าว วิลเลียมจึงสรุปว่า บุคคล สามารถปรับตัวได้ถ้ามีความรู้ความเข้าใจในตนเอง รวมทั้งการรู้จักและการเข้าใจสังคม เพราะจะทาให้เขา สามารถตดั สนิ ใจเลอื กวธิ กี ารดาเนนิ ชวี ิตหรอื แกไ้ ขปัญหาได้อย่างมีสตแิ ละมเี หตุผล โดยการใชข้ ้อมลู ท่ไี ดร้ ับจาก ประสบการณ์ในสังคมมาประกอบการพิจารณา จนสามารถสร้างความสอดคล้องหรือความหยุ่นระหว่างความ ต้องการและเป้าหมายท่พี งึ ประสงคข์ องตนเองกับสภาพแวดล้อม - Havighurst (Havighurst,1953 อ้างใน ธัญมาส วรงค์สิงหรา, 2547 :10) พิจารณาการปรับตัวใน แง่ของการเรียนรู้งานตามข้ันพัฒนาของชวี ิต เขามีความเห็นว่า พัฒนาการของชวี ิตในแต่ละวัยน้ัน บุคคลมีงาน ประจาวัยหรืองานประจาขั้นที่ต้องเรียนรู้ควบคู่กันไป ถ้าบุคคลสามารถพัฒนางานประจาวัยได้สาเร็จก็จะเป็น บุคคลที่มีความสุขและสามารถพัฒนางานประจาวัยในขั้นต่อไปได้อย่างสาเร็จด้วย ในทางตรงกันข้ามงาน ในช่วงวัยใดไม่ประสบผลสาเร็จจะทาให้บุคคลนั้นไม่มีความสุข และพัฒนางานประจาวัยในช่วงต่อไปได้ ยากลาบาก ดังน้ันบุคคลที่มีการปรับตัวได้ในทัศนะของฮาวิกเฮริสท์ จึงหมายถึงบุคคลที่ประสบความสาเร็จใน การเรียนรแู้ ละพฒั นางานประจาวัยใหผ้ า่ นพ้นได้ดว้ ยดี จากทฤษฎีเก่ียวกับการปรับตัวท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า เม่ือความต้องการของบุคคลไม่สามารถ ตอบสนองได้ทั้งหมดบุคคลจึงต้องเผชิญปัญหาและเกิดความไม่สบายใจจนกลายเป็นความเครียด ความกังวล ใจความคับขอ้ งใจความขดั แย้งในใจ จึงเป็นสาเหตใุ ห้บคุ คลนั้นต้องอาศัยการปรบั ตัวเพ่ือให้เกิดความยืดหยุ่นใน การดาเนินชีวิต โดยการปรับตัวของแต่ละบุคคลจะขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพ สภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ที่ บคุ คลนั้นกาลงั เผชิญอยู่ด้วยเหตุนจ้ี ึงทาให้บุคคลเกิดการปรับปรุงพฤติกรรมของตนที่เรียกว่าการปรับตัว โดยมี จดุ ประสงคว์ ่าบุคคลตอ้ งการอย่ใู นสภาวะสมดุลระหว่างตนเองกับสิง่ แวดลอ้ มหรือปญั หาต่างๆที่เกิดขน้ึ

15 2.1.3 สาเหตุของการปรบั ตัว วราภรณ์ ตระกูลสฤษดิ์ (2545) กล่าวถึงสาเหตุของการปรับตัวว่า มนุษย์ต้องมีการปรับตัวเพื่อความ อยู่ รอดของชีวิตและเพ่ือความสุขและราบรืน่ ในชีวิตมนุษยโ์ ดยมีเหตุผลสาคญั ดงั นี้ 1. เพ่ือความอยู่รอดของชวี ติ ตลอดชวั่ ชีวิตของบุคคลหน่ึงๆ ย่อมผ่านช่วงชวี ติ มามากมาย พบกับความ เปลี่ยนแปลงทั้งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติเร่ิมต้ังแต่ปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนอยู่ในครรภ์ มารดา เจริญเติบโตมาเป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดาต่อมาคลอดเป็นทารกแรกเกิดและเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ เราทุกคนต้องพบกับสภาพความเปลีย่ นแปลงมาโดยตลอดซงึ่ ทุกคนตอ้ งปรับตวั เพื่อจะอยรู่ อดให้ได้ในแต่ละช่วง ชีวิต เช่น เมื่อทารกแรกเกิดก็ดูดด่ืมกินนมมารดาเพียงอย่างเดียวเม่ือโตข้ึนประมาณ 3 เดือนมารดาก็เริ่มจะให้ อาหารอ่ืนทดแทน ลักษณะการปรับตัวเช่นนี้เหตุผลคือความจาเป็นต้องปรับตัวเองให้เข้ากับ สภาพความ เปลย่ี นแปลงที่เกิดข้ึนกบั ตวั เรา “เพ่ือความอย่รู อดของชีวติ ” 2. เพ่ือความสุข หากมีคาถามว่าความสุขคืออะไร ความสุข คือ การไม่มีความทุกข์ ความทุกข์ คือ การไม่มีความสุข การปรับตวั ช่วยใหเ้ รามีความสุขได้อยา่ งไร การปรบั ตวั ชว่ ยให้เรายอมรับสภาพการณ์ สภาพ ปัญหาท่ีเกิดข้ึน แล้วพยายามหาวิธีการแก้ไขขจัดปัดเป่าปัญหาหรือสภาพที่ค่อนข้างเลวร้ายหรือสภาพการณ์ที่ เลวร้ายมากๆ ท่ีเกิดข้ึนกับตัวเราให้บรรเทาเบาบางลง ซึ่งอาจจะพยายามแก้ไขด้วยตนเองหรือมีการแสวงหา บุคคลอ่ืนมาช่วยแก้ไขปัญหาสุดท้ายเมื่อปัญหาคลี่คลายมีการแก้ไขแล้วความคิด ความรู้สึกของเราก็จะดีข้ึน ผอ่ นคลายความตึงเครยี ดลงไป เม่อื ความทกุ ขห์ ายความสุขสบายใจย่อมเกิดขึ้น สรุปได้วา่ แตล่ ะบุคคลมสี าเหตุ ของการปรับตัวท่ีแตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่จะปรับตัวเพ่ือแก้อุปสรรค หรือข้อขัดข้องใจของตนเอง เช่น การ ปรับตัวเม่ือเกิดความไม่สบายใจ ความวิตกกังวล ความคับข้องใจ และ ความเครียดเพ่ือตอบสนองความ ต้องการแห่งตนหรอื ท่ีตนไมส่ ามารถจะกระทาได้ 2.1.4 ลกั ษณะการปรับตวั มาลินี อยู่โพธิ์ (2525) กล่าวว่า บุคคลที่สามารถปรับตัวได้ดีมิใชผ่ ู้ที่ปราศจากปญั หาแต่เป็นผูท้ ่ีกล้าจะ เผชิญปัญหาอุปสรรคและความยุ่งยากในชีวิตอย่างมีสติและไม่หวาดหว่ัน ตลอดจนเป็นผู้ที่พร้อมจะเผชิญทั้ง ความสุขและความทุกข์ในชวี ิตบางครงั้ แม้จะประสบความผิดหวังและล้มเหลวในชีวิต กย็ ังมีความเข้มแข็งที่จะ ดาเนินชวี ิตตอ่ ไปโดยไมย่ อมพา่ ยแพห้ รอื ท้อถอย Worchel and Goethalo, 1985 อ้างใน กันต์กนิษฐ์ เกษมพงษ์ทองดี, 2546 กล่าวว่า การปรับตัว เปน็ งาน ประจาทบ่ี คุ คลจะต้องแกป้ ญั หาซ่ึงอาจจะเกิดจากตวั เองส่ิงแวดล้อมหรือบุคคลอ่ืนๆ ท่ีเก่ียวข้อง บคุ คล ที่ปรับตัวได้ดีคือบุคคลที่ประสบความสาเร็จในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี การรู้จักและยอมรับตนเองเป็นเคร่ืองมือพ้ืนฐานในการปรับตัวและการปรับตัวเป็นกระบว นการท่ีซับซ้อน เกย่ี วข้องกบั ส่งิ ตา่ งๆ ดงั ต่อไปน้ี 1. การเรยี นรแู้ ละเขา้ ใจตนเอง สังคม และส่งิ แวดลอ้ ม 2. การใชค้ วามเข้าใจตนเอง เพือ่ กาหนดเป้าหมายท่ีเปน็ จรงิ ใหก้ ับตนเอง

16 3. การใช้ความสามารถของตนเอง ควบคุมส่ิงแวดล้อม โชคชะตาของตัวเองเพ่ือท่ีจะบรรลุเป้าหมาย ของตน 4. ความไวต่อการรับรู้ความต้องการและความไม่สบายใจของผู้อ่ืน เพื่อที่จะสามารถให้ความ ชว่ ยเหลอื และใชช้ ีวิตร่วมกบั ผู้อ่ืนได้อย่างดี 2.2 การปรบั ตัวต่อการเรยี น ประธาน วัฒนวาณิชย์ (2529), ดวงแข วิทยาสุนทรวงศ์ (2541) กล่าวว่า การเรียนของนักศึกษาใหไ้ ด้ ผลดมี ีลกั ษณะ ดังน้ี 1. ความอยากเรียน (Motivation) การทาให้มีความศรัทธาอยากเรียนนับว่าเป็นส่ิงจาเป็นใน อันดับ แรกของการเรียนและเป็นความสาเร็จไปแล้วเกินครึ่ง วิธีการกระตุ้นให้นักศึกษาเกิดความอยากเรียน คือ ต้อง เรา้ ใจตนเองให้เกดิ ความสนใจอยากเรยี น 2. การแสดงตอบต่อการเรียน (Reaction) การเรียนจะได้ผลมากน้อยเพียงใดย่อมข้ึนอยู่กับ ความ พร้อมของผู้เรียน คือ ผู้เรียนจะต้องมีความพร้อมอย่างแรงกล้ามีจุดมุ่งหมายในการเรียนอย่างแน่นอน ย่อมจะ เรยี นไดด้ ีกว่าผู้ที่ไมม่ คี วามพรอ้ มในการเรยี น 3. มีสมาธิในการเรยี น (Concentration) การเรียนจะมีประสทิ ธิภาพต้องอาศัยความตั้งใจท่ีจะ จดจ่อ อยู่กับการเรียน ความพร้อมที่จะเรียน และสนใจในวิชานั้นจริง ๆ ส่ิงท่ีเป็นอุปสรรคต่อ สมาธิในการเรียน เช่น ความหิว ความอ่ิม เสียงดัง ฯลฯ ต้องขจัดให้หมดไปขณะที่ฟังคาบรรยายหากเกิดข้อสงสัยควรรีบจดไว้ เพื่อ ไมใ่ หข้ อ้ สงสยั นนั้ รบกวนสมาธิในการเรยี นในช่วงน้นั ๆ 4. การจัดลาดับเร่ืองท่ีเรียน (Organization) นักศึกษาจะต้องรู้จักจัดลาดับในเร่ืองท่ีจะเรียนให้ เป็น หมวดหม่กู ่อนหลัง มฉิ ะนน้ั จะสับสนปนเปทาให้เรียนไมเ่ ข้าใจ เกิดความเบอื่ หน่ายไมอ่ ยากเรียน 5. ความเข้าใจ (Comprehension) นักศึกษาจะต้องเข้าใจเรื่องท่ีจะเรียนว่ามีความมุ่งหมาย อย่างไร รู้จักจับหลกั สาคญั ของเรือ่ งนั้น ๆได้มีผู้ศึกษาเกีย่ วกับการปรบั ตัวของนิสิตนกั ศึกษาด้านการเรียน 2.3 ตัวแปรทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการปรับตัวของนสิ ิต 2.3.1 ปัจจัยทสี่ ่งผลต่อการเรียนออนไลน์ (ธนพรรณ ทรัพยธ์ นาดล, 2554) 1) ดา้ นผู้เรยี น นิสิตไม่เข้าใจระบบการเรยี นการสอน การใชส้ อื่ เทคโนโลยที างออนไลน์ ที่มีหลากหลาย รปู แบบ หลายชอ่ งทาง เช่น Google meet ,Zoom, Ms team 2) ด้านความพร้อมของสื่อและอุปกรณ์ ในการเรียนแบบออนไลน์นิสิตต้องมีอุปกรณ์ในการเข้าถึงส่ือ ออนไลน์ เช่น สมารท์ โฟน โน้ตบุค๊ แทป็ เลต รวมถึงการใชส้ ญั ญาณเครือข่ายอนิ เตอร์เน็ตทต่ี ้องมีความเสถียรใน การเข้าเรียนบทเรยี นออนไลน์. การทาแบบทดสอบท้ายบทเรยี น รวมถึงการสง่ งานทีไ่ ด้รบั มอบหมาย 3)ด้านรูปแบบการเรียนการสอน การจัดการเรียนการสอนหลากหลายรูปแบบ มีการแนบเอกสาร ประกอบการสอนและส่ือคลิปวิดิโอในระบบ E-learning ในการให้นิสิตเข้าไปศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองและการ เรียนสดเสมอื นเรยี นในหอ้ งเรยี นแบบออนไลนก์ บั ผสู้ อน

17 4)ด้านสิ่งแวดล้อม การท่ีนิสิตต้องเข้าเรียนในระบบออนไลน์ด้วยตนเองจากสถานที่ภายนอกที่ไม่ใช่ การเรียนการสอนในมหาวทิ ยาลัย ทาใหม้ สี ่งิ เรา้ ภายนอกที่เป็นตัวกระตนุ้ ความกระตอื รือร้นหรือตวั รบกวนการ เรยี นการสอน เชน่ ปัจจัยด้านเสียงจากในสถานที่ทีอ่ าศยั อยู่ ดา้ นสถานทีท่ เี่ รยี นมคี วามไมเ่ หมาะสม 2.3.2 ปญั หาในการเรียนแบบออนไลน์ - ผเู้ รยี นขาดความพร้อมของอปุ กรณ์และระบบเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ต - ผ้เู รยี นและผสู้ อนขาดทักษะการใช้คอมพิวเตอรแ์ ละอินเทอร์เน็ต ผเู้ รยี นและผสู้ อน - ผู้เรียนขาดความพร้อมทางจิตใจ และขาดความกระตือรือร้น ตื่นตัว ใฝ่รู้ ในการเรียนแบบออนไลน์ - สอื่ การสอนไม่เหมาะสม ขาดความน่าสนใจ - ผู้สอนไม่สามารถรบั รู้ความร้สู ึก ปฏกิ ิรยิ า อารมณใ์ นการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นได้อยา่ งแทจ้ รงิ 2.4 ความรทู้ ัว่ ไปเกี่ยวกับการเรียนแบบออนไลน์ 2.4.1 ความหมายของ e-Learning Campbell (Campbell,1999 อ้างใน ยงยุทธ ชมไชย,2554) ได้ให้ความหมายบทเรียนออนไลน์ e- Learning คอื การใช้เทคโนโลยที ่ีมอี ยู่ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สร้างการศกึ ษาทม่ี ีปฏสิ มั พนั ธ์และการศึกษาที่มี คณุ ภาพสงู ทีผ่ ู้คนทัว่ โลกมีความสะดวก และสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว ไมจ่ ากดั สถานทแ่ี ละเวลา เปน็ การ เปิดประตูการศึกษาตลอดชวี ติ ให้กับประชากร Krutus (Krutus,2000 อ้างใน ยงยุทธ ชมไชย,2554) ได้นิยามไว้ว่า บทเรียนออนไลน์ e-Learning หมายถึง รูปแบบของเน้ือหาสาระที่สร้างเป็นบทเรียนออนไลน์สาเร็จรูป ที่อาจใช้ซีดีรอม (CD-ROM) เป็น สื่อกลางในการส่งผ่าน หรือใช้การส่งผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายภายใน ทั้งน้ีอาจจะอยู่ในรูปแบบ คอมพิวเตอร์ช่วยการฝึกอบรม (Computer Based Training: CBT) และการใช้เว็บเพ่ือการฝึกอบรม (Web Based Training: WBT) หรอื การเรียนการสอนทางไกล (Distance Learning) ผ่านดาวเทียมกไ็ ด้ ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2559) ได้ให้คาจากัดความไว้ 2 ความหมาย - ความหมายแรกบทเรียนออนไลน์ e-Learning คือ การเรียนเน้ือหา หรือสารสนเทศสาหรับการ สอน หรือการอบรม ซ่ึงใช้การนาเสนอด้วยตัวอักษร, ภาพนิ่ง ผสมผสานกับการใช้ภาพเคล่ือนไหว, วีดิทัศน์ และเสียง โดยอาศัยเทคโนโลยีของเว็บ ในการถ่ายทอดเน้ือหา รวมทั้งใช้เทคโนโลยีการจัดการคอร์ส (Course Management System) ในการบริหารจดั การงานสอนตา่ งๆ - ความหมายที่สองบทเรียนออนไลน์ e-Learning คือ การเรียนในลกั ษณะใดกไ็ ด้ ซึ่งใช้การถ่ายทอด เน้ือหาผ่านทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ เครือข่ายอินทราเน็ต อินเตอร์เน็ต เอ็กซ์ทรา เนต็ หรือสัญญาณโทรทศั น์ สัญญาณดาวเทียม สุรสทิ ธ์ิ วรรณไกรโรจน์ (2550) ได้ใหค้ าจากดั ความของ บทเรียนออนไลน์ e-Learning คอื การเรยี นรู้ แบบออนไลน์ หรือ e-learning การศึกษาเรียนรู้ผ่านเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต หรืออินทราเน็ต เป็น

18 การเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเน้ือหาของบทเรียนซ่ึง ประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอ่ืนๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดย ผู้เรียน ผู้สอน และเพ่ือนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อปรึกษา แลกเปล่ียนความคิดเห็นระหว่างกันได้ เช่นเดียวกับการเรียนในช้ันเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ ส่ือสารท่ีทันสมัย เช่น e-mail, webboard, chat) จึงเปน็ การเรียนสาหรับทกุ คน, เรยี นไดท้ ุกเวลา และทกุ สถานท่ี (Learn for all : anyone, anywhere and anytime) บุญเลิศ อรุณพิบูลย์ และ บุญเกียรติ เจตจานงนุช (2548) ได้ให้ความหมายบทเรียนออนไลน์ e- Learning คือ การใช้ทรัพยากรต่างๆ ในระบบอินเทอร์เน็ต มาออกแบบและจัดระบบเพื่อสร้างระบบการเรียน การสอน โดยการสนับสนุนและสงเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ตรงกับความต้องการของผู้สอน และผ้เู รยี น เช่ือมโยงระบบเป็นเครอื ข่ายทสี่ ามารถเรียนรู้ไดท้ ุกท่ี ทกุ เวลา และทกุ คน สามารถประเมิน ติดตาม พฤตกิ รรมผเู้ รียนได้ เสมือนการเรียนในห้องเรยี นจริง โดยสามารถพจิ ารณาไดจ้ ากคุณลักษณะ ดังนี้ - เวบ็ ไซต์ทเ่ี ก่ยี วของกบั การศกึ ษา เกี่ยวขอ้ งกบั เนื้อหารายวชิ าใดวชิ าหน่งึ เป็นอยา่ งนอ้ ย หรอื การศกึ ษาตามอธั ยาศยั - ผู้เรียนสามารถเรยี นร้ไู ดด้ ้วยตนเอง จากทกุ ท่ีทุกเวลาโดยอสิ ระ - ผู้เรียนมีอิสระในการเรียน การบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้แต่ละเนื้อหา ไม่จาเป็นต้องเหมือนหรือ พร้อมกับผ้เู รยี นรายอ่ืน - มีระบบปฏสิ ัมพันธ์กับผูเ้ รียน และสามารถเรยี นร้รู ว่ มกนั ได้ - มเี ครอ่ื งมือทว่ี ดั ผลการเรยี นได้ - มกี ารออกแบบการเรยี นการสอนอย่างมรี ะบบ - ผสู้ อนมีสภาพเปน็ ผู้ช่วยเหลือผเู้ รียนในการคน้ หา การประเมนิ การใช้ประโยชนจ์ ากเนอื้ หา จากส่อื รปู แบบต่างๆ ที่มีใหบ้ ริการ - มรี ะบบบริหารจดั การการเรยี นรู้ (Learning Management System/LMS) - มีระบบบรหิ ารจดั การเน้ือหา/หลกั สตู ร (Content Management System/CMS) สรุป การเรียนแบบออนไลน์ e-Learning คือ การใช้ทรัพยากรต่างๆ ในระบบอินเทอร์เน็ต มา ออกแบบและจัดระบบ เพื่อสร้างระบบการเรยี นการสอน โดยการสนับสนนุ และส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่าง มีความหมาย ตรงกับความต้องการของผู้สอนและผู้เรียน เช่ือมโยงระบบเป็นเครอื ข่ายที่สามารถเรียนรูไ้ ดท้ กุ ท่ี ทุกเวลา และทกุ คน ดังนัน้ จะเหน็ ไดว้ า่ E-learning เป็นระบบการเรียนการสอนที่เกยี่ วข้องกับเทคโนโลยี และ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีสภาวะแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวา (Active Learning) และการ เรียนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center Learning) ผู้เรียนเป็นผู้คิด ตัดสินใจเรียน โดยการสร้าง ความรู้และความเข้าใจใหม่ๆ ด้วยตนเอง สามารถเช่ือมโยงกระบวนการเรียนรู้ให้เข้ากับชีวิตจริง ครอบคลุม การเรยี นทกุ รปู แบบ ทั้งการเรยี นทางไกล และการเรียนผา่ นเครอื ข่ายระบบตา่ งๆ

19 2.4.2 ขอ้ คานึงในการจัดการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ (ยงยทุ ธ ชมไชย,2554) การจัดการเรยี นการสอนผ่านเวบ็ ควรคานึงถึงประเดน็ ตา่ งๆ ตอ่ ไปน้ี 1. ความพร้อมของอุปกรณ์และระบบเครือข่าย เน่ืองด้วยการเรียนการสอนผ่านเว็บ เป็นการปรับ เน้ือหาเดิมสู่รูปแบบใหม่ จาเป็นต้องมีเคร่ืองมือ อุปกรณ์ และระบบเครือข่ายที่พร้อมและสมบูรณ์ เพ่ือให้ได้ บทเรยี นดิจิตอลท่ีมีคุณภาพ และทันต่อความต้องการเรียน ผูเ้ รยี นสามารถเลอื กเวลาเรียนไดท้ ุกชว่ งเวลาตามท่ี ตอ้ งการ ซ่ึงในประเทศไทยพบวา่ มปี ญั หาในดา้ นน้มี าก โดยเฉพาะในเขตนอกเมอื งใหญ่ 2. ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนและผู้สอน ต้องมีความรู้และทักษะท้ังด้าน คอมพวิ เตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตพอสมควร โดยเฉพาะผสู้ อนจาเป็นต้องมีทักษะอ่ืนๆ ประกอบเพ่ือสร้าง เว็บไซตก์ ารสอนที่น่าสนใจให้กับผเู้ รยี น 3. ความพร้อมของผู้เรียน ผู้เรียนจะต้องมีความพร้อมท้ังทางจิตใจ และความรู้ คือ จะต้องยอมรับใน เทคโนโลยรี ูปแบบน้ี ยอมรับการเรียนดว้ ยตนเอง มคี วามกระตอื รือร้น ตน่ื ตัว ใฝร่ ู้ มีความรับผิดชอบ กลา้ แสดง ความคิดเหน็ และศกึ ษาความรู้ใหมๆ่ 4. ความพร้อมของผู้สอน ผู้สอนจะต้องเปล่ียนบทบาทจากผูแ้ นะนา มาเป็นผู้อานวยความสะดวก ยึด ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากเรียนรู้ กระตุ้นการทากิจกรรม เตรียม เนื้อหาและแหล่งค้นคว้าที่มีคุณภาพ รวมทั้งความพร้อมด้านการใช้คอมพิวเตอร์ การผลิตบทเรียนออนไลน์ และการเผยแพร่บทเรยี นผ่านเครอื ข่ายอินเทอร์เนต็ 5. เน้อื หา บทเรยี น เนอ้ื หาบทเรียนจะต้องเหมาะสมกบั ผ้เู รียนใหม้ ากกลุม่ ทสี่ ดุ มีหลากหลายใหผ้ ู้เรยี น แต่ละกลุ่มเลือกเรียนได้ด้วยตนเอง มีกิจกรรมวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เลือกใช้ส่ือการสอนที่เหมาะสม และ เหมาะสมกบั ความพร้อมของเทคโนโลยี การลาดบั เนอื้ หาไมซ่ บั ซ้อน ไมก่ ่อให้เกิดความสับสน ระบแุ หล่งคน้ คว้า อื่นๆ ทเี่ หมาะสม 2.4.3 ข้อดแี ละขอ้ เสียของการเรียนออนไลน์ (ยงยุทธ ชมไชย,2554) ข้อดี - เอ้อื อานวยให้กับการตดิ ต่อสอ่ื สารทรี่ วดเร็ว ไม่จากดั เวลาและสถานท่ี รวมท้งั บคุ คล - ผเู้ รยี นและผสู้ อนไมต่ ้องการเรียนและสอนในเวลาเดยี วกัน - ผู้เรยี นและผู้สอนไมต่ ้องมาพบกนั ในหอ้ งเรยี น - ตอบสนองความต้องการของผเู้ รียน และผสู้ อนทไ่ี มพ่ รอ้ มดา้ นเวลา ระยะทางในการ เรยี นไดเ้ ปน็ อย่างดี - ผูเ้ รียนทีไ่ มม่ คี วามมั่นใจ กลัวการตอบคาถาม ต้งั คาถาม ตัง้ ประเดน็ การเรียนรู้ในห้องเรียน มีความกล้ามากกวา่ เดมิ เนือ่ งจากไมต่ ้องแสดงตนตอ่ หนา้ ผู้สอน และเพอ่ื นรว่ มชั้น โดยอาศยั เครอ่ื งมือ เชน่ E-Mail, กระดานสนทนา, Chat แสดงความคดิ เหน็ ได้อย่างอสิ ระ ข้อเสยี - ไมส่ ามารถรบั รคู้ วามรู้สึก ปฏิกริ ิยาทีแ่ ทจ้ ริงของผู้เรียนและผู้สอน - ไมส่ ามารถสอื่ ความรู้สึก อารมณใ์ นการเรียนรไู้ ด้อยา่ งแทจ้ ริง

20 - ผเู้ รียน และผ้สู อน จะตอ้ งมคี วามพรอ้ มในการใชค้ อมพวิ เตอร์และอนิ เทอรเ์ นต็ ทงั้ ด้าน อุปกรณ์ ทกั ษะการใชง้ าน - ผเู้ รยี นบางคน ไม่สามารถศึกษาด้วยตนเองได้ 2.4.4 ประโยชนข์ องการเรยี นการสอนออนไลน์ ยงยุทธ ชมไชย (2554) ไดก้ ลา่ วถงึ ประโยชน์ของบทเรียนออนไลน์ ไวด้ ังต่อไปนี้ - เพิ่มประสิทธภิ าพและสนบั สนุนการเรียนการสอน - เกิดเครือขา่ ยความรู้ - เนน้ การเรยี นแบบผูเ้ รียนเป็นศูนย์กลาง ตรงตามหวั ใจของการปฏิรูปการศึกษา - ลดช่องว่างการเรยี นรู้ระหว่างเมอื งและท้องถ่ิน บณั ฑิตา ประวาลพฤกษ์. (2550) ไดก้ ลา่ วถงึ ประโยชน์ของ e-Learning ไว้ดังต่อไปนี้ 1. ยืดหยุ่นในการปรับเปล่ียนเนื้อหา และ สะดวกในการเรียน การเรียนการสอนผ่านระบบ e- Learning นั้นง่ายต่อการแก้ไขเนื้อหา และกระทาได้ตลอดเวลา เพราะสามารถกระทาได้ตามใจของ้ผู้สอน เนื่องจากระบบการผลติ จะใช้คอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบหลัก นอกจากนี้ผู้เรียนก็สามารถเรียนโดยไม่จากัด เวลา และสถานที่ 2. เข้าถึงได้ง่าย ผู้เรียนและผู้สอนสามารถเข้าถึง e-learning ได้ง่าย โดยมากจะใช้ web browser ของค่ายใดก็ได้ (แต่ท้ังนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้ผลิตบทเรียน อาจจะแนะนาให้ใช้ web browser แบบใดที่เหมาะกับ ส่ือการเรียนการสอนนั้น ๆ) ผู้เรียนสามารถเรียนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใดก็ได้ และในปัจจุบันน้ี การเข้าถึง เครือข่ายอินเตอร์เน็ตกระทาได้ง่ายขึ้นมาก และยังมีค่าเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่มีราคาต่าลงมากกว่าแต่ก่อนอีก ดว้ ย 3. ปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยกระทาได้ง่าย เน่ืองจากผู้สอน หรือผู้สร้างสรรค์งาน e-Learning จะ สามารถเข้าถึง server ได้จากท่ีใดก็ได้ การแก้ไขข้อมูล และการปรับปรุงข้อมูล จึงทาได้ทันเวลาด้วยความ รวดเรว็ 4. ประหยัดเวลา และค่าเดินทาง ผู้เรียนสามารถเรียนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ โดย จาเป็นต้องไปโรงเรียน หรือท่ีทางาน รวมทั้งไม่จาเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องประจาก็ได้ ซึ่งเป็นการ ประหยดั เวลามาก การเรยี น การสอน หรือการฝกึ อบรมด้วยระบบ e-Learning น้ี จะสามารถประหยดั เวลาถึง 50% ของเวลาทใ่ี ชค้ รสู อน หรอื อบรม

21 บทที่ 3 วธิ ดี าเนินการศึกษา การวิจัยคร้ังน้ี เป็นการวิจัยเชิงสารวจเก่ียวกับการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ในหลักสูตร พยาบาลศาสตร์ของท่านระดับปริญญาตรี ช้ันปีท่ี 3 และ 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปี การศึกษา 2563 ซ่ึงผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนนิ การตามลาดบั ดังนี้ 3.1 การกาหนดประชากรและการเลือกตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย 3.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3.4 การวิเคราะห์ขอ้ มลู 3.5 สถิตทิ ่ใี ช้ในการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมอื 3.6. สถิตทิ ใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 การกาหนดประชากรและการเลือกตวั อยา่ ง ประชากร ท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ีคือ นิสิตระดับปริญญาตรีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 เปน็ ท่านช้นั ปีที่ 3 จานวน 125 คน และชน้ั ปที ่ี 4 จานวน 125 คน รวม 250 คน กลุ่มตัวอย่าง กาหนดขนาดของตัวอย่างที่ใช้ศึกษา คือ นิสิตระดับปริญญาตรี ช้ันปีท่ี 3 และ 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร โดยใช้สูตร Yamane, 1973 โดยพิจารณาผู้เข้าร่วมวิจัยจากเกณฑ์การคัดเลือก ที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามเกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria) และเกณฑ์การคดั ออก (Exclusion criteria) เกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria) 1) เปน็ นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ชน้ั ปที ่ี 3 และ 4 ของมหาวิทยาลยั นเรศวร 2) เป็นนิสติ ทีก่ าลงั ศึกษาในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบ์ ัณฑิต โดยเคยหรอื กาลังใช้การเรยี นแบบ ออนไลน์ 3) ยนิ ดเี ข้าร่วมการวิจยั เกณฑ์การคัดออก (Exclusion criteria) 1) ผทู้ ไี่ ม่สามารถร่วมโครงการวิจัยไดต้ ลอดโครงการวิจัย 2) ผ้ทู ี่ศกึ ษาหลักสตู รพยาบาลศาสตรบ์ ณั ฑติ ที่ไม่เคยใช้การเรยี นแบบออนไลน์

22 วธิ ีการคานวณกลุ่มตวั อย่าง : กาหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้สตู ร Yamane, 1973 N n = 1 + ������������2 เมื่อ n แทน ขนาดของตวั อย่าง N แทน ขนาดของประชากร e แทน ความคลาดเคลื่อนของการสุม่ ท่ยี อมรับได้ (Sampling Error) ในท่นี ้กี าหนดใหไ้ ม่เกิน 0.05 การคานวณหาขนาดตวั อยา่ งจากประชากรทา่ นคณะพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีท่ี 3 ปกี ารศึกษา 2563 โดยใชส้ ูตร ของ Yamane ไดด้ ังนี้ N = 125 = 125 1+125(0.05)2 = 95.24 น่ันคอื ได้ขนาดตัวอยา่ งของท่านคณะพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีท่ี 3 และ ช้นั ปที ่ี 4 ท่จี ะใชเ้ ก็บขอ้ มูล จานวน ชนั้ ปลี ะ 96 คน ดงั น้นั ขนาดตัวอยา่ งทใ่ี ชใ้ นการเก็บข้อมูลทั้งหมด คือ 192 คน จากการสุ่มตัวอยา่ งแบบการสุม่ ตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) 3.2 เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการวิจัย เครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นเองเพ่ือให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงานวิจัย ซึง่ เป็นแบบสอบ ทมี่ ขี ้อคาถามปลายปิดและข้อคาถามปลายเปิดประกอบด้วย 5 ส่วน ส่วนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย นเรศวร ประกอบด้วย คาถามจานวน 6 ขอ้ ไดแ้ ก่ เพศ ชัน้ ปี ภมู ิลาเนา ทพ่ี ักอาศัยปัจจบุ ัน อปุ กรณท์ ่ีใชใ้ นการ เรยี นออนไลน์ ระบบบอินเทอร์เน็ตทีใ่ ชใ้ นการเรยี นออนไลน์ ส่วนที่ 2 แบบสอบถามการปรับตัวด้านการเรียน มาตราส่วนประมาณค่าแบบกาหนดตัวเลข (Numerical Rating scale) มตี ัวเลอื ก 4 ระดบั มจี านวน 10 ข้อ ประกอบดว้ ย เนอ้ื หาเกยี่ วกับการปรบั ตัวของ นิสิตในด้านการเรียน การเตรียมความพร้อมเก่ียวกับเน้ือหา การทางานท่ีได้รับมอบหมายผ่านทางออนไลน์ ส่วนที่ 3 แบบสอบถามการปรับตัวด้านสงั คมมาตราส่วนประมาณค่าแบบกาหนดตัวเลข (Numerical Rating scale) มีตัวเลือก 4 ระดับ มีจานวน 10 ข้อ ประกอบด้วย เน้ือหาเกี่ยวกับการปรับตัวของนิสิตในการ ทางานกลุ่ม การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และการติดต่อประสานงานกับเพ่ือนในกลุ่มผ่านทาง ออนไลน์

23 ส่วนท่ี 4 แบบสอบถามการปรับตัวด้านอารมณ์ มาตราส่วนประมาณค่าแบบกาหนดตัวเลข (Numerical Rating scale) มตี วั เลอื ก 4 ระดบั มจี านวน 10 ขอ้ ประกอบด้วย เนื้อหาเก่ยี วกับการปรบั ตัวของ นสิ ิตในดา้ นอารมณ์ การจัดการกบั ความเครยี ดและความกังวลทม่ี ตี อ่ การเรยี นแบบออนไลน์ ส่วนท่ี 5 แบบสอบถามการปรับตัวด้านร่างกาย มาตราส่วนประมาณค่าแบบกาหนดตัวเลข (Numerical Rating scale) มีตัวเลอื ก 4 ระดบั มีจานวน 10 ขอ้ ประกอบด้วยเนื้อหาเกย่ี วกับการปรับตัวของ นิสิตในด้านรา่ งกายและสงิ่ แวดล้อม ขณะมีการเรยี นผา่ นทางออนไลน์ ลักษณะแบบสอบถามท่สี ร้างข้ึน เปน็ แบบสอบถามปลายปิด มขี อ้ คาถามให้เลือกตอบเปน็ มาตราสว่ นประมาณ ค่า 4 ระดบั โดยกาหนดคะแนน ในแตล่ ะระดับดงั นี้ มกี ารปฏิบัตติ นจริงมากที่สดุ ได้คะแนน 4 มกี ารปฏิบัตติ นคอ่ นขา้ งจริง ได้คะแนน 3 มกี ารปฏิบัตติ นจริงบางคร้ัง ไดค้ ะแนน 2 มีการปฏบิ ตั ติ นไมจ่ รงิ ไดค้ ะแนน 1 ผู้วิจัยปรับปรุงข้อคาถามในแบบประเมินการปรับตัวของนิสิตระดับปริญญาตรีชั้นปีท่ี 1 ของ นันทิชา บุญ ละเอียด (2554) ซึ่งมีจานวนข้อคาถาม 40 ข้อ เพื่อให้สอดคล้องกับงานวิจัยน้ี โดยได้ดาเนินการตาม ข้ันตอน ดังตอ่ ไปนี้ 1. ศึกษาเอกสาร งานวิจัยและกรอบแนวคิด ท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือนามาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุง แบบสอบถามใหม้ ปี ระสิทธิภาพและสอดคล้องตามวตั ถุประสงคข์ องงานวิจัย 2. ปรับปรงุ แบบสอบถาม โดยแบ่งออกเปน็ ส่วนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ประกอบด้วย คาถามจานวน 6 ข้อ ได้แก่ เพศ ชั้นปี ภูมิลาเนา ท่ีพักอาศัยปัจจุบัน อปุ กรณ์ที่ใช้ในการเรียนออนไลน์ ระบบบอนิ เทอร์เนต็ ทีใ่ ช้ในการเรยี นออนไลน์ ส่วนที่ 2 แบบสอบถามการปรับตัวด้านการเรียน มาตราส่วนประมาณค่าแบบกาหนดตัวเลข (Numerical Rating scale) มตี วั เลือก 4 ระดับ มจี านวน 10 ขอ้ ประกอบด้วย เนอ้ื หาเกี่ยวกับการปรบั ตัวของ นิสิตในด้านการเรียน การเตรียมความพร้อมเก่ียวกับเน้ือหา การทางานท่ีได้รับมอบหมายผ่านทางออนไลน์ ส่วนท่ี 3 แบบสอบถามการปรับตัวด้านสังคมมาตราส่วนประมาณค่าแบบกาหนดตัวเลข (Numerical Rating scale) มีตวั เลอื ก 4 ระดบั มจี านวน 10 ขอ้ ประกอบด้วย เนือ้ หาเกยี่ วกับการปรบั ตัวของ นิสิตในการทางานกลุ่ม การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และการติดต่อประสานงานกับเพื่อนในกลุ่ม ผ่านทางออนไลน์ ส่วนท่ี 4 แบบสอบถามการปรับตัวด้านอารมณ์ มาตราส่วนประมาณค่าแบบกาหนดตัวเลข (Numerical Rating scale) มตี วั เลอื ก 4 ระดับ มีจานวน 10 ขอ้ ประกอบด้วย เนอ้ื หาเก่ยี วกับการปรบั ตัวของ

24 นิสิตในดา้ นอารมณ์ การจัดการกับความเครยี ดและความกงั วลทม่ี ตี อ่ การเรียนแบบออนไลน์ ส่วนที่ 5 แบบสอบถามการปรับตัวด้านร่างกาย มาตราส่วนประมาณค่าแบบกาหนดตัวเลข (Numerical Rating scale) มตี วั เลอื ก 4 ระดบั มีจานวน 10 ขอ้ ประกอบด้วยเน้ือหาเก่ียวกับการปรับตัวของ นสิ ิตในดา้ นรา่ งกายและสงิ่ แวดลอ้ ม ขณะมีการเรียนผ่านทางออนไลน์ 3. นาแบบสอบถามท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ท่ีปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเช่ียวชาญ ทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษา ได้แก่ อาจารย์พยาบาลท่ีมีความเช่ยี วชาญทางดา้ นเทคโนโลยีทางการศกึ ษา (อาจารย์ผู้สอนรายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) จานวน 3 ท่าน เพ่ือตรวจสอบความถูกต้อง ความเทีย่ งตรงตามเนื้อหา และเสนอแนะเพ่ิมเติมเพื่อให้ได้ข้อคาถามท่ีมีข้อความตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย งานวิจัยน้ียอมรับได้ ณ ค่าความเท่ียงตรงท่ี 0.80 (ปราณี มีหาญพงษ์และคณะ, 2561) การทดสอบความ เที่ยงตรงของชุดคาถาม การนาผลของผ้เู ช่ียวชาญแต่ละท่านมารวมกันคานวณหาความเท่ียงตรงเชิงเนอ้ื หา ซ่ึง คานวณจากความสอดคล้องระหว่างประเด็นที่ต้องการวัดกับคาถามที่สร้างขึ้น ดัชนีที่ใช้แสดงค่าความ สอดคล้อง เรียกว่า ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามและวัตถุประสงค์ (Item-Objective Congruence Index: IOC) 3.3 สถติ ิท่ใี ชใ้ นการตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมอื สถิติที่ใช้ทดสอบความเท่ียงตรงของชุดคาถาม (Validity) ของชุดคาถาม โดย ผู้ทรงคุณวุฒิท่ีมีความ เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษา ได้แก่ อาจารย์พยาบาลท่ีมีความเช่ียวชาญทางด้านเทคโนโลยีทาง การศึกษา (อาจารย์ผู้สอนรายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร) จานวน 3 ท่าน ตรวจสอบความถูก ต้องของเนื้อหาและความตรงของภาษา จานวน โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item-Objective Congruence: IOC ) ( ประจกั ษ์ ปฏิทศั น์, 2559) โดยมีสูตรดังนี้ เมอื่ IOC แทน ดัชนคี วามสอดคลอ้ ง A R แทน คะแนนการพิจารณาของผเู้ ช่ียวชาญ ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนพิจารณาของผูเ้ ชี่ยวชาญ N แทน จานวนผเู้ ชี่ยวชาญ กาหนดคะแนนของผเู้ ช่ียวชาญเปน็ +1 หรอื 0 หรอื -1 ดงั นี้ +1 แทน แน่ใจว่าข้อสอบขอ้ น้นั วัดจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมที่ระบุไว้จรงิ

25 0 แทน ไมแ่ น่ใจวา่ ขอ้ สอบน้นั วัดจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมท่รี ะบุไว้ -1 แทน แน่ใจว่าข้อสอบข้อนัน้ ไมไ่ ดว้ ัดจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมท่ีระบุ ผลการทดสอบความเทยี่ งตรงของชุดคาถาม โดยหาคา่ ดชั นคี วามสอดคล้อง พบวา่ - แบบสอบถามด้านการเรียน จานวน 10 ข้อ มีค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ ง เทา่ กบั 0.93 - แบบสอบถามดา้ นสงั คม จานวน 10 ข้อ มคี า่ ดชั นีความสอดคลอ้ ง เทา่ กบั 1 - แบบสอบถามด้านอารมณ์ จานวน 10 ข้อ มคี ่าดชั นคี วามสอดคลอ้ ง เท่ากับ 0.98 - แบบสอบถามด้านรา่ งกาย จานวน 10 ขอ้ มคี ่าดัชนคี วามสอดคล้อง เทา่ กับ 0.93 จากผลการวิเคราะหค์ า่ ดัชนีความสอดคลอ้ งของชดุ คาถาม จานวน 40 ข้อ พบว่า มคี ่าเทา่ กับ 0.96 4. นาแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบและแก้ไขไปทดลองใช้ (Try out) โดยนาแบบสอบถามฉบับ สมบูรณ์น้ันไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ช้ันปีท่ี 2 มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ไม่ได้เป็นกลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยนี้ จานวน 30 คน โดยนามาจากนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ช้นั ปีที่ 2 ที่เคย มีรประสบการณ์ในการเรียนแบบออนไลน์ จานวน 30 คน รวมเป็นแบบสอบถามจานวน 30 ชุด เพื่อหาค่า ความเช่ือมั่น (Reliability) โดยใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธ์ิอัลฟ่า (alpha Coefficient) ด้วยสูตรครอนบรัคอัลฟ่า (Cronbach’s alpha) เพอ่ื ให้ได้คา่ ความเชื่อมนั่ ซึง่ มีคา่ เทา่ กับ 0.93 แสดงวา่ มีความเชื่อถือได้มาก ซง่ึ งานวิจัย นี้ ยอมรับได้ ณ คา่ ความเชอื่ มน่ั ท่ี 0.80 (ปราณี มีหาญพงษแ์ ละคณะ, 2561)

26 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล การดาเนนิ การวจิ ัย / การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลของการศึกษาคร้ังนี้ คือ การใช้แบบสอบถามปลายปิดและข้อคาถาม ปลายเปิด โดยมีขน้ั ตอนการรวบรวมข้อมลู ดังน้ี 1. ทาหนังสือขออนุญาตจากคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อขอเข้าเก็บข้อมูล วิจยั กับกลุ่มตัวอย่าง 2. เม่ือได้รับอนุญาตแล้ว คณะผู้วิจัยติดต่อกับเจ้าหน้าที่แผนระเบียนนักศึกษา เพ่ือขอทราบรายช่ือ นิสติ ชั้นปีที่ 3 และช้ันปีท่ี 4 3. เม่ือไดร้ ายช่ือนิสิตช้ันปีท่ี 3 และชั้นปีท่ี 4 โดยชน้ั ปที ี่ 3 จานวน 125 คน และช้นั ปที ี่ 4 จานวน 125 คน รวม 250 คน ทาการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย ช้ันปีละ 96 คน และชี้แจงวัตถุประสงค์การวิจัยอธิบาย ขั้นตอนและวิธีการรวบรวมข้อมูลและขอความรว่ มมือในการตอบแบบสอบถามการวิจัย แบบ eletronic และ ทาการ ส่งลิงค์ของแบบสอบถามท่ีทาใน google form และขอความร่วมมือตอบแบบสอบถามภายใน 1 สปั ดาห์ 4. เมื่อได้รับการตอบแบบสอบถามทาง google form ของนิสิตกลุ่มตัวอย่างชั้นปีท่ี 3 และ 4 ครบ แล้ว ได้ทาการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล แล้วจึงประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลโดย วธิ กี ารทางสถิติ 3.5 การวเิ คราะห์ข้อมลู ผวู้ จิ ัยได้ทาการวิเคราะห์ขอ้ มูล/การเลอื กใช้สถิตใิ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ดังนี้ 1.นาแบบสอบถามที่ได้รับการตอบกลับจากนิสิตกลุ่มตัวอย่างชั้นปีที่ 3 และ 4 ท้ังหมดมาตรวจสอบ ความสมบูรณข์ องแบบสอบถาม 2. นาแบบสอบถามทีส่ มบรู ณ์มาวเิ คราะห์ทางสถิติโดยใชค้ อมพิวเตอรใ์ นการคานวณ โดยการวจิ ัยคร้งั นีใ้ หร้ ะดับนัยสาคญั ทางสถติ ิ 0.05 โดยดาเนนิ การตามข้นั ตอน ดังนี้ 2.1 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ ชั้นปี ภูมิลาเนา ท่ีพักอาศัย ปัจจุบัน อุปกรณ์ท่ีใช้ในการเรียนออนไลน์ และระบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้ในการเรียนออนไลน์โดยการหา ค่าร้อย ละ (Percentage) 2.2 ตามวัตถุประสงค์ข้อ 1 เพ่ือศึกษาการปรับตัวของท่านหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวรต่อการเรยี นแบบออนไลน์ ในแต่ละด้านการปรบั ตัว ได้แก่ ด้านการเรียน ด้านสังคม ด้าน อารมณ์ และด้านสังคมและส่ิงแวดล้อม โดยทาการวิเคราะห์ด้วยการหาค่าคะแนนการปรับตัวโดยเฉล่ีย (Mean) และคา่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard deviation)

27 2.3 ตามวตั ถปุ ระสงคข์ ้อ 2 เพอื่ ศึกษาความแตกตา่ งเปรยี บเทียบคะแนนเฉล่ียในการปรับตวั ต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสติ หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ช้ันปีท่ี 3 และชนั้ ปีที่ 4 โดยทาการ วเิ คราะห์ดว้ ยการทดสอบที (t-test for Independent samples) (ปญั ญา คาพยา,2560) 3.6 สถิติท่ใี ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) เป็นหลักการท่ีใช้การเก็บรวบรวมข้อมูล นาเสนอข้อมูลและหาค่าสถิติเบ้ืองต้น ซ่ึงเป็นการอธิบายหรือบรรยายลักษณะของข้อมูลที่เก็บรวบรวม แต่จะ ไม่สามารถอ้างอิงถึงลักษณะประชากรได้ จึงเป็นการสรุปถึงลักษณะของข้อมูลกลุ่มที่ศึกษา (กัลยา วานิชย์ บัญชา, 2545 อา้ งองิ ใน ณฐกมล คงดี, 2560) อนั ประกอบดว้ ย 1.1 การหาคา่ รอ้ ยละ (Percentage) (กัลยา วานิชย์บญั ชา, 2545 อ้างอิงใน ณฐกมล คงดี , 2560) ใช้วเิ คราะหข์ ้อมูลส่วนบุคคลของกลมุ่ ตัวอยา่ งในแบบสอบถามส่วนที่ 1 โดยใชส้ ตู รดังน้ี เมือ่ P แทน ค่าร้อยละ หรือ % (Percentage) f แทน คา่ ความถ่ีของขอ้ มูลที่ต้องการแปลเป็นคา่ ร้อยละ n แทน ขนาดของกลุ่มทัง้ หมดหรือคา่ จานวนความถี่ท้ังหมด 1.2 การหาคา่ คะแนนเฉลี่ย (Mean หรือ ) (กัลยา วานชิ ย์บัญชา, 2545 อ้างอิงในณฐก มล คงด,ี 2560) เพอ่ื ใช้แปลความหายของผู้บรโิ ภคในแบบสอบถามส่วนที่ 1 โดยใชส้ ูตรดงั นี้ เม่ือ ���⃑⃑��� แทน คา่ คะแนนเฉล่ยี ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด n แทน ขนาดของกลุ่มตวั อยา่ ง 1.3 คา่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation หรือ S.D.)

28 เมอ่ื S.D. แทน ค่าส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของคะแนนกลมุ่ ตวั อยา่ ง X แทน คะแนนแต่ละตัวในกลมุ่ ตัวอย่าง n แทน ขนาดของกลมุ่ ตัวอย่าง ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตวั ยกกาลงั สอง (∑ ������)2 แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกาลังสอง 1.4 การทดสอบที (t-test for Independent samples) (ปญั ญา คาพยา,2560) เพ่ือ ศึกษาการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร และเพ่ือเปรียบเทียบความแตกต่างในการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตร บัณฑิต ชัน้ ปที ่ี 3 และ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร เมื่อ ������2������ แทน ความแปรปรวนร่วม( Pooled Variance ) ������������ แทน จานวนขอ้ คาถามในแตล่ ะด้าน ⃑���⃑��������� แทน คา่ เฉล่ียของแตล่ ะดา้ น

29 2. แปรปรวนแบบจาแนกทางเดียว (One-way ANOVA) ใชส้ าหรบั ทดสอบความแตกตา่ งระหว่าง คา่ เฉลี่ยท่ีได้จากกลมุ่ ตัวอยา่ ง 3 กลมุ่ ขนึ้ ไป ซ่ึงในการวจิ ัยน้ี จะทดสอบความแตกตา่ งระหวา่ งคา่ เฉลย่ี ของความ พึงพอใจ ระหวา่ งนสิ ติ ชั้นปีที่ 2 ถงึ 4 (ผ่องอาไพ เสนแสง, ม.ป.ป.) โดยใช้สูตรดงั น้ี Source of df Sum Square (SS) ผลรวมของกาลังสองของ Mean Square F-ratio Variance คา่ เบย่ี งเบน (MS) ความ (SOV) แปรปรวน เมอื่ ������������ แทน ผลรวมของคะแนน n ค่าในแตล่ ะกลุ่ม ������ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ������������ แทน จานวนข้อมลู ในแต่ละกลุม่ ������ แทน จานวนกลุ่ม ������������������ แทน ข้อมูลตวั ท่ี i (แถว) ในกลุม่ j (คอลัมน์) ���⃑⃑��������� แทน ค่าเฉล่ียของกลุ่ม j

30 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล การศึกษาเร่ือง การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้วิจัยได้นาข้อมูลจากแบบสอบถามมาทาการวิเคราะห์ข้อมูลและได้ผลการวิเคราะห์ ข้อมูลแบ่งออกเปน็ 3 ตอน ดังน้ี ตอนที่ 4.1 วเิ คราะหข์ ้อมลู ท่ัวไปของกลุม่ ตวั อยา่ ง ตอนท่ี 4.2 ศึกษาระดบั การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ ทั้ง 4 ด้าน ของกลุม่ ตัวอย่าง ได้แก่ ดา้ น การเรยี น ด้านสังคม ด้านอารมณ์ และด้านร่างกาย เกณฑก์ ารแปลผลระดับการปรับตัวต่อการเรยี นแบบออนไลน์(บุญชม ศรีสะอาด,2564) ค่าเฉล่ยี คะแนนระหวา่ ง 2.85 - 4.00 มีระดบั การปรบั ตวั ต่อการเรยี นแบบออนไลน์มาก ค่าเฉลี่ยคะแนนระหวา่ ง 1.69 - 2.84 มีระดบั การปรบั ตวั ตอ่ การเรยี นแบบออนไลน์มาก ค่าเฉลย่ี คะแนนระหว่าง 0.54 - 1.68 มีระดบั การปรบั ตัวตอ่ การเรียนแบบออนไลน์มาก ตอนที่ 4.3 ศึกษาความแตกต่างของการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ระหว่าง นิสิตหลักสูตร พยาบาลศาสตรบณั ฑคิ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ช้นั ปที ี่ 3 และชัน้ ปที ี่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ตอนที่ 4.1 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง ในการศึกษาครั้งน้ีได้ทาการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ของกลุ่มตัวอย่างโดยการหาจานวนและรอ้ ยละ จาแนกตามเพศ ช้ันปี ภูมิลาเนา ที่พักอาศัยปัจจุบัน อุปกรณ์ท่ี ใชใ้ นการเรียนออนไลน์ และระบบอินเทอร์เน็ตท่ใี ชใ้ นการเรียนออนไลน์ ดงั ตารางที่ 4.1 ซึง่ พบว่า 1. เพศ: กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตเพศหญิงจานวน 180 คน คิดเป็นร้อยละ 93.75 และนิสิตเพศชาย จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 6.25 2. ชน้ั ปี: กลุ่มตัวอยา่ งเป็นนสิ ิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชนั้ ปที ี่ 3 จานวน 96 คน คิดเป็นรอ้ ย ละ 50 และช้ันปที ่ี 4 จานวน 96 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 50 3. ภูมิลาเนา: กลุ่มตวั อย่างส่วนใหญม่ ภี ูมลิ าเนานอกเขตจงั หวดั พษิ ณโุ ลก จานวน 170 คน คดิ เป็นร้อย ละ 88.54 รองลงมา เปน็ นสิ ิตท่ีมภี ูมลิ าเนาอยู่ในเขตจังหวัดพิษณโุ ลก จานวนคน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 11.46 4. ที่พักอาศัย: กลุ่มตัวอย่างพักอาศัยอยู่หอพักใน/นอกมหาวิทยาลยั จานวน 161 คน คิดเป็นร้อยละ 83.85 รองลงมาคือ พักอาศัยอยู่บ้านบิดามารดาหรือผู้ปกครองจานวน 28 คน คิดเป็นร้อยละ 14.58 อ่ืนๆ จานวน 3 คน คิดเปน็ ร้อยละ 1.56

31 5. อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนออนไลน์: ได้แก่ คอมพิวเตอร์/โน๊ตบุ๊ค แท็ปเลต สมาร์ทโฟน กลุ่มตัวอย่าง ใช้อุปกรณ์มากกว่า 1 อย่าง จานวน 161 คน คิดเป็นร้อยละ 83.85 รองลงมาคือ ใช้อุปกรณ์เพียง 1 อย่าง จานวน 31 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 16.15 6. ระบบอินเทอร์เนต็ ที่ใชใ้ นการเรียนออนไลน์: กล่มุ ตวั อยา่ งใชอ้ ินเทอร์เนต็ /Wi-Fi ของหอพัก จานวน 83 คน คิดเป็นร้อยละ 43.23 รองลงมาคือ ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนตัว จานวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ 37.50 รองลงมาคอื ใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตบา้ น จานวน 97 คน คิดเป็นร้อยละ 19.27 ตารางที่ 4.1 แสดงจานวนและรอ้ ยละของข้อมลู ทวั่ ไปของกลมุ่ ตวั อย่า ขอ้ มูลทั่วไป จานวน ร้อยละ 1. เพศ 12 6.25 1.1 ชาย 180 93.75 1.2 หญิง 2. ช้นั ปี 96 50 2.1 ชน้ั ปที ี่ 3 96 50 2.2 ชัน้ ปที ี่ 4 3. ภูมิลาเนา 22 11.46 3.1 ในเขตจังหวดั พษิ ณโุ ลก 170 88.54 3.2 นอกเขตจงั หวัดพิษณุโลก 4. ทีพ่ กั อาศยั ปัจจุบัน 28 14.58 4.1 บ้านบิดามารดา หรือ ผู้ปกครอง 161 83.85 4.2 หอพักใน/นอกมหาวทิ ยาลัย 3 1.56 4.3 อื่นๆ 5. อุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการเรยี นออนไลน์ 31 16.15 5.1 ใชอ้ ุปกรณ์เพียง 1 อย่าง 161 83.85 5.2 ใช้อปุ กรณ์มากกว่า 1 อย่าง 6. ระบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้ในการเรยี นออนไลน์ 37 19.27 6.1 ใช้ระบบอินเทอรเ์ น็ตบ้าน 83 43.23 6.2 ใช้ระบบอนิ เทอร์เน็ต/Wi-Fi ของหอพัก 72 37.50 6.3 ใช้ระบบอินเทอร์เน็ตสว่ นตวั

32 ตอนท่ี 4.2 ระดับการปรบั ตัวตอ่ การเรียนแบบออนไลน์ ทั้ง 4 ดา้ น ของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ดา้ นการเรียน ด้านสงั คม ดา้ นอารมณ์ และด้านร่างกาย ในการศึกษาการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลยั นเรศวร ช้นั ปีท่ี 3 และ ชั้นปีที่ 4 ผู้วิจัยไดท้ าการวเิ คราะห์ด้วยการหาค่าเฉลยี่ และคา่ ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานของการปรับตัวในแต่ละด้าน ได้แก่ ด้านการเรียน ด้านสังคม ด้านอารมณ์ และด้านร่างกาย พบว่า นิสิตชั้นปีที่ 4 มีการปรับตัวด้านสังคมมากที่สุด มีค่าคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 3.18 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.22 คะแนน รองลงมาคือ ดา้ นรา่ งกาย มคี า่ คะแนนเฉล่ยี เท่ากับ 3.14 คะแนน คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.27 คะแนน ด้านการเรียน มีคา่ คะแนนเฉลีย่ เท่ากับ 2.85 คะแนน ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.36 คะแนน และด้านอารมณ์ มีค่าคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 2.83 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.11 คะแนน และนิสิตชั้นปีที่ 3 มีการปรับตัวในด้านสังคมมากที่สุด มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.99 คะแนน ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐานเทา่ กับ 0.21 คะแนน รองลงมาคือ ด้านร่างกาย มคี า่ คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.89 คะแนน คา่ เบย่ี งเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.28 คะแนน ด้านการเรียน มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.69 คะแนน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.26 คะแนน และด้านอารมณ์ มีค่าคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 2.64 คะแนน ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.17 คะแนน ดงั ตารางท่ี 4.2 ตารางที่ 4.2 ค่าเฉลยี่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของคะแนนการปรับตวั ต่อการเรียนแบบออนไลน์ การปรบั ตวั ต่อการ ค่าเฉลย่ี (Mean) คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน ระดับการปรบั ตัวต่อ เรยี น (S.D.) การเรยี นแบบออนไลน์ ปี3 ป4ี แบบออนไลน์ 2.69 2.85 ป3ี ปี4 ปี3 ป4ี ดา้ นการเรียน 2.99 3.18 0.26 0.36 ปานกลาง มาก ด้านสังคม 2.64 2.83 0.21 0.22 ด้านอารมณ์ 2.89 3.14 0.17 0.11 มาก มาก ดา้ นรา่ งกาย 2.80 3.00 0.28 0.27 ปานกลาง ปานกลาง การปรับตวั รวม 0.17 0.19 มาก มาก ปานกลาง มาก

33 ตอนที่ 4.3 ความแตกตา่ งของการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ ระหว่างนสิ ิตชน้ั ปที ี่ 3 และ 4 ในการศึกษาเพ่ือเปรียบเทียบความแตกต่างของการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ ในแต่ละด้าน ระหว่างนิสิตชั้นปีที่ 3 และ 4 ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์ด้วยการทดสอบที (Independent Sample T-test) พบว่า นิสิตชน้ั ปที ี่ 3 และ 4 มกี ารปรับตวั ต่อการเรยี นออนไลน์ ด้านการเรียนไมแ่ ตกตา่ งกนั (p-value > 0.05) ดังตารางท่ี 4.3 ตารางท่ี 4.3 เปรยี บเทยี บความแตกต่างของการปรับตัวตอ่ การเรยี นแบบออนไลน์ ดา้ นการเรยี นของนสิ ติ ชัน้ ปี ที่ 3 และ 4 ช้ันปี จานวน ค่าเฉลีย่ (Mean) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน t p-value (คน) (S.D.) ปี 3 96 2.69 0.26 - 1.13 0.28 ปี 4 96 2.85 0.36 การปรบั ตัวต่อการเรยี นแบบออนไลนด์ ้านสงั คม พบว่านสิ ิตช้นั ปที ่ี 3 และ 4 มีการปรบั ตัวต่อการเรยี น แบบออนไลน์ ด้านสังคมไม่แตกตา่ งกัน (p-value > 0.05) ดงั ตารางท่ี 4.4 ตารางที่ 4.4 เปรียบเทยี บความแตกต่างของการปรับตัวตอ่ การเรยี นแบบออนไลน์ ด้านสังคมของนสิ ิตช้นั ปที ่ี 3 และ 4 ชน้ั ปี จานวน ค่าเฉลย่ี คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน t p-value (คน) (Mean) (S.D.) ปี 3 96 2.99 0.21 -2.03 0.06 ปี 4 96 3.18 0.22 การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ด้านอารมณ์ พบว่านิสิตช้ันปีที่ 3 และ 4 มีการปรับตัวต่อการ เรียนแบบออนไลน์ ด้านอารมณ์แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ (p-value < 0.05) ดังตารางท่ี 4.5 ตารางที่ 4.5 เปรียบเทียบความแตกต่างของการปรับตัวต่อการเรียนออนไลน์ ด้านอารมณ์ของนิสติ ชน้ั ปีที่ 3 และ 4

34 ชัน้ ปี จานวน ค่าเฉลย่ี คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน t p-value (คน) (Mean) (S.D.) ปี 3 96 2.64 0.17 -2.86 0.01 ปี 4 96 2.83 0.11 การปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ด้านร่างกาย พบว่านิสิตช้ันปีที่ 3 และ 4 มีการปรับตัวต่อการ เรียนแบบออนไลน์ ดา้ นรา่ งกายไม่แตกต่างกนั (p-value > 0.05) ดังตารางท่ี 4.6 ตารางที่ 4.6 เปรียบเทยี บความแตกตา่ งของการปรับตัวต่อการเรยี นแบบออนไลน์ ด้านรา่ งกายของนสิ ิตช้ันปีที่ 3 และ 4 ชนั้ ปี จานวน คา่ เฉลี่ย คา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน t p-value (คน) (Mean) (S.D.) ปี 3 96 2.89 0.28 -2.03 0.06 ปี 4 96 3.14 0.27 การปรับตัวต่อการเรยี นแบบออนไลน์ของนิสติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑิต มหาวิทยาลยั นเรศวร ชั้นปที ่ี 3 และ 4 พบวา่ มีการปรบั ตวั ต่อการเรยี นแบบออนไลนไ์ ม่แตกตา่ งกนั (p-value > 0.05) ดังตารางที่ 4.7 ตารางที่ 4.7 เปรยี บเทียบความแตกตา่ งของการปรบั ตัวต่อการเรยี นแบบออนไลน์ของนิสติ ช้ันปที ี่ 3 และ 4 ชัน้ ปี จานวน ค่าเฉลย่ี คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน t p-value (คน) (Mean) (S.D.) ปี 3 96 2.8 0.17 -1.58 1.67 ปี 4 96 3 0.19 ตารางที่ 4.8 เปรียบเทียบความแตกต่างขอเปรียบเทียบลักษณะการแจกแจงของข้อมูลการปรับตัวต่อการ เรียนแบบออนไลน์ของนิสิตชน้ั ปที ่ี 3 และ 4 ดา้ นการปรับตัว ปี 3 ปี 4 ดา้ นการเรียน 0.200 0.200 ดา้ นอารมณ์ 0.200 0.200 ด้านสังคม 0.200 0.101 ด้านรา่ งกาย 0.200 0.200 จากการทดสอบลักษณะการแจกแจงของข้อมูล โดยใช้สถิติทดสอบของ Kolmogorov-Smirnov พบว่า ค่าทไี่ ด้มากกวา่ คา่ ระดับนยั สาคญั ที่มีคา่ เท่ากบั 0.05 แปลผลว่า ข้อมูลมกี ารแจกแจงแบบปกติ

35 บทท่ี 5 สรุปผลการวิจยั อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การศึกษาเรื่อง การปรับตัวการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตร บัณฑติ มหาวิทยาลยั นเรศวร ผู้วจิ ยั ได้นาผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ทไี่ ด้แสดงไวใ้ นบทท่ี 4 มานาเสนอบทสรุป การ อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะดงั ต่อไปนี้ 5.1 สรปุ ผลการศกึ ษา จากการศึกษาการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ดงั น้ี 1. กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นนิสิตเพศหญิงซ่ึงเป็นนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มี ภูมิลาเนาอยู่ในจังหวัดอ่ืน ๆ ที่ไม่ใช่ จังหวัดพิษณุโลก โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่นั้นพักอาศัยอยู่หอพักนอก มหาวิทยาลัย 2. นิสิตระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 และ 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มีระดับการ ปรบั ตัวในแต่ละด้านดังน้ี โดยนิสติ ช้ันปที ี่ 3 มกี ารปรบั ตวั ในด้านสังคมมากทีส่ ุด รองลงมาคือด้านร่างกาย ดา้ น การเรียน และด้านอารมณ์ และนิสิตชั้นปีท่ี 4 มีการปรับตัวในด้านสังคมมากท่ีสุด รองลงมาคือด้านร่างกาย ดา้ นการเรียน และดา้ นอารมณ์ 3. นิสิตที่ใช้อุปกรณ์ 1 อย่างข้ีนไปในการเรียนแบบออนไลน์ เช่น คอมพิวเตอร์/โน๊ตบุ๊ค แท็ปเลต สมารท์ โฟน รองลองมาคอื ใชอ้ ุปกรณเ์ พยี ง 1 อย่างในการเรยี นแบบออนไลน์ 4. กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตท่ีใช้อินเทอร์เน็ต/Wi-Fi ของหอพักในการเรียนออนไลน์ รองลงมาคือ ใช้ อนิ เทอรเ์ น็ตสว่ นตัวในการเรียนออนไลน์ และรองลองมาคอื ใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ บ้านในการเรียนแบบออนไลน์ 5. นสิ ติ ช้ันปที ี่ 3 และ 4 มีการปรบั ตวั ต่อการเรียนออนไลน์ ไมแ่ ตกต่างกันในด้านการเรยี น ดา้ นสังคม และดา้ นรา่ งกาย แตม่ ีการปรบั ตัวต่อการเรียนออนไลน์ที่แตกตา่ งกัน คอื ดา้ นอารมณ์

36 5.2 อภิปรายผล 1. ศึกษาการศึกษาการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีท่ี 3 และ ช้ันปีที่ 4 โดยรวมในแต่ละด้านผลการศึกษาพบว่า นิสิตหลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ช้ันปีที่ 3 และ ชั้นปีท่ี 4 มีการปรับตัวในทุกด้าน อภิปรายได้ว่า ด้านสังคม จากการท่ีนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีท่ี 3 และ ช้ันปี ที่ 4 สามารถปรับตัวด้านสังคมได้มากและยังมีค่าคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าการปรับตัวด้านอ่ืนๆ นิสิตช้ันปีท่ี 3 ( = 2.99) และนิสิตชั้นปีท่ี 4 ( = 3.18) ท้ังนี้อาจเป็นเพราะนิสิตนั้นอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน ในช่วงของการ เกิดการระบาดของโควดิ 19 มีความจาเป็นทีจ่ ะต้องมีการ social distancing ในการเรียนในสถานศกึ ษา คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรจึงได้ประกาศให้มีปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนเป็นแบบเรียน ออนไลนท์ ั้งหมด นิสิตจะศกึ ษาดว้ ยตนเองจากบ้านของตนเอง หรือ หอ้ งในหอพักของตนเอง โดยไม่มีการเรียน ในคลาสแบบเผชิญหน้ากันเลย การเรียน การทางานต่างๆ ท้ังงานรายบุคคลหรือรายกลุ่ม ต้องดาเนินการต่าง สถานท่ีกัน นิสิตจึงจาเปน็ ต้องปรบั เปลี่ยนวิธีการสื่อสารกันภายในกลุ่มเพ่ือนเป็นผ่านทางระบบออนไลน์ มีการ ทากิจกรรมร่วมกนั บนเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ต ในลกั ษณะของการดาเนนิ งานหรอื กิจกรรมตา่ ง ๆ เพ่อื ใหส้ ามารถ ใช้ทรัพยากรร่วมกันแลกเปลี่ยนแบ่งปันทรัพยากร ข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ (รติบดี สิทธิปัญญา, 2562) สอดคล้อง กับงานวิจัย ของการปรับตัวการปรับตัวต่อการเรียนแบบออนไลน์ ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ชัน้ ปี 3 และช้ันปี 4 ซึง่ วิธีการสอ่ื สารออนไลนใ์ นกลุ่มนสิ ิตพยาบาลช้นั ปีที่ 3 และ 4 ทีง่ า่ ย และสะดวกท่สี ุดคือ การใช้สมาร์ทโฟนและอนิ เทอรเ์ น็ต สอดคล้องกับงานวจิ ัยเชงิ สารวจ พบวา่ ร้อยละ 94 ของ กลุ่มวัยรุ่นไทยในเมือง ที่มีอายุ 15-24 ปี ใช้โทรศัพท์มือถือ และใช้เวลาเฉล่ียวันละ 21 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ใน การเข้าใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ (เจาะพฤตกิ รรม, 2551 อ้างใน รตบิ ดี สทิ ธิปญั ญา, 2562) เพ่ือความบันเทิงและพักผ่อน หย่อนใจส่วนตัว ขณะอยู่ในช่วงของการล็อกดาวน์ของนิสิตให้กับเคหะสถานของตัวเอง ไม่เคลื่อนย้ายไป ต่างจังหวัด งดการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และงดการมีกิจกรรมท่ีมีการแออัดต่างๆ จากการวิจัยของ รติ บดี สิทธิปัญญา (2562) ศึกษารูปแบบการใช้สื่อออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์พบว่า ร้อยละ 45.50 ส่งต่อความรู้ต่างๆ ไปยังเพ่ือนๆ โดยรวมพบว่าอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 40.50 การใช้ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) โดยรวมอยู่ในระดับมาก และร้อยละ 32.75 ศึกษา หาความรู้วิชาท่ีเรียน โดยรวม พบว่าอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 45.50 ใชน้ าเสนองานส่งอาจารย์ พบวา่ อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 44.25 ใชแ้ อพลิ เคชั่นสาหรบั การเรยี นในหอ้ งเรยี น โดยรวมพบว่าส่วนใหญ่มผี ลมาก ในส่วนของแบบประเมินด้านสังคมของงานวิจัยช้ินน้ีเก่ียวกับความกล้าท่ีจะแสดงความคิดเห็นมาก กว่าเดิม เน่อื งจากไมต่ ้องแสดงตนต่อหน้าผู้สอนและเพือ่ นร่วมช้นั สอดคล้องกบั งานวจิ ยั ของ รติบดี สทิ ธิปัญญา (2562) ทพี่ บว่า รอ้ ยละ 46.25 แสดงตัวตนของตนเอง/การมีพน้ื ทีข่ องตัวเองในการแสดงความคิดเหน็ และร่วม แสดงความคดิ เหน็ กบั คนอื่น โดยรวมอยู่ในระดบั มาก

37 ด้านรา่ งกาย จากการทน่ี ิสติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ชน้ั ปีที่ 3 สามารถ ปรับตัวด้านร่างกายอยู่ในระดับที่มาก ( = 2.89) และชั้นปีท่ี 4 อยู่ในระดับที่มาก ( = 3.14) ท้ังน้ีอาจเป็น เพราะถึงแม้มหาวิทยาลัยนเรศวรจะมีการปรับรูปแบบการเรียนการสอนเป็นสอนผ่านออนไลน์เพื่อป้องกันการ แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นิสิตก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมสู่การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพในด้านการ จัดเตรียมตนเองเพ่ือการเรียนรู้ ได้แก่ การรักษาสุขภาพ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ ฝ่ายแนะแนวการศึกษา สานักบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2563) คือ นักศึกษาต้องสนใจห่วงใยระวังรักษา สุขภาพให้แข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนหรือเจ็บป่วยเร้ือรัง ซ่ึงจะเป็นอุปสรรคต่อการเรียน การดูแลตนเอง ด้วยการปฏิบัติตนตามสุขนิสัยที่ดี ควรตรวจสุขภาพอย่างนอ้ ยปีละ 1 ครั้ง มีท่าของการอ่าน คือ การอ่านที่ใช้ กายภาพอย่างเหมาะสม ควรจะเป็นการนั่งให้หลังตรง จะทาให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี ช่วยให้การเรียนรู้และ การจดจาดี มีความตื่นตัว จัดวางเอกสารการสอนที่อ่าน ให้อยู่ห่างจากนัยน์ตาของเรา ประมาณ 1 - 1.5 ฟุต และในด้านการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมในการเรียน ได้แก่ มุมเรียน คือ นักศึกษาควรเลือกสถานที่เฉพาะ สาหรับการเรียนของเรา ที่ควรจะมีความเงียบ สงบ ไม่มีส่ิงรบกวนจากเครื่องมือส่ือสาร โทรศัพท์ โทรทัศน์ ฯลฯ แสงสว่าง คือ การอ่านต้องอาศัยแสงสว่างท่ีเพียงพอ จัดให้แสงไฟส่องมาจากด้านข้าง และเอียงไป ทางด้านหลงั ควรใช้ไฟจากหลอดเรอื งแสง (fluorescent) ท่ีมีสขี าวนวล ด้านการเรียน การปรับตัวด้านการเรียนของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย นเรศวร ช้ันปีที่ 3 อยู่ในระดับปานกลาง ( = 2.69) และช้ันปีที่ 4 อยู่ในระดับมาก ( = 2.85) ท้ังน้ีอาจ เป็นเพราะมหาวทิ ยาลยั นเรศวรมีการปรบั รปู แบบการเรียนการสอนเป็นสอนผา่ นออนไลน์เพ่ือปอ้ งกันการแพร่ ระบาดของโรคโควิด-19 ทาให้มีรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเปล่ียนไปอย่างมาก นิสิตจึงต้องมีการเตรียมตัวท่ี ต้องมีวินัยในการเข้าเรียน การเตรียมเอกสารการเรียน อุปกรณ์การเรียน รวมทั้งเพราะระบบการศึกษาใน ปัจจุบันนี้ได้เน้นให้ผู้เรียนมีความกล้าแสดงออก กล้าซัก กล้าถาม เมื่อนิสิตมีข้อสงสัยนิสิตจึงต้องกล้าท่ีจะ ซักถาม มีการทบทวนบทเรียนท่ีเรยี นมาและนสิ ติ ก็ต้องทางานตามท่ีอาจารย์มอบหมายเสร็จทันเวลา จึงมีความ จาเป็นต้องปรับตัวในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของนิรมล สุวรรณโคตร (2553) ได้ทาการศึกษา พฤติกรรมการปรับตัวของนสิ ิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยนเรศวร ผลการศึกษาพบว่า ด้านการเรียนอยู่ใน ระดบั มาก ด้านอารมณ์ การปรับตัวด้านอารมณ์ของนิสติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีท่ี 3 อยู่ในระดับปานกลาง ( = 2.64) และช้ันปีท่ี 4 อยู่ในระดับปานกลาง ( = 2.83) ท้ังน้ีอาจเป็น เพราะนิสิตที่เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยนิสิตมีความตระหนักในเร่ืองความสาเร็จในด้านต่างๆ เช่น ด้านการ ทางาน การเรียน นิสิตจะต้องอาศัยความฉลาดทางอารมณ์เพราะจะช่วยให้นิสิตเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ ของตน ถึงแม้จะมีการปรับรูปแบบการเรียนการสอนเป็นสอนผ่านออนไลน์ นิสิตจะมีความตั้งใจ และพร้อมที่ จะเผชิญส่ิงแปลกใหม่ การดารงชีวิตอยู่ร่วมในสังคมกลุ่มเพ่ือนและการทากิจกรรมร่วมกับผู้อ่ืน นิสิตมีความ

38 เข้าใจถึงความรู้สึกของผู้อ่ืน สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้ดี ถึงแม้ว่านิสิตจะพบกับ สภาพแวดล้อมทแี่ ตกตา่ งจากเดิม นิสติ กต็ ้องพยายามปรับเปลีย่ นพฤติกรรมท่ีไม่พงึ ประสงค์ไปสู่พฤติกรรมท่ีพึง ประสงค์ นิสิตยังสามรถบังคับตนเองให้แสดงออกได้อย่างเหมาะสม รู้จักควบคุมตนเอง มีเหตุผลรับฟังความ คิดเห็นของผู้อื่นทาให้นิสิตสามารถปรับตัวได้ดีในการอยู่ร่วมกับสังคม ซึ่งสอดคล้องกับ กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2554) ท่ีกล่าวว่า การปรับตัวทางอารมณ์เป็นกระบวนการท่ีบุคคลพยายามปรับสภาพปัญหาท่ีเกิดข้ึนแก่ ตนเองไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์ ด้านบุคลิกภาพและด้านความต้องการเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมจน เป็น สภาพการณ์ทต่ี นสามารถทนอยู่ได้ในสังคมหรอื สภาพแวดล้อมนั้นๆ ได้อยา่ งมีความสุข จากผลการศึกษาความแตกต่างของการปรบั ตัวต่อการเรยี นแบบออนไลน์ ระหว่างนิสิตช้ันปีท่ี 3 และ 4 ผู้วจิ ัยอภปิ รายผลการวจิ ยั ได้ดงั นี้ 1. เปรียบเทียบความแตกต่างของการปรบั ตัวต่อการเรยี นแบบออนไลน์ ระหวา่ งนสิ ิตชัน้ ปีท่ี 3 และ 4 พบว่า นิสิตชั้นปีที่ 3 และ 4 มีการปรับตัวต่อการเรียนออนไลน์ในด้านอารมณ์ แตกต่างกัน ส่วนการปรบั ตวั ใน ด้านการเรียน ด้านสังคมและด้านร่างกาย ไม่แตกต่างกัน โดยผู้วิจัยได้นาผลการวิจัยในประเด็นสาคัญมา อภปิ รายผล ดงั นี้ ด้านอารมณ์ นิสิตชั้นปีท่ี 3 และ 4 มีการปรับตัวแตกต่างกัน ซ่ึงสอดคล้องกับสมมุติฐานหนึ่งของ งานวิจัยท่ีตั้งไว้ ท้ังนี้อาจเน่ืองมาจากนิสิตต้องเรียนผ่านการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ ทาให้มีการ เปล่ียนแปลงในหลาย ๆ ด้าน รวมถึงสภาพแวดล้อมและสังคมใหม่ ทาให้ต้องอาศัยการเรียนรู้ของนักศึกษา ความพร้อมในการทางาน บทบาทของนิสิตด้านการเตรียมตัว ความต้ังใจ มุ่งมั่น และประสบการณ์ที่ผ่านมา และจากการท่นี สิ ติ ชนั้ ปีท่ี 4 มีการปรบั ด้านอารมณไ์ ดม้ ากกว่านสิ ิตชั้นปีที่ 3 น้ันสอดคลอ้ งกับงานวิจยั ของ กนก พร หมู่พยัคฆ์ (2558) ได้ทาศึกษาเรื่องการความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์กับพฤติกรรมการ ปรับตัวของนักศึกษาพยาบาล ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษามีประสบการณ์ที่แตกต่างหรือมีช้ันปีที่สูงขึ้นจะ เผชิญกับส่ิงแวดล้อมต่าง ๆ มากข้ึน กล่าวคือนักศึกษาใช้ความฉลาดทางอารมณ์ในการปรับตัวหรือพัฒนา อารมณ์ตนเองได้ดีข้ึน ด้านการเรียน นิสิตช้ันปีท่ี 3 และ 4 มีการปรับตัวไม่แตกต่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับสมมุติฐานศูนย์ของ งานวิจัยท่ีตั้งไว้ ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะนิสิตท้ังช้ันปีที่ 3 และ ปีท่ี 4 ต้องมีการเปลี่ยนแปลงมาเรียนในรูปแบบ ออนไลน์ในหน่ึงภาคการศึกษา พร้อมๆกัน อันเน่ืองมาจากมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควดิ -19 จึงจาเป็นต้องเข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์นี้ จึงทาให้การปรับตัวด้านการเรียนไม่ แตกต่างกัน สอดคล้องกับงานวิจัยของ Duraku & Hoxha (2020) ได้ศึกษาเรื่องผลของการแพร่ระบาดโควิด- 19 ต่อการเรียนในมหาวิทยาลัย: กรณีศึกษาเพ่ือหาความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพจิต ทัศคติในการเรียน ออนไลน์ทักษะการเรียน และการเปล่ียนแปลงในชีวิตนักศึกษา ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่มีการ

39 ปรับตัวทางดา้ นการเรยี นออนไลน์ และใสใ่ จในการรบั รูถ้ งึ การแพรร่ ะบาดของโรค และยอมรบั การเรียนรปู แบบ ออนไลน์ จงึ ทาใหท้ กั ษะการเรยี นของนักศึกษาไมเ่ ปล่ยี นแปลงไปจากเดมิ ดา้ นสังคม นักศึกษาชนั้ ปที ่ี 3 และ 4 มีการปรบั ตัวไม่แตกต่างกัน ซ่ึงสอดคล้องกับสมมุติฐานศูนย์ของ งานวจิ ัยทตี่ ั้งไว้ ทงั้ นเ้ี พราะการระบาดของโรคติดต่อเชื้อโควิด-19 นั้นการระบาดครั้งนี้อยู่ที่อัตราการแพร่เชื้อที่ รวดเร็วและกระขายเป็นวงกว้างโดยการแพร่กระจายจากคนสู่คน ผ่านทางละอองเสมหะ น้ามูก น้าลาย (กรม ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2563) ทาให้ผู้คนตระหนักและเฝ้าระวังการนาตนเองไปเข้าร่วมกลุ่มทาง สังคมภาครัฐและทางมหาวิทยาลัยต่างมีมาตรการป้องกันต่าง ๆ ในการเข้าร่วมกิจกรรม และการเว้นระห่าง ทางสงั คม รวมถงึ การจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เพอ่ื ป้องกนั การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กบั นิสิต นักศึกษา นักเรียน ดังน้ัน การปรับตัวด้านสังคมไม่ได้กระทบเพียงแค่ระดับชั้นปีใดเพียงชั้นปีหน่ึงแต่ส่งผล กระทบเปน็ วงกวา้ ง ทาใหก้ ารปรับตวั ของนักศกึ ษาไม่แตกต่างกัน ดังนั้นจงึ จาเปน็ ต้องใชส้ ่ือทางออนไลน์เพ่ือลด การระบาดของโรคตดิ ต่อเชอ้ื โควดิ -19 ซงึ่ ส่อื ทางออนไลน์ในชีวิตประจาวันสรา้ งรปู แบบสื่อออนไลน์ทเี่ หมาะสม กับการเรียนการสอน ซึ่งทาให้สามารถสื่อสารกันได้อย่างใกล้ชิด มีการแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ ทางาน หรือพูดคุยแลกเปลย่ี นความรทู้ างออนไลน์ (Boyd &Ellison, 2007 อา้ งใน ธนัสถ์ เกษมไช ยานันท์, 2544) ทา ใหเ้ กิดเครอื ขา่ ยทอี่ ยู่ในสังคมเดียวกัน จงึ ทาให้การปรับตัวทางสงั คมของปี 3 และ ปี 4 ไมแ่ ตกต่างกัน ด้านร่างกาย นักศึกษาชั้นปีที่ 3 และ 4 มีการปรับตัวไม่แตกต่างกัน ซ่ึงสอดคล้องกับสมมุติฐานศูนย์ ของงานวิจัยที่ตั้งไว้ ท้ังน้ีเพราะถึงแม้มหาวิทยาลัยนเรศวรจะมีการปรับรูปแบบการเรียนการสอนเป็นสอนผ่าน ออนไลนเ์ พอื่ ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซงึ่ การเตรียมความพร้อมสู่การเรยี นรู้ทมี่ ีประสิทธิภาพใน ด้านการจัดเตรียมตนเองเพื่อการเรียนรู้ ได้แก่ การรักษาสุขภาพ คือ นักศึกษาต้องสนใจห่วงใยระวังรักษา สุขภาพให้แข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนหรือเจ็บป่วยเรื้อรัง ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการเรียน การดูแลตนเอง ด้วยการปฏิบัติตนตามสุขนิสัยที่ดี และในด้านการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมในการเรียน ได้แก่ มุมเรียน คือ นักศึกษาควรเลือกสถานท่ีเฉพาะสาหรับการเรียนของเรา ท่ีควรจะมีความเงียบ สงบ ไม่มีสิ่งรบกวนจาก เคร่ืองมือส่ือสาร โทรศัพท์ โทรทัศน์ ฯลฯ แสงสวา่ ง คือ การอ่านต้องอาศัยแสงสว่างท่ีเพียงพอ จัดใหแ้ สงไฟ สอ่ งมาจากด้านขา้ ง และเอียงไปทางด้านหลัง ควรใชไ้ ฟจากหลอดเรืองแสง (fluorescent) ท่มี สี ีขาวนวล (ฝ่าย แนะแนวการศึกษา สานักบริการการศกึ ษา มสธ, 2563) ดังนัน้ เมอ่ื ตอ้ งปรับตัวสู่การเรยี นรปู แบบออนไลน์แล้ว สิ่งสาคัญที่จะทาให้การเรียนมีประสิทธิภาพได้ คือ ความต้ังใจและการมีสมาธิในการเรียนอย่างเต็มท่ี แม้ว่า สภาพแวดล้อมจะแตกต่างกับการเรียนในห้องเรียน (วิโรจน์ ลิ้มไขแสง, 2564) ก็สามารถการปรับตัวด้าน ร่างกายไมแ่ ตกตา่ งกนั ไม่ว่าจะเป็นด้านสภาพแวดล้อม พฤติกรรมในชีวิตประจาวัน สามารถปรบั ตัวเข้ากบั การ เรียนออนไลนไ์ ด้

40 5.3 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะจากการวิจัย 1.1 ผลการวิจัยคร้ังน้ี สามารถนาไปเป็นแนวทางในการประเมินการปรับตัวของนักศึกษาใน มหาวิทยาลัยอื่นๆ ในสถานกาณ์โควิด-19 ได้ 1.2 สามารถนาข้อมูลการวิจัยไปใช้ในการช่วยเหลือนักศึกษาให้นักศึกษาได้เรียนรู้และนาไป ประยุกต์ใช้ในการปรับตวั ในสถานการณ์เปล่ยี นแปลงได้ 2. ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั ครง้ั ตอ่ ไป 2.1 การศึกษาคร้ังนี้ ผู้วิจัยทาการศึกษาในช่วงการระบาดของสถานการณ์โควิด-19ในการวิจัยครั้ง ตอ่ ไป สามารถนาไปปรบั ใช้ในสถานการณอ์ น่ื ๆ ที่สง่ ผลกระทบต่อการปรับตวั ของนักศึกษาได้ 2.2 การวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยศึกษาการปรับตัวเพียงด้าน คือ ด้านสังคม ด้านร่างกาย ด้านการเรียน ด้าน อารมณ์ ในครง้ั ต่อไป สามารถเพม่ิ การศกึ ษาการปรับตัวดา้ นอื่นได้อกี เชน่ ดา้ นสงิ่ แวดล้อม ดา้ นการอบรมเล้ียง ดู เปน็ ตน้

จ บรรณานุกรม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ . (2563). สถานการณ์ภาพรวมท่ัวโลกโรคติดเชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19). สืบค้นเม่ือ 13 มถิ นุ ายน 2563, จาก https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ind_world.php กรรณกิ าร์ แสนสภุ า, เออ้ื ทิพย์ คงกระพันธ์,อุมาภรณ์ สขุ ารมณ์ และ ผกาวรรณ นนั ทะเสน. (2563). การ ปรบั ตวั ของนกั ศกึ ษาในสถานการณ์โควดิ -19. วารสาร มจร มนุษยศาสตรป์ รทิ รรศน์ , 6 (2), 80-91. กมลรัตน์ หลา้ สวุ งษ์. (2554). จติ วทิ ยาสงั คม. กรุงเทพมหานคร: ภาควิชาการแนะแนวและจติ วทิ ยาการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ประสานมติ ร กนกพร หมูพ่ ยัคฆ.์ (2558).ความสัมพนั ธร์ ะหว่างความฉลาดทางอารมณ์กับพฤตกิ รรมการปรบั ตวั ของนักศึกษา พยาบาล:คณะพยาบาล มหาวิทยาลยั มหดิ ล. กนั ต์กนษิ ฐ์ เกษมพงษท์ องด.ี (2546). ปจั จัยที่สง่ ผลตอ่ การปรบั ตัวของนักศกึ ษาพยาบาล วทิ ยาลยั พยาบาบรม ราชชนนี จังหวัดนนทบรุ ี. ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม.,จิตวทิ ยาการศึกษา, บณั ฑติ วิทยาลยั , มหาวทิ ยาลัยศรี นครนิ ทรวโิ รฒ. สบื ค้นจาก http://newtdc.thailis.or.th/docview.aspx?tdcid=288740 จุมจนิ ต์ สลดั ทกุ ข.์ (2543). ตัวแปรทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการปรบั ตัวของนสิ ติ ระดับปรญิ ญาตรี ช้ันปที ี่ 1 มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ปรญิ ญานิพนธ.์ บัณฑติ วิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. สืบค้นจาก http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/viewFile/9842/8382 ชวนพิศ ทองทว.ี (2522). จติ วิทยาการศึกษา. มหาสารคาม : วิทยาลยั ครูมหาสารคาม. ดวงแข วทิ ยาสนุ ทรวงศ์. (2541). ผลของกลมุ่ สัมพันธเ์ พื่อพฒั นาการประบตวั ด้านการเรยี นของนักศึกษา พยาบาล ชน้ั ปีท่ี 1 วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ตรงั จังหวัดตรงั . ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ สบื ค้น เมอ่ื 21 พฤษภาคม 2563 จาก http://fulltext.rmu.ac.th/fulltext/2558/116341/116343/Bibliography.pdf ธนพรรณ ทรพั ยธ์ นาดล. (2554). ปัจจยั ทมี่ ผี ลตอ่ การจัดการเรียนการสอนบทเรยี นออนไลน์ของมหาวิทยาลัย ราชภัฎนครราชสีมา. วารสารวชิ าการบณั ฑติ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎนครราชสีมา, (4)1, 653- 665. สบื ค้นจาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Veridian-E-Journal/article/view/8552 ธญั มาส วรงค์สงหิ รา.(2547). การศึกษาการปรับตวั ในการทางานของพนักงานระดบั ปฏบิ ตั ิการใน ห้างสรรพสินคา้ แห่งหน่งึ ในจงั หวดั นครราชสีมา. ปรญิ ญานิพนธก์ ศ.ม. (จิตวทิ ยาพฒั นาการ). กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร.สบื คน้ 21 พฤษภาคม 2563,จาก http://ir.swu.ac.th/jspui/bitstream/123456789/1039/1/Niramol_S.pdfir.swu.ac.th

ถนอมพร เลาหจรัสเเส. (2551). ความหมายของ e-Learning. สบื ค้น 20 พฤษาคม 2564. จาก https://www.kroobannok.com/1586 ทองหล่อ วงษ์อนิ ทร์ อา้ งองิ ใน วัณยรัตน์ คุณาพนั ธ์. (2561). การศึกษากระบวนการปรบั ตวั ที่มีประสทิ ธผิ ล สาหรบั นักศึกษาในสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชน (ปรญิ ญานิพนธป์ ริญญาดษุ ฎบี ัณฑิต). ชลบรุ .ี มหาวทิ ยาลัยบรู พา. สบื คน้ จาก http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/53810191.pdf นันทชิ า บุญละเอียด. (2554). การปรับตัวของนิสิตระดบั ปริญญาตรีช้นั ปที ี่ 1 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย บูรพา (วทิ ยานิพนธ์ ปริญญาบัณฑติ ). ชลบรุ .ี มหาวทิ ยาลยั บูรพา. สบื คน้ จาก http://www.lib.buu.ac.th/st/ST0002601.pdf นายสทุ ธิรกั ษ์ ไชยรักษ. (2556). ปัญหาการปรับตัวของนักศกึ ษาช้นั ปที ่ี 1มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีสรุ นารี. รายงาน วจิ ัยสถาบนั . นครราชสมี า. มหาวทิ ยาลัยสุรนาร.ี สบื คน้ จาก http://sutir.sut.ac.th:8080/sutir/bitstream/123456789/6017/2/Fulltext.pdf. นิภา คาภาทู. (2547). ปจั จยั ท่สี ่งผลตอ่ การปรับตัวในการเรียนระดับไฮสคลู ของนักเรียน เกรด 9 โรงเรยี น นานาชาติเอกมยั เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. (จติ วิทยาการศกึ ษา). กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร.สบื ค้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2563,จาก http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Ed_Psy/Saruda_T.pdf นิภา นิธยายน. (2530). การปรบั ตวั และบุคลิกภาพ: จิตวิทยาเพือ่ การศึกษาและชีวิต. กรุงเทพฯ:โอเดียนสโตร์ ประธาน วฒั นวาณิชย์.(2537). เรอื่ งไม่ยาก ถา้ อยากเรยี นเก่ง. สืบค้นเม่อื 21 พฤษภาคม 2563 จาก http://libdoc.dpu.ac.th/research/147592.pdf นิรมล สวุ รรณโคตร. (2553). การปรับตวั ของนิสติ ระดับปริญญาตรี ชั้นปที ่ี 1 มหาวทิ ยาลยั นเรศวร (ปรญิ ญา นิพนธ์). กรงุ เทพมหานคร. มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สืบคน้ จาก http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Hi_Ed/Niramol_S.pdf บัลลังก์ โรหิตเสถยี ร. (2563). ราชกจิ จานเุ บกษาเผยแพร่ข้อกาหนดพรก.ฉุกเฉนิ ฉบบั ท่ี 5, 6. ). สืบค้นเม่ือ 13 มถิ นุ ายน 2563, จาก https://moe360.blog/2020/05/01/A3-6/ บุญชม ศรีสะอาด. (2546). การพฒั นาหลักสูตรและการวิจัยเกยี่ วกับหลกั สูตร. กรุงเทพฯ : สวุ รี ิยาสาสน์ บุญเลิศ อรุณพิบูลย์,บญุ เกียรติ เจตจานงนชุ . (2548). คมู่ ือการเตรีนมส่ือดจิ ิทลั ทีม่ ีคณุ ภาพ.(พิมพ์ครั้งท่ี2). ปทมุ ธาน:ี ฝา่ ยบริหารการความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี สานกั งานพัฒนาวทิ ยาศาสตร์เเละ เทคโนโลยีเเห่งชาติ

บญุ เลศิ อรุณพบิ ูลย์ และบุญเกียรติ เจตจานงนชุ .(2548). คู่มือการเตรียมส่ือดจิ ทิ ัลที่มีคุณภาพ ฉบับโครงการ ระบบส่อื สาระออนไลน์เฉลิมพระเกยี รติ.สบื คน้ 21 พ.ค. 63, จาก https:oer.lear.in.th บัณฑิตา ประวาลพฤกษ.์ (2550). E-Learning ห้องเรียนออนไลน์ ตอนที่ 2. สบื ค้นเม่ือ 10 มถิ ุนายน 2563, จาก https://www.nectec.or.th/images/pdf/SanNectec.73.pdf. เบญจมาศ สุขศรีเพ็ง.(2550). ทฤษฎกี ารปรบั ตวั ของรอย Roy’s adaptation model.สบื ค้นวนั ท่ี 20 มีนาคม 2564 ,จาก https://www.gotoknow.or ประจกั ษ์ ปฏทิ ัศน์. (2559). การตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมือวิจยั .กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บ้านสมเดจ็ เจา้ พระยา. ปราณี มีหาญพงษ์ , กรรณกิ าร์ ฉตั รดอกไม้ไพร. (2561). การตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งมือวจิ ยั ทางการ พยาบาล. ปราณี รามสตู ร อา้ งอิงใน วัณยรัตน์ คณุ าพันธ์. (2561). การศกึ ษากระบวนการปรบั ตวั ท่ีมปี ระสทิ ธิผลสาหรับ นกั ศึกษาในสถาบนั อุดมศึกษาเอกชน. (ปรญิ ญานิพนธป์ รญิ ญาดษุ ฎบี ัณฑิต). ชลบรุ .ี มหาวทิ ยาลยั บรู พา. สบื ค้นจาก http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/53810191.pdf ปญั ญา คาพยา. (2560). การวเิ คราะห์ผลการทดสอบโดยใช้สถติ ิ t-test. สิบคน้ เมือ่ 19 พฤศจิกายน 2563 จาก http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_knowledge/blpd-9-2560-t_test.pdf ผ่องอาไพ เสนแสง.(2559).การพัฒนาบทเรยี นออนไลน์.การสอ่ื สารข้อมลู และเครือข่ายคอมพวิ เตอร์: มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค.์ ณฐกมล คงดี. (2554).ลกั ษณะผลิตภณั ฑแ์ ละความพึงพอใจต่อหนังสอื พิมพ์โพสต์ทเู ดย์ของผอู้ า่ นใน กรุงเทพมหานคร.สารนพิ นธ์ บธ.ม. (การตลาด). กรุงเทพฯ:บัณฑิตวทิ ยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิ โรฒ. ธนสั ถ เกษมไชยานันท์.(2544).ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใชเ้ ว็บไซค์.มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. ฝา่ ยแนะแนวการศกึ ษา สานกั บริการการศึกษา มธส. (2563). การเตรยี มความพร้อมสูก่ ารเรียนรทู้ ่มี ี ประสทิ ธภิ าพ. สืบคน้ เม่ือ 15 มนี าคม 2564, จาก https://www.stou.ac.th/Thai/Offices พฒั นพงศ์ ไพศาลธรรม, พชั ราพรรณ อภิวงค์, พชิ ชานันท์ นธิ ิเปรมะพฒั น์, พชิ ญดา ทนงอาจ, พิชญาภา ศรเี งนิ , พิมชนก พธุ เหียง, พิมพรรณ โนชยั และ ภัทรศยา ใจด.ี (2562). ความพงึ พอใจต่อการใชส้ อื่ การ

เรยี นรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนสิ ิตหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย นเรศวร. วิทยานิพนธ์. พษิ ณุโลก. มหาวทิ ยาลยั นเรศวร. มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.(2563).การพฒั นารูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนอีเลิรน์ นิ่งระดับ บัณฑติ ศึกษา. มาลินี อย่โู พธ์.ิ (2525). การทดลองหารให้คาปรึกษาแบบกลุ่มตอ่ การพฒั นาการปรับตัวทางสงั คมด้าน สมั พันธภาพกบั เพ่ือน.ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม.,จิตวิทยาการแนะแนว,มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร.สบื ค้นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2563,จากhttp://www.lib.buu.ac.th/st/ST0002601.pdf ยงยทุ ธ ชมไชย. (2554). เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร (ออนไลน)์ . สืบค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2563, จาก https://www.gotoknow.org/posts/410642. รติบดี สิทธิปญัญา. (2562). รปู แบบการใช้สอ่ื ออนไลนข์ องนักศกึ ษามหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค์ The use of online media of Nakhon Sawan Rajabhat University students. บณั ฑติ ศกึ ษาปริทรรศน์ วารสารพยาบาลทหารบก.สบื คน้ เมอ่ื 19 พฤศจกิ ายน 2563 จาก https://he01.tci- thaijo.org/index.php/JRTAN/article/view/121885/92855 วราภรณ์ ตระกูลสฤษด.์ิ (2545). ความหมายของการปรับตัว. จติ วิทยาการปรับตัว.สบื คน้ เม่อื 26 พฤษภาคม 2563, จาก http://www.lib.buu.ac.th/st/ST0002601.pdf วิโรจน์ ล้ิมไขแสง. (2564). เปิด 6 ข้อ ควรปฏบิ ัติสาหรบั เรียนออนไลน์ ช่วงโควิด-19. สืบคน้ เมื่อ 12 มีนาคม 2564, จาก https://www.prachachat.net/education/news วิทยาลยั สงฆ์นครสวรรค์, 7 (2), 45-55. กนกพร หมพู่ ยัคฆ์. (2558). ความสมั พนั ธ์ระหว่างความฉลาดทาง อารมณก์ บั พฤตกิ รรมการปรบั ตัว ของนกั ศึกษาพยาบาล. วารสารการพยาบาล. สบื ค้นเมอ่ื 15 มนี าคม, จาก https://ns.mahidol.ac.th/english/journal_NS/pdf/vol33/sup1/kanokporn.pdf. สุรสทิ ธ์ิ วรรณไกนโรจน.์ (2560). บทที่ 5 E-Learning. สบื ค้น 19พฤษภาคม 2563 , จาก https://sites.google.com/site/pi070733chaieam/bth-thi-5-e-learning สทุ ธริ กั ษ์ ไชยรักษ. (2556). ปญั หาการปรับตัวของนกั ศึกษาชัน้ ปที ี่ 1มหาวิทยาลัยเทคโนโลยสี รุ นารี รายงาน วจิ ัยสถาบัน. นครราชสมี า. มหาวทิ ยาลยั สรุ นาร.ี สบื คน้ จาก http://sutir.sut.ac.th:8080/sutir/bitstream/123456789/6017/2/Fulltext.pdf

สริ ิพร อนิ ทสนธิ. (2563). โควิด - 19 : กับการเรยี นการสอนออนไลน์ กรณีศกึ ษา รายวชิ าการเขียน เวบ็ วารสารวทิ ยาการจัดการปริทศั น,์ 22 (2), 203-212. อรพนิ ทร์ ชูชม และอัจฉรา สุขารมณ์. (2532). รายงานการวิจัยเรอ่ื ง องค์ประกอบที่สมั พันธ์ กบั การปรับตวั ของนักเรียนวยั รุน่ . กรุงเทพฯ : สถาบันวจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. Duraku, Z.H. , & Hoxha, L. (2020). The Impact of COVID-19 on higher education: A study of interaction among students’ mental health, attitudes toward online learning, study skills, and changes in students’ life. Retrieved September 29, 2020, from https://www.researchgate.net/publication/341599684