Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

Published by Reading Room, 2021-08-09 08:34:14

Description: กลุ่ม 1 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

Search

Read the Text Version

ความสมั พนั ธ์ระหว่างการรับรคู้ วามรุนแรง อทิ ธพิ ลทางสถานการณ์และพฤติกรรมการป้องกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนสิ ติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร The relationship between perceived violence Situational Influences and Protective Behavior of Borax in Diet of Nursing Students. Faculty of Nursing Naresuan University นางสาววรรณภา จันทร รหัสนสิ ิต 61560992 รหสั นิสติ 61560466 นางสาวทพิ ยส์ ุคนธ์ ดงบัวสร รหสั นสิ ติ 61560664 รหสั นสิ ิต 61561340 นายปฏิภาน มานอ้ ย รหัสนสิ ิต 61561418 รหสั นิสิต 61560909 นางสาวอนันตญา กอนตา รหัสนสิ ติ 61561265 รหัสนิสติ 61560435 นางสาวอรวรรณ ขัตตยิ ะ นางสาวโยษติ า พงศก์ าสอ นางสาวสพุ ชิ ญา พรหมสา นางสาวตลุ ยา ใยไม้ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2564

ความสมั พนั ธ์ระหว่างการรับรคู้ วามรุนแรง อทิ ธพิ ลทางสถานการณ์และพฤติกรรมการป้องกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนสิ ติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร The relationship between perceived violence Situational Influences and Protective Behavior of Borax in Diet of Nursing Students. Faculty of Nursing Naresuan University นางสาววรรณภา จันทร รหัสนสิ ิต 61560992 รหสั นิสติ 61560466 นางสาวทพิ ยส์ ุคนธ์ ดงบัวสร รหสั นสิ ติ 61560664 รหสั นสิ ิต 61561340 นายปฏิภาน มานอ้ ย รหัสนสิ ิต 61561418 รหสั นิสิต 61560909 นางสาวอนันตญา กอนตา รหัสนสิ ติ 61561265 รหัสนิสติ 61560435 นางสาวอรวรรณ ขัตตยิ ะ นางสาวโยษติ า พงศก์ าสอ นางสาวสพุ ชิ ญา พรหมสา นางสาวตลุ ยา ใยไม้ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2564

ชอื่ โครงการวิจัย ความสมั พันธร์ ะหวา่ งการรับรู้ความรุนแรง อิทธพิ ลทางสถานการณ์ ชื่อคณะผู้วิจัย และพฤตกิ รรมการปูองกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของ นิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ทป่ี รกึ ษาโครงการวจิ ยั นางสาววรรณภา จนั ทร รหัสนิสิต 61560992 นางสาวทิพยส์ ุคนธ์ ดงบัวสร รหสั นสิ ิต 61560466 นายปฏิภาน มานอ้ ย รหสั นิสติ 61560664 นางสาวอนันตญา กอนตา รหสั นสิ ติ 61561340 นางสาวอรวรรณ ขัตติยะ รหัสนิสติ 61561418 นางสาวโยษิตา พงศก์ าสอ รหัสนสิ ติ 61560909 นางสาวสุพิชญา พรหมสา รหัสนสิ ิต 61561265 นางสาวตลุ ยา ใยไม้ รหสั นิสติ 61560435 อ.ดร.กลุ วรา เพยี รจริง โครงการวิจยั นี้เปน็ สว่ นหนึ่งของรายวชิ า 501382 ปฏิบตั กิ ารวิจัยทางการพยาบาล ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร

ก ประกาศคุณปการ คณะผู้วิจัยกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงในความกรุณา ดร.กุลวรา เพียรจริง อาจารย์ท่ีปรึกษา โครงการวิจัยที่ได้สละเวลาอันมีค่ามาเป็นที่ปรึกษา พร้อมทั้งให้คาแนะนาตลอดระยะเวลาในการทา โครงการวิจัยครั้งน้ี ขอกราบขอบพระคุณกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.นงนุช โอบะ ผู้ช่วย ศาสตราจารย์ ดร.สุนทรีภรณ์ มีพร้ิง และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิรรัตน์ หรือตระกูล ท่ีได้กรุณาตรวจสอบ ความตรงเชิงเนอ้ื หาของเครอื่ งมอื วิจยั ขอขอบพระคุณคณะกรรมการวิจัยจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่กรุณารับรอง โครงการวิจยั ขอขอบพระคณุ รองศาสตราจารย์ ดร.ชมนาด วรรณพรศริ ิ คณบดคี ณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร เป็นอย่างสูงท่ีกรุณาอนุญาตให้คณะผู้วิจัยเข้าเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างในคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ขอขอบพระคณุ กลุ่มตัวอย่างนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีที่ 3-4 ทุก ท่านท่ีสละเวลาใหข้ ้อมูลการวิจัยอันเป็นประโยชน์อย่างยงิ่ ในครง้ั น้ี ขอกราบขอบพระคุณบดิ า มารดาของผวู้ ิจัยทุกคนทีใ่ ห้กาลงั ใจและให้การสนับสนุนในทุก ๆ ด้านอย่าง ดที ีส่ ดุ เสมอมา คณุ คา่ และคณุ ประโยชนอ์ นั เกิดขึน้ จากการวิจัยฉบับนี้คณะผู้วิจัยขอมอบและอุทิศแด่ผู้มีพระคุณทุก ๆ ท่าน คณะผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานวิจัยฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร เพอ่ื เปน็ แนวทางในการสรา้ งเสรมิ สุขภาพของนสิ ติ และผสู้ นใจทัว่ ไป คณะผูว้ ิจยั

ข ช่อื โครงการวิจัย ความสัมพันธร์ ะหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์และพฤตกิ รรม การปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ผวู้ ิจัย นางสาววรรณภา จนั ทร, นางสาวทพิ ย์สุคนธ์ ดงบวั สร,นายปฏิภาน มานอ้ ย , นางสาวอนนั ตญา กอนตา, นางสาวอรวรรณ ขตั ตยิ ะ, นางสาวโยษิตา พงศ์กาสอ, นางสาวสุพชิ ญา พรหมสา และนางสาวตลุ ยา ใยไม้ ที่ปรกึ ษาโครงการวจิ ยั ดร.กุลวรา เพียรจรงิ คาสาคัญ การรับรู้ความรุนแรง, อิทธิพลทางสถานการณ์, พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจาก สารบอแรกซ์ในอาหาร, นิสติ พยาบาล บทคัดยอ่ การวิจัยเชงิ บรรยายครัง้ น้ีมวี ัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และ พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารและเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความ รุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิต พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซ่ึงทาการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิต พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีที่ 3-4 ปีการศึกษา 2563 จานวน 159 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ การรับรู้ความรุนแรงในการปูองกัน อนั ตรายจากสารบอแรกซใ์ นอาหาร อทิ ธิพลทางสถานการณ์ในการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร และพฤตกิ รรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร จานวน 30 ข้อ ซ่ึงผ่านการตรวจสอบความตรง เชิงเน้ือหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาด้านการรับรู้ความรุนแรงเท่ากับ 0.93 อิทธิพลทางสถานการณ์เท่ากับ 1 และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารเท่ากับ 0.96 และได้ค่าความเชื่อม่ันของเคร่ืองมือวิจัยโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s alpha) เทา่ กับ .87 โดยการวิเคราะห์ขอ้ มูลใช้ความถี่ รอ้ ยละ คา่ เฉล่ีย สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานและความสัมพันธ์โดยวิธี สหสมั พนั ธ์ของเพยี ร์สนั (Pearson’s product moment correlation) ผ่านโปรแกรม SPSS* ผลการวิจัยพบว่า นิสิตพยาบาลมีการรับรู้ความรุนแรงในการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ใน อาหารโดยรวมอยู่ในระดับมาก (���̅��� ) อิทธิพลทางสถานการณ์ในการปูองกัน อันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (���̅��� ) พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารโดยรวมอยู่ในระดับมาก (���̅��� ) โดยมีความสมั พนั ธก์ ันอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .01 โดยการรับรู้ความรนุ แรงจากสารบอแรกซ์ ในอาหารมีความสมั พันธท์ างบวกกับอิทธิพลทางสถานการณใ์ นระดบั ตา่ (r=.223, p<.05) อย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติที่ระดับ .05, การรับรู้ความรุนแรงจากสารบอแรกซ์ในอาหารมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการ ปอู งกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารในระดับปานกลาง (r=.369, p<.01) อย่างมีค่านัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .01 และอิทธิพลทางสถานการณ์จากสารบอแรกซ์ในอาหารมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการ ปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารในระดับต่า (r=.218, p<.05) อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05

ค Abstract Title: The relationship between perceived violence, situational influences By: and protective behavior of borax in diet of nursing students, Faculty of Advisor: Nursing, Naresuan University. Wannapa Janthon, Thipsukon Dongbuasorn, Patiphan Manoi, Anuntaya Kornta, Aorrawan Khattiya, Yosita Pongkasor, Supitchaya Promsa and Tunlaya Yaimai. Dr. Kulwara Phainching. Keywords: perceived violence, situational influences, protective behavior of borax in diet, and nursing students The purposes of this study were to find out the association between perceived violence, situational influences and protective behavior of borax in diet of nursing students, Faculty of Nursing, Naresuan University. The sample was 159, third and fourth year of 2020 nursing students. The research instrument used in collecting the data was questionnaire that divides for three parts: perceived violence, situational influences, and protective behavior of borax in diet; amount 30 questions. The perceived severity content consistency index was .93, the situational influence was 1, and the foodborne borax protection behavior was 0.96, and Cronbach’s alpha at .87. The quantitative data were analyzed using the descriptive statistics of frequencies percentage arithmetic mean standard deviation, and Pearson’s product moment correlation by Statistics Package for Social Sciences (SPSS). The results of the study revealed that nursing students had perceived violence in the highest level ( ̅ = 3.82, SD = 0.62) situational influences in average level ( ̅ = 3.31, SD = 0.76) and protective behavior of borax in diet in high level ( ̅ = 3.70, SD = 0.64 ), with the statistically significant correlation at .01 level. The perceived violence of borax in diet was positively associated with low situational influences (r = .223, p <.05) at the .05 level. The perceived violence of borax in diet was positively associated with a moderate level of protective behavior of borax in diet (r = .369, p <.01) at the .01 level. And situational influences of borax in diet was positively associated with low levels of protective behavior of borax in diet (r = .218, p <.05) at the .05 level.

สารบญั ง บทท่ี หนา้ ก ประกาศคณุ ปการ ข บทคัดย่อภาษาไทย ค บทคดั ย่อภาษาองั กฤษ จ สารบญั ช สารบญั ตาราง ซ สารบญั ภาพ 1 บทที่ 1 2 1.บทนา 3 3 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหาการวิจัย 3 4 คาถามการวจิ ัย 4 5 วตั ถุประสงค์การวิจยั 5 สมมตฐิ าน 8 10 ขอบเขตของการวจิ ัย 11 นยิ ามศพั ท์ 13 ประโยชน์การวิจัย 14 2.ทบทวนวรรณกรรมและวิจัยทีเ่ กีย่ วข้อง 14 สารบอแรกซ์ในอาหาร 16 แบบแผนความเชอื่ ด้านสุขภาพ ( Health Belief Model) 20 พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของนิสติ พยาบาล 20 งานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้อง 21 กรอบแนวคิด 22 3.วิธีการดาเนนิ การวิจัย 23 ประชากรและการสมุ่ ตัวอย่างทศี่ ึกษา เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การเก็บรวบรวมข้อมูล การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 4.ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ตารางที่ 1 จานวนรอ้ ยละของขอ้ มลู สว่ นบคุ คลของกลมุ่ ตวั อย่าง ตารางที่ 2 ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของการรับรคู้ วามรุนแรง ในการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร

จ บทท่ี หน้า ตารางท่ี 3 คา่ เฉลย่ี และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของอทิ ธิพลทางสถานการณ์ 24 ในการปูองกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร ตารางท่ี 4 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของพฤติกรรมการปูองกนั อันตราย 25 จากสารบอแรกซ์ในอาหาร ตารางที่ 5 ความสมั พันธ์ระหว่างการรบั รูค้ วามรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์และ 26 พฤติกรรมการปอู งกนั อันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนสิ ติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร 5.สรุปผลการวิจยั อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 27 สรปุ ผลการวจิ ัย 28 อภิปรายผล 28 ขอ้ เสนอแนะ 30 บรรณานุกรม ฌ

สารบัญตาราง ฉ ตารางท่ี หนา้ ตารางที่ 1 จานวนรอ้ ยละของขอ้ มูลสว่ นบคุ คลของกลุ่มตัวอย่าง 25 ตารางท่ี 2 คา่ เฉลี่ยและสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของการรับรู้ความรุนแรงในการปูองกนั 26 27 อันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร 28 ตารางท่ี 3 ค่าเฉลีย่ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของอทิ ธพิ ลทางสถานการณ์ในการปอู งกัน 30 อนั ตรายจากสารบอแรกซใ์ นอาหาร ตารางท่ี 4 คา่ เฉลย่ี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของพฤติกรรมการปูองกนั อันตราย จากสารบอแรกซ์ในอาหาร ตารางที่ 5 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการรบั รคู้ วามรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์และ พฤตกิ รรมการปอู งกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซใ์ นอาหารของนสิ ิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร

สารบญั ภาพ ช ภาพท่ี หน้า ภาพที่ 1 แบบจาลองความเชื่อดา้ นสุขภาพของเบคเกอร์ 9 ภาพที่ 2 กรอบแนวคดิ ในงานวิจยั 15

1 บทท่ี1 บทนา ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หาการวิจัย พฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทยในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของนักศกึ ษาพยาบาลท่ีเปลี่ยนแปลงไปจากยุคอดีตเป็นอย่างมาก ในอดีตจะรับประทานอาหารที่บ้าน หรือที่หอพักและปรุงอาหารกันเองภายในครอบครัว แต่ปัจจุบันไม่มีเวลาปรุงอาหารเองจึงออกไป รับประทานอาหารนอกบา้ นและเลอื กหารา้ นอาหารท่ีสะดวกและรวดเร็ว รับประทานอาหารจานด่วน เพื่อประหยัดเวลา (อาภรณ์ ดีนาน และสงวน ธานี, 2556 อ้างอิงในมัณทนาวดี เมธาพัฒนะ, 2560) ซ่ึงสขุ ภาพเป็นตวั แปรสาคัญในการเลือกบรโิ ภคอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางอาหารโดยเฉพาะ สารปนเปือ้ นทีม่ กี ารเติมลงไปในอาหารเพ่ือใหอ้ าหารกรอบ มีสีสนั น่ารบั ประทานและเก็บไว้ได้นาน ซ่ึง สารเจือปนในอาหาร ได้แก่ สีผสมอาหาร สารกันบูด สารปรุงแต่งรส ซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพของ ผู้บริโภคและนาไปสู่โรคภัยไข้เจ็บได้หากได้รับในปริมาณมาก แม้ว่ามีการออกกฎหมายควบคุมวัตถุ ห้ามใช้ในอาหาร แต่ยังคงพบสารเจือปนในอาหารที่เป็นพิษต่อผู้บริโภค ซึ่งสารเจือปนท่ีมักตรวจพบ บ่อย คือ สารบอแรกซ์ โดยอาหารที่มักพบการเจือปนของสารบอแรกซ์ ได้แก่ เน้ือสัตว์บด (ปลาขูด, ไก่บด, เน้ือบด, หมูบด) เนื้อสัตว์ท่ัวไป (เน้ือหมู, เนื้อไก่, เนื้อวัว) ขนมจากแปูง (รวมมิตร, ทับทิม กรอบ) และลูกชน้ิ (ลกู ชิน้ ปลา, ลูกชนิ้ เน้ือ, ลูกชน้ิ หมู) (มาลนิ ี ฉินนานนท์, 2558) สารบอแรกซ์ (Borax) เป็นสารอนินทรีย์มีช่ือทางเคมีว่า โซเดียมเตตราบอเรต (Sodium tetraborate) คนทั่วไปรู้จักกันในช่ือของน้าประสานทอง สารข้าวตอก ผงกันบูด เพ่งเซ หรือผงเน้ือ น่ิม ซึ่งสารนี้มีลักษณะเป็นผลึกส่ีเหลี่ยมเล็ก ๆ สีขาวขุ่น ไม่มีกลิ่น สารบอแรกซ์เป็นวัตถุห้ามใช้ใน อาหารและเปน็ วัตถทุ ีท่ างกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศห้ามใช้ในอาหารมาต้ังแต่ปี พ.ศ. 2536 โดยให้ถือว่าอาหารท่ีมีส่วนผสมของสารบอแรกซ์ปนเปื้อนอยู่นั้นเป็นอาหารท่ีไม่บริสุทธ์ิเน่ืองจากอาจ กอ่ ใหเ้ กดิ อันตรายรา้ ยแรงตอ่ สุขภาพของผ้บู รโิ ภคได้ (มาลนิ ี ฉนิ นานนท์, 2558) จากโครงการสารวจและเฝูาระวังสารบอแรกซ์ในผลิตภัณฑ์อาหารปี พ.ศ. 2560 โดยศูนย์ วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12/1 ตรัง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทาการสารวจตัวอย่างอาหารจานวน 1,613 ตัวอย่าง จากตลาดสด ตลาดส่ง ห้างสรรพสินค้าและรถเร่จากทุกจังหวัดท่ัวประเทศ โดยการ ตรวจอาหารกลุ่มเส่ียงพบว่ามีการใช้สารบอแรกซ์ ได้แก่ แปูงทาขนม ทับทิมกรอบ ผลไม้ดอง ผักดอง เนื้อสตั ว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ บะหมี่ ฯลฯ ผลสรุปการตรวจเฝูาระวังสารบอแรกซ์ในผลิตภัณฑ์ อาหารกลุ่มเส่ียงพบว่ามีสารบอแรกซ์ ร้อยละ 4.28 ซ่ึงปริมาณท่ีพบอยู่ในช่วง 58.1-9,437 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม และพบมากในแปูงทาขนมและผงกรอบ ซึ่งพบปริมาณในช่วง 2,343-1,365,694 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เม่ือนาข้อมูลมาประเมินความเส่ียงพบว่าอาหารกลุ่มเส่ียงในภาพรวม ระดับประเทศท่ีจะเกิดผลเสียหายต่อสุขภาพ ได้แก่ เนื้อวัว ปลาบด/ขูด ลูกช้ินเนื้อ ทอดมัน เนื้อหมู บด/เศษเนอื้ อง่นุ ดอง ข้าวเมา่ ทอด ขนมรง้ั บวั ลอย กล้วยทอด ทับทมิ กรอบ และบะหมี่เหลือง จึงควร มกี ารเฝาู ระวังในกลุ่มอาหารเหลา่ นี้อย่างตอ่ เนอื่ ง (กรมวิทยาศาสตรก์ ารแพทย์, 2560) สารบอแรกซ์ (Borax) หรือกรดบอริก (Boric Acid) สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ท่ีได้รับ เป็นประจาได้ พิษของสารบอแรกซ์มีผลต่อเซลล์ของร่างกายเกือบทั้งหมด เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปจะ

2 ทาให้เกิดความผิดปกติรุนแรงมากน้อยนั้นขึน้ อยู่กบั ความเข้มข้นของสารบอแรกซ์ท่ีร่างกายได้รับ และ เกดิ การสะสมในอวัยวะน้ัน โดยเฉพาะไตเป็นอวัยวะท่ีได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยอาการจะปรากฏ ให้เห็นภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนกระเพาะอาหารและลาไส้จะอักเสบ ตับถูกทาลาย สมองบวมช้าและมี การคั่งของเลือด ซึ่งอาการท่ัวไปของ การที่ร่างกายมีการสะสมสารบอแรกซ์ คือ มีไข้ ผิวหนังมี ลักษณะแตกเปน็ แผล บวมแดงคลา้ ยถกู น้ารอ้ นลวก อาจมีปัสสาวะออกน้อย หรือไม่ออกเลยเน่ืองจาก สมรรถภาพการทางานของไตล้มเหลว (มาลินี พงศเ์ สวี, 2548) โดยนิสิตพยาบาลซ่ึงกาลังศึกษาอยู่ในกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพอาจมีการรับรู้ถึงความรุนแรง ของการปนเป้ือนสารบอแรกซ์ในอาหารไม่เพียงพอ ร่วมกับการใช้ชีวิตประจาวันของนิสิตพยาบาลทั้ง ทฤษฎีและปฏิบัติ มีการข้ึนฝึกปฏิบัติงานจริงบนหอผู้ปุวยตามโรงพยาบาลต่าง ๆ นักศึกษาต้องนอน ดึกเพราะต้องเตรียมอ่านหนังสือและวางแผนการพยาบาลผู้ปุวย ต้องตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทางจาก หอพักไปยังโรงพยาบาลทฝ่ี กึ ปฏิบตั งิ านให้ทนั เวลา บางครั้งนักศึกษาจะรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา หรอื จะละเลยไม่รับประทานอาหารเชา้ ซงึ่ ต้องใช้ชวี ติ อย่างเรง่ รีบ รว่ มกบั การท่ีนสิ ิตพยาบาลได้รับการ ชักจูงจากเพ่ือน ค่านิยม และกระแสสังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ทาให้การรับประทาน อาหารของนิสิตพยาบาลนน้ั ไมไ่ ดม้ กี ารคานงึ ถงึ ความรนุ แรงของอาหารที่มีสารบอแรกซผ์ สมอยู่ ดังนั้นคณะผู้วิจัยในฐานะนิสิตพยาบาล จึงสนใจท่ีจะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร ของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เพ่ือเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ให้บุคคลที่มี ความสนใจและเกย่ี วข้อง นาไปวางแผนลดพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจากสารบอแรกซ์ และ ส่งเสริมปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร ของนสิ ิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวรตอ่ ไป คาถามการวจิ ยั 1. การรบั รูค้ วามรนุ แรง อิทธพิ ลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปอู งกนั อนั ตรายจากสาร บอแรกซ์ในอาหารของนสิ ติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร เป็นอย่างไร 2. การรบั รคู้ วามรุนแรง อทิ ธพิ ลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกนั อนั ตรายจากสาร บอแรกซใ์ นอาหารของนิสติ นิสติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร มคี วามสัมพันธ์ กนั หรอื ไม่ วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย 1. เพ่ือศึกษาการรับรคู้ วามรนุ แรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤตกิ รรมการปอู งกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร 2. เพอ่ื ศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธพิ ลทางสถานการณ์ และ พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนสิ ิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร

3 สมมติฐาน สมมติฐานการวิจัย การรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรม การปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร สมมติฐานทางสถิติ กาหนดให้ x หมายถงึ การรบั รู้ความรุนแรง y หมายถึง อทิ ธิพลทางสถานการณ์ z หมายถึง พฤติกรรมการปูองกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซใ์ น อาหารของนิสติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร สมมติฐานทางสถิติท่ี 1 H0 : ρxy = 0 H1 : ρxy ≠ 0 สมมตฐิ านทางสถิตทิ ี่ 2 H0 : ρxz = 0 H1 : ρxz ≠ 0 สมมติฐานทางสถิตทิ ่ี 3 H0 : ρyz = 0 H1 : ρyz ≠ 0 ขอบเขตของการวจิ ัย 1. การศึกษาในครั้งนี้เป็นงานวิจัยแบบบรรยายหรือเชิงพรรณนา (Descriptive Research) เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 2. ประชากรในการศกึ ษาคร้ังนเี้ ป็นนิสติ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ช้ันปีท่ี 3- 4 จงั หวดั พิษณโุ ลก จานวน 242 คน 3. กลุ่มตวั อย่างในการศึกษาครง้ั น้เี ป็นนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ช้ันปีท่ี 3-4 จังหวัดพิษณุโลก จานวน 242 คน โดยใช้สูตรการคานวณกลุ่มตัวอย่างของทาโร่ ยามาเน่ (Yamane, 1970 อา้ งองิ ในร่งุ ทิวา บุญประคม, 2563) 4. ตัวแปรทีศ่ ึกษา 4.1 การรบั รู้ความรุนแรง 4.2 อทิ ธิพลทางสถานการณ์ 4.3 พฤติกรรมการปูองกนั อันตรายจากสารบอแรกซใ์ นอาหารของนสิ ิตคณะพยาบาล ศาสตรม์ หาวิทยาลัยนเรศวร

4 นยิ ามศัพท์ การรับรู้ความรุนแรง หมายถึง การได้ยิน การได้เห็น การได้รู้ สารบอแรกซ์ในอาหารของ นิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ผลเสียท่ีเกิดข้ึนจากการเจ็บปุวยว่าด้วยสาร บอแรกซ์ในอาหารทาให้ส่งผลกระทบต่อร่างกายทาให้เกิดการเจ็บปุวย มีผลต่อระบบทางเดินอาหาร การทางานของตับและไตรวมไปถึงการทางานของสมอง ทาให้เกิดอาการ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลน่ื ไสอ้ าเจยี น (จิรารักษ์ ดษิ บรรจง, 2559) อิทธิพลทางสถานการณ์ หมายถึง อิทธิพลและสถานการณ์ทางสังคมที่เป็นที่นิยม สภาพแวดล้อม รวมไปถึงการชักจูงใจการสื่อสารเพื่อเปล่ียนใจ ความคิด ความเช่ือที่เป็นที่ยอมรับ ท่ัวไป จากส่ือมวลชนหรือบุคคลใกล้ชิด การโฆษณาหรือส่วนลดโปรโมช่ันต่าง ๆ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ รูปลักษณ์อาหารซ่ึงมีผลต่อพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร ซึ่งประเมินได้ จากแบบสอบถามทผี่ วู้ จิ ัยสร้างข้นึ (จริ ารักษ์ ดษิ บรรจง, 2559) พฤติกรรมการป้องกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร หมายถึง การปฏิบัติตัวในการ เลือกบริโภค การเลือกซื้ออาหาร เช่น การสังเกต วัน เดือน ปีที่ผลิต หรือหมดอายุ ฉลาก และ เครื่องหมายการคา้ ซ่งึ มีผลต่อสุขภาพของนิสติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ท่ี ทาให้เกิดการเจ็บปุวย หรือการมีสารบอแรกซ์ท่ีทาให้สะสมในร่างกายซึ่งก่อให้เกิดโรคในอนาคต ซ่ึง ประเมินได้จากแบบสอบถามทีผ่ ูว้ ิจัยสรา้ งข้ึน (จริ ารกั ษ์ ดิษบรรจง, 2559) นิสติ พยาบาล หมายถงึ นิสติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีท่ี 3- 4 ประจาปีการศกึ ษา 2563 ประโยชนก์ ารวิจยั งานวิจัยนี้ผู้วิจัยมีการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทาให้มีความรู้เรื่องการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิต พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวรเพม่ิ ข้ึน และผลการวิจัยของงานวิจัยน้ีจะทาให้ได้ ทราบถึงพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล ซ่ึงจะเป็น ประโยชน์ต่อการให้ความรู้เรื่องการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการ ปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวรและประชาชนตอ่ ไป

5 บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรมและวิจัยทเ่ี ก่ียวขอ้ ง การวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์และ พฤติกรรมการปูองกนั อันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร ผ้วู ิจยั ได้ศกึ ษาค้นควา้ เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้อง ดังต่อไปน้ี 1. สารบอแรกซ์ในอาหาร 2. แบบแผนความเชอ่ื ด้านสขุ ภาพ ( Health Belief Model) 2.1 การรับรูค้ วามรุนแรง 2.2 อิทธพิ ลทางสถานการณ์ 2.3 พฤติกรรมการปูองกันอนั ตราย 3. พฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร 4. งานวิจัยทเี่ กยี่ วข้อง 5. กรอบแนวคิด 1. สารบอแรกซใ์ นอาหาร สารบอแรกซ์เป็นสารอนินทรีย์สังเคราะห์ มีชื่อทางเคมีว่า โซเดียมเตตราบอเรต (Sodium Tetraborate) โซเดียมบอเรต (Sodium Borate) มีลักษณะเป็นผลึกรูปส่ีเหล่ียมเล็ก ๆ สีขาวขุ่น คล้ายผงซักฟอก ละลายได้ดีในน้า มีช่ือเรียกกันหลายชื่อ เช่น น้าประสานทอง หรือท่ีคนจีนเรียกว่า เพง่ เซ สามารถหาซอื้ ได้ตามรา้ นขายยา หรือร้านขายของชาบางแห่งในรูปของการบรรจุถุงขาย โดยใช้ ชื่อว่าผงกรอบหรือแปูงกรอบ โดยท่ัวไปจะใช้บอแรกซ์ในอุตสาหกรรมทาแก้ว ใช้ในทางเกษตรกรรม ในการกาจัดปูองกนั วัชพชื ใช้ปอู งกันการเจรญิ ของเชือ้ ราท่ีขึ้นตามต้น ใบ ใช้เป็นยาเบื่อแมลงสาบและ ใช้เป็นตัวเชื่อมทองเส้นเข้าด้วยกนั (กองสขุ าภบิ าลอาหาร กรมอนามยั , 2535) สารบอแรกซ์เป็นโทษต่อร่างกายได้ 2 ลักษณะ คือ ตัวสารบอแรกซ์จะเป็นสิ่งแปลกปลอม สาหรับรา่ งกายไมส่ ลายตวั แตส่ ว่ นใหญจ่ ะถูกสะสมไว้ทกี่ รวยไตทาใหเ้ กดิ การอักเสบได้ พิษของสารบอ แรกซ์สามารถทาลายพืชและสัตว์ได้ สามารถทาลายระบบทางเดินอาหารของเราได้เช่นเดียวกัน อาการที่แสดงออกจะขึ้นอยู่กับปริมาณของสารบอแรกซ์ท่ีรับเข้าไปในร่างกายและความสามารถของ ร่างกายในการขับถ่ายออกมาในรายที่บริโภคน้อย ๆ แต่บ่อยครั้งจะเกิดระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดิน อาหาร ทาให้มีการเบื่ออาหาร อาเจียน ท้องร่วงบ่อย ๆ น้าหนักลดและอาการผื่นคันทางผิวหนัง ใน รายท่ีบรโิ ภคครั้งละมาก ๆ อาจเกิดอาการพิษอย่างรุนแรงได้ เช่น อาเจียนออกมาเป็นเลือด ปวดท้อง ผวิ หนังมีผื่นแดง หรืออาการช้าเลือดตัวเหลือง ไม่มีปัสสาวะ และหมดสติได้ สาหรับเด็กเล็ก ๆ พบว่า ถา้ บริโภคเขา้ ไปเพียง 5-6 กรมั หรือชอ้ นชาพนู ตอ่ คร้ังหรือในผู้ใหญ่ ถา้ บรโิ ภคเกนิ กว่า 15 กรัมตอ่ คร้งั ก็จะทาใหถ้ งึ ชวี ิตได้ (กองสขุ าภิบาลอาหาร กรมอนามยั , 2535) การใช้สารบอแรกซ์ผสมอาหารในปัจจุบัน พบว่าผู้ผลิตอาหารและผู้ประกอบการบางรายใช้ สารบอ-แรกซ์ผสมลงในอาหาร เช่น ลกู ชนิ้ หมยู อ ผกั กาดเคม็ มะม่วงดอง ผลไมด้ องตา่ ง ๆ กล้วยทอด มันทอด และใชเจือปนในผงชูรส สารบอแรกซ์ได้ถูกกาหนดเป็นวัตถุห้ามใช้ในอาหารตามประกาศ กระทรวงสาธารณสุข ฉบบั ท่ี 4 และมบี ทลงโทษสาหรับผผู้ ลิตอาหารทีใ่ สส่ ารบอแรกซ์ให้ถือว่าผลิต

6 จาหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือท้ังจา ท้งั ปรบั ปกตสิ ารบอแรกซ์จะใช้สาหรับล้างหม้อน้าขนาดใหญ่ ใช้ในทางยาโดยเฉพาะภายนอกร่างกาย เป็นสารฆ่าเชื้อโรคยับย้ังการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ เช่น น้ายากรดบอริก 2 % ใช้สาหรับชะล้าง แผล คุณสมบัติของสารบอแรกซ์หรือกรดบอริก คือ ทาให้อาหารกรุบกรอบหรือที่เรียกกันว่า “ผง กรอบ” ราคาซองละ 2 บาทนามาทาใหล้ ูกชิ้น หมยู อ แปงู บัวแก้ว มะม่วงดอง มะมว่ งอบน้าผึ้ง ลูกชิ้น ปิงปอง (ลูกช้ินถ้าทุบมาก ๆ จนเหนียวก็กรอบได้โดย ไม่ต้องใช้ผงกรอบ ผัก ผลไม้ ที่แช่น้าปูนใสก็ กรอบได้ เนอ้ื สตั ว์ไม่จาเป็นต้องโรยผงกรอบ เพื่อปูองกนั การเน่าเสยี แต่เก็บในช่องแช่แข็งในตู้เย็น โรย เกลอื เก็บในท่ีอากาศถ่ายเทก็ได้เช่นกัน) โดยไม่รู้หรือเห็นแก่ตัวของผู้ผลิต ทั้งน้ีเพราะผงกรอบนี้จะถูก ดูดซึมเข้าสู่เส้นเลือดอย่างรวดเร็วทางลาไส้เข้าไปอยู่ในน้าลาย น้านม ปัสสาวะ ภายใน 12 ช่ัวโมง ใน รูปที่ไม่เปล่ียนแปลง 50 % อีก 50 % ที่เหลือถูกขับออกอย่างช้า ๆ ภายใน 1 สัปดาห์ นอกจากนี้จะ เกดิ พิษสะสมในไตทาใหป้ สั สาวะไม่ออกและมีอาการคล่ืนไส้ อาเจียนเป็นเลือด ปวด ท้อง ผิวหนังเป็น ผื่นแดง ความดันโลหิตต่า หมดสติ ตับและสมองอาจอักเสบได้ (กองสุขาภิบาลอาหาร กรมอนามัย, 2535) กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ออกประกาศห้ามไม่ให้ใช้สารบอแรกซ์เจือปนอาหาร ไม่ว่าจะ วัตถุประสงค์ใด ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับท่ี 22 ออกตามความในพระราชบัญญัติ ควบคุมคุณภาพอาหาร พ.ศ. 2507 และกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ออกประกาศกาหนดให้กรดบอริก และสารบอแรกซ์เป็นสารท่ีห้ามใช้ในอาหารทุกชนิดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับท่ี 4 พ.ศ. 2522 และประกาศฉบับที่ 151 พ.ศ. 2536 ออกตามความในพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 (มาลินี ฉนิ นานนท์, 2558) กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศจัดให้สารบอแรกซ์เป็นวัตถุมีพิษ ตามประกาศ กระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับท่ี 41 พ.ศ. 2531 และสานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สานัก นายกรัฐมนตรไี ด้ ประกาศกาหนดให้ระบุบนฉลากของสารบอแรกซ์ว่า “สารบอแรกซ์อันตรายห้ามใช้ ในอาหาร” ด้วยตัวอักษรสีแดงบนพ้ืนสีขาวไว้ ถ้าไม่มีฉลากมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท (กอง สาธารณสุขและ ส่งิ แวดล้อม, 2557) ในปี พ.ศ. 2527 ส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้กาหนดให้สาร บอแรกซ์เป็นโภคภณั ฑค์ วบคมุ ตามกฎกระทรวงฯ ฉบับท่ี 18 พ.ศ. 2528 ผู้ผลิตหรือผู้นาเข้าและมีสาร บอแรกซ์ไว้ในครอบครองจะต้องทารายงานประจาเดือนแสดง ชนิด ประเภท ปริมาณ สถานท่ีเก็บ รายชื่อ และที่อยู่ของผู้ซ้ือ ต่อมาภายหลังปี พ.ศ. 2534 ทางกระทรวงพาณิชย์ได้มีพระราชกฤษฎีกา ยกเลิกพระราชกฤษฎีการควบคุมโภคภัณฑ์ ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2528 ซ่ึงอาจเป็นเหตุให้มีการระบาดของ สารบอแรกซ์ในอาหารเพมิ่ มากขน้ึ (มาลนิ ี ฉินนานนท,์ 2558) จากการศึกษาและทดลองในคน โดยใช้อาสาสมัครชายจานวน 12 คน รับประทานสารบอ แรกซเ์ ป็นเวลา 30-70 วัน โดยเรม่ิ รบั ประทานวนั ละ 4-5 กรัม และลดปริมาณลงมาเป็น 3 กรัมต่อวัน ต่อมาลดลงเหลือ 0.5 กรัมต่อวัน ผลจากการศึกษาปรากฏว่าอาสาสมัครเหล่าน้ันมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหารจากการท่ีได้รับสารบอแรกซ์ในปริมาณมาก ๆ ในคนจะมีอาการเฉียบพลันเกิดข้ึน ดังตอ่ ไปนี้ คล่ืนไส้ อาเจียน ปวดท้อง ลาไส้ และกระเพาะอาหาร เกิดการระคายเคือง อุจจาระร่วง บางคร้ัง อาจมเี ลอื ดปนออกมากบั อุจจาระ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิด มีอาการทางประสาท อาจ

7 ชัก หมดสติได้ เนื่องจากประสาทส่วนกลางถูกกด และตายได้ ผิวหนังอักเสบ เป็นผ่ืนแดง คัน ผมร่วง หวั ใจเต้นเร็ว ความดนั โลหิตลดลง อาจมีอาการชอ็ ค (Shock) หมดสติได้ ตับ และไต อักเสบ ปัสสาวะ นอ้ ย จนกระทง่ั ไม่มีปัสสาวะ ในกรณีท่ีได้รับสารบอแรกซ์ในปริมาณไม่มากและได้รับบ่อย ๆ เป็นเวลานาน ๆ จะมีอาการ เร้ือรัง เกิดขึ้น ดังต่อไปน้ี อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้าหนักลด คล่ืนไส้ อาเจียน ปากเปื่อย เย่ือเมือก ภายในปากแหง้ ผิวหนังแหง้ อักเสบ เป็นผ่ืนแดง คัน ผมรว่ ง หนงั ตาบวม เย่ือตาอกั เสบ ระบบสืบพันธ์ุ เส่ือมสมรรถภาพ ตับและไตอักเสบ ปัสสาวะน้อยจนกระทั่งไม่มีปัสสาวะ (มาลินี พงศ์เสวี, 2548 อ้างอิงใน มาลินี ฉนิ นานนท,์ 2558) ขนาดของสารบอแรกซท์ เี่ ป็นอนั ตราย ขนาดท่ีทาให้เกดิ พษิ 5-10 กรมั ในผใู้ หญ่ขนาดท่ีทาให้เสียชีวิต 15-30 กรัม ในผู้ใหญ่ขนาดท่ี ทาให้เกดิ พิษ และเสียชีวิต 4.5 - 14 กรัม ในเด็กการเสียชีวิตจะเกิดข้ึนภายใน 1-3 วัน (มาลินี ฉินนา นนท,์ 2558) การขับถ่ายสารบอแรกซ์ออกจากรา่ งกาย สารบอแรกซ์ที่เข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานนั้นจะถูกดูดซึมได้เกือบทั้งหมดท่ีทางเดิน อาหาร การขับถ่ายส่วนใหญ่ผ่านทางไตออกมากับปัสสาวะ มีส่วนน้อยเท่าน้ันท่ีออกมากับเหง่ือ ปริมาณครึ่งหน่ึงของสารบอแรกซ์ที่ร่างกายได้รับจะถูกขับออกมากับปัสสาวะภายในเวลา 12 ช่ัวโมง แรก จากน้ันในช่วง 2-3 วันแรกจะถูกขับออกมาได้มากที่สุด และใช้เวลานานกว่า 7 วันจึงจะขับถ่าย ออกหมด ถึงแม้ว่าจะได้รับสารประกอบโบรอน (สารบอแรกซ์) เข้าไปเพียงครั้งเดียวก็ตาม และจะ ตรวจพบโบรอนในปัสสาวะ โดยวิธีทดสอบด้วยกระดาษขม้ินซ่ึงเป็นการตรวจทางคุณภาพ (ชนินทร์ เจริญพงศ์, 2542 อา้ งองิ ใน มาลนิ ี ฉนิ นานนท,์ 2558)

8 2. แบบแผนความเชือ่ ดา้ นสขุ ภาพ ( Health Belief Model) พฤติกรรมทางดา้ นสุขภาพของบคุ คลแตล่ ะคนมีความแตกต่างกนั โดยข้นึ อยู่กับการรับรู้ ประโยชนแ์ ละอปุ สรรคของสถานการณ์ อทิ ธิพลทางสถานการณ์ และอ่ืน ๆ ซ่งึ สามารถเปลีย่ นแปลงได้ ตลอดเวลา แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) ประกอบด้วย 7 มโนทัศน์ท่ีมี ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (Becker,1975 อ้างในเบญจมาศ สุขศรีเพ็ง, 2550 ) ถูกปรับปรุงข้ึนโดย เบคเกอร์ เพ่อื นามาใช้อธบิ ายและทานายพฤติกรรมการปอู งกันและพฤติกรรมอ่ืน ๆ โดยเพิ่มปัจจัยอ่ืน ๆ นอกเหนือจากการรับร้ขู องบุคคลท่ีมีอิทธิพลต่อการปฏิบตั ิในการปูองกันโรค ภาพท่ี 1 แบบจาลองความเชื่อดา้ นสุขภาพของเบคเกอร์และคณะ ทมี่ า Becker and Maiman, 1975 การวิจัยคร้ังน้ีใช้มโนทัศน์ของแบบแผนความเช่ือด้านสุขภาพ (Health Belief Model) 3 มโนทศั น์ ดงั นี้ 2.1 การรับรู้ความรุนแรง (Perceived Severity) เป็นการประเมินการรับรู้ความรุนแรง ของโรค ปัญหาสุขภาพหรือผลกระทบจากการเกิดโรค ซ่ึงก่อให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิต การ

9 ประเมินความรุนแรงน้ันอาศัยระดับต่าง ๆ ของการกระตุ้นเร้าของบุคคลเกี่ยวกับการเจ็บปุวยนั้น ซึ่ง อาจจะมองความรนุ แรงของการเจบ็ ปวุ ยนั้น ทาให้เกิดความพิการหรือตายได้ หรืออาจมีผลกระทบต่อ หน้าท่ีการงาน เม่ือบุคคลเกิดการรับรู้ความรุนแรงของโรคหรือการเจ็บปุวยแล้วจะมีผลทาให้บุคคล ปฏบิ ตั ิตามคาแนะนาเพ่อื การปอู งกันโรค ซึ่งจากผลการวิจัยจานวนมากพบว่า การรับรู้ความรุนแรงของโรคมีความสัมพันธ์ในทางบวก กบั พฤติกรรมการปูองกันโรค เช่น การปฏบิ ตั ิตนเพ่อื ปูองกนั อบุ ตั ิเหตุ 2.2 อิทธิพลทางสถานการณ์ หรืออีกในนัยหนึ่งคืออิทธิพลทางสังคม ล้วนมีความสัมพันธ์ต่อ การตัดสินใจกระทาการพฤติกรรมใด ๆ ซง่ึ อทิ ธิพลทางสังคมนี้แสดงออกมาได้หลายรูปแบบ แต่ที่นิยม กล่าวถงึ มีอยู่ 4 แบบ คือ 2.2.1 การชกั จูงใจ (Persuasion) คือ การใช้การสอ่ื สารเพ่ือเปลี่ยนใจ ความคิด ความเช่ือ ตลอดจนพฤติกรรมของบุคคล โดยผู้ที่ไปจูงใจผู้อื่นจะต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะทาให้ข้อคิดหรือข้อโ ต้แ ย้งที่เสนอไปมีเหตุผลที่ นา่ เชือ่ ถอื ท่ีสดุ แต่มักจะซ่อนความไม่ถูกต้องบางอย่างเอาไว้ด้วย ซึ่งการชักจูงใจเป็นวิธีการใช้อิทธิพล ตอ่ บคุ คลอื่นแบบงา่ ยท่ีสดุ และเราได้เหน็ บอ่ ยทสี่ ดุ ซ่ึงในแต่ละวันเราจะได้พบเห็นอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็น การชักจูงจากสื่อมวลชน หรือบุคคลใกล้ชิด 2.2.2 การคล้อยตาม (Conformity) คอื การที่บคุ คลพยายามเปล่ยี นพฤตกิ รรมของตนเองให้เข้ากับมาตรฐานหรือความเช่ือ ที่เป็นท่ียอมรับโดยทั่วไปมปี ัจจัยสาคัญทีท่ าใหเ้ กิดการคล้อยตาม คือ แรงกดดันจากกลุ่ม นอกจากนี้ยัง มีปจั จัยท่มี ีอิทธพิ ลต่อการคล้อยตาม ดังนี้ - กลมุ่ อ้างองิ (Reference Group) คนเราทุกคนไม่มีผู้ใดอยากจะคล้อยตามคนอื่นไปเสียหมดซ่ึงคาว่ากลุ่ม อ้างอิง หมายถึง กลุ่มที่เราคิดว่าเราก็เหมือนกับเขา หรือเราอยากจะเป็นเหมือนเขาเหล่านั้น ใน คุณลักษณะบางประการ ซ่ึงอาจจะเป็นเจตคติ ค่านิยม ความเช่ือ หรือพฤติกรรมท่ีแสดงออกมาก็ได้ ตัวอย่างจากการวิจัยของนิวโคม (Newcomb) ซ่ึงตีพิมพ์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1943 เป็นหลักฐานที่แสดงให้ เหน็ วา่ คนเราคลอ้ ยตามกลุ่มอ้างอิงของตน นิวโคมไดว้ ัดเจตคตขิ องนักศึกษาวิทยาลัยสาหรับผู้หญิงชื่อ เบนนิงตัน (Bennington College) ซ่ึงมาจากครอบครัวที่มีเจตคติทางการเมืองเป็นแบบอนุรักษ์นิยม พบว่าเมื่อเข้ามาเรียนในช้ันปี 1 นักศึกษามีเจตคติแบบอนุรักษ์นิยม แต่จะเปลี่ยนแปลงเมื่ออยู่ปี 2, 3 และปี 4 โดยจะรับเจตคติทางการเมืองแบบเสรีนิยมมาแทนเหตุที่เป็นเช่นน้ีเพราะว่านักศึกษาเหล่าน้ี ไดย้ ดึ เอานกั ศึกษารุ่นพ่ีเป็นแบบอย่างหรือเป็นกลุ่มอ้างอิงสาหรับตน พวกเขามีความรู้สึกว่าสังคมของ นกั ศึกษาในวิทยาลัยกดดนั ให้เขาต้องเปลีย่ นความคดิ ให้เข้ากบั รุน่ พี่ ๆ (Baron & Byrne, 1981) - ขนาดของกลุม่ กบั การคลอ้ ยตาม การคล้อยตามอาจจะเกิดมากข้ึนตามจานวนคนท่ีเพิ่มในกลุ่ม แต่จะมีจุด หน่ึงซึ่งจะเป็นจุดอ่ิมตัว ภายหลังจากจุดน้ีไปการคล้อยตามจะลดน้อยลงได้ถึงแม้ว่าจะเพิ่มจานวนคน ขึ้นมาในกลุ่มเพ่ือสร้างแรงกดดันให้มากขึ้นก็ตาม เช่น ความนิยมอาหารเมนูหนึ่งตามกลุ่มคนจานวน มาก สกั พักความนยิ มในอาหารนนั้ กเ็ รม่ิ ลดน้อยลงถึงแม้วา่ จะมีการชกั จงู ท่ีโฆษณาอยา่ งสม่าเสมอ

10 - พนั ธมิตรกับการคล้อยตาม เมอื่ ใดก็ตามถ้ามีคนหน่งึ ในกล่มุ แสดงความแตกต่างในท่ามกลางกลุ่มท่ีมีการ คล้อยตามอยู่ บุคคลท่ีกาลังจะตัดสินใจว่าจะคล้อยตามกลุ่มดีหรือไม่ ส่วนมากจะตัดสินใจเลิกคล้อย ตามเน่ืองจากมีตัวอย่างของการไมค่ ล้อยตามให้เห็น - การแลกเปลี่ยนทางสังคม (Social Exchange) เป็นหลักการทางจิตวิทยาสังคมท่ีสาคัญมากอย่างหน่ึง คือ ทฤษฎีการ แลกเปลี่ยนทางสังคม (Social Exchange Theory) ซ่ึงกล่าวได้ว่าการท่ีคนเราจะมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ต่อกันน้ัน คนเราจะคิดถึงการลงทุนและผลตอบแทนจากปฏิสัมพันธ์น้ันด้วยเสมอ เพอื่ ทีจ่ ะไดร้ ับการยอมรบั เเละการสนบั สนนุ กลับคืนมา - วัฒนธรรมมีอิทธพิ ลตอ่ การคลอ้ ยตาม ไม่ว่าจะเป็นสังคมใดหรือประเทศใดที่มีวัฒนธรรมเป็นแบบเน้นความเป็น ปัจเจก บุคคล (Individualism) ก็จะมีการคล้อยตามคนอ่ืนน้อยกว่าคนในสังคมที่เน้นการรวมหมู่พวก (Collectivism) เชน่ วถิ ีชวี ิตของคนในหมบู่ ้านเดียวกันมคี วามคล้ายคลงึ กนั 2.2.3 การยอมทาตามคาขอ (Compliance) คือ พฤติกรรมท่เี กิดขึ้นเนือ่ งมาจากการได้รับคาขอรอ้ งจากผู้อื่นให้กระทาท้ังที่ใจจริงไม่ อยากทาแต่ปฏิเสธไม่ได้เช่น ความนิยมชมชอบในอาหารบางอย่างของบุคคลในครอบครัวที่แตกต่าง จากผู้ประกอบอาหาร ซ่ึงผู้ประกอบอาหารเองอาจจะไม่ได้ชอบรับประทานเลย แต่ก็ประกอบอาหาร ใหท้ านได้ 2.2.4 การเช่อื ฟัง (Obedience) เป็นพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนจากการท่ีบุคคลยอมทาตามคาส่ังของผู้ที่มีอานาจเหนือกว่า เช่น ผู้อาวุโสในครอบครัว หรือหัวหน้างานร้องขอให้ผู้ประกอบอาหารทาตามในสิ่งที่ตนชอบ ซึ่งผู้ ประกอบอาหารเองอาจจะทาไปดว้ ยความเกรงใจ 2.3 พฤติกรรมการป้องกันอันตราย อาหารท่ีเราบริโภคทุกวันนี้กว่าท่ีจะตกมาถึงมือ ผูบ้ ริโภคได้น้ัน ต้องผ่านข้ันตอนต่าง ๆ มากมายทั้งการผลิต การขนส่งและการจาหน่าย ซ่ึงล้วนแต่มีโอกาสได้รับการ ปนเป้ือนจากส่ิงสกปรกและเช้ือโรคได้ท้ังส้ิน ดังนั้น ในการบริโภคอาหารเพ่ือให้เกิดประโยชน์และ ปลอดภัย ผู้บริโภคต้องให้ความสนใจในการเลือกอาหารที่จะนามาบริโภคด้วย ต้องรู้จักเลือกซ้ือและ รู้จักปรุงอาหารท้ังอาหารสด อาหารแห้ง และวัตถุดิบอื่น ๆ ที่สะอาดปลอดภัย ซ่ึงหลักในการเลือก การปรุง และการเก็บอาหาร มีดังต่อไปน้ี (สานักสุขาภิบาลอาหารและน้ากรมอนามัยกระทรวง สาธารณสุข, 2557) 3. พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของนิสติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร นิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มีท้ังอาศัยอยู่ที่บ้านและหอพัก โดยนสิ ติ พยาบาลมกั เรียนหนัก มีภาระงานที่มากและเร่งรีบ ทาให้ไม่มีเวลาในการประกอบอาหาร ไม่ มีเวลาในการคัดสรรวัตถุดิบ และไม่มีเวลาในการรับประทานอาหาร จึงเลือกที่จะออกไปรับประทาน อาหารนอกบ้านและนอกหอพัก โดยเลือกรับประทานอาหารจานด่วนและอาหารสาเร็จรูปเพ่ือ

11 ประหยัดเวลา นอกจากนี้บางหอพกั ไม่อนญุ าตใหป้ ระกอบอาหารภายในหอ้ งพักประกอบกับค่านิยมใน การเลือกรับประทานอาหารตามเพ่ือนและกระแสโซเชียล ซึ่งสอดคล้องกับวิทยานิพนธ์ของสิริรดา พรหมสุนทร เร่ือง “ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยนานาชาติเซนต์เทเรซา” ซึ่งผลการวิจัยพบว่าพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษา พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติเซนต์เทเรซา ส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีพอใช้ มีปัจจัย นาได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ เจตคติต่อการบริโภคอาหารและการรับรู้ประโยชน์ ของการบริโภคอาหาร มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารอย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยเสริมได้แก่ การได้รับข่าวสารการบริโภคอาหารจากส่ือต่าง ๆ การได้รับการสนับสนุนจากสถานศึกษา อาจารย์ ผู้ปกครอง และเพ่ือนเก่ียวกับพฤติกรรมการบริโภค อาหาร ไม่มีความสัมพนั ธ์กับพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหาร 4. งานวจิ ยั ที่เก่ียวข้อง จิรารักษ์ ดิษบรรจง (2559) ศึกษาเกี่ยวกับความเช่ือด้านสุขภาพท่ีมีผลต่อการปูองกัน อันตรายจากการใช้สารเคมีในครัวเรือนของประชาชนในอาเภอโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี งานวิจัยน้ี ต้องการศึกษาความเชื่อด้านสุขภาพท่ีมีผลต่อการปูองกันอันตรายจากการใช้สารเคมีในครัวเรือนของ ประชาชน โดยกลุ่มตวั อยา่ งเป็นประชาชนจานวน 203 คน ท่ีเป็นหัวหน้าครัวเรือนหรือผู้รับผิดชอบใน การใช้สารเคมีในครัวเรือน ซ่ึงสุ่มแบบหลายขั้นตอนมาจากประชาชนที่มีครัวเรือนในอาเภอโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี โดยเก็บข้อมูลด้วยการส่งแบบสอบถามให้ตอบและรับกลับที่บ้านของประชาชน ผล การศึกษาพบว่าประชาชนท่ีศึกษาส่วนมากเป็นผู้หญิง (63.1%) อายุเฉล่ีย 40.8 ± 11.3 ปี มี การศึกษาสูงสุดจบเพียงช้ันประถมศึกษา (44.8%) มีสมาชิกในครัวเรือน 1 - 4 คน (62.1%) เป็น เกษตรกร (64.0%) มีการใช้สารเคมี (75.4%) ส่วนมากมีความเช่ือด้านสุขภาพโดยรวมปานกลาง (64.0%) โดยรับรู้ประโยชน์มากที่สุดเฉล่ียร้อยละ 77.5 รองลงมารับรู้โอกาสเส่ียง รับรู้ความรุนแรง และรับรู้อุปสรรคน้อยที่สุด เฉลี่ยร้อยละ 64.7, 61.3 และ 49.4 ตามลาดับ ในการปูองกันอันตราย จากการใชส้ ารเคมี พบว่าประชาชนมีการปูองกันเฉล่ียร้อยละ 78.4 และพบว่าประชาชนท่ีมีเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ จานวนสมาชกิ ในครัวเรือน และมีการใช้สารเคมีกับการปูองกันไม่แตกต่างกัน ความ เชือ่ ดา้ นสขุ ภาพเป็นปัจจัยท่ีมีผลต่อการปูองกันอันตรายจากการใช้สารเคมีในครัวเรือนของประชาชน อาเภอโคกเจรญิ จงั หวดั ลพบรุ ี โดยมีน้าหนกั ความสมั พันธ์ (Beta weight) 0.365 สามารถทานายการ ปูองกนั ไดร้ อ้ ยละ 12.7 มาลินี ฉินนานนท์ (2560) ศึกษาเกี่ยวกับการหาปริมาณบอแรกซ์ในเนื้อสัตว์และลูกชิ้นที่ จาหน่ายในจังหวัดตรัง การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือวิเคราะห์หาปริมาณบอแรกซ์ในเนื้อหมูและ ลูกชิ้น ที่วางจาหน่ายในตลาด เขตอาเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง โดยทาการย่อยสลายตัวอย่างด้วย สารละลายโซเดียมคาร์บอเนต 1% และย้อมสีตัวอย่างด้วยสารละลายเคอร์คูมิน จากนั้นทาการ วิเคราะห์ตัวอย่างโดยใช้เทคนิคยูวีวิสิเบิล สเปกโทรโฟโตมิเตอร์ โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบกับ Calibration curve ของสารละลายมาตรฐานกรดบอริก ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่ามีปริมาณบอแรกซ์ ในเนื้อหมูตัวอย่างทุกร้านและในลูกชิ้นทุกตัวอย่าง ปริมาณบอแรกซ์ในเนื้อหมูตัวอย่างอยู่ในช่วง 2.039 – 5.340 ppm ปริมาณบอแรกซ์ในลูกช้ินตัวอย่างอยู่ในช่วง 1.608 - 2.572 ppm ซ่ึงไม่ ปลอดภัยในการบริโภคตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับท่ี 151) ซ่ึงกาหนดให้บอแรกซ์เป็น วตั ถุทห่ี า้ มใชใ้ นอาหาร

12 มาลินี พงศ์เสวี (2550) ศึกษาเก่ียวกับการวิจัยเร่ืองผลของบอแรกซ์ต่อการเกิดความผิดปกติ ในโครโมโซมของมนุษย์ โดยนาตัวอย่างเลอื ดจากกลุ่มนักศกึ ษามหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์เพศชาย อายุ ระหว่าง 18-25 ปี จานวน 30 ราย มาทาการเพาะเล้ียงเซลล์ลิมโฟไซต์ แล้วศึกษาโครโมโซมระยะเม ตาเฟส โดยการย้อมสี Giemsa และทาการย้อมแถบสีบนบนตัวโครโมโซมด้วยเทคนิค Gbanding เพ่ือศึกษาความผิดปกติท่ีเกิดขึ้น จากผลการทดลอง พบว่าจานวนเมตาเฟสโครโมโซมที่มี โครโมโซม ครบ 46 แท่ง(46, XY) มีจานวนน้อยลงในกลุ่มที่เลี้ยงเซล์รวมกับสารบอแรกซ์ท่ีมีความเข้มข้น 0.2 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร (54..12%) และกลุ่มท่ีเล้ียงเซลล์ลิมโฟไซตร์รวมกับสารบอแรกซ์ท่ีมีความเข้มข้น 0.3 มลิ ลิกรัม/มิลลลิ ิตร (42.27%) ดังนั้น สารบอแรกซ์น่าจะก่อให้เกิดความผิดปกติของโครโมโซมใน มนุษยแ์ ละอาจนาไปสู่ความผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรมได้ สิรริ ดา พรหมสุนทร (2556) ศกึ ษาเกยี่ วกบั การวจิ ัยเร่ืองปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การบรโิ ภคอาหารของนักศกึ ษาพยาบาล วิทยาลัยนานาชาติเซนต์เทเรซา ซ่ึงเป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื ศึกษาปจั จัยท่มี ีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติเซนต์เทเรซา กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้เป็น นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 1-4 ปี การศึกษา 2555 จานวน 364 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นผ่านการทดสอบคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป ค่าสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่า สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่าพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษา พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ วทิ ยาลยั นานาชาติเซนต์เทเรซา สว่ นใหญอ่ ยู่ในระดับดีพอใช้ ปัจจัยนา ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ เจตคติต่อการบริโภคอาหารและการรับรู้ประโยชน์ของ การบริโภคอาหาร มคี วามสมั พนั ธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ปัจจัยเอ้ือ ได้แก่ การมีนโยบายและทรัพยากรสิ่งแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการบริโภคอาหารมี ความสมั พันธ์ทางบวกกบั พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ .05 ส่วนปัจจัย เสรมิ ได้แก่ การไดร้ บั ข่าวสารการบริโภคอาหารจากสอื่ ตา่ ง ๆ การได้รับการสนับสนุนจากสถานศึกษา อาจารย์ ผู้ปกครอง และเพื่อนเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การบรโิ ภคอาหาร มัณทนาวดี เมธาพัฒนะ (2560) ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ บริโภคอาหารของนักศึกษาพยาบาล ซ่ึงการวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยแบบบรรยายเชิงหาความสัมพันธ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษา พยาบาล โดยนาแนวคิดการส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์มาเป็นกรอบแนวคิดในการศึกษา กลุ่ม ตวั อยา่ งคดั เลือกแบบสะดวกคอื นกั ศกึ ษา จานวน 474 คน ท่ีกาลังศึกษาในวิทยาลัยพยาบาลแห่งหน่ึง ในกรุงเทพมหานคร เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ให้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ตอบเอง จานวน 3 ชุด ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลท่ัวไป แบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และแบบ สอบถามความรู้ทางโภชนาการ มีค่าความเช่ือมั่นเท่ากับ .62 และ .76 ตามลาดับ เก็บรวบรวมข้อมูล ในปี 2560 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผล การศึกษาพบว่า ค่าเฉล่ียของคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารอยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 65.20 ชั้นปีที่ศึกษา ความรู้ทางโภชนาการ และค่าใช้จ่ายที่ได้รับจากผู้ปกครองมีความสัมพันธ์ทางบวกกับ พฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาพยาบาล (r=.77, p<.001, r=.18, p<.001 และ r=.13,

13 p<.01 ตามลาดับ) เพศและเกรดเฉล่ียสะสมไม่พบมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การบริโภคอาหาร (p>.05) ผลการวิจัยนี้ให้ข้อเสนอแนะว่า อาจารย์และผู้บริหารสถาบันพยาบาลควรส่งเสริมและ สนับสนุนการสร้างเสริมพฤติกรรมบริโภคอาหารแก่นักศึกษาพยาบาลโดยเน้นการเพ่ิมความรู้ทาง โภชนาการ ฮูดา ดีเยาะ, การีสมะห์ มะแซ, ประยูร ดารงรักษ์, และอิมรอน มีชัย (2560) ศึกษาเก่ียวกับ การตรวจหาบอแร็กซ์ในผลไม้ดองและของหวานในเขตเทศบาลนครยะลาด้วยยูวี-วิซิเบิล สเปกโทร โฟโตมิเตอร์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณบอแรกซ์ในผลไม้ดองและของหวานในเขต เทศบาลนครยะลาทั้งหมด 20 ตัวอย่าง โดยใช้วิธีการย้อมสีตัวอย่างด้วยสารละลายเคอร์คูมินได้ สารประกอบ rosocyanine ท่ีมีสีแดง แล้ววัดค่าการดูดกลืนแสงของสารด้วย ยูวี-วิซิเบิล สเปกโตโฟ โตมิเตอร์ที่ความยาวคล่ืน 550 นาโนเมตร ผลการวิเคราะห์พบว่าในน้ามะยมดองมีปริมาณการ ปนเปอื้ นสารบอแรกซ์สงู ท่สี ุดคอื 13.4846 ppm และตัวอย่างของหวานพบว่าในตัวอย่างน้าเฉาก๊วยมี ปริมาณการปนเป้ือนสารบอแรกซ์สูงท่ีสุดคือ 0.1449 ppm นอกจากน้ีตัวอย่างทั้งหมดยังพบสารบอ แรกซ์ซ่ึงอาจก่ออันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับท่ี 151) ที่ กาหนดให้บอแรกซเ์ ป็นวัตถุที่ห้ามใช้ในอาหาร 5. กรอบแนวคิด การรับรู้ความรนุ แรง พฤติกรรมการปอ้ งกนั อนั ตราย อิทธิพลทางสถานการณ์ จากสารบอแรกซใ์ นอาหาร ภาพที่ 2 กรอบแนวคดิ ในงานวจิ ยั

14 บทที่ 3 วิธกี ารดาเนนิ การวิจยั การวจิ ยั ครัง้ น้ีเป็นการวจิ ัยเชิงพรรณนา (descriptive research) มวี ัตถุประสงคเ์ พื่อศึกษา การรบั รคู้ วามรุนแรง อิทธพิ ลทางสถานการณ์ และพฤตกิ รรมการปูองกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซ์ใน อาหารของนสิ ิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ประจาปกี ารศกึ ษา 2563 โดย วธิ กี ารดาเนนิ การวิจัยดังต่อไปน้ี 1. ประชากรและการสมุ่ ตวั อย่างที่ศึกษา 2. เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 3. การเก็บรวบรวมข้อมลู 4. การวเิ คราะหข์ ้อมลู 1. ประชากรและการสุ่มตวั อยา่ งที่ศึกษา ประชากร ที่ใช้ในการวิจยั คร้ังน้ี ได้แก่ นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ช้ันปี ที่ 3-4จังหวดั พษิ ณุโลก จานวน 242 คน กลมุ่ ตัวอยา่ ง ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ น้ี ได้แก่ นสิ ติ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ช้ัน ปีท่ี 3-4 จังหวัดพิษณุโลก จานวน 242 คน โดยใช้สูตรการคานวณกลุ่มตัวอย่างของทาโร่ ยามาเน่ (Yamane, 1970 อ้างอิงในรุ่งทิวา บุญประคม, 2563) โดยใช้ระดับความเชื่อม่ัน 95% ความคลาด เคล่ือนเท่ากับ 5% ได้กลุ่มตัวอย่าง 167 คน โดยใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) ซึ่งมีข้นั ตอนดงั นี้ 1. รวบรวมรายชื่อนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ช้ันปีที่ 3-4 จังหวัด พษิ ณโุ ลก ดงั น้ี ชน้ั ปี จานวน(คน) ชนั้ ปที ี่ 3 117 ชน้ั ปที ่ี 4 125 242 คน รวม ท่ีมา:สโมสรนสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์ 2. คานวณสัดสว่ นของกลุ่มตวั อย่าง โดยใช้สตู รการคานวณกลุ่มตวั อยา่ งของทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) ดงั นี้ n = ขนาดของกล่มุ ตัวอยา่ งท่ีต้องการ N = ขนาดประชากร e = ความคลาดเคลื่อนของกลุ่มตัวอยา่ งท่ียอมรบั ได้

15 เมอื่ แทนคา่ จะได้กลุ่มตัวอย่าง ดงั นี้ n = 151 คน จากการคานวณได้ขนาดกลุม่ ตัวอย่างจานวน 151 คน 3. ใชเ้ ทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งช้ัน โดยคานวณขนาดตัวอย่างตามสัดส่วนประชากรแต่ ละช้ัน (Proportionate Stratified random sampling) จากจานวนนิสิตคณะพยาบาล คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ชัน้ ปที ี่ 3 และ 4 ดังน้ี สูตร โดย nh = ขนาดกลุ่มตวั อย่างในแต่ละชนั้ ปี n = ขนาดของกลุ่มตัวอยา่ งทั้งหมด Nh = จานวนประชากรแต่ละชัน้ ปี N = จานวนประชากรท้ังหมด ดงั นนั้ กลุม่ ตัวอย่างในแต่ละชั้นเท่ากับ ชน้ั ปี จานวน(คน) การคานวณสดั ส่วน จานวนกลุ่มตวั อยา่ ง(คน) ช้นั ปที ี่ 3 117 (117×151)/242 73 ชั้นปที ี่ 4 125 (125×151)/242 78 รวม 242 รวม 151 เพื่อปูองกนั ขอ้ ผิดพลาดทีอ่ าจเกิดขน้ึ จากการรวบรวมขอ้ มูลจึงเพิ่มจานวนกลุ่มตัวอย่างอีก 10 % (Polit & Beck, 2004 อ้างอิงในรุ่งทิวา บุญประคม, 2563) จากกลุ่มตัวอย่าง ดังน้ันจะได้กลุ่ม ตวั อยา่ งทงั้ สิน้ เท่ากับ 167 คน ดงั น้ี

16 ชน้ั ปี จานวน การคานวณ จานวนกลุ่ม จานวนกลุ่มตวั อย่างที่ (คน) สัดส่วน ตวั อย่าง เพิม่ อกี 10 % (คน) ช้ันปที ่ี 3 (คน) ชนั้ ปที ี่ 4 81 117 (117×151)/242 73 86 125 (125×151)/242 78 รวม 167 รวม 242 รวม 151 4. ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย Simple Random Sampling ด้วยวิธีจับฉลากแบบไม่ใส่คืน โดยการเขยี นหมายเลขใหเ้ ท่ากบั จานวนประชากรท้ังหมดในแต่ละช้ันปีแล้วม้วนใส่ภาชนะแล้วทาการ จบั หมายเลขใหเ้ ทา่ กับจานวนที่ต้องการตามช้ันปีที่จัดไว้ เพื่อให้ได้จานวนกลุ่มตัวอย่างท่ีกาหนด ท้ังน้ี กล่มุ ตวั อย่างท่เี ข้าร่วมการวิจัยต้องมีความสมัครใจเข้าร่วมโครงการ หากกลุ่มตัวอย่างไม่มีความสมัคร ใจ ผวู้ จิ ยั จะเลอื กกล่มุ ตัวอยา่ งเลขท่ถี ัดไปมาแทนในการเข้ารว่ มการวจิ ัยตอ่ ไป เกณฑ์คัดเข้ากลมุ่ ตัวอย่าง คือ 1) กลุ่มตวั อย่าง คือ นิสิตพยาบาลทก่ี าลังศึกษาอยู่ในคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ช้นั ปที ี่ 3 และ 4 ปีการศกึ ษา 2563 2) กลุ่มตวั อย่างมีความสมคั รใจเขา้ รว่ มโครงการวจิ ัย เกณฑ์การคัดกลมุ่ ตัวอย่างออก คอื 1) กลุ่มตวั อยา่ งไมส่ ามารถติดตามแบบสอบถามไดใ้ นช่วงของการรวบรวมข้อมลู 2) กลมุ่ ตัวอยา่ งที่สมัครใจเข้ารว่ มการวจิ ัยแลว้ แตไ่ ดป้ ฏิเสธการตอบแบบสอบถาม ในภายหลัง และก่อนได้รบั แบบสอบถาม 2. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งน้ี คือ แบบสอบถามการรับรู้ความ รุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของ นสิ ิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ชั้นปที ่ี 3 - 4 โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนดังนี้ ส่วนท่ี 1 แบบสอบถามการรับรู้ความรุนแรงในการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ใน อาหารของนสิ ติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร เปน็ คาถามเก่ยี วกับการรับรู้ การ ได้ยิน การได้เห็นของนิสิตพยาบาล ท่ีทาให้เข้าใจถึงความรุนแรงของการเจ็บปุวยน้ัน ทาให้เกิดความ พิการหรือตายได้ หรืออาจมีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน เม่ือบุคคลเกิดการรับรู้ความรุนแรงของโรค หรือการเจ็บปุวย ซ่ึงมีผลต่อพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตคณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร มีลักษณะเป็นแบบประมาณค่า (Rating scale) ประกอบด้วย ข้อคาถาม 10 ข้อ มี 5 ระดับ ในแต่ละขอ้ มีคะแนน 1 - 5 คะแนน ดงั นี้

17 1 คะแนน หมายถงึ เหน็ ด้วยนอ้ ยทส่ี ุด 2 คะแนน หมายถึง เหน็ ด้วยนอ้ ย 3 คะแนน หมายถึง เห็นดว้ ยปานกลาง 4 คะแนน หมายถงึ เหน็ ดว้ ยมาก 5 คะแนน หมายถงึ เห็นดว้ ยมากท่สี ุด เกณฑ์การแปลความหมายคะแนนการรับรู้ความรุนแรง โดยแบ่งเปน็ 5 ระดับ ดังน้ี คะแนน 1.00 - 1.80 คะแนน หมายถงึ รบั รปู้ ระโยชนแ์ ละอุปสรรคของสารบอแรกซ์น้อย ทส่ี ดุ คะแนน 1.81 - 2.60 คะแนน หมายถงึ รับรปู้ ระโยชนแ์ ละอปุ สรรคของสารบอแรกซ์น้อย คะแนน 2.61 - 3.40 คะแนน หมายถึง รับรู้ประโยชน์และอปุ สรรคของสารบอแรกซป์ าน กลาง คะแนน 3.41 - 4.20 คะแนน หมายถงึ รับรปู้ ระโยชน์และอปุ สรรคของสารบอแรกซ์มาก คะแนน 4.21 - 5.00 คะแนน หมายถงึ รับร้ปู ระโยชน์และอปุ สรรคของสารบอแรกซ์มาก ท่สี ุด (ทม่ี า : Fisher อา้ งถึงใน ชัชวาลย์ เรืองประพนั ธ์, 2539, หนา้ 15) สว่ นที่ 2 แบบสอบถามอทิ ธพิ ลทางสถานการณ์ เปน็ คาถามเกี่ยวกับอิทธิพลและสถานการณ์ ทางสังคมที่เป็นท่ีนิยม รวมไปถึงการชักจูงในการส่ือสารเพื่อเปลี่ยนใจ ความคิด ความเช่ือที่เป็นท่ี ยอมรับทั่วไป แรงกดดันจากสื่อมวลชนหรือบุคคล ใกล้ชิด และอิทธิพลทางด้านรายรับท่ีส่งผลต่อ พฤติกรรมการใช้สารบอแรกซ์ มีลักษณะเป็นแบบประมาณค่า (Rating scale) ประกอบด้วยข้อ คาถาม 10 ข้อ มี 5 ระดบั ในแต่ละข้อมคี ะแนน 1 - 5 คะแนน ดงั นี้ 1 คะแนน หมายถงึ เห็นดว้ ยน้อยท่สี ุด 2 คะแนน หมายถึง เหน็ ด้วยนอ้ ย 3 คะแนน หมายถึง เหน็ ด้วยปานกลาง 4 คะแนน หมายถงึ เห็นดว้ ยมาก 5 คะแนน หมายถึง เหน็ ดว้ ยมากที่สุด เกณฑ์การแปลความหมายคะแนนอิทธิพลทางสถานการณ์ โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ ดงั นี้ คะแนน 1.00 - 1.80 คะแนน หมายถึง รับรู้อิทธิพลทางสถานการณ์น้อยที่สุด คะแนน 1.81 - 2.60 คะแนน หมายถึง รบั รู้อทิ ธิพลทางสถานการณ์น้อย คะแนน 2.61 - 3.40 คะแนน หมายถึง รับรอู้ ทิ ธิพลทางสถานการณ์ปานกลาง คะแนน 3.41 - 4.20 คะแนน หมายถึง รับรู้อิทธิพลทางสถานการณ์มาก คะแนน 4.21 - 5.00 คะแนน หมายถงึ รับรูอ้ ิทธิพลทางสถานการณม์ ากที่สดุ (ทมี่ า : Fisher อ้างถงึ ใน ชชั วาลย์ เรอื งประพันธ์, 2539, หน้า 15) ส่วนท่ี 3 แบบสอบถามพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร เป็น คาถามเก่ียวกับการปฏิบัติตัวในการเลือกบริโภค การเลือกซ้ืออาหาร เช่น การสังเกตวัน เดือน ปีที่ ผลิตหรือหมดอายุ ฉลากและเครื่องหมายการค้า ซึ่งมีผลต่อสุขภาพของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ท่ที าใหเ้ กิดการเจ็บปุวย หรือการมีสารบอแรกซ์ท่ีทาให้สะสมในร่างกาย ซ่ึงก่อให้เกิดโรคในอนาคต ประเมินได้จากแบบสอบถามท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนมีลักษณะเป็น แบบมาตรา

18 สว่ นประมาณค่า (Rating scale) ประกอบด้วย ข้อคาถาม 10 ข้อ เก่ียวกับพฤติกรรมการปูองกันสาร บอแรกซ์ มี 5 ระดับ ในแตล่ ะข้อมีคะแนน 1 - 5 คะแนน ดงั นี้ 1 คะแนน หมายถงึ เห็นด้วยนอ้ ยท่สี ุด 2 คะแนน หมายถึง เหน็ ด้วยน้อย 3 คะแนน หมายถงึ เหน็ ดว้ ยปานกลาง 4 คะแนน หมายถึง เหน็ ดว้ ยมาก 5 คะแนน หมายถงึ เห็นด้วยมากที่สุด เกณฑ์การแปลความหมายคะแนนอิทธิพลทางสถานการณ์ โดยแบง่ เปน็ 5 ระดับ ดงั น้ี คะแนน 1.00 - 1.80 คะแนน หมายถงึ รับรอู้ ิทธพิ ลทางสถานการณ์น้อยทสี่ ดุ คะแนน 1.81 - 2.60 คะแนน หมายถงึ รับรู้อทิ ธิพลทางสถานการณ์น้อย คะแนน 2.61 - 3.40 คะแนน หมายถงึ รับรอู้ ิทธิพลทางสถานการณป์ านกลาง คะแนน 3.41 - 4.20 คะแนน หมายถงึ รับรอู้ ทิ ธิพลทางสถานการณ์มาก คะแนน 4.21 - 5.00 คะแนน หมายถึง รบั รอู้ ิทธิพลทางสถานการณม์ ากท่ีสดุ (ท่ีมา : Fisher อา้ งถึงใน ชชั วาลย์ เรืองประพนั ธ์, 2539, หนา้ 15) การสรา้ งและการทดสอบคุณภาพเคร่ืองมือวจิ ยั การตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ผู้วิจัยสร้างแบบสอบถามจากแบบแผนความเชื่อด้าน สุขภาพ (Health Belief Model) (Becker ,1975 อ้างในเบญจมาศ สุขศรีเพ็ง, 2550) ร่วมกับ ทบทวนวรรณกรรมทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั สารบอแรกซ์ในอาหาร และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายของนิสิต พยาบาลโดยสร้างข้อคาถามใหค้ รอบคลมุ เนือ้ หาที่เกี่ยวขอ้ งและนาไปตรวจสอบคุณภาพแบบสอบถาม โดยผ้ทู รงคุณวุฒิ 3 ท่านทม่ี ีความเชี่ยวชาญในเร่ืองสารเคมีในอาหารและความรอบรู้ด้านสุขภาพ เพ่ือ ตรวจสอบความถูกต้องสมบรู ณ์ของเนื้อหาและความชัดเจนของภาษาท่ีใช้ในแบบสอบถามให้ตรงตาม เร่ืองที่ต้องการวัด (Content validity) จากน้ันจึงนาระดับความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิมาหาค่าดัชนี ความตรงตามเนื้อหา (Content Validity Index; CVI) มี 2 ดัชนี คือ ดัชนีความตรงเนื้อหารายข้อ (Item Content Validity; I-CVI) และดัชนีความตรงตามเน้ือหาทั้งฉบับ (Content Validity For Scale, S-CVI) จะยอมรับแบบสอบถามเมอื่ คา่ CVI มคี ่าตงั้ แต่ 0.8 ขน้ึ ไป ตามสตู ร ดงั นี้ ดัชนีความตรงเนื้อหารายข้อ (Item Content Validity; I-CVI) โดยนาเฉพาะข้อที่ได้รับ การประเมิน 3 หรอื 4 เทา่ น้นั (ถือวา่ มีความสอดคล้อง) มาคานวณ สูตร I-CVI = Nc/N โดย Nc แทน จานวนผทู้ รงคณุ วุฒิทป่ี ระเมินข้อคาถามในระดบั สอดคล้อง (ตอบ 3 หรอื 4) N แทน จานวนผ้ทู รงคุณวฒุ ทิ งั้ หมด ดัชนคี วามตรงตามเน้อื หาท้งั ฉบบั (Content Validity For Scale; S-CVI) สตู ร S-CVI = ∑ P/n โดย P แทน สัดส่วนความสอดคล้องของขอ้ คาถามของผทู้ รงคุณวุฒิแตล่ ะคน n แทน จานวนผทู้ รงคณุ วุฒิ

19 หลังจากนาแบบสอบถามไปตรวจสอบคุณภาพ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรง ตามเน้ือหาด้านการรับรู้ความรุนแรงเท่ากับ 0.93 อิทธิพลทางสถานการณ์เท่ากับ 1 และพฤติกรรม การปูองกนั อันตรายจากสารบอแรกซใ์ นอาหารเทา่ กบั 0.96 การตรวจสอบความเทยี่ งของเครอื่ งมอื ผูว้ ิจัยนาแบบสอบถามท่ีปรับปรุงตามคาแนะนาของ ผู้ทรงคุณวุฒิไปทดสอบความเที่ยง (Reliability) กับกลุ่มนิสิตพยาบาลท่ีมีคุณสมบัติเหมือนกลุ่ม ตวั อย่างในงานวิจยั นจ้ี านวน 30 คน ตามสดั ส่วนเทา่ ๆ กนั คอื ชั้นปลี ะ 15 คน แล้วนามาคานวณโดย ค่า สัมประสิทธ์ิอัลฟาครอนบาค สามารถคานวณได้จากสูตรต่อไปน้ี และจะยอมรับความเท่ียงของ แบบสอบถามเมื่อค่า มีค่าตง้ั แต่ 0.7 ข้นึ ไป สูตร { } โดย α แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม N แทน จานวนขอ้ ของแบบทดสอบ i2แทน ความแปรปรวนของคะแนนรายข้อ 2 i แทน ความแปรปรวนของคะแนนทงั้ ฉบบั ไดค้ ่าความเช่ือม่ันของเคร่ืองมือวิจัยโดยใช้สมั ประสทิ ธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s alpha) เท่ากับ .87 การพิทกั ษส์ ิทธข์ิ องกลุ่มตวั อยา่ ง การพิทักษ์สิทธิของกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยคานึงถึงการพิทักษ์สิทธิของกลุ่มตัวอย่างโดยนาเสนอ โครงร่างงานวิจัยต่อคณะกรรมการพิทักษ์สิทธิกลุ่มตัวอย่าง การให้คายินยอม (Informed consent) ของกลุ่มตัวอย่าง เอกสารให้คายินยอม คณะกรรมการการทบทวนการวิจัยขององค์การ (Institutional Review Board :IRB) หรือ คณะกรรมการการพิทักษ์สิทธิของผู้ถูกวิจัย เพ่ือปกปูอง พิทกั ษ์สิทธิกลุ่มตัวอย่างท่ีอยู่ในความดูแลรับผิดชอบในมหาวิทยาลัยนเรศวร Human Investigation Committee (HIC) และเกณฑ์ในความเห็นชอบของ IRB และนาเสนอโครงร่างงานวิจัยต่อคณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร เพ่ือขออนุญาตในการเก็บรวบรวมข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง หลังได้รับการอนุญาตแล้ว ผู้วิจัยดาเนินงานและรวบรวมข้อมูลออนไลน์ผ่านทาง Google form โดย ผู้วิจัยชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัย ประโยชน์ของการวิจัย ระยะเวลาของการทาวิจัย วิธีการเก็บ รวบรวมข้อมูล และสิทธิของกลุ่มตัวอย่างท่ีมีสิทธิในการตอบรับหรือปฏิเสธในการเข้าร่วมใน โครงการวจิ ยั เม่ือใดกไ็ ด้ โดยไม่จาเป็นตอ้ งแจ้งเหตุผลใด ๆ การปฏิเสธการเข้าร่วมการวิจัยน้ีจะไม่มีผลใด ๆ ต่อกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูลท่ีได้จะถูกบันทึกไว้เป็น ความลับตามรหัสโดยไม่มีการระบุชื่อ - สกุล ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์และนาเสนอในภาพรวม หากมีข้อ สงสยั เก่ียวกับการวิจยั กลมุ่ ตัวอยา่ งสามารถสอบถามผวู้ จิ ัยได้ตลอดเวลา ภายหลังส้ินสุดการวิจัยผู้วิจัย จะนาข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วเสนอต่อผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการ สอนของคณะพยาบาลศาสตร์ต่อไป หากกลุ่มตัวอย่างยินดีเข้าร่วมโครงการวิจัยให้เลือกคาตอบแสดง ความยินยอมใน Google form โดยไม่ต้องลงนาม

20 3. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 1. ผู้วิจัยดาเนินการยื่นหนังสือและเอกสารที่เก่ียวข้อง เพื่อขอรับการพิจารณารับรอง จรยิ ธรรมการวิจัยในมนษุ ยจ์ ากคณะกรรมการจริยธรรมวิจัย มนษุ ยข์ องมหาวทิ ยาลยั นเรศวร 2. ผู้วิจัยจัดทาหนังสือขออนุญาตคณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ใน การเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนิสิตพยาบาล ช้ันปีท่ี 3 และนิสิตพยาบาลช้ันปีท่ี 4 ทัง้ หมด 167 คน และทดสอบคุณภาพเคร่อื งมอื จานวน 30 คน รวมทงั้ ส้นิ 197 คน 3. เมื่อได้รับอนุมัติให้เก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยติดต่อกลุ่มตัวอย่างและส่งแบบสอบถามใน รูปแบบ Google form ผ่านทาง Facebook พร้อมแนะนาตัว ช้ีแจงวัตถุประสงค์และรายละเอียดใน การเข้ารว่ มโครงการวิจยั ตลอดจนสิทธิ์ในการตอบรับหรือปฏิเสธ หรือการยุติการเข้าร่วมวิจัยซึ่งกลุ่ม ตัวอย่างมสี ิทธิท่ี ปฏิเสธการเข้าร่วมโครงการวิจัยเม่ือใดก็ได้ โดยไม่จาเป็นต้องแจ้งเหตุผล และจะไม่มี ผลใด ๆ ต่อกลมุ่ ตัวอยา่ ง ขอ้ มูลที่ได้จะบันทึกไว้ เป็นความลับตามรหัส โดยไม่มีการระบุช่ือ-สกุล และ จะนาเสนอโดยภาพรวมเทา่ น้นั 4. เมอ่ื ผูเ้ ข้าร่วมโครงการวิจัยยนิ ดีเขา้ ร่วมวิจยั และตอบแบบสอบถาม ให้เลือกคาตอบแสดง ความยนิ ยอมใน Google form โดยไม่ตอ้ งลงนาม 5. หลังตอบแบบสอบถามแลว้ ให้กลุ่มตัวอย่าง Submit เพ่ือส่งกลับคืนผู้วิจัย แล้วผู้วิจัยทา การตรวจสอบความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูล แล้วนาแบบสอบถามมาตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ที่ กาหนด และนาขอ้ มลู ท่ไี ดม้ าวเิ คราะห์ต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์การรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกัน อันตราย โดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ คานวณค่าเฉล่ีย (Mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: SD) 2. วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และ พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยใช้สถิติต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ดังน้ี วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างการ รบั รคู้ วามรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปอู งกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซ์ โดยใช้ การคานวณสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Product – Moment Correlation Coefficient)

21 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์และ พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์และ พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทาง สถานการณ์และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาประกอบด้วย นักศึกษาพยาบาล มหาวทิ ยาลยั นเรศวร จานวน 167 คน เพ่ือให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ผู้วิจัยจึงนาข้อมูล ท่ีได้มาวิเคราะห์และเสนอผลการวิเคราะห์ โดยใช้ตารางประกอบคาบรรยาย จาแนกเป็น 5 ตาราง ตามลาดับ ผู้วจิ ยั แบ่งการนาเสนอผลการวจิ ยั ออกเป็น ดงั น้ี ตารางท่ี 1 จานวนร้อยละของขอ้ มลู ส่วนบคุ คลของกลุม่ ตวั อย่าง ตารางท่ี 2 คา่ เฉลีย่ และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของการรับรู้ความรุนแรงในการปอู งกัน อันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร ตารางท่ี 3 ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของอิทธิพลทางสถานการณ์ในการปูองกัน อันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร ตารางที่ 4 ค่าเฉล่ยี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของพฤติกรรมการปูองกันอนั ตรายจากสาร บอแรกซใ์ นอาหาร ตารางที่ 5 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรูค้ วามรุนแรง อทิ ธิพลทางสถานการณ์และพฤติกรรม การปอู งกันอนั ตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร

22 ตารางท่ี 1 จานวนรอ้ ยละของขอ้ มูลส่วนบุคคลของนิสติ พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร (n=159) ขอ้ มูลส่วนบคุ คล จานวน ร้อยละ ชน้ั ปี ช้ันปีท่ี 3 77 48.4 ช้นั ปีท่ี 4 82 51.6 เพศ ชาย 11 6.9 หญงิ 148 93.1 จากตารางท่ี 1 กล่มุ ตวั อยา่ งสว่ นใหญ่เป็นนิสิตพยาบาลช้ันปีท่ี 4 จานวน 82 คน คิดเป็นรอ้ ย ละ 51.6 และสว่ นใหญ่เปน็ เพศหญิงจานวน 148 คน คดิ เป็นร้อยละ 93.1

23 ตารางที่ 2 คา่ เฉลี่ยและส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของการรบั รูค้ วามรุนแรงในการปอ้ งกันอนั ตราย จากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวรจาแนกรายข้อ (n=159) การรับรู้ความรุนแรงในการป้องกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ใน S.D. ระดบั อาหาร 1. ท่านทราบว่าอาหารที่มีส่วนผสมของสารบอแรกซ์ ทาให้อาหาร 4.21 0.95 มากท่ีสุด กรบุ กรอบมากข้นึ 2. ทา่ นทราบวา่ การรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของสารบอแรกซ์ 4.51 0.76 มากท่ีสดุ เชน่ ลกู ช้นิ เนอ้ื สตั ว์ ทับทิมกรอบ ฯลฯ เปน็ อันตรายตอ่ ร่างกาย 3. ท่านทราบว่าการรบั ประทานอาหารที่มีส่วนผสมของสารบอแรกซ์ 3.98 0.99 มาก ในปริมาณมากและเป็นระยะเวลานาน อาจทาให้เกิดอาการ ออ่ นเพลยี เบื่ออาหาร คลืน่ ไส้ อาเจียน เป็นต้น 4. ท่านได้รับข้อมูลเก่ียวกับอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารจาก 3.68 1.04 มาก สอื่ โซเซียลมเี ดยี หนังสือพิมพ์ แผ่นพับ เปน็ ต้น 5. ท่านทราบว่าสารบอแรกซ์ ทาให้เกบ็ รักษาอาหารไวไ้ ดน้ านขน้ึ 4.10 0.90 มาก 1.50 น้อย 6. ท่านทราบว่าอาหารที่มีส่วนผสมของสารบอแรกซ์ไม่เป็นผลเสีย 2.38 0.99 มาก ตอ่ สขุ ภาพ 7. ท่านทราบว่าอาหารที่มีส่วนผสมของสารบอแรกซ์ ทาให้ 3.92 0.98 มาก ประสิทธภิ าพการทางานของไตลดลง 1.01 มาก 8. ท่านทราบว่าอาหารที่มีส่วนผสมของสารบอแรกซ์ ทาให้ 3.84 ประสิทธภิ าพการทางานของตับลดลง 9. ทา่ นทราบวา่ การรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของสารบอแรกซ์ 3.94 เป็นเวลานาน อาจทาให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เบ่ืออาหาร คล่ืนไส้ อาเจยี น เปน็ ต้น 10. ท่านทราบว่าอาหารที่มีส่วนผสมของสารบอแรกซ์ ทาให้ 3.71 1.02 มาก ประสิทธิภาพการทางานของสมองลดลง รวม 3.82 0.62 มาก จากตารางที่ 2 พบว่านิสิตพยาบาลมีการรับรู้ความรุนแรงในการปูองกันอันตรายจากสารบอ แรกซ์ในอาหารรวมในระดับมาก (คะแนนเฉล่ีย 3.82 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.62) โดยมีการ รับรู้สูงที่สุด คือ ทราบว่าการรับประทานอาหารท่ีมีส่วนผสมของสารบอแรกซ์ เช่น ลูกช้ิน เน้ือสัตว์ ทับทิมกรอบ ฯลฯ เป็นอันตรายต่อร่างกาย (คะแนนเฉล่ีย 4.51 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.67) รองลงมา คือ ทราบว่าอาหารที่มีส่วนผสมของสารบอแรกซ์ ทาให้อาหารกรุบกรอบมากข้ึน (คะแนน เฉลยี่ 4.21 และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน 0.95) และนอ้ ยที่สดุ คอื ทราบว่าอาหารท่ีมีส่วนผสมของสาร บอแรกซไ์ ม่เป็นผลเสียต่อสขุ ภาพ (คะแนนเฉลีย่ 2.38 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.50)

24 ตารางท่ี 3 ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอิทธิพลทางสถานการณ์ในการป้องกัน อันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรจาแนกรายข้อ (n=159) อิทธพิ ลทางสถานการณ์ในการปอ้ งกันอนั ตรายจากสารบอ S.D. ระดับ แรกซใ์ นอาหาร 1. ท่านบริโภคอาหารตามคาชักชวนของเพ่ือน หรือบุคคลใน 3.45 1.14 มาก ครอบครัว 2. ท่านเลือกบริโภคอาหารท่ีท่านเคยบริโภค เพราะคิดว่าอาหาร 3.32 1.22 ปานกลาง มีรสชาติกรุบกรอบ 3. ท่านเลอื กบรโิ ภคอาหาร เพราะรา้ นอาหารอยู่ใกล้ทพี่ ักอาศัย 3.83 1.09 มาก 4. ท่านเลือกบริโภคอาหาร เพราะมีพนักงานแนะนาอาหารได้ 2.65 1.22 ปานกลาง นา่ สนใจ 5. ท่านเลือกบริโภคอาหารตามนักแสดงหรือบุคคลท่ีท่านช่ืนชอบ 2.77 1.20 ปานกลาง และจากโฆษณา 6. ท่านสนใจในการบริโภคอาหารตามกระแสโซเซียล เช่น 2.97 1.17 ปานกลาง Facebook Instagram Line เป็นต้น 7. ท่านมีความสนใจในการบริโภคอาหารตามคาชักชวนของ 3.53 1.10 มาก เพอื่ นหรอื บคุ คลในครอบครวั 8. ท่านเลือกบริโภคอาหารตามความชอบของตนเอง โดยไม่ 3.94 0.99 มาก สนใจในโปรโมชันหรือส่วนลดของอาหาร 9. ทา่ นเลอื กรับประทานอาหารท่ีเพอื่ นแนะนาว่ากรอบอรอ่ ย 3.26 1.12 ปานกลาง 10. ท่านเลือกรับประทานอาหารโดยสนใจในรูปลักษณ์สีสัน 3.45 0.99 มาก สวยงามของอาหาร รวม 3.31 0.76 ปานกลาง จากตารางที่ 3 พบว่านิสิตพยาบาลมีอิทธิพลทางสถานการณ์ในการปูองกันอันตรายจากสาร บอแรกซ์ในอาหารรวมในระดับปานกลาง (คะแนนเฉลี่ย 3.31 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.76) โดยมีการรับรู้สูงที่สุด คือ การเลือกบริโภคอาหารตามความชอบของตนเอง โดยไม่สนใจในโปรโมชัน หรือส่วนลดของอาหาร (คะแนนเฉล่ีย 3.94 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.99) รองลงมา คือ ท่าน เลือกบริโภคอาหาร เพราะร้านอาหารอยู่ใกล้ท่ีพักอาศัย(คะแนนเฉล่ีย 3.83 และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 1.09) และน้อยที่สุด คือ ท่านเลือกบริโภคอาหาร เพราะมีพนักงานแนะนาอาหารได้ นา่ สนใจ (คะแนนเฉลย่ี 2.65 และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 1.22)

25 ตารางที่ 4 คา่ เฉล่ียและส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานและระดับของพฤตกิ รรมการปอ้ งกันอันตรายจาก สารบอแรกซ์ในอาหารของนิสติ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวรจาแนกรายขอ้ พฤติกรรมการป้องกันอนั ตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร ���̅��� S.D. ระดับ 1. ท่านเลอื กซ้ืออาหารท่ีมีฉลากถูกต้อง เช่น มีเครื่องหมายแสดง คา 4.26 0.80 มากทีส่ ดุ เตือน ชือ่ สารเคมี ชือ่ ผผู้ ลติ เลขทะเบียนวตั ถุ เป็นต้น 2. ท่านสังเกต วัน เดือน ปีท่ีผลิต หรือวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ 4.38 0.78 มากทส่ี ดุ อาหาร กอ่ นซอ้ื และเลอื กบรโิ ภค 3. ท่านอา่ นฉลากหรอื คาแนะนาเกีย่ วกบั อาหารก่อนบรโิ ภค 4.13 0.91 มาก 4. กอ่ นบริโภคอาหาร ทา่ นสงั เกตและดมกลิ่นผิดปกติของอาหาร 4.19 0.83 มาก 5. ท่านเลือกซื้ออาหารจากร้านอาหารที่มีความน่าเชื่อถือและ 3.59 1.19 มาก สอบถามว่ามีสารบอแรกซใ์ นอาหารหรือไม่ 6. ท่านไม่เลือกซ้ืออาหารท่ีมีฉลากถูกต้อง เช่น มีเครื่องหมายแสดง 3.16 1.47 ปาน คาเตือน ชื่อสารเคมี ชอ่ื ผผู้ ลติ เลขทะเบียนวตั ถุ เปน็ ตน้ กลาง 7. ท่านสังเกตวัน เดือน ปีที่ผลิตหรือวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ 4.31 0.81 มากทส่ี ุด อาหาร ก่อนซ้อื และเลอื กใชอ้ าหาร 8. ท่านไม่รับประทานผักหรือผลไม้ดองเพราะส่วนใหญ่มีสารบอ 3.30 1.08 ปานกลาง แรกซป์ น 9. หากรับประทานแล้วมีความรู้สึกว่ากรุบกรอบมากท่านจะไม่ 2.94 1.18 ปานกลาง รบั ประทานต่อไป 10. ท่านไม่เลือกรับประทานผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น หมูยอ แหนม 2.77 1.25 ปานกลาง ลูกช้ิน ไส้กรอก เน่ืองจากมีผงชูรสและสารบอแรกซ์ผสมอยู่ใน ปริมาณมาก รวม 3.70 0.64 มาก จากตารางที่ 4 พบว่านิสิตพยาบาลมีพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ใน อาหารรวมในระดับมาก (คะแนนเฉล่ีย 3.70 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.64) โดยมีการรับรู้สูง ท่ีสุด คือ ท่านสังเกต วัน เดือน ปีที่ผลิต หรือวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์อาหารก่อนซื้อและเลือก บริโภค (คะแนนเฉลี่ย 4.38 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.78) รองลงมา คือ ท่านสังเกตวัน เดือน ปี ท่ีผลิตหรือวนั หมดอายขุ องผลติ ภณั ฑ์อาหาร กอ่ นซ้อื และเลือกใช้อาหาร (คะแนนเฉล่ีย 4.31 และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.81) และน้อยที่สุด คือ ท่านไม่เลือกรับประทานผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น หมูยอ แหนม ลกู ชนิ้ ไสก้ รอก เนื่องจากมีผงชรู สและสารบอแรกซ์ผสมอยู่ในปริมาณมาก (คะแนนเฉล่ีย 2.77 และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 1.25)

26 ตารางท่ี 5 คา่ สหสัมพนั ธ์เพียรส์ ัน (Pearson Correlation) ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการรับรคู้ วาม รุนแรง อิทธพิ ลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการป้องกันอนั ตรายจากสารบอแรกซใ์ นอาหาร ของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร (n=159) การรับรู้ความ อิทธพิ ลทาง พฤติกรรมการ รุนแรงจากสารบอ สถานการณ์ ปอ้ งกันอนั ตราย ตัวแปร แรกซใ์ นอาหาร จากสารบอ จากสารบอ แรกซ์ใน แรกซใ์ นอาหาร อาหาร การรบั รู้ความรนุ แรงจากสารบอแรกซ์ 1 .223** .369*** ในอาหาร อิทธิพลทางสถานการณ์จากสารบอ .223** 1 .218** แรกซใ์ นอาหาร พฤติกรรมการป้องกนั อันตรายจากสาร .369*** .218** 1 บอแรกซ์ในอาหาร จากตารางที่ 5 การรับรู้ความรุนแรงจากสารบอแรกซ์ในอาหาร มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ อทิ ธิพลทางสถานการณ์ในระดบั ตา่ (r=.223, p<.05) อย่างมนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 การรับรู้ความรุนแรงจากสารบอแรกซ์ในอาหาร มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการ ปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารในระดับปานกลาง (r=.369, p<.01) อย่างมีค่านัยสาคัญ ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .01 อิทธิพลทางสถานการณจ์ ากสารบอแรกซใ์ นอาหารมคี วามสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการ ปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารในระดับต่า (r=.218, p<.05) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .05

27 บทท่ี 5 สรุปผลการวจิ ัย อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิต พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ความ รุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของ นิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และเพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการ รับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ใน อาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมีสมมติฐานการวิจัย คือ การรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจาก สารบอแรกซ์ในอาหารของนิสติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ นักศึกษาที่กาลังศึกษาระดับปริญญาตรีใน หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบ์ ัณฑติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ช้ันปีท่ี 3-4 ปีการศึกษา 2563 รวมท้ังส้ิน 242 คน เปน็ นกั ศกึ ษาชนั้ ปีที่ 3 จานวน 117 คน และชัน้ ปีท่ี 4 จานวน 125 คน จากน้ันนาไปหาขนาดของ กลุ่มตัวอย่าง โดยมีการเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็น (Probability Sampling) ผู้วิจัยใช้ วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) ซึ่งขนาดของกลุ่มตัวอย่างได้มาจาก การคานวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ สูตรของทาโร่ ยามาเน่ กาหนดความคลาดเคลื่อนที่ระดับ 0.05 (Taro Yamane, 1973: 727-728) จะได้กลุ่มตวั อย่างทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ น้ี คอื นิสิตพยาบาลช้ัน ปีท่ี 3-4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ช้ันปีที่ 3 จานวน 81 คน และชั้นปีท่ี 4 จานวน 86 คน โดยคิดกลุ่ม ตวั อย่างเพ่มิ 10% เพ่ือปูองกนั การได้รับแบบสอบถามที่ไม่ครบถว้ นสมบูรณต์ ามทคี่ านวณจากสูตรของ ยามาเน่ เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการวิจัยครั้งน้ีประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ส่วนท่ี 1 แบบสอบถามการรับรู้ความ รุนแรงในการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ส่วนที่ 2 แบบสอบถามอิทธิพลทางสถานการณ์ และส่วนท่ี 3 แบบสอบถาม พฤติกรรมการปอู งกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร โดยแบบสอบถามนี้ได้สร้างข้ึนมาโดยผู้วิจัย และได้รับคาปรึกษาจากอาจารย์ท่ีปรึกษา ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการรับรู้ความรุนแรง ด้านอิทธิพลทางสถานการณ์ และด้านพฤติกรรมการปูองกันอันตราย จานวน 30 ข้อ และนาไป ตรวจสอบความเท่ียงตรงของเน้ือหา (Content Validity) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ อาจารย์คณะ พยาบาลศาสตร์ 3 ท่าน จากน้ันนาไปทดลองใช้กับนิสิตพยาบาลที่ไม่ได้เป็นกลุ่มตัวอย่างจานวน 30 คน ความเชื่อม่ันของเครื่องมือ โดยใช้สัมประสิทธ์ิอัลฟุาของครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) โดยเครือ่ งมือที่สอบถามได้ค่าความเทยี่ งตรงของเน้ือหา 0.9

28 สรุปผลการวจิ ัย จากการศึกษาวิจัยเร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และพฤติกรรมการปูองกันอนั ตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างงานวิจัยท่ีสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้ แบบสอบถาม กลบั คนื มาจานวน 159 ชุด คิดเป็น 95.21% โดยมีข้อมูลกลุ่มนิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 3-4 ซง่ึ ข้อมูลสว่ นใหญ่ เป็นนิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 4 จานวน 82 คน คิดเป็นร้อยละ 51.6 และส่วนใหญ่เป็น เพศหญิงจานวน 148 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 93.1 ตอนที่ 1 การรับรู้ความรุนแรงในการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารโดยรวมอยู่ ในระดบั มาก (���̅��� ) ตอนที่ 2 อิทธิพลทางสถานการณ์ในการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารโดยรวม อยใู่ นระดบั ปานกลาง (���̅��� ) ตอนที่ 3 พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารโดยรวมอยู่ในระดับมาก (���̅��� ) ตอนท่ี 4 การรบั รูค้ วามรุนแรงจากสารบอแรกซ์ในอาหาร มีความสัมพันธ์ทางบวกกับอิทธิพล ทางสถานการณใ์ นระดบั ต่า (r=.223, p<.05) อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05 การรับรู้ความรุนแรงจากสารบอแรกซ์ในอาหาร มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการ ปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารในระดับปานกลาง (r=.369, p<.01) อย่างมีค่านัยสาคัญ ทางสถิติทีร่ ะดบั .01 อิทธิพลทางสถานการณ์จากสารบอแรกซ์ในอาหาร มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรม การปูองกนั อนั ตรายจากสารบอแรกซใ์ นอาหารในระดับต่า (r=.218, p<.01) อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดบั .05 อภปิ รายผล ผลจากการศึกษาเก่ียวกับการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์และพฤติกรรมการ ปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร พบวา่ การรับรู้ความรุนแรงในการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยนิสิตพยาบาล คณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรมีการรับรู้ผ่านการได้ยิน การเรียน สื่อโซเชียลมีเดีย หนังสือพิมพ์ แผ่น พับ ฯลฯ วา่ สารบอแรกซ์เป็นส่วนผสมที่ทาให้อาหารมีความกรุบกรอบมากขึ้น ซึ่งพบได้ในอาหารต่าง ๆ เช่น ลูกชิ้น เน้ือสัตว์ ทับทิมกรอบ หมูยอ ผักกาดเค็ม มะม่วงดอง ผลไม้ดองต่าง ๆ กล้วยทอด มัน ทอดและใช้เจือปนในผงชูรส ฯลฯ โดยอาหารที่มีส่วนผสมของสารบอแรกซ์เป็นปริมาณมากและเป็น ระยะเวลานานน้ันทาให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น อาจทาให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เบ่ืออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ประสิทธิภาพการทางานของตับ ไตและประสิทธิภาพการทางานของสมองลดลงได้ ซ่ึงมีความสอดคล้องกับคานยิ ามของจิรารักษ์ ดิษบรรจง (2559) ที่กล่าวไว้ว่า การรับรู้ความรุนแรงใน อันตรายจากการใช้ หมายถึง การได้ยิน ได้เห็น ได้รู้ถึงผลเสียท่ีเกิดขึ้นจากการเจ็บปุวยว่ามีผลทาให้มี อาการไม่พึงประสงคไ์ ด้ และสอดคลอ้ งกับกรอบแนวคิดแบบจาลองความเช่อื ด้านสุขภาพของเบคเกอร์

29 และคณะ (1975) ที่กล่าวว่าการรับรู้ความรุนแรง (Perceived Severity) เป็นการประเมินการรับรู้ ความรุนแรงของโรค ปัญหาสุขภาพหรือผลกระทบจากการเกิดโรค ซึ่งก่อให้เกิดความพิการหรือ เสียชีวิต การประเมินความรุนแรงนั้นอาศัยระดับต่าง ๆ ของการกระตุ้นเร้าของบุคคลเกี่ยวกับการ เจ็บปุวยน้ัน ซ่งึ อาจจะมองความรนุ แรงของการเจบ็ ปุวยนั้น ทาให้เกิดความพิการหรือตายได้ หรืออาจ มีผลกระทบตอ่ หน้าท่ีการงาน เมื่อบุคคลเกิดการรบั รู้ความรนุ แรงของโรคหรือการเจ็บปุวยแล้วจะมีผล ทาใหบ้ ุคคลปฏิบตั ิตามคาแนะนาเพอื่ การปูองกนั โรค ส่วนอิทธิพลทางสถานการณ์ในการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิ ต พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยอิทธิพลทาง สถานการณ์ที่มีผลกับนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้แก่ การบริโภค อาหารตามคาชักชวนของบุคคลในครอบครัว การบริโภคอาหารตามความคุ้นเคย การบริโภคอาหาร เพราะร้านอาหารอยู่ใกล้ที่พักอาศัย การบริโภคอาหารเพราะมีพนักงานแนะนาอาหารได้น่าสนใจ บรโิ ภคอาหารตามนักแสดง บคุ คลทีช่ ่นื ชอบ จากโฆษณา กระแสโซเชียล เช่น Facebook Instagram Line เปน็ ต้น และมีการบรโิ ภคอาหารตามโปรโมชัน่ และรูปลกั ษณ์ สีสนั สวยงามของอาหาร ซ่ึงมีความ สอดคล้องกับคานิยามของจิรารักษ์ ดิษบรรจง (2559) ท่ีกล่าวไว้ว่าอิทธิพลทางสถานการณ์ หมายถึง อิทธิพลและสถานการณ์ทางสังคมที่เป็นที่นิยม สภาพแวดล้อม รวมไปถึงการชักจูงใจการสื่อสารเพ่ือ เปลี่ยนใจ ความคิด ความเช่ือที่เป็นท่ียอมรับท่ัวไป จากสื่อมวลชนหรือบุคคลใกล้ชิด การโฆษณาหรือ สว่ นลดโปรโมชนั่ ต่าง ๆ รวมไปถงึ ผลิตภัณฑร์ ปู ลกั ษณอ์ าหาร พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารโดยรวมอยู่ในระดับมาก เน่ืองจาก นิสิตพยาบาลมีการเลือกอาหารท่ีมีฉลากถูกต้อง เช่น มีเคร่ืองหมายแสดง คาเตือน ช่ือสารเคมี ช่ือ ผผู้ ลติ เลขทะเบียนวัตถุ และสังเกต วัน เดือน ปีท่ีผลิต หรือวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์อาหารก่อนซื้อ หรือเลือกบรโิ ภค และอ่านฉลากหรือคาแนะนาเกี่ยวกับอาหาร สังเกตและดมกลิ่นผิดปกติของอาหาร ก่อนบริโภค และเลือกซอ้ื อาหารจากรา้ นอาหารที่ความนา่ เช่อื ถือ ซ่งึ มีความสอดคล้องกับคานิยามของ จิรารักษ์ ดิษบรรจง (2559) ที่กล่าวไว้ว่า พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหาร หมายถึง การปฏิบัติตัวในการเลือกบริโภค การเลือกซื้ออาหาร เช่น การสังเกต วัน เดือน ปีท่ีผลิต หรือหมดอายุ ฉลาก และเคร่ืองหมายการค้า ซึ่งมีผลต่อสุขภาพ ทาให้เกิดการเจ็บปุวย หรือการมีสาร บอแรกซท์ ีท่ าใหส้ ะสมในร่างกายซึง่ ก่อให้เกิดโรคในอนาคต จากการศึกษาเก่ียวกับการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์และพฤติกรรมการ ปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวรพบวา่ การรับรคู้ วามรุนแรงจากสารบอแรกซ์ในอาหาร มคี วามสัมพันธ์ทางบวกกับอิทธิพลทาง สถานการณ์ในระดบั ต่า (r=.223, p<.05) อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05, การรับรู้ความรุนแรง จากสารบอแรกซ์ในอาหาร มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอ แรกซใ์ นอาหารในระดับปานกลาง (r=.369, p<.01) อย่างมีค่านัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01, อิทธิพล ทางสถานการณ์จากสารบอแรกซ์ในอาหารมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการปูองกันอันตราย จากสารบอแรกซ์ในอาหารในระดับต่า (r=.218, p<.05) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งมี ความสอดคลอ้ งตามกรอบแนวคิดแบบจาลองความเช่ือด้านสุขภาพของเบคเกอร์และคณะ (1975) ซ่ึง ประกอบดว้ ย 3 มโนทัศน์ฯหลัก คือ การรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์และพฤติกรรมการ

30 ปอู งกนั อนั ตราย มีความสอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของมัณทนาวดี เมธาพัฒนะ (2560) พบว่าค่าเฉลี่ยของ คะแนนพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของนักศึกษาพยาบาลมีความสอดคลอ้ งกบั ความรู้ทางโภชนาการ เพราะนกั ศกึ ษาพยาบาลไดร้ ับความรู้โดยตรงในช้ันเรยี นจากการเรียนภาคทฤษฎใี นรายวิชาโภชนาการ เพื่อสุขภาพในช้ันปีท่ี 1 และจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยการหาข้อมูลความรู้ด้านโภชนาการจาก สื่อสารมวลชนต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สื่อส่ิงพิมพ์ต่าง ๆ รวมทั้งอินเทอร์เน็ต แต่การศึกษาของ สิริรดา พรหมสุนทร (2556) ซ่ึงพบว่าพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาพยาบาลมี ความสัมพันธ์กับการรับรู้ประโยชน์และความรุนแรงของการบริโภคอาหาร แต่พฤติกรรมการบริโภค อาหารของนักศึกษาพยาบาลไมส่ อดคล้องกบั การไดร้ บั ขา่ วสารการบริโภคอาหารจากส่ือตา่ ง ๆ ข้อเสนอแนะ 1. ควรศึกษาความความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรง อิทธิพลทางสถานการณ์ และ พฤติกรรมการปูองกันอันตรายจากสารบอแรกซ์ในอาหารของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในกลุ่มประชากรช้นั ปที ี่ 1 และชัน้ ปีท่ี 2 2. ควรศกึ ษาความสมั พนั ธแ์ ละข้อมลู สว่ นบุคคลของประชากร เพอื่ ใหไ้ ด้ขอ้ มูลเชิงลกึ 3. ศึกษาความเช่ือด้านสุขภาพตัวแปรอื่นจากแบบแผน (Health Belief Model) ของ Becker and Maiman เพอ่ื นาไปเป็นประโยชนใ์ นการวางแผนวิธกี ารให้ความรู้แก่นิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร

ฌ บรรณานกุ รม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย.์ (2560). โครงการสารวจและเฝ้าระวังสารบอแรกซ์ในผลติ ภัณฑ์อาหาร ปี 2560. สบื ค้น 19 พฤศจิกายน 2563, จาก https://1th.me/3z0j0 ความรูเ้ กี่ยวกับอาหาร ความปลอดภยั ด้านอาหาร สารปนเปื้อนในอาหารและผลกระทบตอ่ ร่างกาย เนอ่ื งจากการบริโภคอาหารท่ีมีสารปนเปอื้ น. (ม.ป.ป.). สืบค้น 19 พฤศจกิ ายน 2563, จาก https://2ww.me/R1Rf7 จิรารกั ษ์ ดษิ บรรจง. (2559). ความเชื่อด้านสุขภาพทีม่ ผี ลตอ่ การป้องกันอนั ตรายจากการใช้ สารเคมใี นครัวเรือนของประชาชนในอาเภอโคกเจรญิ จงั หวัดลพบุรี(รายงานผลการวิจัย). ลพบรุ ี: ม.ป.พ. ชวลั รัตน์ สมนึก, เกษมศรี พรมมี, และภานวุ ฒั น์ ทองกอ้ น. (ม.ป.ป.). การปนเปอ้ื นสารบอแรกซ์ใน ตวั อย่างอาหารบรเิ วณเขตชมุ ชนเมอื งจนั ทบุรี(รายงานผลการวจิ ยั ). จนั ทบรุ :ี มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณ.ี ชัชวาลย์ เรอื งประพันธ์. (2539). สถิติพน้ื ฐาน. ขอนแกน่ : โรงพิมพค์ ลังนานาวิทยา. เบญจมาศ สุขศรีเพง็ . (2550). แบบแผนความเชื่อดา้ นสุขภาพ (Health Belief Model). สืบคน้ 19 พฤษภาคม 2563, จาก https://www.gotoknow.org/posts/115420 ปวีณภทั ร นิธิตันตวิ ัฒน์, และวรางคณา อดุ มทรัพย.์ (2560). พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของวัยรนุ่ ไทยผลกระทบและแนวทางแกไ้ ข. วารสารวิทยาลยั พยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 28 (1), 122-128. สบื คน้ จาก https://1th.me/45Ra4 ไพบูลย์ เอีย่ มขา. (2562). รายงานสถานการณค์ วามปลอดภยั ของอาหาร ปงี บประมาณ 2553-2560. กรงุ เทพฯ: สานกั สง่ เสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภยั สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. จาก https://1th.me/WfSHW มณั ทนาวดี เมธาพฒั นะ, (2560). ปจั จัยท่มี คี วามสัมพนั ธ์กับพฤตกิ รรมการบรโิ ภคาหารของนักศึกษา พยาบาล Factors Associated with Food Consumption Behavior of Nursing Students. วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 25 (3), 20-29. สืบค้นจาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/article/download/101421/78619/ มาลิณี ฉมิ นานนท.์ (2558). การหาปรมิ าณบอแรกซ์ในเนื้อสัตวแ์ ละลกู ชิ้นทีจ่ าหนา่ ยในจงั หวดั ตรงั (รายงานผลการวิจยั ). ตรงั : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชยั วิทยาเขตตรงั . มาลณิ ี พงศเ์ สว.ี (2548). ผลของสารบอแรกซต์ อ่ การเกิดความผดิ ปกตใิ นโครโมโซมมนุษย์ (รายงาน ผลการวจิ ัย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ระเบยี บวิธวี จิ ยั . (ม.ป.ป.). การเลือกตวั อยา่ งโดยใชค้ วามนา่ จะเปน็ ในการเลอื กเทา่ กัน. สืบค้น 31 พฤษภาคม 2563, จาก https://2ww.me/xoqOE ร่งุ ทิวา บญุ ประคม. (เมษายน/2563). ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง./เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า 501378 วจิ ัยเบื้องตน้ ทางการพยาบาล, พษิ ณโุ ลก: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร. (อัดสาเนา). สานักคุณภาพและความปลอดภยั อาหาร. (ม.ป.ป.). อนั ตรายจากการบรโิ ภคอาหารทมี่ ีสารเคมี ปนเป้ือน. สืบค้น 31 พฤษภาคม 2563, จาก http://dmsc2.dmsc.moph.go.th

ญ สานกั สุขาภบิ าลอาหารและน้ากรมอนามัยกระทรวงสาธารณสขุ . (2557). คู่มอื หลักสูตรการ สขุ าภิบาลอาหาร สาหรับผู้สมั ผัสอาหารและผ้ปู ระกอบกิจการด้านอาหาร สบื คน้ 30 พฤษภาคม 2563 จาก https://th.city/NYK7Yj