ก ชือ่ เรอ่ื ง การศึกษาความสมั พันธ์ระหวา่ งความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของ นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร คณะผู้วิจยั นางสาว พัสตราภรณ์ เจนคา รหัสนิสิต 61560817 นางสาว นันทิตา ภวู เกียรติรัตน์ รหัสนิสิต 61560626 นางสาว วรดา กอ้ นคามี รหัสนสิ ิต 61560985 นางสาว ณัฐชยา อินต๊ะวอน รหัสนิสิต 61560329 นางสาว นิภาพรรณ เรยี บร้อย รหัสนสิ ิต 61560633 นางสาว ชลธิชา ศรีสิรทนกุล รหัสนสิ ิต 61560268 นางสาว ศรญั ญา พจิ กลาง รหัสนิสิต 61561036 นางสาว กอปาริชาต อุดมศาสตร์กุล รหัสนสิ ิต 61560084 ประธานทปี่ รกึ ษา ดร.สุรีภรณ์ สวุ รรณโอสถ คำสำคัญ : นิสิตพยาบาลศาสตร์ ความรู้เกย่ี วกับการบริโภคอาหาร ทัศนคติเก่ยี วกับการบรโิ ภค อาหารพฤติกรรมการบริโภคอาหาร บทคดั ย่อ การวจิ ัยเชิงสหสมั พันธ์ (Correlational Research)ครั้งน้ีมวี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ ระหวา่ ง ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กลุ่ม ตวั อย่างประกอบด้วย นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1-4 ปีการศึกษา 2563 จานวน 246 คน เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัยมี 4 ตอน ได้แก่ แบบบนั ทึกขอ้ มลู สว่ นบุคคล แบบทดสอบความรู้เกย่ี วกับการบริโภคอาหาร แบบสอบถามทัศนคติเก่ียวกับการบริโภคอาหาร และแบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ซึ่งผา่ นการ ตรวจสอบความตรงและความเท่ยี งโดยผูท้ รงคุณวุฒิ 3 ท่านได้ค่าความ IOC ของแบบทดสอบความรู้เกยี่ วกับ การบรโิ ภคอาหาร เทา่ กบั 0.97 และแบบสอบถามพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารเทา่ กบั 0.80 ทดลองใช้ แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน ได้ค่าความเชื่อม่ัน (Kuder Richardson 21: KR-21 and Cronbach’s AIpha coefficient) ของแบบทดสอบความรู้เกย่ี วกับการบริโภคอาหาร แบบสอบถามทัศนคติ เก่ยี วกบั การบริโภคอาหาร และแบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร เทา่ กบั 0.3, 0.873, และ 0.867 ตามลาดบั วเิ คราะห์ข้อมูลสว่ นบุคคล ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเกย่ี วกับการบริโภคอาหารโดยใช้สถิติเชิง พรรณา และวิเคราะห์หาความสมั พันธ์ระหวา่ งความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเก่ียวกับการบริโภคอาหาร โดย ใช้สหสัมพันธข์ องเพยี ร์สัน (Pearson Product Correlation Coefficient, r) ผลวิจยั พบว่า 1. กลุ่มตัวอยา่ ง มีคะแนนเฉลีย่ ของความรู้เก่ียวกับการบริโภคอาหารอยู่ในระดับดี ( X = 8.94) คะแนนเฉล่ยี ทัศนคติเกยี่ วกบั การบรโิ ภคอาหารโดยรวมอยู่ในระดบั ดีมาก ( X =78.0) และมีคะแนนเฉลีย่ พฤติกรรมเกี่ยวกับการบริโภคอาหารโดยรวมอยู่ในระดบั ดี ( X = 70.29) 2. ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปี การศึกษา 2563 มคี วามสัมพันธก์ ันในทางบวก (r = .301, .277, และ .307 ตามลาดับ) โดยมีความสัมพันธ์ กนั ในระดับปานกลางและตา่ ) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดบั 0.01 การศกึ ษาวิจัยในคร้ังต่อไปควรพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งเสริมความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเก่ยี วกบั การบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาล และควรศึกษาปัจจัยอ่ืนๆ ที่เกย่ี วกบั ข้องกับความรู้ ทัศนคติ และ พฤติกรรมเกยี่ วกับการบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาล
ข Title The relationships among knowledge, attitudes, and behaviors Author regarding food consumptions of Nursing Students, Faculty of Advisor Keywords Nursing, Naresuan University Phastaporn Chenkham student ID 61560817 Nantita Poowakiattirat student ID 61560626 Worada Konkhammee student ID 61560985 Natchaya Intawon student ID 61560329 Niphaphan Riabroi student ID 61560633 Chonticha Srisirathanakun student ID 61560268 Saranya Phitklang student ID 61561036 Korparichart Udomsartkun student ID 61560084 Sureeporn Suwannaoso nursing students, knowledge of food consumption, food consumption attitudes,dietary behavior ABSTRACT This correlational research aimed to study the relationships among knowledge, attitudes, and behaviors regarding food consumptions of nursing students, Faculty of Nursing, Naresuan University. Samples were 246 nursing students who are studying in the 1st – 4th year in academic year of 2020 . The research instruments included 4 parts: demographic data, the questionnaire of knowledge, attitudes, and behaviors regarding food consumptions. These questionnaires were validated by three experts and the IOC were 0.97and 0.80. The research tools were tried out with 30 nursing students and their Kuder Richardson 21: KR-21 and Cronbach’s AIpha coefficient were 0.3, 0.873, และ 0.867, respectively. The results revealed as follows: 1.Overall, the samples had score average of knowledge regarding food consumptions as good level ( X = 8.94). Their attitude’s average score was in an excellent level ( X =78.0) and their average score of food consumption behaviors was also in good level ( X = 70.29) 2.There were positively significant correlations among knowledge, attitudes, and behaviors regarding food consumptions (r = .301, .277, and .307, respectively) at the statistic level of 0.01 3.The results of this research study suggested that the future research should develop the program to enhance nursing students’ knowledge, attitude, and behaviors regarding food consumptions. Also, the associated factors of knowledge, attitude, and behaviors regarding food consumptions should be explore.
ค กิตตกิ รรมประกาศ วจิ ยั ฉบบั น้ีสาเร็จได้ดว้ ยความกรุณาอยา่ งดียิ่งจาก ดร.สุรีภรณ์ สุวรรณโอสถ อาจารยท์ ่ีปรึกษาวจิ ยั ที่ กรุณาเสยี สละเวลาในการให้ความรู้ คาแนะนา และแนวทางที่เป็นประโยชน์รวมท้ังช่วยตรวจสอบ แก้ไข ขอ้ บกพร่องตา่ งๆ ทุกข้ันตอนของการทาการวิจยั จนเสร็จสมบูรณ์ ทาให้สามารถดาเนินการวจิ ยั ได้สาเร็จตาม เป้าหมาย ผวู้ ิจัยขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาเป็นอย่างสูงไว้ ณ ท่ีน้ี ขอกราบขอบพระคุณคณะกรรมการสอบวิจยั ทุกท่านท่ีกรุณาให้ข้อคิดเห็นเสนอแนวทางที่เป็น ประโยชนอ์ ย่างย่ิงในการทาวิจัย รวมทั้งขอกราบขอบพระคุณคณาจารย์ทกุ ท่านท่ีได้ประสทิ ธิป์ ระสาทวิชา ความรู้ในระหว่างการศึกษา อันเป็นพื้นฐานในการทาการศึกษาวจิ ยั ในครั้งน้ี ขอกราบขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ท่ีให้ความกรุณาตรวจสอบความตรงของเน้ือหาเคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยพร้อมทั้งให้ขอ้ เสนอแนะท่ีเป็น ประโยชนย์ ิ่งในการปรับปรุงเครื่องมือในการวิจยั ให้สมบูรณ์ย่ิงข้ึน คือ ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร. รัตนชฎาวรรณ อยู่นาค ดร. อลงกรณ์ อักษรศรี และอาจารย์นิตยา ศรีบวั รมย์ และขอขอบคุณกลมุ่ ตัวอย่างทุกทา่ นท่ีให้ความ รว่ มมือในตอบแบบสอบถามการวจิ ยั คร้ังน้จี นสาเร็จลุล่วงด้วยดี ทา้ ยท่ีสุดขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา ที่ให้กาเนิดและให้ผู้วิจยั ได้ศึกษาเล่าเรียนจนเตบิ โต และ ขอบคุณครอบครวั อันเป็นท่ีรัก เป็นกาลังใจ เป็นทุนทรพั ย์ ความหว่ งใย ความเข้าใจมาโดยตลอด คุณประโยชน์ อันเกิดจากวิจัยเล่มนขี้ อมอบแด่บุพาการี คณาจารย์ และผู้มีส่วนเกีย่ วข้องทุกท่านทที่ าให้การวจิ ัยสาเรจ็ ไปได้ ด้วยดี คณะผจู้ ัดทาวจิ ยั
ง สารบญั หน้า บทคัดย่อภาษาไทย................................................................................................................................... ก. บทคัดย่อภาษาอังกฤษ.............................................................................................................................. ข. กิตติกรรมประกาศ.................................................................................................................................... ค. สารบัญ....................................................................................................................... ............................... ง. สารบญั ตาราง............................................................................................................................................ ฉ. สารบัญภาพ.................................................................................................................... ............................ ช. บทที่ 1.บทนา......................................................................................................................... ............... 1 ความเป็นมาและความสาคัญ........................................................................................... 3 คาถามการวจิ ยั ................................................................................................................ 3 วัตถุประสงค์.................................................................................................................... 3 ความสาคัญของการวิจัย................................................................................................. 4 ขอบเขตของวจิ ยั ............................................................................................................. 4 นยิ ามศัพท์เฉพาะ............................................................................................................ . 6 2.เอกสารและงานวิจัยที่เก่ยี วขอ้ ง................................................................................................... 7 ความหมายของพฤติกรรม................................................................................................ 7 ประเภทของพฤติกรรม..................................................................................................... 8 ความหมายของพฤติกรรมการบริโภคอาหาร.................................................................... 9 ปัจจัยที่มีอิทธพิ ลต่อการบริโภคอาหาร.............................................................................. 10 แนวคิดเกย่ี วกับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร.................................................................... 11 แนวโน้มพฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร............................................................................... 14 ความรู้เกีย่ วกับการบริโภคอาหาร...................................................................................... 15 ทัศคติเกย่ี วกับการบริโภคอาหาร....................................................................................... 16 กรอบแนวคิดและวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง........................................................................... 18
จ 3.วิธกี ารดาเนินงานวจิ ัย.................................................................................................................... 22 ประชากรที่ศึกษา.............................................................................................................. .. 22 กลุ่มตัวอยา่ ง....................................................................................................................... 22 การคานวณกลุ่มตวั อย่างตามสัดสว่ นในแต่ละกลุม่ ............................................................. 23 การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือในวิจัย...................................................................... 26 การพิทักษ์สิทธ์ิของกลุ่มตัวอย่าง....................................................................................... 28 การเก็บรวบรวมข้อมูล...................................................................................................... 28 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใชว้ ิเคราะห.์ ....................................................................... 29 4.ผลการศึกษา............................................................................................................................... 30 ส่วนท่ี 1 ข้อมูลสว่ นบุคคลของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร...................................... 31 ส่วนที่ 2 ความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมเกีย่ วกับการบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร..................................................................................................................... 32 สว่ นที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และ พฤติกรรมเก่ยี วกบั การบรโิ ภคอาหารของ นิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร.................................................................................. 36 5.สรปุ ผล อภิปราย และ ข้อเสนอแนะ......................................................................................... 37 สรปุ ผลการวจิ ัย................................................................................................................ 38 อภปิ รายผล..................................................................................................................... 39 ขอ้ เสนอแนะ.................................................................................................................... 40 บรรณานุกรม............................................................................................................................................... 41 ภาคผนวก.................................................................................................................................................... 45 ประวัติย่อผู้วิจยั ........................................................................................................................................... 56
ฉ สารบัญตาราง ตารางท่ี หนา้ 1.จานวนและร้อยละในนิสิตพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร จาแนกตามเพศ อายุ ช้ันปีการศึกษาแหล่งท่ีมาของอาหารและ การรบั ประทานอาหารมื้อเชา้ .............................................................................................................. 31 2.ความถีแ่ ละร้อยละของคะแนนความรู้เกี่ยวกบั การบรโิ ภคอาหารแบ่งตาม ระดบั คะแนนของกลมุ่ ตัวอย่าง............................................................................................................. 32 3.คา่ เฉลี่ยและสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของคะแนนความรู้เก่ียวกับการบรโิ ภคอาหาร รายข้อของกลุ่มตัวอยา่ ง....................................................................................................................... 32 4.ความถแี่ ละร้อยละของคะแนนทัศนคติเกี่ยวกบั การบรโิ ภคอาหารแบ่งตาม ระดบั คะแนนของกลุ่มตัวอยา่ ง............................................................................................................ 33 5.คา่ เฉลี่ยและสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนนทัศนคติเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร รายข้อของกลมุ่ ตัวอยา่ ง....................................................................................................................... 34 6.ความถีแ่ ละร้อยละของคะแนนพฤติกรรมเก่ยี วกับการบริโภคอาหารแบ่งตาม ระดับคะแนนของกลุ่มตวั อย่าง........................................................................................................... 35 7.คา่ เฉล่ยี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของคะแนนพฤติกรรมเกีย่ วกับการบรโิ ภคอาหาร รายขอ้ ของกลุ่มตัวอยา่ ง..................................................................................................................... 35 8.แสดงความสมั พันธ์ระหวา่ งความรู้ ทัศนคติ และ พฤตกิ รรมการบริโภคอาหารของ กลุ่มตัวอย่างจากการวิเคราะห์ข้อมูลดว้ ยสถิติสัมประสิทธิ์สหสมั พันธเ์ พยี ร์สัน (Pearson’s product moment correlation coefficient) .............................................................. 36
ช สารบญั ภาพ ภาพที่ หน้า 1.กรอบแนวคิดการวจิ ยั .............................................................................................................. 18
1 บทที่ 1 บทนา ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา ปัจจุบันสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้านต่างไปจากในอดีตทั้งเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และแม้กระทั้งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในตัวของบุคคลนั้นเอง การดาเนินชีวิตของมนุษย์จึ งต้อง ปรับเปล่ียนตามไปด้วยการเปล่ียนแปลงของสังคมไทยนี้ โดยเฉพาะชีวติ สังคมเมืองหรือเมืองใหญ่ๆ จะตกอยู่ใน ชีวิตแห่งความเรง่ รีบ จนลืมสนใจสุขภาพตนเอง อาหารก็ถือเป็นปัจจัยหน่ึงท่ีสาคัญที่สุดของมนุษย์ และจาเป็น อย่างยิ่งต่อการดารงชีวิต การพัฒนาท้ังด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาให้มีศักยภาพย่ิงข้ึน อาหารเป็นปัจจัย ที่สาคัญต่อชีวิตและภาวะสุขภาพ (สิริไพศาล ย้ิมประเสริฐ, 2560) การสารวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการ ตรวจร่างกายในคร้ังที่ 5 ได้สารวจเก่ียวกับพฤติกรรมการบริโภคโดยสัมภาษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการ รับประทาน จานวนมื้อ และการเลือกแหล่งอาหาร พบว่าประชากรอายุ 15 ปีข้ึนไป รับประทานอาหารครบ สามมื้อต่อวัน ร้อยละ 76.0 โดยท่ีประชากรกลุ่มอายุ 15-19 ปีรับประทานอาหารครบสามมื้อต่อวันน้อยท่ีสุด คือ ร้อยละ 69.9 ม้ือท่ีงดอาหารมากที่สุดคือม้ือเช้า ร้อยละ 53.5 รองลงมาคือ มื้อกลางวัน ร้อยละ 29.6 และ มื้อเย็น รอ้ ยละ 17.4 ตามลาดบั (วชิ ัย เอกพลากร, 2557) สาหรบั รสชาติอาหารมื้อหลักท่ีประชากรส่วนใหญ่เลอื กรับประทานเป็นประจาพบว่า ประชากรอายุ 6 ปี ขึ้นไป ส่วนใหญ่รับประทานรสจืดมากที่สุด ร้อยละ 38.4 รองลงมาคือ รสเผ็ด ร้อยละ 26.2 รสหวาน ร้อยละ 14.2 รสเค็ม ร้อยละ 13.8 รสเปรี้ยวร้อยละ 4.8 รสอื่น ๆ ร้อยละ 2.6 กลุ่มวัยสูงอายุ(60 ปีขึ้นไป) และกลุ่ม วัยเด็ก(6-14 ปี)จะรับประทานรสจืดมากท่ีสุด ร้อยละ 66.3 และ 51.6 ตามลาดับ ส่วนกลุ่มวัยทางาน (25-59 ปี) และกลุ่มเยาวชน (15-24 ปี) ส่วนใหญ่จะรับประทานรสเผ็ดมากที่สุดร้อยละ 34.0 และ 31.6 ตามลาดับ (สานักงานสถิติแห่งชาติกระทรวงดิจทิ ัลเพือ่ เศรฐกจิ และสังคม, 2560) ซ่ึงในบทสรุปสาระสาคัญของแผนยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย พ.ศ.2554-2563 โดยสานักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม (2554) ได้กล่าวว่าปัจจัยเส่ียงพ้ืนฐานท่ีเป็นภัยคุกคามสุขภาพ จากพฤติกรรมการบริโภคอาหารและเครื่องด่ืมที่มีรสหวาน มัน เค็มเกินไปรับประทานผักและผลไม้น้อย ขาด การออกกาลังกาย ไม่สามารถจัดการอารมณ์และความเครียด สูบบุหรี่และด่ืมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ภาวะ น้าหนักเกินหรือโรคอ้วนท่ีส่งผลกระทบต่อโรคที่เกิดจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปและยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคสาคัญ 5 โรค ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง และโรคมะเร็ง ซึ่งเป้าหมาย หลักของแผนคือ ลดปัญหาโรควิถีชีวิตพอเพียงใน 3 ด้าน คือการบริโภคท่ีเหมาะสมการออกกาลังกายและการ จดั การอารมณท์ ี่เหมาะสม พฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่นไทยท่ีเกิดจากค่านิยมในปัจจุบัน พบว่ามีหลากหลาย เช่น พฤติกรรมบริโภคนิยม ซ่ึงจะมีลักษณะที่ชอบบริโภคเป็นหลัก ไม่ได้คานึงถึงสุขภาพ ชอบรับประทานของอร่อย เกินความจาเป็น พฤติกรรมเลียนแบบต่างประเทศ เช่น รับประทานอาหารต่างชาติ ญ่ีปุ่น เกาหลี หรือ ยุโรป ตลอดจนวัยรุ่นจะเน้นการรับประทานอาหารจานด่วน หรืออาหารฟาสด์ฟู้ด ซ่ึงเป็นอาหารที่สามารถ รับประทานได้ทันที เช่น แฮมเบอเกอร์ โดนัท พิซซ่า ไก่ทอด เป็นต้น ซึ่งการบริโภคอาหารฟาสด์ฟู้ดมักจะให้ พลังงานมากและเกินความต้องการของร่างกาย ซ่ึงหากรับประทานบ่อย ๆ ก็อาจจะทาให้เกิดภาวะโรคอ้วนได้ หรือกล่าวได้ว่าพฤติกรรมการบริโภคอาหารเป็นสาเหตุหลักของปัญหาภาวะน้าหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน และ
2 โรคอว้ น ท้ังนี้เมื่อพิจารณาจากสถิติของโรคอ้วนในวัยรุ่นมีจานวนเพ่ิมมากขึ้น ผลสารวจล่าสุดพบว่าคนไทยอายุ 15 ปีข้ึนไป เป็นโรคอ้วนติดอันดับ 5 ของเอเชียแปซิฟิก โดยมีภาวะน้าหนักเกินมากถึง 17 ล้านคนทั่วประเทศ และยังมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นอีกประมาณ 4 ล้านคนต่อปี นอกจากน้ีเด็กไทยท่ีอ้วนกว่าคร่ึงหนึ่งเม่ือเจาะ เลือดหาไขมันในร่างกายแล้วพบว่าร้อยละ70 มปี ัญหาไขมันสูงเกินมาตรฐาน ทาให้รัฐบาลต้องสูญเสียค่าใช้จ่าย ในการรกั ษามากกว่าปีละ 1 แสนลา้ นบาท (น้าทิพย์ ช่ืนนอ้ ย และสุนันทา ศรีศริ ิ, 2559) การเปล่ียนแปลงภาวะทางสังคมของวัยรุ่นโดยการเข้าสู่การเรียนในระดับอุดมศึกษา นิสิต/นักศึกษา ต้องดูแลและรับผิดชอบตนเองมากขึ้น รวมท้ังกรณีที่นิสิต/นักศึกษาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่นอก ภูมิลาเนาของตนเอง จาเป็นต้องพักอาศัยที่หอพักทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย นิสิต/นักศึกษามีความเป็นอิสระ และมีอานาจในการตัดสินใจด้วยตนเองในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่ การใช้จ่ายเงิน การทากิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้น ประกอบกับรูปแบบการใช้ชีวิตของนิสิต/นักศึกษาหรือวัยรุ่นท่ีเปล่ียนไปตามยุคสมัย การอยู่หอพักและชีวิต ส่วนใหญ่ในร้ัวมหาวิทยาลัย ทาให้นิสิต/นักศึกษาขาดการดูแลเรื่องการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้ให้ความสาคัญในการมีสุขภาพท่ีดีของนักศึกษา เพราะสุขภาพมีผลต่อกระบวนการเรียนรู้ ท้ังน้ีจาก การวิจัยเร่ืองพฤติกรรมการบริโภคอาหารขยะของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในจังหวัดนครปฐม: กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยศิลปากร พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารขยะ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (วนิดา แก้วชอุ่ม และนรินทร์ สังข์รักษา, 2553) และจากการศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิตปริญญาตรีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มี พฤตกิ รรมการบริโภคอาหารสาเรจ็ รปู อยู่ในระดบั ปานกลาง (ศวิ รกั ษ์ กิจชนะไพบูลย์, 2555) นั ก ศึ ก ษ า ใน อุ ด ม ศึ ก ษ า เป็ น วั ย ท่ี มี ค ว าม ส าคั ญ ม า ก ช่ ว งห นึ่ งข อ งชี วิ ต เพ ราะ เป็ น ระย ะ ท่ี มี ก า ร เปล่ียนแปลงทาง สรีระ ร่างกาย อารมณ์ ความคิด ทาให้มีความตอ้ งการอาหารเพ่มิ มากขึ้นการมีพฤติกรรมการ บริโภคที่ดีมีส่วนทาให้จิตใจเข้มแข็ง มีความมั่นคงทางอารมณ์ มีจิตใจที่แจ่มใส กระตือรือร้น สามารถปรับตัว เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เหมาะสมมากกวา่ วยั อื่น ๆ และมีผลตอ่ การเรยี นรู้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ (พุทธชาด สวน จันทร์, 2550) ซ่ึงปัจจุบันได้พบว่า วัยรุ่นมีพฤติกรรมการบริโภคเปล่ียนไปจากเดิม โดยหันมารับประทาน อาหารจานด่วนเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ประหยัดเวลาและสามารถรบั ประทานได้ทันทีเหมาะกับสังคมใน สภาพท่ีรีบเร่ง รูปแบบการใช้ชีวิตของนักศึกษาก็เปล่ียนไปตามยุคสมัย ทาให้มีการบริโภคอาหารท่ีไม่ถูกต้อง การใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของนักศึกษาจะอยู่แต่ในหอพักและในรั้วมหาวิทยาลัย ทาให้นักศึกษาขาดความตระหนักรู้ ในการดูแลเรื่องการบริโภคอาหารท่ีดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายซ่ึงปัญหาด้านสุขภาพของคนไทยท่ี เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือโรคเร้ือรังต่าง ๆ ซึ่งมีสาเหตุเบื้องต้นมาจากโรคอ้วน และนับวันปัญหานี้เริ่มมีความ รนุ แรงข้ึนเรอื่ ย ๆ กล่มุ ทีม่ ีปญั หาเรอ่ื งนี้มากท่ีสุด คอื กลุ่มเดก็ และเยาวชน (ไพจิตร์ วราชิต, 2553) จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องพบว่า ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร มี ความสัมพันธก์ ันในทางบวกในกลุ่มตวั อย่างที่หลากหลาย เชน่ นักศกึ ษาระดับอุดมศึกษาและนักศกึ ษาพยาบาล (รุสนี มะตาเยะ, 2550; พัชราภัณฑ์ ไชยสังข์, ปัญจภรณ์ ยะเกษม และนุชจรีรัตน์ ชทู องรัตน์, 2557; มโนลี ศรี เปารยะ เพ็ญพงษ์, 2559; มัณทนาวดี เมธาพัฒนะ, 2560) บางการศึกษาไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาพยาบาล (ณัฐธยาน์ ชาบัวคา, 2562) บางการศึกษา พบว่าความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาพยาบาลมีความสัมพันธ์ในทางลบ (มัณฑิ นา จ่าภา, 2557) ซึ่งจะเห็นได้ว่าวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องนั้นความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และ พฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาพยาบาลไม่เป็นไปในทานองเดียวกัน คณะผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และ พฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์
3 มหาวิทยาลัยนเรศวร เพ่ือให้ได้ข้อมูลที่เป็นพื้นฐานเก่ียวกับความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรดังกล่าว ซึ่งจะเป็นแนวทางในสร้างเสริมความรู้ ทัศนคติ และ พฤติกรรมการ บริโภคอาหารที่ดีต่อไป คาถามวจิ ยั ความรู้ ทัศนคติ และพฤตกิ รรมการบริโภคอาหารของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย นเรศวร มีสัมพันธ์กันหรือไม่ อยา่ งไร วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัยเพ่ือศกึ ษา เพือ่ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาล ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปกี ารศึกษา 2563 สมมติฐาน 1. ความรู้ และทัศนคติเกยี่ วกับการบริโภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปี การศึกษา 2563 มคี วามสัมพันธ์กันทางบวก 2. ความรู้ และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของนิสิต พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 มีความสัมพันธ์กันทางบวก 3. ทศั นคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปี การศึกษา 2563 มีความสัมพันธ์กันทางบวก งานวจิ ยั เร่ืองความสมั พันธ์ระหวา่ ง ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของนิสิตคณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร มีขอบเขตงานวจิ ัยดังนี้ 1. ขอบเขตด้านเน้อื หา: การวิจยั ครั้งน้ีเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหวา่ ง ทัศนคติ และพฤตกิ รรมการบริโภค อาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปีการศึกษา 2563 2. ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง: 2.1 ประชากร ในการศึกษานี้ คอื นิสิตคณะพยาบาลศาสตรม์ หาวิทยาลยั นเรศวร ปีการศกึ ษา 2563 ชัน้ ปี ท่ี 1 - 4 จานวน 499 คน 2.2 กล่มุ ตวั อยา่ ง ในการศึกษา คร้ังนี้ คือ นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปกี ารศึกษา 2563 ช้ันปีที่ 1 - 4 จานวน 246 คน โดยประกอบดว้ ย ช้ันปที ่ี 1 จานวน 56 คน ชั้นปที ่ี 2 จานวน 66 คน ช้ัน ปีที่ 3 จานวน 62 คน ชั้นปีท่ี 4 จานวน 62 คน สูตร n =
4 การศกึ ษานี้ใช้การคานวณขนาดกลุ่มตวั อยา่ งโดยใช้ตารางสาเร็จของทาโร่ ยามาเน่ (Yamane, 1973 อา้ งใน จักรกฤษณ์ สาราญใจ, 2544) 3. ขอบเขตด้านระยะเวลา: ใช้ระยะเวลาในการดาเนินการศึกษาและเกบ็ รวบรวมระหวา่ งเดือนเมษายน 2563 - มีนาคม 2564 4. ขอบเขตด้านสถานที่: คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร 5. ขอบเขตด้านตวั แปร: 5.1 ตวั แปรอิสระ ได้แก่ ทัศนคติ และความรู้ด้านการบริโภคอาหาร 5.2 ตวั แปรตาม ได้แก่ พฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการวิจัยตั้งแต่เรม่ิ ตน้ จนสิน้ สดุ โครงการ ระยะเวลาต้ังแต่วันท่ี เมษายน 2563 - มีนาคม 2564 สถานทด่ี าเนินการวจิ ัย คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร
ตารางการปฏิบัตงิ าน กิจกรรม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม สงิ หาคม 123412341234123412341 1. ทบทวนวรรณกรรม 2. พฒั นาโครงรา่ งการ วิจยั 3. พัฒนาเคร่อื งมือวิจยั และส่งผทู้ รงคุณวฒุ ิ 4. เสนอโครงร่างวจิ ัยตอ่ อาจารย์ทีป่ รึกษาและ อาจารย์ผู้เข้าร่วมทีม 5. ส่งขออนุมัติจริยธรรม การวิจยั 6. ขออนุมัติเกบ็ ข้อมูล 7. เกบ็ รวบรวมข้อมูล 8. วิเคราะห์ผลการวิจัย 9. อภปิ รายผลการวจิ ยั 10. นาเสนอผลงานวจิ ัย
5 สัปดาห์ กันยายน ตลุ าคม พฤศจกิ ายน ธันวาคม มกราคม กมุ ภาพันธ์ มนี าคม 1234123412341234123412341234
6 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ นสิ ิตพยาบาล หมายถึง ผู้ท่กี าลังศึกษาอยู่ในหลักสูตรพยาบาลศาสตร์บณั ฑิต ปีการศึกษา 2563 ช้ันปี ที่ 1 - 4 คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลยั นเรศวร ความรู้เก่ียวกับการบริโภคอาหาร หมายถึง ความสามารถท่ีเก่ียวข้องกับการรับประทาน เช่น สัดส่วนของชนิดอาหาร ซ่ึงความรู้อาจได้มาจากการหาข้อมูล ประสบการณ์ ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 ประเมินโดยใช้แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหารท่ีปรับ มาจากแบบประเมนิ ของสิริกันย์ แก้วพรหม (2549) ทัศนคติเกี่ยวกับการบรโิ ภคอาหาร หมายถึง ความคิดเห็น ความรู้สึกต่อการรับประทานอาหาร เช่น ชนิดของอาหารที่ไม่ควรรับประทาน ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร การศึกษา 2563 ช้ันปีที่ 1 - 4 ปี ประเมนิ โดยใช้แบบประเมินทัศนคติเกยี่ วกับการบริโภคอาหารของ ทศั นา ศริ ิโชติ (2555) พฤติกรรมการบริโภคอาหาร หมายถึง การปฏิบัตขิ องนิสิตพยาบาลศาสตร์ ปีการศึกษา 2563 ช้นั ปีที่ 1-4 เกี่ยวกับการเลือก การรับประทานอาหาร การดื่มเคร่ืองดื่ม ประเมินโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรม การบรโิ ภคอาหาร ท่ีปรับมาจากแบบสอบถาม ของมณั ทนาวดี เมธาพฒั นะ (2560) ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ 1. องค์กรทราบถึงความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร 2. เป็นแนวทางในการปรบั เปลยี่ น ส่งเสริม ความรู้ ทัศคติ และพฤตกิ รรมการบริโภคอาหารแก่นิสิตพยาบาล ศาสตร์ มหาลยั วิทยาลัยนเรศวร
7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกยี่ วข้อง การวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิตคณะ พยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรดังกล่าวของนิสิตคณะ พยาบาลศาสตร์มหาลยั นเรศวร ปีการศึกษา 2563 ซงึ่ ผวู้ จิ ัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. พฤติกรรม 1.1 ความหมายของพฤติกรรม 1.2 ประเภทของพฤติกรรม 2. พฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร 2.1 ความหมายของพฤติกรรมการบริโภคอาหาร 2.2 ปจั จัยท่มี ีอิทธพิ ลต่อการบรโิ ภคอาหาร 2.3 แนวคิดเกยี่ วกับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร 2.4 แนวโน้มพฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร 3. ความรูเ้ กีย่ วกบั การบริโภคอาหาร 4. ทัศคตเิ ก่ียวกบั การบริโภคอาหาร 5. กรอบแนวคิดและวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง 1. พฤติกรรม 1.1 ความหมายของพฤติกรรม กรีนและคณะ (Green and other,1983 cited in Carole Edelman and Carol Lynn Mandle,1986) กล่าววา่ พฤติกรรม หมายถึง การปฏิบัตทิ ่ีมีความเฉพาะเกิดข้ึนเป็นประจาตามระยะเวลา และ เป้าหมาย ไม่วา่ จะร้สู ึกตัวและไม่รู้สกึ ตัว อาภรณ์ รับไซ (2019) พฤติกรรม (Behavior) หมายถึง การกระทาหรือการแสดงออกของสัตว์ เพ่ือ ตอบสนองต่อส่ิงเร้าหรือส่ิงที่มากระตุ้น (Stimulus) อาจจะเกิดขึ้นทันทีหรือเกดิ ขึ้นหลังจากที่ถูกกระตุ้นมาแล้ว ระยะหน่งึ เลฟตัน และแบรนนอน (Lefton & Brannon, 2008: 3) พฤติกรรม คือ การแสดงออกภายนอก เช่น การเคล่ือนไหว การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (การสนทนา) และการตอบสนองทางอารมณ์หรือการแสดงออก ทางอารมณ์ (การหัวเราะ หรือร้องไห้) นอกจากนี้ยังรวมถึงการทางานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ หรอื การทางานของสมอง ซง่ึ สามารถใช้เครอ่ื งมือตรวจสอบ คิง (King, 2011: 4) ได้ให้ความหมายของพฤติกรรมว่า หมายถึง การกระทาทุกอย่างของบุคคลท่ี สามารถสังเกตได้โดยตรง เชน่ การจูบ การร้องไห้ การขับรถไปเรียน เป็นต้น
8 ธนัญญา ธีระอกนิษฐ์ (2555: 5) กล่าวว่า พฤติกรรมหมายถึง อาการท่ีแสดงออกของมนุษย์ ปฏิกิริยา โต้ตอบต่อสิ่งเร้าที่อยู่รอบตัว โดยจากการสังเกตหรอื การใช้เคร่อื งมือช่วยวดั พฤตกิ รรม ซ่ึงส่งผลต่อกระบวนการ ทางรา่ งกาย 1.2 ประเภทของพฤติกรรม นักจิตวิทยาแบ่งพฤติกรรมมนุษยอ์ อกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื 1. พฤติกรรมที่มีมาแต่กาเนิด ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีการเรียนรู้มาก่อน ได้แก่ ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (REFLECT ACTION) เช่นการกระพริบตา และสัญชาตญาณ (INSTINCT) เช่นความกลัว การเอาตัว รอดเปน็ ต้น 2. พฤติกรรมท่ีเกิดจากอิทธิพลของกลุ่ม ได้แก่ พฤติกรรมท่ีเกิดจากการท่ีบุคคลติดต่อสังสรรค์และมี ความสัมพนั ธ์กบั บุคคลอ่ืนในสังคม พฤติกรรมแบ่งเป็น 2 ประเภท Moral Behavior พฤติกรรมที่สามารถ สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยไม่ต้องใช้เคร่ืองมือวัด เช่น การเคล่อื นไหวของร่างกาย การเดนิ การยืน การว่ิง Molecular Behavior พฤติกรรมที่ต้องอาศัยเคร่ืองมือช่วยในการวิเคราะห์จึงจะสามารถเห็นได้ เช่น การไหลเวียนโลหิต การเตน้ ของหัวใจ ประเภทของพฤติกรรมท่ีนักวิชาการบางกลุ่มในสมัยก่อนได้ทาการแบ่ง (Coon & Mitterer, 2013: 14, จิรา ภรณ์ ตั้งกิตติภาภรณ์, 2556: 2-3) ดงั นี้ 1. พฤติกรรมภายนอก พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) คือ การกระทาหรือปฏิกิริยาทาง ร่างกาย ท่ีทัง้ เจ้าตัวและบุคคลอื่นสามารถสังเกตผ่านอวยั วะรบั สัมผัส หรือประสาทสมั ผัส (ตา หู จมูก ล้ิน หรือ ผิวหนัง) หรือใช้เคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์ช่วยสังเกตซ่ึงมีความหมายสอดคล้องกับคาว่า “พฤติกรรม” ของ นิยาม ณ ปจั จบุ นั ท้งั น้ี สามารถแบง่ พฤติกรรมภายนอกออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) พฤติกรรมภายนอกชนิดโมลาร์ (Molar Behavior) เป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้โดยใช้ อวยั วะรบั สัมผสั ไม่ตอ้ งใช้เคร่ืองมือช่วย เชน่ การเดิน การวง่ิ การจาม เป็นตน้ (2) พฤติกรรมภายนอกชนิดโมเลกุล (Molecular Behavior) เป็นพฤติกรรมท่ีสามารถสังเกตได้หรือ วัดได้ด้วยเคร่ืองมือทางการแพทย์หรือเคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น การทางานของต่อมต่าง ๆ ใน รา่ งกาย การทางานของอวยั วะภายใน หรอื การทางานของระบบประสาท เปน็ ต้น 2. พฤติกรรมภายใน พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) คือ กระบวนการที่เกิดขึ้นในตัวบุคคล จะ โดยรสู้ ึกตัวหรือไม่รู้สึกตวั ก็ตาม เป็นกระบวนการที่ไม่สามารถสังเกตได้และไม่สามารถใช้เครื่องมือวัดได้โดยตรง หากเจ้าของพฤติกรรมไม่บอก (บอกกล่าว เขียน หรือแสดงท่าทาง) ได้แก่ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ความจา การรับรู้ ความฝัน รวมถึง การรับสัมผัสต่าง ๆ เช่น การได้ยิน การได้กลิ่น ความรู้สึกทางผิวหนัง เป็น ต้น ทั้งน้ี พฤติกรรมภายในจาเป็นต้องอนุมานหรือคาดเดาผ่านพฤติกรรมภายนอก โดยพฤติกรรมภายในมี
9 ความหมายสอดคล้องกับคาว่า “กระบวนการทางจิตหรือจิตลักษณะ” ทั้งนี้ พฤติกรรมภายในสามารถแบ่ง ออกเปน็ 2 ประเภท คอื (1) พฤติกรรมภายในท่ีเกิดขึ้นโดยรู้สึกตัว (Conscious process) เป็นพฤติกรรมที่เจ้าของพฤติกรรม รู้สึกตัวว่ากาลังเกิดพฤติกรรมนั้น ๆ หากไม่บอก ไม่แสดงอาการหรือท่าทางใด ๆ ก็ไม่มีผู้ใดรับรู้ได้ว่า เกดิ พฤตกิ รรมนั้น ๆ ยกตัวอยา่ งเช่น อารมณค์ วามรู้สกึ ความคดิ ความฝนั จนิ ตนาการ เปน็ ต้น (2) พฤติกรรมภายในที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว (Unconscious process) เป็นพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นโดยที่ เจ้าของพฤติกรรมไม่รู้สึกตัว หากแต่มีผลต่อพฤติกรรมภายนอก ยกตัวอย่างเช่น แรงจูงใจ ความ คาดหวงั ความวติ กกงั วล เป็นต้น 2. พฤติกรรมการบริโภคอาหาร 2.1 ความหมายของพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ความหมายของพฤติกรรมบริโภคอาหารมีผู้ให้ความหมายของการบริโภคอาหารไว้มากมายซ่ึงก็มี ความแตกต่างและคลา้ ยกันบ้าง ผ้วู จิ ัยได้ยกมาประกอบเนื้อหาในการวจิ ยั ดังน้ี ศิริลักษณ์ สินรวาลัย (2553) ให้ความหมายว่า พฤติกรรมการบริโภคเป็นเรื่องของลักษณะวิธีการ รับประทานอาหาร ว่ารับประทานอาหารอะไร รับประทานอย่างไร มากหรือน้อย บ่อยหรือไม่ในรอบ วันหรือเดือน มีระเบียบมารยาทในการรับประทานอาหารเป็นเช่นไร เป็นต้น ซ่ึงพฤติกรรมดังกล่าว จาแนกไปตามลักษณะหรือประเภทของบุคคล เป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนชรา เป็นต้น หรืออาจจาแนก การรับประทานตามโอกาส เช่น รับประทานท่ีบ้าน รับประทานที่ร้านอาหาร เป็นต้น พฤติกรรมการ บริโภคอาหารมีความสัมพันธ์ไปถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการหา และการทาอาหารก่ อนท่ีจะเอามา รับประทานว่า ได้วัสดุนั้นมาจากไหน วิธีใด ใช้วิธีการใดในการรักษาหรือเพ่ิมพูนคุณค่าทาโภชนาการ ได้ดีท่ีสุด วิธีใดทาลายหรือลดคุณค่าทางโภชนาการ พฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่ใช่พฤติกรรม ธรรมชาติเอกเทศส่วนบุคคลที่จะทาได้โดยเสรีตามอาเภอใจ แต่เป็นการกระทาทางสังคมและ วัฒนธรรมที่เก่ียวข้องกับผู้อ่ืนเสมอ จึงต้องเป็นไปตามรูปแบบและกฎเกณฑ์ท่ีกลุ่มน้ันกาหนดไว้ เร่ือง อาหารและการรับประทานอาหารจึงเป็นพฤติกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่จะเข้าใจได้ชัดเจนก็ ตอ่ เม่ือได้พิจารณาปัจจยั ทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นด้วย กมลภพ ทิพย์ปาละ (2555) พฤติกรรมการบริโภค หมายถึง พฤติกรรมการซื้อ การใช้ การ ประเมิน และการกาจัดสินค้าและบริการของผู้บริโภคขั้นสุดท้าย ที่ซ้ือสินค้าและบริการไปเพ่ือ ตอบสนองความต้องการของตนเอง หรอื เพ่ือกินหรือใช้ภายในครัวเรือน ผู้บริโภคทุกคนที่ซื้อสินค้าและ บริการไปเพ่ือวัตถุประสงค์เช่นว่าน้ีรวมกันเรียกว่าตลาดผู้บริโภค ผู้บริโภคท่ัวโลกนั้นมีความแตกต่าง กันในลักษณะด้านประชากรศาสตร์อยู่หลายประเด็น เช่น ในเรื่องของอายุ รายได้ ระดับการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีค่านิยม และรสนิยม เป็นต้น พฤติกรรมการกิน การใช้ การซื้อ และ ความรู้สึกนึกคิดของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์จึงแตกต่างกันออกไป ทาให้มีการซ้ือการบริโภคสินค้าและ บริการหลาย ๆ ชนิดท่ีแตกต่างกัน นอกจากลักษณะประชากรดังกล่าวแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกท่ีทา ใหม้ ีการบรโิ ภคแตกตา่ งกัน
10 จากความหมายของพฤติกรรมการบริโภคอาหารได้มีผู้ให้ความหมายไว้มากมาย ดังนั้นผู้วิจัยสรุป ได้ว่า พฤติกรรมการบริโภคอาหาร หมายถึง การปฏิบัติหรือการแสดงออกเก่ียวกับการรับประทาน อาหารท่ีบุคคลกระทาเป็นประจา ซ่ึงการแสดงออกน้ันอาจเป็นการแสดงออกทั้งทางด้านการกระทา เช่น การเลือกชนิดของอาหาร การเตรียม การปรุง การบริโภค สุขนิสัยในการบริโภค และทางด้าน ความคิด ความรู้สึกต่าง ๆ ต่อการบริโภคอาหาร ซึ่งส่ิงเหล่าน้ีถ้าบุคคลได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลัก โภชนาการแล้ว ก็จะส่งผลให้บุคคลมีภาวะโภชนาการท่ีดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าบุคคลปฏิบัติได้ไม่ ถูกต้อง เช่น เลือกรับประทานอาหารเฉพาะบางชนิดท่ีชอบรับประทาน และอาหารที่ชอบน้ันเป็น อาหารท่ีไม่มีประโยชน์ หรือมีการปฏิบัติเก่ียวกับการปรุงอาหารที่ไม่ถูกต้อง ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหา ทางโภชนาการตามมา ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาโภชนาการเกินมาตรฐาน ปัญหาโภชนาการต่ากว่า มาตรฐาน หรือปัญหาการขาดสารอาหารบางประเภทได้ ดังน้ันการที่จะส่งเสริมให้บุคคลมีภาวะ โภชนาการที่ดีน้ัน จึงควรจะต้องเริ่มท่ีการส่งเสริมให้บุคคลมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดีก่อน โดยเน้นถึง การบริโภคอาหารให้ครบทั้งห้าหมู่และเลือกรับประทานอาหารหลาย ๆ อย่างจากหมู่เดียวกัน เพ่ือให้ ได้สารอาหารจากหลายแหล่ง สง่ ผลใหร้ ่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน 2.2 ปัจจยั ท่ีมีอิทธพิ ลต่อการบรโิ ภคอาหาร 2.2.1 ปัจจยั ทม่ี ีอทิ ธพิ ลตอ่ การบรโิ ภค (นฐั วุฒิ สังวรกิจโสภณ, 2558) 1. อาหารที่มีในท้องถ่ิน หากท้องถ่ินใดมีอาหารบริบูรณ์ คนในท้องถิ่นน้ันย่อมมีโอกาสจะได้บริโภค อาหารที่มีคุณค่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย ท้องถิ่นใดขาดแคลนอาหาร คนในท้องถ่ินก็ จาเป็นต้องกินอย่างจากัด 2. ฐานะทางเศรษฐกจิ แตล่ ะครอบครวั จะสามารถซื้ออาหารที่มขี ายในท้องตลาดมา รบั ประทานได้มากนอ้ ยเพียงไร และซอ้ื อาหารจาพวกใดบา้ งนั้นสว่ นหนึ่งข้ึนอยกู่ ับรายได้ของ ครอบครัว 3. ความเคยชินในการรับประทานของครอบครัว การรบั ประทานของแต่ละครอบครวั น้ันบาง คราวมีเหตุผลเบื้องหลังท่ีเกี่ยวกับเชอื้ ชาติ ศาสนา และขนบธรรมเนยี มประจาชาติ หรือความ เชอ่ื ของครอบครวั นั้น ๆ รวมทัง้ นิสัยท่ีสบื เนอ่ื งกันมาหลายช่วั คน 4. ขนบธรรมเนยี มประเพณี 5. ภาวะทางอารมณ์และจิตใจ เหตุการณ์ท่ีก่อให้เกิดความสุขหรือทุกข์ หรือวุ่นวายใจความชอบ หรอื ไม่ชอบในอาหาร 6. ปฏิกริ ิยาต่อกล่นิ และรสอาหาร บคุ คลแต่ละคนมีปฏิกิรยิ าต่อกล่ินและรสของอาหารไม่เหมอื นกัน 7. อิทธิพลของการศึกษา ความรู้เรื่องคุณค่าของอาหาร อาจเป็นเหตุผลสาคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อ การท่ีบุคคลนิยมรับประทานอาหารเพราะรู้คุณค่าของอาหารนั้น แสดงให้เห็นความสาคัญของการให้ ความรู้ทางโภชนาการแก่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเด็กอันเป็นวัยท่ีนิสัยในการรับประทาน กาลงั จะเกิดขึ้น
11 2.3 แนวคดิ เกีย่ วกบั พฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร แนวคิดเกีย่ วกับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการกินใด ๆ ล้วนถูกกาหนดโดยความเอื้ออานวยของทรัพยากรอาหารในท้องถิ่น (Behavior setting) พฤติกรรมการกินของชุมชนหน่ึงย่อมแตกต่างไปจากอีกชุมชนหน่ึง ที่มีส่ิงแวดล้อมหรือ รากเหง้าท่ีต่างกัน เช่น คนไทยกินข้าว คนฝรั่งกินขนมปัง คนเหนือกินถั่วเน่า คนใต้กินสะตอ วรางคณา บุตรศรี (2536 : 6) ได้ให้ความหมายของพฤติกรรมการบริโภค หมายถึง ลักษณะความชอบและความเคยชินในการ รับประทานอาหารหรือไม่รับประทานอาหาร ลักษณะและชนิดของอาหารที่รับประทานจานวนม้ือท่ี รับประทานการปฏบิ ัติในการรับประทานอาหาร การจาแนกประเภทพฤติกรรมตามแนวคิดทางสาธารณะสขุ (เฉลมิ พล ตันสกลุ , 2541, หนา้ 9) การจาแนกประเภทพฤติกรรมตามแนวคิดทางสาธารณะสุข จะเรียกว่าพฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior) ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติ หรือการแสดงออกของบุคคลในการกระทาหรืองดเว้นการกระทา ในสิ่งที่มี ผลต่อสุขภาพ โดยอาศัยความรู้ ความเข้าใจ เจตคติ และการปฏิบัติตนทางสุขภาพที่เก่ียวข้องสัมพันธ์กันอย่าง เหมาะสม ซง่ึ สามารถแบ่งประเภทของพฤติกรรมสุขภาพออกเป็น 3 ประเภท ดว้ ยกนั ดงั น้ี 1. พฤติกรรมการป้องกันโรค (Preventive Health Behavior) หมายถึงการปฏิบัติของบุคคลในการ ป้องกันโรค เช่น การสวมหมวกนิรภัยเมื่อขี่มอเตอร์ไซค์ การสวมถุงยางอนามัยก่อนมีเพศสัมพันธ์กับ หญิง บริการ การพาบุตรไปฉีดวัคซีนป้องกันโรค เปน็ ต้น 2. พฤติกรรมเม่ือเจ็บป่วย (Illness Behavior) หมายถึงการปฏิบัติทีบ่ ุคคลกระทาเม่ือร่างกายมีอาการ ผิดปกติหรือเจ็บปว่ ย เชน่ การนอนพกั อยู่บา้ นแทนทจี่ ะไปทางาน การแสวงหาการรักษาพยาบาล เป็นต้น 3. พฤติกรรมบทบาทของการเจ็บป่วย (Sick Role Behavior) หมายถึงการปฏิบัติที่บุคคลกระทา หลังจากได้ทราบผลการวินิจฉัยโรคแล้ว เช่น การรับประทานยาตามแพทย์สงั่ การออกกาลังกาย การ เลิกดื่ม สรุ า เปน็ ตน้ องคป์ ระกอบของพฤติกรรม พฤติกรรมทางการศึกษามีองค์ประกอบ 3 ด้าน (Bloom, 1975: 65-197) ได้แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ดา้ นพทุ ธพสิ ัย ด้านจิตพิสยั และทกั ษะพิสยั ดงั น้ี 1. พฤติกรรมดา้ นพุทธพิสยั (Cognitive domain) พฤติกรรมด้านน้ีเก่ียวข้องกับ การรู้ การจา ข้อเท็จจริงต่าง ๆ รวมท้ังการพัฒนาความสามารถและ ทักษะทางสติปัญญา การใช้วิจารณญาณเพ่ือประกอบการตัดสินใจ พฤติกรรมด้านพุทธพิสัยนี้ประกอบด้วย ความสามารถระดับต่าง ๆ ซ่ึงเร่ิมต้นจากการรับรู้ในระดับง่าย ๆ และเพ่ิมการใช้ความคิดและพัฒนาสติปัญญา มากข้นึ เรือ่ ย ๆ ซง่ึ ข้นั ของความสามารถตา่ ง ๆ มีดังนี้
12 1.1 ความรู้ (Knowledge) เป็นพฤตกิ รรมข้ันต้นเกี่ยวกับความจาได้หรือระลึกได้ 1.2 ความเข้าใจ (Comprehension) เป็นพฤติกรรมท่ีต่อเนื่องมาจากความรู้ ต้องมีความรู้มาก่อนจึง จะเข้าใจ ความเข้าใจนจ้ี ะแสดงออกมาในรปู ของการแปลความ ตคี วาม และคาดคะเน 1.3 การนาไปใช้ (Application) เปน็ การนาเอาวธิ กี ารทางทฤษฎี กฎเกณฑ์ และแนวคดิ ต่าง ๆ ไปใช้ 1.4 การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นข้ันท่บี ุคคลมคี วามสามารถและมีทักษะในการจาแนกเรื่องทสี่ มบูรณ์ ใด ๆ ออกเป็นส่วนย่อย และมองเห็นความสัมพันธ์อย่างแน่ชัดระหว่างส่วนประกอบที่รวมเป็นปัญหา หรือสถานการณ์หรอื อย่างใดอยา่ งหน่ึง 1.5 การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถของบุคคลในการรวบรวมส่วนย่อยต่าง ๆ เข้าเป็น สว่ นรวมที่มโี ครงสรา้ งใหม่ มคี วามชดั เจน และมคี ุณภาพสูงขึ้น 1.6 การประเมินผล (Evaluation) เป็นความสามารถของบุคคลในการวินิจฉัย ตีราคาของสิ่งของต่าง ๆ โดยมกี ฎเกณฑท์ ่ีใช้ช่วยประเมินค่าน้ี อาจเปน็ กฎเกณฑ์ท่บี ุคคลสร้างขึ้นมาหรือมีอย่แู ล้วก็ตาม 2. พฤติกรรมดา้ นจิตพิสยั (Affective domain) พฤตกิ รรมด้านนหี้ มายถึง ความสนใจ ความร้สู ึก ท่าที ความชอบในการใหค้ ุณค่า หรือปรับปรุงค่านิยม ทย่ี ึดติดอยู่ เปน็ พฤตกิ รรมทยี่ ากแก่การอธบิ ายเพราะเป็นส่ิงที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของคน การเกดิ พฤติกรรมดา้ นเจตคติแบ่งข้ันตอนดังนี้ 2.1 การรับหรือการให้ความสนใจ (Receiving or Attending) เป็นข้ันที่บุคคลถูกกระตุ้นให้ทราบว่ามี เหตุการณ์หรือสิ่งเร้าบางอย่างเกิดขึ้นและบุคคลนั้นมีความยินดีหรือมีภาวะจิตใจพร้อมที่จะรับหรือให้ความ พอใจตอ่ สิ่งเร้าน้ัน ในการยอมรับนป้ี ระกอบดว้ ยความตระหนัก ความยินดที ่ีควรรบั และการเลือกรับ 2.2 การตอบสนอง (Responding) เป็นข้ันท่ีบุคคลถูกจูงใจให้เกิดความรู้สึกผูกมัดต่อส่ิงเร้า เป็นเหตุ ให้บคุ คลพยายามทาใหเ้ กดิ ปฏิกิริยาตอบสนอง พฤติกรรมน้ี ประกอบด้วยการยินยอม ความเต็มใจ และพอใจที่ จะตอบสนอง 2.3 การให้ค่านิยม (Valuing) เป็นขั้นที่บุคคลมีปฏิกิริยาซึ่งแสดงให้เห็นว่า บุคคลน้ันยอมรับว่าเป็นส่ิง ท่ีมีคุณค่าสาหรับตนเอง และได้นาไปพัฒนาเป็นของตนอย่างแท้จริง พฤติกรรมขั้นน้ีส่วนมากใช้คาว่า “ค่านยิ ม” ซง่ึ การเกิดค่านิยมนปี้ ระกอบดว้ ย การยอมรบั ความชอบและการผูกมัดค่านิยมเข้ากับตนเอง 2.4 การจัดกลุ่มค่านิยม (Organization) เป็นขั้นที่จัดระบบของค่านิยมต่าง ๆ ให้เข้ากลุ่ม โดย พิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างค่านิยมเหล่าน้ัน ในการจัดกลุ่มน้ีประกอบด้วย การสร้าง แนวความคิด เกยี่ วกับคา่ นยิ มและการจัดระบบของคา่ นิยม 2.5 การแสดงลักษณะตามค่านิยมท่ียึดถือ (Characterization by a value or value complex) พฤติกรรมข้ันนี้ถือว่าบุคคลมีค่านิยมหลายชนิด และจัดอันดับของค่านิยมเหล่านั้นจากดีท่ีสุดไปถึงน้อยที่สุด
13 พฤติกรรมเหล่าน้ีจะเป็นตัวคอยกระตุ้นพฤติกรรมของบุคคล พฤติกรรมในขั้นน้ีประกอบด้วย การวางแนวทาง ของการปฏิบัติและแสดงลกั ษณะที่จะปฏบิ ัติ ตามแนวทางทกี่ าหนด 3. พฤตกิ รรมดา้ นทักษะพิสยั (Psychomotor domain) เป็นความสามารถในด้านการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพท่ีเก่ียวข้องกับระบบการทางานของ อวยั วะต่าง ๆ ภายในร่างกาย แยกย่อยไดเ้ ป็น 5 ขน้ั ดงั นี้ 3.1 การเลียนแบบ (Imitation) เป็นการเลือกตัวแบบหรอื ตัวอย่างท่สี นใจ 3.2 การทาตามแบบ (Manipulation) เปน็ การกระทาลงมือตามแบบท่ีสนใจ 3.3 การมคี วามถูกต้อง (Precision) เป็นการตัดสินใจทาตามแบบท่ีเห็นวา่ ถูกต้อง 3.4 การกระทาอย่างต่อเน่ือง (Articulation) เป็นการกระทาที่เห็นว่าถูกต้องนั้นอย่างเป็นเร่ืองเป็น ราวตอ่ เนอ่ื ง 3.5 การกระทาโดยธรรมชาติ (Naturalization) เป็นการกระทาจนเกิดทักษะ สามารถปฏิบัติได้โดย อัตโนมัติเป็นธรรมชาติ ส่ิงที่กาหนดพฤตกิ รรมมนษุ ย์ จากองค์ประกอบของพฤติกรรมดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการแสดงของพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์นั้น จะต้องมีส่ิงท่ีเป็นตัวกาหนดพฤติกรรม ซ่ึงจะทาให้การแสดงออกของพฤติกรรมของมนุษย์แต่ละบุคคลแตกต่าง กันไป ดงั น้ัน ควรเข้าใจถึงส่ิงท่กี าหนดพฤติกรรมมนุษย์ดังต่อไปนี้ ชุดา จิตพิทักษ์ (อ้างถึงจาก สุดาวรรณ 2538: 13) กล่าวว่า ส่ิงกาหนดพฤติกรรมมนุษย์มีหลาย ประการ ซ่ึงอาจจะแยกได้ 2 ประเภท คือ 1. ลักษณะนิสัยส่วนตัว ได้แก่ ความเช่ือ หมายถึง การที่บุคคล คิดถึงอะไรก็ได้ในแง่ของข้อเท็จจริงซ่ึง ไมจ่ าเปน็ ถูกหรอื ผิดเสมอไป ความเชอื่ อาจมาโดยการเห็น การบอกเล่า การอ่าน รวมทงั การคิดขึ้นมาเอง คา่ นยิ ม หมายถึง ส่ิงทีต่ นนิยมยึดถือประจาใจทช่ี ่วยตัดสินใจในการเลือก ทัศนคติ หมายถึง เจตคติ มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของบุคคล กล่าวคือ ทัศนคติ เป็น แนวโน้ม หรือข้ันเตรียมพร้อมของพฤติกรรม และถือวา่ ทศั นคติมีความสาคัญในการกาหนดพฤติกรรมในสังคม บุคลิกภาพ หมายถึง เป็นสิ่งกาหนดว่าบุคคลหนึ่งจะทาอะไร ถ้าเขาตกอยู่ในสถานการณ์หน่ึง คือเป็น สิง่ ท่บี อกวา่ บคุ คลจะปฏบิ ัติอย่างไรในสถานการณห์ นึ่ง ๆ 2. กระบวนการอื่น ๆ ทางสังคม ได้แก่ส่ิงกระตุ้นพฤติกรรม ลักษณะนิสัยส่วนบุคคล คือความเช่ือ คา่ นิยม ทัศนคติ บุคลิกภาพ มีอิทธพิ ลตอ่ พฤติกรรม 2.4 แนวคิดเก่ยี วกบั พฤติกรรมการบริโภคอาหาร แนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ในปัจจุบันผู้บริโภคหันมาใส่ใจกับการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทา ให้ปัจจัยด้านสุขภาพมีส่วนสาคัญต่อการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารและเคร่ืองด่ืมของผู้บริโภค ปัจจัยสาคัญอีก
14 อย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลต่ออาหารและเคร่ืองด่ืมในปัจจุบันคือ ความสะดวกสบาย และรวดเร็ว เนื่องจากผู้บริโภค ส่วนใหญ่นิยมอาหารและเคร่ืองด่ืมที่สามารถบริโภคได้สะดวกและรวดเร็วเพ่ือให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตอันเร่งรีบ ในสังคมปัจจุบัน ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ยังคงใส่ใจในเร่ืองคุณภาพ รสชาติ และประโยชน์ต่อสุขภาพของ อาหารและเคร่ืองดื่มเช่นกัน ดังนั้น Mintel คาดการณ์ว่าอาหารและเคร่ืองด่ืมสาเร็จรูปพร้อมรับประทานท่ีมี มาตรฐานคุณภาพ รสชาติ และประโยชน์ต่อสุขภาพเทียบเท่ากับอาหารและเคร่ืองดื่มในร้านอาหารจะได้รับ ความนิยมอย่างมาก นอกจากน้ีจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่นามาใช้ในอุตสาหกรรม อาหารและเคร่ืองด่ืมให้มี ประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ดังเช่น การบรกิ ารอาหารและเคร่ืองดม่ื ผ่านระบบโปรแกรมคอมพิวเตอรห์ รือโทรศัพท์ การเปล่ียนแปลงท้ังทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และความเจริญก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีทาให้ประชาชนมีการปรับเปล่ียนวิถีชีวิตท้ังในระดับบุคคลและระดับครอบครัว จนกลายเป็นปัญหา ทเี่ กิดข้ึนในบางครอบครัว เช่น สมาชิกวัยทางานในครอบครัวตองทางานนอกบ้าน และทางานแข่งกับเวลา เพ่ือ หาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ทาให้ขาดการดูแลเอาใจใส่ซ่ึงกันและกัน โดยเฉพาะด้านการบริโภคอาหาร ทาให้มี การปรุงอาหารสาหรับรับประทานร่วมกับสมาชิกในครอบครัวน้อยลง มีการซ้ืออาหารปรุงสาเร็จติดรสชาติ หวาน มัน เค็ม มีค่านิยมการบริโภคอาหารจานด่วนแบบชาติตะวันตกและพ่ึงพาอาหารนอกบ้านมากข้ึน จน กอ่ ให้เกดิ การบริโภคอาหารท่ีไมถ่ ูกต้อง ไม่เพยี งพอ ไม่ได้สัดส่วนและเกินพอดี 2.4 แนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคอาหาร แนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ในปัจจุบันผู้บริโภคหันมาใส่ใจกับการดูแลสุขภาพมากยิง่ ขึ้น ทา ให้ปัจจัยด้านสุขภาพมีส่วนสาคัญต่อการตัดสินใจเลือกซ้ืออาหารและเครื่องดื่มของผู้บริโภค ปัจจัยสาคัญอีก อย่างหน่ึงท่ีมีอิทธิพลต่ออาหารและเคร่ืองดื่มในปัจจุบันคือ ความสะดวกสบาย และรวดเร็ว เนื่องจากผู้บริโภค ส่วนใหญ่นิยมอาหารและเคร่ืองด่ืมที่สามารถบริโภคได้สะดวกและรวดเร็วเพ่ือให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตอันเร่งรีบ ในสังคมปัจจุบัน ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ยังคงใส่ใจในเร่ืองคุณภาพ รสชาติ และประโยชน์ต่อสุขภาพของ อาหารและเคร่ืองดื่มเช่นกัน ดังน้ัน Mintel คาดการณ์ว่าอาหารและเคร่ืองดื่มสาเร็จรูปพร้อมรับประทานที่มี มาตรฐานคุณภาพ รสชาติ และประโยชน์ต่อสุขภาพเทียบเท่ากับอาหารและเคร่ืองดื่มในร้านอาหารจะได้รับ ความนิยมอย่างมาก นอกจากน้ีจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่นามาใช้ในอุตสาหกรรม อาหารและเครื่องดื่มให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคท่ีต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ดังเช่น การบริการอาหารและเคร่ืองดื่มผา่ นระบบโปรแกรมคอมพวิ เตอร์หรือโทรศัพท์ การเปล่ียนแปลงทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และความเจริญก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีทาให้ประชาชนมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตท้ังในระดับบุคคลและระดับครอบครัว จนกลายเป็นปัญหา ที่เกิดข้ึนในบางครอบครัว เช่น สมาชิกวัยทางานในครอบครวั ตองทางานนอกบ้าน และทางานแข่งกับเวลา เพ่ือ หาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ทาให้ขาดการดูแลเอาใจใส่ซ่ึงกันและกัน โดยเฉพาะด้านการบริโภคอาหาร ทาให้มี การปรุงอาหารสาหรับรับประทานร่วมกับสมาชิกในครอบครัวน้อยลง มีการซื้ออาหารปรุงสาเร็จติดรสชาติ หวาน มัน เค็ม มีค่านิยมการบริโภคอาหารจานด่วนแบบชาติตะวันตกและพ่ึงพาอาหารนอกบ้านมากข้ึน จน ก่อใหเ้ กดิ การบริโภคอาหารท่ีไม่ถูกต้อง ไมเ่ พยี งพอ ไม่ได้สัดสว่ นและเกินพอดี
15 3. ความรู้เก่ียวกบั การบริโภคอาหาร กองโภชนาการได้กาหนด โภชนบัญญัติไว้เป็นแนวทางในการบริโภคสาหรับคนไทยใช้ยึดเป็นแนวทาง ในการกนิ อาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการท่ีจะนาไปสู่การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร และภาวะ โภชนาการเกิน ตลอดจนพิษภยั จากสารอาหารดังนี้ ขอ้ 1 รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ให้หลากหลายและหมั่นดูแลน้าหนักตวั โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1) กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย คือรับประทานอาหารหลาย ๆ ชนิดเพื่อให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารต่าง ๆ ครบในปริมาณท่ีเพียงพอกับความต้องการสารอาหารแต่ละชนิด ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามนิ นา้ และยงั มสี ารอ่ืน ๆ เชน่ ใยอาหาร 2) หม่ันดูแลน้าหนักตัว เนื่องจากเป็นที่ยอมรับให้มีการใช้น้าหนักตัวเป็นเครื่องบ่งช้ีสาคัญที่บอกถึง ภาวะสขุ ภาพ ข้อ 2 กนิ ข้าวเปน็ อาหารหลักสลับกบั อาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย เป็นแหล่งอาหารที่ให้พลังงาน สารอาหารท่ีมีมากในข้าว ได้แก่ คาร์โบไฮเดรตและโปรตีน โดยเฉพาะข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ผลิตภัณฑ์จากข้าวและธัญพืชอ่ืน ๆ เช่น ก๋วยเต๋ียว ขนมจีน บะหมี่ เป็นแหล่งอาหารที่ให้พลังงานเช่นเดียวกัน ดังนั้นการกินข้าวเป็นอาหารหลักใน สัดส่วนที่ พอเห ม าะสลั บ กั บ อาห ารป ระเภ ท แป้ งเป็ นบ างมื้ อจึ งเป็ นสิ่ งท่ี พึ งป ฏิ บั ติ เพ่ื อนา ไป สู่ การมี ภ าวะ โภชนาการท่ีดี ข้อ 3 รับประทานพืชผักให้มาก และรบั ประทานผลไม้เป็นประจา พืชผักและผลไม้ เป็นแหล่งสาคัญของวิตามินและแร่ธาตุ มีผลการวิจัยพบว่าสารแคโรทีนและวิตามินซี ในพืชผักและผลไม้ มีผลป้องกันไม่ให้ไขมันไปเกาะท่ีผนังหลอดเลือดและป้องกันมะเร็งบางประเภท ควรกิน พชื ผักทุกมื้อใหห้ ลากหลายชนิดสลับกันไป ส่วนผลไม้ควรกินประจาสมา่ เสมอ ขอ้ 4 รบั ประทานปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วเมลด็ แหง้ เป็นประจา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1) ปลาเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่ดีย่อยง่าย ไขมันต่า ในปลามีฟอสฟอรัสสูงช่วยให้กระดูก และฟัน แข็งแรงโดยเฉพาะถ้ากนิ ปลาเล็กปลาน้อย นอกจากนี้ปลาทะเลทุกชนิดมีสารไอโอดีนช่วยป้องกันไม่ให้ เป็นโรคขาดสารอาหาร 2) เน้ือสัตว์ไม่ติดมัน การกินเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจาไม่เพียงแต่จะทาให้ร่างกายได้รับโปรตีนอย่าง เพียงพอเท่าน้ัน แต่จะทาให้ลดการสะสมไขมันในร่างกายด้วย 3) ไข่ เป็นอาหารที่ใหโ้ ปรตีนสูง มแี ร่ธาตแุ ละวติ ามินทจ่ี าเป็น ในเด็กควรให้กินไขว่ ันละฟอง 4) ถั่วเมล็ดแห้งเป็นแหล่งโปรตีนท่ีดี หาง่าย ราคาถูก และมีให้เลือกมากมาย ควรกินถ่ัวเมล็ดแห้งสลับ กับเน้ือสัตว์เป็นประจาจะทาให้ร่างกายได้รับสารอาหารท่ีครบถ้วนมากย่ิงข้ึน ถั่วยังให้พลังงานแก่ ร่างกายอีกดว้ ย 5) งาเปน็ อาหารท่ีให้โปรตีน ไขมัน วิตามินโดยเฉพาะวิตามินอี แคลเซยี ม จึงควรกนิ งาเป็นประจา ขอ้ 5 ด่มื นมให้เหมาะสมตามวัย นมประกอบไปด้วยแร่ธาตุท่ีสาคัญ คือ แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซ่ึงช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง หญิงตั้งครรภ์ เด็กวัยเรียน วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว ควบคู่ไปกับการออกกาลัง กาย ก่อนการซ้ือนมทกุ คร้ังควรสังเกตวันหมดอายขุ า้ งกล่องก่อนทุกคร้ัง
16 ขอ้ 6 กินอาหารทม่ี ไี ขมันแต่พอควร ไขมันเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย ไขมันได้จากพืชและสัตว์ ไขมันใน อาหารแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทอิ่มตัวและประเภทไม่อ่ิมตัว ไขมันอิ่มตัวได้มาจากเนื้อสัตว์และหนัง สัตว์ทุกชนิด และมีมากในไข่แดง เครื่องในสัตว์โดยเฉพาะตับ อาหารทะเลบางประเภท เช่น ปลาหมึก หอย นางรม เป็นต้น วิธีการประกอบอาหารมีส่วนทาให้ปริมาณไขมันในอาหารเพ่ิมมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารประเภททอด ผัด และอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ จึงควรกินแต่พอควรแต่ไม่ควรงดอย่างเด็ดขาดเพ่ือไม่ให้ร่างกายขาด ไขมัน ควรรบั ประทานอาหารโดยใช้วิธตี ้ม ปงิ้ น่ึง ยา่ งจะมไี ขมันนอ้ ยกวา่ ข้อ 7 หลกี เลีย่ งการรับประทานอาหารรสหวานจัดและเคม็ จัด คนไทยนิยมรับประทานอาหารรสจัด และใช้เครื่องปรุงรสกันมากเพื่อทาให้อาหารอร่อย รสอาหารที่ มักเป็นปัญหาและก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายมาก คือ รสหวานจัดและเค็มจัด หากกินรสหวานจัดจะทาให้ฟันผุ และเกิดโรคอ้วนได้ หากกินรสเค็มจัดจะมีโอกาสเส่ียงต่อโรคความดันโลหิตสูงและมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งใน กระเพาะอาหารอีกด้วย ดังนั้นการกินอาหารรสไม่จัดจึงเป็นผลดีต่อสุขภาพ ควรลดการเติมเครื่องปรุงที่ไม่ จาเปน็ และหันมากินอาหารแบบไทย ขอ้ 8 รบั ประทานอาหารท่ีสะอาด ปราศจากปนเปื้อน อาหารสามารถปนเปื้อนได้จากหลายสาเหตุ ซ่ึงอาจมาจากเชื้อโรคและพยาธิ สารเคมีที่เป็นพิษและ สารปนเป้ือน ทั้งนี้เกิดจากกระบวนการผลิต การปรุง และจาหน่ายอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ จึงควรเลือกกิน อาหารที่สะอาด ผลิตจากแหล่งที่เช่ือถือได้โดยใช้หลักการปรุงประกอบตามหลัก 3ส. สุกเสมอ สงวนคุณค่า อาหาร สะอาดปลอดภัย เพ่อื ให้ผู้บริโภคมีสุขภาพอนามัยทีด่ ี ควรจะต้องรู้จกั วิธีเลือกซ้ือ การปรุง การประกอบ อาหารให้สะอาดปลอดภัยและมีคุณค่าครบถว้ นทางโภชนาการ ขอ้ 9 งดหรอื ลดเคร่ืองดม่ื ทม่ี ีแอลกอฮอล์ การดื่มเคร่ืองดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจาจะมีโทษ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพและ สูญเสีย ทรัพย์สินอย่างมากมาย เคร่ืองด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล์รวมหมายถึง สุรา เบียร์ ไวน์ บรั่นดี ตลอดจนเครื่องด่ืมทุก ชนิดท่ีมีแอลกอฮอล์ผสม ผลการดื่มแอลกอฮอล์มีโทษต่อร่างกายเช่น เป็นโรคตับแข็ง รวมทั้งมีฤทธ์ิต่อระบบ ประสาทส่วนกลาง ทาให้ขาดสติ เสียการทรงตัว สมรรถภาพการทางานลดลง ทาให้เกิดความประมาทเป็น สาเหตุสาคัญทีก่ ่อให้เกิดอุบัติเหตบุ นท้องถนน 4. ทัศคติเกี่ยวกับการบรโิ ภคอาหาร 4.1 ความหมายของทัศนคติ (Attitude) ทัศนคติ หมายถึง ความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลมีต่อสถานการณ์ใดสถานการณ์หน่ีง ซ่ึงเกิดจาก การทีบ่ ุคคลมีมมุ มองและตีความสถานการณ์น้ัน ๆ อาจเนื่องมาจากความลาเอยี ง หรือความคดิ เห็นต่อสิ่งน้ัน ๆ (Ibrahim, 1995 อ้างใน Brano, 2013) ทัศนคติ หมายถึง สภาวะของความพร้อมทางจิตซึ่งของเกิดขึ้นโดยอาศัยประสบการณ์และสภาวะของ ความพร้อม ทัศนคติจะเป็นกาหนดทิศทางของปฏิกิริยาของบุคคลที่มีต่อบุคคล (สงวน สุทธิเลิศอรุณ, 2525, อา้ งใน สรสทิ ธ์ิ เภตรา, 2555)
17 ทัศนคติ หมายถึง ความคิดเห็นซ่ึงมีอารมณ์เป็นส่วนประกอบ เป็นส่วนที่พร้อมจะมีปฏิกิริยาเฉพาะ อย่างต่อสถานการณ์ภายนอกในทิศทางใดทิศทางหน่ึงอาจเป็นในการสนับสนุนหรือโต้แย้งคัดค้านก็ได้ (ประภา เพ็ญ สุวรรณ, 2520 อา้ งใน สรสิทธ์ิ เภตรา, 2555) สุรพงษ์ โสธนะเสถียร (2533 อ้างใน ศิริวรรณ ว่องวีรวุฒิ, 2553, หน้า 18 ) ได้กล่าวถึงทัศนคติว่า เป็นดัชนีช้ีวัดว่า บุคคลนั้นคิดและรู้สึกอย่างไรกับคนรอบข้าง วัตถุ ส่ิงแวดล้อม ตลอดจนสถานการณ์ต่าง ๆ โดยทัศนคติน้ันมีรากฐานมาจากความเช่ือที่ส่งผลถึงพฤติกรรมในอนาคตได้ ทัศนคติจึงเป็นเพียงความพร้อมท่ี จะตอบสนองต่อสิ่งเร้า และเป็นมิติของการประเมินเพ่ือแสดงว่าชอบหรือไม่ชอบ ต่อประเด็นหน่ึง ๆ ซึ่งถือเป็น การส่อื สารภายในบุคคล ทเี่ ป็นผลกระทบมาจากการรับสารอันจะมีผลต่อพฤติกรรมต่อไป ทัศนคติเป็นองค์ประกอบที่สาคัญ จึงจาเป็นท่ีจะต้องเข้าใจถึงความหมายของทัศนคติ และ กระบวนการที่ใช้ในการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม เพราะทัศนคติเป็นสิ่งท่ีใช้เชื่อมโยงระหว่าง ความรู้และ พฤติกรรม 4.2 องคป์ ระกอบของทัศนคติ ศิริวรรณ เสรีรัตน์ (2542 อ้างใน ศิริวรรณ ว่องวีรวุฒิ, 2553, หน้า ) ได้แยกองค์ประกอบ ของทัศนคติได้ 3 ประการ คอื 1) องค์ประกอบด้านความรู้ (The Cognitive Component) คือ ส่วนท่ีเป็นความเชื่อของ บุคคลเกี่ยวกับส่ิงต่าง ๆ ทั่วไป ท้ังชอบ และไม่ชอบ หากบุคคลมีความรู้หรอื รับทราบในส่ิงท่ีดีก็จะมีทัศนคติที่ดี ต่อสงิ่ น้ัน แต่ถ้าบุคคลมีความรูห้ รือรบั ทราบในสิ่งท่ีไม่ดี ก็จะทาให้มที ัศนคติท่ีไม่ดีต่อสิ่งน้ัน 2) องค์ประกอบความรู้สึก (The Affective Component) คือส่วนที่เก่ียวขอ้ งกับอารมณ์ท่ี เกี่ยวเนือ่ งกับสิ่งตา่ ง ๆ ซง่ึ มผี ลแตกตา่ งกันไปตามบุคลิกภาพของคนน้ันเป็นลกั ษณะท่ีเป็นค่านิยมของ แ ต่ ละบุคคล 3) องค์ประกอบด้านพฤติกรรม (The Behavioral Component) คือ การแสดงออกของ บคุ คลตอ่ ส่ิงหน่ึง หรือบุคคลหนึ่ง ซง่ึ เปน็ ผลมาจากองค์ประกอบด้านความรู้ ความคิดความรู้สึก ศิริวรรณ เสรีรัตน์ (2542 อ้างใน ศิริวรรณ ว่องวีรวุฒิ, 2553, หน้า ) กล่าวไว้ว่า การเกิด ทัศนคติน้ันเป็นส่ิงที่เกิดข้ึนจากการเรียนรู้ จากแหลง่ ตา่ ง ๆ ทีม่ อี ยู่มากมายและแหล่งท่ีทาให้เกิด ทั ศ น ค ติ ที่ สาคัญ คอื 1) ประสบการณ์เฉพาะอย่าง (Specific Experience) เม่ือบุคคลมีประสบการณ์เฉพาะอย่าง ต่อส่ิงใดส่ิงหนึ่งท้ังด้านดี และไม่ดี จะส่งผลให้บุคคลน้ันเกิดทัศนคติต่อสิ่งน้ันไปในทางที่ดีหรือไม่ดี จะทาให้เกิด ทัศนคติต่อสิ่งน้ัน ไปในทางท่ีเขาเคยมีประสบการณ์มาก่อน 2) การติดต่อสื่อสารกับบุคคลอ่ืน (Communication from others) จะทาให้ทัศนคติจาก การรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ จากผู้อื่นได้ เช่น เด็กที่ได้รับการสั่งสอนจากผู้ใหญ่ จะเกิดทัศนคติจากการกระทาเท่าท่ี เคยรบั ร้มู า 3) สิ่งท่ีเป็นแบบอย่าง (Models) การเรียนแบบผ้อู ่ืนทาให้เกิดทัศนคติขึ้นได้ เช่น เดก็ ที่เคารพ เชอ่ื ฟงั พอ่ แม่ จะเลยี นแบบการแสดงทา่ ชอบ หรอื ไมช่ อบตอ่ ส่ิงหนึ่งตามไปด้วย 4) ความเกี่ยวข้องกับสถาบัน (Institutional Factors) ทัศนคติหลายอย่างของบุคคลเกิดขึ้น เนือ่ งจากความเกี่ยวขอ้ งกับสถาบัน เช่น ครอบครบั โรงเรียน หรอื หน่วยงาน เป็นต้น
18 4.3 การเปลยี่ นทัศนคติ การเปลี่ยนทัศนคติน้ันแบ่งออกได้ 2 ทิศทาง คอื 1) การเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน หมายถึง ทัศนคติของบุคคลที่เป็นไปในทางบวก ก็ จะเพม่ิ มากขน้ึ ในทางบวกด้วย และทัศนคติท่ีเป็นไปในทางลบ กจ็ ะเพิม่ มากขน้ึ ไปในทางลบดว้ ย 2) การเปล่ียนแปลงไปคนละทาง หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทัศนคติเดิมของบุคคลที่เป็นไป ในทางบวก ก็จะลดลงไปในทางลบ และถ้าเป็นไปในทางลบ ก็จะกลับเป็นไปในทางบวก ดังน้ัน จึงสรุปได้ว่า ทัศนคติเป็นความสัมพันธ์ที่คาบเก่ียวกันระหว่างความรู้สึก และความเชื่อหรือการรับรู้ของบุคคลกับแนวโน้มที่ จะมพี ฤติกรรมโต้ตอบในทางใดทางหนึ่งต่อเป้าหมายของทัศนคติ โดยสรุปแล้วน้ัน ทัศนคติจึงเป็นเร่ืองของจิตใจ ท่าที ความรู้สึกนึกคิด และความโน้มเอียงของบุคคลท่ี มีต่อข่าวสารที่ได้รับ และการเปิดรับข่าวสารต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปได้ท้ังเชิงบวกและเชิงลบ และทัศนคติยังมีผลต่อ การแสดงพฤติกรรมออกมา ซึง่ เป็นไปได้ว่าทัศนคติประกอบด้วยความคิดท่ีมีผลต่ออารมณ์และความรู้สึกนั้นจะ ออกมาทางพฤติกรรม เช่น การมีทัศนคติท่ีดีกับกิจกรรมรณรงค์การใช้จักรยาน ก็จะส่งให้เกิดพฤติกรรมการใช้ จกั รยานขึน้ ในชีวิตประจาวัน Roger (1978 อ้างใน ศิริวรรณ ว่องวีรวุฒิ, 2553, หน้า 55) ได้อธิบายว่า เม่ือผู้รับสารได้รับสารก็จะ ทาให้เกิดความรู้ เมื่อเกิดความรู้ข้ึน ก็จะทาให้เกิดทัศนคติ และขั้นตอนสุดท้ายคือการก่อให้เกิดการกระทาน้ัน หมายความว่า เมื่อบุคคลมีความรู้ มีเจตคติอย่างไรก็จะแสดงพฤติกรรมออกมาตามนั้น เช่น กิจกรรมการ รณรงค์ ต้องเน้นไปท่ีการสื่อสารเป็นส่ิงสาคัญเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการเพ่ิมพูนความรู้ สร้างทัศนะคติท่ีดีกับ กิจกรรมรณรงค์ จนส่งผลไปถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปยังกลุ่มเป้าหมาย ท่ีกลุ่มผู้สร้างกิจกรรมรณรงค์ ต้องการให้เป็นทฤษฎี KAP จึงเป็นทฤษฎีท่ีมีความสาคัญกับตัวแปร 3 ตัว คือ ความรู้ (Knowledge) ทัศนคติ (Attitude) และพฤติกรรมการปฏบิ ัติ (Practice) ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า หากได้รับข่าวสารในลักษณะท่ีแตกต่างกันก็จะส่งผลให้มีทัศนคติ หรอื แนวโน้มของ พฤติกรรมมีความแตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกันโดยตรง ถ้าความคิด ความร้สู ึก และพฤตกิ รรมถูกกระทบในระดบั ใดก็ตามจะมีผลต่อการเปลยี่ นแปลงทัศนคติทั้งส้ิน 5. กรอบแนวคดิ และวรรณกรรมทเ่ี กี่ยวข้อง ความสัมพนั ธร์ ะหว่างความรู้ ทัศนคติ และพฤตกิ รรม โมเดลความสัมพันธร์ ะหว่างความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม (knowledge, attitude, and practice model) ของ ชวาท (Schwartz, 1976 อ้างใน Brano, 2013) ซงึ่ อธบิ ายความสมั พันธ์ของทั้ง 3 ตวั แปร ดงั ภาพท่ี 1 จะเห็นไดว้ ่าความสัมพันธ์เป็นแบบสองทิศทาง ภาพที่ 1 ทมี่ า: Schwartz, 1976 อา้ งใน Bano, 2013
19 ทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง (Review Literature) 1. งานวิจัยที่เก่ียวข้อง 1.1 พฤติกรรมการบริโภคอาหาร มัณทนาวดี เมธาพัฒนะ (2560) ศึกษาปจั จัยที่มีความสมั พันธ์กบั พฤตกิ รรมการบริโภคอาหารของ นักศึกษาพยาบาล พบวา่ ปัจจยั ทม่ี ีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของกลมุ่ ตวั อยา่ งที่ศึกษาอย่างมีนยั สาคัญ ทางสถิติพบท้ังหมด 3 ปจั จัยประกอบดว้ ย ความรูท้ างโภชนาการ ชั้นปีการศึกษา และค่าใช้จ่ายท่ีนักศึกษา พยาบาลได้รับจากผูป้ กครอง ปริญญา ผกานนท์, และนิตยา ไสยสมบัติ (2561) ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนกั ศึกษา พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชธานี พพบวา่ มากกวา่ ครึ่ง มีการบริโภคอาหารครบสามมื้อเป็นบางคร้ัง และ ส่วนใหญ่จะงดอาหารเช้าซ่ึงมีผลกระทบ ต่อสัมฤทธิ์ผลทางการเรยี นของนกั ศึกษาอีกดว้ ย และยังพบว่ามี พฤติกรรมการบริโภค ที่ถกู ต้องและเหมาะสมอยู่ในระดับปานกลาง สิริไพศาล ยม้ิ ประเสริฐ (2560) ศึกษาและเปรียบเทียบพฤติกรรมการบริโภคอาหารจาแนกตามเพศ คณะ ค่าใช้จ่ายต่อเดอื น ท่ีพักอาศยั และค่าดัชนีมวลกาย พบวา่ สถานภาพทางเพศ คณะ ค่าใช้จา่ ยต่อเดือน ที่ พกั อาศัยและคา่ ดัชนีมวลกายต่างกันมีพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารไม่ตา่ งกัน ปรญิ ญา ผกานนท์ (2561) ศึกษาและเปรียบเทียบพฤติกรรมการบริโภคจาแนกตามคา่ ดัชนมี วลกาย ช้ันปกี ารศึกษาและค่าใชจ้ า่ ยรายเดือน พบว่า พฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดบั ดมี ากกวา่ ครึ่งมีการบรโิ ภคอาหารครบสามม้ือเป็นบางครั้งและส่วนใหญจ่ ะงดอาหารเช้านักศกึ ษาที่มีคา่ ดัชนี มวลกายค่าใช้จ่ายต่อเดือนและระดบั ช้ันปีการศึกษาท่ีแตกต่างกันมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไมแ่ ตกต่าง กนั อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ สุระเดชไชย ตอกเก้ีย (2558) ศึกษาปจั จัยท่ีมีผลต่อพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของวัยผู้ใหญ่ภาค ตะวันออกเฉยี งเหนือ พบวา่ ปัจจัยทม่ี ผี ลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของกลมุ่ ตัวอยา่ งที่ศกึ ษาอย่างมี นยั สาคัญทางสถิติพบท้ังหมด 9 ปัจจัยประกอบด้วยอายุ ระดบั การศึกษา อาชีพ สถานภาพการสมรส ภาวะ โภชนาการ ความรู้เก่ียวกบั การบริโภคอาหาร ทัศนคติต่อการบริโภคอาหาร การรับรขู้ า่ วสารด้านการดูแลภาวะ โภชนาการ และปจั จยั เอือ้ ที่เก่ียวกบั การบริโภคอาหาร สุวรรณา เชียงขุนทด (2556) ศึกษาความรูแ้ ละพฤตกิ รรมการบริโภคอาหารของคนภาษีเจรญิ พบวา่ ส่วนใหญม่ ีคะแนนความรู้เกย่ี วกบั การบรโิ ภคอาหารอยู่ในระดบั ปานกลาง ในสว่ นของพฤตกิ รรม ปจั จัยที่มี ความสัมพันธก์ ับพฤติกรรมการบริโภคอาหารอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติได้แก่ ความรู้เกี่ยวกบั การบริโภคอาหาร และเจตคติต่อการบริโภคอาหาร สว่ นอทิ ธิพลจากส่อื สารมวลชนเกี่ยวกับการบรโิ ภคอาหารไมม่ ีความสัมพันธ์ กบั พฤตกิ รรมการบริโภคอาหารอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติ จริ าภรณ์ เรืองยิ่ง และสุจิตรา จรจิตร (2559) ศึกษาพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของวยั รุ่นในจังหวัด สงขลา พบวา่ ปัจจยั ที่เกี่ยวข้องกบั พฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่น แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ปจั จยั นา ได้แก่ ความรู้เกยี่ วกับการบรโิ ภคอาหาร เจตคติต่อการบริโภคอาหาร และค่านยิ มในการบริโภคอาหาร ปจั จยั เอ้ือ ได้แก่ ระดบั การศึกษาของผู้ปกครอง และรายได้ของครอบครัว และปจั จัยเสริม ไดแ้ ก่ อิทธพิ ลของส่ือโฆษณา วยั รุ่นที่ระดับการศึกษาของผู้ปกครองและรายได้ของครอบครัวตา่ งกันมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่
20 แตกตา่ งกัน และค่านยิ มในการบริโภคอาหาร อทิ ธพิ ลของสื่อโฆษณา และความรู้เกีย่ วกบั การบริโภคอาหาร รว่ มกันทานายพฤติกรรมการบริโภคอาหารของวยั รุ่นในจังหวัดสงขลาได้ร้อยละ 11.30 ดวงใจ หทัยววิ ัฒน์กุล (2554) ศึกษาพฤติกรรมการซื้ออาหารสาเร็จรปู ของผบู้ ริโภคในจังหวดั สุราษฎร์ ธานี พบว่า เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน จานวนสมาชิกในครอบครวั มี ความสัมพันธก์ ับพฤตกิ รรมการซ้ืออาหารสาเรจ็ รูปของผู้บริโภค ในจังหวัดสุราษฎร์ธานอี ย่างมีนยั สาคญั ทาง สถิติที่ระดับ 0.05 น้าทิพย์ ชื่นนอ้ ย และสุนันทา ศรีศิริ (2559) ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และศึกษาปัจจัยนา ปัจจยั เออื้ และปัจจัยเสริมกับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร พบว่า นิสิตปริญญาตรีช้ันปที ่ี 1 มศว ทม่ี ีรายรับ แตกต่างกัน และมีเจตคติของการบรโิ ภคอาหารแตกตา่ งกัน มพี ฤติกรรมการบริโภคอาหารแตกตา่ งกัน อย่างมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนเพศ กลุ่มสาขาวิชาท่ีเรยี น ความรู้เกีย่ วกับการบริโภคอาหารท่ีแตกต่างกัน ไมม่ ีพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารแตกตา่ งกัน เม่ือจาแนกตามปัจจยั เอื้อ พบว่า การมอี าหารท่ีเอ้ือให้เกิด พฤติกรรมการบริโภคอาหารท่ีแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารแตกต่างกัน อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ ทร่ี ะดับ .05 สาหรบั การมีสถานท่ีที่เอ้ือต่อการบริโภคอาหารทแี่ ตกต่างกันไม่มีพฤติกรรมการบริโภคอาหาร แตกตา่ งกัน รวมทั้งเมอ่ื จาแนกตามปจั จัยเสริม พบว่า การได้รบั แรงสนับสนุนจากสอื่ ท่ีแตกต่างกัน มพี ฤติกรรม การบรโิ ภคอาหารแตกตา่ งกัน อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดบั .05 สว่ นการได้รบั แรงสนับสนุนจากครอบครัว และแรงสนบั สนุนจากเพ่ือนท่ีแตกต่างกัน ไม่มพี ฤตกิ รรมการบริโภคอาหารแตกต่างกัน ปัจจยั ทานายพฤติกรรม การบริโภคอาหารของนิสิตปริญญาตรีชั้นปีท่ี 1 มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คือ รายรับของนิสิต เจตคติของ การบรโิ ภคอาหาร การมอี าหารท่ีเอื้อให้เกิดพฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร และการได้รับแรงสนบั สนุนจากส่ือมี ประสิทธิภาพในการทานายรว่ มกันต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ร้อยละ 17.1 ท่ีระดับ นยั สาคัญทางสถิติ .05 1.2 ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ทัศนา ศิริโชต (2555) ศึกษาความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษา มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสงขลา พบว่า ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษาท่ีมีข้อมูล ส่วนบุคคลต่างกัน โดยนกั ศึกษาทม่ี ีข้อมูลพ้ืนฐานส่วนบุคคลในประเด็นช้ันปีการศึกษา ภูมลิ าเนาเดิม รายได้ต่อ เดือนของนักศึกษา และภาวะโภชนาการท่ีตา่ งกัน มีความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่ แตกตา่ งกัน แต่นักศกึ ษาท่ีมีเพศ สาขาวิชาที่ศึกษา ลักษณะการอยู่อาศัย รายได้เฉลีย่ ต่อเดือนของครอบครัว และแหล่งความรู้เรื่องเร่ืองการบริโภคอาหาร ตา่ งกัน มีความรู้ ทัศนคติ และพฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร แตกตา่ งกัน และความสมั พันธร์ ะหวา่ งความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษา พบวา่ มี ความสัมพันธก์ ันเชิงบวกหรือในทิศทางเดียวกัน กลา่ วคือ นักศกึ ษาที่มีความรู้เกยี่ วกับการบริโภคอาหารดี จะมี ทัศนคติเกยี่ วกบั การบรโิ ภคอาหารที่ดีและจะมีพฤติกรรมเกี่ยวกบั การบรโิ ภคอาหารท่ีดีด้วย ชลิดา เล่ือมใสสุข, วัชรี พืชผล (2561) ศึกษาความสมั พันธ์ระหวา่ งความรทู้ างโภชนาการกับ พฤติกรรมการบริโภคอาหารเพอ่ื สุขภาพ พบว่า ความรู้ทางโภชนาการมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภค อาหารเพ่ือสุขภาพอยู่ในระดบั ค่อนข้างต่า จากผลการศึกษาความสัมพันธ์ในแตล่ ะดา้ นพบวา่ ผทู้ ี่มีความรู้ด้าน ประเภทของอาหาร มีความสัมพันธก์ ับพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารเพ่ือสุขภาพ ดา้ นมูลค่าในการบริโภค และ อาหารที่บริโภคอยู่ในระดบั ค่อนขา้ งต่าและโดยรวมมีความสัมพันธ์ต่า ผู้ท่ีมีความรู้ด้านรูปแบบการกินมี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ด้านมูลค่าในการบริโภคอยู่ในระดับค่อนขา้ งต่า และ
21 โดยรวมมีความสัมพันธ์ตา่ ผทู้ ี่มีความรู้ด้านผลของอาหารต่อสุขภาพมีความสัมพันธ์กบั พฤติกรรมการบริโภค อาหารเพ่ือสุขภาพด้านมูลค่าในการบริโภค ด้านอาหารทบี่ ริโภค และโดยรวมมีความสัมพันธ์อยู่ในระดบั ค่อนข้างตา่ อนกุ ูล พลศิริ (2551) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมเกยี่ วกบั การบรโิ ภค อาหารของนักศึกษา พบวา่ นักศึกษาหญิงมีความรู้เกีย่ วกบั การบริโภคอาหารสูงกวา่ นักศึกษาชายอย่างมี นยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความรู้และทัศนคติเกย่ี วกับการบริโภคของนักศึกษาแตกต่างกันอย่างมี นยั สาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ตามปัจจัยพ้ืนฐานที่ศึกษาทุกตัว ยกเว้น ปัจจัยรายได้ของนกั ศึกษา ส่วน พฤติกรรมการบริโภคอาหารแตกตา่ งกันอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติท่ี ระดบั 0.05 เฉพาะปัจจัยการศึกษาสูงสุด และอาชีพของผปู้ กครอง ชั้นปี คณะของนักศึกษา และ พฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษามี ความสัมพันธก์ ับทัศนคติทางบวกและมีนยั สาคัญทางสถิติท่รี ะดบั 0.05 (r = 0.655) ส่วนความรู้มีความสัมพันธ์ กับทัศนคติและพฤตกิ รรมในทางบวก (r = 0.278 และ 0.141 ตามลาดบั
22 บทท่ี 3 วธิ ดี าเนินงานวิจยั การวิจัยคร้ังนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ (Correlational Research) มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร มีวธิ กี ารดาเนินงานวจิ ยั ดังน้ี ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง ประชากร การศึกษาครั้งนี้ได้ทาการศึกษาในประชากร คือ นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปี การศึกษา 2563 ชนั้ ปที ี่ 1-4 จานวน ทงั้ สิ้น 499 คน กลมุ่ ตวั อย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 ชั้นปีท่ี 1-4 จานวน 246 คน โดยประกอบด้วย ชั้นปีที่ 1 จานวน 56 คน ชั้นปีที่ 2 จานวน 66 คน ช้ันปีที่ 3 จานวน 62 คน และ ชนั้ ปีท่ี 4 จานวน 62 คน คานวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสาเร็จของทาโร่ ยามาเน่ (Yamane, 1973 อ้างใน จักรกฤษณ์ สาราญใจ, 2544)
23 จากตารางนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มีจานวนประชากรทั้งหมด 499 คน คานวณกลุ่มตัวอย่างท่ีระดับความคลาดเคลื่อน ±5% ได้จานวน 223 คน และเพิ่มขนาดกลุ่มตัวอย่างที่อาจมี การสูญหาย 10% ไดก้ ลุ่มตัวอยา่ งทั้งส้ิน จานวน 246 คน ดังนี้ ชน้ั ปี จานวนประชากร จานวนกลุ่มตัวอยา่ ง การเพ่มิ ขนาดกลุม่ ตัวอยา่ ง (คน) (คน) เก็บเพมิ่ 10% (คน) 1 115 51 56 2 134 60 66 3 125 56 62 4 125 56 62
24 เกณฑก์ ารคัดเข้า (Inclusion Criteria) 1. กาลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 1-4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปีการศกึ ษา 2563 2. สามารถอา่ นและเข้าใจภาษาไทยได้เป็นอย่างดี 3. ยนิ ยอมเข้าร่วมวจิ ัยและเซ็นใบยินยอมเข้าร่วมวจิ ัยเกณฑ์การคัดออก (Exclusion Criteria) เกณฑก์ ารคดั ออก (Exclusion Criteria) 1. ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะเบ่ียงเบนทางสุขภาพท่ีรุนแรงทั้งด้านร่างกายและจิตใจท่ีไม่สามารถเข้าร่วมการ วจิ ัยได้ 2. มขี ้อจากดั อ่นื ๆ ท่ไี มส่ ามารถเข้ารว่ มการวจิ ยั ได้ เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวจิ ัย เครื่องมือท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลเพื่อการศึกษาครั้งนี้ ประกอบดว้ ย แบบสอบถาม (Questionnaires) 4 ตอน ดังน้ี ตอนท่ี 1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ จานวน 6 ข้อ ได้แก่ เพศ อายุ ชั้นปี แหล่งท่ีมาของอาหาร และการรับประทานอาหารมื้อเช้า ลักษณะแบบสอบถามเป็นแบบเลือกตอบและเติม ขอ้ ความ ตอนที่ 2 แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร ที่ปรับปรุงมาจากแบบประเมินความรู้เก่ียวกับการ บริโภคอาหารของ สิริกันย์ แก้วพรหม (2549) ลักษณะแบบสอบถามเป็นคาถามให้นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ เลอื กตอบเพยี งข้อเดยี ว ชนิดเลือกตอบ (Multiple choices) 4 ตัวเลือก มจี านวน 12 ขอ้ ค่า IOC = 0.97 มเี กณฑก์ ารให้คะแนน โดย ตอบถูกได้ 1 คะแนน ตอบผิดได้ 0 คะแนน การแปลความหมายของคะแนนความรู้เกยี่ วกับการบริโภคอาหาร ดงั น้ี คะแนน 8– 12 หมายถงึ มีความร้รู ะดับดี คะแนน 4 - 7 หมายถึง มคี วามรรู้ ะดับปานกลาง คะแนน 0 – 3 หมายถงึ มีความรรู้ ะดับควรปรับปรุง ตอนที่ 3 แบบสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร ของทัศนา ศิริโชติ (2555) มีค่าความเชื่อมั่นของ แบบสอบถามเท่ากับ 0.89ลักษณะแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ คือ เหน็ ด้วยอยา่ งย่ิง เหน็ ดว้ ย ไม่แนใ่ จ ไม่เหน็ ดว้ ย และ ไมเ่ ห็นด้วยอย่างย่ิง มีจานวน 20 ขอ้ ลักษณะข้อความท่ีเป็นทางบวก ไดแ้ ก่ ขอ้ 1 2 3 4 5 7 8 13 ลกั ษณะข้อความท่ีเป็นทางลบ ได้แก่ ขอ้ 6 9 10 11 12 14 15 16 17 18 19 20 24
25 ทศั นคติ ทัศนคติทางบวก ทัศนคติทางลบ เห็นด้วยอยา่ งย่ิง 51 เห็นด้วย 42 ไมแ่ น่ใจ 33 ไมเ่ ห็นดว้ ย 24 ไม่เหน็ ดว้ ยอย่างย่ิง 1 5 การแปล แบง่ เปน็ ระดบั ดังน้ี คะแนน 76-100 หมายถงึ มีทัศนคติในระดบั ดีมาก คะแนน 51-75 หมายถงึ มที ัศนคติในระดบั ดี คะแนน 26-50 หมายถึง มที ศั นคติในระดบั ปานกลาง คะแนน 1-25 หมายถงึ มที ัศนคติในระดับพอใช้ ตอนท่ี 4 แบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ที่ปรับปรุงมาจากแบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภค อาหารของ มัณฑนาวดี เมธาพัฒนะ (2560) ลักษณะแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี 4 ระดับ คือ ปฏิบัติเป็นประจา ปฏิบัติบ่อยคร้ัง ปฏิบัติบางครั้ง และไม่ปฏิบัติ มีจานวน 25 ข้อ มี คา่ IOC = 0.80 มีเกณฑก์ ารให้คะแนน ดงั น้ี ระดบั ปฏบิ ัติ ขอ้ คาถามที่มพี ฤติกรรมการบริโภคอาหาร ขอ้ คาถามที่มีพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหาร ทางบวก (คะแนน) ทางลบ (คะแนน) ปฏิบัติ 4 1 ประจา ปฏิบัติ 3 2 บอ่ ยคร้ัง ปฏบิ ัติ 2 3 บางคร้ัง 1 4 ไม่ปฏบิ ัติ
26 การแปลความหมายของคะแนนเฉล่ีย มดี งั น้ี คะแนน 76-100 หมายถึง พฤตกิ รรมการบริโภคอาหารอยู่ในระดับดมี าก คะแนน 51-75 หมายถงึ พฤติกรรมการบริโภคอาหารอยู่ในระดบั ดี คะแนน 26-50 หมายถงึ พฤติกรรมการบริโภคอาหารอยู่ในระดับปานกลาง คะแนน 1-25 หมายถงึ พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารอยู่ในระดับดมี าก การควบคุมคณุ ภาพเครอ่ื งมือ 1. ความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) เป็นการตรวจสอบความเท่ียงตรงด้านเน้ือหา ความรู้ และประสบการณ์ที่ต้องการสอบถามในแบบสอบถามที่สร้างขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลจากการวัดที่มีความ ครอบคลุม โดยมีผู้เช่ียวชาญท้ังหมด 3 ท่าน ประกอบด้วย ผศ.ดร.รัตนชฎาวรรณ อยู่นาค , ดร. อลงกรณ์ อักษรศรี และ อ. นิตยา ศรีบัวรมย์ เป็นผู้ตรวจสอบความครบถ้วนในเรื่องวัตถุประสงค์ เน้ือหา หรือข้อคาถาม ของแบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร และแบบสอบถาม พฤติกรรมการบริโภคอาหาร โดยคานวณค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคาถามแต่ละข้อกับ วัตถุประสงค์ (index of Item Objective Congruence: IOC) จากสูตร IOC = เมือ่ IOC แทน ดชั นคี วามสอดคล้องของข้อสอบกับวัตถปุ ระสงค์ ตวั แปรและสมมติฐานการวิจัย แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จานวนผู้เชี่ยวชาญ วธิ ีการให้คะแนน ให้ 1 ถา้ แน่ใจว่าขอ้ สอบน้ันวัดได้ตรงตามเน้อื หา/วัตถุประสงค์ ให้ 0 ถา้ ไม่แนใ่ จวา่ ข้อสอบน้ันวัดได้ตรงตามเน้อื หา/วัตถุประสงค์ ให้ -1 ถ้าแนใ่ จว่าข้อสอบน้ันวัดไม่ตรงตามเนอ้ื หา/วตั ถปุ ระสงค์ นาค่าท่ีคานวณได้ท้ังหมดมาแปลความหมาย ถ้าได้คะแนนเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 0.50-1.00 คะแนนสรุปได้ ว่าแบบสอบถามหรือเครื่องมือน้ันสามารถวัดได้ตรงกับวัตถุประสงค์ ถ้าได้คะแนนเฉล่ียต่ากว่า 0.5 ถือว่า แบบสอบถามข้อน้ันไม่มีความสอดคล้องกับเนื้อหาหรือวัตถุประสงค์ ในการศึกษาวิจัยคร้ังน้ี ได้ค่า IOC ของ ของแบบทดสอบความรู้เก่ียวกับการบริโภคอาหาร และแบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร เท่ากับ 0.97 และ 0.80 2. การหาความเชื่อม่ันของเคร่ืองมือ (Reliability) หลังผ่านการพิจารณาของผู้เช่ียวชาญทั้ง 3 ท่านแล้ว ผู้วิจัยนาแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบและแก้ไขเรียบร้อยแล้วไปหาความเช่ือม่ัน โดยนาไป ทดลองใช้ (try Out) กับนสิ ิตคณะพยาบาลช้ันปีที่ 1- 4 ท่ีมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับกลมุ่ ตัวอย่างจานวน
27 30 ราย และนาข้อมูลท่ีได้มาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อม่ัน (Reliability) โดยใช้วิธีของ ครอนบาค (Cronbach's alpha) สาหรับแบบสอบถามทัศนคติเก่ียวกับการบริโภคอาหาร และแบบสอบถาม พฤติกรรมการบริโภคอาหารในการคานวณหาค่าสถิติความเชื่อมั่นโดยใช้ข้อมูลท่ีได้จากข้อคาถาม ท้ังหมดพร้อมกันในคราวเดียวกัน จากน้ันจึงจะมาพิจารณาคงข้อคาถามบางข้อไว้หรือตัดออกตามผล ท่ีได้จากการทดสอบความเชื่อม่ัน สูตร 1- แทน สัมประสิทธิ์ความเช่ือมั่นของเครื่องมือ K แทน จานวนขอ้ คาถามที่ใชว้ ัด แทน ค่าความแปรปรวนรายข้อของคะแนน แทน คา่ ความแปรปรวนของคะแนนทกุ ขอ้ เกณฑป์ ระเมินความเที่ยงสัมประสิทธ์ิแอลฟาของครอนบาค ดังนี้ คา่ สัมประสทิ ธิ์แอลฟา (α) การแปลความหมายระดบั ความเทยี่ ง มากกว่า 0.9 ดมี าก มากกว่า 0.8 ดี มากกว่า 0.7 พอใช้ มากกว่า 0.6 คอ่ นขา้ งพอใช้ มากกว่า 0.5 ต่า น้อยกว่า หรือ เท่ากับ 0.5 ไม่สามารถรับได้ สาหรับแบบสอบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร วิเคราะห์หาค่าความเชื่อม่ัน (Reliability) โดยใช้วธิ ีของ KR 21 (Kuder-Richardson Formula 21) โดยใช้สตู ร ในการศึกษาวิจัยครั้งน้ีได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบความรู้เก่ียวกับการบริโภคอาหาร แบบสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร และแบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร เท่ากับ 0.3, 0.873, และ 0.867 ตามลาดบั
28 การเก็บรวบรวมข้อมลู ในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัยครั้งน้ีจะมีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยมีขั้นตอนการเก็บรวบ รวบข้อมูลดงั ต่อไปน้ี 1. คณะผู้วิจัยเสนอโครงการวิจัยต่อคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์มหาวิทยาลัยนเรศวรและได้รับ การอนมุ ตั ิดาเนินการวจิ ยั 2. หลังได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมในมนุษย์ คณะผู้วิจัยทาหนังสือขออนุญาตผู้บริหารของ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวรตามขั้นตอน 3. คณะผู้วจิ ัยติดต่อกบั เจา้ หนา้ ทแี่ ผนกระเบียนนักศึกษาเพ่ือขอทราบรายช่ือนสิ ิตช้ันปีท่ี 1-4 4. คณะผู้วิจัยเข้าพบนิสิตช้ันปีที่ 1-4 เพื่ออธิบายวัตถุประสงค์และประโยชน์ของการศึกษาวิจัยและขอความ รว่ มมอื ในการเขา้ รว่ มการวจิ ัยรวมทั้งอธบิ ายวธิ ีตอบแบบสอบถาม 5. ให้กลมุ่ ตวั อย่างลงช่ือในใบยินยอมเขา้ ร่วมวิจัยโดยกลุ่มตัวอย่างสามารถปฏิเสธได้หากไม่ประสงค์เขา้ ร่วมวิจัย หลังจากนั้นให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถาม สาหรับกลุ่มตัวอย่างที่อายุน้อยกว่า 20 ปี ผู้วิจัยมีหนังสือช้ีแจง (Information sheet) ให้ผู้ปกครองโดยชอบธรรม และต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองโดยชอบธรรม และกลมุ่ ตวั อยา่ งยินยอมเข้ารว่ มการวิจัย จงึ จะสามารถเข้าร่วมการวจิ ัยได้ 6. เม่ือกลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามเสร็จแล้วคณะผู้วิจัยเก็บแบบสอบถามคืนตรวจสอบความสมบูรณ์ความ ถกู ตอ้ งและครบถ้วนของแบบสอบถามแลว้ นาข้อมูลไปวิเคราะห์ขอ้ มูลทางสถิติ การพิทกั ษส์ ทิ ธิ์ของกลุ่มตัวอย่าง ขั้นตอนทุกอย่างของการทาวิจัยในครั้งน้ีปฏิบัติตามวิธีการของจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์อย่าง เคร่งครัดก่อนการเก็บข้อมูลโครงร่างวิจัยและแบบสอบถามทุกฉบับท่ีใชใ้ นงานวิจัยได้รับการพิจารณาและได้รับ การอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมของมหาวิทยาลัยนเรศวรพร้อมกันน้ีได้ส่งหนังสือเพ่ือขออนุญาตในการ เก็บข้อมูลข้อมูลทุกอย่างในแบบสอบถามใช้รหัสและตัวเลขแทนชื่อของผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยไม่มีการเปิดเผย ข้อมูลที่เป็นความลับไปสู่สาธารณะได้เมื่อผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยกรอกข้อมูลในแบบสอบถามครบถ้วนแล้วจะ ถูกส่งคืนมาในซองเอกสารท่ีปิดผลึกแน่นมีเพียงคณะผู้วิจัยเท่าน้ันท่ีเปิดได้เพ่ือป้องกันข้อมูลท่ีได้จะส่งผล กระทบต่อผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยข้อมูลต่าง ๆ จะถูกเก็บไว้เป็นความลับในตู้เอกสารที่มีการล็อคกุญแจและ คอมพิวเตอร์ที่มีการป้องกันด้วยการใส่รหัสการเสนอผลการวิจัยจะนาเสนอในภาพรวมเอกสารแบบสอบถาม ข้อมลู ต่าง ๆ จะถกู ทาลายหลังจากเกบ็ ขอ้ มลู ประมาณ 1 ปี
29 การวิเคราะห์ขอ้ มลู วเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยใชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รปู SPSS ประกอบดว้ ย 1. วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เพศ อายุ ชั้นปี และคะแนนความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภค อาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยใช้สถิติบรรยาย (Descriptive statistics) ได้แก่ รอ้ ยละ คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 2. ทดสอบการแจกแจงของข้อมูล คะแนน ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิต พยาบาลศาสตร์ โดยใช้สถิติ Kolmogorov-Smirnov 3. หากข้อมูลมีการแจกแจงแบบโค้งปกติ (Normal distribution) วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร โดยใช้สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Product Correlation Coefficient, r) การแปลความหมายค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ โดยไม่คานึงถึงเครื่องหมายค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ โดย ไม่คานึงถึงเคร่ืองหมาย(ประคอง กรรณสูต,2548) ค่า r ความสัมพนั ธ์ .70-.90 สูง .30-.69 ปานกลาง .00-.29 ต่า 4. หากข้อมูลดังกล่าวไม่มีการแจกแจงแบบโค้งปกติ วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร โดยใชส้ หสัมพันธข์ องสเปยี ร์แมน (Spearman Correlation)
30 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล การศึกษาวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม เก่ียวกับการบริโภคอาหารของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินข้อมูลส่วนบุคคล แบบทดสอบความรู้เก่ียวกับการ บริโภคอาหาร แบบสอบถาม ทัศนคติเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร และแบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภค อาหารของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยคร้ังนี้ คือ การวิเคราะห์ หาความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร ของนิสิต พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 ด้วยค่าสมั ประสิทธสิ์ หสมั พันธ์ เพียร์สัน (Pearson’s product moment correlation coefficient) ผู้วิจัยขอนาเสนอผลการวิจัยในรูป ตารางประกอบคาบรรยาย โดยแบ่งออกเป็น 3 สว่ น ดงั น้ี สว่ นท่ี 1 ขอ้ มลู สว่ นบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เพศ อายุ ชนั้ ปี แหล่งท่มี าของอาหาร และการรับประทาน อาหารมื้อเช้า สว่ นท่ี 2 ความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมเกยี่ วกับการบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปีการศึกษา 2563 สว่ นที่ 3 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งความรู้ ทัศนคติ และ พฤติกรรมเก่ยี วกบั การบรโิ ภคอาหารของนิสิต พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปกี ารศึกษา 2563 สัญลักษณท์ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู เพ่ือให้เกิดความเข้าใจตรงกันในการแปลความหมาย จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยได้ทาการ กาหนดสญั ลกั ษณ์ท่ีใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล ดังน้ี n หมายถงึ ขนาดของกลุ่มตัวอยา่ ง x̄ หมายถึง ค่าเฉลีย่ เลขคณิตของข้อมูลที่ได้จากกลุ่มตวั อยา่ ง S.D. หมายถงึ คา่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของกลุ่มตวั อย่าง P-value หมายถึง ระดบั นัยสาคญั (Significance) Sig หมายถงึ ระดับความมีนยั สาคญั ทางสถิติ * หมายถึง มนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั .05
31 สว่ นท่ี 1 ขอ้ มลู ส่วนบุคคล ของนิสติ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปกี ารศึกษา 2563 ตารางท่ี 1 จานวนและรอ้ ยละ ของกลุม่ ตัวอย่าง จาแนกตาม เพศ ระดับช้ันปี แหล่งที่มาของอาหาร และการรับประทานอาหารม้ือเช้า (N=210) ข้อมูลท่ัวไป จานวน (คน) ร้อยละ 1. เพศ 14 6.7 ชาย 196 93.3 หญิง 2. อายุ 45 21.4 อายุ 19 47 22.4 อายุ 20 64 30.5 อายุ 21 38 18.1 อายุ 22 16 7.6 อายุ 23 3. ชน้ั ปีการศึกษา 46 21.9 ชั้นปีท่ี 1 45 21.4 ช้ันปที ี่ 2 63 30.0 ชั้นปที ี่ 3 56 26.7 ช้ันปีที่ 4 4. แหล่งท่ีมาของอาหารท่ที ่านรบั ประทาน (ตอบได้มากกว่า 199 94.8 1 ข้อ) 59 28.1 - ร้านอาหาร 133 63.3 - ปรุงอาหารเอง 151 71.9 - Delivery (Grab food, Food panda) 44 21.0 - รา้ นสะดวกซื้อ เช่น 7-Eleven, Tops market, 159 75.7 Lotus, Big C 7 3.4 5. ทา่ นรับประทานอาหารมื้อเช้าทุกวนั ใช่ ไม่ใช่ ไมท่ าน จากตารางที่ 1 พบวา่ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 93.3) กลุม่ ตัวอย่างมีอายุ 21 ปี มากท่ีสุด คือร้อยละ 30.5 รองลงมามีอายุ 20 ปี คือร้อยละ 22.4 เกือบ 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอยา่ ง (ร้อยละ 30.0) กาลังศึกษาอยู่ในระดับช้ันปที ่ี 3 รองลงมากาลังศึกษาอยู่ในระดบั ชั้นปีท่ี 4 รอ้ ยละ 26.7 กลุ่มตัวอยา่ ง เกอื บท้ังหมด (ร้อยละ 94.8) มแี หล่งท่มี าของอาหารจากรา้ นอาหารมากที่สุด รองลงมา คือ Delivery (Grab
32 food, Food panda) ร้อยละ 63.3 กลมุ่ ตวั อย่างส่วนใหญ่ (ร้อยละ 75.7) ไมร่ ับประทานอาหารมื้อเช้าทุกวัน มเี พยี ง 1 ใน 5 ของกลมุ่ ตัวอย่าง (ร้อยละ 21.0) ที่รับประทานอาหารม้อื เชา้ ทุกวัน ส่วนที่ 2 ความรู้ ทัศนคติ และพฤตกิ รรมเกีย่ วกับการบรโิ ภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปีการศึกษา 2563 ตารางที่ 2 ความถแ่ี ละร้อยละของคะแนนความรู้เกีย่ วกบั การบริโภคอาหารแบ่งตามระดับคะแนนของกลุ่ม ตัวอย่าง (n=210) ระดบั ความรู้ ค่าเฉลี่ย S.D. แปลผล ดี ปานกลาง ปรับปรุง ความรู้ 181 28 1 8.94 1.49 ดี (86.2%) (13.3%) (0.5%) จากตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มตวั อยา่ งสว่ นใหญ่ (ร้อยละ 86.2) มคี ะแนนความรู้เก่ียวกับการ บริโภคอาหารอยู่ในระดบั ดี คือกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนอยู่ในชว่ ง 8-12 คะแนน ตารางที่ 3 ค่าเฉลีย่ ( x̅ ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ของคะแนนความรู้เก่ียวกับการบริโภคอาหารรายข้อ ของกลุ่มตวั อย่าง (n=210) คาถาม ( X ) S.D แปลผล 0.66 0.47 ดี 1.หลักในการเลือกรบั ประทานอาหารท่ีถูกต้องตามหลักโภชนาการคือ ขอ้ ใด 2.ไขมันจากพืชท่ีไม่ควรรบั ประทานคือข้อใด 0.83 0.38 ดมี าก 3.อาหารในขอ้ ใดมีคลอเลสเตอรอลสูงท่ีสุดในปริมาณอาหารที่เท่ากัน 0.55 0.49 ปานกลาง 4.อาหารในข้อใดให้โปรตีนมากที่สุดเมือ่ บริโภคในปริมาณท่ีเท่ากัน 0.67 0.47 ดี 5.ถา้ หากไม่ชอบรบั ประทานเน้ือสัตว์ควรเลือกรบั ประทานอาหาร 0.83 0.38 ดีมาก ชนิดใดแทน 6.เมอื่ เปิดอาหารกระป๋องแล้วพบวา่ มีฟองควรทาอย่างไร 0.96 0.20 ดีมาก 7.ควรเลือกรบั ประทานอาหารอยา่ งไรจึงจะมีสุขภาพดีอยู่เสมอ 0.97 0.19 ดีมาก
คาถาม ( X ) S.D 33 8.อาหารทถี่ ูกสขุ ลกั ษณะควรมลี ักษณะอย่างไร 1.00 0.00 9.การรับประทานขนมขบเค้ียวประเภทขนมกรุบกรอบเป็นประจา มีโอกาส 0.57 0.49 แปลผล เกิดโรคใดมากท่ีสุด ดมี าก 0.30 0.46 ปานกลาง 10.การรบั ประทานอาหารตามหลักโภชนาการ ควรรบั ประทานอาหารทีม่ ี สัดสว่ นของ คาร์โบไฮเดรต ไขมนั โปรตีน อย่างไร 0.87 0.33 พอใช้ 11.ผกั และผลไม้มีประโยชน์อยา่ งไรต่อร่างกาย 0.75 0.44 12.ไขมัน 1 กรมั ให้พลังงานก่ีกโิ ลแคลอรี ดมี าก ดี โดยรวม 8.94 1.49 ดมี าก จากตารางที่ 3 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนความรู้โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก ( =8.94) เม่ือ พิจารณารายข้อพบว่าข้อที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือ ข้อ 8 อาหารที่ถูกสุขลักษณะควรมีลักษณะ ปรุงสุกใหม่ๆ ( X =1.00) รองลงมาคือ ข้อ 7 ควรเลือกรับประทานอาหารที่สะอาดและปริมาณสะส่วนเหมาะสมจึงจะมีสุขภาพดี อยู่เสมอ( X = 0.97) และข้อ 6 เมื่อเปิดอาหารกระป๋องแล้วพบว่ามีฟองควรนาไปทิ้ง ( X = 0.96) ส่วนข้อท่ีมี คะแนนเฉล่ียต่าสุด คือ ข้อ 10 ควรรับประทานอาหารท่ีมีสัดส่วนของ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน คือ 45-30-15 ( X =0.30) ตารางที่ 4 ความถี่และร้อยละของคะแนนทัศนคติเก่ียวกับการบริโภคอาหารแบ่งตามระดับคะแนนของกลุม่ ตัวอย่าง (n=210) ระดบั ทศั นคติ คา่ เฉลย่ี S.D. แปลผล ดมี าก ดี ปานกลาง พอใช้ ทัศนคติ 130 78 2 0 78.0 11.22 ดมี าก (61.9%) (37.1%) (1.0%) (0.0%) จากตารางท่ี 4 จะเห็นไดว้ า่ กลุ่มตัวอย่างมากกวา่ ครึ่งหน่ึง (ร้อยละ 61.9) มีคะแนนทัศนคติอยู่ใน ระดับดีมาก คอื มีคะแนนอยู่ในชว่ ง 76-100 คะแนน มากกวา่ 1 ใน 3 ของกลมุ่ ตัวอย่าง (ร้อยละ 37.1) มี คะแนนทัศนคติระดบั ความรู้อยู่ ในระดบั ดี คือมีคะแนนอยู่ในช่วง 51-75 คะแนน
34 ตารางที่ 5 ค่าเฉลีย่ ( X ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D) ทัศนคติเกี่ยวกับการบริโภคอาหารรายขอ้ ของกลุ่ม ตัวอย่าง (n=210) คาถาม ( X ) S.D แปลผล 1.อาหารทมี่ ีสารอาหารครบถ้วนไมจ่ าเป็นตอ้ งมีราคาแพง 4.47 0.79 ดีมาก 2.การกินไขมันจากสัตว์จะทาให้ระดบั คอเลสเตอรอลสูง 4.02 0.84 ดี 3.การหาความรู้เกี่ยวกับอาหาร โภชนาการ และสุขภาพ 4.51 0.55 เป็นเร่ืองจาเป็น ดมี าก 4.การกินอาหารจากธรรมชาติมีประโยชน์มากกว่ากิน อาหารเสริมสาเรจ็ รูป 4.55 0.68 ดีมาก 5.การเลือกซ้ืออาหารควรพจิ ารณาคุณค่าทางโภชนาการมากกว่ารสชาติ และความถูกใจ 4.37 0.68 ดมี าก 6.การกินอาหารใหอ้ ่ิมทุกมื้อจะไม่เป็นโรคขาดสารอาหาร 7.การกินข้าวซ้อมมือมีประโยชน์มากกวา่ ขา้ วขัดสี 2.66 1.25 ปานกลาง 8.การกินอาหารทีม่ ีรสเค็มจัด หรือหวานจัดกอ่ ให้เกิดโทษต่อรา่ งกาย 9.ตับหมูที่ไมส่ ุกจะมีรสชาติอร่อยกวา่ ตบั ที่ลวกจนสุก 4.36 0.68 ดมี าก 10.วัยรุ่นท่ีอยู่ในชว่ งกาลังเจริญเตบิ โตควรกินอาหารในปริมาณมากและ บอ่ ยม้ือ 4.70 0.49 ดมี าก 11.วัยรุ่นชายควรกินอาหารท่ีมีไขมันสูงเพ่ือเพิม่ กล้ามเนอ้ื 12.วยั รุ่นท่ีกลวั อว้ นควรงดอาหารมื้อเช้า 3.48 1.35 ดี 13.วัยรุ่นควรกินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจา 14.วัยรุ่นหญิงควรกินอาหารให้น้อยลงเพื่อรักษารูปร่าง 3.08 1.25 ปานกลาง 15.วยั รุ่นควรอดอาหารจาพวก นม ไข่ เพราะจะทาใหอ้ ว้ น 16.ผลไมท้ ุกชนิดมปี ระโยชน์ต่อรา่ งกายกินได้ไมจ่ ากัด 3.51 1.31 ดี 17.อาหารจะอร่อยถา้ ใส่ผงชูรส 18.การด่มื นา้ อัดลมชว่ ยดบั กระหายได้เป็นอยา่ งดี 4.23 1.19 ดีมาก 19.นมเป็นอาหารท่ีเหมาะกบั วัยเด็กเท่าน้ัน 20.คนทกี่ ินอาหารฟาสตฟ์ ูดเปน็ คนทท่ี ันสมัย 3.98 0.99 ดี โดยรวม 3.90 1.23 ดี 4.02 1.27 ดี 2.86 1.24 ปานกลาง 3.47 1.31 ดี 3.63 1.19 ดี 4.18 1.19 ดี 4.03 1.28 ดี 78.00 23.62 ดมี าก จากตารางที่ 5 พบว่า กล่มุ ตวั อย่างมีคะแนนทัศนคติโดยรวมอยู่ในระดบั ดมี าก ( =78.00) เมื่อพิจารณา รายข้อพบว่าข้อทีม่ ีคะแนนเฉล่ียสูงสุด คือ ข้อ 7 การกินอาหารท่ีมีรสเค็มจัด หรือหวานจัดก่อให้เกิดโทษต่อ รา่ งกาย ( X =4.70) รองลงมา คือ ข้อ 4 การกินอาหารจากธรรมชาตมิ ีประโยชน์มากกว่ากินอาหารเสรมิ สาเร็จรปู ( X = 4.55) และ ข้อ 3 การหาความรู้เก่ียวกบั อาหาร โภชนาการและสขุ ภาพเป็นเร่ืองจาเป็น ( X = 4.51) สว่ นข้อที่มีคะแนนเฉล่ียตา่ สุด คือ ข้อ 6 การกินอาหารให้อิม่ ทุกมื้อจะไม่เป็นโรคขาดสารอาหาร ( X =2.66)
35 ตารางท่ี 6 ความถแ่ี ละและร้อยละของคะแนนพฤตกิ รรมเกย่ี วกบั การบริโภคอาหารแบ่งตามระดบั คะแนนของ กลุ่มตวั อย่าง (n=210) ระดบั พฤติกรรรม ค่าเฉลี่ย S.D. แปลผล ดมี าก ดี ปานกลาง พอใช้ พฤติกรรม 55 154 1 0 70.29 8.18 ดี (26.2%) (73.3%) (0.5%) (0.0%) จากตารางท่ี 6 จะเห็นได้ว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ (ร้อยละ73.3%) มีคะแนนพฤติกรรมการบริโภค อาหารอยู่ในระดับดีมาก คือ มีคะแนนอยู่ในช่วง 76-100 คะแนน และมากกว่า 1 ใน 4 ของกลุ่มตัวอย่าง (ร้อยละ 26.2%) มีระดับคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารอยู่ในระดับดี คือ มีคะแนนอยู่ในช่วง 51-75 คะแนน ตารางที่ 7 ค่าเฉลีย่ ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ของคะแนนพฤติกรรมเกย่ี วกบั การบริโภคอาหารราย ขอ้ ของกลุ่มตัวอยา่ ง (n=210) คาถาม (X ) S.D แปลผล 3.31 1.ทา่ นล้างมอื ทกุ ครั้งก่อนรบั ประทานอาหาร 3.17 0.68 ดีมาก 2.ทา่ นใช้ช้อนกลางเมือ่ รบั ประทานอาหารร่วมกับผู้อ่ืนทุกครั้ง 2.43 0.77 ดีมาก 3.ทา่ นรบั ประทานอาหารตรงตามเวลาทกุ ม้ือ 2.74 0.87 ดี 4.ท่านรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ อย่างนอ้ ย 1 มื้อต่อวัน 2.90 0.89 ดี 5.ท่านรบั ประทานผัก/ผลไม้ อยา่ งน้อย 1 มอ้ื ต่อวัน 3.47 0.83 ดี 6.ทา่ นลา้ งผักและผลไม้ด้วยน้าสะอาดกอ่ นรบั ประทานทกุ ครั้ง 2.49 0.75 ดีมาก 7.ท่านด่ืมนมทุกวัน 3.01 0.89 ดี 8.ทา่ นดื่มนา้ อยา่ งน้อยวนั ละ 8 แก้ว 3.41 0.83 ดมี าก 9.ทา่ นเลือกซื้ออาหารที่ปรุงสุกใหม่ สด สะอาด 3.55 0.63 ดมี าก 10.ทา่ นเลือกรับประทานท่ีใส่ภาชนะท่ีสะอาดและปลอดภัย 3.52 0.60 ดีมาก 11.เมื่อซ้ืออาหารสาเร็จรปู ทา่ นดูวันหมดอายุที่ฉลาก/สารวจ บรรจุภัณฑ์ 2.84 0.62 ดีมาก 12.ทา่ นรับประทานอาหารสาเร็จรูป เช่น อาหารกระป๋อง อย่างน้อย 1 ม้ือต่อวัน 2.61 0.96 ดี 13.ท่านรับประทานบะหมก่ี ึ่งสาเรจ็ รูป 2.68 0.82 ดี 14.ท่านรบั ประทานอาหารแช่แข็ง 2.47 0.83 ดี 15.ทา่ นรับประทานขนมกรบุ กรอบ 2.29 0.86 ดี 16.ท่านรบั ประทานอาหารทมี่ ีสว่ นประกอบของโซเดียมหรือโมโนโซเดียมกลูตา 0.75 ดี เมตจาพวกอาหารแปรรปู เช่น ไส้กรอก ฮอทดอก เบคอน แฮม 2.97 17.ทา่ นซอื้ อาหารท่ีมีสผี สมอาหารนา่ รบั ประทาน เช่น ลูกชุบ ผลไม้แช่บว๊ ย 2.27 0.88 ดี 18.ท่านรบั ประทานอาหารประเภท ป้ิง ยา่ ง รมควัน 0.73 ดี
36 คาถาม ( X ) S.D แปลผล 19.ทา่ นรบั ประทานอาหารจาพวกหมักดอง เช่น ผลไม้ดอง 3.04 0.87 ดมี าก 20.ท่านรบั ประทานอาหารสุก ๆ ดบิ ๆ 3.30 0.95 ดมี าก 21.ท่านรบั ประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น แกงกะทิต่าง ๆ เช่น แกงเขยี วหวาน 2.52 0.76 ดี พะแนง บวั ลอย กล้วยบวชชี 22.ทา่ นรับประทานอาหารวา่ งประเภท เค้ก เบเกอร์รี่ ไอศกรีม ขนมหวาน 2.33 0.73 ดี 23.ทา่ นรบั ประทานอาหารหลังเวลา 20.00 น. 2.27 0.81 ดี 24.ท่านด่มื เครื่องดื่มที่มีน้าตาล เช่นนา้ ผลไม้สาเรจ็ รูป นา้ อัดลม ชาไขม่ ุก 2.16 0.80 ดี 25.ทา่ นดื่มเครื่องด่ืมที่มีคาเฟอีน และ/หรือเครื่องดื่มชูกาลัง เช่น กาแฟ 2.55 0.96 ดี M-150 โดยรวม 70.29 20.07 ดี จากตารางท่ี 7 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนพฤติกรรมโดยรวมอยู่ในระดับดี ( =70.29) เมื่อพจิ ารณาราย ขอ้ ที่มีคะแนนเฉลย่ี มากท่ีสุด คือ ข้อ 10 ท่านเลือกรบั ประทานท่ีใส่ภาชนะท่ีสะอาดและปลอดภยั ( X =3.55) รองลงมา คือ ข้อ 11 เม่ือซื้ออาหารสาเรจ็ รปู ทา่ นดูวันหมดอายุท่ฉี ลาก/สารวจ บรรจุภัณฑ์ ( X =3.52) ส่วน ขอ้ ที่มีคะแนนเฉลยี่ ต่าสุดคือ ข้อ 24 ทา่ นด่ืมเครื่องด่ืมท่ีมีน้าตาล เช่น น้าผลไม้สาเรจ็ รปู นา้ อัดลม ชาไข่มุก ( X = 2.16) สว่ นที่ 3 ความสัมพันธร์ ะหว่างความรู้ ทัศนคติ และ พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปีการศึกษา 2563 ตารางท่ี 8 แสดงความสัมพันธ์ระหวา่ งความรู้ ทัศนคติ และ พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของกลุ่มตัวอย่าง จากการวิเคราะห์ข้อมูลดว้ ยสถิติสัมประสทิ ธิ์สหสมั พันธเ์ พยี ร์สัน (Pearson’s product moment correlation coefficient) ตัวแปร ความรู้ ทัศนคติ พฤตกิ รรม p-value 1.00 ความรู้เกี่ยวกบั การบริโภคอาหาร 0.301 0.277 .000* ทัศนคติเกีย่ วกับการบรโิ ภคอาหารพฤติกรรมเกี่ยวกบั 1.00 0.307 .000* การบรโิ ภคอาหาร 1.00 .000* * p-value < .01 จากตารางที่ 8 พบวา่ 1.ความรู้ และพฤตกิ รรมการบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปี การศกึ ษา 2563 มคี วามสัมพันธ์กันในทางบวก ( r =0.277) อย่างนยั สาคัญทางสถิติที่ระดบั 0.01 2.ทัศนคติ และพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปี การศึกษา 2563 มีความสัมพันธก์ ันในทางบวก ( r =0.307) อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 3. ความรู้ และทัศนคติของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปีการศึกษา 2563 มี ความสัมพันธก์ ันในทางบวก ( Pearson’s=0.301) อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01
37 บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ การวิจัยน้ีเป็นการวิจัยเชิงหาความสัมพันธ์ ( Correlational research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา ความสัมพันธ์ระหวา่ ง ความรู้ ทศั นคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร ปีการศกึ ษา 2563 สรปุ ขัน้ ตอนการ ดาเนนิ การวจิ ัยได้ดังนี้ 1. คาถามวจิ ัย ความรู้ ทัศนคติ และพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร มีสัมพันธก์ ันหรือไม่ อยา่ งไร 2. วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษา เพ่ือศึกษาความสมั พันธ์ระหว่าง ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิต พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปกี ารศึกษา 2563 3. สมมตฐิ าน 3. ความรู้ และทัศนคติเกยี่ วกับการบริโภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปกี ารศึกษา 2563 มคี วามสัมพันธก์ ันทางบวก 3.2 ความรู้ และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปกี ารศกึ ษา 2563 มคี วามสัมพันธ์กันทางบวก 3.3 ทัศนคติ และพฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปีการศึกษา 2563 มคี วามสัมพันธ์กันทางบวก 3. วธิ ดี าเนินการวิจยั 3.1 ประชากร คือ นิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จานวน 499 คน กาหนดกลุ่มตัวอย่าง คือ 246 คน และเทียบสัดส่วนออกมาตามจานวนนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ทั้ง 4 ชั้นปีและ ทาการสุม่ ตวั อยา่ งแบบง่าย (Sample Random Sampling) 3.2 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการศึกษาคร้ังน้ี ประกอบด้วย แบบสอบถาม (Questionnaires) 4 ตอน ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบทดสอบความรู้เก่ียวกับการบริโภค อาหาร ท่ีปรับปรุงมาจากแบบประเมินความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหารของ สิริกันย์ แก้วพรหม (2549) แบบสอบถามทัศนคติเก่ียวกับการบริโภคอาหาร ของทัศนา ศิริโชติ (2555) และแบบสอบถามพฤติกรรมการ บริโภคอาหาร ที่ปรับปรุงมาจากแบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหารของ มัณฑนาวดี เมธาพัฒนะ (2560) จากการทดลองใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน ได้ค่าความเชื่อม่ันของแบบทดสอบ ความรู้เก่ียวกับการบริโภคอาหาร แบบสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร และแบบสอบถาม พฤติกรรมการบริโภคอาหาร เทา่ กบั 0.3, 0.873, และ 0.867 ตามลาดับ
38 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยผู้วิจัยติดต่อประสานงานขออนุญาตจากคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ เพ่ือขออนุญาตทาการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ ใช้เวลาในการเก็บรวบรวม ข้อมูลระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2564 ในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างส่งแบบสอบถาม กลบั จานวน 210 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 85.37 3.4 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยคร้ังน้ี คือ ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เพศ อายุ ชั้นปี แหล่งท่ีมาของอาหารและการรับประทานอาหารมื้อเช้า โดยวิเคราะห์ ข้อมูลด้วยค่าสถิติเชิง พรรณนา ได้แก่ ร้อยละ (Percentage) และ ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารโดยวิเคราะห์ ข้อมูลด้วยค่าสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถ่ี (average) ร้อยละ (Percentage) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) ทดสอบการแจกแจงของข้อมูล คะแนนความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภค อาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ โดยใช้สถิติ Kolmogorov-Smirnov พบว่าการแจกแจงของข้อมูลคะแนน ความรู้และทัศนคติการบริโภคอาหาร เป็นโค้งปกติ ส่วนคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารมีการแจกแจง ข้อมูลไม่เป็นโค้งปกติ และวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการบริโภคอาหารใน นิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของ เพียรส์ นั (Pearson’s product moment correlation coefficient) 4.สรุปผลการวิจัย 4.1 กลุ่มตัวอย่างนิสติ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 ส่วนใหญ่เปน็ เพศหญิง ร้อยละ 93.3 กลุ่มตัวอย่างมีอายุ 21 ปี มากท่ีสุด คือร้อยละ 30.5 รองลงมามีช่วงอายุ 20 ปีคือร้อยละ 22.4 เกือบ 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่าง (ร้อยละ 30.0) กาลังศึกษาอยู่ในระดับช้ันปีท่ี 3 มากท่ีสุด รองลงมาอยู่ใน ระดับชั้นปีท่ี 4 ร้อยละ 26.7 กลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 94.8) มีแหล่งที่มาของอาหารจากร้านอาหาร มากที่สุด รองลงมา คือ Delivery (Grab food, Food panda) ร้อยละ 63.3 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ (รอ้ ยละ 75.7) ไม่รับประทานอาหารมื้อเช้าทุกวัน มีเพียง 1 ใน 5 ของกลุ่มตัวอย่าง (ร้อยละ 21.0) ที่รับประทาน อาหารม้ือเช้าทกุ วัน 4.2 กลุ่มตัวอย่างนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 มีคะแนนเฉล่ียความรู้ โดยรวมอย่ใู นระดับดี ( X = 8.94) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ (86.2%) มีคะแนนความรู้อยู่ในระดับดีกลุ่มตัวอย่าง มีคะแนนเฉลี่ยทัศนคติโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก ( X =78.0) กลุ่มตัวอย่างมากกว่าคร่ึงหนึ่ง (61.9%) มี คะแนนทัศติอยู่ในระดับดี เม่ือพิจารณารายข้อพบว่าข้อที่มีคะแนนเฉล่ียสูงสุด คือ ข้อ 7 การกินอาหารท่ีมีรส เค็มจัด หรือหวานจัดก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย ( X =4.70)กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมเก่ียวกับการ บรโิ ภคอาหารอยู่ในระดับดี ( X = 70.29) โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ (73.3%) มคี ะแนนพฤติกรรมอยู่ในระดบั ดี (คะแนน 51-75) เมือ่ พิจารณารายขอ้ ท่ี มีคะแนนเฉลีย่ มากที่สุด คือข้อ 8 ทา่ นเลอื กรบั ประทานท่ีใส่ภาชนะท่ีสะอาดและปลอดภยั ( X =3.55) รองลงมา คือ ข้อ 11 เม่ือซื้ออาหารสาเร็จรปู ท่านดวู ันหมดอายทุ ่ีฉลาก/สารวจ บรรจภุ ัณฑ์ ( X =3.52) ส่วน ขอ้ ท่ีมีคะแนนเฉลี่ยตา่ สุดคือ ข้อ 24 ท่านดื่มเครื่องด่ืมท่ีมีน้าตาล เช่นน้าผลไม้สาเรจ็ รูป นา้ อัดลม ชาไขม่ ุก ( X = 2.16)
39 4.3 ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 มีความสัมพันธ์กันในทางบวก (r = .301, .277, และ .307 ตามลาดับ) โดยมี ความสัมพันธ์กันในระดับปานกลางและต่า อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 นั้นหมายความว่า นิสิต พยาบาลศาสตร์ ทีม่ คี วามรูด้ ี จะมที ัศนคติ และพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารท่ีดีด้วย 4.4 อภิปรายผล ตามสมมติฐานการวิจยั ดังนี้ สมมติฐานที่ 1 ความรู้ และทัศนคติ ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 มีความสมั พันธก์ ันทางบวก ผลการวิจัยพบว่าความรู้และทัศนคติเก่ียวกับการบริโภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับปานกลาง (r. = .301) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ ทัศนา ศิริโชติ (2555) ท่ีพบว่า ความรู้และ ทัศนคติ การบริโภคอาหารของ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกหรือในทิศทางเดียวกัน การศึกษาของอนุกูล พลศิริ (2551) ความรู้และทัศนคติการบริโภคอาหารของนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคาแหง มีความสัมพันธก์ ัน ในทางบวก และการศึกษาของ ณัฐธยาน ชาบัวคา (2562) ท่ีพบว่าความรูทางโภชนาการและทัศนคติตออา หาร ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์บัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค มีความสัมพันธ กนั ในทางบวก สมมติฐานท่ี 2 ความรู้ และพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปกี ารศึกษา 2563 มคี วามสัมพันธก์ ันทางบวก ผลการวจิ ยั พบว่าความรู้และพฤติกรรมเกย่ี วกบั การบริโภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปีการศึกษา 2563 มีความสัมพันธก์ ันทางบวกในระดับปานกลาง (r. = .277) อยา่ งมี นยั สาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 หมายความว่าเม่ือนิสิตพยาบาลมีระดับความรู้ทางโภชนาการสูงจะมีพฤติกรรม การบรโิ ภคอาหารท่ีเหมาะสมและสามารถนาความรู้มาประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจาวันได้เป็นอยา่ งดี ซึ่งสอดคล้อง กับการศึกษาของสอดคล้องกับงานวิจัยของ มัณทนาวดี เมธาพัฒนะ (2560) ท่พี บว่าความรู้ทางโภชนาการ และพฤตกิ รรมการบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาล มีความสัมพันธก์ ัน การศึกษาสวุ รรณา เชียงขุนทด (2556) ท่ีพบวา่ ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชาชนอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติ คือ ความรู้เกย่ี วกับการบรโิ ภคอาหาร การศึกษาของ ชลิดา เลื่อมใสสุข, วชั รี พืชผล (2561) ที่พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างระดบั ความรูท้ างโภชนาการกบั พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารเพือ่ สุขภาพโดยรวมของ นกั ศึกษามหาวทิ ยาลัยราชภฏั สุราษฎร์ธานี มีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับค่อนข้างต่า และการศึกษาของ เอกพล บญุ ช่วยชู (2559) พบว่าความรู้มีความสมั พันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารไทยอยา่ งมี นยั สาคัญทางสถิติ สมมติฐานท่ี 3 ทัศนคติและพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย นเรศวร ปีการศึกษา 2563 มีความสัมพันธก์ ันทางบวก ผลการวจิ ยั พบว่าทัศนคติและพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ของนิสิตพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัย นเรศวร ปกี ารศึกษา 2563 มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับปานกลาง (r. = .307) อยา่ งมีนยั สาคัญทาง
40 สถิติที่ระดบั .01 ซ่ึงสอดคล้องกับทัศนา ศิรโิ ชต (2555) ศึกษาความรู้และ ทัศนคติ การบริโภคอาหารของ นกั ศึกษามหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา มีความสมั พันธ์กันเชิงบวกหรือในทิศทางเดียวกัน และการศึกษาของ อนกุ ูล พลศิริ (2551) ที่พบว่าความรู้และพฤติกรรมเก่ยี วกับการบรโิ ภคอาหารของนักศึกษามีความสัมพันธก์ ัน ในทางบวก โดยผลการศึกษาวิจัยในครั้งนี้สนับสนุนโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม (knowledge, attitude, and practice model) ของ ชวาท (Schwartz, 1976 อ้างใน Brano, 2013) ซึ่ง อธิบายความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ตัวแปร และ Roger (1978 อ้างใน ศิริวรรณ ว่องวีรวุฒิ, 2553, หน้า 55) ได้ อธิบายว่า เม่ือผู้รับสารได้รับสารก็จะทาให้เกิดความรู้ เมื่อเกิดความรู้ขึ้น ก็จะทาให้เกิดทัศนคติ และข้ันตอน สดุ ท้ายคือการก่อให้เกิดการกระทานั้น หมายความว่า เมื่อบุคคลมีความรู้ มีเจตคติอย่างไรก็จะแสดงพฤติกรรม ออกมาตามน้ัน 5. ขอ้ เสนอแนะ 5.1 ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวจิ ัยไปใช้ 5.1.2 ดา้ นการบริหาร คณะพยาบาลศาสตร์ อาจจัดทากิจกรรมเสริมหลักสูตรรเพ่ือให้ความรู้เกยี่ วกับการ บริโภคอาหาร ปรบั ทัศนคติ และส่งเสริมพฤตกิ รรมด้านการบริโภคของนิสิตพยาบาลศาสตร์ 5.1.2 ด้านการจัดการเรียนการสอน อาจจัดทาหลกั สูตรเพอ่ื ส่งเสริมความรู้เกี่ยวกบั การบริโภคอาหาร สาหรบั นิสิตพยาบาล อันจะนาไปสูก่ ารมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารท่ีดี 5.2 ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจยั ครงั้ ต่อไป 5.2.1 ควรมีการศึกษาเพ่ือติดตามความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนิสิตพยาบาล ศาสตร์ ชั้นปี 1-4 ในแต่ละช่วงเวลาของการศึกษา เช่น ขณะเรยี นภาคทฤษฎแี ละภาคปฏิบตั ิ 5.2.2 ควรมีการศึกษาปจั จยั ตา่ งๆ ที่ส่งผลต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมบริโภคอาหารของนิสิต พยาบาลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ 5.2.3 ควรมีการศึกษาและเปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมบริโภคอาหารของนิสิตคณะต่างๆ
41 บรรณานกุ รม กมลภพ ทิพยป์ าละ. 2555. รายงานการวจิ ยั กระบวนการตัดสินใจของผบู้ รโิ ภคในอาเภอเมืองเชียงใหมใ่ นการ ซ้ือกล้องสะทอ้ น ภาพเลนส์เดีย่ วระบบดิจทิ ัล. สาขาการตลาด บรหิ ารธุรกจิ มหาบัณฑิต. มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่. กรกนก ลัธธนันท์, จันทร์เพญ็ นิลวชั รมณี. (2562). ความรอบรู้ด้านสขุ ภาพของนกั ศึกษาพยาบาลวิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี, 35(1), 277-89. กวินดา วิเศษแกว้ และเบญจา มกุ ตพันธุ์. (2562). ความสัมพันธร์ ะหวา่ งความรอบรดู้ า้ นโภชนาการกับการ บรโิ ภคขนมและเคร่ืองด่ืมรสหวานของนกั ศึกษาระดบั ปริญญาตรีกลุ่มวิทยาศาสตร์สขุ ภา มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น (วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาโภชนศาสตร์เพ่ือสขุ ภาพ คณะสาธารณสุขศาสตร)์ . มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, ขอนแก่น. จิราภรณ์ เรืองย่ิง และสจุ ิตรา จรจิตร. (2559). พฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่นในจงั หวัดสงขลา: การ สังเคราะห์องค์ความรแู้ ละปจั จัยท่มี ีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหาร. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตหาดใหญ่, 8(1), 246. ชลิดา เลื่อมใสสุข, วชั รี พชื ผล. (2561). ความร้ทู างโภชนาการและพฤตกิ รรมการบริโภคอาหารเพอ่ื สุขภาพ ของนักศึกษามหาวิทยาลยั ราชภฏั สุราษฎร์ธานี. วารสารปัญญาภวิ ัฒน์, 10(1), 73-83. ชุดา จิตพิทักษ.์ พฤติกรรมศาสตร์เบื้องต้น (ครั้งท่ีพมิ พ์ 2).กรุงเทพฯ: สารมวลชน, 2525 ณัฐธยาน์ ชาบวั คา. (2562). ความรู้ทางโภชนาการ ทัศนคติต่ออาหาร พฤติกรรมการรับประทานอาหาร และ ภาวะโภชนาการของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์บัณฑิต วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิ ประสงค์. ราชาวดีสาร วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรุ ินทร์, 9(1), 18. ดวงใจ หทัยวิวัฒนก์ ุล. (2554). พฤติกรรมการซื้ออาหารสาเร็จรูปของผู้บรโิ ภคในจังหวัดสุราษฎร์ธานี, 169-171. ทัศนา ศิริโชต. (2555). รายงานการวจิ ยั ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา. สงขลา: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสงขลา. ธนญั ญา ธีระอกนิษฐ์. (2555). พฤติกรรมมนษุ ย์เพ่ือการพัฒนาตน.อุดรธานี: สานักวชิ าศึกษาทัว่ ไป มหาวิทยาลยั ราชภัฏอุดรธานี ธีรวีร์ วราธรไพบลู ย์. (2557).พฤติกรรมการบริโภค: อาหารนยิ มบริโภคกับอาหารเพื่อสุขภาพ. วารสารปญั ญา ภิวัฒน,์ 5 (2), 255-264.
42 นพวรรณ เปียซื่อ, ดษุ ณี ทัศนาจนั ทธานี, สุมาลี กิตตภิ ูมิ และพรรณวดีพุธวัฒนะ .(2552). รายงานการวจิ ยั ความร้ทู างโภชนาการทัศนคติเกย่ี วกับอาหารพฤตกิ รรมการรบั ประทานอาหารและภาวะโภชนาการ ของนักศึกษาพยาบาล. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยมหิดล. นา้ ทิพย์ ชื่นนอ้ ย และสุนันทา ศรีศิริ. (2559). รายงานการวิจยั ปัจจัยทานายพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของ นิสิตปริญญาตรีชั้นปีที1่ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ปรญิ ญา ผกานนท์ และนิตยา ไสยสมบัติ. (2560). รายงานการวิจัยพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของ นกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชธานี. อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยราชธานี. พเยาว์ พงษ์ศักด์ิชาติ, ประไพจิตร์ โสมภรี ์, อาทิตยา แกว้ น้อย, กนกกาญจน์ เมฆอนันตธ์ วัช. (2562). ความ รอบรู้ทางสขุ ภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพตามภูมิปัญญาท้องถนิ่ ของนักศึกษาพยาบาล วทิ ยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี นพรัตน์วชิระ. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 28(1), 20-32. พัชราภัณฑ์ ไชยสังข์, ปัญจภรณ์ ยะเกษม และนุชจรีรัตน์ ชูทองรัตน์. (2557). ปัจจยั ทาานายพฤติกรรมการ บริโภคอาหารของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6. วารสารวทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสมี า, 20(1), 30-43. สืบค้นจาก https://he02.tci- thaijo.org/index.php/Jolbcnm/article/view/25025 มโนลีศรี เปารยะเพ็ญพงษ์. (2559).พฤตกิ รรมการบริโภคอาหารของกลุ่มนกั เรียนและนกั ศึกษาในจังหวัดสุ ราษฎร์ธานี, วารสารวิทยาการจัดการ, 3 (1), 109-116 มัณฑินา จา่ ภา. (2557). รายงานการวจิ ยั ความรทู้ างโภชนาการ ทัศนคติตอ่ อาหาร พฤติกรรมการรบั ประทาน อาหาร และภาวะโภชนาการของนักเรียนพยาบาลทหารอากาศ. กรุงเทพฯ: วิทยาลัยพยาบาลทหาร อากาศ. มัณทนาวดี เมธาพัฒนะ. (2560). ปจั จัยทีม่ คี วามสัมพันธก์ ับพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของนักศึกษา พยาบาล (วทิ ยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). ชลบุร:ี มหาวทิ ยาลัยบูรพา. รุสนี มะตาเยะ. (2550). พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของชาวมสุ ลมิ ในชนบท: กรณีศึกษาพ้นื ทีใ่ นความ รบั ผิดชอบของศูนยส์ ขุ ภาพชุมชนบา้ นแหร ตาบลบ้านแหร อาเภอธารโต จงั หวัดยะลา. (ปริญญาวทิ ยาศาสตร์บัณฑิต สาธารณสุขชมุ ชน). วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร, ยะลา. วนิดา แก้วชอุ่ม และนรินทร์ สังข์รักษา. (2553). พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารขยะของนักศึกษาระดับ ปรญิ ญา ตรีในจังหวัดนครปฐม. วารสารศลิ ปากรศึกษาศาสตร์วิจยั , 1(2), 114-125. สืบค้นจาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/7277 วชั ราพร เชยสุวรรณ, อมลวรรณ ตันแสนทวี. (2561). ปจั จัยคัดสรรทีส่ ัมพันธก์ ับความรอบรู้ด้านสขุ ภาพของ นักเรียนพยาบาลศาสตร์วทิ ยาลัย พยาบาลกองทัพเรอื . วารสารแพทยน์ าวี, 45(1), 250-66.
Search