Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร

ความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร

Published by Reading Room, 2021-04-26 08:07:38

Description: ความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร

Search

Read the Text Version

ช่อื โครงการวจิ ยั ความพึงพอใจต่อการใชส้ อื่ การเรียนรู้ (E-learning) ใน การเรียนการสอนของนสิ ิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต ชื่อคณะผูว้ จิ ัย มหาวทิ ยาลัยนเรศวร (Satisfaction of Using the E- learning for teaching and learning among ปรญิ ญา Students in Nursing Course, Naresuan University) สาขาวชิ า ท่ปี รกึ ษาโครงการ 1. พฒั นพงศ์ ไพศาลธรรม รหสั นสิ ติ 60560764 คาสาคญั 2. พัชราพรรณ อภวิ งค์ รหัสนิสติ 60560757 3. พิชชานนั ท์ นิธเิ ปรมะพฒั น์ รหสั นิสิต 60560771 4. พิชญดา ทนงอาจ รหัสนสิ ติ 60560788 5. พชิ ญาภา ศรีเงนิ รหสั นสิ ติ 60560795 6. พมิ ชนก พธุ เหียง รหัสนิสติ 60560818 7. พมิ พรรณ โนชัย รหสั นิสิต 60560825 8. ภทั รศยา ใจดี รหสั นสิ ิต 60560832 หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ วิจัยเบื้องตน้ ทางการพยาบาล ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. แสงหล้า พลนอก พยาบาลศาสตรบัณฑติ , ความพึงพอใจต่อส่ือการ เรยี นรู้ (E-learning) และ ส่ือการเรยี นรู้ (E-learning)

ก คานา การศกึ ษาวิจัยเรอ่ื ง ความพงึ พอใจตอ่ การใชส้ ื่อการเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรยี นการสอนของนสิ ิต หลักสตู รพยาบาลศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลยั นเรศวร (Satisfaction of Using the E-learning for teaching and learning among Students in Nursing Course, Naresuan University) ฉบับน้ีเป็นงานวิจัยฉบับ สมบรู ณ์ จัดทาขน้ึ โดยมีวัตถุประสงคเ์ พอ่ื สารวจความพงึ พอใจต่อการใชส้ ื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรยี น การสอนของนิสติ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชัน้ ปีที่ 2 ถึง 4 และเพื่อเปรียบเทียบความพงึ พอใจตอ่ การใช้ สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีท่ี 2 ถึง 4 ซ่ึง ผลการวิจยั และข้อเสนอแนะต่างๆ จะเป็นประโยชนต์ ่อผทู้ ่ีเก่ยี วข้องไม่มากกน็ ้อยในการนาผลการวิจยั ไปใช้เป็น แนวทางในการสร้างสื่อการเรียนรู้ (E-learning) ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรให้มี ประสิทธิภาพตอ่ ไป คณะผู้วิจยั 25 กันยายน 2562

ข กติ ติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับน้ีสาเร็จลุล่วงไปด้วยดี เน่ืองจากได้รับความกรุณาอย่างสูงจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.แสงหล้า พลนอก อาจารย์ท่ีปรึกษางานวิจัย ที่กรุณาให้คาแนะนาปรึกษา ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง ผู้วิจัยตระหนักถึงความต้ังใจจริงและความทุ่มเทของอาจารย์ และขอขอบพระคุณเปน็ อย่างสูงไว้ ณ ที่น้ี ขอขอบพระคุณ อาจารย์ ดร.รุ่งทิวา บุญประโคม อาจารย์ ดร.จิรรัตน์ หรือตระกูล และ อาจารย์กมลรจน์ วงษ์จันทร์หาญ อาจารย์พยาบาลที่มีความเช่ียวชาญทางด้านเทคโนโลยีการศึกษา ซึ่งเป็น ผู้ทรงคุณวุฒิท่ีให้ความอนุเคราะห์ตรวจสอบเครื่องมือวิจัย และให้ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ในการปรับ เครอื่ งมอื วจิ ัยใหม้ ีความสมบรู ณ์มากย่ิงข้ึน รวมถึงขอขอบคณุ นิสิตหลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ช้นั ปที ี่ 2 ถึง 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามและการเก็บรวบรวมข้อมูล จนทาให้ งานวิจัยสาเร็จลลุ ่วงไปด้วยดี อน่ึงคณะผู้วิจัยหวังว่า งานวิจัยฉบับนี้จะมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย หากงานวิจัยมีข้อบกพร่องใด คณะผู้วิจัยขอน้อมรับ และยินดีรับฟังคาแนะนาจากทุกท่านท่ีได้เข้ามาศึกษา เพ่ือเป็นประโยชน์ในการพัฒนา งานวิจัยตอ่ ไป คณะผ้วู จิ ัย 25 กนั ยายน 2562

สารบัญ ค บทท่ี หน้า คานา ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค บทคัดข่อ จ บทท่ี 1 บทนา 1 ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา 2 คาถามการวจิ ยั 2 วตั ถุประสงค์ 2 สมมตุ ิฐานการวจิ ัย 2 ขอบเขตการวจิ ยั 3 คาสาคญั 4 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รับ บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้อง 6 เอกสารทเี่ กยี่ วข้องกับสอื่ การเรียนรู้อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (E-learning) 12 เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งเก่ยี วกับความพึงพอใจ 14 แนวคิดทฤษฎที ่ีเก่ียวขอ้ งเก่ยี วกับการเรยี นรู้ 16 วิจยั ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง 18 กรอบแนวคิด บทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ัย 19 ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 20 เครอื่ งมอื ที่ใช้ในการศึกษา 21 การดาเนินการวิจยั /การเก็บรวบรวมข้อมูล 22 การจัดกระทาข้อมูลและวเิ คราะห์ข้อมลู 22 สถติ ทิ ใี่ ชใ้ นการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 23 สถิติทีใ่ ช้ทดสอบความเชอ่ื มนั่ ของชดุ คาถาม 23 สถิติทีใ่ ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู บทท่ี 4 ผลการวจิ ัย 25 ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู พื้นฐานของกลุ่มตวั อย่างนิสิตหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต 26 ชั้นปีท่ี 2 ถงึ 4 มหาวิทยาลยั นเรศวร ตอนท่ี 2 ผลการวเิ คราะหค์ วามพงึ พอใจต่อการใช้สอื่ การเรียนรู้ (E-learning) 35 ในการเรียนการสอนของนิสติ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต 36 มหาวิทยาลนั เรศวร ตอนที่ 3 การทดสอบสมมติฐาน บทท่ี 5 สรุปผล อภปิ ราย และข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจยั

อภิปรายผลการวจิ ัย ง ขอ้ เสนอแนะการวจิ ัย บรรณานุกรม 37 ภาคผนวก 39 ประวัตผิ ู้วิจัย ช ญ ด

จ ช่ือเรือ่ ง ความพงึ พอใจต่อการใช้ส่อื การเรยี นรู้ (E-learning) ชอื่ คณะผวู้ ิจัย ในการเรียนการสอนของนิสติ หลกั สตู รพยาบาลศาสตร์บัณฑติ มหาวิทยาลยั นเรศวร ทป่ี รึกษาโครงการ นายพัฒนพงศ์ ไพศาลธรรม ปริญญา นางสาวพชั ราพรรณ อภิวงค์ สาขาวชิ า นางสาวพิชชานนั ท์ นิธิเปรมะพัฒน์ คาสาคญั นางสาวพิชญดา ทนงอาจ นางสาวพิชญาภา ศรเี งนิ นางสาวพมิ ชนก พุธเหียง นางสาวพิมพรรณ โนชัย นางสาวภทั รศยา ใจดี ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.แสงหล้า พลนอก หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต วิจยั เบอื้ งต้นทางการพยาบาล พยาบาลศาสตรบัณฑิต, ความพึงพอใจต่อส่ือการเรียนรู้ (E-learning) และ สื่อการเรยี นรู้ (E-learning) บทคดั ยอ่ การวจิ ัยครั้งนเ้ี ปน็ การวจิ ยั เชงิ พรรณนา (Descriptive Research) มีวัถตุประสงค์ 1) เพอื่ สารวจความ พึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชน้ั ปีท่ี 2 ถึง 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร 2) เพ่ือเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑิต ช้ันปที ่ี 2 ถึง 4 มหาวิทยาลยั นเรศวร ประชากร ที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ีคือ นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีท่ี 2 ถึง 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร จานวน 346 คน กลุ่มตัวอย่างท่ีได้จากการกาหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตร Taro Yamane จานวน 210 คน และ สุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple random sampling) แบบไม่มีการแทนท่ี (Sampling without replacement) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามปลายปิดและข้อคาถามปลายเปิด เคร่ืองมือวิจัยผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหา และความเท่ียงโดยใช้สัมประสิทธแิ์ อลฟาของครอนบาค (Conbach’ Alpha Coeffieint) ได้ค่าความเท่ียงของแบบสอบถาม ส่วนที่ 2 เท่ากับ 0.845 ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิต หลักสูตรพยาบาลศาสตร บัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีท่ี 2 ถึง 4 อยู่ในระดับมาก ค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.82 ในดา้ นการเรียนการสอนมี คะแนนความพึงพอใจมีคะแนนสูงสุด เท่ากับ 4.03 และด้านมัลติมีเดียมีคะแนนความพึงพอใจต่าสุดเท่ากับ 3.46 ผลการศึกษาความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ของนิสิตหลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีที่ 2 ถึง 4 ท้ัง 3 ด้านได้แก่ ด้านเน้ือหาบทเรียน ด้านมัลติมีเดียและด้านการเรียน การสอน พบว่า ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีที่ 2 ถึง 4 ไม่แตกต่างกนั อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดับ 0.05

ฉ Title The satisfaction of Using the E-learning for teaching and learning Researcher among Students in Nursing Course, Naresuan University Mr. Phattanaphong Phaisantham Miss Patcharapan Apiwong Miss Pitchanan Nitipemaphat Miss Pichayada Thanongart Miss Pichayapa Sringern Miss Pimchanok Pudheang Miss Pimpan Nochai Miss Patsaya Jaidee Project Avisor Asst. Prof. Dr.Sanglar Polnok Degree Branch Bachelor of Nursing Science Program Keyword Introduction to Research in Nursing Bachelor of Nursing Science, The Satisfaction of Using the E-learning and E-Learning Abstract This research is descriptive research with objectives: 1 ) to survey the satisfaction of sing the E- learning for teaching and learning among students in nursing course who are currently studying in second to fourth year, Naresuan University; 2) to compare the satisfaction of using the E-learning for teaching and learning between second year to fourth year students in nursing course, Naresuan University. The population of this research is 346 students in nursing course who are studying in second to fourth year, Naresuan University. The 210 samples were randomly chosen without replacement using Taro Yamane formulas. The tool of this study is the questionnaire namely “the Satisfaction of Using the E-Learning for Teaching and Learning”. It consists of 18 closed- end with Likert scale and open-end and open- ended questions. The content validity was checked by 3 expertise. It was revised and tested reliability by the Cronbach ’Alpha Coefficient 0 . 8 4 5 . The samples were given asked to complete checking the questionnaires. The result showed high level satisfaction of using E- learning in teaching and learning in 2 nd and 4 th year students with mean score 3.82. In the aspect of teaching and learning, the satisfaction score was highest with 4.03, and the lowest was in the aspect of multimedia score with 3.46. The mean of satisfaction between 2 nd to 4 th year students related to three aspects including the content, multimedia and teaching and learning was not different at the significant level of 0.05.

1 บทที่ 1 บทนา ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้ให้ความสาคัญกับกระบวนการจัดการเรียนการสอน และการเรียนรู้ โดยใช้ส่ือและเทคโนโลยีทางการศึกษา หมวดท่ี 9 มาตรา 67 ว่าด้วยรัฐต้องส่งเสริมให้มีการ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมท้ังการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อ การศึกษา เพ่ือให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย (ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. , 2553) ปัจจุบันเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตได้พัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นเคร่ืองมือ สาคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอน (ศิริภรณ์ โทอ่อน, 2556) เทคโนโลยีการศึกษาดังกล่าว หมายถึง การประยุกต์เอาเทคนิค วิธีการ แนวความคิด อุปกรณ์ และเครื่องมือใหม่ๆ มาใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหา ทางการศึกษาท้ังด้านการขยายงานและด้านการปรับปรุงคุณภาพของการเรียนการสอนโดยมีขอบข่าย 3 ประการ คือ ประการที่ 1 การนาเอาเคร่ืองมือและอุปกรณ์ใหม่ ๆ มาใช้ในการเรียนการสอน เช่น เครื่องฉาย สไลด์ เครื่องฉายภาพยนตร์ เทปบันทึกเสียง วิทยุและโทรทัศน์ เคร่ืองช่วยสอน เปน็ ต้น ประการท่ี 2 การผลิต วัสดุการสอนแนวใหม่ (Instructional Materials) ได้แก่ การนาวัสดุการสอน เช่น แผนภูมิ รูปภาพ ภาพโฆษณา มาใชต้ ลอดจนการผลิตตาราแบบเรียน ประการที่ 3 การใช้เทคนคิ และวธิ ีการใหม่ (Innovation) (วจิ ิตร, 2516) การเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-learning เป็นรูปแบบหนึ่งของเครื่องช่วยสอน ใช้การถ่ายทอด เนื้อหา (delivery methods) ผ่านทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ (Computer) เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet network) อินทราเน็ต (Intranet) เอ็กซทราเน็ต (Extranet) หรือ ทาง สัญญาณโทรทัศน์ (Television signal) หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite signal) และใช้รูปแบบการ นาเสนอเนื้อหาสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบการเรียนท่ีเราคุ้นเคยกันมาพอสมควร เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรืออาจอยู่ในลักษณะท่ียังไม่ค่อย เป็นทแ่ี พร่หลายนกั เช่น การเรยี นจากวิดที ัศน์ตามอัธยาศยั (Video On-Demand) เปน็ ต้น (ถนอมพร, 2546) ประเทศอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มี University of Phoenix, Capella University, Walden University ซึง่ เป็นมหาวิทยาลัยออนไลน์ และกาลงั เปน็ ท่ีนยิ มเปน็ อยา่ งมากในทุกๆสาขาวิชา ซ่ึงการเรยี นการ สอนเป็นรูปแบบทางไกลทั้งหมด ถือเปน็ หลกั สตู รการเรียนทางไกลคร้ังแรก (เศรษฐพงค์, 2553) ระบบการเรียนการสอนแบบ E-learning น้ันได้เข้ามาเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาไทยเป็นเวลาช้า นานและ E-learning ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป เพ่ือตอบสนองความ ต้องการในการเรียนรขู้ องผู้เรยี นและตอบสนองนโยบายของการเรยี นรู้ ซ่งึ ในปัจจุบนั หลายสถาบันได้มีการสอบ แบบ E-learning ผ่านส่ือ M-learning เช่น Ipad , tablet เหตุผลเน่ืองจากสะดวกแก่การเรียนการสอน เพราะในมหาวิทยาลยั มรี ะบบอนิ เทอร์เน็ตไรส้ ายอย่างท่วั ถึง ทาใหก้ ารเรียนไดผ้ ลมากขน้ึ (สุชาดา, 2555) การเรียนการสอนในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต หลักสูตร 4 ปี มหาวิทยาลัยนเรศวร มีการสอน แบบบรรยาย ปฏบิ ัติ และการใชส้ ื่อการเรียนรู้ (E-learning) โดยทางคณะได้มีระบบการเรียนรทู้ ่ีนักศึกษาชั้นปี ที่ 2 ถึง 4 สามารถเข้าถึงเน้ือหาเพ่ิมเติมของแต่ละรายวิชาผ่านเว็บไซต์ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย

2 นเรศวร จานวนทั้งหมด 74 สือ่ ประกอบด้วย E-learning nurse (เว็บเกา่ ) 48 ส่อื , E-learning VDO 15 สื่อ , E-learning nurse (เว็บใหม่) 11 สอื่ จากเหตุผลและความเป็นมาดังกล่าว พบว่าการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) มีการใช้อย่าง แพรห่ ลายในปัจจุบัน และข้อดีของการใช้สอ่ื การเรยี นรู้ (E-learning) เป็นผลให้ผู้วิจัยในฐานะนิสิตหลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร มีความสนใจท่ีจะจัดทาวิจัยในเรื่องความพึงพอใจต่อการใช้สื่อ การเรียนการสอน (E-learning) ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยใช้ แบบสอบถามปลายปดิ และขอ้ คาถามปลายเปดิ คาถามการวจิ ัย 1. นิสิตชั้นปีท่ี 2 ถึง 4 มคี วามพึงพอใจตอ่ การใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต มหาวทิ ยาลัยนเรศวรอยา่ งไร 2. นิสิตชั้นปีท่ี 2 ถึง 4 มคี วามพึงพอใจตอ่ การใช้สอ่ื การเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรยี นการสอนของ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวรแตกตา่ งกนั อยา่ งไร วัตถปุ ระสงค์ 1. เพื่อสารวจความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิต หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ช้นั ปที ี่ 2 ถึง 4 2. เพื่อเปรยี บเทียบความพงึ พอใจต่อการใช้สอ่ื การเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิต หลักสูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ชั้นปที ่ี 2 ถึง 4 สมมตฐิ านของการวิจยั (Hypothesis) ความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิตช้ันปีท่ี 2 ถึง 4 หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร มีความแตกตา่ งกนั ขอบเขตของการวจิ ัย 1. ขอบเขตดา้ นเนือ้ หา ทาการวิจัยการศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของ ของนิสติ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชัน้ ปีที่ 2 ถงึ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร 2. ประชากรของการวิจยั ครั้งน้ี ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ที่กาลังศกึ ษาอยู่ในช้ันปีที่ 2 ถึง 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2562 จานวน 364 คน ดงั นี้ นสิ ิตหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ ช้ันปที ่ี 2 จานวน 126 คน นิสิตหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต ช้นั ปีที่ 3 จานวน 125 คน นสิ ิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑิต ชน้ั ปีที่ 4 จานวน 113 คน

3 3. กลุม่ ตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี คือนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2562 จานวน 210 คน โดยใช้สูตรคานวณของ Taro Yamane (1973 อ้างอิงใน บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธ,์ิ 2529) เมื่อ n แทน ขนาดกลมุ่ ของตัวอย่าง N แทน ขนาดประชากร e แทน ความคลาดเคลอื่ นของกลมุ่ การสุม่ ตวั อย่าง = 0.05 จากการคานวณ ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจานวน 191 คน และเพ่ิมจานวนกลุ่มตัวอย่างอีก ร้อยละ 10 เพ่ือป้องกันการสูญหายของกลุ่มตัวอย่างในระหว่างการเก็บข้อมูล (Polit, D.F. & Beck, C.T., 2004) รวมเป็นกลุม่ ตวั อย่างท่ีคานวณได้ท้งั หมด 210 คน โดยแบง่ เปน็ ดังนี้ นิสิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต ชัน้ ปีที่ 2 จานวน 73 คน นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ช้นั ปที ี่ 3 จานวน 72 คน นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชน้ั ปีท่ี 4 จานวน 65 คน คาสาคัญ (Keywords) พยาบาลศาสตรบณั ฑติ มหาวิทยาลยั นเรศวร หมายถงึ ผู้ที่เขา้ รับการศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตร- บณั ฑิต ทจ่ี ดั การเรียนการสอนโดยคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร และกาลงั ศึกษาอยู่ในช้ันปีท่ี 2 ถึง 4 ทง้ั เพศหญงิ และเพศชาย ความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) หมายถึงความรู้สึกของนิสิตหลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ท่ีไม่เหมอื นกันข้ึนอยกู่ ับแต่ละคนวา่ จะคาดหวังกับสือ่ การเรียนรู้ อย่างไร ถ้าคาดหวังหรือมีความตั้งใจมากและได้รับการตอบสนองด้วยดีจะมีความพึงพอใจมาก แต่ในทาง ตรงกันข้ามอาจผิดหวังหรือไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามท่ีคาดหวังไว้ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับ สิ่งที่นิสิตต้ังใจไว้ว่ามีมากหรือน้อยซึ่งจะประเมินโดยแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E- learning) ท่ีปรับมาจากแบบประเมินความพึงพอใจต่อส่ือการเรียนรู้ของ อนุชา สะเล็ม (2560) และจะนามา หาค่าความเชื่อม่ัน (Reliability) โดยการนาไปทดลองใช้ในนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต จานวน 30 คน ที่ไม่ไดเ้ ป็นกลุ่มตวั อยา่ งของงานวิจัยนี้ โดยยอมรับได้ท่ีคา่ ความเชื่อมั่น 0.80 (ปราณี มีหาญพงษ์และคณะ, 2561) สอ่ื การเรยี นรู้ (E-learning) หมายถึง สอ่ื การเรียนรู้ทางการพยาบาล ทไี่ ดร้ บั การออกแบบการเรียนรู้ โดยอาจารย์คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยใช้ส่ือมัลติมีเดีย ท้ังในรูปของข้อความ ภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหวที่มีเนื้อหาท่ีใช้ในการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์การเรียนรู้ของวิชาชีพ พยาบาล ท่ีอาศยั เทคโนโลยดี ้านคอมพิวเตอร์และเครือขา่ ยของอนิ เทอร์เนต็ มาเช่ือมโยง เปน็ ส่ือระหว่างผเู้ รยี นและผูส้ อน

4 ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รับ 1. ประโยชน์สาหรับการศึกษาทางการพยาบาล ทราบถึงความพงึ พอใจในการใชส้ อ่ื การเรียนรู้ (E-learning) ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร และสามารถนาผลการวิจัยมา ปรับปรุงข้อมูลของส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ให้เป็นปัจจุบันและมีความถูกต้องมากย่ิงข้ึนรวมทั้งการพัฒนา งานวิจัยที่สามารถนาไปใช้ในการบริหารงานพยาบาลเพื่อปรับปรุงการจัดการข้อมูลทางการ บริหารงาน พยาบาลใหม้ คี วามถกู ต้อง 2. ประโยชน์สาหรับการปฏิบัติทางการพยาบาล ทราบถึงความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) สาหรับการปฏิบัติทางการพยาบาล สามารถทราบถึงความสนใจในการเรียนรู้การปฏิบัติทางการ พยาบาลของนิสติ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร

5 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวข้อง การศึกษาคร้ังน้ีเป็นการสารวจความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) ใน การเรียนการสอนของนสิ ิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยผู้ศึกษาได้ศกึ ษาเอกสาร และงานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวขอ้ งเพอ่ื นามาเป็นแนวทางในการศึกษาครั้งนี้ ดังน้ี 1. เอกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับสอ่ื การเรยี นร้อู ิเลก็ ทรอนิกส์ (E-learning) 1.1 ความหมายของสื่อการเรียนร้อู ิเล็กทรอนกิ ส์ (E-learning) 1.2 ความสาคัญของสื่อการเรียนรู้อเิ ล็กทรอนิกส์ (E-learning) 1.3 องค์ประกอบของสื่อการเรยี นรอู้ เิ ล็กทรอนกิ ส์ (E-learning) 1.4 ข้อดีและข้อเสยี ของสอื่ การเรยี นรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) 1.5 สอ่ื การเรยี นรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) กบั การศึกษาในประเทศไทย 2. เอกสารทเ่ี กย่ี วข้องเก่ียวกบั ความพึงพอใจ 2.1 ความหมายของความพงึ พอใจ 2.2 การวัดความพึงพอใจ 2.3 แนวคดิ ทฤษฎที เี่ ก่ียวข้องกบั ความพงึ พอใจ 3. แนวคิดทฤษฎที ่ีเก่ยี วข้องเก่ยี วกับการเรยี นรู้ 3.1 แนวคดิ ของ Havighurst 3.2 แนวคิดการจดั การศึกษาสาหรับผูใหญ่ 3.3 แนวคดิ การเรยี นร้ดู ้วยการชน้ี าตนเอง (Self-Directed Learning) 4. วจิ ัยท่เี ก่ยี วข้อง

6 1. เอกสารทเี่ กย่ี วข้องกบั สอ่ื การเรยี นรู้อิเลก็ ทรอนิกส์ (E-learning) 1.1 ความหมายของสื่อการเรียนรูอ้ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (E-learning) E-learning หรือ Electronic Learning อาจจะดูเป็นแนวคิดทางการศึกษาแบบใหม่ ที่เกิดข้ึนจาก ความก้าวหนา้ ทางด้านคอมพิวเตอรอ์ อนไลน์ ทาให้เกิดการเรยี นการสอนระบบต่างๆ และมชี ื่อเรียกแตกต่างกัน ไป ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-based Instruction) การเรียนการสอนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต (CAI on Web) แต่ละแบบจัดเป็นรูปแบบของการเรียนรู้ผ่าน ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอรท์ ้งั สิน้ ความหมายของ E-learning ไดถ้ ูกอธบิ ายอย่างหลากหลาย ดงั ต่อไปนี้ สรุสิทธ์ิ วรรณไกรโรจน์ (2552 อ้างอิงใน สามมิติ สุขบรรจง, 2554) ได้ให้ความหมายของ E-learning หมายถึง การศึกษาเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ตหรืออินทราเน็ต เป็นการเรียนรู้ ด้วยตนเอง ผเู้ รยี นจะไดเ้ รยี นตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเน้ือหาของบทเรียนซึง่ ประกอบด้วย ข้อความ รปู ภาพ เสยี ง วิดีทศั น์ มัลตมิ ีเดีย อื่นๆ ซงึ่ จะถูกสง่ ไปยังผูเ้ รยี นผ่าน Web Browser โดยผูเ้ รยี น ผูส้ อน และเพ่ือนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการ เรียนในชนั้ เรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมอื การติดต่อสือ่ สารท่ีทันสมยั (E-mail, Webboard, Chat) จงึ เป็นการ เรยี นสาหรับทุกคน ซง่ึ เรยี นไดท้ ุกเวลาและทุกสถานที่ (Learning for All : Anywhere and Anytime) ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2541 อ้างองิ ใน มณนี ชุ นิธิพงษ์วนชิ , 2556) ไดใ้ ห้ความหมายของคาว่า E-learning ไว้ว่า E-learning แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะด้วยกัน ได้แก่ ความหมายโดยท่ัวไปจะคลอบคลุม E-learning ความหมายท่กี ว้าง กล่าวคือ จะหมายถงึ การเรยี นในลกั ษณะใดกไ็ ด้ซึ่งการถา่ ยทอดเน้ือหาผา่ นทาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) อินทราเน็ต (Intranet) เอ็กซ์ทราเน็ต (Extranet) หรือทางสัญญาณโทรทัศน์หรือสัญญาณดาวเทียม (Satellite) ก็ได้ซึ่งเน้ือหา สารสนเทศอาจอยู่ในรูปแบบการเรียนท่ีเราคุ้นเคยกันมาพอสมควร เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer - assisted Instruction) การสอนบนเวบ็ (Web - based Instruction) การเรียนออนไลน์ (On - line Learning) การสอนทางไกลผ่านดาวเทียมหรืออาจอยู่ในลักษณะท่ียังไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายนัก เชน่ การเรยี นจากวดี ิทศั นต์ ามอัธยาศัย (Video On Demand) เปน็ ต้น เกรยี งศักด์ิ เจริญวงศักดิ์ (2543 อ้างอิงใน มณีนุช นธิ ิพงษ์วนิช, 2556) ได้ให้ความหมายของการ เรยี นรู้ผา่ นสื่ออเิ ล็กทรอนิกส์หรือ E-learning หมายถึง การเรียนรู้บนฐานเทคโนโลยี ซงึ่ ครอบคลุมวิธีการเรียน จากหลายรูปแบบ อาทิ การเรียนรูบ้ นคอมพวิ เตอร์ (Computer-based Learning) การเรียนรูบ้ นเว็บ (Web- based Learning) ห้องเรยี นเสมอื นจรงิ (Virtual Classroom) และความรว่ มมือกันผา่ นระบบดจิ ิตอล (Digital Collaboration) เป็นต้น ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท อาทิ อินเทอร์เน็ต อนิ ทราเนต็ เอก็ ซท์ ราเน็ต การถ่ายทอดผ่านดาวเทียมและซดี รี อม (CD-ROM) บุปผาชาติ ทัฬหกรณ์ (2544 อ้างอิงใน มณีนุช นิธิพงษ์วนิช, 2556) ได้ให้ความหมายของ E-learning ว่าความหมายจะแตกต่างกันตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งมีส่วนท่ีเหมือนกันคือการใช้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสาร เป็นเคร่ืองมือสาคัญของการเรียนรู้ และเนื่องจาก คอมพิวเตอร์และเคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการสอื่ สารเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จงึ เป็นท่ีมาของ Electronic Learning หรือเรียกส้นั ๆวา่ E-learning ยื่น ภูสุวรรณ (2546 อ้างอิงใน มณีนุช นิธิพงษ์วนิช, 2556) ได้ให้คานิยาม E-learning คือ การ เรียนผ่านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ท่ีให้ต้นทุนถูกเรียนได้เร็วมาก สามารถกระจายได้อย่างท่ัวถึงและที่สาคัญ คือทาใหม้ กี ารพัฒนารปู แบบของการศึกษาการเรียนการสอนในรูปแบบใหม่ๆ ออกมากมาย

7 ศักดา ไชยกิจภิญโญ (2545 มณีนุช นิธิพงษ์วนิช, 2556) ได้ให้ความหมายของ E-learning ว่า เป็นการเรียนรู้แบบใหม่ทใี่ ช้อินเทอรเ์ น็ตเป็นส่ือระหว่างผู้เรยี นและผู้สอน ซึ่งส่ือการเรียนการสอนแบบต่างๆที่ ใชใ้ น E-learning ประกอบดว้ ย E-book เป็นส่ือสงิ่ พมิ พอ์ ิเลก็ ทรอนกิ สใ์ นรปู แบบของเอกสารหรือหนังสอื Virtual lab เป็นส่ือท่ีคลา้ ยหอ้ งปฏิบัติการท่ีผ้เู รียนสามารถเข้ามาทาการทดลอง (ในสถานจาลอง) ผ่าน หนา้ จอคอมพวิ เตอร์ Virtual classroom เปน็ สื่อท่ีสร้างให้เป็นห้องเรียนเสมือนโดยใชก้ ระดานข่าว (web board) กระดาน คุย (chat) หรอื จดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ (e-mail) เพ่อื ติดต่อสอ่ื สารผ่านเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ต Web based instruction เป็นสื่อที่สร้างเหมือนโฮมเพจหรือเว็บเพจ แต่นาเนื้อหาในบทเรียนมาใช้ใน การสอนและมกั มปี ระเมนิ ผลผ้เู รยี นดว้ ย E-library เปน็ หอ้ งสมดุ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ท่สี ร้างขนึ้ เพ่อื บรหิ ารผา่ นระบบเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ E-learning จึงจัดเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาท่ีเปลี่ยนแปลงวธิ ีเรียนท่ีเป็นอยู่เดิมเป็นการเรียนท่ี ใช้เทคโนโลยที ่กี ้าวหนา้ เชน่ อินเทอรเ์ นต็ เอ็กซท์ ราเน็ต ดาวเทยี ม แผ่นซีดี ฯลฯ มคี วามหมายรวมถงึ การเรียน ทางไกล การเรียนผ่านเวบ็ ห้องเรียนเสมือนจริง เป็นต้น โดยสถานการณ์ดังกล่าวมสี ่ิงทเ่ี หมือนกันประการหน่ึง คือการใชเ้ ทคโนโลยีทางการสื่อสารเปน็ สอื่ กลางการเรยี น จากความหมายของการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ E-learning ที่กล่าวมาน้ีพอจะสรุปได้ว่า การเรียนรู้ผ่านสอื่ อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) หมายถึง การเรียนการสอนรูปแบบใหม่ ท่ีอาศัยเทคโนโลยดี ้าน คอมพิวเตอร์และเครือข่ายของอินเทอร์เน็ตมาเชื่อมโยง เป็นส่ือระหว่างผู้เรียนและผู้สอน เป็นการเรียนการ สอนทอ่ี ยู่ในระบบออนไลน์ ทาใหไ้ ม่ตอ้ งคานึงระยะเวลา สถานท่ี เป็นรปู แบบการสอนแนวใหม่ 1.2 ความสาคญั ของส่ือการเรียนรอู้ เิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-learning) ยุพนิ พพิ ิธกุล และ อรพรรณ ตันบรรจง (2535 : หน้า 16-17) ได้กล่าวถึงความสาคัญของสอ่ื การ เรยี นการสอนดงั นี้ 1. ส่ือการเรยี นการสอนจะชว่ ยใหน้ ักเรียนเข้าใจบทเรียนได้แจม่ แจง้ ยิ่งขน้ึ 2. ช่วยในการสอนนักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน เช่น นักเรียนบางคนซ่ึงเรียนอ่อน อาจจะตอ้ งใช้รปู ภาพ สอื่ ทีเ่ ปน็ รูปธรรมหรือชุดการเรียนการสอนรายบคุ คลชว่ ยใหเ้ ขาบรรลุจดุ ประสงคใ์ น การ เรียน 3. ชว่ ยสร้างเสรมิ ความสนใจของนักเรยี น 4. เพื่อช่วยให้นักเรียนได้เรียนูร้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรม ซ่ึงจะนาไปสู่นามธรรมและทาให้ นกั เรยี นเกิดความเขา้ ใจแน่นแฟน้ และจาได้นาน 5. ใชส้ อ่ื การสอนนั้น เพือ่ ชว่ ยในการอธบิ ายขยายข้อความและสรุปข้อความได้ 6. เพื่อเสรมิ สร้างเจตคตทิ ่ีดแี กน่ ักเรียน 7. เพ่ือเสรมิ ใหน้ ักเรียนเกดิ ความคิดรเิ รม่ิ สร้างสรรค์

8 1.3 องค์ประกอบของสื่อการเรียนรูอ้ ิเล็กทรอนกิ ส์ (E-learning) ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2545 อ้างจาก มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2552) ได้กล่าวถึง องคป์ ระกอบของการเรยี นการสอนแบบอเิ ล็กทรอนิกส์ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 องคป์ ระกอบหลักสามารถสรปุ ได้ ดงั น้ี 1. เน้ือหา (Content) เป็นองค์ประกอบที่สาคัญที่สุดสาหรับคุณภาพของการเรียนการสอน ผ่านแบบอิเล็กทรอนิกส์ซ่ึงการท่ีผู้เรียนจะบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนหรือไม่สิ่งที่สาคัญที่สุดก็คือเนื้อหาการ เรยี นซง่ึ ผ้สู อนได้จดั หาให้แกผ่ ้เู รียนซ่ึงผ้เู รยี นมีหนา้ ทีใ่ นการใช้เวลาสว่ นใหญ่ศกึ ษาเนอ้ื หาดว้ ยตนเอง 2. ระบบบริหารจัดการรายวิชา (Course Management System) เป็นเสมือนระบบที่ รวบรวมเครื่องมือซึ่งออกแบบไว้เพ่ือให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการจัดการกับการเรียนการสอนแบบ อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้ใช้ ได้แก่ ผู้สอน (Instructors) ผู้เรียน (Students) และผู้บริหาร ระบบเครือข่าย (Network Administrator) เคร่ืองมือท่ีระบบบริหารจัดการรายวิชาจัดเตรียมไว้ให้กับผู้ใช้ ได้แก่ พ้ืนท่ีและ เครื่องมือสาหรับช่วยผู้เรียนในการเตรียมเนื้อหา การทาแบบทดสอบ แบบสอบถาม การจัดการกับแฟ้มข้อมูล ต่างๆ เคร่ืองมือในการสื่อสาร (e-mail, Web board, Chat room) รวมถึงการตรวจสอบผลคะแนนการ ทดสอบสถติ กิ ารเขา้ ใช้งานในระบบ ตารางเรียน ปฏทิ นิ การเรยี น เปน็ ตน้ 3. ระบบบริการการติดต่อสื่อสาร (Modesof Communication) เป็นองค์ประกอบสาคัญที่ ขาดไม่ได้ทาให้ผู้เรียนสามารถติดต่อส่ือสารกับผู้สอนวิทยากรและผู้เช่ียวชาญอ่ืนๆ รวมถึงผู้เรียนด้วยกันใน ลักษณะที่หลากหลายทาให้สะดวกต่อผู้ใช้ในระบบอาจมีเครื่องมือการส่ือสารมากกว่า 1 รูปแบบและจะต้องมี ความสะดวกต่อการใช้งาน ได้แก่ 1) การประชุมทางคอมพิวเตอร์ท้ังในลักษณะของการติดต่อส่ือสารต่างเวลา (Asynchronous) เชน่ Web board หรือในลกั ษณะของการตดิ ต่อสอ่ื สารแบบเวลาเดียวกัน (Synchronous) เช่น การสนทนาออนไลน์ (Chat) หรือการถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียงสี (Lice Broadcast) 2) ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เป็นองค์ประกอบสาคัญเพื่อให้ผู้เรียนส่ือสารกับผู้สอน หรือผู้เรียนด้วยกันในลักษณะ รายบุคคล รวมถงึ การสง่ งาน การใหค้ าปรึกษาและ การใหผ้ ลป้อนกลับกับผู้เรียน 4. แบบฝึกหัดแบบทดสอบเป็นองค์ประกอบท่ีจัดให้กับผู้เรียนได้มีโอกาสในการโต้ตอบกับ เนื้อหาในรูปแบบของการทาแบบฝึกหัดและแบบทดสอบความรู้ เน้ือหาท่ีนาเสนอจาเป็นต้องมีการจัดหา แบบฝึกหัดสาหรับผู้เรียนเพื่อตรวจสอบความเข้าใจไว้ด้วยเสมอ เพราะรูปแบบการเรียนการสอนมุ่งเน้นการ เรียนรู้ด้วยตนเองเป็นสาคัญส่วนแบบทดสอบ อาจจะอยู่ในรูปแบบทดสอบก่อนเรียน ระหว่างเรียนและหลัง เรยี นกไ็ ด้ ซึ่งผู้สอนอาจออกแบบการประเมนิ ผลในลกั ษณะอตั นยั ปรนยั ถกู ผิดหรอื จบั คู่กไ็ ด้ ใจทพิ ย์ ณ สงขลา (2547 อ้างจาก มหาวิทยาลยั ศิลปากร, 2552) ได้ประมวลเวบ็ ไซตเ์ พ่ือการ เรียนการสอนโดยทัว่ ไปซงึ่ มอี งค์ประกอบ ดงั น้ี 1. โฮมเพจ (Home Page) หน้าแรกท่ผี ู้เรียนพบโดยมีสาระเก่ียวกับเว็บไซตน์ น้ั ๆ หรอื สถาบัน น้ันท่ีผู้เรียนควรทราบเรียกว่า โฮมเพจโดยท่ัวไปจะเสนอสารสนเทศแนะนาหลักสูตรและรายวิชานั้นๆ มี ภาพลกั ษณท์ ่ีน่าเช่ือถือ ชักชวนตอ่ ความสนใจ มีภาพและข้อความแสดงการตอ้ นรบั โฮมเพจที่ดีจะต้องสามารถ สอื่ สารถงึ ผเู้ ยย่ี มชมไดว้ ่า เว็บนาเสนอเก่ยี วกับเร่อื งอะไรและมีความทนั สมยั คือทาการสร้างและปรบั ปรุงบ่อย เพียงใด สถาบันหรือผู้ใดที่มีความน่าเชื่อถือเป็นผู้พัฒนาแนะนาแนวทางในการศึกษาเว็บและความรู้หรือส่ิงท่ี สามารถคาดหวังไดจ้ ากเวบ็ ไซต์นั้น 2. เน้ือหาสาระของรายวิชาเพจสารบญั (Index) มักจะทาหนา้ ท่ีเช่ือมโยงไปยงั เน้ือหาสาระใน รายวิชาและกิจกรรมการเรยี นบางครั้งก็จะรวมเพจของการแนะนาวธิ ีการเรียนและโฮมเพจอย่ใู นเฟรมเดยี วกนั

9 3. เพจบันทึก (Note page) ลักษณะของเพจเชน่ น้ันก็จะเป็นเพจท่ีมีสารสนเทศข้อความเป็น ส่วนใหญ่ 4. ประมวลรายวิชา (Course syllabus) เพจน้ีให้รายละเอียดของรายวิชาทั้งหมด กาหนดเวลา กิจกรรมการเรียนงานมอบหมาย การสอบ การให้คะแนนและเกณฑ์ อาจรวมท้ังหนังสือ หรือ เอกสารประกอบการเรียน ประมวลรายวิชาโดยท่ัวไปจะคดั ลอกมาจากประมวลรายวิชาท่ีใช้อย่างเป็นทางการ ในหอ้ งเรยี นปกติจดั ทาเปน็ เว็บเพจ 5. แหลง่ ข้อมูล (Resource) มีการเชื่อมโยงไปยงั แหลง่ ข้อมูลในเว็บอื่นๆท่เี กี่ยวกบั วชิ าท่เี รียน โดยท่วั ไปได้ใหเ้ คร่ืองมือสืบค้นเพอี่ ความสะดวกของผู้เรยี น 6. ขอ้ บงั คบั ของวิชา (Course requirement) บอกรายการสื่อ หนังสือ คูม่ ือ แหล่งการเรียน การเชอื่ มโยงและเครอ่ื งมืออืน่ ๆ ซ่ึงอาจรวมอย่ใู นเนอื้ หาสาระรายวิชาหรือประมวลรายวิชา 7. แนะนาการเรียน (Study guide) เป็นเพจท่ีทาหน้าที่แนะนาว่าเรียนอย่างไร (How to learn) แนะนาวิธีการเรียนออนไลน์ในวิชาน้ันๆ รวมทั้งอธิบายวิธีการเรียนหรือการใช้ทรัพยากร การเรียนใน เว็บไซต์หรือเป็นส่วนที่อธิบายงานมอบหมายในรายวิชานั้นๆหน้าท่ีและความรับผิดชอบ (Role and Responsibility) เป็นส่ิงที่กาหนดให้ผู้เรยี นรบั ผิดชอบ เช่น การส่งงาน แนวทางการประเมินผู้เรียน ซ่ึงอาจอยู่ รวมกบั การแนะนาวิธกี ารเรยี น 8. ประกาศ (Announcement) เป็นหนา้ ท่ีแจ้งใหผ้ ู้เรยี นทราบขา่ วสารใหม่เก่ยี วกบั วชิ าหรอื บางครัง้ เพอื่ แจ้งการนดั พบหรอื มอบหมายงาน 9. แผนผังวิชา (Course map/site map) เป็นการใหภ้ าพโครงสร้างของวิชาทาหน้าท่ีคล้าย กับระบบนาทาง 10. การมอบหมายงานและกิจกรรม (Activities and assignments) แสดงรายการงาน ทั้งหมดท่ีผู้เรียนต้องปฏิบัติอาจแยกเป็นเพจท่ีกาหนดกิจกรรมการเรียนบนเว็บแยกออกจากเพจท่ีกาหนด กิจกรรมท่ีต้องปฏิบัติจากเพจอ่ืนๆในรายการแสดงกิจกรรมควรมีวันและเวลากาหนดส่งและรายงาน ความก้าวหน้าของกิจกรรม 11. ตารางเรียน (Course Schedule) แสดงปฏิทินการเรียนตลอดภาคการศึกษาแสดง กาหนดเวลาของกจิ กรรม 1.4 ขอ้ ดแี ละขอ้ เสียของส่ือการเรยี นรอู้ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (E-learning) ขอ้ ดีของส่ือการเรียนรอู้ เิ ลก็ ทรอนิกส์ (อนชุ า สะเล็ม, 2560) 1. การใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมาก ย่ิงขึ้น มีงานวิจัยหลายช้ินสนับสนุนเน้ือหาการเรียนซ่ึงถูกถ่ายทอดผ่านสื่อมัลติมีเดีย สามารถทาให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรูไ้ ด้ดกี ว่าการเรียนจากสอื่ ข้อความเพียงอยา่ งเดียว 2. การใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) จะมกี ารใช้เทคโนโลยีซึ่งเป็นการเช่ือมโยงของขอ้ มูล ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของข้อความ ภาพนิ่ง เสียง กราฟิก วีดีโอท่ีเก่ียวเน่ืองกัน เพ่ือความสะดวกในการเข้าถึง ข้อมูลของผู้ใช้ สามารถเป็นวิธีนาเสนอความรู้สาหรับการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพได้ ดังน้ัน ผู้เรียนท่ี เรียนจากการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) จะสามารถควบคุมการเรียนของตนได้ จะได้รับความรู้และมีการ จดจาไดด้ ขี ้นึ 3. การใชส้ ่ือการเรยี นรู้ (E-learning) ทาให้ผเู้ รยี นสามารถเรยี นรตู้ ามพ้ืนฐานความรู้ ความ ถนัด และความสนใจของตน สามารถเลือกเรียนเฉพาะเน้ือหาส่วนท่ีต้องการทบทวน ถือเป็นการให้อิสระแก่ ผเู้ รยี นในการควบคุมการเรียนของตน

10 4. การใช้ส่อื การเรียนรู้ (E-learning) เอื้อให้เกดิ การโต้ตอบท่ีหลากหลาย ให้โอกาสผู้เรียน ในการโตต้ อบกบั ครูผ้สู อน หรอื กับผู้เรียนอนื่ ๆ 5. การใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เน้ือหา ตอบสนองต่อเรื่องราวต่างๆในปัจจุบันได้อย่างทันถ่วงที เพราะเนื้อหาการเรียนรู้อยู่ในรูปแบบของข้อความ อิเล็กทรอนิกส์ (E-text) โดยเฉพาะอย่างย่ิงในด้านของความสามารถในการปรับปรุงเนื้อหาในทันสมัยได้ ตลอดเวลา เขา้ ถงึ ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมคี วามคงทนของข้อมูล 6. การใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ถือเป็นรูปแบบการเรียนที่สามารถจัดการเรียนการ สอนให้แกผ่ ู้เรยี นในวงท่กี ว้างข้นึ โดยไม่มีขอ้ จากดั ในเรื่องเวลาและสถานทแี่ ละยังสามารถนาไปใช้เพื่อสนบั สนุน การเรียนในลกั ษณะตลอดชีวิตได้ดี ข้อเสยี ของสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (ศนู ย์เทคโนโลยีทางการศึกษากระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2552) 1. ข้อเสียของรูปแบบมัลติมีเดีย (Format Weaknesses) แม้ว่าเว็บจะสามารถนาเสนอ มัลติมีเดียรูปแบบต่างๆ ได้มากมาย แต่รูปแบบของสื่อแต่ละชนิดยังเป็นปัญหาอยู่บ้าง การนาเสนอด้วย ตัวอักษรทาให้ผู้เรียนสามารถอ่านและพิมพ์ออกมาได้ง่ายในรูปแบบของส่ือส่ิงพิมพ์ ในขณะที่วิดีโอบนเว็บ เคลื่อนไหวช้ากว่าวิดีทัศน์หรือโทรทัศน์ธรรมดา นอกจากนี้การติดต่อส่ือสาร ณ เวลาจริง (Real-time communication) ยงั ไม่สามารถให้ความรสู้ กึ ได้เหมือนของจรงิ และด้วยข้อจากัดเรอื่ ง bandwidth ทาใหก้ าร ดาวน์โหลดขอ้ มลู มลั ติมีเดียกินเวลานานและนา่ เบื่อหน่ายสาหรับผ้เู รยี น 2. ปัญหาของเส้นทางการเข้าสู่เนื้อหา (Navigational Problems) แม้ hypertext จะ ชว่ ยให้ผู้เรียนสามารถเช่ือมโยงออกไปสเู่ นื้อหาภายนอกต่อไปได้ก็ตาม แต่ถ้าการออกแบบบทเรียนไม่ดีพอแล้ว ผ้เู รยี นอาจหลงทางและหลงประเดน็ ไปได้ ทาให้การเรยี นมปี ัญหาและไม่ไดผ้ ลตามเปา้ หมาย 3. การขาดการติดต่อระหว่างบุคคล (Lack of Human Contact) ในการเรียนผ่านเว็บ ครูจะไม่มีโอกาสได้เห็นว่านักเรียนเกิดความสงสัยหรือไม่เข้าใจ และนักเรียนบางคนก็มีความพึงพอใจกับ ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนแบบดั้งเดิมมากกว่า อย่างไรก็ตามได้มีความพยายามแก้ไขปัญหา โดย การทดแทนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วยการใช้การส่ือสารผ่าน E-mail หรือการจัดให้มี discussion forum เพอ่ื ทีผ่ ู้เรยี นจะสามารถมกี ารติดตอ่ สือ่ สารกับบุคคลอน่ื ๆได้บา้ ง 4. แรงจูงใจ (Motivation) นกั เรียนในชนั้ เรียนที่มกี ารสอนผ่านเว็บต้องมีแรงจงู ใจส่วนตัว และมีการจัดระบบการเรียน หากขาดการวางแผนการเรียนจะทาให้นักเรยี นไมป่ ระสบความสาเร็จกบั การเรยี น และอาจสอบไมผ่ า่ นในหลกั สตู รนั้นๆได้ 5. เน้ือหาที่ไม่มีข้อยุติ (Open-Ended Content) เนื้อหาของการเรยี นการสอนผ่านเว็บท่ี เสนอให้กับผู้เรียนนั้น บางคร้ังผู้เรียนจะไม่รู้ว่าขอบเขตของเน้ือหาสิ้นสุดท่ีใด หากหัวข้อหรือหลักสูตรเรียนมี การเปลีย่ นแปลงบอ่ ยครง้ั อาจเป็นเหตใุ หผ้ เู้ รยี นเกิดความสบั สนได้ 6. ข้อจากัดเร่ือง bandwidth ถา้ bandwidth ไมเ่ พียงพอ จะทาใหก้ ารส่งผา่ นข้อมลู และ เนอ้ื หาของบทเรียนลา่ ช้า ยิ่งถ้าข้อมลู น้ีมีทงั้ เสียงและภาพ กจ็ ะยิ่งทาใหก้ ารส่งลา่ ช้าย่ิงขึ้น และเปน็ อุปสรรคต่อ กระบวนการเรียนการสอนในระบบ E-learning เพราะจะทาให้เกิดการจราจรติดขัดบนเครือข่ายสากล (Internet) ปัญหาน้ีอาจไม่รุนแรงนัก ถ้าเราใช้เพียงเน็ตเวิร์คภายในองค์กร (Intranet) อย่างไรก็ตาม ปัญหา เรื่องขอ้ จากัดเร่อื ง bandwidth น่าจะได้รับการแก้ไขไดใ้ นไม่ชา้ เพราะไดม้ ีการพฒั นาเทคโนโลยีอยา่ งไมห่ ยุดยั้ง เพอ่ื แกป้ ัญหาในข้อน้ี

11 7. E-learning ไม่ได้เหมาะสมกบั การเรยี นการสอนทุกวิชาเสมอไป บางวิชาเรยี นหรอื บาง หลักสูตรของการฝกึ อบรมต้องการการติดตอ่ สื่อสารระหว่างบุคคลมากกว่า เช่น กิจกรรมการสร้างทีมงานและ สิ่งท่ีเกี่ยวข้องกับประเด็นทางอารมณ์เช่น การลดขนาดขององค์กร ในกรณีน้ี E-learning อาจถูกใช้เพื่อ สนบั สนนุ กระบวนการเรียนการสอน แต่ไมใ่ ชน่ ามาทดแทนสิ่งดีๆที่มีประสทิ ธภิ าพอยู่แลว้ 1.5 สอื่ การเรยี นร้อู เิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (E-learning) กับการศึกษาในประเทศไทย ประเทศไทยมีการนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาใช้สนับสนุนการศึกษาอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ พ.ศ. 2498 เมื่อกระทรวงศึกษาธิการได้กอ่ ตง้ั สถานีวิทยกุ ระจายเสียงเพือ่ การศกึ ษาขึ้นมาเป็นครัง้ แรก หลังจากนัน้ ไม่ นานเม่ือมีการจัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ข้ึนกระทรวงศึกษาธิการก็มีโอกาสผลิตรายการเพื่อการศึกษา ออกอากาศไปสปู่ ระชาชนท่ัวไปอกี ช่องทางหนึง่ วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์จึงเป็นสือ่ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ท่ีมี บทบาทในการสนับสนุนการศึกษามาเป็นเวลานานจนกระทั่งมีการก่อต้ังสถานีวิทยุโทรทัศน์เพ่ือการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการขึ้นใน พ.ศ.2537 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการศึกษาในประเทศไทยเร่ิมต้นใน ระดับอุดมศึกษาการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาในระยะแรกเป็นการใช้ในรปู แบบของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-AssistedInstruction:CAI) ตอ่ มาเม่ือมีเทคโนโลยีเครือข่ายและอินเทอรเ์ นต็ เกดิ ขน้ึ จงึ พัฒนาไปสู่ การเรียนการสอนออนไลน์หรอื Web-Based Instruction (WBI) E-learning ในประเทศไทยเริม่ ดาเนินการใน ปี พ.ศ. 2538 โดยรัฐบาลไดเ้ ปิดเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย เพ่ือต้องการจะเช่อื มโยงโรงเรียนตา่ งๆ ในประเทศ เข้าด้วยกันโดยผ่านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดจนการแลกเปล่ียนข้อมูล ข่าวสารทางการศึกษาร่วมกันบนเครือข่าย ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเม่ือวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2542 ให้ขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมโรงเรียนในระดับประถมศึกษามัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาท่ัวประเทศ โดยความรับผิดชอบของเนคเทค ปัจจบุ ันเนคเทคได้ดาเนินกิจกรรมบนเครือขา่ ยหลายอย่าง ประกอบด้วย การ จัดทาเว็บไซต์ของโครงการเพื่อเป็นส่ือกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้และเรยี นรู้ (เยาวลักษณ์พิพัฒน์เจริญกุล; 11กมุ ภาพันธ2์ 555) กระทรวงศึกษาได้มีการรับรองการศึกษาทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ตอย่างเป็นทางการ ต้ังแต่ ต้นปีพ.ศ.2549 จึงทาให้การเติบโตของหลักสูตร E-learning มีอัตราการเติบโตเป็นเท่าตัวเพราะการศึกษา ทางไกลไม่เพียงจะอานวยความสะดวกและเอ้ือประโยชน์ต่อผู้เรียนแล้วยังอานวยประโยชน์ให้กับ สถาบนั การศึกษาในแง่ของการบริหารจัดการอีกด้วย คือ ทาให้ต้นทุนในการจัดการหลักสูตรต่าลงด้วยรูปแบบ การเรียนการสอนในระบบทางไกลท่ีนักศึกษาไม่ต้องเดินทางมาเข้าชั้นเรียนและสามารถรองรับนักศึกษาได้ อย่างไม่จากัดเป็นช่องทางในการสร้างและขยายโอกาสทางการศึกษาใหเ้ ข้าถึงผู้ทมี่ ีความต้องการในวงกวา้ งข้ึน โดยเฉพาะนักศึกษาท่ีอาศัยในต่างจังหวัด ดังนั้น E-learning จึงเป็นช่องทางโอกาสและทางเลือกไม่เพียงแต่ นกั ศึกษาเทา่ นั้น มหาวิทยาลัยท้ังภาครัฐและภาคเอกชนยังได้ใหค้ วามสาคญั ด้วยเช่นกัน โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่าน มา มหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้มีการเปิดหลักสูตร E-learning กันมากมาย เช่น หลักสูตร วิทยาศาสตร์บัณฑิตสาขาการพัฒนาซอฟต์แวร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์ หลักสูตรบริหารธุรกิจ มหาบัณฑิตสาขาการท่องเท่ียวมหาวิทยาลัยนเรศวรมหาวิทยาลัย หลักสูตรศิลปศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาวิชา การจดั การความร้คู ณะศกึ ษาศาสตร์มหาวิทยาลยั ศิลปากรเกิดขึน้ อีกอย่างต่อเนื่องจะเห็นได้ว่าจากการขยายตัว ของหลักสูตรต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นได้สะท้อนให้เห็นแนวโน้มของ E-learning ที่เข้ามามีบทบาทสาคัญในงาน การศึกษา (อรวรรณ รักรู้; 6 กรกฎาคม 2550) ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สาย (wireless) ได้เร่ิม เข้ามามีบทบาทและเติบโตอย่างมากในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา อุปกรณ์แบบไร้สายต่างๆได้เข้ามาแทนท่ี อุปกรณแ์ บบมีสาย (wired) ที่เราเห็นไดช้ ัดเจนคอื โทรศพั ท์มือถือ เมอื่ มีการพฒั นาอย่างรวดเรว็ ของเทคโนโลยี แบบไร้สายเทคโนโลยีสาหรับอุปกรณ์ไร้สายต่างๆก็ถูกพัฒนาตามข้ึนไปด้วยซ่ึงได้แก่ Bluetooth, WAP (Wireless Application Protocol) และ GRPS (General Packet Radio System) เมื่อเทคโนโลยีได้

12 ก้าวหน้า วิธีการศึกษาหาความรู้ก็ถูกพัฒนาตามไปด้วยจึงเกิดข้ึน M-learning ย่อมาจาก mobile learning ซึ่งเป็นการพัฒนาอีกขั้นของ E-learning เป็นการผสมผสานท่ีลงตัวของการพัฒนาการศึกษาเรียนรู้โดยใช้ เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเทคโนโลยีท่ีกล่าวถึงน้ีก็คือ เทคโนโลยีการส่ือสารแบบไร้สายเราเรียกการเรียน แบบนว้ี า่ Wireless Learning, Mobile Learning หรอื M-learning ดงั น้นั M-learning คือการศึกษาทางไกล ผา่ นทางอปุ กรณเ์ คลือ่ นท่ีแบบไร้สายต่างๆเช่น โทรศัพท์มือถอื , PDA ,laptop computer, iPad, tablet เป็น ตน้ (ชนะศกึ โพธิ์นอก ; 8 กนั ยายน 2554) ซ่ึงในขณะน้ีในหลายๆสถาบันกไ็ ด้มีการมกี ารสอนแบบ E-learning ผ่านสื่อ M-learning เช่น iPad, tablet เหตุผลเน่อื งจาก สะดวกแก่การเรียนการสอนเพราะ ในมหาวิทยาลัยก็ มีระบบ Wi-Fi อย่างท่ัวถึงทาให้การเรียนผ่าน iPad, tablet แบบ E-learning เป็นจริงและได้ผลมากขึ้นเช่น ไม่เพียงแต่อาจารย์สามารถทาตารางเรียนเป็น PowerPoint ให้นักศึกษาดาวน์โหลดมาเรียนได้ แต่ยังเพิ่ม ความสนุกสนานในการเรียนมากขึ้นอีกด้วย VDO Clip และ interactive ทาให้การเรียนมีชีวิตชีวามากข้ึนการ ใช้ชวี ติ ในการเรยี นไม่น่าเบือ่ การเรียนการสอนในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต หลักสูตร 4 ปี มหาวิทยาลัยนเรศวร มีการสอน แบบบรรยาย ปฏบิ ัติ และ การใช้สือ่ การเรียนรู้ (E-learning) โดยทางคณะไดม้ ีระบบการเรยี นรทู้ น่ี กั ศกึ ษาช้ัน ปที ่ี 2 ถงึ 4 สามารถเขา้ ถึงเนือ้ หาเพมิ่ เตมิ ของแตล่ ะรายวิชาผา่ นเว็บไซต์ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร จานวนทัง้ หมด 74 เรอ่ื งประกอบดว้ ย E-learning nurse (เว็บเกา่ ) 48 สือ่ , E-learning VDO 15 ส่ือ ,E-learning nurse (เว็บใหม่) 11 ส่ือ ซึ่งยังไม่มีการประเมินว่า ผู้เรียน คือ นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตร บัณฑิต ทั้ง 3 ชั้นปี มีความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้อย่างไร จึงทาการวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลมาใช้ในการ พฒั นาส่ือการเรียนรทู้ ส่ี อดคล้องกับความตอ้ งการของผเู้ รยี น 2. เอกสารทีเ่ กี่ยวข้องกับความพงึ พอใจ 2.1 ความหมายของความพงึ พอใจ วิรุฬ พรรณเทวี (2542, หน้า 9) ได้ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกภายในจิตใจ ของมนุษย์ท่ีไม่เหมอื นกนั ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะมคี วามคาดหมายกับส่ิงหนงึ่ ส่ิงใดอย่างไรถ้าคาดหวังหรือมี ความตั้งใจมากและไดร้ ับการตอบสนองด้วยดจี ะมีความพึงพอใจมากแต่ในทางตรงกนั ข้ามอาจผดิ หวงั หรือไม่พึง พอใจเป็นอย่างย่ิง เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามท่ีคาดหวงไว้ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับสิ่งท่ีต้ังใจไว้ว่าจะมีมากหรือน้อย สอดคล้องกับ ฉัตรชัย ลิมพรจิตวิไล (2532, หน้า 7) ได้ให้ความหมายว่าความพึงพอใจหมายถึงความรู้สึกหรือ ทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งหน่ึงหรือปัจจัยต่างๆที่เก่ียวข้อง ความรู้สึกพอใจจะเกิดข้ึนเม่ือความต้องการของ บุคคลได้รับการตอบสนองหรือบรรลุจุดมุ่งหมายในระดับหนึ่ง ความรู้สึกดังกล่าวจะลดลงหรือไม่เกิดขึ้น หาก ความต้องการหรือจดุ มุง่ หมายน้นั ไมไ่ ด้รับการตอบสนอง จรัส โพธิ์จันทร์ (2553,หน้า 17) ได้กล่าวถึงความพึงพอใจว่าเป็นความรู้สึกของบุคคลต่อ หน่วยงาน ซึ่งอาจเป็นความรู้สึกในทางบวก ทางเป็นกลาง หรือทางลบ ความรู้สึกเหล่านี้มีผลตอ่ ประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติหน้าท่ี กล่าวคือ หากความรู้สึกโน้มเอียงไปในทางบวกการปฏิบัติหน้าท่ีจะมีประสิทธิภาพสูงแต่ หากความรู้สกึ โน้มเอียงไปในทางลบการปฏิบตั หิ น้าท่ีจะมีประสิทธภิ าพตา่ วิมลสิทธ์ิ หรยางกรู (2551,หน้า 9) กล่าวว่าความพึงพอใจเป็นการให้ค่าความรู้สึกของเราและมี ความสัมพันธ์กับโลกทัศน์ที่เก่ียวกับความหมายของสภาพแวดล้อม ค่าความรู้สึกของบุคคลท่ีมีต่อ สภาพแวดล้อมจะแตกต่างกัน เช่น ความรสู้ ึกเลว-ดี พอใจ-ไมพ่ อใจ สนใจ-ไม่สนใจ เป็นตน้ สง่า ภู่ณรงค์ (2551,หน้า 9) ได้ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจหมายถึงความรู้สึกท่ีเกิดข้ึนเม่ือ ไดร้ บั ผลสาเรจ็ ตามความมุง่ หมายหรอื เปน็ ความร้สู ึกข้นั สุดทา้ ยท่ีได้รับผลสาเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์

13 2.2 การวดั ความพึงพอใจ โยธิน แสวงดี (2551,หนา้ 9) กล่าววา่ มาตรวดั ความพึงพอใจสามารถกระทาได้หลายวิธี ไดแ้ ก่ 1. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ตอบแบบสอบถามจะออกแบบสอบถามเพ่ือต้องการทราบ ความคิดเห็น ซ่ึงสามารถทาได้ในลักษณะที่กาหนดคาตอบให้เลือกหรือตอบคาถามอิสระ คาถามดังกล่าวอาจ ถามความพึงพอใจในด้านตา่ งๆ เชน่ การบริหารและการควบคมุ งานและเงอื่ นไขตา่ งๆ เปน็ ต้น 2. การสมั ภาษณเ์ ป็นวิธวี ัดความพงึ พอใจทางตรงทางหนง่ึ ซ่งึ ต้องอาศัยเทคนิคและวิธกี ารที่ ดีจึงจะทาใหข้ อ้ มูลทเ่ี ป็นจริงได้ 3. การสังเกต เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ไม่ว่า จะแสดงออกจากการพูด กิริยาท่าทาง วิธีนี้จะต้องอาศัยการกระทาอย่างจริงจังและการสังเกตอย่างมีระเบียบ แบบแผน 2.3 แนวคดิ ทฤษฎีทเ่ี กี่ยวข้องกับความพงึ พอใจ เชลล่ี (Shelli, 1995, p. 9 อ้างถึงใน ปราการ กองแกว้ ,2546, หน้า 17) ไดศ้ ึกษาแนวคดิ เกยี่ วกับ ความพึงพอใจ สรุปได้ว่าเป็นความรู้สึกสองแบบของมนุษย์ คือ ความรู้สึกในทางบวกและความรู้สึกในทางลบ ความรู้สึกในทางบวกเปน็ ความรู้สึกทีเ่ ม่ือเกิดข้ึนแล้วทาให้ความรู้สึกท่ีมีระบบย้อนกลบั และความสุขน้ีสามารถ ทาให้เกดิ ความสุขหรือความร้สู ึกทางบวกเพิ่มข้ึนไดอ้ ีก ดังนน้ั จะเห็นไดว้ ่าความสุขเปน็ ความร้สู กึ ที่สลบั ซับซอ้ น และความสุขน้ีจะมีผลต่อบุคคลมากกว่าความรู้สึกในทางบวกอ่ืน ๆ ความรู้สึกทางลบ ความรู้สึกทางบวกและ ความสุขมีความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนและระบบความสัมพันธ์ของความรู้สึกทั้งสามนี้เรียกว่าระบบ ความพึงพอใจ โดยความพึงพอใจจะเกิดข้ึนเมื่อระบบความพึงพอใจมีความรู้สึกทางบวกมากกวา่ ความรู้สึกทาง ลบ ทฤษฎีความต้องการตามลาดับข้ันของมาสโลว์ (Maslow, 1970 อ้างถึงใน รังสรรค์ ฤทธ์ิผาด, 2550, หน้า 23) มาสโลว์ (Maslow) ได้เรียงลาดับสิ่งจูงใจหรือความต้องการของมนุษย์ไว้ 5 ระดับ โดย เรยี งลาดบั ขนั้ ของความต้องการไว้ตามความสาคัญ ดงั น้ี 1. ความตอ้ งการพนื้ ฐานทางสรีระ 2. ความตอ้ งการความปลอดภัยรอดพ้นอันตรายและมัน่ คง 3. ความต้องการความรัก ความเมตตา ความอบอ่นุ การมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมตา่ ง ๆ 4. ความต้องการเกยี รติยศชอ่ื เสียง การยกยอ่ ง และความเคารพตวั เอง 5. ความต้องการความสาเรจ็ ดว้ ยตนเอง ความพอใจในขั้นต่าง ๆ ของความต้องการของมนุษย์น้ี ความต้องการข้ันสูงกว่าบางคร้ังได้ ปรากฏออกมาให้เห็นแล้วก่อนท่ีความต้องการขั้นแรกจะได้เห็นผลเป็นที่พอใจเสียด้วยซ้า อย่างไรก็ตามบุคคล แต่ละคนสว่ นมากแสดงให้เห็นว่า ตนมีความพอใจอย่างสูงสุด ในลาดับขั้นความตอ้ งการข้ันต่าๆ มากกว่าขน้ั สูง จากการสารวจ พบว่า คนธรรมดาทั่วไปจะมีความพอใจในลาดับข้ันตอนต่างๆ ดังน้ี ความต้องการทางด้าน กายภาพ 85% ความต้องการความปลอดภัย 70% ความตอ้ งการทางด้านสังคม 50% ความต้องการเดน่ ใน สงั คม 40% ความต้องการท่จี ะไดร้ บั ความสาเรจ็ ในส่ิงทต่ี นปรารถนา 10%

14 3. แนวคิดทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง 3.1 แนวคิดของ Havighurst กล่าวว่าการจัดการเรียนการสอนที่ดีน้ันจะต้องเข้าใจพ้ืนฐานด้านการพัฒนาการของผู้เรียนและ จติ วทิ ยาการเรยี นรขู้ องผู้เรียน ในวัยที่สอนเป็นอย่างดีพัฒนาการของผเู้ รียนและจติ วิทยาการเรยี นรู้ของผู้เรียน ในวัยต่างกันจะมีความแตกต่างกัน Havighurst นักจิตวิทยาได้แบ่งพัฒนาการของผู้เรียนไว้เป็น 6 ช่วงอายุ ไดแ้ ก่ 1) วัยทารกและวัยเด็กเล็ก อายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงประมาณ 6 ปี 2) วัยเด็กตอนกลางอายุ ประมาณ 6-12 ปี 3) วยั รุ่นอายปุ ระมาณ 12-18 ปี 4) วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุประมาณ 18-30 ปี 5) วัยผ้ใู หญ่ ตอนกลาง อายุประมาณ30-60 ปี 6) วัยผู้ใหญ่ตอนปลาย อายุตั้งแต่ 60 ปีข้ึนไป วัยผู้ใหญ่ตอนต้นผู้เรียนใน ระดับอดุ มศกึ ษามักอยใู่ นอายุประมาณ 18-22 ปี ดงั นนั้ จิตวิทยาดา้ นการเรยี นรขู้ องผูเ้ รียนระดับอุดมศกึ ษาจึง แตกต่างจากเด็กพอสรุปได้ ดังตอ่ ไปนี้ 1. ต้องการด้านการยอมรับ ซ่ึงหากผู้เรียนเกิดความรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการยอมรับใน สถานการณ์ต่างๆแลว้ จะเกดิ ความเคร่งเครียด และอาจตอ่ ต้าน สิ่งท่ีสาคัญคือต้องพยายามทาให้ผู้เรียนน้ันเกิด self-directing ในการเรยี นการสอนให้มากท่ีสุดดว้ ย 2.ผู้เรียนระดับอุดมศึกษาเป็นผู้ท่ีมีวุฒิภาวะและมีประสบการณ์อย่างหลากหลายซ่ึง ประสบการณ์ต่างๆเหล่าน้ันจะเป็นแหล่งข้อมูลและเป็นประสบการณเดิมที่มีคุณค่าสูงย่ิงสาห รับการเรียนรู้ต่อ สงิ่ ใหมๆ่ ต่อไป 3. มีความพร้อมในการเรยี นรแู้ ละมีวุฒิภาวะท่ีพรอ้ มจะเรียนรู้ในด้านวชิ าการต่างๆ ดังน้นั การ สอนใหผ้ ู้เรียนระดับอุดมศกึ ษาเรียนรู้จงึ มกั จะทาให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่อยากจะเรยี นรู้ซึ่งต่างจากเดก็ มัก ยดึ ถือว่าเดก็ ต้องเรียนในส่งิ นั้นส่งิ นเ้ี พราะคาดว่าจะเป็นประโยชน์กบั เดก็ ในอนาคต 4. จัดการเรียนรู้ท่ีมีความเหมาะสม กล่าวคือการสอนเด็กมักจัดการเรียนการสอนในลักษณะ การเรยี นแบบวิชาเป็นศนู ย์กลาง (Subject centered) ในขณะทีผ่ เู้ รยี นระดับอดุ มศึกษาควรจัดการเรยี นรูแ้ บบ ปญั หาเป็นศนู ยก์ ลาง (Problem centered) นอกจากน้ันการเรียนในมหาวิทยาลัยมักเรียนรู้เพื่อไปประกอบอาชีพเป็นพื้นฐานสาหรับการทางาน และผู้เรียนท่ีเข้ามาเรียนก็มวี ัตถุประสงคอ์ ย่างชดั เจน (Knowles, 1978 อา้ งถึงใน สุวัฒนวฒั นวงศ, 2538 อ้าง ใน สมชาย รัตนทองคา, 2550) 3.2 แนวคิดการจัดการศึกษาสาหรบั ผู้ใหญ่ การศึกษาผู้ใหญ่เชิงพฤติกรรมนิยม (Behaviorist adult education) ลักษณะสาคัญของแนวคิด การศกึ ษาเชงิ พฤติกรรมนิยมอยูท่ ีก่ ารให้ความสนใจในพฤตกิ รรมท่แี สดงออกของสิ่งมีชีวติ ซ่ึงสงั เกตไดพ้ ฤติกรรม ของสัตว์และมนุษย์ถูกสังเกตและศึกษาในสภาพการควบคุมด้วยหลักการและระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ พ้ืนฐานความเช่ือของพฤติกรรมนิยมอยู่ท่ีพฤติกรรมของบุคคลถูกกาหนดจากปัจจัยภายนอกและจาก สิ่งแวดล้อมท่ีบุคคลสามารถควบคุมได้น้อยมากหรือแทบควบคุมไม่ได้เลยความเชื่อด้านพฤติกรรมนิยมมี รากฐานมาจากความเชอื่ ทหี่ ลากหลายได้แก่ 1. วัตถุนิยม ท่ีเชื่อว่าความจริงแท้สามารถอธิบายได้โดยกฏของความเป็นวัตถุและความ เคลอื่ นไหวมนษุ ยเ์ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของธรรมชาติและเป็นส่วนทมี่ คี วามซับซ้อนมาก 2. ประจักษ์นิยมและสัจจนิยมทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่า ในความจริงท่ีได้จากระบบประสาท สมั ผัส รับรู้และโดยวิธี inductive

15 3. ความเชือ่ ในสิง่ ทเ่ี ห็นได้ (positivism) ท่ีเชื่อในความรแู้ ละความจริงที่ได้จากการสังเกตทาง วิทยาศาสตรแ์ ละการวัดและรวบรวมข้อเท็จจริงจากรากฐานดังกล่าวเกิดจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์และ พัฒนาเป็นทฤษฏีและกฏต่างๆ เช่น Pavlov กับ classical conditioning หรือ Skinner กับ operant conditioning หรือ Thorndike กับ laws of learning (law of effect, law of exercise, law of readiness) จิตวิทยาการศึกษาพฤติกรรมนิยม Skinner เชื่อว่า ค่านิยมพ้ืนฐานของบุคคลและสังคม คือความอยู่ รอดดังนัน้ เมอื่ พจิ ารณาค่านิยมพื้นฐานรวมกบั ภารกิจของการศึกษาอาจกลา่ วได้วา่ 1. เพ่ือให้บุคคลอยู่รอดการศึกษาต้องทาให้บุคคลมีทักษะท่ีสาคัญในการอยู่ในสังคม คือการ ประกอบอาชพี หรือเรียนรู้วิธกี ารเรียนรูซ้ ่ึงเป็นทกั ษะสาคัญสาหรบั บุคคลทตี่ ้องปรบั ตัวให้เข้ากับส่งิ แวดล้อมท่ีมี การปรบั เปลย่ี นตลอดเวลา 2. เพ่ือให้สังคมและส่วนร่วมอยู่รอดการศึกษามีหน้าท่ีสร้างเสริมให้เกิดความร่วมมือและ พึ่งพาซึง่ กันและกันในการแกป้ ญั หาระดับโลก บคุ คลรว่ มมือกนั สร้างสงั คมทมี่ ีทกุ ขใ์ หม้ ปี ัญหาน้อยท่สี ุด ดังน้ันบทบาทผู้สอนก็คือการสร้างสิ่งแวดล้อมที่สามารถสร้างเสริมให้เกิดพฤติกรรมท่ีปรารถนา ส่งเสริมการอยู่รอดรวมทั้งสร้างสิ่งแวดล้อมท่ีกาจัดหรือควบคุมพฤติกรรมที่ไม่ปรารถนานั่นคือผู้สอนเป็นผู้ วางแผนเลือกสภาพเงือ่ นไข (condition) กอ่ ให้เกิดพฤติกรรมที่ปรารถนา ส่วนบทบาทผู้เรียน ตอ้ งเป็นผลู้ งมือ กระทา ลงมอื ปฏิบตั ิเพื่อทาให้เกดิ พฤตกิ รรมที่พงึ ปรารถนา โดยได้รับการเสริมแรงท่ีเหมาะสมจนเกดิ การเรยี นรู้ ตามลาดับ การตั้งวัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรมเป็นแนวคิดที่นิยมในวงการศึกษาตามแนวคิดพฤติกรรมนิยม ซ่ึงมี องค์ประกอบท่สี าคัญคอื 1. เงอื่ นไขส่งิ เรา้ ที่ผเู้ รียนได้รบั 2. พฤตกิ รรมทผี่ ู้เรียนต้องลงมอื กระทา 3. เกณฑ์ท่ีใช้พิจารณาความสาเร็จของพฤติกรรมจากองค์ประกอบท่ีมีความชัดเจนทาให้ สามารถวัดและประเมินผลสัมฤทธ์ิการเรียนรู้ซ่ึงการประเมินผลตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมจะเป็นปรนัย ปราศจากความเป็นอตั นยั (หรอื มคี วามเป็นอตั นัยนอ้ ย) 3.3 แนวคดิ การเรียนรู้ดว้ ยการช้ีนาตนเอง (Self-Directed Learning) การเรียนรู้ด้วยการช้ีนาตนเอง หรือ Self-directed Leaning เป็นแนวคิดท่ีได้รับความสนใจ อย่างมากจากนักวิจัยท่ีมีช่ือเสียงหลายท่านอาทิ โนลส์ (Knowles) โรเจอร์ (Rogers) และคาฟฟาเรลลา (Caffarella) เปน็ ต้น นกั วิจัยเหล่าน้เี ชื่อในแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเองว่ามิใช่เป็นเพียงแฟช่ันที่ได้รับ ความนยิ มเพียงช่วั ครู่แล้วจางหายไป แต่จะเป็นแนวคิดของการเรยี นรูท้ ่ีอยู่คกู่ ับผู้เรียน จนกลายเปน็ วิถีแห่งการ เรียนรู้ท่ีสาคัญของผู้ใหญ่ (Brockett & Hiemstra, 1991) แนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชี้นาตนเองนั้นมีพ้ืนฐาน มาจากทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (Andragogy) ของ มัลคอล์ม โนลส์ (Malcolm Knowles) ซ่ึงจอห์น ดิวอี้ (John Dewey) เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ได้กล่าวว่ามนุษย์เกิดข้ึนมาพร้อมกับพลังท่ีไม่จากัดสาหรับการ เจริญเติบโตและการพัฒนา โดยการศึกษาเป็นสิ่งท่ีช่วยให้เกิดการพัฒนาของมนุษย์ซึ่งผู้สอนต้องระมัดระวังท่ี จะไม่เข้าไปแทรกแซง หรือเข้าไปควบคุมกระบวนการของการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้สอนควรทาหน้าท่ีเพียงผู้ แนะนาเท่าน้ัน ทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (Andragogy) ได้ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและถือว่าประสบการณ์ ของผู้เรียนเป็นหัวใจสาคัญสาหรับการเรียนรู้ จากพื้นฐานแนวคิดดังกล่าวได้ต่อยอดมาเป็นแนวคิดการเรียนรู้ ด้วยการช้ีนาตนเองท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ซ่ึงผู้เรียนสามารถช้ีนาตนเองไปสู่การเรียนรู้ท่ี ต้องการได้ โดยมีผู้สอนเป็นผู้คอยสนับสนุนและช่วยเหลือเท่านั้น (Wilcox, 1996 อ้างใน ปิยะ ศักด์ิเจริญ 2558)

16 4. งานวจิ ัยทเี่ ก่ียวขอ้ ง เขมกร อนุภาพ (2560) ศึกษาการใช้การเรียนรู้แบบนาตนเองเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้วิชาคอมพิวเตอร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดลาโพง (คล้อยประชารังสฤษฏ์) อาเภอบางบัวทอง จังหวัด นนทบุรี จานวน 1 ห้องเรยี น จานวน 43 คน ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2559 เลือกแบบเจาะจง (Purposive shamping) พบว่า ความรู้สึกของผู้เรียนมีความสัมพันธ์กับความรู้ ดังนั้นการที่ทาให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจ ในการเรียนทาใหเ้ กิดการเรียนรอู้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ ส่วนผลสัมฤทธ์ิทางการศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์ มีนักเรียน ท่ผี ่านเกณฑ์ไมต่ ่ากวา่ ร้อยละ70 ร้อยละ 41.86 และ ณฐกมล คงดี (2554) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะส่วนบุคคลและทัศนคติต่อลักษณะ ผลิตภัณฑ์กับความพึงพอใจหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ของผู้อ่านในกรุงเทพมหานครกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือผู้ทีอ่ ่านหนงั สือพมิ พโ์ พสตท์ ูเดยจ์ านวน 400 คน พบว่า มีทัศนคติท่ีมีต่อผลิตภัณฑ์ อันได้แก่ การออกแบบ ความหลากหลาย และคุณภาพ ในด้าน ความหลากหลายมีค่าเฉล่ียรวมเท่ากับ 3.71 โดยเน้นข่าวมีความน่าสนใจและมีความแปลกใหม่มากท่ีสุดมี คา่ เฉล่ียรวมเท่ากับ 3.73 และรองลงมาคือมีเน้ือหาสาระและประเภทข่าวท่ีหลากหลายมีค่าเฉล่ียเทา่ กับ 3.89 ในด้านการออกแบบมีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.67 โดยให้ความสาคัญกับรูปแบบการจัดวางและการแบ่งคอลัมน์ ทาให้อ่านและเข้าใจได้ง่ายมากท่ีสุดมีค่าเฉล่ียรวมเท่ากับ 3.77 และรองลงมาคือขนาดและรูปแบบของ ตวั อักษรเหมาะสมกับสายตาทาให้อ่านงา่ ยมคี ่าเฉล่ียรวมเทา่ กับ 3.63 และขนาดรปู เลม่ เหมาะสมสะดวกในการ พกพาและหยิบจบั ง่ายมีคา่ เฉลีย่ รวมเทา่ กบั 3.59 ในดา้ นคณุ ภาพมคี ่าเฉลีย่ รวมเทา่ กับ 3.55 โดยให้ความสาคัญ ความถูกต้องและแม่นยาในการเขียนข่าวมากท่ีสุดมีคา่ เฉล่ียรวมเท่ากับ 3.63 รองลงมาคอื คุณสมบัติพิเศษของ หมึกพิมพ์ทาให้ไม่เป้ือนมือผู้อ่านมีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.54 ข้อมูลข่าวเป็นจริงและน่าเชื่อถือมีค่าเฉลี่ยรวม เทา่ กบั 3.54 ผ้ตู อบแบบสอบถามมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับพอใจมากมีคา่ เฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.68 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบวา่ มีความพึงพอใจในระดับพอใจมากทุกดา้ นโดยพงึ พอใจในเน้อื หามคี ่าเฉลี่ยรวม มากท่ีสุดเท่ากับ 3. 71 รองลงมาคือปริมาณคอลัมน์ข่าวมีค่าเฉล่ียรวมเท่ากับ 3.67 พึงพอใจในภาษาที่ใช้มี ค่าเฉล่ียรวมเท่ากบั 3. 65 และมคี วามพึงพอใจในรปู เลม่ มีค่าเฉล่ยี รวมเทา่ กบั 3. 70 สุดาพร ตงศิริ (2560) ศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือวีดีทัศน์และการเชิญวิทยากรบรรยายในการ เรียนการสอนวิชา จป 11 (การประมงทั่วไป) นกั ศึกษาทล่ี งทะเบยี นเรียนวิชา จป 111 (sec 1) ในภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษาท่ี 2560 จานวน 34 คน พบว่าจากการทาแบบสอบถามทงั้ 34 คน เหน็ ดว้ ยกับการนาสื่อวดี ิทศั น์ และ เชิญวิทยากรมาบรรยาย คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100 และได้เสนอแนะข้อคดิ เห็นวา่ การใชส้ ่อื วีดทิ ศั น์ จะทาให้ได้ เห็นทกุ ข้ันตอนกระบวนการในการผลิต ได้เห็นอปุ กรณแ์ ละรูปร่างเครื่องมือ และสามารถเข้าใจหลกั การทางาน ได้ ส่วนด้านวิทยากร จะได้ความรู้ใหม่ๆ จากประสบการณ์จริง ได้ความรู้ด้านอื่นๆ เพิ่มเติมจากวิทยากร การ นาสื่อวีดิทัศน์มาใช้ในการเรียนการสอนมีข้อดี ดังน้ี สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ดี สามารถอธิบายเนื้อหาไม่เข้าใจ ได้ชัดเจนขึ้น และมีข้อเสีย ดังน้ี มีความยุ่งยากในการเรียน ไม่เรียงลาดับตามหัวข้อที่เรียนไม่สามารถเห็น เหตกุ ารณ์จริงได้ ไมส่ ามารถหาข้อสรุปของเนอ้ื หา ตอ้ งใชอ้ ปุ กรณ์เพม่ิ เตมิ ในการเรยี นทาใหย้ ุ่งยาก สุเนตร สืบค้า (2552) ศึกษาเก่ียวกับความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนการสอนผ่านเว็บด้วย โปรแกรมMoodle นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชา วก 341 หลักกระบวนการทางวิศวกรรมเกษตร ในภาค เรียนที่ 2 ปีการศกึ ษาที่ 2552 จานวน 46 คนแบบสอบถามทั้ง 46 คน ผลการศกึ ษาพบว่า นกั ศึกษาส่วนใหญ่มี คอมพิวเตอร์ส่วนตัวใช้ คิดเป็นร้อยละ95.70 ทาให้สามารถท่องเว็บได้อย่างสะดวกสบาย ท้ังจากท่ีพักคิดเป็น ร้อยละ 65.20 และจากมหาวิทยาลัย คิดเป็นร้อยละ 95.70 โดยมีระยะเวลาในการท่องเว็บ 1 – 3 ชั่วโมงต่อ

17 วันคิดเป็นร้อยละ 41.30 ผู้เรียนมีความพึงพอใจในทุกข้อคาถามในระดับมากยกเว้นการช่วยให้ผู้เรียนเกิด ความเข้าใจในบทเรียนมากข้ึนและการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้นา่ สนใจซ่ึงมคี วามพงึ พอใจในระดับปาน กลางในช่วงแรกของการเรียนการสอนนั่นระบบยังไม่ค่อยสมบูรณ์นักทาให้ผู้เรียนเข้าถึงระบบได้ยาก นอกจากนี้ผู้สอนยังปรับเปล่ียนบทเรียนตลอดเวลาทาให้บทเรียนบางบทเรียนไม่ค่อยนิ่งและผู้เรียนยังไม่ สามารถเข้าถึงระบบได้ในห้องเรียนเน่ืองจากในห้องเรียนไม่มีสัญญาน LAN มีแต่ Wireless ซึ่งมีความเร็วต่า เกินกว่าจะเข้าถึงบทเรยี นออนไลน์ อนุชา สะเล็ม (2560) ศึกษาการประยกุต์ใช้ E-learning ในกระบวนการเรียนการสอนวิทยาลัย เทคโนโลยบี ริหารธุรกิจมนี บุรี กรงุ เทพ Apply of E-learning in the teaching process Minburi Bangkok Business Administration Technological College. โดยเป็นการนามาทดลองใช้ในรายวิชาเครือข่าย คอมพิวเตอร์ เบื้องต้นและการสร้างเว็บไซต์ ปีการศึกษา 2560 โดยทาการวิเคราะห์ข้อมูลจากนักเรียนจานวน 43 คน พบว่าระบบ E-learning สามารถเข้าถึงเน้ือหาการเรียนได้จากอุปกรณ์ต่างๆเช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ผ่านทางระบบเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ และสามารถนามาปรับกระบวนการเรยี นการสอนจากรูป แบบเดิม ซึ่งเป็นการเรียนแบบพบหน้ากันในช้ันเรียนเพียงอย่างเดียวให้เป็นกระบวนการเรียนการสอนแบบ ผสมผสาน โดยนาระบบ E-learning มาประยกุ ต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนร่วมกันกบั การเรียน มีกจิ กรรม การเรยี นรู้ทเ่ี หมาะสมในแต่ละรายวิชา มีเนื้อหาการเรียนที่น่าสนใจทัง้ ขอ้ ความ เสยี ง รูปภาพ ภาพเคลือ่ นไหว ผู้สอนสามารถจัดการเน้ือหาและกิจกรรมในการเรียน เช่น การสร้างรายวิชา สร้างบทเรียน ดาวน์โหลดข้อมูล กาหนดระยะเวลาในการเรียน กาหนดกิจกรรมในการเรียนการสอน การส่ังงานและการส่งงาน การสร้าง ข้อสอบ การวัดและประเมินผลความรู้ของนักเรียนผ่านระบบได้ อีกทั้ง นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมาก ท่ีสดุ คือ โครงสร้างของเน้ือหาครอบคลุมวตั ถุประสงค์ของบทเรียน E-learning ชว่ ยเสรมิ ทกั ษะการเรยี นรดู้ ้วย ตนเอง E-learning มปี ระสทิ ธิภาพในการจัดการเรียนการสอนทาให้เกิดความน่าสนใจ มีกิจกรรมในการเรียนที่ หลากหลาย E-learning เป็นการเพ่ิมช่องทางในการเรียนที่ทันสมัยและสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ประหยดั เวลาการเรียนในหอ้ งเรยี น เพิม่ โอกาสในการเข้าถึงเนอ้ื หาการเรียนได้จากอุปกรณ์ตา่ งๆ ทหี่ ลากหลาย ผ่านทางระบบเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ İlkay and Zeynep (2014) ศึกษาถึงผลของ E-learningต่อการศึกษาพยาบาล จากการทบทวน วรรณกรรมทั้งหมด 13 เรื่อง พบว่าการเรียนแบบ E- learning มีผลลัพธ์ไม่ต่างจากการเรียนในห้องเรียน เน่ืองจากการเรียนแบบ E- learning มีข้อจากัดในการเรียนรู้หลายๆด้าน เม่ือเปรียบเทียบกับการเรียนรู้ใน หอ้ งเรียน การเรียนรู้ในห้องเรียนนนั้ เป็นวิธีท่ีมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงการปฏิบัติของผ้เู รียนและสามารถ ใช้เป็นทางเลือกในการศึกษาทางการพยาบาล ตามผลลัพธ์ของส่ิงน้ีการทบทวนววรณกรรม อาจกล่าวได้ว่า การศึกษาแบบ E- learning ผู้ศึกษาต้องมีความเข้าใจเก่ียวกับความรู้ในเรื่องน้ันๆมาก่อน การบรรยายจะมี เนื้อหาท่ีครอบคลุมกับหลักสูตรและมีการเรียงลาดับความสาคัญ และการเรียนโดยโปรแกรม E- learning ได้รับผลตอบรับท่ีดีเกี่ยวกับเน้ือหาและการออกแบบและนักเรียน พบว่าโปรแกรมการทดสอบมีแรงจูงใจหาก มหาวทิ ยาลัยใช้ประโยชน์จาก E-learning ในระดบั ท่ีสูงข้ึนจะต้องลงทุนในคอมพิวเตอรม์ ากขึ้นและการเข้าถึง แบบไร้สายในหลายพ้ืนที่ของมหาวิทยาลัย เป้าหมายการเรียนรู้ท่ีเฉพาะเจาะจงได้รับการพิจารณาว่ามี ประโยชน์และคุ้มค่าโดยนักศึกษาในการเตรียมการทดสอบเนื่องจากพวกเขาเน้นประเด็นท่ีสาคัญท่ีสุดและ ข้อผิดพลาด อาจารย์ยังให้ข้อเสนอแนะในเชิงบวกในแง่ของการเตรียมการสอนบนพื้นฐานของเป้าหมาย เดยี วกัน

18 กรอบแนวคิดในการวิจยั (Conceptual framework) ดา้ นเน้อื หาบทเรยี น - โครงสร้างเน้ือหาครอบคลุมวัตถปุ ระสงค์ของบทเรียน ความพึงพอใจในการใช้ ด้านสว่ นประกอบมัลติมีเดยี E-learning - การออกแบบปฏิสมั พนั ธง์ ่ายต่อการใช้งาน สัดสว่ น เหมาะสมและสวยงาม ด้านการใช้ในการเรียนการสอน - ช่วยเสริมทกั ษะการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง - สามารถเขา้ ถึงเนือ้ หาได้งา่ ยและทาซา้ เพ่ือความเข้าใจ ได้ - มีประสทิ ธภิ าพในการจัดการเรยี นการสอน ทาใหเ้ กิด ความน่าสนใจ มกี จิ กรรมในการเรยี นทีห่ ลากหลาย - เปน็ การเพิ่มช่องทางในการเรียนทที่ นั สมัยและ สามารถเรยี นรู้ได้ตลอดเวลา - ประหยัดเวลาการเรียนในห้องเรยี น

19 บทท่ี 3 วิธกี ารดาเนินงาน วธิ ีการดาเนินงาน การวิจัยคร้ังน้ี เป็นการวิจัยเชิงพรรณา (Descriptive Research) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้ สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย นเรศวร ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ประชากร ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ เป็นนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2 ถึง 4 มหาวทิ ยาลยั นเรศวร รวมจานวนประชากร ทัง้ หมด 346 คน ดงั น้ี นิสติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑิต ชนั้ ปที ี่ 2 จานวน 126 คน นสิ ิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต ช้ันปที ี่ 3 จานวน 125 คน นิสติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีท่ี 4 จานวน 113 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุม่ ตวั อย่างในการวิจยั คร้ังน้ี เป็นนสิ ิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชั้นปที ี่ 2 ถงึ 4 มหาวิทยาลัย นเรศวร มีจานวน 210 คน (Taro Yamane , 1973 อ้างอิงใน บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์, 2529) เนื่องจาก ทราบจานวนของประชากรท่ีใช้ในการศึกษาและกาหนดความคลาดเคล่ือนของการศึกษาไว้เท่ากับ 5 เปอร์เซน็ ต์ N = จานวนประชากร = 346 คน e = คา่ ความคลาดเคลอ่ื นที่ยอมรบั ได้ = 0.05 n = จานวนกลุ่มตวั อย่าง จานวนกลมุ่ ตัวอย่างทค่ี านวณได้ = 191 คน และเพม่ิ จานวนกลมุ่ ตวั อย่างอีกร้อยละ 10 เพ่ือปอ้ งกัน การสญู หายของกลุ่มตัวอย่างในระหว่างการเกบ็ ขอ้ มลู (Polit, D.F. & Beck, C.T., 2004) รวมเปน็ กลุ่มตัวอยา่ ง ท่คี านวณได้ทงั้ หมด 210 คน โดยแบง่ เปน็ ดังน้ี นสิ ิตหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชน้ั ปีที่ 2 จานวน 73 คน นิสติ หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชั้นปีท่ี 3 จานวน 72 คน นิสติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชน้ั ปที ่ี 4 จานวน 65 คน เกณฑ์การคดั เข้า (Inclusion Criteria) 1. นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตท่ีกาลังศึกษาชั้นปีที่ 2 ถึง 4 ที่เคยเข้าใช้งานสื่อการ เรียนรู้ (E-learning) ในเว็บไซต์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร 2. ยินยอมเขา้ รว่ มวิจยั และเซ็นตใ์ บยินยอมเขา้ ร่วมวจิ ัย

20 เกณฑ์การคดั ออก (Exclusion Criteria) 1. ขอยุติการเข้าร่วมวจิ ัยระหวา่ งการทาวิจยั 2. นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตที่ลาออกจากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร 3. ไม่ไดล้ งทะเบยี นเรยี นหลักสูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร 4. นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตที่ไม่ได้ศึกษาอยู่ในระดับชั้นปีที่ 2 ถึง 4 ตามแบบ แผนการเรียนหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต ปกี ารศกึ ษา 2562 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร วธิ กี ารสุม่ กลุ่มตวั อยา่ ง ใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple random sampling) แบบไม่มีการแทนท่ี (Sampling without replacement) โดยการเลือกจากประชากรข้ึนมาแล้วไม่นากลับไปในประชากรอกี ดังนัน้ จะไม่มีโอกาสท่ีกลุ่ม ตวั อย่างจะซ้ากันเนอ่ื งจากการปฏิบตั ิงานจรงิ นั้นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากกลมุ่ ตัวอย่างสองคร้ังนั้นจะเป็นการ รบกวนกล่มุ ตวั อย่าง (สานักงานสถติ ิแห่งชาติ, ม.ป.ป.) เครือ่ งมือท่ใี ช้ในการศกึ ษา เครอื่ งมือที่ใช้ในการศึกษาครง้ั นเี้ ปน็ แบบสอบถามปลายปดิ และขอ้ คาถามปลายเปดิ ประกอบดว้ ย 3 ส่วน ส่วนท่ี 1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย นเรศวร ประกอบด้วยคาถามจานวน 2 ข้อ ไดแ้ ก่ เพศ ระดบั การศกึ ษา ส่วนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) มาตราส่วน ประมาณคา่ แบบกาหนดตวั เลข (Numerical Rating scale) มตี ัวเลือก 5 ระดับ มีจานวน 18 ขอ้ ประกอบด้วย เน้ือหาเก่ียวกับความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ได้แก่ ด้านเนื้อหาบทเรียน 3 ข้อ ด้าน สว่ นประกอบมัลตมิ เี ดีย 7 ข้อ ดา้ นการใชใ้ นการเรียนการสอน 8 ขอ้ ลักษณะแบบสอบถามท่ีสร้างข้ึน เป็นแบบสอบถามปลายปิด มีข้อคาถามให้เลือกตอบเป็นมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดบั โดยกาหนดคะแนน ในแตล่ ะระดับดังน้ี มคี วามพึงพอใจมากท่สี ุด ได้คะแนน 5 มีความพงึ พอใจมาก ไดค้ ะแนน 4 มีความพงึ พอใจปานกลาง ไดค้ ะแนน 3 มคี วามพึงพอใจน้อย ได้คะแนน 2 มีความพงึ พอใจน้อยทส่ี ุด ไดค้ ะแนน 1 ส่วนที่ 3 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อเสนอแนะในการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) โดยใช้ข้อคาถาม ปลายเปดิ จานวน 1 ข้อ ผูว้ ิจยั ปรับปรงุ ขอ้ คาถามในแบบประเมินความพึงพอใจการใชง้ านระบ E-learning ของ อนุชา สะเล็ม (2560) ซ่ึงมีจานวนข้อคาถามเดิม ปรับเพิ่มเป็น 18 ข้อ เพ่ือให้สอดคล้องกับงานวิจัยน้ี โดยได้ดาเนินการตาม ขนั้ ตอนดงั ต่อไปนี้ 1. ศึกษาเอกสาร งานวิจัยและกรอบแนวคิด ที่เกี่ยวข้องเพื่อนามาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุง แบบสอบถามให้มีประสทิ ธภิ าพและสอดคล้องตามวัตถุประสงคข์ องงานวจิ ยั 2. ปรบั ปรุงแบบสอบถาม โดยแบ่งออกเปน็ สว่ นท่ี 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลยั นเรศวร ประกอบด้วยคาถามจานวน 2 ขอ้ ไดแ้ ก่ เพศ ระดับการศกึ ษา

21 ส่วนที่ 2 ความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ประมาณค่า (Rating scale) มีตัวเลือก 5 ระดับ มีจานวน 18 ข้อ ประกอบด้วยเน้ือหาเกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการ เรียนรู้ (E-learning) ได้แก่ ดา้ นเน้ือหาบทเรียนจานวน 3 ข้อ ดา้ นส่วนประกอบมัลตมิ ีเดียจานวน 7 ข้อ ด้าน การใชก้ ารเรยี นการสอนจานวน 8 ข้อ สว่ นที่ 3 ข้อเสนอแนะในการใช้ส่ือการเรยี นรู้ (E-learning) โดยใชข้ ้อคาถามปลายเปดิ 1 ขอ้ 3. นาแบบสอบถามท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความ เช่ยี วชาญทางด้านเทคโนโลยที างการศกึ ษา ไดแ้ ก่ อาจารย์พยาบาลท่มี ีความเช่ยี วชาญทางด้านเทคโนโลยที าง การศึกษา (อาจารย์ผู้สอนรายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร) จานวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้อง ความเที่ยงตรงตามเน้ือหา และเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อคาถามท่ีมีข้อความตาม วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย งานวจิ ัยนย้ี อมรับได้ ณค่าความเท่ียงตรงที่ 0.80 (ปราณี มีหาญพงษ์และคณะ, 2561) 4. นาแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบและแก้ไขไปทดลองใช้ (Try out) โดยนา แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์นั้นไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง นิสิตหลักสูตรพยาศาสตรบัณฑิต ชั้นปีท่ี 2 ถึง 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร จานวน 30 ชุด เพ่ือหาค่าความเชื่อม่ัน (Reliability) โดยใช้วธิ ีหาค่าสมั ประสทิ ธิ์อัลฟ่า (-Coefficient) ด้วยสตู รครอนบรัคอัลฟา่ (Cronbach’s alpha) เพ่อื ใหไ้ ดค้ า่ ความเช่ือมน่ั ซ่งึ มคี า่ ระหว่าง 0 ≤ ≤ 1 ค่าที่ใกล้เคียงกับ 1 แสดงว่ามีความเชื่อถือได้มาก งานวิจัยนี้ ยอมรับได้ ณ ค่าความเช่ือมั่นที่ 0.80 (ปราณี มหี าญพงษ์และคณะ, 2561) การดาเนนิ การวจิ ัย / การเก็บรวบรวมขอ้ มูล วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลของการศึกษาครั้งนี้ คือ การใช้แบบสอบถามปลายปิดและข้อคาถาม ปลายเปิด โดยมีขัน้ ตอนการรวบรวมข้อมูล ดงั น้ี 1. ทาหนังสือขออนุญาตจากคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อขอเข้า เกบ็ ขอ้ มลู วิจยั กับกล่มุ ตวั อย่าง 2. เม่ือได้รับอนุญาตแล้ว คณะผู้วิจัยตดิ ต่อกบั เจ้าหน้าท่ีแผนกระเบยี นนกั ศึกษา เพ่ือขอทราบ รายชอื่ นสิ ิตในแตล่ ะชัน้ ปี 3. เมื่อไดร้ ายชอ่ื นิสติ แต่ละชัน้ ปีแล้ว ทาการคัดเลอื กรายช่ือนิสิตในแต่ละช้นั ปีลงในกล่องแล้ว ทาการสุ่มอยา่ งง่ายตามสัดสว่ นท่ีคานวณไดใ้ นแตล่ ะช้ันปี แล้วทาการจับฉลากกลมุ่ ตวั อย่างในแต่ละช้นั ปี โดยมี นสิ ติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปที ี่ 2 จานวน 73 คน นิสิตหลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 3 จานวน 72 คน นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชัน้ ปที ่ี 4 จานวน 65 คน รวมเป็นกลมุ่ ตวั อย่างทค่ี านวณได้ท้งั หมด 210 คน 4. เมื่อได้รายช่ือนิสิตในแต่ละช้ันปีมาแล้ว ทาการประสานงานกับหัวหน้าช้ันปีนิสิตหลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีท่ี 2 ถึง 4 เพ่ือนัดหมายวันเวลาการเข้าพบกลุ่มตัวอย่าง โดยจะมีการนัดพบกลุ่ม ตัวอย่างหลังจากเสร็จสิ้นการเรียนในเวลา 17.00 - 17.30 น. โดยผู้วิจัยจะเข้าพบกลุ่มตัวอย่างที่โถงคณะเพื่อ ช้ีแจงวัตถุประสงค์การวิจัยอธิบายขั้นตอนและวิธีการรวบรวมข้อมูลและขอความร่วมมือในการตอบ แบบสอบถามการวิจัย เมื่อกลุ่มตัวอย่างยินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัย ผู้วิจัยจะให้กลุ่มตัวอย่างเซ็นช่ือในใบ ยินยอมการเข้าร่วมโครงการวิจัย และทาการแจกแบบสอบถาม (ใส่ซองสีน้าตาลขนาดใหญ่) แล้วนัดขอรับคืน อีก 1 สัปดาหต์ อ่ มา 5. หวั หน้าชัน้ ปีทาการแจกแบบสอบถามตามรายช่ือทีจ่ บั ฉลากได้ หากนิสติ ทา่ นใดปฏเิ สธทจ่ี ะ เขา้ รว่ มจะทาการสุม่ เพือ่ จับฉลากเพ่ิมในแต่ละช้ันปีให้ไดต้ ามจานวนท่ีกาหนด

22 6. เมื่อได้รับแบบสอบถาม (ใส่ซองสีน้าตาลขนาดใหญ่) คนื แล้ว ทาการตรวจสอบความถูกตอ้ ง ครบถว้ นของขอ้ มลู แลว้ จงึ ประมวลข้อมลู และวเิ คราะห์ข้อมลู โดยวธิ กี ารทางสถิติ การจัดกระทาข้อมูลและวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์ข้อมลู /การเลอื กใชส้ ถติ ิในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดงั นี้ 1. นาแบบสอบถามท่ีได้รับทั้งหมดมาตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม แยก แบบสอบถามท่ีไม่สมบูรณ์ออก แล้วนามาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้คอมพิวเตอร์ในการคานวณค่าสถิติ โดยใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเรจ็ รปู (SPSS version17) 2. การวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) เพื่ออธิบายถึงลักษณะ ของข้อมูลสว่ นบคุ คล คือ เพศ ระดบั การศึกษา และ ความพงึ พอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) 3. การทดสอบความเที่ยงตรงของชุดคาถาม การนาผลของผู้เช่ียวชาญแต่ละท่านมารวมกัน คานวณหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ซ่ึงคานวณจากความสอดคล้องระหว่างประเด็นท่ีต้องการวัดกับคาถามที่ สร้างข้ึน ดัชนีที่ใช้แสดงค่าความสอดคล้อง เรียกว่า ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามและวัตถุประสงค์ (Item-Objective Congruence Index : IOC) 4. การวิเคราะห์โดยใช้สถิติ One-Way ANOVA ใช้สาหรับทดสอบความแตกต่างระหว่าง คา่ เฉลยี่ ความพงึ พอใจตอ่ การใช้สือ่ การเรียนรู้ ของนิสิตชัน้ ปีที่ 2, 3 และ 4 สถติ ิท่ีใชใ้ นการตรวจสอบคณุ ภาพเคร่อื งมอื 1. สถิติทใี่ ช้ทดสอบความเท่ียงตรงของชุดคาถาม (Validity) ของชุดคาถาม โดย ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความเช่ียวชาญทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษา ได้แก่ อาจารย์พยาบาลท่ีมีความเชี่ยวชาญทางด้าน เทคโนโลยีทางการศึกษา (อาจารย์ผู้สอนรายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) จานวน 3 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องของเน้ือหาและความตรงของภาษา จานวน โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item-Objective Congruence: IOC ) ( ประจักษ์ ปฏิทศั น์, 2559) โดยมีสตู รดังนี้ เม่อื IOC แทน ดัชนีความสอดคลอ้ ง A R แทน คะแนนการพจิ ารณาของผู้เชี่ยวชาญ ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนพจิ ารณาของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จานวนผูเ้ ช่ยี วชาญ กาหนดคะแนนของผูเ้ ชีย่ วชาญเป็น +1 หรอื 0 หรือ-1 ดังน้ี +1 แทน แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบขอ้ นน้ั วัดจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมทร่ี ะบุไว้จริง 0 แทน ไมแ่ น่ใจวา่ ข้อสอบนั้นวัดจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมท่รี ะบุไว้ -1 แทน แน่ใจวา่ ข้อสอบข้อน้นั ไม่ไดว้ ัดจุดประสงค์เชงิ พฤติกรรมทร่ี ะบุ จากการตรวจสอบตุณภาพเคร่ืองมือผู้วจิ ยั ได้คา่ ความเทย่ี งตรงของชดุ คาถาม เทา่ กับ 0.87

23 สถิตทิ ใ่ี ช้ทดสอบความเช่ือมั่นของชดุ คาถาม สถติ ิทีใ่ ชท้ ดสอบค่าความเช่ือม่ัน (Reliability) ของชุดคาถาม โดยใชว้ ิธีการหาค่าสัมประสทิ ธิ์ อลั ฟ่า (α-Coefficient) ของ Cronbach (กัลยา วานิชย์บัญชา, 2545 อา้ งองิ ใน ณฐกมล คงดี, 2560) โดย ใช้สูตร Cronbach’s alpha coefficient ค่าอัลฟ่าที่ได้จะแสดงถึงระดับความคงท่ีของชุดคาถามโดยจะมีค่า ระหว่าง 0 ≤ α ≤ 1 โดยมีสูตรดงั นี้ เมอื่ แทน ชุดคาถาม แทน คา่ เฉล่ยี ของคา่ แปรปรวนร่วมระหว่างคาถามตา่ งๆ แทน คา่ เฉล่ียของค่าแปรปรวนของคาถาม จากการทดสอบค่าความเชือ่ ม่ันของชดุ คาถามผู้วจิ ยั ได้ค่าความเชื่อม่ัน เท่ากบั 0.845 สถติ ิที่ใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล 1. สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) เป็นหลักการที่ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูล นาเสนอข้อมูลและหาค่าสถิติเบ้ืองต้น ซ่ึงเป็นการอธิบายหรือบรรยายลักษณะของข้อมูลท่ีเก็บรวบรวม แต่จะ ไม่สามารถอ้างอิงถึงลักษณะประชากรได้ จึงเป็นการสรุปถึงลักษณะของข้อมูลกลุ่มท่ีศึกษา (กัลยา วานิชย์ บัญชา, 2545 อ้างองิ ใน ณฐกมล คงดี, 2560) อันประกอบด้วย 1.1 การหาค่ารอ้ ยละ (Percentage) (กลั ยา วานิชยบ์ ญั ชา, 2545 อ้างอิงใน ณฐกมล คงดี , 2560) ใชว้ เิ คราะห์ข้อมูลสว่ นบุคคลของกลมุ่ ตวั อย่างในแบบสอบถามส่วนที่ 1 โดยใชส้ ูตรดังนี้ เมื่อ P แทน ค่าร้อยละ หรือ % (Percentage) f แทน ค่าความถี่ของข้อมลู ท่ีต้องการแปลเป็นค่ารอ้ ยละ n แทน ขนาดของกลุ่มทั้งหมดหรอื คา่ จานวนความถท่ี ั้งหมด 1.2 การหาค่าคะแนนเฉล่ยี (Mean หรือ ) (กลั ยา วานิชย์บญั ชา, 2545 อา้ งอิงใน ณฐกมล คงดี, 2560 เพื่อใช้แปลความหายของผู้บริโภคในแบบสอบถามส่วนที่ 1 โดยใช้สูตร ดงั น้ี เมื่อ ���⃑��� แทน ค่าคะแนนเฉลีย่ ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมด n แทน ขนาดของกลมุ่ ตัวอยา่ ง

24 1.3 ค่าสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation หรือ S.D.) เมือ่ S.D. แทน ค่าสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของคะแนนกลุม่ ตวั อยา่ ง X แทน คะแนนแต่ละตัวในกลุ่มตวั อย่าง n แทน ขนาดของกลมุ่ ตวั อย่าง ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตวั ยกกาลังสอง (∑ ������)2 แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมดยกกาลังสอง 2. แปรปรวนแบบจาแนกทางเดียว (One-way ANOVA) ใช้สาหรับทดสอบความแตกต่าง ระหว่างค่าเฉลี่ยที่ได้จากกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่มขึ้นไป ซ่ึงในการวิจัยนี้ จะทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉล่ีย ของความพงึ พอใจ ระหวา่ งนสิ ิตชน้ั ปีท่ี 2 ถึง 4 (ผ่องอาไพ เสนแสง, ม.ป.ป.) โดยใช้สตู รดงั น้ี Source of df Sum Square (SS) ผลรวมของกาลงั สองของ Mean Square F-ratio Variance คา่ เบี่ยงเบน (MS) ความ (SOV) แปรปรวน เม่อื ������������ = ผลรวมของคะแนน n คา่ ในแต่ละกลมุ่ ������ = ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด ������������ = จานวนข้อมูลในแตล่ ะกลุม่ ������ = จานวนกลมุ่ ������������������ = ข้อมลู ตวั ที่ i (แถว) ในกลุ่ม j (คอลมั น์) ���⃑��������� = คา่ เฉลี่ยของกลุม่ j ���⃑��������� = คา่ เฉลยี่ รวม

25 บทที่ 4 ผลการวิจยั การวิจัยในคร้ังน้เี ป็นวจิ ยั เปน็ การวจิ ยั เชงิ พรรณา (Descriptive Research) มีวตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษา ความพึงพอใจตอ่ การใชส้ ือ่ การเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรยี นการสอนของนิสิตหลกั สตู รพยาบาลศาสตร- บัณฑติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู นาเสนอเปน็ ลาดับดังน้ี ตอนที่ 1 ข้อมลู พนื้ ฐานของกลมุ่ ตัวอยา่ งนสิ ิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชนั้ ปีท่ี 2 ถึง 4 มหาวิทยาลัยนเรศร (ดังตารางที่ 1) ตารางท่ี 1 แสดงข้อมลู พนื้ ฐานของ นิสิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ ช้นั ปีที่ 2 ถึง 4 จาแนกตามเพศ อายุ และระดับการศึกษา ข้อมูลท่ัวไป จานวน รอ้ ยละ เพศ 17 8.1 ชาย 193 91.9 หญิง 88 42 อายุ 120 57 18-20 ปี 2 1 21-23 ปี 24-26 ปี 73 34.8 72 34.3 ระดบั การศึกษา 65 31.0 ช้นั ปีท่ี 2 ชั้นปที ี่ 3 ชน้ั ปีท่ี 4 จากตารางที่ 1 นสิ ติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชน้ั ปีท่ี 2 ถงึ 4 ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็น ร้อยละ 91.9 นสิ ติ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชั้นปที ี่ 2 ถึง 4 ส่วนใหญ่มีอายุอยใู่ นช่วง 21-23 ปี คิดเป็น ร้อยละ 57 รองลงมาคือ อายุในชว่ ง 18-20 ปี คดิ เปน็ ร้อยละ 42 และ นิสติ พยาบาลศาสตรบณั ฑติ สว่ นใหญ่มี การศึกษาในระดับชน้ั ปที ี่ 2 และ ช้ันปที ี่ 3 คิดเปน็ รอ้ ยละ 34.8 และ34.3 ตามลาดบั และระดบั การศึกษาชน้ั ปี ท่ี 4 คิดเปน็ รอ้ ยละ 31.0

26 ตอนท่ี 2 ผลการวเิ คราะห์ความพงึ พอใจตอ่ การใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของ นิสิตหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ มหาวิทยาลัยนเรศวร 2.1 ผลการวเิ คราะห์ความพงึ พอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิต หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชน้ั ปที ่ี 2 มหาวิทยาลัยนเรศวร ผูว้ ิจัยไดท้ าการทดสอบการแจกแจงของข้อมลู Tests of Normality edu Kolmogorov-Smirnova Shapiro-Wilk Statistic df Sig. Statistic df Sig. squarea 1.00 .098 73 .080 .977 73 .207 2.00 .081 72 .200* .992 72 .915 3.00 .097 65 .200* .980 65 .364 a. Lilliefors Significance Correction *. This is a lower bound of the true significance. ตารางท่ี 2 แสดงการทดสอบการแจกแจงของข้อมูลการประเมนิ ความพึงพอใจของนิสิตหลกั สูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2 ถงึ 4 จากตารางที่ 2 การทดสอบการแจกแจงของข้อมลู ด้วยสถิติ Kolmogorov-Smirnov พบวา่ ทงั้ 3 กลุ่ม ตวั อยา่ ง ได้แกน่ สิ ติ ชัน้ ปที ่ี 2 ,3 และ 4 ข้อมลู ของระดับความพึงพอใจของนสิ ิตทั้ง 3 กลุ่มมีการแจกแจงปกติ ท่ี ระดับนัยสาคัญทางสถิติท่ี 0.05 คือ ปฏเิ สธ H1(Alternative Hypothesis) : ไมม่ กี ารแจกแจงแบบปกติ และ ยอมรับ H0 (Null Hypothesis) : มกี ารแจกแจงแบบปกติ

27 2.2 ผลการวเิ คราะหค์ วามพงึ พอใจต่อการใชส้ ่อื การเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรยี นการสอนของนิสติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชน้ั ปีที่ 2 มหาวิทยาลยั นเรศวร ตารางท่ี 3 คา่ เฉล่ียและสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจตอ่ การใชส้ ื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการ เรียนการสอนของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชน้ั ปที ี่ 2 มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ความพงึ พอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ���⃑��� SD ในการเรียนการสอน ดา้ นเนอ้ื หาบทเรยี น 1. โครงสร้างเนือ้ หาของบทเรียนมีความถูกต้องตามประมวล 4.29 .61 รายวชิ า 4.22 .55 2. บทเรียนสอื่ ได้อย่างชัดเจนและเหมาะสมกับบริบทของเนอ้ื หา 4.03 .55 4.18 0.57 3. ลาดับของเน้ือหาเหมาะสมกบั บทเรยี น 3.71 .77 ความพงึ พอใจต่อการใชส้ อ่ื การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียน 3.53 การสอนดา้ นเน้ือหาบทเรยี นโดยรวม .85 3.59 .84 ด้านมัลตมิ ีเดยี 1. ความเหมาะสมของเมนูการใช้งานระบบ E-learning สะดวกและ ไม่ซบั ซ้อน 2. การเช่อื มต่อของระบบมปี ระสิทธิภาพต่อการใช้งาน (การเช่อื มต่อระบบรวดเร็วใช้งานไดต้ ่อเนือ่ ง) 3. การจดั วางเน้ือหาภายในเว็บไซต์มีความนา่ สนใจ 4. ออกแบบหน้าจอเหมาะสม งา่ ยต่อการใช้งาน สดั สว่ นเหมาะสม 3.68 .89 5. สี ขนาดตัวอกั ษร ชัดเจน สวยงาม อ่านงา่ ยเหมาะสมกับผเู้ รียน 3.75 .90 6. ภาพกราฟิกเหมาะสม ชัดเจน สอดคลอ้ งกบั เน้ือหา 3.71 .80 3.68 .86 7. การออกแบบโตต้ อบปฏิสมั พันธ์ในการใชโ้ ปรแกรมง่าย สะดวก ตอ่ การใช้งาน 3.66 0.84 ความพงึ พอใจต่อการใช้สอ่ื การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียน การสอนด้านมัลตมิ เี ดียโดยรวม การเรยี นการสอน 4.15 .74 4.25 .76 1. ส่อื การเรียนรู้(E-learning) ช่วยใหน้ ิสติ สนใจการเรียนเพิ่มมาก 4.36 .71 ขน้ึ 2. ส่อื การเรียนรู้(E-learning) เพิ่มโอกาสในการเขา้ ถงึ เน้อื หาของ รายวิชาไดง้ ่ายมากยิ่งขึ้น 3. ส่ือการเรยี นรู้ (E-learning) ชว่ ยในการทบทวนบทเรียนซ้าเพื่อ เพิ่มความเขา้ ใจ 4. สื่อการเรยี นรู้ (E-learning) ชว่ ยเพ่ิมประสิทธิภาพในการเรียน 4.34 .69 การสอน 5. มีความจาเป็นต่อการใชส้ ือ่ การเรียนรู้ (E-learning) ในปัจจุบนั 4.36 .77

28 ความพึงพอใจต่อการใชส้ ่ือการเรยี นรู้ (E-learning) ���⃑��� SD ในการเรยี นการสอน 4.38 .70 6. สือ่ การเรยี นรู้(E-learning) เพิ่มชอ่ งทางในการเรียนการสอนท่ี ทนั สมยั และสามารถเรียนรู้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 4.34 .69 7. สอ่ื การเรยี นรู้ (E-learning ) ชว่ ยเสรมิ ทกั ษะการเรยี นรู้ด้วย 4.15 .70 ตนเอง 4.29 0.72 8. ความพงึ พอใจในภาพรวมต่อการใช้สอื่ การเรียนรู้(E-learning) ความพึงพอใจต่อการใชส้ ่ือการเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรยี น การสอนด้านการเรยี นการสอนโดยรวม จากตารางท่ี 3 คา่ เฉล่ียละส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจต่อการใชส้ ื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยนเรศวร พบว่า นิสิต หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปีที่ 2 มหาวิทยาลัยนเรศวร ความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E- learning) ในการเรียนการสอนด้านการเรียนการสอน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด (���⃑��� = 4.29) หาก พิจารณาเป็นรายข้อพบว่าทุกข้อมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด คือ ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) เพ่ิม โอกาสในการเข้าถึงเนื้อหาของรายวิชาได้ง่ายมากขึ้น ( ���⃑��� = 4.25), สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ช่วยในการ ทบทวนบทเรียนซา้ เพอ่ื เพมิ่ ความเข้าใจ ( ���⃑���= 4.36), สื่อการเรยี นรู้ (E-learning) ช่วยเพ่ิมประสทิ ธภิ าพในการ เรียนการสอน (���⃑��� = 4.34), มีความจาเป็นต่อการใช้ส่อื การเรียนรู้ (E-learning) ในปจั จบุ ัน (���⃑���= 4.36),ส่อื การ เรียนรู้ (E-learning) เพ่ิมช่องทางในการเรียนการสอนที่ทันสมัยและสามารถเรียนรู้ได้ตลอด 24 ช่ัวโมง (���⃑���= 4.38), ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ช่วยเสริมทักษะการเรียนูรู้ด้วยตนเอง (���⃑���= 4.34), และข้อที่มีความพึง พอใจอยใู่ นระดับมาก คือ สอ่ื การเรียนรู้ (E-learning) ช่วยให้นสิ ิตสนใจการเรียนเพิม่ ขน้ึ (���⃑���= 4.15), ความพึง พอใจในภาพรวมต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) (���⃑���= 4.15) รองลงมาคือความพึงพอใจด้านเนื้อหา บทเรียน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (���⃑���= 4.18) หากพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าทุกข้อมีความพึงพอใจอยู่ ในระดบั มาก คอื โครงสรา้ งเน้ือหาของบทเรยี นมีความถูกต้องตามประมวลรายวิชา (���⃑���= 4.29), บทเรียนสื่อได้ อยา่ งชดั เจนและเหมาะสมกับบริบทของเน้อื หา (���⃑���= 4.22), ลาดบั ของเน้อื หาเหมาะสมกับบทเรยี น (���⃑���= 4.03) และความพึงพอใจด้านมลั ติมีเดยี มีความพึงพอใจอยูใ่ นระดับมาก (���⃑���=3.67) หากพิจารณาเป็นรายขอ้ พบว่าทุก ข้อมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก คือ ความเหมาะสมของเมนูการใช้งานระบบ (E-learning) สะดวกและไม่ ซับซ้อน (���⃑���=3.71), การเช่ือมต่อของระบบมีประสิทธิภาพต่อการใช้งาน(การเช่ือมต่อระบบรวดเร็วใช้งานได้ ต่อเนื่อง) (���⃑���=3.53), การจัดวางเนอ้ื หาภาพในเวบ็ ไซต์มคี วามน่าสนใจ (���⃑���= 3.59), ออกแบบหน้าจอเหมาะสม ง่ายต่อการใช้งาน สัดส่วนเหมาะสม (���⃑���= 3.68), สี ขนาดตัวอักษร ชัดเจน สวยงาม อ่านง่ายเหมาะกับผู้เรียน (���⃑���= 3.75), ภาพกราฟิกเหมาะสม ชัดเจน สอดคล้องกับเน้ือหา (���⃑���= 3.71), การออกแบบโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ ในการใช้โปรแกรมงา่ ยสะดวกตอ่ การใชง้ าน (���⃑���= 3.68)

29 2.3 ผลการวเิ คราะห์ความพงึ พอใจต่อการใช้ส่ือการเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรยี นการสอนของนิสติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปที ี่ 3 มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ตารางท่ี 4 คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของความพึงพอใจต่อการใชส้ ่อื การเรียนรู้ (E-learning) ในการ เรียนการสอนของนสิ ิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้นั ปที ี่ 3 มหาวิทยาลัยนเรศวร ความพงึ พอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ���⃑��� SD ในการเรียนการสอน ด้านเนือ้ หาบทเรยี น 1. โครงสร้างเน้อื หาของบทเรียนมคี วามถูกต้องตามประมวลรายวชิ า 3.97 .69 2. บทเรียนสือ่ ได้อยา่ งชดั เจนและเหมาะสมกบั บรบิ ทของเนอื้ หา 3.94 .63 3. ลาดับของเนื้อหาเหมาะสมกับบทเรยี น 3.89 .78 ความพึงพอใจต่อการใช้สือ่ การเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรยี น 3.93 0.70 การสอนด้านเนอ้ื หาบทเรียนโดยรวม ด้านมัลตมิ ีเดีย 3.56 .93 1. ความเหมาะสมของเมนูการใช้งานระบบ E-learning สะดวกและ ไมซ่ ับซ้อน 3.43 .82 2. การเชือ่ มต่อของระบบมปี ระสทิ ธภิ าพต่อการใช้งาน 3.19 .87 (การเชือ่ มต่อระบบรวดเร็วใชง้ านไดต้ ่อเนื่อง) 3.42 .85 3. การจัดวางเนื้อหาภายในเว็บไซต์มีความน่าสนใจ 3.54 .98 4. ออกแบบหนา้ จอเหมาะสม ง่ายตอ่ การใชง้ าน สดั สว่ นเหมาะสม 3.38 .91 5. สี ขนาดตัวอกั ษร ชดั เจน สวยงาม อา่ นง่ายเหมาะสมกบั ผ้เู รยี น 6. ภาพกราฟิกเหมาะสม ชัดเจน สอดคล้องกับเน้ือหา 7. การออกแบบโตต้ อบปฏสิ ัมพันธใ์ นการใชโ้ ปรแกรมง่าย สะดวก 3.46 .93 ตอ่ การใช้งาน 3.43 0.90 ความพงึ พอใจต่อการใช้สือ่ การเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรยี น การสอนดา้ นมัลติมเี ดยี โดยรวม ด้านการเรียนการสอน 1. สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ชว่ ยใหน้ ิสติ สนใจการเรยี นเพ่ิมมาก 3.50 .92 ข้ึน 3.99 .97 3.89 .92 2. สื่อการเรยี นรู้(E-learning) เพมิ่ โอกาสในการเข้าถงึ เนอ้ื หาของ 3.86 .81 รายวชิ าไดง้ ่ายมากย่งิ ข้ึน 3. ส่อื การเรยี นรู้ (E-learning) ช่วยในการทบทวนบทเรียนซ้าเพื่อ เพ่มิ ความเขา้ ใจ 4. สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ช่วยเพม่ิ ประสิทธภิ าพในการเรยี น การสอน 5. มีความจาเป็นต่อการใชส้ อื่ การเรยี นรู้ (E-learning) ในปัจจบุ นั 4.13 .80 6. ส่ือการเรยี นรู้ (E-learning) เพ่ิมช่องทางในการเรียนการสอนที่ 4.35 .79 ทนั สมัยและสามารถเรยี นรู้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

30 ความพึงพอใจต่อการใชส้ ื่อการเรียนรู้ (E-learning) ���⃑��� SD ในการเรียนการสอน 4.10 .86 7. ส่ือการเรียนรู้ (E-learning ) ชว่ ยเสรมิ ทกั ษะการเรยี นรู้ดว้ ย 3.75 .85 ตนเอง 3.95 0.87 8. ความพงึ พอใจในภาพรวมต่อการใชส้ ื่อการเรียนรู้ (E-learning) ความพึงพอใจต่อการใช้สือ่ การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียน การสอนดา้ นการเรยี นการสอน จากตารางท่ี 4 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E- learning) ในการเรยี นการสอนของนิสิตหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชนั้ ปีท่ี 3 มหาวทิ ยาลัยนเรศวร พบว่า นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีท่ี 3 มหาวิทยาลัยนเรศวร มีระดับความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการ เรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนในด้านเน้ือหาบทเรียนอยู่ในระดับมาก (���⃑��� = 3.93) หากพิจารณา เป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก คือ โครงสร้างเน้ือหาของบทเรียนมีความถูกต้อง ตามประมวลรายวิชา (���⃑���= 3.97) บทเรียนส่ือได้อย่างชัดเจนและเหมาะสมกับบริบทของเนื้อหา (���⃑���= 3.94) ลาดับของเนื้อหาเหมาะสมกับบทเรียน (���⃑���= 3.89) ความพึงพอใจด้านมัลติมีเดียอยู่ในระดับมาก (���⃑��� = 3.42) หากพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก คือ ความเหมาะสมของเมนูการใช้ งานระบบ E-learning สะดวกและไม่ซับซ้อน (���⃑���= 3.56) การเชอ่ื มต่อของระบบมปี ระสิทธิภาพต่อการใช้งาน (การเช่ือมต่อระบบรวดเรว็ ใชง้ านได้ต่อเน่ือง) (���⃑���= 3.43) ออกแบบหน้าจอเหมาะสม ง่ายตอ่ การใช้งาน สัดส่วน เหมาะสม (���⃑���=3.42) สี ขนาดตวั อักษร ชัดเจน สวยงาม อ่านง่ายเหมาะสมกับผูเ้ รียน (���⃑���= 3.54) การออกแบบ โต้ตอบปฏิสัมพันธ์ในการใช้โปรแกรมง่าย สะดวกต่อการใช้งาน (���⃑���= 3.46) ข้อท่ีมีระดับความพึงพอใจอยู่ใน ระดบั ปานกลาง คือ การจัดวางเนอื้ หาภายในเวบ็ ไซตม์ ีความนา่ สนใจ (���⃑���= 3.19) ภาพกราฟิกเหมาะสม ชัดเจน สอดคล้องกับเน้ือหา (���⃑���= 3.38 ) และความพึงพอใจด้านการเรียนการสอนอยู่ในระดับมาก (���⃑���= 3.95) หาก พจิ ารณาเป็นรายขอ้ พบว่าข้อทม่ี ีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสดุ คือ สื่อการเรยี นรู้ (E-learning) เพิ่ม ชอ่ งทางในการเรียนการสอนที่ทันสมัยและสามารถเรียนรู้ได้ตลอด 24 ช่ัวโมง (���⃑���=4.38) พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าข้อที่มีระดบั ความพึงพอใจอยใู่ นระดับมากคือ ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ช่วยใหน้ ิสิตสนใจการเรียนเพิ่ม มากขึ้น (���⃑���=4.15) สื่อการเรียนรู้ (E-learning) เพ่ิมโอกาสในการเข้าถึงเน้ือหาของรายวิชาได้ง่ายมากย่ิงข้ึน (���⃑���=4.25) สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ช่วยในการทบทวนบทเรียนซ้าเพื่อเพ่ิมความเข้าใจ (���⃑���=4.36) สื่อการ เรียนรู้ (E-learning) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน (���⃑���=4.34) มีความจาเป็นต่อการใช้สื่อการ เรยี นรู้ (E-learning) ในปัจจุบัน (���⃑���=4.36) สือ่ การเรียนรู้ (E-learning ) ช่วยเสริมทักษะการเรียนรูด้ ้วยตนเอง (���⃑���=4.38) ความพึงพอใจตอ่ การใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) (���⃑���=4.15)

31 2.4 ผลการวิเคราะห์ความพงึ พอใจตอ่ การใชส้ ือ่ การเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปที ี่ 4 มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ตารางที่ 5 คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของความพึงพอใจต่อการใช้สอื่ การเรยี นรู้ (E-learning) ในการ เรยี นการสอนของนสิ ติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชนั้ ปที ี่ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ความพงึ พอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ���⃑��� SD ในการเรียนการสอน ดา้ นเน้อื หาบทเรียน 1. โครงสรา้ งเนื้อหาของบทเรียนมคี วามถูกต้องตามประมวลรายวชิ า 3.90 .52 2. บทเรยี นส่อื ได้อยา่ งชดั เจนและเหมาะสมกบั บริบทของเน้อื หา 3.80 .54 3. ลาดับของเนื้อหาเหมาะสมกบั บทเรยี น 3.83 .63 ความพงึ พอใจต่อการใชส้ อื่ การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรยี น 3.84 .56 การสอนด้านเน้ือหาบทเรยี นโดยรวม ด้านมลั ติมีเดีย 1. ความเหมาะสมของเมนูการใช้งานระบบ E-learning สะดวกและ 3.37 .84 ไมซ่ ับซ้อน 2. การเชอื่ มต่อของระบบมีประสิทธภิ าพต่อการใช้งาน (การเชอื่ มต่อ 3.42 .66 ระบบรวดเร็วใชง้ านไดต้ ่อเนื่อง) 3. การจดั วางเน้อื หาภายในเว็บไซต์มีความน่าสนใจ 3.12 .84 4. ออกแบบหน้าจอเหมาะสม งา่ ยตอ่ การใชง้ าน สัดส่วนเหมาะสม 3.32 .87 5. สี ขนาดตวั อักษร ชดั เจน สวยงาม อ่านงา่ ยเหมาะสมกบั ผูเ้ รียน 3.23 .77 6. ภาพกราฟิกเหมาะสม ชัดเจน สอดคล้องกับเน้ือหา 3.22 .76 7. การออกแบบโต้ตอบปฏิสมั พันธใ์ นการใช้โปรแกรมง่าย สะดวก 3.29 .74 ต่อการใช้งาน ความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรยี น 3.28 .78 การสอนดา้ นมลั ติมเี ดยี โดยรวม ด้านการเรยี นการสอน 1. สือ่ การเรียนรู้ (E-learning) ชว่ ยใหน้ ิสิตสนใจการเรียนเพิ่มมาก 3.48 .77 ข้นึ 2. สือ่ การเรยี นรู้ (E-learning) เพ่ิมโอกาสในการเขา้ ถงึ เนอื้ หาของ 3.85 .78 รายวชิ าไดง้ ่ายมากย่งิ ขน้ึ 3. สอ่ื การเรยี นรู้ (E-learning) ช่วยในการทบทวนบทเรียนซ้าเพื่อ 3.85 .73 เพ่มิ ความเข้าใจ 4. สื่อการเรยี นรู้(E-learning) ชว่ ยเพิม่ ประสทิ ธิภาพในการเรยี นการ 3.88 .82 สอน 5. มีความจาเป็นต่อการใช้สอ่ื การเรียนรู้ (E-learning) ในปัจจุบนั 3.95 .76 6. สอ่ื การเรียนรู้ (E-learning) เพ่ิมช่องทางในการเรยี นการสอนที่ 3.97 .83 ทันสมยั และสามารถเรียนรูไ้ ด้ตลอด 24 ชว่ั โมง

32 ความพึงพอใจต่อการใช้สอื่ การเรียนรู้ (E-learning) ���⃑��� SD ในการเรียนการสอน 4.03 .75 7. สอื่ การเรยี นรู้ (E-learning ) ชว่ ยเสรมิ ทกั ษะการเรยี นรู้ดว้ ย 3.63 .82 ตนเอง 3.82 0.78 8. ความพงึ พอใจในภาพรวมต่อการใชส้ ่ือการเรียนรู้ (E-learning) ความพงึ พอใจต่อการใช้สือ่ การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียน การสอนดา้ นการเรียนการสอน จากตารางท่ี 5 ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและรับดับความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนสิ ิตหลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ช้ันปีที่ 4 มี ความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในด้านเนื้อหาบทเรียนอยู่ในระดับมาก (���⃑���= 3.84) หากพิจารณาเปน็ รายข้อพบว่าทุกข้อมีความพงึ พอใจอยู่ในระดบั มาก คอื โครงสร้างเน้ือหาของบทเรยี นมีความ ถูกต้องตามประมวลรายวิชา (���⃑���= 3.90), บทเรียนสื่อได้อย่างชัดเจนและเหมาะสมกับบริบทของเน้ือหา (���⃑���= 3.80), ลาดับของเน้ือหาเหมาะสมกับบทเรียน (���⃑���= 3.83) ส่วนความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E- learning) ในด้านมัลติมีเดียอยู่ในระดับปานกลาง (���⃑���= 3.28) ซึ่งข้อที่มีระดับความพึงพอใจด้านมัลติมีเดียอยู่ ในระดับมากคือ การเช่ือมต่อของระบบมีประสิทธิภาพต่อการใช้งาน (การเช่ือมต่อระบบรวดเร็วใช้งานได้ ต่อเนื่อง) (���⃑���= 3.42) และข้อที่มีระดับความพึงพอใจด้านมัลติมีเดียอยู่ในระดับปานกลางคือ ความเหมาะสม ของเมนูการใช้งานระบบ E-learning สะดวกและไม่ซับซ้อน (���⃑���= 3.37), การจัดวางเน้ือหาภายในเว็บไซต์มี ความน่าสนใจ (���⃑���= 3.12), ออกแบบหน้าจอเหมาะสม ง่ายต่อการใช้งาน สัดส่วนเหมาะสม (���⃑���= 3.32), สี ขนาดตัวอักษร ชัดเจน สวยงาม อ่านง่ายเหมาะสมกับผู้เรียน (���⃑���= 3.23), ภาพกราฟิกเหมาะสม ชัดเจน สอดคล้องกับเน้ือหา (���⃑���= 3.22), การออกแบบโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ในการใช้โปรแกรมงา่ ย สะดวกต่อการใชง้ าน (���⃑���= 3.29) สาหรับความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในด้านการเรียนการสอนอยู่ในระดับ มาก (���⃑���= 3.82) ซึ่งทุกข้อมีระดับความพึงพอใจด้านการเรียนการสอนอยู่ในระดับมากคือ สื่อการเรียนรู้ (E- learning) ช่วยให้นิสิตสนใจการเรียนเพ่ิมมากขึ้น (���⃑���= 3.48), เพ่ิมโอกาสในการเข้าถึงเน้ือหาของรายวิชาได้ ง่ายมากย่ิงข้ึน (���⃑���= 3.85), ช่วยในการทบทวนบทเรียนซ้าเพ่ือเพิ่มความเข้าใจ (���⃑���= 3.85), ช่วยเพิ่ม ประสทิ ธิภาพในการเรยี นการสอน (���⃑���= 3.88) , มคี วามจาเป็นต่อการใช้สือ่ การเรยี นรู้ (E-learning) ในปัจจบุ ัน (���⃑���= 3.95), เพ่ิมช่องทางในการเรียนการสอนท่ีทันสมัยและสามารถเรียนรู้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง (���⃑���= 3.97), ช่วยเสริมทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง (���⃑���= 4.03), ความพึงพอใจในภาพรวมต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E- learning) (���⃑���= 3.63)

33 2.5 ผลของค่าเฉลย่ี ระดับความพงึ พอใจตอ่ การใชส้ ือ่ การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรยี นการสอน ของนสิ ิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต ชนั้ ปที ี่ 2 ถงึ 4 มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ตารางท่ี 6 ผลของคา่ เฉล่ียระดบั ความพึงพอใจต่อการใชส้ ือ่ การเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรยี นการสอนของ นิสติ หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ ช้นั ปที ่ี 2 ถงึ 4 มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ระดับการศึกษา คา่ เฉลย่ี รวม แปลผล ชัน้ ปีท่ี2 4.05 มาก ช้ันปีท3่ี 3.77 มาก ช้ันปีที4่ 3.65 มาก รวม 3.82 มาก จากตารางท่ี 6 ค่าเฉลย่ี และระดบั ความพงึ พอใจต่อการใชส้ ื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรยี นการ สอนของนสิ ติ หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวรชั้นปีที่ 2 ถงึ 4 พบว่า นสิ ิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ มหาวิทยาลัยนเรศวรช้นั ปีที่ 2 มคี วามพึงพอใจระดบั มาก (���⃑���= 4.05) , นิสติ หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวรช้นั ปีท่ี 3 มีความพึงพอใจระดบั มาก (���⃑���= 3.77) , นิสติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลยั นเรศวรช้นั ปีที่ 4 มคี วามพึงพอใจระดับมาก (���⃑���= 3.65) และโดยรวมคา่ เฉล่ยี รับดับความพงึ พอใจตอ่ การใชส้ ือ่ การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนสิ ิต หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวรชัน้ ปีที่ 2 ถึง 4 มีความพงึ พอใจระดบั มาก(���⃑���= 3.82) 2.6 ผลการวิเคราะห์ความพงึ พอใจต่อการใชส้ ่ือการเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรยี นการสอนของนสิ ติ หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปีท่ี 2 ถงึ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ตารางที่ 7 คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานความพึงพอใจต่อการใชส้ อื่ การเรียนรู้ (E-learning) ในการ เรยี นการสอนของนิสิตหลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชน้ั ปีที่ 2 ถงึ 4 มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ความพงึ พอใจต่อการใชส้ ่ือการเรียนรู้ (E-learning) ���⃑��� SD ในการเรยี นการสอน ดา้ นเน้ือหาบทเรยี น 4.06 .63 1. โครงสร้างเนือ้ หาของบทเรียนมคี วามถูกต้องตามประมวลรายวิชา 4.00 .60 2. บทเรยี นส่อื ได้อยา่ งชัดเจนและเหมาะสมกับบรบิ ทของเน้อื หา 3.92 .66 3. ลาดับของเน้ือหาเหมาะสมกับบทเรียน 4.00 0.63 ความพึงพอใจต่อการใช้สือ่ การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรยี น การสอนดา้ นเนื้อหาบทเรียนโดยรวม 3.55 .86 ดา้ นมลั ติมีเดีย 1. ความเหมาะสมของเมนูการใช้งานระบบ E-learning สะดวกและ ไมซ่ ับซ้อน

34 ความพงึ พอใจต่อการใช้สือ่ การเรยี นรู้ (E-learning) ���⃑��� SD ในการเรียนการสอน 3.46 .78 2. การเชื่อมต่อของระบบมปี ระสทิ ธภิ าพต่อการใช้งาน (การเช่อื มตอ่ 3.30 .86 ระบบรวดเรว็ ใชง้ านได้ต่อเนอื่ ง) 3.48 .88 3. การจดั วางเนอื้ หาภายในเว็บไซต์มีความนา่ สนใจ 3.52 .91 4. ออกแบบหน้าจอเหมาะสม ง่ายตอ่ การใชง้ าน สดั ส่วนเหมาะสม 3.44 .85 5. สี ขนาดตัวอกั ษร ชดั เจน สวยงาม อา่ นงา่ ยเหมาะสมกับผ้เู รยี น 3.49 .87 6. ภาพกราฟิกเหมาะสม ชัดเจน สอดคลอ้ งกับเนื้อหา 7. การออกแบบโตต้ อบปฏิสัมพนั ธ์ในการใช้โปรแกรมง่าย สะดวกต่อ 3.46 .85 การใชง้ าน ความพึงพอใจต่อการใชส้ ่อื การเรยี นรู้ (E-learning) ในการเรียน 3.71 .87 การสอนด้านมัลติมเี ดียโดยรวม 4.03 .85 ดา้ นการเรยี นการสอน 1. สอ่ื การเรียนรู้ (E-learning) ชว่ ยให้นิสติ สนใจการเรยี นเพ่ิมมากข้ึน 4.03 .82 2. สื่อการเรียนรู้ (E-learning) เพมิ่ โอกาสในการเข้าถงึ เน้ือหาของ รายวชิ าได้ง่ายมากยง่ิ ขึ้น 4.03 .80 3. สอื่ การเรียนรู้ (E-learning) ช่วยในการทบทวนบทเรยี นซ้าเพ่ือ 4.15 .79 เพ่มิ ความเขา้ ใจ 4.24 .79 4. สอ่ื การเรยี นรู้ (E-learning) ช่วยเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการเรียนการ 4.16 .77 สอน 3.85 .82 5. มีความจาเป็นต่อการใชส้ ่อื การเรียนรู้ (E-learning) ในปัจจุบัน 4.03 .81 6. สื่อการเรียนรู้ (E-learning) เพ่มิ ชอ่ งทางในการเรยี นการสอนท่ี ทันสมยั และสามารถเรยี นรูไ้ ด้ตลอด 24 ชวั่ โมง 7. ส่อื การเรียนรู้ (E-learning ) ช่วยเสริมทกั ษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง 8. ความพึงพอใจในภาพรวมต่อการใชส้ ่ือการเรียนรู้ (E-learning) ความพึงพอใจต่อการใชส้ ่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรยี น การสอนด้านการเรยี นการสอนโดยรวม จากตารางท่ี 7 ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปีที่ 2 ถึง 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร พบว่า นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีท่ี 2 ถึง 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร มีระดับความพึงพอใจต่อการใช้สื่อ การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรยี นการสอนในด้านเนื้อหาบทเรยี นอยู่ในระดบั มาก (���⃑���= 4.00) หากพิจารณา เป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก คือ โครงสร้างเน้ือหาของบทเรียนมีความถูกต้อง ตามประมวลรายวิชา (���⃑���= 4.06), บทเรียนส่ือได้อย่างชัดเจนและเหมาะสมกับบริบทของเนื้อหา (���⃑���= 4.00), ลาดับของเน้ือหาเหมาะสมกับบทเรียน (���⃑���= 3.92), ความพึงพอใจด้านมัลติมีเดียอยู่ในระดับมาก (���⃑���= 3.46) หากพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก คือ ความเหมาะสมของเมนูการใช้

35 งานระบบ E-learning สะดวกและไม่ซบั ซอ้ น (���⃑���= 3.55 ), การเชื่อมตอ่ ของระบบมปี ระสทิ ธิภาพต่อการใช้งาน (การเช่ือมต่อระบบรวดเร็วใช้งานได้ต่อเน่ือง) (���⃑���= 3.46), ออกแบบหน้าจอเหมาะสม ง่ายต่อการใช้งาน สัดส่วนเหมาะสม (���⃑���=3.48), สี ขนาดตัวอักษร ชัดเจน สวยงาม อ่านง่ายเหมาะสมกับผู้เรียน (���⃑���= 3.52) ภาพกราฟิกเหมาะสม ชัดเจน สอดคล้องกับเน้ือหา (���⃑���= 3.44), การออกแบบโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ในการใช้ โปรแกรมง่าย สะดวกต่อการใช้งาน (���⃑���= 3.49), ข้อท่ีมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง คือ การจัด วางเนื้อหาภายในเว็บไซต์มคี วามน่าสนใจ (���⃑���= 3.30) และความพงึ พอใจด้านการเรียนการสอนอยู่ในระดบั มาก (���⃑���= 4.03) หากพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) เพ่ิมช่องทางในการเรียนการสอนที่ทันสมัยและสามารถเรียนรู้ได้ตลอด 24 ช่ัวโมง (���⃑���=4.24) รายข้อท่ีมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดบั มาก คือ สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ช่วยให้นิสิตสนใจการเรียนเพิ่ม มากข้ึน (���⃑���=3.71), สื่อการเรียนรู้ (E-learning) เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเน้ือหาของรายวิชาได้ง่ายมากย่ิงข้ึน (���⃑���=4.03), ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ช่วยในการทบทวนบทเรยี นซ้าเพ่ือเพ่ิมความเข้าใจ (���⃑���=4.03), ส่ือการ เรียนรู้ (E-learning) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน (���⃑���=4.03), มีความจาเป็นต่อการใช้สื่อการ เรยี นรู้ (E-learning) ในปัจจุบัน (���⃑���=4.15), สื่อการเรยี นรู้ (E-learning ) ช่วยเสรมิ ทักษะการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง (���⃑���=4.16), ความพึงพอใจตอ่ การใชส้ ื่อการเรียนรู้ (E-learning) (���⃑���=3.85) ตอนที่ 3 การทดสอบสมมติฐาน วิเคราะหค์ วามแปรปรวนทางเดียว (one- way ANOVA) เพอื่ เปรียบเทยี บความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือ การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลยั นเรศวร ช้ันปที ่ี 2 ถงึ 4 สาหรบั คา่ นัยสาคัญทางสถิตกิ าหนดไวท้ ่รี ะดับ 0.05 ตารางที่ 8 ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของ นสิ ติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ชน้ั ปีท่ี 2 ถงึ 4 (n=210) ANOVA Between Groups Sum of Squares df Mean Square F Sig. Within Groups .245 2 .122 1.215 .360 Total .604 6 .101 .849 8 จากตารางท่ี 8 ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียน การสอนของนิสิต หลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ช้ันปีท่ี 2 ถึง 4 พบว่า ไม่แตกต่างกัน (f=1.215) อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ 0.05

36 บทท่ี 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ สรปุ ผลการวจิ ัย ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู พื้นฐาน ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นกลุ่มตัวอย่างนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีท่ี 2 ถึง 4 จานวน 210 คน พบว่า นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตซ่ึงเป็นกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจานวน 193 คน คิดเป็นร้อยละ 91.9 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 21-23 ปี จานวน 120 คน คิดเป็นร้อยละ 57.0 และมรี ะดบั การศึกษาสว่ นใหญ่อยทู่ ช่ี ั้นปที ี่ 2 จานวน 73 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 34.8 ตอนท่ี 2 ความพึงพอใจตอ่ การใช้ส่อื การเรียนรู้ (E-learning) ตอนท่ี 2.1 ความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิตหลกั สูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยนเรศวร ด้านเนื้อหาบทเรียน ด้านมัลติมีเดียและด้านการเรียน การสอน โดยรวมอยู่ในระดับมากและมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.18, 3.67, 4.29 คะแนน ตามลาดับ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.57, 0.85, 0.72 คะแนน ตามลาดับ เมื่อพิจารณาเป็นสดั ส่วนพบว่าผูต้ อบ แบบสอบถามท้ังหมด 73 คน มีความพึงพอใจในด้านเน้ือหาบทเรียน ด้านมัลติมีเดียอยู่ในระดับมากและด้าน การเรยี นการสอนอยใู่ นระดับมากท่สี ุด ตอนท่ี 2.2 ความพึงพอใจตอ่ การใช้ส่อื การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิตหลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปีที่ 3 มหาวิทยาลัยนเรศวร ด้านเน้ือหาบทเรียน ด้านมัลติมีเดียและด้านการเรียน การสอน โดยรวมอยู่ในระดับมากและมากท่สี ุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากบั 3.94, 3.42, 3.94 คะแนนตามลาดับและ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.70, 0.89, 0.87 คะเเนนตามลาดับ เม่ือพิจารณาเป็นสัดส่วนพบว่าผู้ตอบ แบบสอบถามทั้งหมด 72 คน มีความพึงพอใจในด้านเน้ือหาบทเรียน ด้านการเรียนการสอนอยู่ในระดับมาก และด้านมัลตมิ ีเดยี อยู่ในระดบั มากที่สุด ตอนที่ 2.3 ความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิต หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปีที่ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ด้านเน้ือหาบทเรียน ด้านมัลติมีเดียและด้าน การเรียนการสอน โดยรวมอยู่ในระดับมากและปานกลาง โดยมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.8461, 3.2813, 3.8289 คะแนนตามลาดับ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56, 0.78, 0.78 คะแนนตามลาดับ เม่ือพิจารณาเป็น สัดสว่ นพบว่าผูต้ อบแบบสอบถามท้ังหมด 65 คน มีความพงึ พอใจในด้านเนอื้ เนือ้ หาบทเรียน ด้านการเรียนการ สอนอย่ใู นระดับมาก และด้านมลั ตมิ ีเดยี อยใู่ นระดบั ปานกลาง ตอนท่ี 2.4 ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการใชส้ ื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิต หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีที่ 2 ถึง 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร พบว่านิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตร บัณฑิตช้ันปีที่ 2 ถึง 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร มีค่าเฉล่ียความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ใน การเรียนการสอนมากท่ีสุดคือ ความพึงพอใจด้านการเรียนการสอน โดยมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.03 คะแนน หาก พิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉล่ียความพงึ พอใจมากที่สุด คือ สือ่ การเรียนรู้ (E-learning) เพ่ิมช่องทาง ในการเรียนการสอนที่ทันสมัยและสามารถเรียนรู้ได้ตลอด 24 ช่ัวโมงโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.24 คะแนน และ ค่าเฉล่ียความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนน้อยท่ีสุดคือ ความพึงพอใจ

37 ด้านมัลติมีเดีย โดยมีค่าเฉลี่ย 3.46 คะแนน หากพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจน้อย ทสี่ ดุ คือ การจัดวางเน้ือหาภายในเว็บไซต์มคี วามนา่ สนใจโดยมีค่าเฉลย่ี เทา่ กับ 3.30 คะแนน ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาสื่อการเรยี นรู้ (E-learning) ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นกลุ่มตัวอย่างนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2 ถึง 4 ซ่ึงให้ ข้อเสนอแนะตอ่ การพัฒนาสอื่ การเรยี นรู้ (E-learning) สามารถสรปุ ไดด้ งั นี้ 1. การปรับเปล่ียนระบบ E-learning ให้มีเน้ือหาครอบคลุม ทันสมัยและพัฒนาเนื้อหาในทุกรายวิชา อยา่ งสม่าเสมอ 2. เพมิ่ รปู แบบให้นา่ สนใจ มีความชดั เจนและดงึ ดูดตอ่ การใช้งาน 3. สามารถเข้าถึงการใช้งานได้ง่าย สะดวก บนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกรูปแบบเช่น โทรศัพท์มือถือ ipadและคอมพวิ เตอร์ เป็นตน้ 4. ควรลงเนอ้ื หาก่อนการเรียนในห้องเรียน 3-5 วนั และเป็นระบบที่สามารถสอ่ื สารโต้ตอบในรายวิชา ไดจ้ รงิ ตอนท่ี 4 ทดสอบสมมติฐาน ในการใช้สถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดยี ว (one- way ANOVA) เพ่อื ทดสอบความแตกต่าง ระหว่างค่าเฉล่ียความพึงพอใจตอ่ การใช้ส่ือการเรียนรขู้ องนสิ ติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ช้นั ปีที่ 2 ถึง 4 สาหรบั คา่ นัยสาคัญทางสถิตกิ าหนดไว้ทรี่ ะดับ 0.05 ไดผ้ ลการศกึ ษาว่าคา่ เฉลี่ยความพงึ พอใจต่อการใช้สื่อการ เรยี นรู้ของนสิ ิตหลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปที ่ี 2 ถึง 4 ไม่แตกตา่ งกัน อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั 0.05 อภิปรายผลการวิจยั จากการศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิต หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปีท่ี 2 ถึง 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้วิจัยมีประเด็นในการอภิปรายผลการ วเิ คราะหข์ ้อมูลตามวัตถปุ ระสงค์ต่อไปน้คี ือ 1. สารวจความพึงพอใจต่อการใช้ส่อื การเรียนรู้ (E-learning) ในการเรยี นการสอนของนิสติ หลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีที่ 2 ถึง 4 ผลการศึกษาพบว่าความพึงพอใจในด้านเนื้อหา บทเรียน ด้านการเรียนการสอนและด้านมัลติมีเดียส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีเนื่องจากการศึกษาเรียนรู้ ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ตหรืออินทราเน็ต เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตาม ความสามารถและความสนใจของตนโดยเนื้อหาของบทเรียนซ่ึงประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีทัศน์ มัลติมีเดีย อ่นื ๆ โดยผู้เรียน ผู้สอนและเพื่อนรว่ มชน้ั เรยี นทุกคน สามารถตดิ ต่อปรกึ ษาแลกเปล่ียนความคิดเห็น ระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียนในช้ันเรียนปกติจึงเป็นการเรียนสาหรับทุกคน ซึ่งเรียนได้ทุกเวลาและทุก สถานที่ (สรุสิทธิ์ วรรณไกรโรจน์, 2554) รวมทั้งมีส่วนช่วยในการเรียนการสอนนักเรียนท่ีมีความสามารถ แตกต่างกัน เช่น นักเรียนบางคนซ่ึงเรียนอ่อน อาจจะต้องใช้รูปภาพ สื่อท่ีเป็นรูปธรรมหรือชุดการเรียนการ สอนรายบุคคลช่วยให้เขาบรรลุจุดประสงค์ในการเรียน เป็นต้น และเพ่ือช่วยให้นักเรียนได้เรียนูร้จากส่ิงที่เป็น รูปธรรมซึ่งจะนาไปสู่นามธรรมและทาให้นักเรียนเกดิ ความเข้าใจแน่นแฟ้นและจดจาเน้ือหาบทเรยี นได้ในระยะ ยาวมากยิง่ ขึน้ (ยพุ ิน พิพิธกุล และ อรพรรณ ตนั บรรจง, 2535)

38 2. เปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ในการเรียนการสอนของนิสิต หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีที่ 2 ถึง 4 ผลการศึกษาความแตกต่างระหว่าง ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปีที่ 2 ถึง 4 ทั้ง 3 ดา้ นได้แก่ ดา้ นเนื้อหาบทเรียน ดา้ นมลั ตมิ ีเดยี และด้านการเรียนการสอน พบว่า ค่าเฉล่ียความพึงพอใจต่อการ ใช้ส่ือการเรียนรู้ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปีที่ 2 ถึง 4 ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 เน่ืองจากการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) เป็นการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ ท่ีอาศัยเทคโนโลยีด้าน คอมพิวเตอร์และเครือข่ายของอินเทอร์เน็ตมาเชื่อมโยง เป็นสื่อระหว่างผู้เรียนและ ผู้สอน เป็นการเรียนการสอนทอ่ี ย่ใู นระบบออนไลน์ ทาใหไ้ มต่ ้องคานึงระยะเวลา สถานท่ี เป็นรูปแบบการสอน แนวใหม่ (ศกั ดา ไชยกจิ ภิญโญ, 2556) โดยผู้ใช้สามารถเรียนร้บู ทรียนไดท้ ุกเวลาและ สามารถเข้าถึงเน้อื หาการ เรียนรู้ท่ีเฉพาะเจาะจงในการศึกษาบทเรียนและสามารถอธบิ ายข้อผิดพลาด โดยผู้สอนสามารถให้ขอ้ เสนอแนะ เชิงบวกในแง่ของการสอนบนพื้นฐานของเร่ืองท่ีจะศึกษา ได้รับการพิจารณาว่ามีประโยชน์และคุ้มค่าตรงตาม ความต้องการของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีที่ 2 ถึง 4 ส่งผลให้ การศึกษาความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศา สตรบณั ฑิตชัน้ ปีที่ 2 ถงึ 4 ไมแ่ ตกตา่ งกัน จากการสืบค้น ยังไม่พบงานวิจัยที่ศึกษาถึง ความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ส่วน ใหญ่เป็นลักษณะงานวิจัยท่ีศึกษาเปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบบรรยายกับการเรียนแบบการใช้สื่อการ เรียนรู้ (E-learning) ได้แก่ งานวิจัยของ สุดาพร ตงศิริ (2560) การศึกษาในครั้งนี้ ทาให้ทราบถึงความพึง พอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ มหาวิทยาลยั นเรศวร ว่า สื่อการเรียนรู้ในด้านใดไดร้ ับความพึงพอใจมากท่สี ุด คอื ดา้ นจดั การเรียนการสอน ซึ่งไดค้ ะแนนค่าเฉลยี่ เท่ากับ 4.03 คะแนน และด้านที่ได้น้อยที่สุด คือ ด้านมัลติมีเดีย ซึ่งได้คะแนนค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.46 คะแนน และยัง ได้รบั การเสนอแนะในการปรับปรุงให้สอ่ื การเรยี นรู้ ตรงกบั ความตอ้ งการของผู้เรยี น ได้แก่ 1. ควรส่งเสริมให้มี การอัพเดตข้อมูลให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา สามารถเรียนรู้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงและเพิ่มช่องทางในการเข้าถึง เว็บไซต์ E-learning ในอุปกรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ตา่ งๆให้สะดวกมากขนึ้ เช่น สมารท์ โฟนและแทบ็ เลต็ เปน็ ต้น 2. ควรมีการจัดทาเว็บไซต์ให้น่าสนใจมากขึ้น โดยเริ่มการจัดวางเน้ือหาให้มีจุดประสงค์ในการทาเว็บไซต์ ช่วยใน การกาหนดรายละเอียดต่างๆของเว็บไซต์ให้ชัดเจนและรูปแบบมีความน่าสนใจ เพื่อที่จะกระตุ้นให้นิสิต หลักสูตรพยาบาลศาสตรบ์ ัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวรมีความสนใจในการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E- learning) มาก ยิ่งขึ้น พร้อมทั้งสร้างการส่ือสารโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ 2 ทางระหว่างนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลยั นเรศวรและคณาจารยค์ ณะพยาบาลศาสตรบ์ ณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ท่ีใชง้ านไดจ้ ริง ทางคณะผู้วิจัยเป็นนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ก็มีความคิดเห็น สอดคลอ้ งในเรื่องของการปรับเว็บไซต์ (E-learning) ให้มคี วามทันสมัยในเรอ่ื งของเนื้อหา รปู แบบมัลติมีเดียให้ การจัดวางเน้ือหามีความน่าสนใจ ใช้ง่าย สะดวกต่อการใช้งาน และท่ีสาคัญ สามารถใช้สมาร์ทโฟนและแท็บ เล็ต ในการเข้าถึงส่ือการเรียนรู้ (E-learning) ได้ตามแนวคิดสื่อการเรียนรู้ (E-learning) ของอนุชา สะเล็ม (2560) ได้กล่าวว่าการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เนื้อหาตอบสนอง ต่อเร่ืองราวตา่ งๆในปัจจุบันได้อย่างทันถ่วงที เพราะเน้ือหาการเรียนรู้อยู่ในรูปแบบของข้อความอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-text) โดยเฉพาะอย่างย่ิงในด้านของความสามารถในการปรับปรุงเน้ือหาให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา เข้าถึง ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีความคงทนของข้อมูล และมีการใช้แนวคิดของสรุสิทธิ์ วรรณไกรโรจน์ (2552 อ้างอิงใน สามมิติ สุขบรรจง, 2554) ที่ได้กล่าวถึง E-learning ว่าเป็นการศึกษาเรียนรู้ผ่านเครือข่าย คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตหรืออินทราเน็ต โดยเน้ือหาของบทเรียนจะประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง

39 วิดีทัศน์ มัลติมีเดีย ซึ่งผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระหวา่ งกนั ไดเ้ ชน่ เดยี วกับการเรียนในช้ันเรยี นปกติ โดยอาศัยเครอ่ื งมือการตดิ ต่อสื่อสารที่ทนั สมัย ขอ้ เสนอแนะการวิจยั จากผลการวิจยั นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ มรี ะดบั ความพงึ พอใจต่อการใช้สอื่ การเรียนรู้ (E-learning) ระดบั มาก ซึ่งมขี ้อเสนอแนะดังน้ี ขอ้ เสนอแนะการนาผลวิจัยไปใช้ 1.จากการศึกษาวิจัยเรื่องความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ (E-learning) พบว่าความพึงพอใจ ของนิสติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ มหาวิทยาลัยนเรศวร ชั้นปีท่ี 2 ถึง 4 ที่ได้ค่าเฉลี่ยโดยรวมมากท่ีสุด คือ หัวข้อสื่อการเรียนรู้ (E-learning) เพิ่มช่องทางในการเรียนการสอนที่ทันสมัยและสามารถเรียนรู้ได้ตลอด 24 ช่ัวโมง ซ่ึงได้ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเท่ากบั 4.24 คะแนน จากผลวิจัยในคร้ังนี้ ควรส่งเสริมให้มีการอัพเดต ข้อมูลให้ทนั สมยั อยู่ตลอดเวลา สามารถเรยี นรู้ไดต้ ลอด 24 ชว่ั โมงและเพิ่มช่องทางในการเขา้ ถึงเวบ็ ไซต์ E-learning ในอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกสต์ ่างๆใหส้ ะดวกมากขนึ้ เช่น สมารท์ โฟนและแทบ็ เล็ต เปน็ ต้น 2. จากการศึกษาวิจัยเรื่องความพงึ พอใจตอ่ การใช้ส่อื การเรียนรู้ (E-learning) พบวา่ ความพึงพอใจของ นิสติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑิต มหาวิทยาลยั นเรศวร ช้ันปีท่ี 2 ถึง 4 ท่ีได้ค่าเฉลย่ี โดยรวมปานกลาง คือ หัวขอ้ การจดั วางเน้ือหาภายในเว็บไซต์มคี วามน่าสนใจ ซ่ึงได้ค่าเฉลีย่ ความพึงพอใจเทา่ กับ 3.30 คะแนน จากผล วจิ ยั ในคร้งั นี้ ควรมกี ารจัดทาเว็บไซต์ใหน้ ่าสนใจมากข้นึ โดยเริม่ การจัดวางเนอ้ื หาใหม้ ีจดุ ประสงค์ในการทา เวบ็ ไซต์ ช่วยในการกาหนดรายละเอียดต่างๆของเว็บไซตใ์ ห้ชดั เจนและรปู แบบมีความนา่ สนใจ เพื่อทจี่ ะกระตุน้ ใหน้ ิสติ หลักสตู รพยาบาลศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลยั นเรศวรมคี วามสนใจในการใช้ส่ือการเรยี นรู้ (E- learning) มากยิ่งข้นึ พรอ้ มท้ังสร้างการสอื่ สารโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ 2 ทางระหว่างนิสติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต มหาวทิ ยาลยั นเรศวรและคณาจารยค์ ณะพยาบาลศาสตรบ์ ัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ทใ่ี ช้งานได้จริง ข้อเสนอแนะสาหรับการวิจยั ครัง้ ตอ่ ไป 1. ในการวิจัยคร้ังต่อไปควรทาการศึกษาถึงระดับความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือการเรียนรู้ (E-learning) โดยเปรยี บเทียบกับความพึงพอใจต่อวธิ กี ารสอนแบบบรรยาย 2. ในการวิจัยคร้ังต่อไปควรมีการศึกษาในรูปแบบของวิจัยเชิงคุณภาพถึงปัจจัยที่เป็นสาเหตุต่อระดับ ความพงึ พอใจตอ่ การใช้สอ่ื การเรียนรู้ (E-learning)

ช บรรณานุกรม เขมกร อนภุ าพ . (2560) .การใชก้ ารเรยี นรแู้ บบนาตนเองเพ่อื พฒั นาการเรยี นรู้วชิ าคอมพิวเตอรข์ องนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4. สืบคน้ เมือ่ 28 กรกฎาคม 2562 จาก http://libdoc.dpu.ac.th/thesis/160227.pdf ณฐกมล คงด.ี (2554). ลกั ษณะผลติ ภณั ฑ์และความพึงพอใจตอ่ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ของผู้อ่านใน กรงุ เทพมหานคร. สืบค้นเม่ือ 28 กรกฎาคม จาก http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Mark/Nuttakamon_K.pdf?fbclid=IwAR1YVgLCYhMZs3 ElLDSESgKqSEFO7u9bX1Orty3cCYVFaQrus7kM0cixzLs ปิยะ ศักดิ์เจริญ . (2015). ทฤษฎีการเรยี นร้ผู ู้ใหญแ่ ละแนวคดิ การเรียนรดู้ ว้ ยการชน้ี าตนเอง :กระบวนการ เรยี นร้เู พอ่ื การส่งเสรมิ การเรียนรู้ตลอดชวี ิต Adult Learning Theory and Self-Directed Learning Concept:Learning Process for Promoting Lifelong Learning . สบื ค้นเมอื่ 28 กรกฎาคม 2562 จาก https://www.tcithaijo.org/index.php/JRTAN/article/download/35127/29186 ปณุ ยภาพชั ร อาจหาญ . (2555). ความพงึ พอใจของลูกค้าท่ีมีตอ่ การให้บรกิ ารของธนาคารทหารไทย จากัด (มหาชน) สาขาจนั ทบุรี จงั หวัดจันทบุรี. สืบค้นเมือ่ 28 กรกฎาคม 2562 จาก http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/53930109/chapter2.pdf สามมิติ สขุ บรรจง . (2554). การพัฒนา e-learning รายวชิ า การแสดงและสื่อ . สบื ค้นเม่ือ 28 กรกฎาคม 2562 จาก http://thesis.swu.ac.th/swufac/cosci/sammiti_s_r406875.pdf?fbclid=IwAR2CTwRJbj4DC tsGwfSsc5VVlIqA1NxGhCvZZjC4TcGo-5qExj2KbKoH6kc สมชาย รัตนทองคา. (2550). เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ ากายภาพบาบัด ปี2550 ในหัวข้อลักษณะ ผ้เู รยี นระดับอุดมศึกษา . สืบคน้ เมอ่ื 28 กรกฎาคม 2562 จาก https://www.google.com/search?ei=dUREXcrdOPz7z7sP2diA0AM&q=htt+%2F%2Fams. kku.ac.th%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%9 4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87+Havighurst&oq=htt+%2F%2Fams.kku.ac.th% E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8 %82%E0%B8%AD%E0%B8%87+Havighurst&gs_l=psy- ab.3...8570.8570..9709...0.0..0.192.192.0j1......0....2j1..gws-wiz.- VpModo68hs&ved=0ahUKEwiK7IHtruTjAhX8_XMBHVksADoQ4dUDCAo&uact=5# สุชาดา สามสวัสด์ิ. (2555). E-learning กับการศึกษาไทย. สบื ค้นเมอ่ื 28 กรกฎาคม จาก http://www.ranod.ac.th/image/por.pdf

ซ สุดาพร ตงศิริ. (2560). ความพึงพอใจต่อการใช้สอ่ื วีดีทัศน์และดารเชิญวิทยากรบรรยายในการเรียนการสอน วชิ า จป 11(การประมงทว่ั ไป).สบื ค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2562 จาก www.e-manage.mju.ac.th/openFile.aspx?id=MjQ5MTI0 สเุ นตร สบื ค้า. (2552). ความพงึ พอใจของนักศึกษาต่อการเรยี นการสอนผ่านเว็บด้วยโปรแกรมมูเดิล้ (Student’s satisfaction towards learning Management System of Moodle e-Learning). สบื ค้นเมอ่ื 28 กรกฎาคม 2562จาก http://www.engineer.mju.ac.th/goverment/20111119104834_engineer/File2012062913 4854_21754.pdf สุพัณณดา ภาราม . (2557). ความพงึ พอใจของประชาชนจากการชาระภาษีบารงุ ท้องทขี่ ององค์การบรหิ าร ส่วนตาบลเทพมงคล อาเภอบางซา้ ยจังหวดพระนครศรีอยธุ ยา . สบื ค้นเมอ่ื 28 กรกฎาคม 2562 จาก http://dspace.spu.ac.th/bitstream/123456789/4878/6/6.%20%E0%B8%9A%E0%B8%97 %E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%202.pdf มหาวิทยาลยั ศิลปากร. (ม.ป.ป). แนวทางการพฒั นาอเี ลิรน์ นิงสาหรับสถาบันการศึกษาในประเทศไทยการ พัฒนาโปรแกรมต้นแบบระบบกจิ กรรมการเรียนการสอนแบบอเี ลิร์นนงิ . สืบค้นเม่ือ 28 กรกฎาคม 2562 จากhttp://www.educ.su.ac.th/images/research/57/03.pdf ศิริภรณ์ โทอ่อน . (2556). การพัฒนาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ผ่านระบบเครือขา่ ย เร่ือง ระบบสื่อสารขอ้ มูล สาหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรียนบงึ สามพนั วิทยาคม จงั หวัดเพชรบูรณ์. สบื ค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม จาก http://ir.swu.ac.th/xmlui/bitstream/handle/123456789/4002/Siriporn_T.pdf?sequence =1 ศนู ย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). ขอ้ จากดั ของการเรียนการสอนแบบ E-Learning. สืบคน้ เม่อื 28 กรกฎาคม 2562 จาก http://www.oocities.org/telethailand/elearning_limitations.htm?fbclid=IwAR3rZgyrd8e YLP91e6ozn1fRPZJRcmB109U1S9mezhEGs2hL--6T19tDFp8 ศนู ยเ์ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร. (2552). เทคโนโลยกี ารศกึ ษา. สบื ค้นเมอื่ 28 กรกฎาคม จาก https://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=9738&Key=news_research เศรษฐพงค์ มะลิสวุ รรณ. (2553). E-learning. สบื ค้นเม่ือ 28 กรกฎาคม จาก https://www.scimath.org/article-technology/item/1101-461 อนุชา สะเล็ม . (2560) .การประยกตุ ใ์ ช้ E-Learning ในกระบวนการเรียนการสอนวิทยาลัยเทคโนโลยี บริหารธุรกจิ มีนบุรี กรุงเทพ Apply of E-learning in the teaching process Minburi Bangkok Business Administration Technological College. สืบคน้ เมือ่ 28 กรกฎาคม 2562http://www.msit.mut.ac.th/thesis/Thesis_2560/(IT).pdf

ฌ A.Ö. İlkay, C.O. Zeynep . (2014). Impacts of E-learning in Nursing Education: In the Light of Recent Studies. สืบคน้ เมอื่ 28 กรกฎาคม 2562 จาก https://pdfs.semanticscholar.org/9b34/571818acd027b4d8f29ad3aed5a86ae5c415.pdf NationalEducation. (ม.ป.ป.). พระราชบัญญัติ การศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ . สบื คน้ เมอ่ื 28 กรกฎาคม 2562 จาก https://person.mwit.ac.th/01-Statutes/NationalEducation.pdf

ญ ภาคผนวก