44 กำรศกึ ษำคณุ ภำพชวี ติ กำรทำงำนของพนกั งำนตอ้ นรบั บนเครอ่ื งบนิ เกศศณิ ี สำรพี นั ธ,์ จรรี ตั น์ ธรรมวรวงศ์ และเจนจริ ำ มน่ั คง บทคัดยอ่ กำรวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำคุณภำพชีวิตกำรทำงำนของพนักงำน ตอ้ นรบั บนเคร่อื งบิน เพ่อื เปรียบเทียบคุณภำพชวี ิตกำรทำงำนของพนักงำนต้อนรับบน เครื่องบิน และเพื่อศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคุณภำพชีวิตกำรทำงำนกับควำมสุขใน กำรทำงำนของพนักงำนต้อนรับบนเครื่องบิน วิธีกำรดำเนินกำรวิจัย กลุ่มตัวอย่ำง คือ พนักงำนตอ้ นรบั บนเคร่อื งบินของสำยกำรบนิ กำรบนิ ไทย สำยกำรบนิ บำงกอกแอร์เวย์ สำยกำรบินไทยแอร์เอเชีย และเนื่องจำกสถำนกำรณ์กำรแพร่ระบำดของไวรัสโคโรนำ (covid-19) ทำให้มีกำรปรับลดพนักงำนในแต่ละบริษัทจึงส่งผลให้ข้อมูลที่เก็บได้จำก แบบสอบถำมมีจำนวน 121 ชุด โดยใช้แบบสอบถำมเป็นเครื่องมือในกำรเก็บรวบรวม ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์ ได้แก่ ค่ำควำมถี่ ร้อยละ สถิติอนุมำน ได้แก่ กำรวเิ ครำะหค์ วำมแปรปรวนทำงเดยี ว กำรทดสอบรำยคู่โดยสถิตเิ ชฟเฟ่ กำรวิเครำะห์ ค่ำสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและกำรหำค่ำสัมพันธ์ โดยใช้โปรแกรมสถิติ SPSS ผลกำรวิจัยพบว่ำ ผู้ตอบแบบสอบถำมส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงเป็นพนักงำน ต้อนรับบนเครื่องบินของสำยกำรบินไทยแอรเ์ อเชยี ช่วง 21-30 ปีมีรำยเฉลี่ยตอ่ เตือน ต่ำกว่ำ 15,000 บำทต่อเดือน มีสถำนภำพทำงครอบครัว โสด มีระยะเวลำในกำร ทำงำนคือ 4-6 ปี นอกจำกนี้องค์กรหรือสำยกำรบินได้มีกำรจัดอบรมเพื่อพัฒนำ ศักยภำพให้พนักงำนต้อนรับบินเครื่องบินและมีกำรสนับสนุนกำรเรียนรู้ภำษำที่ 3 ใหแ้ กพ่ นักงำนต้อนรบั บนเครื่องบิน โดยมรี ะดับคุณภำพชีวติ ในกำรทำงำนอยู่ในระดับ สำคญั มำก มีระดบั ควำมสุขในกำรทำงำนอยู่ในระดับสำคญั มำกที่สุด นอกจำกนี้ผลกำร เปรียบเทียบพบว่ำ สำยกำรบินไทยแอร์เอเชียมีด้ำนกำรจัดอบรมเพื่อพัฒนำศักยภำพ ค่ำตอบแทนเพียงพอ กำรจัดอบรมฝึกทักษะอยู่เสมอ และรู้สึกภูมิใจในองค์กรที่ ช่วยเหลือสังคมมำกว่ำสำยกำรบินไทยและ สำยกำรบินบำงกอกแอร์เวย์แตกต่ำงกัน อย่ำงมนี ยั สำคัญ .05 และผลกำรหำค่ำสหสัมพันธร์ ะหว่ำงคุณภำพชีวิตกำรทำงำนและ ควำมสุขในกำรทำงำนในภำพรวม พบว่ำมีควำมสมั พนั ธ์ทำงบวกระดบั คอ่ นขำ้ งสูงอย่ำง มีนัยสำคญั ทำงสถติ ทิ ่ีระดับ .01 คำสำคัญ: คณุ ภำพชวี ิต, พนกั งำนต้อนรบั บนเครือ่ งบิน
45 แรงจงู ใจทสี่ ง่ ผลตอ่ กำรตัดสนิ ใจไมม่ บี ตุ รของครอบครวั DINKs และครอบครวั SINKs ในกรงุ เทพมหำนคร พงศล์ ดำ แนวพนชิ , พินลดำ ไกรภำษติ และอำรรี ตั น์ ภำคนอ้ ย บทคัดยอ่ บทควำมวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษำแรงจูงใจที่ส่งผลต่อกำร ตัดสินใจไม่มีบุตรของครอบครัว DINKs และครอบครัว SINKs ในกรุงเทพมหำนคร 2) เพ่ือเปรียบเทียบแรงจูงใจทีส่ ง่ ผลตอ่ กำรตัดสินใจไม่มบี ุตรของครอบครวั DINKs และ ครอบครัว SINKs ในกรุงเทพมหำนคร กลุ่มตัวอย่ำงทีใ่ ช้ในวิจัย คือ ครอบครัว DINKs ที่มีอำยุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 10 ครอบครัว และครอบครัว SINKs ที่มีอำยุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 10 ครอบครัว ที่อำศัยอยู่ในกรุงเทพมหำนคร ใช้วิธีกำรสัมภำษณ์ เชิงลึก โดยนำข้อมูลที่ได้รับจำกกำรสัมภำษณ์เชิงลึกมำวิเครำะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีกำร วิเครำะหเ์ นอื้ หำ ผลกำรวิจัย พบว่ำ แรงจูงใจที่ส่งผลต่อกำรตัดสินใจไม่มีบุตรของครอบครัว DINKs คือ 1) แรงจูงใจด้ำนกำรเงิน 2) แรงจูงใจด้ำนอำยุ 3) แรงจูงใจด้ำนสุขภำพ 4) แรงจูงใจด้ำนเวลำ 5) แรงจูงใจด้ำนด้ำนควำมรับผิดชอบ และแรงจูงใจที่ส่งผลต่อ กำรตัดสินใจไม่มีบุตรของครอบครัว SINKs คือ 1) แรงจูงใจด้ำนกำรเงิน 2) แรงจูงใจ ด้ำนอำยุ 3) แรงจูงใจด้ำนด้ำนควำมรับผิดชอบ ซึ่งแรงจูงใจที่ส่งต่อกำรตัดสินใจไม่มี บุตรของครอบครัว DINKs และครอบครัว SINKs ที่เหมือนกัน คือ 1) แรงจูงใจด้ำน กำรเงิน 2) แรงจงู ใจดำ้ นอำยุ 3) แรงจงู ใจด้ำนด้ำนควำมรับผิดชอบ และแรงจูงใจท่ีส่ง ต่อกำรตัดสินใจไมม่ บี ตุ รของครอบครวั DINKs และครอบครวั SINKs ทแี่ ตกตำ่ งกนั คือ 1) แรงจูงใจดำ้ นสุขภำพ 2) แรงจงู ใจด้ำนเวลำ คำสำคัญ: กำรตดั สินใจไม่มบี ตุ ร, ครอบครัว DINKs, ครอบครวั SINKs, แรงจงู ใจ
46 กำรศกึ ษำทศั นคตขิ องนสิ ติ ปรญิ ญำตรมี หำวทิ ยำลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒตอ่ กำรสง่ เสรมิ ค่ำนยิ มกำรไดร้ บั สทิ ธพิ เิ ศษจำกรปู ลกั ษณภ์ ำยนอก ณฐั วรำ ภำสพนั ธ์ และนนั ทมล กนั ทะวงศ์ บทคัดยอ่ กำรวิจัยนี้มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อศึกษำทศั นคติของนิสิตปรญิ ญำตรี มหำวิทยำลัย ศรีนครินทรวิโรฒต่อกำรส่งเสริมค่ำนิยมกำรได้รับสิทธิพิเศษจำกรูปลักษณ์ภำยนอก กำรวิจัยใช้รูปแบบกำรวิจยั เชงิ คุณภำพ (Qualitative Research) โดยกำรเก็บรวบรวม ข้อมูลด้วยกำรสัมภำษณ์เชิงลึก (In-depth interview) กับนิสิตระดับปริญญำตรี มหำวทิ ยำลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสำนมิตร จำนวน 20 คน โดยนำข้อมูลทไี่ ด้จำกกำร สมั ภำษณน์ ำมำวิเครำะหข์ ้อมูลโดยใช้วธิ ีกำรวิเครำะห์เน้ือหำ (Content Analysis) ผลกำรวิจัยพบว่ำส่วนใหญ่ของผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นนิสิตที่กำลังศึกษำอยู่ใน วิทยำลัยนวัตกรรมสื่อสำรสังคม จำนวน 9 คนและจำกผู้ให้ข้อมูลสำคัญส่วนใหญ่มี กำรรับรู้ถงึ ค่ำนิยมกำรไดร้ ับสิทธิพิเศษจำกรูปลักษณภ์ ำยนอกและมีควำมคิดเหน็ ไปใน ทิศทำงเดยี วกนั ว่ำค่ำนิยมกำรได้รบั สิทธพิ เิ ศษจำกรปู ลกั ษณ์มกั จะเกดิ ขน้ึ กบั คนในสังคม ท่ีมีรูปรำ่ งหนำ้ ตำท่ีดีตำมมำตรฐำนที่สงั คมกำหนดขนึ้ ไว้เอง โดยนสิ ิตส่วนใหญ่ยังแสดง ควำมคิดเห็นอีกว่ำภำยในมหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒยังคงมีกิจกรรมที่ส่งเสริม ค่ำนิยมกำรได้รับสิทธิพิเศษจำกรูปลักษณ์ภำยนอก เช่น กำรประกวดดำวเดือน กิจกรรมรับน้อง รวมไปถึงกิจกรรมสวูเกมส์ที่มีกำรคัดเลือกเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งกิจกรรม ดงั กล่ำวปฏิเสธไมไ่ ดเ้ ลยว่ำไมไ่ ด้พิจำรณำจำกรปู ลกั ษณ์ภำยนอกในกำรคัดเลอื ก และใน ส่วนของแนวทำงกำรแก้ปัญหำกำรส่งเสริมค่ำนิยมกำรได้รับสิทธิพิเศษจำกรูปลักษณ์ ภำยนอก นิสิตปริญญำตรีมหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒได้แสดงควำมคิดเห็นท่ี เหมือนกันว่ำ ค่ำนิยมกำรได้รับสิทธิพิเศษจำกรูปลักษณ์ภำยนอกไม่มีทำงหมดไป ในเวลำรวดเร็วแตอ่ ำจจะมกี ำรทำใหค้ ่ำนยิ มบรรเทำลงเพรำะเม่ือสงั คมในปัจจุบันมีกำร เรียกร้องในเรือ่ งควำมเท่ำเทียม มีกำรพัฒนำและเปิดกว้ำงมำกข้ึนเรื่องกำรได้รับสิทธิ พิเศษจำกรูปลักษณ์ภำยนอกก็จะทำให้คนในสังคมเริ่มตระหนักถึงผลกระทบกำรมอี ยู่ ในเรอื่ งควำมไม่เทำ่ เทยี มทเ่ี กดิ จำกกำรสง่ เสรมิ สทิ ธิพเิ ศษจำกรูปลักษณ์ภำยนอก คำสำคัญ : คำ่ นยิ ม, ทัศนคติ, รูปลกั ษณ์ภำยนอก
47 กำรศกึ ษำทศั นคตกิ ลมุ่ ชำตพิ นั ธปุ์ กำเกอะญอทมี่ ตี อ่ กำรศกึ ษำภำคบงั คบั ลลติ ภทั ร ทดั ทรง บทคดั ยอ่ กำรศึกษำในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษำทัศนคติด้ำนปัญญำ (Cognitive Component) ด ้ ำ น อ ำ ร ม ณ ์ ( Affective Component) แ ล ะ ด ้ ำ น พ ฤ ติก ร ร ม (Behavioral Component) ของกลุ่มชำติพันธุ์ปกำเกอะญอที่มีต่อกำรศึกษำภำค บังคับ มีวิธีกำรดำเนินกำรวิจัย ใช้กำรวิจัยในรูปแบบเชิงคุณภำพ เก็บข้อมูลด้วยกำร สัมภำษณ์เชงิ ลึก โดยผลกำรดำเนนิ กำรวจิ ยั สำมำรถอภปิ รำยได้ดงั นี้ ทัศนคติของกลุ่มชำติพันธุป์ กำเกอะญอที่มีต่อกำรศึกษำภำคบงั คับนั้น พบว่ำ กำรศึกษำเป็นสิ่งที่มีควำมสำคัญ มนุษย์ทุกคนควรได้รับอย่ำงเท่ำเทียมกันเพรำะ ปัจจุบันโลกมีกำรพัฒนำไปอย่ำงรวดเร็ว ทำให้กำรดำเนินชีวิตของผู้คนต้องมีกำร ปรบั ตัวให้เข้ำกับกำรเปล่ียนแปลงของโลก แตก่ ำรเข้ำถึงกำรศกึ ษำของกลุ่มชำติพันธ์ุป กำเกอะญอนั้น จำกกำรศกึ ษำพบวำ่ 2 ใน 3 พ้นื ท่ี ไมส่ ำมำรถเข้ำไม่ถึงกำรศึกษำตำมที่ กระทรวงศึกษำกำหนดได้ โดยปัญหำและอุปสรรคที่ทำให้ไม่สำมำรถเข้ำถึงกำรศึกษำ ของกล่มุ ชำติพันธป์ุ กำเกอะญอนนั้ พบวำ่ ในดำ้ นพื้นที่ ติดปญั หำกำรเดนิ ทำง เน่ืองจำก อย่ใู นพน้ื ทหี่ ่ำงไกล และตดิ ปญั หำควำมยำกจน ซึง่ มรี ำยได้ครัวเรอื นต่อเดือนทีน่ ้อยจำก กำรทำอำชพี เกษตรกรรมหรอื ค้ำขำยเปน็ หลกั ทำใหไ้ มส่ ำมำรถเข้ำถึงกำรศกึ ษำได้ และ ถึงแม้จะมีกำรศึกษำภำคบังคับที่ออกเป็นข้อกฏหมำย หรือนโยบำยด้ำนกำรศึกษำ สำหรบั ชำวเขำ ดงั นั้นต้องยอมรบั ว่ำกำรศึกษำในประเทศไทยยงั ไมส่ ำมำรถเขำ้ ถึงในทุก ๆ พื้นที่ได้ ในด้ำนข้อเสนอแนะแนวทำงกำรแก้ไขปัญหำ กลุ่มชำติพันธุ์ปกำเกอะญอมี ควำมคดิ เห็นทไี่ ปในทศิ ทำงเดียวกนั วำ่ ภำครัฐควรมีกำรจัดกำรให้กำรศึกษำให้สำมำรถ เข้ำถงึ ทกุ คนได้อย่ำงทวั่ ถึง สำรวจประชำกรตรวจสอบพื้นท่ีท่ีหำ่ งไกล จดั ทำแผนพัฒนำ กำรศึกษำมอบอำนำจให้ส่วนทเี่ กย่ี วข้องสำมำรถเข้ำถงึ พื้นท่ีน้ันได้ดูแลอย่ำงใกล้ชดิ เพอ่ื ควำมคล่องตัวในกำรบริหำรจัดกำร มีกำรจัดสรรงบประมำณ ให้ประชำกรในชุมชน ได้รับกำรศึกษำอย่ำงเท่ำเทียม รับฟังควำมคิดเห็นและสำรวจควำมต้องกำรของ ประชำกร สง่ เสริมให้เดก็ ในพ้ืนที่สูงได้เขำ้ ถงึ กำรศึกษำได้มำกข้นึ คำสำคัญ: ทัศนคต,ิ กลุ่มชำตพิ นั ธุ์ปกำเกอะญอ, กำรศกึ ษำภำคบังคับ
48 กำรศกึ ษำภำวะผนู้ ำของผบู้ รหิ ำรสตรสี งั กดั สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขน้ั พน้ื ฐำนกรงุ เทพมหำนคร ศกั รนิ ทร์ คหำปนะ และศริ วิ ชั ร นลิ พฤกษ์ บทคัดยอ่ กำรวิจัยครั้งนี้มีควำมมุ่งหมำยเพื่อ 1. ศึกษำภำวะผู้นำของผู้บริหำรสตรีใน โรงเรยี นของรฐั สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขั้นพน้ื ฐำน ในเขตกรงุ เทพมหำนคร เปน็ รำยดำ้ น 4 ดำ้ น คือ ดำ้ นมุ่งเกณฑ์ ดำ้ นมงุ่ งำน ด้ำนมุง่ สมั พันธ์ และด้ำนมงุ่ ประสำน และ 2. เปรียบเทียบภำวะผู้นำของผู้บริหำรสตรีในโรงเรียนของรัฐ สำนักงำน คณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนในเขตกรุงเทพมหำนคร เป็นรำยด้ำน 4 ด้ำน จำแนกตำมตัวแปรระดับกำรศกึ ษำ อำยุ ประสบกำรณใ์ นกำรบริหำรงำน และลักษณะ งำนทีป่ ฏิบัติ กลมุ่ ตวั อยำ่ งประกอบไปดว้ ย ผู้บรหิ ำรสตรที ป่ี ฏิบัติงำนในโรงเรียนของรัฐ ในกลุ่มงำนบริหำร และกลมุ่ งำนวิชำกำร รวม 45 คน เครอื่ งมือท่ใี ช้ในกำรเก็บรวบรวม ข้อมลู เป็นแบบสอบถำมแบบมำตรำส่วนประมำณค่ำ (Rating Scale) สถิติท่ีใช่ในกำร วเิ ครำะหข์ ้อมูลคอื สถติ ิเชงิ พรรณำ และสถติ ิเชิงอนุมำน ผลกำรวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1 .ผู้บริหำรสตรีในโรงเรียนของรัฐ สำนักงำน คณะกรรมกำรกำรศกึ ษำข้ันพืน้ ฐำน ในกรุงเทพมหำนคร มีภำวะผนู้ ำด้ำนมงุ่ เกณฑ์ ดำ้ น มงุ่ งำน ด้ำนมุ่งสัมพันธ์ และดำ้ นม่งุ ประสำนอยู่ในระดับมำก 2. เปรียบเทียบภำวะผู้นำ ของผู้บริหำรสตรีในโรงเรียนของรัฐ สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนใน กรุงเทพมหำนคร เป็นรำยด้ำน 4 ด้ำนจำแนกตำมตัวแปรระดับกำรศึกษำอำยุ ประสบกำรณใ์ นกำรบรหิ ำรงำน และลกั ษณะงำนที่ปฏิบตั ิ สรุปไดด้ งั นี้ ผ้บู ริหำรสตรีใน โรงเรียนของรัฐในกรุงเทพมหำนคร ที่มรี ะดบั กำรศึกษำต่ำงกนั มภี ำวะผนู้ ำของผู้บริหำร สตรีในโรงเรียนของรัฐแตกต่ำงกันผู้บริหำรสตรีในโรงเรียนของรัฐในเขต กรุงเทพมหำนครทมี่ ีอำยตุ ำ่ งกัน มีภำวะผู้นำสตรีไมแ่ ตกตำ่ งกนั ผบู้ รหิ ำรสตรใี นโรงเรียน ของรัฐในเขตกรุงเทพมหำนครท่ีมีประสบกำรณ์ตำ่ งกัน มีภำวะผู้นำสตรีไม่แตกต่ำงกนั ผู้บริหำรสตรใี นโรงเรียนของรัฐในกรุงเทพมหำนคร ท่ีมีลักษณะกำรปฏบิ ตั งิ ำนที่ต่ำงกัน มีภำวะผู้นำไม่แตกต่ำงกนั ยกเว้นด้ำนมุ่งสัมพันธ์ท่ีผู้นำสตรที ี่ปฏิบัติงำนด้ำนบริหำรมี ภำวะผนู้ ำสูงกว่ำผูน้ ำสตรที ่ีปฏบิ ัติงำนด้ำนวชิ ำกำร คำสำคญั : ภำวะผู้นำ, ผู้บริหำรสตร,ี โรงเรียนของรัฐ
49 กำรศกึ ษำพฤตกิ รรมกำรออมภำยในครอบครวั ทสี่ ง่ ผลถงึ พฤตกิ รรมกำรออมของ นกั ศกึ ษำปรญิ ญำตรใี นเขตกรงุ เทพมหำนคร อศิ วรำ ชำญศลิ ปกลุ บทคดั ยอ่ กำรวจิ ัยเรื่องน้ีมจี ุดมงุ่ หมำยท่ีจะศกึ ษำ 1)พฤตกิ รรมกำรออมเงนิ ของนักศึกษำ ปริญญำตรีในเขตกรุงเทพมหำนคร 2)เพื่อศึกษำพฤติกรรมกำรออมเงินภำยใน ครอบครัวที่ส่งผลต่อพฤติกรรมกำรออมของนักศึกษำปริญญำตรีในเขต กรงุ เทพมหำนคร โดยมีสมมตฐิ ำนว่ำ 1)ปจั จยั ส่วนบคุ คลอนั อำทิเชน่ เพศ อำยุ ช้ันปี มี ผลต่อพฤติกรรมกำรออมของนักศึกษำปริญญำตรี 2)พฤติกรรมกำรออมภำยใน ครอบครวั อำทิ รปู แบบของกำรออมและวตั ถปุ ระสงค์ในกำรออมมีผลตอ่ พฤตกิ รรมกำร ออมส่วนบุคคลของนิสิตนักศึกษำปริญญำตรี โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยคือ แบบสอบถำมสำหรับนสิ ิตนักศึกษำในหมำวิทยำลยั ในเขตกรุงเทพมหำนคร กรณีศึกษำ เขต ปทุมวัน จำนวน 135 คน ผลกำรวจิ ยั พบวำ่ ผู้ตอบแบบสอบถำมมำกท่ีสุดเป็นเพศหญิงรอ้ ยละ 57.0 อำยุ เฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถำมทั้งหมดคือ 20.74 ปี ศึกษำอยู่ชั้นปีที่ 1 เป็นผู้ตอบ แบบสอบถำมมำกที่สุดร้อยละ 25.9 รำยได้ต่อเดือนเฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถำมคอื 12,036.36 บำท ผู้ตอบแบบสอบถำมที่มีรำยได้จำกกำรทำงำนพิเศษจำนวน 30 คน เฉลี่ย 5,916.67 บำท มีค่ำใช้จ่ำยรำยเดือนเฉลี่ย 8544.78 บำท และเมื่อหักค่ำใช้จ่ำย แลว้ มเี งนิ ออมเฉลยี่ ที่ 2,331.11 บำท ในตวั แปรสว่ นบคุ คลน้นั มีเพียงตัวแปรด้ำนอำยใุ น ส่วนของปัจจัยด้ำนบุคคลเท่ำนั้นที่มีผลต่อพฤติกรรมกำรออมของนักศึกษำแบบ มีนัยสำคัญทำงสถิติ และพฤติกรรมกำรออมภำยในครอบครัวก็มีผลต่อพฤติกรรมกำร ออมส่วนตวั ของนักศึกษำในระดับท่ีมนี ัยสำคญั ทำงสถติ ิ คำ่ ควำมเชอ่ื มัน่ 95% คำสำคญั : กำรลอกเลียนแบบพฤตกิ รรม, กำรอบรมเล้ยี งดู, พฤติกรรมกำรออม
50 ทศั นคตดิ ำ้ นควำมเหลอื่ มลำ้ ทำงกำรศกึ ษำในภำคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื กรณศี กึ ษำนสิ ติ ระดบั ปรญิ ญำตรมี หำวทิ ยำลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ น้ำทพิ ย์ เพญ็ กลุ กจิ และปวณี สริ ิ คงอนิ ทร์ บทคดั ยอ่ กำรวิจัยครั้งนี้เป็นกำรวิจัยเชิงผสมระหว่ำงเชิงปริมำณกับเชิงคุณภำพ โดยมี วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษำปัจจัยควำมเหลื่อมล้ำทำงกำรศึกษำของนิสิตภำค ตะวนั ออกเฉียงเหนือท่เี ข้ำมำศึกษำในกรุงเทพมหำนคร 2. เพอื่ ศกึ ษำคุณภำพชีวิตของ นิสิตภำคตะวันออกเฉียงเหนือที่เข้ำมำศึกษำในกรุงเทพมหำนคร 3. เพื่อเสนอแนะ แนวทำงในกำรแก้ไขปัญหำควำมเหลื่อมล ้ำทำงกำรศึกษำของนิสิตภำค ตะวันออกเฉียงเหนือที่เข้ำมำศึกษำในกรุงเทพมหำนครกลุ่มตัวอย่ำงได้แก่ นิสิต มหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสำนมิตร ที่มีภูมิลำเนำเป็นบุคคลพื้นที่จำกภำค ตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 400 คน เครื่องมือในกำรวิจัยเชิงปริมำณ และใช้แบบ สมั ภำษณเ์ ครื่องมือในกำรวจิ ยั เชงิ คุณภำพ สัมภำษณแ์ บบคำถำมปลำยเปดิ ผลกำรวิจัยพบว่ำ 1. ด้ำนกำรเข้ำถึงกำรศึกษำ โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วย คือ สถำนภำพทำงด้ำนเศรษฐกิจของครอบครัวสง่ ผลตอ่ กำรเขำ้ ศึกษำระดบั ปริญญำตรี เกี่ยวเนื่องกับสถำนทำงเศรษฐกิจของครอบครัวที่มีควำมพร้อมในกำรสนับสนุน กำรศกึ ษำ 2. ดำ้ นรำยได้ โดยรวมอย่ใู นระดับเหน็ ดว้ ยอยำ่ งยิง่ คอื สภำพควำมเป็นอยู่ ของชีวิตในภูมิลำเนำ เนื่องจำกกำรที่จะเข้ำรับกำรศึกษำในมหำวิทยำลัยที่มีควำม ต้องกำรทำให้ค่ำใชจ้ ่ำยในกำรดำรงชีวิตเพิ่มสูงขึ้น 3. ด้ำนคุณภำพชีวิต โดยรวมอยู่ใน ระดับเห็นด้วย คือ รูปแบบกำรใช้ชีวิตในสังคมเมืองมีควำมแตกต่ำงจำกภมู ิลำเนำเดมิ เนือ่ งจำกคำ่ ครองชพี ในกำรชีวิตในกรุงเทพมหำนครมีควำมเหล่ือมล้ำมำกท่ีสุด 4. ด้ำน คุณภำพกำรศึกษำ โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วย คือ กำรสำเร็จกำรศึกษำจำก มหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒมีโอกำสในกำรทำงำนสูงและเป็นที่ยอมรับจำก หน่วยงำนอื่น ๆ ผู้เรียนที่เรียนจบจำกสถำนท่ีแหง่ นั้น สำมำรถเพิ่มโอกำสในกำรเลือก สถำนท่ีทำงำนที่มคี ุณภำพ คำสำคัญ: ควำมเลอ่ื มล้ำทำงกำรศกึ ษำ, คุณภำพกำรศึกษำ, ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ
51 ควำมเหลอื่ มลำ้ ทำงกำรศกึ ษำดำ้ นกำรสนบั สนนุ ของครอบครวั ทสี่ ง่ ผลตอ่ แรงจงู ใจใฝ่ สมั ฤทธข์ิ องนกั เรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษำตอนปลำย ในเขตกรงุ เทพมหำนคร พนดิ ำ สวนอกั ษร และเมทนิ ี เดินจร บทคดั ยอ่ กำรวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำควำมเหลื่อมล้ำทำงกำรศึกษำด้ำนกำร สนับสนนุ ของครอบครัวทสี่ ง่ ผลต่อแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิข์ องนักเรียนระดบั ชั้นมธั ยมศึกษำ ตอนปลำย ในเขตกรุงเทพมหำนคร เป็นกำรวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีกลุ่มตัวอย่ำงเป็น นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษำตอนปลำย ในเขตกรุงเทพมหำนคร จำนวน 400 คน ผู้วจิ ัยไดใ้ ชแ้ บบสอบถำมเปน็ เครอื่ งมือในกำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล กำรวิเครำะห์ข้อมูลใช้ สถิติคำ่ ร้อยละ ค่ำเฉลยี่ และส่วนเบี่ยงเบนมำตรำฐำน ผลกำรวิจัยพบว่ำ 1) กำรสนับสนุนทรัพยำกรทำงกำรศึกษำของแต่ละ ครอบครัวนน้ั ข้นึ อยู่กับฐำนะทำงเศรษฐกิจของครอบครัวนนั้ ๆ ว่ำมีควำมพร้อมในกำร สนับสนุนมำกหรือน้อยแตกตำ่ งกนั โดยครอบครัวที่มีรำยไดต้ ่อเดือนมำกกว่ำ 60,000 มีกำรสนับสนนุ ทรพั ยำกรทำงกำรศึกษำทง้ั 3 ด้ำน ไดแ้ ก่ ดำ้ นคำ่ ใช้จำ่ ย, ด้ำนเวลำ และ ดำ้ นสื่อวัสดอุ ุปกรณ์ ให้กับเด็กนกั เรยี นไดม้ ำกกวำ่ ครอบครวั ทีม่ ีรำยได้น้อยกวำ่ 2) กำร วเิ ครำะห์กำรจัดกลมุ่ ทำงกำรศกึ ษำด้ำนกำรสนบั สนุนของครอบครวั ที่สง่ ผลต่อแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิข์ องนักเรียนระดับชัน้ มัธยมศึกษำตอนปลำย ในเขตกรุงเทพมหำนคร พบวำ่ ครอบครัวท่ีมฐี ำนะทำงเศรษฐกิจที่ดีน้ัน มีกำรสนับสนุนทรัพยำกรทำงกำรศึกษำให้แก่ เด็กนักเรียนอยู่ในระดับที่มำกกว่ำนักเรียนที่ครอบครัวมีฐำนะทำงเศรษฐกิจที่ไม่ดี 3) กำรสนับสนนุ ทรัพยำกรทำงกำรศึกษำทีแ่ ตกตำ่ งกันส่งผลใหแ้ รงจงู ใจใฝ่สัมฤทธ์ิของ นักเรยี นมีควำมแตกต่ำงกัน คำสำคัญ: กำรสนับสนุนจำกครอบครัว, ควำมเหลื่อมล้ำทำงกำรศึกษำ, แรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ์
52 กำรศกึ ษำปจั จยั คณุ ภำพชวี ติ ทส่ี ง่ ผลตอ่ วถิ ชี วี ติ คนในชมุ ชนบำ้ นบำตร นพพร สขุ วบิ ลู ย,์ วไิ ลวรรณ วงศป์ ระชมุ และฮสั มำ ฝง่ั ขวำ บทคัดยอ่ กำรศึกษำวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำ ปัจจัยส่วนบุคคลส่งผลต่อคุณภำพ ชีวิตของคนในชุมชนบ้ำนบำตร ปัจจัยคุณภำพชีวิตที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชน บำ้ นบำตร และเพ่ือเสนอแนวทำงในกำรพฒั นำคุณภำพชวี ิตต่อชุมชนบ้ำนบำตร 4 ดำ้ น ได้แก่ ด้ำนสุขภำพ ด้ำนจิตใจ ด้ำนสัมพันธภำพทำงสังคมและด้ำนสิ่งแวดล้อม โดยใช้ ระเบียบวิธวี จิ ยั 2 วิธี ไดแ้ ก่ ระเบียบวธิ วี จิ ัยเชิงปริมำณและคุณภำพโดยมีกลุ่มตัวอย่ำง จำนวน 66 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถำม และกลุ่มตวั อยำ่ งจำนวน 5 คน โดยใชก้ ำรสัมภำษณ์แบบเจำะลึก ผลกำรศึกษำ พบว่ำ ระดับคุณภำพชีวิตโดยใช้แบบชี้วัดคุณภำพชีวิตของ องคก์ ำรอนำมยั โลกชดุ ย่อ ฉบบั ภำษำไทย (WHOQOL-BREF-THAI) ระดับคุณภำพชีวิต ด้ำนสุขภำพกำย มีระดับคุณภำพอยู่ในระดับคุณภำพชีวิตดีมำก ด้ำนจิตใจ มีระดับ คุณภำพอยู่ในระดบั คุณภำพชีวิตดมี ำก ดำ้ นสมั พนั ธภำพทำงสังคม มีระดับคุณภำพอยู่ ในระดบั คุณภำพชีวิตดมี ำก ดำ้ นส่งิ แวดล้อมมีระดับคุณภำพอยู่ในระดับคุณภำพชีวิตดี มำก และคุณภำพชีวิตโดยรวมมีระดับคุณภำพอยู่ในระดับคุณภำพชีวิตดีมำก เมื่อใช้ แบบวัดคุณภำพชีวิตของคนในชมุ ชนบ้ำนบำตร พบวำ่ ระดับคณุ ภำพชีวิตด้ำนจิตใจผล กำรประเมินอยู่ในระดับปำนกลำง ด้ำนสัมพันธภำพ ผลกำรประเมินอยู่ในระดับปำน กลำง ด้ำนสิ่งแวดล้อมผลกำรประเมนิ อยใู่ นระดบั ปำนกลำง และคุณภำพชวี ิตของคนใน ชุมชนบ้ำนบำตรโดยรวม ผลกำรประเมินอยู่ในระดับดีมำก นอกจำกนี้ผลกำรศึกษำ ควำมแตกต่ำงระหว่ำงตัวแปรกับคุณภำพชีวิตของคนในชุมชน พบว่ำ ปัจจัยด้ำนเพศ อำยุ กำรศึกษำ อำชีพ สถำนภำพ และรำยได้ มีผลตอ่ คณุ ภำพชีวิตโดยรวม เมอ่ื วัดด้วย แบบชี้วัดคุณภำพชีวิตขององค์กำรอนำมัยโลกชุดย่อฉบับภำษำไทย และแบบวัด คณุ ภำพชวี ติ ของคนในชุมชนบ้ำนบำตรโดยรวม คำสำคญั : คณุ ภำพชวี ติ , ชมุ ชนบ้ำนบำตร , วถิ ีชวี ติ
53 กำรศกึ ษำสภำพปญั หำกำรเรยี นกำรสอนออนไลนข์ องนสิ ติ ระดบั ปรญิ ญำตรี ชนกำนต์ กรจริ ะโชต,ิ ภทั รกนั ย์ อนิ ทนำ และสริ ธี ร บวั บำน บทคดั ยอ่ กำรศึกษำวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษำสภำพปัญหำกำรเรียน ออนไลนใ์ นกำรเรียนกำร สอนของนสิ ิตระดับปรญิ ญำตรีและ 2) เพอ่ื เสนอแนวทำงกำร แก้ไขปัญหำอันเกิดจำก กำรเรียนออนไลนใ์ นกำรเรียนกำรสอนของนิสติ ระดับปริญญำ ตรี เป็นงำนวิจัยแบบ ผสมผสำน (Mixed Method Research) กลุ่มตัวอย่ำง คือ ผูเ้ รยี นและผ้สู อนระดบั ปริญญำตรี ท่ีศกึ ษำอยภู่ ำคเรียนท่ี 2 ปีกำรศึกษำ 2563 จังหวดั กรงุ เทพมหำนคร กลุม่ ผู้เรยี นจำนวน 120 ตัวอย่ำง และกลุม่ ผสู้ อนจำนวน 20 ตวั อย่ำง สถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์คือ สถิติเชิงพรรณนำ และใช้สถิติแบบ T – test ประมวลผล ขอ้ มูลจำกโปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ ำเรจ็ รูปทำงสถติ ิ ผลวิจยั กลุม่ ผเู้ รียนส่วนใหญเ่ ป็นเพศหญงิ มำกกว่ำเพศชำย อำยุ 21 - 23 ปี ชัน้ ปีท่ี 4 ศึกษำในคณะสังคมศำสตร์มำกท่ีสุด สถำนท่ีกำรเรยี นออนไลนส์ ว่ นมำก คอื บ้ำน รองลงมำ หอพัก/ คอนโด โดยส่วนมำกโปรแกรมที่ใช้เรียนออนไลน์คือ Zoom กลุ่ม ผู้เรยี นมคี วำมคิดเหน็ ท่มี ีตอ่ ปัญหำกำรเรียนออนไลน์ระดับมำก มคี วำมคิดเห็นสูงสุดใน ด้ำนสภำพแวดล้อม รองลงมำ ด้ำนผู้สอน และด้ำนผู้เรียน ตำมลำดับ กลุ่มผู้สอนเป็น เพศหญงิ และเพศชำยเทำ่ กัน โดยมีอำยุ 31 - 40 ปี มำกทสี่ ดุ สอนในคณะสงั คมศำสตร์ มำกท่ีสุด สถำนท่กี ำรสอนออนไลน์ส่วนใหญ่ คือ บำ้ น โดยส่วนมำกโปรแกรมที่ใช้สอน ออนไลน์ คอื Zoom กลมุ่ ผู้สอนมคี วำมคิดเหน็ ท่ีมีตอ่ ปญั หำกำรเรียนออนไลน์ในระดับ มำก โดยมีปัญหำสูงสุดในด้ำนสภำพแวดล้อม และมีควำมคิดเห็นระดับปำนกลำงใน ด้ำนผเู้ รียน ตำมลำดับ และผลทดสอบควำมแตกต่ำงพบว่ำ ควำมสอดคลอ้ งปัญหำกำร เรียนออนไลน์ของกลุ่มผู้เรยี นและกลุม่ ผู้สอน จำแนกตำมด้ำนผู้เรียน แตกต่ำงกัน โดย กลุ่มผู้เรียนจะมีควำมคิดเห็นต่อปัญหำกำรเรียนออนไลน์สูงกว่ำกลุ่มผู้สอน ผลวิจัย พบว่ำควรให้ควำมส ำ คัญ ในด้ำนกำรสนับสน ุนงบประ มำณใน กำรซื้ออุปกรณ ์ เพื่ อ กำรศึกษำ ควรมีกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนที่มีระยะเวลำที่เหมำะสม ให้ควำมสำคัญตอ่ กำรจัดรูปแบบกำรสอนออนไลน์ สถำนที่และสภำพแวดล้อมในกำรเรียนที่เหมำะสม และสรำ้ งปฏิสัมพันธภ์ ำยในหอ้ งเรียนออนไลนใ์ หม้ ำกข้ึน คำสำคญั : กำรเรยี นออนไลน์, กำรสอนออนไลน์, สภำพปญั หำ
54 อทิ ธพิ ลของสอ่ื ออนไลนท์ ส่ี ง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรมลอกเลยี นแบบกำรกลน่ั แกลง้ จำกกำร รบั ชมสอื่ กรณีศกึ ษำ: โรงเรยี นมธั ยมชำยของรฐั เขตสำทร กรงุ เทพมหำนคร ทรงธรรม จงทวธี รรม ปณศิ ำ สดใสกจิ และสภุ ำพชิ ญ์ อสิ โร บทคดั ยอ่ กำรวจิ ัยคร้ังนมี้ วี ัตถปุ ระสงค์ 1) เพือ่ ศกึ ษำปัจจยั ลกั ษณะทำงประชำกรที่ส่งผล ต่อพฤติกรรมลอกเลียนแบบกำรกลั่นแกล้ง 2) เพื่อศึกษำปัจจัยทำงสภำพแวดล้อมที่ สง่ ผลต่อพฤตกิ รรมลอกเลียนแบบกำรกลั่นแกล้ง และ 3) เพือ่ ศกึ ษำพฤตกิ รรมกำรับชม สื่อออนไลน์ท่ีมีเน้อื หำกำรกลนั่ แกลง้ ที่สง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรมลอกเลียนแบบกำรกล่ันแกล้ง ของโรงเรียนวัดสุทธวิ รำรำม เขตสำธร กรุงเทพมหำนคร เป็นกำรวิจัยเชิงปรมิ ำณ โดย ใช้ระเบียบวิธีวิจัย เชิงส ำรวจ ( Survey Research) และใช้แบบสอบถำม (Questionnaire) เปน็ เคร่ืองมือกำรในกำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล กลุม่ ตัวอยำ่ งคือนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษำตอนปลำย ของโรงเรียนวัดสุทธิวรำรำม เขตสำทร จังหวัด กรุงเทพมหำนคร ในภำคเรียนที่ 2 พ.ศ. 2563 และมีพฤติกรรมกำรใช้สื่อสังคม ออนไลน์อย่เู ปน็ ประจำ จำนวน 311 คน จำกวธิ ีกำรของ ทำโร่ ยำมำเน่ และวิธีกำรสุ่ม ตัวอย่ำงแบบเจำะจง สถิติในกำรวิเครำะห์ คือ กำรวิเครำะห์ควำมแปรปรวน (Analysis of Variance: ANOVA) และกำรวิเครำะห์กำรถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลกำรวิจัยพบว่ำ ปัจจัยลกั ษณะทำงประชำกร ดำ้ นรำยได้ มคี วำมแตกตำ่ งกัน ที่ระดับนยั สำคัญทำงสถิติ .05 ส่วนปัจจัยลักษณะทำงประชำกรด้ำนอ่ืน ๆ ได้แก่ ด้ำน อำยุ ระดับกำรศึกษำ และกำรอยู่อำศัย ไม่มีควำมแตกต่ำงกันทำงสถิติ ปัจจัยทำง สภำพแวดลอ้ ม ได้แก่ ด้ำนครอบครวั และด้ำนเพ่อื น มีผลตอ่ พฤติกรรมลอกเลียนแบบ กำรกลน่ั แกลง้ ของนักเรยี นโรงเรียนวัดสุทธวิ รำรำม เขตสำทร กรงุ เทพมหำนคร อย่ำงมี นยั สำคัญทำงสถิติทีร่ ะดับ .05 และพฤติกรรมกำรรบั ชมส่ือออนไลน์ที่มเี นอื้ หำกำรกล่ัน แกล้ง จำกกำรศกึ ษำโดยรวม พบวำ่ พฤตกิ รรมกำรรับชมส่อื ออนไลนท์ ่มี เี นอื้ หำกำรกล่ัน แกลง้ ด้ำนควำมถใี่ นกำรรับชม ระยะเวลำในกำรรับชม และประเภทของผสู้ ง่ สำรบนส่ือ ท่สี นใจรบั ชม ส่งผลตอ่ พฤติกรรมลอกเลียนแบบกำรกลัน่ แกล้งของนักเรียนโรงเรียนวัด สทุ ธิวรำรำม เขตสำทร กรงุ เทพมหำนคร อยำ่ งมีนัยสำคัญทำงสถิตทิ รี่ ะดับ .05 คำสำคัญ: ลอกเลียนแบบ, กล่ันแกล้ง, สื่อออนไลน์, สภำพแวดล้อม
55 กำรศกึ ษำควำมคดิ เหน็ ของนสิ ติ มหำวทิ ยำลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒทมี่ ตี อ่ กำรจดั กำรเรยี น กำรสอนรปู แบบออนไลน์ ในสถำนกำรณก์ ำรแพรร่ ะบำดของเชอ้ื ไวรสั โคโรนำสำยพนั ธ์ุ ใหม่ (COVID-19) ปรดี ี จติ ตป์ รำณชี ยั และวรี ภทั ร รกั ษำพล บทคดั ยอ่ กำรวิจยั คร้ังนมี้ ีวัตถุประสงค์เพอ่ื ศกึ ษำและเปรียบเทียบควำมคิดเห็นของนิสิต มหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒที่มีต่อกำรจัดกำรเรียนกำรสอนรูปแบบออนไลน์ ใน สถำนกำรณ์กำรแพร่ระบำดของเชื้อไวรัสโคโรนำสำยพันธุ์ใหม่ ใน 6 ด้ำน ได้แก่ ด้ำน กำรสนับสนุนและกำรบริหำรจัดกำรของมหำวิทยำลัย, ด้ำนทักษะกำรสอนออนไลน์ ของอำจำรย์, ด้ำนเทคนิคกำรออกแบบบทเรียน, ด้ำนกำรวัดประเมินผล, ด้ำนปัญหำ และอปุ สรรค และดำ้ นทัศนคติของนสิ ิต เมือ่ กลุม่ คณะและรำยได้ครวั เรือนตำ่ งกนั กลุ่ม ตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัย คือ นิสิตระดับปริญญำตรี จำนวน 393 คน เครื่องมือที่ใช้ใน กำรวิจัยเป็นแบบสอบถำมแบบมำตรำส่วนประมำณค่ำ 5 ระดับ ซึ่งมีค่ำควำมเชื่อมั่น เทำ่ กบั .95 และสถิติทีใ่ ช้ในกำรวิเครำะห์ขอ้ มลู ได้แก่ คำ่ ควำมถี่, คำ่ รอ้ ยละ, ค่ำเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ค่ำควำมแปรปรวน One-way ANOVA และกำรเปรียบเทียบ รำยคู่ โดยใชว้ ธิ ี Least-Significant Different (LSD) ซึ่งผลกำรวิจัย พบวำ่ 1) นิสติ มคี วำมคดิ เห็นตอ่ กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนรูปแบบออนไลน์ในภำพรวม อยู่ในระดับปำนกลำง ในรำยด้ำน พบว่ำ ด้ำนทักษะกำรสอนออนไลน์ของอำจำรย์, ด้ำนเทคนิคกำรออกแบบบทเรียน และด้ำนกำรวัดและประเมินผล อยู่ในระดับมำก ส่วนด้ำนอื่น ๆ อยู่ในระดับปำนกลำง 2) นิสิตกลุ่มคณะต่ำงกันมีควำมคิดเห็นใน ภำพรวมแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ในรำยด้ำน พบควำม แตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดบั .05 จำนวน 5 ด้ำน ส่วนด้ำนทักษะกำร สอนออนไลน์ของอำจำรย์ ไม่พบควำมแตกต่ำง และนิสิตที่มีรำยได้ครัวเรือนต่ำงกันมี ควำมคดิ เหน็ ในภำพรวมแตกต่ำงกนั อยำ่ ง มนี ยั สำคัญทำงสถติ ิที่ระดับ .05 ในรำยด้ำน พบควำมแตกต่ำงกนั อยำ่ งมีนัยสำคญั ทำงสถิตทิ ่ีระดบั .05 จำนวน 4 ดำ้ น สว่ นด้ำนกำร วัดและประเมนิ ผล และด้ำนปญั หำและอปุ สรรค ไมพ่ บควำมแตกต่ำง คำสำคัญ: ควำมคิดเห็นของนิสิต, กำรจัดกำรเรียนกำรสอนรูปแบบออนไลน์, สถำนกำรณ์กำรแพรร่ ะบำดของเชอ้ื ไวรสั โคโรนำสำยพันธุ์ใหม่
56 กำรรบั ชมรวี วิ รำ้ นอำหำรผำ่ นสอื่ สงั คมออนไลนก์ บั กำรตดั สนิ ใจเลอื กรำ้ นอำหำรของ ผบู้ รโิ ภคในเขตหว้ ยขวำง ชนสรณ์ วงศน์ อ้ ย, ญำณกิ ำ จอมแปง และณฐั พร อตุ ตะมะ บทคัดยอ่ กำรวิจัยครั้งนี้เป็นกำรวิจัยเชิงปริมำณ (Quantitative Research) โดยมี วตั ถปุ ระสงค์เพ่อื ศึกษำกำรรับชมรีววิ ร้ำนอำหำรผ่ำนส่ือสงั คมออนไลน์ของผู้บริโภคใน เขตหว้ ยขวำง และเพือ่ ศกึ ษำกำรตัดสินใจเลอื กร้ำนอำหำรของผู้บริโภคในเขตหว้ ยขวำง กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรศกึ ษำในครั้งนี้ คือผู้บริโภคที่อำศัยอยู่ในเขตห้วยขวำงจำนวน 400 คน ท่ีเคยใช้ส่อื สงั คมออนไลน์ (Social Media)คน้ หำกำรรวี วิ รำ้ นอำหำร โดยกำร สุ่มกลุ่มตัวอย่ำงแบบสะดวก ให้กลุ่มตัวอย่ำงทำแบบสอบถำมออนไลน์ในรปู แบบของ Web Page ผ่ำน Google Forms เคร่ืองมือที่ใช้ในกำรวิจัยนี้ 1) ศึกษำทฤษฎีเอกสำร และงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมำเป็นแนวทำงในกำรสร้ำงกรอบแนวคิดในกำรวิจัย 2) สรำ้ งกรอบแนวคดิ เก่ยี วกบั พฤติกรรมกำรเปิดรับข้อมูล ทัศนคติตอ่ แหลง่ ข้อมูล และ ควำมพงึ พอใจจำกกำรรบั รู้ขอ้ มลู กำรรวี วิ ร้ำนอำหำรผำ่ นส่อื สังคมออนไลนท์ มี่ ีผลตอ่ กำร ตัดสินใจเลือกร้ำนอำหำรสำหรับกำรรับประทำนอำหำรของผู้บริโภคในเขตห้วยขวำง 3) สรำ้ งแบบสอบถำมและปรับปรงุ แกไ้ ขหลังจำกไดร้ บั คำปรกึ ษำจำกอำจำรย์ที่ปรึกษำ ทำกำรวเิ ครำะหห์ ำควำมเชอื่ มน่ั ของแบบสอบถำม โดยใช้วธิ ีหำค่ำสัมประสิทธ์ิแอลฟ่ำ ของครอนบำค ผลกำรวิจัยพบว่ำ กำรตัดสินใจเลือกร้ำนอำหำรจำกกำรรับชมรีวิวจำกส่ือ ออนไลน์ กลุ่มตัวอย่ำงให้ระดับควำมสำคัญกับกำรเลือกร้ำนอำหำรในระดับมำก โดยเฉพำะเรอื่ งควำมอรอ่ ยของอำหำร จะให้ระดับควำมสำคัญทีส่ ดุ กำรรีววิ รำ้ นอำหำร ผำ่ นสอื่ สังคมออนไลน์นน้ั มีอิทธิพลต่อกำรกำรตัดสนิ ใจเลือกร้ำนอำหำรจำกกำรรับชม รีวิวจำกสื่อออนไลน์ของผู้บริโภคในแทบทุกด้ำนไม่ว่ำจะเป็นกำรรีวิวด้วยภำพเสมือน จริง กำรรีวิวโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงควำมพึงพอใจจำกกำรรับรู้ข้อมูลผ่ำนสื่อสังคม ออนไลน์ คำสำคัญ: กำรรีวิวอำหำร , กำรตัดสินใจเลือกร้ำนอำหำร , สื่อสังคมออนไลน์ , รำ้ นอำหำร
57 W Part 4 วัฒนธรรม ศาสนา ชาตพิ นั ธ์ุ W
58 กำรศกึ ษำภมู ปิ ญั ญำทอ้ งถน่ิ ของหมอพนื้ บำ้ นในกำรรกั ษำกระดกู หกั กรณศี กึ ษำ หมอสมั ฤทธ์ิ จำแนกวฒุ ิ อำเภออุทยั จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยำ ชโลธร บญุ ธมิ ำ บทคัดยอ่ กำรวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำภูมิหลังของหมอพื้นบ้ำน องค์ควำมรู้กำร รักษำกระดูกหักของหมอพื้นบ้ำน และปัจจัยเสี่ยงต่อกำรสูญหำยและควำมคงอยู่ของ ภูมิปัญญำทอ้ งถิ่นของหมอพื้นบำ้ นในกำรรักษำกระดูกหัก โดยมีวิธีดำเนินกำรวจิ ัยเชงิ คุณภำพ ใช้วิธีกำรสังเกตกำรณ์อย่ำงมีส่วนร่วมและกำรสัมภำษณ์เชิงลึก ซึ่งกลุ่มผู้ให้ ข้อมูลสำคัญ คือ หมอพื้นบ้ำนที่รักษำกระดูกหัก จำนวน 1 คน ผู้ที่เข้ำรับกำรรักษำ กระดูกหัก จำนวน 4 คน และ ผู้แทนในหน่วยงำนที่เกี่ยวข้อง จำนวน 1 คน โดยสุ่ม กล่มุ ผใู้ หข้ อ้ มูลสำคญั แบบเจำะจงและแบบรำยกรณี ผลกำรวิจัย พบว่ำ หมอพื้นบ้ำนรักษำผู้ที่เข้ำรับกำรรักษำที่บ้ำนเกิดหรือ ภูมิลำเนำของตนเอง ซึ่งกำรเป็นหมอพื้นบ้ำนมำจำกกำรทีไ่ ด้รบั กำรสบื ทอดจำกบรรพ บุรุษและมีจิตใจดีที่ต้องกำรรักษำชำวบ้ำน องค์ควำมรู้กำรรักษำกระดูกหักของหมอ พื้นบ้ำนเป็นกำรรักษำแบบผสมผสำนระหว่ำงศำสตร์ทำงธรรมชำติแ ละศำสตร์ทำง วิทยำศำสตร์ซึ่งจะเป็นอัตลักษณ์ของกำรรักษำกระดูกหักโดยหมอพื้นบ้ำน ประกอบด้วย พธิ กี รรมและวิธีกำรรกั ษำกระดกู หกั ในส่วนปัจจยั เส่ียงตอ่ กำรสูญหำยได้ มำกทสี่ ดุ คือ กำรทไ่ี มม่ ีกำรสืบทอดท้ังบตุ รและเครือญำตใิ นสำยเลอื ด ถึงแมจ้ ะมีบุคคล ที่มีควำมสนใจที่จะเรียนรู้ก็ไม่สำมำรถให้เวลำกำรทุ่มเทในกำรเรียนรู้ได้อย่ำงเต็มท่ี ดังนั้น กำรคงอยู่ของภูมิปัญญำจึงต้องขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้คนในสังคมและควำม รว่ มมอื ทำงหน่วยงำนที่มีสว่ นเก่ยี วข้องและประชำชนทมี่ สี ่วนเกยี่ วขอ้ งกับภมู ปิ ญั ญำ คำสำคญั : กำรรกั ษำกระดูกหัก, ภูมปิ ัญญำท้องถ่ิน, หมอพืน้ บำ้ น
59 ระบบอปุ ถมั ภข์ องวฒั นธรรมกำรรบั นอ้ งในมหำวิทยำลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ซำรนี ำ่ เกตสมัน และนลทั พร กำญจนะภำโส บทคัดยอ่ กำรศึกษำวจิ ัยครั้งนีม้ ีวัตถุประสงค์เพือ่ ศกึ ษำโครงสร้ำงวฒั นธรรมกำรรับน้อง ของมหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อวิเครำะหร์ ะบบอุปถัมภ์ของวัฒนธรรมกำรรบั น้องของมหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อสังเครำะห์แนวทำงกำรพัฒนำวัฒนธรรม กำรรบั นอ้ งของมหำวิทยำลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ เป็นงำนวจิ ัยเชิงคุณภำพ กลุม่ ผใู้ ห้ข้อมูล ที่ใช้ในกำรศึกษำครั้งนี้ มี จำนวน 20 คนโดยแบ่งออกเป็น ส่วนกิจกำรนิสิต สภำนิสติ สโมสรนิสิต และนิสิตผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมกำรรับน้อง โดยใช้กำรสัมภำษณ์ เชงิ ลกึ (In-Depeth Interview) ผลกำรศึกษำพบว่ำ โครงสร้ำงวัฒนธรรมกำรรับนอ้ งในมหำวทิ ยำลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ แต่ละส่วนมีควำมสมั พันธ์ซึ่งกันและกันอย่ำงชดั เจนมขี อบเขตที่แน่นอน โดย แต่ละฝ่ำยในโครงสร้ำงจะมีอำนำจและบทบำทอย่ำงชัดเจน รูปแบบกิจกรรมกำรรับ น้องในมหำวทิ ยำลยั ศรีนครินทรวิโรฒ สะทอ้ นให้เห็นถึงระบบอปุ ถัมภ์และระบบอำนำจ นยิ มทแ่ี ฝงอย่ใู นวัฒนธรรมกำรรบั นอ้ ง ผำ่ นกำรว้ำก กำรรบั น้องประชุมเชียร์ มีกำรทำ ควำมรจู้ กั กันระหวำ่ งรนุ่ พี่รนุ่ นอ้ ง และด้วยระบบอำวุโสทีร่ นุ่ พี่มีอำนำจเหนอื กวำ่ ร่นุ นอ้ ง ทำให้รุน่ น้องตอ้ งยอมรบั กำรใช้อำนำจของรนุ่ พี่ เกดิ กำรสร้ำงคอนเน็กช่นั จะเห็นได้ว่ำ ระบบอำนำจนิยมยังคงมีอยู่ในวัฒนธรรมกำรรับน้อง ด้วยหลำกหลำยสำเหตุ อำทิ รนุ่ นอ้ งไม่มอี ำนำจในกำรปฏิเสธรุน่ พี่ หรอื รนุ่ น้องบำงคนไดผ้ ลประโยชน์จำกกำรมีคอน เน็กช่ันจำกรุ่นพ่ี เป็นต้น เมอื่ มคี วำมอุปถัมภ์เกิดขึ้นก็ยิ่งมีทำใหว้ ัฒนธรรมกำรับน้องใน ระบบโซตสั ยงั คงมีอยู่จนถงึ ปัจจุบนั สำหรับแนวทำงกำรพัฒนำวัฒนธรรมกำรรับน้องของมหำวิทยำลัยศรีนคริน ทรวิโรฒ มีกำรเสนอแนะแนวทำงกำรพัฒนำกำรรับน้องให้เปน็ ไปในเชงิ สรำ้ งสรรค์ เช่น กำรจัดรูปแบบกำรรับน้องให้มีควำมสอดคล้องกับเนื้อหำสำขำวิชำ กิจกรรมที่มีกำร แนะนำน้องในกำรใช้ชีวิตในมหำวิทยำลัย มีกิจกรรมที่เน้นรูปแบบสันทำนำกำร โดย ปรบั เปลีย่ นให้สอดคล้องกับสถำนกำรณ์ปัจจบุ นั และไม่มีกำรละเมดิ สทิ ธิส่วนบุคคล คำสำคญั : กำรวำ้ ก, ระบบอุปถมั ภ์, วัฒนธรรมกำรรบั นอ้ ง
60 วทิ ยำศำสตรป์ ะทะควำมเชอ่ื : ประสบกำรณก์ ำรฟน้ื ฟผู ปู้ ว่ ยสงู อำยโุ รคหลอดเลอื ด สมองของนกั กำยภำพบำบดั วรภพ ธนั ยำกรวรกลุ , วจั นก์ ร ขุนทอง และณภทั ร สวุ รรณจนิ ดำ บทคดั ยอ่ กำรศกึ ษำวจิ ยั คร้ังน้มี ีวัตถปุ ระสงค์คือ (1) เพ่อื ศึกษำสถำนกำรณ์ผู้ป่วยสูงอำยุ โรคหลอดเลือดในสมองในประเทศไทย (2) เพื่อศึกษำประสบกำรณ์กำรต่อรองของนกั กำยภำพบำบัดของกำรฟ้ืนฟรู ่ำงกำยผู้ปว่ ยผู้สูงอำยโุ รคหลอดเลือดสมอง (3) เพอ่ื ศึกษำ รูปแบบควำมเชื่อพุทธศำสนำที่มีผลต่อกำรฟื้นฟูร่ำงกำยของผู้ป่วยสูงอำยุโรคหลอด เลือดสมอง เป็นงำนวิจัยเชิงคุณภำพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลที่ใช้ในกำรศึกษำครั้งนี้ มี จำนวน 10 คน โดยใชก้ ำรสัมภำษณแ์ บบเชิงลกึ (In-Depth Interview) ผลกำรศกึ ษำพบวำ่ ประกำรท่ีหนึง่ สถำนกำรณผ์ ปู้ ่วยสงู อำยุโรคหลอดเลือดใน สมองในประเทศไทยมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงมำกขึ้นเป็นสำเหตุมำจำกสถำนกำรณ์ของ ผ้สู ูงอำยใุ นสังคมไทยท่เี พิม่ ขน้ึ ในทุก ๆ ปี และเปน็ ปัจจยั เสีย่ งอันดับที่ 1 ทกี่ อ่ ให้เกิดโรค หลอดเลอื ดสมอง ซึ่งผู้คนรอบตัวของผปู้ ่วยถือเป็นสิ่งสำคัญทจ่ี ะสร้ำงกำลังใจรวมไปถึง ควำมเปน็ กลั ยำณมติ รท่ดี ีระหว่ำงผูป้ ่วย ครอบครัวและบุคลำกรทำงกำรแพทย์ โดยกำร ฟืน้ ฟูรำ่ งกำยทด่ี ที ี่สุดของผู้ปว่ ยโรคหลอดเลอื ดสมองคือกำรทำกำยภำพบำบัดและกำร ออกกำลังกำย โดยอำศัยกำรกำกับดูแลของนักกำยภำพบำบัด ประกำรที่สอง ประสบกำรณ์กำรต่อรองของนักกำยภำพบำบัดของกำรฟนื้ ฟูร่ำงกำยผู้ป่วยผสู้ ูงอำยุโรค หลอดเลือดสมอง แสดงให้เห็นควำมสัมพันธ์ระหว่ำงควำมเชื่อพุทธศำสนำและ วทิ ยำศำสตรว์ ่ำสำมำรถนำมำปรบั ใช้และทำงำนร่วมกนั ได้ นักกำยภำพบำบดั นำแนวคิด หรือหลักคำสอนพุทธศำสนำมำปรบั ใช้ร่วมกับกำรทำกำยภำพบำบดั อย่ำงลงตวั แสดง ให้เห็นถึงกำรต่อรองระหว่ำงนักกำยภำพบำบัดและผู้ป่วย เพื่อสร้ำงแรงจูงใจและ กำลังใจที่ดีให้กับผู้ป่วยในกำรฟื้นฟูร่ำงกำย ประกำรที่สำม รูปแบบควำมเชื่อพุทธ ศำสนำที่มีผลต่อกำรฟื้นฟูร่ำงกำยของผู้ป่วยสูงอำยุโรคหลอดเลือดสมอง มีลักษณะ ควำมเชื่อพื้นฐำนคือควำมเชื่อพุทธศำสนำเรื่องของเวรกรรม โดยผสมผสำนระหว่ำง ควำมเชื่อพื้นบ้ำน แพทย์ทำงเลือก และหลักกำรทำงวิทยำศำสตร์ โดยส่งผลต่อกำร ฟน้ื ฟูร่ำงกำยของผ้ปู ว่ ย ในเรื่องของแรงจงู ใจและกำลงั ใจในกำรฟนื้ ฟูร่ำงกำย คำสำคญั : ผูป้ ว่ ยผูส้ งู อำยโุ รคหลอดเลือดสมอง, ควำมเช่ือพุทธศำสนำ, กำรต่อรอง, นัก กำยภำพบำบัด
61 ศกึ ษำทัศนคตริ ะหวำ่ งวยั ทแี่ ตกตำ่ ง ในกรณีศกึ ษำ Generation Y และGeneration Z ที่มตี อ่ พทุ ธศำสนำ บรเิ วณยำ่ นอโศก พมิ พกำนต์ สนิ สวสั ด์ิ และภำสริ ิ หงวนงำมศรี บทคดั ยอ่ กำรวิจยั ครัง้ น้ผี ้วู ิจัยม่งุ ศึกษำ ทัศนคติ ใน Generation Y และ Generation Z ที่มีต่อพุทธศำสนำ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษำแนวทำงด้ำนทัศนคติในพุทธศำสนำ ของ Generation Y และ Generation Z ศึกษำควำมแตกต่ำงระหว่ำงทัศนคติด้ำน พุทธศำสนำกบั Generation Y และ Generation Z และเป็นแนวทำงในกำรปรับหลัก คิดของพุทธศำสนำให้เข้ำกับกำรเปล่ยี นแปลงของ Generation มำกยิง่ ขนึ้ กำรวิจัยใน ครั้งนี้เป็นกำรวิจัยเชิงปริมำณ (Quantitative Research) วิธีกำรดำเนินกำรวิจัย ผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถำมทัศนคติใน Generation Y และGeneration Z ที่มีต่อพุทธ ศำสนำ โดยแบ่งเป็น Generation Y 200 ชุด Generation Z 200 ชุด จำกทั้งหมด 400 ชุด สถติ ทิ ีใ่ ช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูลคือ คำ่ ควำมถ่ี ค่ำร้อยละ คำ่ เฉลี่ย ค่ำเบ่ียงเบน มำตรฐำน สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐำน คือ วิเครำะห์ควำมแตกต่ำงระหว่ำงอำยุ และ ทัศนคตทิ มี่ ตี อ่ พุทธศำสนำ โดยใช้สถติ ิทดสอบใช้กำรหำคำ่ ที (t-test) ผลกำรวิจัย 1.ผู้ตอบแบบสอบถำมมีทัศนคติต่อกำรปฏิบัติตนเป็นชำวพุทธ โดยรวมไม่เหมือนกัน ทัศนคติของ Generation Y อยู่ในระดับมำก โดยมีค่ำเฉล่ีย เท่ำกับ 3.73 ส่วนทัศนคติของ Generation Z ที่มีต่อกำรปฏิบัติตนเป็นชำวพุทธ โดยรวมอยู่ในระดับปำนกลำง โดยมีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 3.11 2.ผู้ตอบแบบสอบถำมมี ทัศนคติที่มีต่อพุทธศำสนำโดยรวมไม่เหมอื นกัน ในทัศนคติของ Generation Y อยู่ใน ระดับมำก โดยมีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 3.64 3.ทัศนคติของ Generation Z ที่มีต่อพุทธ ศำสนำ โดยรวมอยู่ในระดับปำนกลำง โดยมีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 3.48 3.Generation Y และ Generation Z ที่มีช่วงอำยุต่ำงกัน จะมีทัศนคติต่อพุทธศำสนำ ด้ำนกำรปฏิบัติ ตนเป็นชำวพุทธแตกต่ำงกัน อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 4.Generation Y และ Generation Z ทีม่ ชี ว่ งอำยตุ ่ำงกัน จะมที ศั นคตติ ่อพุทธศำสนำแตกต่ำงกนั อย่ำง มนี ัยสำคัญทำงสถติ ิท่ี .05 คำสำคญั : ทัศนคต,ิ พทุ ธศำสนำ, Generation Y, Generation Z
62 กำรพฒั นำวธิ กี ำรนำเสนอผลติ ภณั ฑจ์ กั สำนไมไ้ ผเ่ ชงิ สรำ้ งสรรคผ์ ำ่ นเฟสบุ๊ค (Facebook) ธญั ชนก ใหมร่ ตั นไชยชำญ บทคัดยอ่ กำรวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำประวัติควำมเป็นมำและขั้นตอนกำร ผลิตของผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจกั สำนไม้ไผ่บำงเจ้ำฉ่ำ ตำบลบำงเจ้ำฉ่ำ อำเภอโพธิ์ทอง จงั หวัดอ่ำงทอง รวมถงึ เพ่ือพัฒนำกำรนำเสนอผลติ ภณั ฑ์หัตถกรรมจกั สำนไม้ไผ่บำงเจ้ำ ฉ่ำผ่ำนเฟสบุ๊ค (Facebook) ใช้กำรวิจัยเชิงคุณภำพ (Qualitative Research) เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย คือ กำรสังเกตแบบมีส่วนร่วม กำรสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และกำรสัมภำษณ์แบบเชิงลึก กลุ่มตัวอย่ำงเลือกแบบเฉพำะเจำะจง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ประธำนกลมุ่ จำนวน 1 คน สมำชิกของกล่มุ จำนวน 3 คน ผู้ท่ีมีควำมรู้ เรื่องงำนหตั ถกรรมจักสำนไมไ้ ผ่ จำนวน 1 คน ผู้เลอื กซ้อื สินค้ำในชุมชน 5 คน ผลกำรวิจัยพบว่ำ กำรจกั สำนไม้ไผ่เป็นงำนหตั ถกรรมท่ีมีคุณค่ำทำงภูมิปัญญำ ทอ้ งถิน่ ผ้ผู ลติ สำมำรถสร้ำงควำมน่ำสนใจและสร้ำงแรงจูงใจในกำรเลือกซ้ือสินค้ำของ ผู้บริโภคได้มำกขึ้น มีกำรพัฒนำวิธีกำรนำเสนอสินค้ำผ่ำนทำงเฟสบุ๊คแฟนเพจ (Facebook Fanpage) ให้ทันสมัยโดยใช้ภำพกรำฟิกเพื่อดึงดูดลูกค้ำ กำรกระตุ้น ยอดขำยด้วย Facebook Live เป็นหนึ่งในเทรนด์กำรขำยของออนไลน์ที่นิยมและ มำแรง ทำใหม้ ีโอกำสสูงมำกที่ผู้ชมจะกลำยเปน็ ลูกค้ำ กำรสรำ้ งยอดขำยสนิ ค้ำใหม่จำก ฐำนลูกค้ำเก่ำด้วย Facebook Lead Ads เป็นกำรโฆษณำที่ทำขึ้นเพื่อใช้ในกำรเก็บ ข้อมูลของผู้ที่สนใจเพื่อแลกรับบำงอย่ำง เช่น สินค้ำทดลอง สินค้ำชนิดใหม่ต่อไป กำรเพิ่มยอดขำยจำกกำรทำ Remarketing เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นกำร ตัดสินใจซื้อ โดยกำรยิงโฆษณำไปยังกลุ่มเป้ำหมำยที่คุ้นเคยกับเพจและกลุ่มคนที่มี แนวโนม้ ที่จะซอ้ื สนิ คำ้ แตย่ ังไมซ่ ื้อ เพื่อตอกย้ำให้กลมุ่ เป้ำหมำยเหน็ โพสต์สินค้ำของเพจ บ่อยๆเพิ่มโอกำสที่จะหยุดดูและอำจตัดสินใจซื้อสินค้ำได้ในที่สุด อีกทั้งกลยุทธ์กำร บริหำรจัดกำรและดูแลเอำใจใส่ลูกค้ำและมีกำรต่อยอดพัฒนำไปขำยในช่องทำงอ่ืน เพ่ือให้เกิดควำมหลำกหลำยในตลำดและให้ลูกค้ำมีตวั เลอื กมำกขึน้ คำสำคัญ: กลยุทธก์ ำรสอื่ สำรกำรตลำด, เฟสบุ๊ค, ผลติ ภณั ฑจ์ ักสำนไมไ้ ผ่
63 วฒั นธรรมครำฟทเ์ บยี รใ์ นสงั คมไทยรว่ มสมยั อกุ ฤษณ์ เอีย่ มสอำด บทคดั ยอ่ กำรวิจัยเรือ่ ง “วฒั นธรรมครำฟทเ์ บียรใ์ นสังคมไทยร่วมสมัย” มจี ดุ มุ่งหมำย 2 ประกำรคือ ศึกษำกำรก่อรูปวัฒนธรรมกำรดืม่ ครำฟต์เบียร์ในสงั คมไทยร่วมสมัย และ ศึกษำกำรต่อรองอำนำจของวัฒนธรรมครำฟท์เบียร์ในสังคมไทยร่วมสมัย สำหรับ ระเบียบวิธีวิจัยผู้วิจัยเลือกใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภำพเพื่อทำควำมเข้ำใจวัฒนธรรม ครำฟท์เบียร์แบบองค์รวม โดยใช้กำรศึกษำเอกสำรเพื่อทำควำมเขำ้ ใจแนวคิด ทฤษฎี ตลอดจนองค์ควำมรู้ที่เกี่ยวข้องกับครำฟท์เบียร์ และใช้กำรศึกษำภำพสนำมเพื่อเก็บ ข้อมูลปฐมภูมิจำกผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 ท่ำน ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มี ประสบกำรณ์ในกำรทำกิจกรรมเกี่ยวกับครำฟท์เบียร์มำกกว่ำ 1 ปี สำหรับกำรเก็บ ข้อมูลผู้วิจัยเลือกใช้กำรสัมภำษณ์แบบกึ่งโครงสร้ำงและกำรสนทนำกลุ่ม โดยใช้แบบ สัมภำษณเ์ ป็นเครอื่ งมอื ในกำรเกบ็ ข้อมูล ผลกำรศึกษำพบว่ำกระบวนกำรก่อรูปวัฒนธรรมครำฟท์เบียร์สำมำรถแบ่ง ออกเป็น 2 ระยะคือ 1) ระยะกำรรับวัฒนธรรม เกิดจำกกลุ่มคนที่มีควำมพร้อมในทนุ ประเภทต่ำง ๆ ได้มีโอกำสไปศึกษำต่อและทำกิจกรรมในต่ำงประเทศ และกำรเข้ำมำ ของผลิตภัณฑ์เบียร์ต่ำงประเทศ ซึ่งส่งผลต่อกำรปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทำงควำมคิดของ กำรดื่ม 2) ระยะกำรแพร่กระจำยวัฒนธรรมซึ่งเกดิ ขึ้นในช่วงเวลำเดียวกับกำรพัฒนำ เทคโลโลยี ส่อื สำรสนเทศ จงึ ทำให้วฒั นธรรมครำฟทเ์ บยี รส์ ำมำรถแพร่กระจำยและเกิด กำรขัดเกลำอย่ำงรวดเร็ว ขณะที่วัฒนธรรมครำฟท์เบียร์ที่เกิดขึ้นเป็นไปในลักษณะท่ี เป็นระบบกำรให้คุณค่ำใหม่กับกำรดื่มโดยพิจำรณำผ่ำนมิติของควำมหลำกหลำย คุณภำพ และอัตลักษณข์ องครำฟท์เบียร์ สำหรับกำรบวนกำรต่อรองที่เกิดขึ้นแสดงให้ เห็นถึงภำพกำรปรับตัวของผู้ผลิตรำยใหญ่ภำยใต้กำรขยำยตัวของวัฒนธรรมครำฟท์ เบียร์ ที่สะท้อนภำพของกำรสะสมทุนทำงสังคม และปรับบทบำทให้สอดคล้องกับ วัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลง แมว้ ำ่ ภำพลกั ษณ์ของรำยใหญ่จะยงั คงถูกมองว่ำเป็นผู้กีดกัน ผู้ผลิตรำยยอ่ ย คำสำคัญ: วัฒนธรรมรว่ มสมัย, ครำฟท์เบยี ร์
64 อทิ ธพิ ลของบทเพลงตอ่ กำรชมุ นมุ ทำงกำรเมอื ง : กรณศี กึ ษำขบวนกำรเคลอื่ นไหว ทำงกำรเมอื ง พ.ศ. 2563-2564 ณฐั นนท์ ประดบั ศรี และวรพล บวั ทอง บทคดั ยอ่ กำรศึกษำวิจัยเรื่อง “อิทธิพลของบทเพลงต่อกำรชุมนุมทำงกำรเมือง : กรณีศึกษำ ขบวนกำรเคลื่อนไหวทำงกำรเมือง พ.ศ. 2563-2564” คร้ังน้ีมวี ัตถุประสงค์ เพื่อศึกษำอิทธิพลของบทเพลงที่มีต่อกำรชุมนุมทำงกำรเมืองผ่ำนกำรชุมนุมของกล่มุ คณะรำษฎรและเพื่อศึกษำรูปแบบกำรสร้ำงบทเพลงที่ใช้ในกำรแสดงออกทำงกำรเมือง โดยกำหนดระเบียบวิธีวิจัยครั้งนี้เป็นกำรวิจัยเชิงคุณภำพ (Quantitative Research) ในรูปแบบปรำกฎกำรณ์วิทยำเชิงกำรบรรยำย (Descriptive Phenomenology) ประชำกรในกำรศึกษำครั้งนี้คือ กลุ่มผู้ชุมนุมและศิลปินที่เข้ำร่วมกำรชุมนุมของกลุ่ม คณะรำษฎรในจังหวัดกรุงเทพมหำนคร ซึ่งใช้วิธีกำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบเจำะจง (Purposive Sampling) เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นกำรศึกษำคร้งั นีค้ อื แบบสมั ภำษณ์เชิงลกึ (In- Depth Interview) ใชก้ ำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู เอกสำร (Document Analysis) ผลกำรวจิ ยั พบวำ่ 1)อทิ ธพิ ลของบทเพลงทส่ี ง่ ผลตอ่ ผ้ชู มุ นมุ สำมำรถแบง่ ได้เป็น 2 กลุ่มคือ 1. อิทธิพลในด้ำนของกำรเผยแพร่ข้อมูลข่ำวสำรผ่ำนบทเพลง เพรำะกำร สื่อสำรผำ่ นบทเพลงทำใหผ้ ู้ชุมนมุ สำมำรถจำข้อมูลผ่ำนบทเพลงได้มำกกวำ่ กำรอ่ำนหรือ กำรฟงั กำรประกำศขำ่ ว และทำใหผ้ ู้ชมุ นมุ ท่ไี ดฟ้ งั เกดิ ควำมตระหนกั รู้ต่อประเดน็ ปญั หำ ในสังคมมำกขึ้น 2. อิทธิพลที่ส่งผลต่ออำรมณ์ควำมรู้สึกแก่ผู้ชุมนุมขณะเข้ำร่วม เช่น ควำมรสู้ กึ หกึ เหิม, ปลุกใจ, มีกำลังใจ เป็นต้น ซงึ่ บทเพลงทจ่ี ะเขำ้ ถงึ ควำมรู้สึกของผู้ฟัง ข้ึนอยูก่ บั สถำนกำรณ์ ณ เวลำน้นั ๆ2)กระบวนกำรสร้ำงสรรค์บทเพลงของศิลปินกลุ่มที่ 1 จะมองภำพปัญหำของสงั คมและสะท้อนออกมำเป็นบทเพลง ใส่จังหวะและทำนองท่ี สนุกสนำน ใช้เครื่องดนตรีพ้ืนบ้ำนของอิสำนผำ่ นบริบทของหมอลำซิ่ง ศิลปินกลุ่มที่ 2 แรงบันดำลใจจำกควำมรู้สึกคนรอบข้ำงที่โดนโทษทำงกำรเมืองต่ำงๆมำสร้ำงเป็นบท เพลงทเี่ น้นในดำ้ นอำรมณ์ควำมรู้สึกของผู้ชุมนุมมีกำรใสท่ ำนองให้เข้ำกับสถำนะกำรณ์ นั้นขณะนนั้ ผ่ำนบรบิ ทวงดนตรเี พอื่ ชีวติ สมยั ใหม่ คำสำคัญ: อทิ ธิพลของบทเพลง, กำรชุมนุมทำงกำรเมอื ง, ขบวนกำรเคลื่อนไหวทำงกำร เมือง
65 แรงจงู ใจจำกซรี ยี เ์ กำหลสี คู่ วำมสำเรจ็ ในชวี ติ ของผหู้ ญงิ ชลกร เจยี ระไนสขุ ดี และพชั รำภำ ดรณุ พนั ธ์ บทคดั ยอ่ กำรวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษำควำมแตกต่ำงระหว่ำงข้อมูล ทั่วไปของผู้หญงิ ทีร่ ับชมซรี ีย์เกำหลีกับควำมสำเรจ็ ในชีวิต 2) เพื่อศึกษำควำมแตกตำ่ ง ระหว่ำงพฤตกิ รรมกำรเปิดรับแรงจูงใจของผู้หญิงทรี่ ับชมซรี ีย์เกำหลีกับควำมสำเร็จใน ชีวิต โดยศึกษำประชำกรผู้หญิงที่รับชมซีรีย์เกำหลี อำยุ 15-50 ปี ในเขตห้วยขวำง กรุงเทพมหำนคร จำนวน 400 คน ใชโ้ ปรแกรมสำเร็จรูป SPSS (Statistical Package for the Social Science) เพื่อประเมินผลทำงสถิติต่ำง ๆ ซึ่งสถิติทีใ่ ช้ในกำรวิเครำะห์ ขอ้ มูลประกอบดว้ ย ค่ำร้อยละ คำ่ เฉล่ยี ค่ำเบีย่ งเบนมำตรฐำน และสถิติ ANOVA (One way Anlysis of Variance : Anova) ในกำรทดสอบสมมตุ ิฐำน ผลกำรวิจัย พบว่ำ ระดับควำมสำเร็จในชีวิตของผู้หญิง เขตห้วยขวำง กรงุ เทพมหำนคร อย่ใู นระดบั มำก ปัจจยั ด้ำนขอ้ มูลทั่วไป ประกอบดว้ ย อำยแุ ละระดับ กำรศึกษำที่ต่ำงกันมีผลต่อควำมสำเร็จในชีวิต ปัจจัยทำงด้ำนช่วงระยะเวลำในกำร รับชมซีรีย์เกำหลีที่ต่ำงกันมีผลตอ่ ควำมสำเร็จในชีวิต ปัจจัยทำงด้ำนประเภทของซีรีย์ เกำหลีที่ต่ำงกันมีผลต่อควำมสำเร็จในชีวิต และปัจจัยทำงด้ำนเหตุผลที่รับชมซีรีย์ เกำหลีทต่ี ่ำงกันไมม่ ผี ลต่อควำมสำเร็จในชีวติ คำสำคัญ: แรงจูงใจ ซีรยี ์เกำหลี ควำมสำเรจ็
66 ปัจจยั ทส่ี ง่ ผลกระทบตอ่ พฤตกิ รรมกำรบรโิ ภคแบบฟำสตแ์ ฟชน่ั (Fast Fashion) ณกรปภำ สดเสมอ, ณฐั วดี ตนั ตระกลู และธนชั ชำ ทองดี บทคัดยอ่ กำรศกึ ษำวิจยั เรื่อง “ปจั จัยทสี่ ่งผลกระทบต่อพฤติกรรมกำรบริโภคแบบฟำสต์ แฟชั่น (Fast Fashion)” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำสถำนกำรณ์ปัจจุบันของธุรกิจ Fast Fashion ศึกษำพฤติกรรมกำรบริโภคแบบ Fast Fashion ศึกษำปัจจัยที่ส่งผลต่อ พฤติกรรมกำรบริโภคแบบ Fast Fashion และเพื่อหำแนวทำงในกำรแก้ไขผลกระทบ ที่เกิดจำกพฤติกรรมกำรบริโภคแบบ Fast Fashion ระเบียบวิธีกำรวิจัยเชิงปริมำณ (Quantitative Research) ศกึ ษำค้นคว้ำข้อมูลบทควำมทำงวิชำกำร เอกสำร วำรสำร สื่อ ทฤษฎี และงำนวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมกำรบริโภค แบบ Fast Fashion ประชำกรที่ใช้ในกำรวิจัย พนักงำนบริษัท เขตวัฒนำ จังหวัด กรุงเทพมหำนคร สูตรกำรคำนวนกลมุ่ ตวั อย่ำงโดยไม่ทรำบจำนวนประชำกร ผลขนำด ของกลุ่มตัวอย่ำง 385 ตัวอย่ำง เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย คือ แบบสอบถำมปัจจัยท่ี ส่งผลกระทบตอพฤติกรรมกำรบริโภคแบบฟำสต์แฟชั่น (Fast Fashion) คณะผู้วิจัย วเิ ครำะห์ขอ้ มูลทำงสถิตโิ ดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลกำรวิจัยพบว่ำ เพศและรำยได้มีผลต่อพฤติกรรมกำรบริโภคแบบ Fast Fashion กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่รู้จักควำมหมำยคำว่ำ Fast Fashion ซื้อเสื้อผ้ำบ่อย และไมน่ ิยมใส่เสอ้ื ผ้ำซ้ำ ภำยใน 1 เดือน ซื้อเสอ้ื ผ้ำ 2-3 ครั้ง จำนวน 1-2 ชิ้น เหตุผลที่ เลือกซ้ือ รำคำถูก และเลอื กซื้อตำมบุคคลที่มชี ื่อเสียง จำกระบบสังคมบรโิ ภคนยิ มทำให้ จำนวนธรุ กจิ เส้อื ผ้ำเติบโตอย่ำงรวดเรว็ อุตสำหกรรมเครื่องแตง่ กำย มกี ำรพัฒนำอย่ำง มีนัยสำคัญโดยมีผู้ค้ำปลีกจำนวนมำกขยำยกำรดำเนินงำนไปทั่วโลก เป็นผลมำจำก พลวัตที่เปลี่ยนแปลงในอุตสำหกรรมนี้ เช่น กำรผลิตจำนวนมำก ควำมต้องกำรลด ต้นทุนในทุกกระบวนกำรผลิต ควำมยืดหยุ่นในกำรออกแบบโลจิสติกส์ และกำรจัด จำหน่ำยตำมแนวคิดของกำรตอบสนองอย่ำงรวดเรว็ ลักษณะโครงสร้ำงเหล่ำนี้ ได้รับ กำรกำหนดให้เป็นกลยุทธ์ทำงธุรกิจ เพื่อตอบสนองควำมต้องกำรที่หลำกหลำยของ ผบู้ รโิ ภคท่วั โลก คำสำคญั : ผลกระทบ, พฤติกรรมผู้บริโภค, Fast Fashion และพฤติกรรมกำรบริโภค แบบ Fast Fashion
67 กำรสรำ้ งอำนำจและตวั ตนของวฒั นธรรมฮลู แิ กนตอ่ ภำพลกั ษณแ์ ฟนบอลเมอื งทอง กิตตริ ชั คำศรี และอภวิ ัฒน์ แซล่ ม้ิ บทคัดยอ่ กำรวิจัยเร่ืองกำรสร้ำงอำนำจและตัวตนของวัฒนธรรมฮูลแิ กนต่อภำพลักษณ์ แฟนบอลเมืองทอง มวี ัตถปุ ระสงค์คอื เพือ่ ศึกษำลกั ษณะควำมเปน็ วฒั นธรรมฮลู ิแกนใน แฟนบอลเมืองทองและ เพื่อนำเสนอควำมหมำยและภำพลักษณ์กำรเชียร์ฟุตบอล แบบฮลู ิแกนในแฟนบอลเมอื งทอง เปน็ งำนวิจยั เชงิ คณุ ภำพ ใช้วิธกี ำรคัดเลอื กกำรแบบ เจำะจง จึงทำให้ผู้วิจัยได้เลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบยึดจุดมุ่งหมำยเป็นหลักจำก คุณสมบัติตำมเกณฑ์ในกำรคัดเลือก โดยใช้กำรกำรสัมภำษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และ แนวทำงกำรสงั เกต จำกกรอบกำรสังเกตของลอฟทแ์ ลนด์ (Loftland) ผลกำรศึกษำพบว่ำ ประกำรที่หนึ่ง ลักษณะควำมเป็นวัฒนธรรมฮูลิแกนใน แฟนบอลเมืองทอง เริ่มต้นจำก กำรก่อรวมกลุ่มกันเป็นกองเชียร์จำกกำรที่ชื่นชอบ ฟุตบอลเป็นทุนเดิมและกำรมีภูมิลำเนำอยู่ในโซนกรุงเทพ และปริมณฑล จำกกำรก่อ รวมตัวกันเปน็ กองเชียรท์ ั้งสองกลุ่ม กลำยเป็นลักษณะวิถกี ำรเชียร์ของแฟนบอลเมือง ทองที่มีวิถีกำรเชียร์ทีเ่ ป็นของตนเองและวิถีกำรเชียร์ฟุตบอลแบบประเทศอิตำลีอยำ่ ง วถิ ีแฟนบอลอลุ ตร้ำ(Ultra) และในลักษณะท่มี กี ำรกระทำรว่ มกันผำ่ นกิจกรรมของแฟน บอลเมืองทองทัง้ สองกล่มุ ประกำรทีส่ อง ควำมหมำยและภำพลักษณ์กำรเชียร์ฟุตบอล แบบฮูลิแกน เกิดจำก แฟนบอลเมืองทองได้แสดงควำมหมำยจำกอัตลักษณ์ผ่ำนกำร เชียร์และงำนศิลปะ ที่แสดงถึงควำมสำคัญกับกำรเปน็ แฟนบอลหรอื กำรเป็นกองเชียร์ จำกกำรยึดถอื ในสโมสรฯและนกั เตะที่ลงสนำมแข่งขันเมือ่ ใดก็ย่อมตอ้ งมีกองเชียร์เป็น สง่ิ สำคัญที่ควบคูก่ นั มำ ส่วนภำพลกั ษณน์ น้ั สร้ำงข้ึนโดยกลุ่มเชียร์ จำกกำรแสดงอำรมณ์ รว่ มในกำรเชยี ร์ ประกอบกบั กำรเชยี รท์ ีม่ ีควำมดดุ ัน รนุ แรงภำยในกลุ่ม ในรปู แบบของ กำรเชียร์ที่ได้รับวัฒนธรรมมำจำกต่ำงประเทศที่มีแพลสชั่น (Passion) ในตัวปัจเจก บุคคล และภำพลักษณ์จำกอดีตกำรในกำรทะเลำะวิวำทกับสโมสรกำรท่ำเรือแห่ง ประเทศไทยทำให้ภำพลักษณ์กำรเชียร์ออกไปในทำงรุนแรงดูเหมือนเป็นกลุ่มเชียร์ คลำ้ ยกบั ฮลู ิแกน คำสำคัญ: วฒั นธรรมฮลู ิแกน, ภำพลักษณ์, แฟนบอลเมอื งทอง
68 ควำมเปน็ พลวตั ทำงชนชนั้ จำกอดตี สปู่ จั จบุ นั ผำ่ นกำรเลน่ ไมด้ ดั ไทย จริ ำพร กำเนดิ สงิ ห์ และธนภทั ร เสรฐิ ศรี บทคดั ยอ่ กำรศึกษำวิจัยครัง้ น้ีมีวัตถุประสงค์เพือ่ ศึกษำประวตั ิควำมเป็นมำของกำรเลน่ ไม้ดัดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันและเพื่อศึกษำควำมเป็นพลวัตทำงชนชั้นที่ส่งผลต่อควำม เปลี่ยนแปลงของกำรเล่นไม้ดัดไทย ในกำรศึกษำงำนวิจัยในครั้งนีไ้ ด้ใช้ระเบียบวิธีกำร วิจยั เชงิ คณุ ภำพ (Qualitative Research) ผูว้ ิจัยไดท้ ำกำรศึกษำในมติ ิด้ำนสังคมวิทยำ ด้ำนมำนุษยวิทยำและด้ำนประวัติศำสตร์ โดยเชื่อมโยงในเรื่องของกระบวนกำรกำร เปลื่ยนแปลงของระบบชนชั้นในสังคมไทยจำกอดีต (สมัยกรุงศรีอยุธยำ) สู่ปัจจุบัน (สมัยรัตนโกสินทร์) ผ่ำนกระบวนกำรเล่นไม้ดดั ไทย วิธีกำรเก็บขอ้ มูล คือ กำรทบทวน วรรณำกรรมและเอกสำรงำนวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกำรลงภำคสนำมโดยใช้วิธีกำรสังเกต อย่ำงไม่มีส่วนร่วมและกำรสัมภำษณ์เชิงลึก พื้นที่หลักที่จะลงไปทำกำรเก็บข้อมลู คือ ชมุ ชนอำเภอทำ่ เรอื จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยำ ผลกำรวิจัย จำกไม้ดัดที่สำมำรถเล่นได้เพียงชนชั้นสูงในปัจจุบันเมื่อเปลี่ยน แปลงกำรปกครองซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของสังคมและโลกเข้ำสู่กระแสโลกำภิวัตน์ ไม้ดัด ไทยจงึ ไมม่ กี ำรจำกัดชนชนั้ ของผเู้ ลน่ อีกต่อไป ไมด้ ดั เปรียบเสมอื นสญั ญะท่ีสะท้อนกำร เปลี่ยนแปลงทำงชนชั้นที่ส่งผ่ำนกำรเล่นไม้ดัดไทยในแต่ละยุคสมัยที่สำมำรถบอกถึ ง ควำมเป็นมำในอดีต ตลอดจนสภำพที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้น ผู้ศึกษำจึงมีควำม ประสงค์ใหม้ กี ำรเปลย่ี นแปลงทำงสงั คมท่ีดีขึ้นและสร้ำงเสรีภำพให้กบั สงั คมสบื ตอ่ ไป คำสำคัญ: ไมด้ ดั ไทย, ชนชั้นทำงสงั คม, กำรเลน่ และพลวตั
69 คณะทำงำน ช่ือ-สกุล บญุ ชัยศรี ประธำนโครงกำร 1. นำยปฏิพล เดชคำภู รองประธำนโครงกำร 2. นำยฌำนุตม์ นัฐเศรษฐสิริ ประสำนงำนโครงกำร 3. นำยนติ พิ ฒั น์ ตรอี ุดม เลขำนุกำร 4. นำงสำวสภุ ัสสรำ ฝำ่ ยเอกสำร ชื่อ-สกุล 1. นำยปรีดี จติ ต์ปรำณีชยั หวั หนำ้ ฝ่ำยเอกสำร ฝ่ำยเอกสำร 2. นำงสำวทพิ ย์ชนกเทพ วจิ ิตรประภำพงษ์ ฝ่ำยเอกสำร ฝ่ำยเอกสำร 3. นำงสำวลักษิกำ ดำรงสกลุ สขุ ฝ่ำยเอกสำร 4. นำงสำวอภชิ ญำ เบยี้ ไธสง 5. นำงสำวอญั ชสิ ำ แซ่เฮ้ง ฝ่ำยวชิ ำกำร เอกวรำกร หวั หน้ำฝำ่ ยวิชำกำร ชื่อ-สกุล ม่นั คง ฝำ่ ยวชิ ำกำร 1. นำยกฤตธิ ี บุญธมิ ำ ฝำ่ ยวชิ ำกำร 2. นำงสำวเจนจริ ำ เกตุสมัน ฝำ่ ยวชิ ำกำร 3. นำงสำวชโลธร กำญจนะภำโส ฝ่ำยวชิ ำกำร 4. นำงสำวซำรนี ่ำ ธนั ยำกรวรกุล ฝำ่ ยวชิ ำกำร 5. นำงสำวนลทั พร หลอ่ นำค ฝ่ำยวชิ ำกำร 6. นำยวรภพ 7. นำยสภุ นัย ฝำ่ ยประชำสมั พันธ์ รังสิพรำหมณกุล หัวหน้ำฝ่ำยประชำสมั พันธ์ ชอื่ -สกุล กรจริ ะโชติ ฝำ่ ยประชำสมั พันธ์ 1. นำงสำวสุพรยี ำ แสนรัมย์ ฝ่ำยประชำสัมพันธ์ 2. นำงสำวชนกำนต์ 3. นำงสำวนภสั สร
ฝ่ำยประชำสมั พันธ์ อินทนำ 70 ช่อื -สกุล บวั บำน 4. นำงสำวภัทรกันย์ ฝ่ำยประชำสัมพนั ธ์ 5. นำงสำวสิรีธร ฝำ่ ยประชำสัมพันธ์ ฝ่ำยเหรญั ญกิ ธรรมวรวงศ์ หวั หนำ้ ฝ่ำยเหรญั ญกิ ชอื่ -สกุล สำรพี ันธ์ ฝ่ำยเหรัญญกิ 1. นำงสำวจรีรตั น์ รัตนมงคลถำวร ฝ่ำยเหรญั ญิก 2. นำงสำวเกศศิณี สุขคุม้ ฝำ่ ยเหรัญญกิ 3. นำงสำวณริ ฌำ มำลยั ฝำ่ ยเหรัญญกิ 4. นำงสำวรตมิ ำ 5. นำงสำวรนิ ลดำ ฝ่ำยโสตทัศนปู กรณ์ ฝำ่ ยโสตทัศนปู กรณ์ ฝำ่ ยโสตทัศนูปกรณ์ วไิ ลนริ นั ดร์ ชื่อ-สกลุ เสริฐศรี ผดู้ ำเนินรำยกำร 1. นำยปิยทศั น์ ผ้ดู ำเนนิ รำยกำร 2. นำยธนภัทร ผดู้ ำเนนิ รำยกำร ผู้ดำเนนิ รำยกำร ผู้ดำเนนิ รำยกำร กำเนดิ สงิ ห์ ผู้ดำเนนิ รำยกำร ชอ่ื สกุล เดชคำภู ผดู้ ำเนินรำยกำร 1. นำงสำวจริ ำพร บุญชยั ศรี ผู้ดำเนนิ รำยกำร 2. นำยฌำนตุ ม์ จิตตป์ รำณีชยั ผู้ดำเนินรำยกำร 3. นำยปฏิพล รกั ชำติ 4. นำยปรดี ี ธรรมวรวงศ์ 5. นำยฉตั รดนัย สุขคมุ้ 6. นำงสำวจรีรัตน์ ทัดทรง 7. นำงสำวรตมิ ำ 8. นำงสำวลลิตภัทร
Search