ประวัตแิ ละความเป็นมากีฬา Football ฟุ ตบอลhistory
ประวัติกีฬาฟตุ บอล “ฟุตบอล” เปน็ คำรวมเรียกกฬี ำตำ่ ง ๆ ทใี่ ชล้ กู บอลเป็นอปุ กรณ์กำรเลน่ ซึ่งมอี ยูห่ ลำยประเภท ด้วยกนั เชน่ รักบ้ีฟุตบอล อเมรกิ นั ฟุตบอล แต่ฟตุ บอลทีจ่ ะกล่ำวถึงนเ้ี รำรจู้ ักกนั มำนำนและแพร่หลำย คือ ซอกเกอร์ ในระหว่ำงศตวรรษที่ 8 เปน็ ชว่ งทจี่ กั รวรรดโิ รมันเส่ือมสลำยอำนำจลง ปรำกฏวำ่ ใน ประเทศองั กฤษไดม้ กี ำรเล่นชุลมุนวุน่ วำยประเภทหนึง่ ทีใ่ ช้วัตถทุ รงกลมหรือทรงรี ซึง่ มักจะเปน็ กระเพำะสัตว์ เปำ่ ลมแลว้ เตะ ต่อย อมุ้ เดำะ ไปหน้ำประตฝู ำ่ ยตรงข้ำม แต่สืบเนือ่ งทแ่ี ทจ้ ริงกำรเล่น ดงั กล่ำวเร่มิ ขนึ้ อยำ่ งไรคอ่ นขำ้ งเป็นเรือ่ งท่มี ดื มนอยู่มำก ในทัศนะของคนบำงคนเห็นวำ่ อำจเรม่ิ จำกที่ พวกเด็ก ๆ ซ่ึงปกตมิ ีวสิ ยั เท้ำอยู่ไมส่ ขุ เหน็ อะไรเลก็ ๆ ขวำงทำงเดินก็ลองเตะดแู ละพยำยำมกดี กนั พวกเพอื่ น ๆ ทอ่ี ยำกเตะบำ้ งก็เป็นได้ พวกกรกี โรมันเองกม็ ีกำรละเลน่ อกี ประเภทหนงึ่ ทีเ่ รยี กว่ำ “ ฮำรพ์ ำสตัม ” ซึง่ เป็นคำแผลงที่มำจำกภำษำกรกี แปลว่ำ “ แฮนด์บอล ” นกั เขียนในยคุ โบรำณ บนั ทกึ ไวว้ ำ่ ผ้เู ลน่ ฮำร์พำสตัมแบ่งออกเปน็ สองพวก ตำ่ งฝำ่ ยต่ำงพำกันพยำยำมนำลูกบอลให้ขำ้ มไป ยังเสน้ ทข่ี ีดไว้เปน็ แดนหลังของฝำ่ ยตรงขำ้ ม กำรเลน่ เรม่ิ ด้วยกำรโยนลูกบอลขน้ึ ไปในอำกำศ ตรงกลำงลำนแลว้ ตำ่ งพำกนั ยื้อแยง่ ผลักดนั กันอยำ่ งชลุ มุน หลักฐำนทยี่ ืนยันว่ำชำวโรมนั ได้แขง่ ขัน ฮำร์พำสตัมในระหวำ่ งท่ยี ึดครองประเทศอังกฤษยังหำกันไม่พบ แต่เชื่อเหลือเกินวำ่ ชำวโรมนั ไดเ้ คย เล่นกีฬำฮำรพ์ ำสตัมกัน เพรำะตำมนครในเมอื งต่ำง ๆ ท่ชี ำวโรมันต้งั ขน้ึ ไดม้ ีกำรละเลน่ ประเพณี ซึ่งมวี ิวฒั นำกำรมำจำกกำรเลน่ ฮำรพ์ ำสตัมหลำยประเภท
กำรแข่งขันกีฬำฟตุ บอล ทีย่ ังเปน็ แบบชุลมนุ วุ่นวำยค่อย ๆ แพรห่ ลำยข้ึนเรือ่ ย ๆ จำกกำรท่ี นำยวเิ ชิค คำรงิ ไดเ้ ขยี นไว้ในหนงั สอื ซึ่งตพี ิมพ์เมอื่ พ.ศ. 2145 วำ่ ได้มกี ำรตั้งประตูห่ำงกัน 3-4 ไมล์ และรวมผู้แขง่ ขันแตล่ ะฝำ่ ยจำก 2 หรือ 3 รฐั ตำมมณฑลเรียกชอ่ื กำรเล่นต่ำง ๆ ในแตล่ ะ ทอ้ งถนิ่ เชน่ กฬี ำโยนข้ำมทงุ่ ชว่ งชงิ วงิ่ กลำงหำว และอ่ืน ๆ ซึง่ มีกำรว่งิ พลกิ แพลงกำรสง่ บอล ผ่ำนใหก้ นั อย่ำงฉลำดและใชก้ ำรหลบหลีกแหวกหรอื ฝำ่ พวกต้ำนทำนอย่ำงไม่ซ้ำแบบใครและเมือ่ พ.ศ. 2344 นำยโยเซฟ สตำรต์ นกั เขยี นประวตั ิกฬี ำชำวองั กฤษได้บรรยำยกำรแข่งขันไวโ้ ดยมเี คำ้ ควำมใกลเ้ คียงกบั กำรเลน่ ฟุตบอลในปจั จุบันมำกว่ำ ผู้เขำ้ แขง่ ขันในจำนวนเท่ำกันต้องประจนั หน้ำกนั ระหว่ำงแดนสองแดน ประตูห่ำงกัน 80-100 หลำ ไมเ้ สำประตูปักลงไปในดินห่ำงกนั ประมำณ 2-3 ฟุต ลกู บอลซึง่ เปน็ กระเพำะสตั ว์เป่ำลมมหี นงั ห้มุ วำงตรงกลำงสนำม ควำมมุ่งหมำยของแต่ละฝ่ำยคอื กำรนำลกู บอลไปยงั ฝ่ำยตรงขำ้ ม ฝ่ำยใดทำเสรจ็ กอ่ นถอื วำ่ เปน็ ฝ่ำยชนะ เพรำะเหตุน้จี ึงเรยี กวำ่ กำร แขง่ ขนั “กฬี ำยิงประตู” มำกกวำ่ “กีฬำฟตุ บอล” ชำวโรมนั ได้ดัดแปลงเกมกำรแขง่ ขนั น้ี โดยจำกดั กำรเลน่ ใหใ้ ช้เพยี งเทำ้ เตะลกู และใชม้ ือทมุ่ ลูกเข้ำมำเล่นเท่ำนั้น แล้วนำไปเลน่ ในประเทศองั กฤษ จำกนั้นชำวอังกฤษกไ็ ด้ววิ ฒั นำกำรเกือบ เหมอื นกำรเลน่ กีฬำฟตุ บอลในปัจจุบนั เกมฟตุ บอลจงึ เปลยี่ นมำเป็นกำรใช้เท้ำ ในระยะแรก ๆ กฬี ำ ฟุตบอลจะเล่นเป็นกลมุ่ ๆ เฉพำะคนธรรมดำเท่ำนน้ั และไม่มีกำรจำกัดจำนวนผ้เู ล่น ประตกู ็หำ่ งกนั เปน็ ไมล์ ๆ และใช้เวลำเล่นเป็นชวั่ โมง ๆ มีกำรเลน่ กันในระหว่ำงทหำรใหม่ท่ีถูกเกณฑ์ นักบวช คน แต่งงำนแลว้ คนโสด พวกพ่อค้ำ ในปี พ.ศ. 2393 โรงเรยี นรำษฎรใ์ นประเทศองั กฤษไดน้ ำเอำกฬี ำฟตุ บอลไปสอนในโรงเรียน ตำ่ ง ๆ จนเป็นท่นี ิยมเลน่ กนั ทั่วไป ใน พ.ศ. 2412 ได้มกี ำรแข่งขนั กีฬำฟตุ บอลภำยใตก้ ฎของสมำคมรตั เกอร์ กับ บริษทั ตนั จำกนัน้ ก็ได้พฒั นำข้นึ มำเรื่อย ๆ
ประวตั กิ ฬี าฟตุ บอลในประเทศไทย ประเทศไทยเรำน้ันได้มีกำรเล่นฟตุ บอล ในสมัยรำชกำลท่ี 6 เนอ่ื งจำกในสมัยรำชกำลท่ี 5 ไดส้ ง่ ลูกหลำนและข้ำรำชบริพำรไปเรียนอังกฤษ จงึ ไดร้ ับเกมนกี้ ลับมำเมืองไทย และผู้นำกฬี ำฟตุ บอล กลบั มำยังประเทศไทยเป็นคนแรกเมื่อ พ.ศ. 2440 คือ พระยำธรรมศักดม์ิ นตรี (สนนั่ เทพหสั ดิน ณ อยธุ ยำ) หรอื “ครูเทพ”ผแู้ ตง่ เพลงกำวกีฬำ ซ่ึงเปน็ เพลงอมตะของไทย เนอื้ เพลงกอร์ปด้วยคุณธรรม จริยธรรมเพียบพร้อมไปด้วยนำ้ ใจนกั กีฬำอย่ำงแทจ้ ริง มีกำรแข่งขนั ฟุตบอลคร้งั แรกอยำ่ งเปน็ ทำงกำร เมื่อ วนั เสำร์ ท่ี 2 กุมพำพันธ์ พ.ศ.2443 (ร.ศ.119) ณ สนำมหลวง ระหวำ่ งชุดบำงกอกกับชุดกรม ศกึ ษำธิกำรซึ่งเรียกกำรแขง่ ขนั ฟตุ บอลครั้งน้ีวำ่ “แอสโซซเิ อช่นั ฟตุ บอล” (ประโยค สธุ ิสงำ่ ,2538) เม่ือวันท่ี 25 เมษำยน พ.ศ. 2459 พระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลำ้ เจำ้ อยหู่ ัว ได้ทรงพระกรุณำโปรด เกล้ำใหต้ ้ังเป็นสมำคมฟุตบอลแห่งสยำมขึน้ และจดั ตัง้ ทมี ฟุตบอลช่อื “โฮ้วปำ่ ” (เสอื ป่ำ) เป็นทีมของ พระองค์ ตอ่ มำไดเ้ ปน็ ภำคฟี ุตบอลระหว่ำงชำติ เม่ือวนั ท่ี 25 มถิ ุนำยน พ.ศ. 2568 ได้ทรงโปรดเกล้ำฯ ให้ต้ังกรรมกำรดำเนินกำรขึ้นซ่งึ กจิ กรรมดำเนินมำดว้ ยดี และไดต้ รำเปน็ ข้อบังคบั ตอ่ มำได้เปลย่ี นแปลง ตรำข้อบงั คับเพือ่ ให้เหมำะสมกบั กำลสมัย ได้รับกำรแก้ไขคร้ังแรกเมอ่ื พ.ศ. 2471, ครั้งที่ 2 เมอื่ พ.ศ. 2493 คร้ังท่ี 3 พ.ศ. 2499 และครัง้ ที่ 4 คอื พ.ศ. 2512 และในคร้งั ท่ี 3 ใหเ้ รยี กขอ้ บังคบั ว่ำ “ขอ้ บงั คับ ลกั ษณะปกครอง”และเรยี กสมำคมเสียใหมว่ ำ่ สมำคมฟุตบอลแหง่ ประเทศไทยในพระบรมรำชูปถัมภ์ อักษรย่อว่ำ “ส.ฟ.ท.” และเขยี นเป็นภำษำอังกฤษวำ่ “ Football Association of Thailand under the Royal Patronage of His Majestic The King” อักษรย่อว่ำ “ F.A.T” พระยาธรรมศกั ด์ิมนตรี (สนัน่ เทพหัสดนิ ณ อยธุ ยา) หรือ “ครูเทพ”
สมำคมฟตุ บอลแหง่ ประเทศไทยในพระบรมรำชปู ถัมภ์ ไดด้ ำเนนิ กำรมำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 โดยเปิดกำรแข่งขนั ประเภทถ้วยใหญ่และถว้ ยน้อย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2541 ไดเ้ ปลยี่ นวิธกี ำรแข่งขนั ก.ข.ค.ง. ตำมแบบอย่ำงอังกฤษดงั ปัจจบุ นั นี้ นอกจำกน้นั ไดจ้ ดั กีฬำโอลิมปคิ 2 ครั้ง คอื ปี 2499 และ ปี 2511 ท่ีเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลยี และเมืองเมก็ ซิโกซิตี้ ประเทศเมก็ ซิโกและเขำ้ รว่ มกีฬำเอ เซยี นเกมสแ์ ละเซยี บเกมสเ์ กอื บทกุ ครง้ั ได้เคยเปน็ แชมเป้ยี นกับพมำ่ ในกฬี ำแหลมทอง ครงั้ ท่ี 3 ได้ เคยเปน็ แชมเป้ียนฟตุ บอลเยำวชน คร้ังที่ 5 และครงั้ ท่ี 11 ทกี่ รงุ เทพฯ ทีมฟตุ บอลไทยไดไ้ ปร่วมในกฬี ำ ฟุตบอลฉลองเอกรำชที่มำเลเซียทกุ ครง้ั และไปเช่อื มสัมพัธไมตรกี ับพม่ำ เวยี ดนำม สิงคโปร์ มำเลเซยี ที่เมอื งนิตย์ นกั ฟุตบอลไทยเคยถูกยกย่องให้เปน็ ดำรำฟตุ บอลเอเชยี 4 คน คอื นำยสชุ ำติ มุทกุ นั ต์ นำยวชิ ติ แยม้ บญุ เรือง นำยอศั วนิ ธงอินเนตร นำยณรงค์ สังขสุวรรณ สมำคมฟตุ บอลไทยได้ เคยส่งนกั ฟตุ บอลไทยไปเรยี นฝึกฟตุ บอล 1 คน คือนำยสำรวย ไชยงค์ สมำคมฟตุ บอลได้โคช้ องั กฤษ มำชว่ ยสอนโคช้ ไทย คอื มสิ เตอรว์ อลเลย์ บำล และเคยไดม้ ิสเตอร์เดทมำร์ ครำเมอร์ มำอบรม โค้ชไทยถึงสองครั้งสองครำวในกีฬำเอเชย่ี นเกมส์ และในกำรแขง่ ขันฟุตบอลเยำวชนครง้ั ท่ี 8 นอกจำกนน้ั ผู้สนใจฟตุ บอลไปเรียนท่ีอังกฤษ คือ นำยทวีพงษ์ เสนียว์ งศ์ และนำยสเุ มธ แกว้ ทพิ ย์เนตร ซึ่งขจี่ กั รยำนไปเรยี นเชน่ เดียวกนั ซึ่งในระยะหลงั สโมสรกีฬำต่ำงสง่ คนไปอบรมอยู่เรื่อย ๆ จำกสภำพกำรปจั จบุ ัน สมำคมฟุตบอลแหง่ ประเทศไทย ไดร้ บั เกยี รติยศช่อื เสียงเป็นทป่ี รำกฏและ ประจักษ์แจ้งแกส่ มำชกิ ฟตุ บอลนำนำชำติ ตัวอย่ำง ประเทศเกำหลใี ตไ้ ดจ้ ัดฟตุ บอลเพรสซิเดนคัพปี 2530 ได้เชิญทีมชำติเอเชยี เข้ำรว่ มทมี เดียว คอื ทีมฟตุ บอลชำติไทยเท่ำน้ันแสดงว่ำทีมชำตไิ ทยได้ บริหำรทีมฟตุ บอลใหเ้ ป็นทมี มำตรฐำนสูงสุดจนเป็นทย่ี อมรบั ของเอเชียในปัจจบุ นั และตอ่ จำกนไ้ี ปใน พ.ศ. 2534 สมำคมฟตุ บอลแห่งประเทศไทยไดว้ ำงแผนพัฒนำทมี ฟตุ บอลชำตไิ ทยใหย้ ่งิ ใหญข่ ้ึน สมาคมฟตุ บอลแหง่ ประเทศไทยในพระบรมราชปู ถัมภ์
สภำกรรมกำรสมำคมฟุตบอลฯ ไดม้ เี อกฉันทใ์ ห้ดำเนินกำรแข่งขนั ฟตุ บอลระดบั ชำตขิ น้ึ ภำยในประเทศ เพ่ือเปน็ กำรแสดงถึงควำมกตญั ญู ควำมจงรกั ภกั ดี และเป็นกำรเทิดพระเกียรติแดผ่ ูใ้ ห้ กำเนิดสมำคมและรำชวงศจ์ ักรวี งศ์สบื ต่อไป ดงั มีอุดมกำรณส์ ำคญั 5 ประกำรคือ 1. เปน็ กำรเทิดพระเกียรตแิ ละพระบำรมีแห่งพระบำทสมเด็จพระเจำ้ อยู่หัว 2. เป็นกำรกระชบั สมั พนั ธภำพกับนำนำชำติในเครอื สมำชกิ 3. เป็นกำรยกระดับมำตรฐำนกำรกีฬำฟุตบอล 4. เป็นกำรเผยแพร่ควำมนยิ มกฬี ำฟตุ บอลแกน่ กั กฬี ำและประชำชน 5. เปน็ กำรหำรำยได้โดยกำรถวำยเป็นพระรำชกศุ ล สภำกรรมกำรสมำคมกฬี ำฟุตบอลแหง่ ประเทศไทย ไดล้ งมตสิ ง่ หนังสอื ไปยงั พระรำชเลขำธกิ ำร เพื่อกรำบบงั คมทูลพระกรณุ ำขอรบั พระรำชทำนพระบรมรำชำนุญำต จดั ดำเนินกำรแข่งขันฟตุ บอลชิง ถ้วยพระรำชทำน “คิงสค์ พั ” ในปพี ทุ ธศักรำช 2511 และได้ทรงพระกรณุ ำโปรดเกล้ำฯ พระรำชทำน พระบรมรำชำนุญำต พร้อมท้งั พระรำชทำนถ้วยทองสำหรบั ทมี ชนะเลศิ ถ้วยพระรำชทำนนีจ้ ะไม่เป็น กรรมสิทธแิ์ ก่ทีมฟตุ บอลใด จะต้องทำกำรแข่งขนั ชงิ ควำมเปน็ ผูช้ นะเลิศในทุก ๆ ปี การแข่งขนั ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คงิ ส์คพั ”
ประโยชน์ของกฬี าฟุตบอล นกั จติ วิทยำพบว่ำ นกั กฬี ำจะมีลกั ษณะจำเพำะตวั ทแ่ี ตกตำ่ งไปจำกผทู้ ไ่ี มใ่ ช่นกั กฬี ำดังรำยละเอียด ในตำรำง เปรียบเทียบบุคลิกภำพของนักกฬี ำและผทู้ ่ีไม่ใช่นกั กฬี ำ ผู้ทเ่ี ป็ นนักกฬี า ผ้ทู ไ่ี ม่ใช่นักกฬี า 1. ชอบเขา้ สังคมและเช่ือมน่ั ในตวั เองสูง 1. ไมช่ อบเขา้ สังคมและไม่กลา้ ตดั สินใจ 2. กา้ วร้าว โออ้ วด และชอบเป็นผนู้ า 2. ออ่ นนอ้ ม ถ่อมตน ชอบเป็นผตู้ าม 3. มีความสามารถในการปรับตวั สูง ตอ้ งการ 3. ปรับตวั ยาก เกบ็ ตวั เกียรติยศ ตาแหน่ง 4. เป็นคู่แขง่ ท่ีเขม้ แขง็ 4.มีกาลงั ใจนอ้ ย 5. ควบคุมไดย้ าก 5. ควบคุมง่าย 6. ชกั จูงยาก 6. ชกั จูงง่าย 7. ร่างกายมีความอดทนต่อความเจบ็ ปวดสูง 7. กลวั เจบ็ 8. ชื่นชมลกั ษณะท่ีเขม้ แขง็ 8. ช่ืนชมในลกั ษณะที่นุ่มนวล 1. กำรเล่นฟตุ บอลนนั้ ผ้เู ลน่ จะตอ้ งเคลอื่ นไวรำ่ งกำยตวั เองอยู่ตลอดเวลำ รวมทงั้ ต้องมี ไหวพรบิ ดี มีอำรมณ์ม่นั คง มสี มำธิดี มคี วำมเชอ่ื มัน่ ในตัวเอง สำมำรถแก้ปัญหำตำ่ ง ๆ และ ตดั สินใจท่ีรวดเรว็ และถูกตอ้ ง เพรำะถ้ำผเู้ ลน่ มีอำรมณม์ ุทะลุดุดนั ขำดกำรตดั สนิ ใจท่ดี ี จะทำใหก้ ำร เลน่ ผิดพลำดอยบู่ อ่ ย ๆ ถำ้ เปน็ กำรแข่งขันกจ็ ะทำให้พำ่ ยแพแ้ กฝ่ ำ่ ยตรงข้ำมไดง้ ่ำย ซ่งึ ชวี ิตประจำวัน ของมวลมนษุ ย์ก็ต้องมีกำรตดั สนิ ใจและแกป้ ัญหำเฉพำะหนำ้ อยเู่ สมอ ดังน้นั ฟุตบอลจงึ เป็นกฬี ำอีก ประเภทหน่ึงท่ีชว่ ยฝึกฝนให้ผเู้ ลน่ มไี หวพริบท่ีชำญฉลำดและแก้ปญั หำอย่ำงฉับพลันไดด้ ี
2. ฟุตบอลเป็นกีฬำอกี ประเภทหนง่ึ ที่ชว่ ยเสรมิ สรำ้ งสมรรถภำพทำงร่ำงกำยให้แข็งแรงช่วยทำให้ ระบบต่ำง ๆ ภำยในรำ่ งกำยใหม้ ีประสิทธภิ ำพดียิ่งขนึ้ เชน่ ระบบกล้ำมเนอ้ื ระบบกำรหำยใจ ระบบ ขับถำ่ ย ระบบกำรไหลเวียนโลหิตเปน็ ตน้ 3. ฟตุ บอลเป็นกีฬำท่ีชว่ ยส่งเสรมิ กิจกรรมที่รวมกำรเคลื่อนไหวตำมธรรมชำตขิ องมนษุ ย์เกอื บทกุ ชนดิ เช่น กำรว่งิ หลบหลีก หลอกล่อ กำรแย่ง กำรรบั กำรสง่ กำรกระโดด กำรเตะ ตลอดจนใช้ เท้ำใหส้ มั พนั ธ์กบั สำยตำดว้ ย 4. ฟุตบอลเป็นกฬี ำมกี ฎ กติกำ ผูเ้ ลน่ ต้องเคำรพและปฏบิ ตั ติ ำมกฎกติกำกำรเล่นดงั น้ันกำรเล่น ฟุตบอลจึงช่วยสอนให้ผเู้ ล่นรู้จักควำมยตุ ิธรรมปฏบิ ัติตนให้อย่ใู นขอบเขตอันพงึ ควรกระทำ สำมำรถ นำไปใชใ้ นชวี ิตประจำวัน ใหร้ จู้ กั เคำรพสทิ ธิของผู้อืน่ มีควำมอดกล้ัน อดทน ยอมรับฟงั ควำม คิดเหน็ ของผู้อ่นื รจู้ กั เอำใจเขำมำใส่ใจเรำมีน้ำใจเปน็ นกั กีฬำ (รแู้ พ้ รชู้ นะ รู้อภัย) รู้จักกำรเป็น ผู้นำและผู้ตำมทด่ี ีตลอดจนรจู้ กั ปฏบิ ัติหน้ำที่อันถูกต้อง 5. ฟตุ บอลเป็นกีฬำทีช่ ว่ ยส่งเสรมิ ควำมรักควำมสำมัคคีกันระหวำ่ งหม่คู ณะเพรำะฟุตบอลเปน็ กีฬำ ประเภททีม ซ่งึ กีฬำประเภททมี ทุกชนิดจะตอ้ งมกี ำรฝึกซอ้ ม เพอ่ื ใหก้ ำรเลน่ ในทีมมคี วำมสัมพนั ธแ์ ละ รักใครเ่ ป็นอนั หนึง่ อนั เดยี วกนั หำกทมี ใดขำดควำมสำมัคคีแล้วเมอ่ื ลงแขง่ ขันยอ่ มมีชยั ชนะได้ยำกและ ผลจำกำรเลน่ กีฬำประเภทน้ี สำมำรถนำไปประยุกต์ใช้ในกำรดำเนนิ ชีวิตใหม้ นี ิสยั รกั ใคร่สำมคั คี ปรองดองกันในหมูข่ ณะมำกยงิ่ ขึน้ 6. สำหรบั ผูท้ ่ีมีทกั ษะ กำรเลน่ ท่ดี ยี อ่ มมีโอกำสขัดเลอื กให้เปน็ ตวั แทน ของชำติ โรงเรยี น สถำบัน สโมสร เพือ่ ร่วมแข่งขันกบั ชำติอ่ืนหรือทมี อนื่ ๆ ซึง่ นอกจำกจะเป็นกำรประกำศเกียรตคิ ุณสรำ้ ง ชือ่ เสยี งใหก้ ับประเทศชำติ โรงเรยี น สโมสร และวงศต์ ระกลู แลว้ ยงั เป็นหนทำงใหค้ นรจู้ กั อนั เปน็ บุคคลท่ีมีชอ่ื เสียงในทำงหนึง่ ด้วย 7. ปัจจบุ ันผู้เล่นทมี่ คี วำมสำมำรถสงู ยังมสี ิทธไิ ดเ้ ขำ้ ศกึ ษำต่อ ในระดบั สงู บำงสำขำ บำงสถำบนั ได้ และหลำยหน่วยงำนยงั รับบุคคลทีเ่ ป็นนักกีฬำฟุตบอลเขำ้ ทำงำน เพรำะฟตุ บอลยงั เปน็ ทน่ี ยิ มของคน ทว่ั ไป และมีกำรแข่งขนั กนั อยู่ประจำ
ประวัตแิ ละความเป็นมากีฬา Football ฟุ ตบอลhistory
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: