วชิ าการจดั การความรู้ เพอ่ื การพฒั นาสงั คม นางสาววชิ ชุดา อม่ิ โคกสูง รหสั นกั ศกึ ษา 6140308117 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครราชสมี า ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564
คำนำ รายงานเลม่ นจ้ี ดั ทาขน้ึ เพอ่ื เป็นส่วนหนงึ่ ของวชิ าการจดั การความรู้เพอื่ การพฒั นา สงั คม รหสั วชิ า 219331 โดยมจี ุดประสงค์ใหน้ กั ศกึ ษาได้จดั ทาขอ้ สอบ Take Home ใน รูปแบบของเลม่ รายงาน เพอ่ื เป็นการประเมนิ ผลการทดสอบทม่ี ุ่งเนน้ การพฒั นาทกั ษะ การค้นควา้ ขอ้ มูล การวเิคราะห์เชงิ วชิ าการและการยกตวั อย่างประกอบภายใต้การเรยี บเรยี งขอ้ มูลทก่ี ระชบั และ เขา้ ใจงา่ ยเพอื่ ใหน้ กั ศกึ ษาสามารถนาทกั ษะดงั กลา่ วไปประยุกต์ใชไ้ ด้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ทง้ั นเ้ีนอ้ื หาและการยกตวั อยา่ งประกอบ ได้มกี ารศกึ ษา รวบรวมขอ้ มูลจากสอ่ื การเรยี น การสอนในรายวชิ าการจดั การความร้เู พอื่ การพฒั นาสงั คมและอนิ เทอร์เนต็ ซง่ึ ในการจดั ทา รายงานครง้ั น้ี ผูจ้ ดั ทาขอขอบคุณ อาจารย์ กนกพร ฉมิ พลี ผูใ้ หค้ วามรู้และแนวทางในการศกึ ษา หาขอ้ มูล ผูจ้ ดั ทาหวงั ว่ารายงานฉบบั นจ้ี ะเป็นประโยชน์แก่ผูอ้ ่านทุกกๆท่าน หากมขี อ้ เสนอแนะ ประการใด ผูจ้ ดั ทาขอรบั ไว้ด้วยความขอบพระคุณยง่ิ นางสาว วชิ ชุดา อม่ิ โคกสูง ผูจ้ ดั ทา ก
สำรบญั เร่ือง หน้ำที่ คานา ก สารบญั ข ขอ้ 1 อธบิ ายกระบวนการเกดิ ความรู้ 1 ขอ้ 1 กระบวนการจดั การความรู้ 2 ขอ้ 1 ตวั อยา่ งประกอบเพอื่ สงั เคราะห์ 3 ขอ้ 2 ลกั ษณะกระบวนการสร้างความรู้ (SECI Model) 4 ขอ้ 2 แนวทางการสร้างความจาก Model 5 ขอ้ 3 วเิคราะห์ความแตกต่างระหว่างการจดั การความร้ใู นภาคองค์กร 6 และการจดั การความร้ใู นชุมชน ขอ้ 4 แนวทางการจดั การความร้เู พอื่ การพฒั นาบณั ฑติ สาขาการ 7 พฒั นาสงั คมในอนาคต ควรมรี ูปแบบเละแนวทางอยา่ งไรทจ่ี ะ ส่งผลใหบ้ ณั ฑติ สาขาการพฒั นาสงั คมเป็นบณั ฑติ ทมี่ คี ุณภาพ 8 เอกสารการอา้ งองิ ข
1.อธิบำยกระบวนกำรเกิดควำมรู้ ความหมาย คอื การรวบรวมองค์ความรู้ทม่ี อี ยูใ่ นนองค์กร ซง่ึ กระจดั กระจายอยู่ในตวั บุคคลหรอื เอกสาร มาพฒั นาใหเ้ ป็นระบบ เพอื่ ใหท้ ุกคนในองค์กรสามารถเขา้ ถงึ ความรู้ และพฒั นา ตนเองใหเ้ ป็นผูร้ ู้ รวมทง้ั ปฏบิ ตั งิ านได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ทจ่ี ะส่งผลให้องค์กรมี ความสามารถในเชงิ แขง่ ขนั สูงสุด กระบวนการเกดิ ความรู้ ขอ้ มูล (Data) คอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ต่างๆ โดยเป็นขอ้ มูลดบิ หรอื ตวั เลขต่างทไ่ีมผ่ า่ นการแปลความหรอื การตคี วามเลย ความรู้ (Knowledge) คือ สารสนเทศท่ีผ่าน กระบวนการคดิ เปรยี บเทยี บ เชอ่ื มโยงกบั ความรู้จน สารสนเทศ (Information) คอื ขอ้ มูลทผ่ี า่ นกระบวนการ เกดิ เป็นความเขา้ ใจ และนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการตดั สนิ ใจ วเิคราะห์ สงั เคราะห์ เพอื่ นามาใชใ้ นการตดั สนิ ใจโดยมี บรบิ ททเ่ีกดิ จากความเชอื่ ความคดิ หรอื ประสบการณ์ของผู้ ใชส้ ารสนเทศนนั้ โดยมกั อยูใ่ นรูปขอ้ มูลทวี่ ดั ได้ จบั ต้องได้ ประเภทของความรู้ ความรู้ทชี่ ดั แจง้ (Explicit Knowledge) เป็น ความรู้ทเี่ป็นเหตุเป็นผล ผา่ นการวเิคราะห์ ความรู้ที่ฝั งในตวั คน (TacitKnowledge) เป็น สงั เคราะห์จนเป็นหลกั ทว่ั ไป ไม่ข้นึ อยู่กบั บริบทใด ความรู้ทอี่ ยู่ในตวั ของแต่ละบุคคล อาจอยู่ใน โดยเฉพาะ สามารถรวบรวมและถ่ายทอดออกมาใน ใจ (ความเชอ่ื ค่านยิ ม) อยู่ในสมอง (เหตุผล) อยู่ รูปแบบต่างๆ ได้ เช่น หนงั สอื คู่มอื เอกสารและ ในมอื และส่วนอน่ื ๆ ของร่างกาย (ทกั ษะ) เกดิ จาก รายงานต่างๆ ซงึ่ ทาใหค้ นสามารถเขา้ ถงึ ได้งา่ ย เป็น ประสบการณ์การเรยี นรู้ หรอื พรสวรรค์ต่างๆ ซง่ึ ความรู้ทไี่ ม่ค่อยสาคญั ต่อความได้เปรียบในการ ขน้ึ อยู่กบั บรบิ ทใดบรบิ ทหนงึ่ โดยเฉพาะ สอ่ื สารหรอื แขง่ ขนั เพราะใครๆ กเ็ขา้ ถงึ ได้ ถ่ายทอดในรูปของตวั เลข สูตร หรือลายลกั ษณ์ อกั ษรได้ยาก พฒั นาและแบ่งปนั กนั ได้ เป็นความรู้ที่ 1 ก่อให้เกดิ ความได้เปรยี บในการแขง่ ขนั
1.กระบวนกำรจัดกำรควำมรู้ ประกอบด้วย7 ขน้ั ตอน -การบง่ ชค้ี วามรู้ เป็นการระบุเกย่ี วกบั ความรู้ทอี่ งค์กร จาเป็นต้องมตี ้องใช้ เพอื่ ให้บรรลุ เป้าหมายตาม วสิ ยั ทศั น์ พนั ธกจิ ขององค์กร ได้แก่ ความรู้อะไรบ้าง ความรู้อะไรทมี่ อี ยู่แลว้ อยู่ในรูปแบบใด อยูท่ ใี่คร -การสร้างและแสวงหาความรู้ เป็นการสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จากภายนอก รกั ษา ความรู้เดมิ แยกความรู้ทใ่ีชไ้ มไ่ ด้แลว้ ออกไป มหี ลายแนวทาง -การจดั ความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ แบง่ ชนดิ ประเภท เช่น กฎ ระเบยี บ ขน้ั ตอนการทางาน ฯลฯ กาหนดวธิ กี ารจดั เกบ็ เพอื่ ใหส้ บื ค้น เรยี กคนื และนาไปใชไ้ ด้สะดวก -การประมวลและกลนั่ กรองความรู้ เป็นการกลนั่ กรองความถูกต้อง ครบถว้ น ทนั สมยั ใช้ งานได้ของความรู้ ปรบั ปรุงรูปแบบเอกสารใหเ้ ป็นมาตรฐาน ใชภ้ าษาเดยี วกนั ปรบั ปรุง เนอ้ื หาให้สมบูรณ์ -การเขา้ ถงึ ความรู้ เป็นการทาใหผ้ ูใ้ชค้ วามรู้นน้ั เขา้ ถงึ ความรู้ทตี่ ้องการไดง้ า่ ยและสะดวก -การแบง่ ปนั แลกเปลยี่ นความรู้ เป็นการนาความรู้ทไี่ด้จากการปฏบิ ตั งิ านมาแลกเปลย่ี นเคลด็ ลบั เทคนคิ การทางาน เทคนคิ การแก้ปญั หา หรอื ปรบั ปรุงคู่มอื การปฏบิ ตั งิ าน -การเรยี นรู้ เป็นการนาความรู้ทไี่ด้จากการแบง่ ปนั แลกเปลยี่ นหรอื สบื ค้นไปใชป้ ระโยชนใ์ นการ 2 ทางาน แลว้ เกดิ ความรู้ใหมน่ ามาเขา้ ระบบจดั เกบ็ หรอื แบง่ ปนั แลกเปลยี่ น กจ็ ะได้องค์ความรู้ ใหมใ่ หใ้ ชป้ ระโยชนต์ ่อไปได้เรอื่ ยๆ
1.ตัวอย่ำงประกอบเพอ่ื สังเครำะห์ กระบวนกำรเกิดควำมร้ขู องตนเอง ตวั อย่างกระบวนการเกดิ ความรู้ของตนเอง คอื เรอ่ื งขน้ั ตอนการเล้ยี งปลากดั ซง่ึ ยงั ไมม่ คี วามรู้ในเรอื่ งขน้ั ตอนในการเลย้ี งปลากดั มากพอ จงึ ได้แสวงหาความรู้ในอนิ เทอร์เนต็ เพอ่ื ศกึ ษาหาขอ้ มูลวขน้ั ตอนการเลย้ี งปลากดั ที่ ถูกวธิ ี จากหลายๆเวบ็ ไซต์แลว้ นาเนอ้ื หาความรู้ทไ่ีด้มารวมกนั แลว้ นามาจดั เป็นหวั ขอ้ ต่างๆทสี่ าคญั ได้ดงั น้ี 1. หาซ้อื ตู้ปลาหรอื โหลปลากดั 2. เตรยี มโหลปลากดั และ น้าให้พร้อมก่อนลงปลา 3. อาหารปลากดั ปลากดั กนิ อะไรเป็นอาหาร 4. การ เปลยี่ นน้าปลากดั 5. ข้อห้ามในการเล้ยี งปลากดั และเกรด็ ความรู้เกี่ยวกบั วธิ เี ล้ยี ง ปลากดั ซงึ่ เน้อื หาทน่ี ามาจดั เป็นขอ้ ๆ เน้อื หาทน่ี ามาจะต้องไม่ยาวเกนิ ไป อธิบายให้ เขา้ ใจและครอบคลุมเนอ้ื หา หลงั จากทห่ี าขอ้ มูลจนได้ความรู้ในขน้ั ตอนการเลย้ี งปลา กดั ออกมาแลว้ จงึ นาความรู้นนั้ ไปปรบั ใชใ้ นการเลย้ี งปลากดั ในชวี ิตประจาวนั ซง่ึ การ เลย้ี งปลากดั สามรถนาความรู้ทไี่ด้ไปโพสต์ลงโซเชยี ล เพอ่ื ให้คนในโซเชยี ลเขา้ มาอ่าน เพอื่ ใหเ้ กดิ ความรู้ต่อไปได้ 3
2.ลักษณะกระบวนกำรสร้ำงควำมรู้ (SECI Model) การสร้างความรู้ การสร้างความรู้ (KnowledgeCreation) หรอื การแสวงหา ความรู้ เป็นกจิ กรรมขององค์การทม่ี จี ุดมุ่งหมายเพอ่ื แสวงหา รูปแบบการสร้างความรู้มี 4 ประเภท หรอื สร้างความรู้ใหม่ข้นึ คอื ความรู้จะเกดิ ข้ึนกบั คนทางาน ด้วยกนั ในกลุม่ ซง่ึ มคี วามสมั พนั ธ์กนั อย่างเหนยี วแน่น โดยการ 1. การสร้างปฏสิ มั พนั ธ์ทางสงั คม สร้างความร่วมมอื และการมปี ฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างบุคคลต่างๆ (Socialzation) การสร้างความรู้แบบไมช่ ดั แจง้ เป็นความรู้แบบไมช่ ดั แจง้ โดยการแลกเปลยี่ นประสบการณ์ การฝึ กอบรม และการแนะนา เชน่ การแลกเปลย่ี น ประสบการณ์ในการจดั ทาประมูลทางอเิลก็ ทรอนกิ ส์ของ หนว่ ยงานต่างๆ 2. การปรบั เปลยี่ นสู่ภายนอก การพูดหรอื บรรยายความรู้แบบไมช่ ดั แจง้ เป็นความรู้แบบไม่ (Externalization) ชดั แจง้ โดยการใชอ้ ุปมา อุปมยั การเปรยี บเทยี บ และการใช้ ตวั แบบ เช่น การนาประสบการณจ์ ากการไปเหน็ หนว่ ยงาน 3. การปรบั เปลย่ี นสู่ภายใน ต่างๆ ซง่ึ มคี อมพวิ เตอร์ในทที่ างานเป็นจานวนมาก ( Internalzation) แต่การใชป้ ระโยชนย์ งั นอ้ ยมาก จงึ มกี ารเปรยี บเทยี บว่ามี คอมพวิ เตอร์เป็นเสมอื นเฟอร์นเิจอร์ททมี่ าประดบั หอ้ ง ทางานเท่านน้ั การเปรยี บเทยี บดงั กลา่ วชว่ ยทาให้มองเหน็ ภาพได้ง่ายขน้ึ การสร้างความรู้แบบชดั แจง้ ใหเ้ ป็นความรู้แบบไมช่ ดั แจง้ โดยการ เรยี นรู้จากการปฏบิ ตั ิ ศกึ ษาจากความรู้ทไี่ด้เขยี นไว้ในคู่มอื เอกสาร เพอื่ เพม่ิ พูนทกั ษะใหส้ ูงขน้ึ 4. การผสมผสาน การสร้างความรู้แบบชดั แจง้ ใหเ้ ป็นความรู้แบบชดั แจง้ โดยการรวบรวม (Combination) หรอื บูรณาการองค์ความรู้ หรอื สงั เคราะห์ ความรู้ทมี่ อี ยู่เพอื่ ใหเ้ กดิ องค์ความรู้ใหมข่ น้ึ มา 4
2.แนวทำงกำรสร้ำงควำมจำก Model ในส่วนของการสร้างปฏสิ มั พนั ธ์ทางสงั คม Socialization (S) ได้ประยุกต์โดยการสร้างระบบกระด้านสนทนา เพอ่ื เป็นทแ่ี ลกเปลยี่ นความรู้ระหว่างผูเ้ชย่ี วชาญกบั บุคคลทวั่ ไป ในส่วนของการปรบั เปลย่ี นสู่ภายนอก Externalization (E) เป็นส่วนของการรวบรวมเอกสารต่างๆทเี่กย่ี วขอ้ ง รวมถงึ การสร้างระบบจดั เกบ็ งานวจิ ยั ทเ่ีกยี่ วขอ้ งกบั การรกั ษา สุนขั และการจดั ทาระบบฐาน ขอ้ มูลทผ่ี ูเ้ชย่ี วชาญสามารถเขา้ มาทาการเพม่ิ หรอื แกไ้ ขขอ้ มูลได้ ในส่วนของการปรบั เปลย่ี นสู่ภายใน Internalization (I) เป็น ส่วนทใี่ชใ้ นการวดั สถติ กิ ารเขา้ ใชง้ านของผูใ้ชง้ านโดยทวั่ ไป เชน่ การวดั จานวนครงั้ ในการดาวนโ์ หลดงานวจิ ยั , การวดั สถติ กิ าร เขา้ ชมวดี โีอทเี่กยี่ วขอ้ งและการเกบ็ สถติ ชิ อื่ โรคทผี่ ูใ้ชเ้ ขา้ มาทาการ ค้นหา เป็นต้น ในส่วนของการผสมผสาน Combination(C) เป็นการ สร้างระบบการวเิคราะห์ขอ้ มูลโรคจากอาการของสุนขั และ การแสดงรายละเอยี ดของโรคทว่ี เิคราะห์ได้ 5
3.วิเครำะห์ควำมแตกต่ำงระหว่ำงกำรจัดกำร ควำมร้ใู นภำคองค์กร และกำรจัดกำรควำมร้ใู นชมุ ชน การจดั การความรู้ในภาคองค์กร ความรู้ในองค์กร หรอื ความรู้ทอี่ ยู่ในตวั บุคลากรขององค์กร หากไมม่ กี ารจดั เกบ็ อยา่ งเป็นระบบความรู้นนั้ กจ็ ะ ไมถ่ ูกนามาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนต์ ่อองค์กรได้อยา่ งทค่ี วรจะเป็น ยกตวั อยา่ งเช่น เมอื่ พนกั งานผูเ้ชย่ี วชาญงานมี ความรู้เรอื่ งระบบการทางานของแผนกเป็นอยา่ งดี ลาออกหรอื ปลดเกษยี ณไป องค์กรจะทาอย่างไรจงึ จะ สามารถนาความรู้ทมี่ อี ยูใ่ นตวั บุคคลนนั้ ออกมาถา่ ยทอดใหแ้ ก่พนกั งานใหมท่ ม่ี ารบั หนา้ ทแ่ี ทนให้สามารถสานต่อ งานในตาแหนง่ นนั้ ได้อย่างราบรน่ื หรอื เมอ่ื องค์กรส่งพนกั งานไปเขา้ รบั การอบรมหรอื เข้าร่วมการสมั มนาต่าง ๆ ความรู้ทพี่ นกั งานได้รบั มานนั้ สามารถนามาถ่ายทอดสู่ผูท้ ไ่ีมไ่ ด้เขา้ รบั การอบรมได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพหาก องค์กรไมม่ กี ระบวนการจดั การความรู้ทด่ี ี องค์กรจะไมส่ ามารถนาความรู้ทม่ี อี ยู่กระจดั กระจาย หรอื อยูท่ ต่ี วั บุคคลใดบุคคลหนง่ึ ออกมาเพอ่ื เป็นประโยชนต์ ่อส่วนรวมได้อย่างเตม็ ท่ี ส่งผลใหก้ ารทางานสะดุดตดิ ขดั ใน ขนั้ ตอนการถา่ ยทอดความรู้ หรอื การสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ไมส่ ามารถเกดิ ขน้ึ ได้ เนอื่ งจากไมม่ กี ารแบง่ ปนั หรอื การจดั เกบ็ ขอ้ มูลอยา่ งเป็นระบบ ในทางตรงกนั ขา้ มหากความรู้จาเป็นสาหรบั การทางานถูกจดั เกบ็ อย่างเป็น ระบบ เมอ่ื พนกั งานลาออกไป พนกั งานใหมเ่ ขา้ มาแทนจะได้รบั การถา่ ยทอดความรู้อยา่ งเป็นระบบและสามารถ เรยี นรู้งานได้อยา่ งรวดเรว็ หรอื ความรู้ทพี่ นกั งานได้จากการเขา้ รบั การอบรม หรอื สมั มนา กม็ กี ารนามา ถ่ายทอดให้ผูท้ ไี่มไ่ ด้รบั การอบรมเกดิ ความรู้และสามารถนาไปประยุกต์ใชไ้ ด้เชน่ เดยี วกบั ผูเ้ขา้ รบั การอบรม โดย กระบวนการในการจดั การความรู้ การจดั การความร้ใู นชุมชน การจดั การความรู้ของชุมชน คอื การรวบรวม 6 องค์ความรู้ของชุมชน เพอื่ เป็นคลงั แห่งความรู้และคลงั แห่งปญั ญา ในการทจี่ ะนาไปถา่ ยทอดแก่ผูค้ นใน และนอกชุมชน ด้วยองค์ความรู้ นเ้ีองจะเป็นพน้ื ฐานสาคญั ในการสร้างความยงั่ ยนื ตง้ั แต่ระดบั ครอบครวั ชุมชน และประเทศชาตติ ่อไป
4. แนวทางการจดั การความรู้เพอื่ การพฒั นาบณั ฑติ สาขาการพฒั นา สงั คมในอนาคต ควรมรี ูปแบบเละแนวทางอย่างไรทจ่ี ะส่งผลให้บณั ฑติ สาขาการพฒั นาสงั คมเป็นบณั ฑติ ทมี่ คี ุณภาพ แนวทำงในกำรพฒั นำบณั ฑิตสำขำกำรพฒั นำสังคมในอนำคต 1. การจดั การความรู้ในสาขา ผูน้ าควรมบี ทบาทหนา้ ทใี่นการกาหนดนโยบาย สนนั สนุน และมสี ่วนร่วมใน การจดั กจิ กรรมทเ่ีกยี่ วขอ้ งกบั การพฒั นาในสาขา 2. การดาเนนิ การจดั การความรู้ในสาขาควรส่งเสรมิ และพฒั นาการทางานแบบจติ อาสาโดย เปิดโอกาสให้ นกั ศกึ ษาทม่ี คี วามตง้ั ใจและสนใจในการการพฒั นาสาขาไปสู่การเรยี นรู้ เขา้ มามบี ทบาทในการ ดาเนนิ งานจดั การความรู้ 3. เพอื่ ให้การดาเนนิ การจดั การความรู้ในสาขา มกี ารขบั เคลอื่ นไปขา้ งหนา้ ได้อยา่ งต่อเนอื่ ง สาขาควรจดั กจิ กรรมฝึ กอบรม เพอ่ื ปูพน้ื ฐานการจดั การความรู้ในสาขาและพฒั นานกั ศกึ ษาให้เป็นผูท้ สี่ ามารถ ดาเนนิ การการจดั การความรู้ได้ 4. เพอื่ ให้การดาเนนิ การจดั การความรู้ในสาขาเกดิ การดาเนนิ การอยา่ งต่อเนอื่ งและพฒั นาอยา่ งมี คุณภาพ ควรเรม่ิ ตง้ั แต่มกี ระบวนการวางแผนการจดั การความรู้ มกี ารปฏบิ ตั กิ ารตามแผน มกี าร นาองค์ความรู้สู่การปฏบิ ตั ิ มกี ารวเิคราะห์ปรบั ปรุงการดาเนนิ งาน มคี ณะทางานตดิ ตามอย่าง จรงิ จงั มกี ารรายงานต่อผูน้ า และมคี ณะกรรมการในสาขาประสานงาน เพอ่ื แกไ้ ขปญั หา 5. การเปิดใจยอมรบั เพอื่ ให้นกั ศกึ ษาเปิดใจยอมรบั การดาเนนิ การจดั การความรู้ในสาขา และการ แลกเปลย่ี นเรยี นรู้ ของสาขาอาจดาเนนิ การได้โดย การทากจิ กรรม การสอดแทรกกจิ กรรมการ ยอมรบั ความคดิ เหน็ ซงึ่ กนั และกนั 6. การสร้างบรรยากาศ ควรมกี ารสร้างบรรยากาศทเ่ีหมาะสมต่อกระบวนการแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ การ ยอมรบั ความคดิ เหน็ ของนกั ศกึ ษา 7. การจดั ให้มเีวทแี ลกเปลย่ี นเรยี นรู้ 8. การให้รางวลั ยกย่องชมเชย เป็นการสร้างแรงจูงใจใหเ้ กดิ การปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมและการมสี ่วน ร่วมของนกั ศกึ ษา 7
เอกสำรกำรอ้ำงอิง บุญดี บุญญากจิ และคณะ. การจดั การความรู้ จากทฤษฎสี ู่การปฏบิ ตั .ิ กรุงเทพฯ : จริ วฒั น์ เอก็ เพรส จากดั , 2549 (p.6-11 ความสาคญั ของ KM) https://www.okmd.or.th/upload/pdf/chapter1_kc.pdf. ค้นเมอื่ วนั ท่ี 26 กนั ยายน 2564 เวบ็ ไซต์ การจดั การความรู้ คณะแพทยศาสตร์ศริ ริ าชพยาบาล : http://www.si.mahidol.ac.th/km/.ค้นเมอ่ื วนั ที่ 26 กนั ยายน 2564 http://tak.dnp.go.th/Home_files/Division/dumri/km/km1.html. ค้นเมอื่ วนั ที่ 26 กนั ยายน 2564 นูรดฟี า สามะ วชิ าเทคโนโลยสี าหรบั การบรหิ ารจดั การความรู้ เป็นนกั ศกึ ษาเรยี นอยู่ที่ วทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษายะลา ปีการศกึ ษา 2562 8
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: