ÇÔ · Â Ò ¡ Ò Ã ÊÙ‹ ÇÔ · Â Ò ¡ Ã Â Ò à Ê ¾ µÔ ´ สำ�นักงาน ป.ป.ส. ฉบบั พเิ ศษ friend of lecturersกระทรวงยุติธรรม ๒๔ สงิ หาคม วันปลดล็อก พชื กระทอ่ ม
เ พ่ื อ น วิ ท ย า ก ร วิทยาการส่วู ทิ ยากรยาเสพตดิ ปีท่ี ๒๓ ฉบบั ที่ ๓ มถิ ุนายน – กันยายน ๒๕๖๔ สารบญั ๑ คำ�นิยม นายสมศักด์ิ เทพสุทนิ รฐั มนตรีวา่ การกระทรวงยตุ ิธรรม ๒ คำ�ปรารภ นายวชิ ยั ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามยาเสพตดิ ๓ บทน�ำ การขับเคลือ่ นการปลดล็อกพชื กระทอ่ ม โดยกระทรวงยุติธรรม ๗ มติ ิวิทยาศาสตร์/ชวี วิทยา/ด้านสายพนั ธ์ุ การออกฤทธิ์ และผลต่อร่างกาย ๑. ลักษณะทางพฤกษศาสตรแ์ ละสารสำ�คัญของพืชกระท่อม ๘ ๒. เภสัชวิทยาและพษิ วิทยา ๑๑ ๑๓ มติ ทิ างสังคมศาสตร/์ การควบคมุ ทางกฎหมายและชุมชน การใชใ้ นทางท่ผี ิด ๓. การควบคมุ พืชกระทอ่ มในอดตี ๑๔ ๔. พัฒนาการทางกฎหมายภายหลงั การเปลยี่ นแปลงการปกครอง ๑๖ ๕. ความพยายามในการแกก้ ฎหมายเกีย่ วกับพชื กระทอ่ ม ๑๗ ๖. แนวนโยบายใหมเ่ กีย่ วกบั พชื กระทอ่ ม ๑๙ ๒๑ มิติทางเศรษฐศาสตร์ การตลาด และบทบาทของหนว่ ยงานท่ีเกี่ยวขอ้ ง ๗. สาระสำ�คญั ของกฎหมายพชื กระท่อมและการผลกั ดนั ส่พู ืชเศรษฐกจิ ๒๒ ๘. ศกั ยภาพและโอกาสการพัฒนาพชื กระทอ่ มสู่พืชเศรษฐกจิ ๒๔ ๙. การพัฒนาพชื กระทอ่ มเป็นพชื เศรษฐกิจฐานชมุ ชน ๒๗ ๒๙ มติ กิ ารศึกษาวจิ ัย ๑๐. นํ้าพโุ มเดล : รูปแบบการควบคมุ พืชกระท่อมโดยการมสี ่วนร่วมของชมุ ชน
ค�ำ นิยม นายสมศกั ด์ิ เทพสุทนิ รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงยุตธิ รรม จากการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก ค.ศ. 2016 (UNGASS 2016) มงุ่ เนน้ การแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ แนวใหม่ และจากค�ำ แถลงนโยบายตอ่ รฐั สภาของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี 25 กรกฎาคม 2562 ได้ให้หน่วยงาน ที่เก่ียวข้องดำ�เนินการใช้แนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดแนวใหม่ตามที่ประชุมฯ UNGASS 2016 และได้กำ�หนดนโยบายเร่งด่วนในการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการใช้กัญชา กัญชง และ พืชสมุนไพรในทางการแพทย์ อุตสาหกรรมทางก ารแพทย์ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อสร้างโอกาสทาง เศรษฐกจิ และการสรา้ งรายไดข้ องประชาชน ผม นายสมศกั ด์ิ เทพสทุ นิ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงยตุ ธิ รรม ในฐานะกำ�กับดูแลสำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำ�นักงาน ป.ป.ส.) ไดเ้ ปน็ ผรู้ เิ รม่ิ และสง่ั การให ้ ส�ำ นกั งาน ป.ป.ส. ผลกั ดนั แกไ้ ขพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 เพ่ือถอดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติด ประเภท 5 มีจุดมุ่งหมายสำ�คัญ คือ ให้เป็นไปตามแนวทาง ของทป่ี ระชมุ ฯ UNGASS 2016 และใหป้ ระชาชนคนไทยไดป้ ระโยชนส์ งู สดุ โดยเฉพาะพน่ี อ้ งประชาชน สามารถใช้พืชกระท่อมตามวิถีชาวบ้านได้โดยเสรี นักวิชาการสามารถค้นคว้า ศึกษาวิจัย เพ่ือใช้ ประโยชน์ในทางการแพทย์และทางเศรษฐกิจ เพื่อนำ�ไปสู่การบำ�บัดรักษาโรคและพัฒนาต่อยอดเป็น พืชเศรษฐกจิ ในอนาคต ในการพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบและการสนับสนุนจาก สภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชกิ วฒุ สิ ภา ดว้ ยคะแนนเสยี งอยา่ งทว่ มทน้ และไดผ้ า่ นขนั้ ตอน กระบวนการ ทางนิติบัญญัติ ออกมาเป็นพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งประกาศใน ราชกจิ จานเุ บกษาแลว้ เมอื่ วนั ท่ี ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔ มผี ลบงั คบั ใชใ้ นวนั ท่ี ๒๔ สงิ หาคม ๒๕๖๔ และสง่ ผลใหพ้ ชื กระทอ่ มไมเ่ ปน็ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษอกี ตอ่ ไป นบั วา่ เปน็ ความพยายามของกระทรวงยตุ ธิ รรม ในการริเริ่มผลักดันกฎหมายดังกล่าว ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้การสนับสนุนจนเกิด สมั ฤทธผิ ลเป็นท่ีประจกั ษ์ จนอาจถอื ไดว้ ่า “วนั ที่ ๒๔ สิงหาคม เปน็ วนั ปลดลอ็ กพชื กระทอ่ ม” โอกาสน้ี สำ�นักงาน ป.ป.ส. ได้จัดทำ�วารสารเพ่ือนวิทยากรฉบับพิเศษ “พืชกระท่อม” โดย ไดร้ วบรวมองค์ความรทู้ ีเ่ กยี่ วข้องกับพืชกระท่อมให้ครอบคลมุ ทกุ มิติ ทงั้ มิตวิ ิทยาศาสตรแ์ ละชีววทิ ยา มติ สิ งั คมศาสตรแ์ ละการควบคมุ ทางกฎหมายและชมุ ชน มติ เิ ศรษฐศาสตรแ์ ละการตลาด ตลอดจนมติ ิ การศึกษาวิจัย เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนในแง่มุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นไปตาม เจตนารมณ์ของกระทรวงยุติธรรมในการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เพ่อื ให้เกิดประโยชนส์ งู สดุ แก่ประชาชน (นายสมศักดิ์ เทพสทุ ิน) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยตุ ธิ รรม
ค�ำ ปรารภ นายวิชยั ไชยมงคล เลขาธกิ ารคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามยาเสพตดิ วารสาร “เพื่อนวิทยากร : วิทยาการสู่วิทยากรยาเสพติด” ปีท่ี ๒๓ ฉบบั ท่ี ๓ (มถิ นุ ายน - กนั ยายน ๒๕๖๔) เปน็ วารสารฉบบั พเิ ศษ “พชื กระทอ่ ม” จดั ท�ำ ขนึ้ ในโอกาสทพี่ ระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ (ฉบบั ที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ มีผลบังคับใช้ในวันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ ซึ่งนโยบายการถอดพืชกระท่อม ออกจากการเปน็ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท ๕ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ลดความผดิ ทเ่ี ปน็ คดดี า้ นยาเสพตดิ ท�ำ ใหท้ กุ ภาคสว่ นไดป้ ระโยชนส์ งู สดุ ทง้ั ภาคประชาชน และนักวิชาการ แต่อย่างไรก็ตามยังต้องควบคุมและกำ�กับดูแลเพื่อไม่ให้ มกี ารน�ำ พืชกระทอ่ มไปใชใ้ นทางท่ีผิด วารสารฉบับนี้จึงได้คัดสรรเนื้อหาสาระและการดำ�เนินงานเกี่ยวกับ พืชกระท่อมในหลากหลายแง่มุม ท่ีบอกเล่าเร่ืองราวในอดีตตั้งแต่การใช้ พืชกระท่อมในวิถีชาวบ้าน การควบคุมพืชกระท่อมของประเทศไทย ทตี่ อ่ เนอื่ งกนั มายาวนาน การพฒั นาการทางกฎหมาย ตลอดจนความพยายาม ในการแก้กฎหมายเก่ียวกับพืชกระท่อมมาหลายยุคสมัย ไล่เรียงมาจนถึง การผลกั ดนั การแกไ้ ขกฎหมายตามนโยบายการแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ แนวใหม่ จนทำ�ให้ “การปลดล็อกพืชกระท่อม” ประสบความสำ�เร็จ ซ่ึงเนื้อหาสาระ ดงั กลา่ วลว้ นมคี วามส�ำ คญั และครบถว้ น เปน็ ประโยชนก์ บั ประชาชนและสงั คม ในปัจจบุ นั (นายวิชยั ไชยมงคล) เลขาธกิ ารคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามยาเสพติด 2 เพ่ือนวิทยากร
บทนำ� การขบั เคลอ่ื น การปลดลอ็ กพชื กระทอ่ ม โดยกระทรวงยตุ ธิ รรม เม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๖ ประเทศไทยได้ประกาศใช้ กฎหมายควบคุมการใช้พืชกระท่อม โดยการห้ามปลูก หา้ มครอบครอง หา้ มเสพและขายใบกระทอ่ ม ซงึ่ ตลอด ระยะเวลาท่ีผ่านมาภาคประชาชน หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีความมุ่งหมายและ แนวคดิ ทส่ี อดคลอ้ งกนั ในการถอดพชื กระทอ่ มออกจาก ยาเสพตดิ รวมถงึ การปลดลอ็ กเพอ่ื ใหส้ ามารถใชป้ ระโยชน์ จากพืชกระท่อมได้ ความพยายามดังกล่าวได้เกิดข้ึน ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คอื การแกก้ ฎหมายเพอื่ ใหส้ ามารถใชพ้ ชื กระท่อมตาม วถิ ชี วี ติ สามารถน�ำ มาใชป้ ระโยชนแ์ ละใชใ้ นการวจิ ยั ได้ รวมถงึ การท�ำ ใหก้ ระทอ่ มเปน็ ผลติ ภณั ฑท์ ไ่ี ดร้ บั การยอมรบั จนเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๖๓ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงยตุ ธิ รรม (นายสมศักด์ิ เทพสุทิน) ได้มีนโยบายท่ีจะแก้ไขปัญหา พชื กระทอ่ มทเ่ี ปน็ อปุ สรรคตอ่ การด�ำ รงชวี ติ ของประชาชน ท่ีใช้พืชกระท่อมตามวิถีชาวบ้าน โดยการเสนอให้มี การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เพอ่ื ถอดพชื กระทอ่ มจากยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ในประเภท ๕ รวมทั้งเห็นโอกาสและศักยภาพ ในการนำ�พืชกระท่อมมาใช้ประโยชน์และส่งเสริมเป็น พืชเศรษฐกิจฐานชุมชนเชื่อมโยงสู่ภาคอุตสาหกรรม ซ่ึงสรุปการขับเคลื่อนการปลดล็อกพืชกระท่อมจนเกิด สัมฤทธิผลเปน็ ที่ประจกั ษ์ 3เพื่อนวิทยากร
บทน�ำ นายสมศกั ด์ิ เทพสทุ นิ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงยตุ ธิ รรม ไดเ้ รม่ิ ผลกั ดนั ใหม้ กี ารปรบั ปรงุ แกไ้ ขพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยการเสนอร่างพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... เพื่อถอดพืชกระท่อม จากยาเสพตดิ ให้โทษในประเภท ๕ ตั้งแต่วันท่ี ๒ มกราคม ๒๕๖๓ โดยผ่านขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาทาง กฎหมายครบถ้วนทุกกระบวนการ จนกระทั่งประสบ ผลส�ำ เรจ็ ในวนั ท่ี ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เมอ่ื พระราชบญั ญตั ิ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้ถูกประกาศ ในราชกจิ จานเุ บกษาในวนั ดงั กลา่ ว และจะมผี ลใชบ้ งั คบั เมอื่ พน้ ก�ำ หนด ๙๐ วนั นบั แตว่ นั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เป็นต้นไป คือ ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ พืชกระท่อม ก็จะไม่เปน็ ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ เลขาธิการ ป.ป.ส. (นายวิชัย ไชยมงคล) เร่งสำ�รวจจำ�นวนผู้ต้องหาท่ีถูก ด�ำ เนนิ คดยี าเสพตดิ ใหโ้ ทษประเภท ๕ (พชื กระทอ่ ม) ในชน้ั พนักงานสอบสวน อัยการ หรือพิจารณาคดีในชั้นศาล รวมถึงท่ีถูกคุมขังในเรือนจำ� ว่ามีก่ีคดี กี่คน ซึ่งทั้งหมดจะ ได้รบั การปลอ่ ยตัวและยกเลิกการด�ำ เนนิ คดีทง้ั หมด ซึ่งเปน็ การได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ หลงั มผี ลใช้บงั คับ 4 เพื่อนวิทยากร
บทน�ำ นอกจากนั้น ยังได้ตระหนักและให้ความสำ�คัญกับเด็ก และเยาวชนในการปอ้ งกนั มใิ หน้ �ำ พชื กระทอ่ มไปใชใ้ นทางทผ่ี ดิ จึงได้มอบหมายให้สำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามยาเสพตดิ เสนอรา่ งพระราชบญั ญตั พิ ชื กระทอ่ ม พ.ศ. .... โดยมีสาระสำ�คัญในการเน้นการป้องกันเด็กและ เยาวชนไมใ่ หน้ ำ�พืชกระทอ่ มไปใช้ในทางท่ผี ดิ ท้ังนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญเพ่ือพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... ที่มีรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) เป็นประธาน ได้มีการเสนอให้มีมาตราว่าด้วยการส่งเสริมพืชกระท่อม ให้ เป็นพืชเศรษฐกิจและการใช้ตามวิถีชุมชน ให้ปรากฏอยู่ใน ร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... โดยสนับสนุน ประชาชนเพาะหรอื ปลกู พชื กระทอ่ มเพอ่ื ใชต้ ามวถิ ชี มุ ชนและ ในการพัฒนาให้เป็นพืชท่ีมีมูลค่าในทางเศรษฐกิจ ส่งเสริม การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ รวมถึง ให้ความรู้และจัดทำ�เอกสารเพ่ือเผยแพร่ความรู้ พัฒนา ศักยภาพผู้ประกอบการในการใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อม อย่างไรก็ตามมาตราดังกล่าวขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ รัฐสภาว่ามีมติเห็นชอบหรือไม่อย่างไร ซึ่งเป็นขั้นตอนและ กระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... ในล�ำ ดบั ถัดไป 5เพ่ือนวิทยากร
บทน�ำ นายสมศักด์ิ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม มีความมุ่งมั่นในการถอด พชื กระทอ่ มออกจากการเปน็ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ในประเภท ๕ เพอื่ น�ำ ไปสกู่ ารลดทอนความผดิ ที่เป็นคดีอาญาด้านยาเสพติด ลดจำ�นวนคดี เกย่ี วกบั พชื กระทอ่ ม และลดคา่ ใชจ้ า่ ยเกย่ี วกบั คดี รวมถึงเพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อ การดำ�รงชีวิตของประชาชนที่ใช้พืชกระท่อม ตามวิถีชาวบ้าน ป้องกันและแก้ไขปัญหา การนำ�พืชกระท่อมไปใช้ในทางท่ีผิดของเด็ก และเยาวชน สง่ เสรมิ การศกึ ษาและวจิ ยั การน�ำ พืชกระท่อมมาใช้ประโยชน์ ตลอดจนพัฒนา และส่งเสริมพืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจบน ฐานชุมชนเช่ือมโยงสู่ภาคอุตสาหกรรมเพ่ือ สรา้ งมลู คา่ และสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั พน่ี อ้ งประชาชน และประเทศชาตติ ่อไป 6 เพื่อนวิทยากร
มติ ิวิทยาศาสตร์/ ชวี วทิ ยา/ ด้านสายพันธ์ุ การออกฤทธ์ิ และผลต่อรา่ งกาย 7เพ่ือนวิทยากร
๑ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และสารส�ำ คัญของพชื กระทอ่ ม หากพูดถึง “กระท่อม” ผู้ที่ได้ยินถ้าไม่ใช่เป็นคนท่ีมี “พืชกระท่อม” เป็นพืชพ้ืนถ่ินท่ี ภมู ลิ �ำ เนาอยภู่ าคใตข้ องประเทศไทย กม็ กั จะนกึ ถงึ บา้ นหลงั เลก็ ๆ พบมากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทอ่ี ยกู่ ลางนา เปน็ ทพ่ี กั อาศยั ชว่ั คราวของคนท�ำ งานเกษตรกรรม บริเวณเขตป่าฝนของประเทศไทย มาเลเซีย หรอื บา้ นทป่ี ลกู งา่ ย ๆ อยชู่ ายขอบ ตามวถิ ชี นบท เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั เมียนมา สปป. ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ถาวรของคนยากจนอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีใครนึกถึงต้นไม้ และเกาะนิวกินี ชอบขึ้นในบริเวณป่าดิบช้ืน ริมลำ�ธาร ชนิดท่ีมีใบใช้เคี้ยวกินก่อนทำ�งานกลางแจ้ง หรือเคี้ยวเป็น หมอพนื้ บา้ นและคนไทยในภาคตา่ ง ๆ โดยเฉพาะภาคใตร้ จู้ กั ยารักษาโรค แต่เมื่อพูดถึงกระท่อมกับผู้ท่ีมีถ่ินกำ�เนิดใน กระท่อมเป็นอย่างดี ชาวบ้านในภาคใต้เค้ียวใบกระท่อม ภาคใต้ จะรไู้ ดท้ นั ทวี า่ ก�ำ ลงั พดู ถงึ “ใบกระทอ่ ม” ทพ่ี วกเขา มาตง้ั แตด่ งั้ เดมิ โดยใชเ้ ปน็ ตวั กระตนุ้ เพอ่ื ชว่ ยในการท�ำ งานให้ กินเป็นเคร่ืองช่วยในการทำ�งาน กินเพ่ือรักษาโรคหลายชนิด ทนทานมากขึ้น ใช้เป็นยารักษาโรค และในการสังสรรค์กับ และกนิ เพอ่ื สงั สรรคพ์ ดู คยุ ในยามวา่ งงานกบั เพอ่ื น ๆ ความส�ำ คญั เพื่อน ๆ ของคำ�ว่า “กระท่อม” จึงมีนัยสำ�คัญท่ีต่างกันออกไปตาม กระท่อมจึงเป็นพืชที่แสดงบทบาทหน้าที่ทางสังคม แต่ละภูมภิ าค วัฒนธรรมของท้องถิ่นภาคใต้อย่างชัดเจน ท้ังในด้านการใช้ เป็นเคร่ืองเสริมแรง เพ่ิมประสิทธิภาพในการทำ�งาน ทำ�นา ท�ำ สวน และการท�ำ ประมง นอกจากนี้ กระทอ่ มยงั ถกู ใชเ้ ปน็ ยารักษาโรค เป็นของขบเค้ียวระหว่างเพื่อนฝูง และเป็นของ เพอื่ ตอ้ นรบั แขกทม่ี าเยอื น รวมทงั้ ถกู ใชใ้ หท้ �ำ หนา้ ทส่ี นบั สนนุ กิจกรรมสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรม สร้างความสัมพันธ์ ของผู้คนในสังคม ท้ังในการแสดงพื้นเมือง เช่น หนังตะลุง การเล่นกีฬาพ้ืนบ้าน เช่น ชนวัว ชนไก่ เป็นต้น และใบ กระทอ่ มถกู ใชเ้ พอ่ื การบชู าสง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ หรอื เซน่ ไหวบ้ รรพบรุ ษุ หรือใช้บนบานศาลกล่าวกับ วิญญาณเทพยดา เจ้าท่ี ตามความเช่อื และศรทั ธาของแต่ละบุคคล ประวตั พิ ชื กระทอ่ มในประเทศไทย ไมม่ กี ารบนั ทกึ แนช่ ดั ว่าพืชกระท่อมอยู่คู่กับสังคมไทยมาเป็นเวลาก่ีสิบปี กี่ร้อยปี หรือกี่พันปี หรืออยู่กับบริบททางภูมิศาสตร์ของภูมิภาคนี้ มาก่ีปี แต่ที่พอสามารถระบุหรืออนุมานระยะเวลาได้ว่า พืชกระท่อมอยู่คู่กับสังคมไทยมาเป็นระยะเวลาก่ีปีแล้วน้ัน น่าจะมาจากหลักฐานท่ีถูกบันทึกลงในคัมภีร์แพทย์ไทย แผนโบราณทบี่ างคมั ภรี ม์ กี ารระบวุ า่ ต�ำ รบั ไหนใชส้ ว่ นไหนของ พืชกระท่อมในปริมาณเท่าไหร่ ซ่ึงคัมภีร์ท่ีมีอายุมากท่ีสุด นา่ จะมอี ายมุ ากกวา่ ๓๐๐ ปี อยา่ งเชน่ คมั ภรี พ์ ระธาตนุ ารายณ์ หรือตำ�รับโอสถพระนารายณ์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐาน เชิงประจักษ์ในพ้ืนที่ชุมชนวังหล้อ เทศบาลเมืองนาสาร อ�ำ เภอบา้ นนาสาร จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี ทป่ี รากฏตน้ กระทอ่ ม ยักษ์คู่แฝดอายุมากกว่า ๑๐๐ ปี ซึ่งคนในพื้นท่ีเรียกว่า ปู่ท่อมย่าท่อม 8 เพื่อนวิทยากร
มิติวิทยาศาสตร์/ชีววิทยา/ด้านสายพันธุ์ การออกฤทธิ์ และผลต่อร่างกาย นายสุจิน ชูชาติ อายุ ๗๔ ปี ห้ามเสพและขายใบกระท่อมส่งผลให้รายได้ของรัฐลดลง ชาวบ้านชุมชนวังหล้อ ซึ่งเป็น ซง่ึ ตลอดระยะเวลาทผ่ี า่ นมา ไดม้ กี ารปรบั ปรงุ กฎหมายเกย่ี วกบั คนเฒ่าคนแก่ที่มีวิถีชีวิตผูกพัน ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ซง่ึ ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ ไดม้ กี ารพระราชบญั ญตั ิ กับต้นกระท่อมมานาน เล่าว่า ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยมีเจตนารมณ์ในการ “ต้นกระท่อมแฝดน้ีอยู่คู่กับชุมชนมา ปราบปรามและควบคุมยาเสพติดให้โทษให้มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่เกิด และเคยใชป้ ระโยชน์ในการรักษา มากยง่ิ ขน้ึ และสอดคลอ้ งกบั อนสุ ญั ญาระหวา่ งประเทศวา่ ดว้ ย โรคปวดทอ้ ง และตน้ กระทอ่ มยกั ษค์ แู่ ฝดมคี วามสงู ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ซงึ่ ประเทศไทยเขา้ รว่ มเปน็ ภาคสี มาชกิ โดย มากกวา่ ๓๐ เมตร และมเี สน้ รอบวงมากกวา่ ๒ เมตร” ซง่ึ นา่ จะ ยกเลกิ พระราชบญั ญัตยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พุทธศักราช ๒๔๖๕ เปน็ สงิ่ ยนื ยันว่า พืชกระท่อมอยูค่ ู่สงั คมไทยมาอยา่ งยาวนาน และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม และยกเลิกพระราชบัญญัติพืชกระท่อม สำ�หรับหลักฐานท่ีมีการระบุหรือบันทึกอย่างชัดเจน คือ พ.ศ. ๒๔๘๖ อย่างไรก็ตาม ได้กำ�หนดให้พืชกระท่อม เป็น ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ประกาศใช้ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท ๕ และให้อยูภ่ ายใต้การควบคุม กฎหมายควบคมุ การใชพ้ ชื กระทอ่ ม ดว้ ยเหตผุ ลของการยบั ยงั้ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ทั้ง ๆ ท่ี ความนิยมการใช้พืชกระท่อมแทนการเสพฝิ่น ซ่ึงในช่วงเวลา ในขณะน้ันยังไม่มีข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ ดงั กลา่ ว รฐั มสี ถานะเปน็ ผคู้ า้ และเกบ็ ภาษฝี นิ่ โดยการควบคมุ ยืนยันชัดเจนว่าพืชกระท่อมมีผลท�ำ ให้เกิดการเสพติดเท่ากับ ดังกล่าวรวมถึงการห้ามปลูก ห้ามครอบครองพืชกระท่อม กัญชา ฝน่ิ หรอื ใบโคคา ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ของพชื กระท่อม พืชกระท่อม (Kratom) เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ ๑๕-๓๐ เมตร เป็นพืชพ้ืนถิ่นท่ีพบมากในเขตป่าฝนของ ประเทศไทย มาเลเซีย เมียนมา สปป. ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาะนิวกินี หมอพ้ืนบ้านและคนไทยใน ภาคตา่ ง ๆ โดยเฉพาะภาคใตร้ จู้ กั พชื กระทอ่ มเปน็ อยา่ งดี เนอ่ื งจากเปน็ พชื ทมี่ กี ารน�ำ มาใชป้ ระโยชน์ ในบรบิ ททางวฒั นธรรม ในภาคใตม้ านาน ทง้ั ในดา้ นพธิ กี รรม ดา้ นการใชเ้ ปน็ ยารกั ษาโรค เปน็ ของขบเคย้ี วยามวา่ งทใ่ี ชต้ อ้ นรบั แขก ตลอดจนใชบ้ �ำ รงุ ก�ำ ลงั ของชาวบ้านในวัยทำ�งานมานาน พืชกระท่อม เป็นพืชวงศ์เดียวกับกาแฟ มีชื่อเรียกหลายชื่อ ทางใต้เรียกท่อม (thom) ภาคกลางเรียก อีถ่าง มาเลเซียเรยี ก เบยี๊ ะ (biak) หรือ เคอตมุ่ (ketum) หรอื เซบัท (sepat) ซ่งึ พชื กระทอ่ มจัดอยูใ่ น • อาณาจกั ร : Plantae • วงศ์ : Rubiaceae • สกลุ : Mitragyna • สปีชสี ์ : M. speciosa • ช่ือวทิ ยาศาสต ์ : Mitragyna speciosa (Korth.) Havil. 9เพื่อนวิทยากร
มิติวิทยาศาสตร์/ชีววิทยา/ด้านสายพันธุ์ การออกฤทธ์ิ และผลต่อร่างกาย ลักษณะล�ำ ต้น มีลักษณะตรง ล กั ษณะดอก มลี ักษณะเป็น แตกกิ่งก้านน้อย เปลอื กตน้ มสี เี ทา ชอ่ กระจุกแนน่ ทรงกลม ออกจาก สูงประมาณ ๑๕-๓๐ เมตร ปลายกงิ่ ประมาณ ๑-๓ ช่อ ก้านชอ่ ดอกยาว ๗-๑๒ เซนติเมตร ล กั ษณะใบ มลี ักษณะเปน็ แต่ละชอ่ ประกอบด้วยดอกย่อย ประมาณ ๗๐-๘๐ ดอก ใบเดยี่ ว เรยี งเปน็ คตู่ รงข้าม ดอกเมือ่ เรม่ิ บานมีสขี าวนวล ใบเป็นรปู ไข่ ปลายใบแหลม แล้วเปลย่ี นเป็นสเี หลือง มีกลิ่นหอม โคนใบปา้ น ขอบใบเรียบ ผิวใบ ออ่ นๆ เป็นชนดิ ดอกสมบรู ณเ์ พศ เรยี บลนื่ แผน่ ใบบาง ดา้ นทอ้ งใบ ลักษณะผลกล่มุ อัดแน่นเปน็ มเี สน้ ใบเปน็ สันเหน็ ไดช้ ัดเจน รูปทรงกลม เสน้ ผา่ นศูนย์กลาง มเี ส้นแขนงใบขา้ งละ ประมาณ ๒-๓ เซนตเิ มตร ภายในผลยอ่ ย ๑๐-๑๕ เสน้ ขนาดใบแตกตา่ งกนั มีเมล็ดประมาณ ๑๔๐-๑๖๐ เมล็ด ในแตล่ ะพนื้ ถิน่ ใบเพสลาดกว้าง ๑๐-๑๖ และมีปีกบาง ๆ สามารถปลวิ ได้ไกล เซนตเิ มตร ก้านใบยาว ๓-๕ เซนตเิ มตร ยอดออ่ นเห็นหใู บรปู ใบหอกอยู่ตรงกลาง การขยายพันธุ์ พืชกระทอ่ มใช้เมล็ดในการขยายพันธุ์โดยธรรมชาติ ระหว่างใบอ่อนทงั้ สองข้าง จำ�นวน ๑ คู่ เสน้ บริเวณท้องใบเปน็ สนั เสน้ ใบเป็นสีแดง เมลด็ ที่มปี กี บาง จะสามารถไปได้ไกลตามแรงลม และสามารถ เรยี ก กา้ นแดง และเส้นใบเป็นสีเขยี ว แขวนลอยไปกับนาํ้ ไดง้ ่าย จึงสามารถพบตน้ กระทอ่ มไดต้ ามรมิ ลำ�ธาร เรยี กก้านเขยี ว บางชนดิ อาจมีปลายใบ โดยเฉพาะดนิ ชื้นแฉะ สามารถเพาะต้นกล้าจากเมลด็ จนได้ต้นกลา้ เปน็ หยัก เรียกหางกั้ง หรอื ยักษ์ใหญ่ สูง ๑๕-๒๐ เซนติเมตร แล้วจงึ ย้ายไปปลูกในพ้นื ที่ท่มี ีความชุ่มชน้ื ทีเ่ หมาะสม นอกจากนีอ้ าจใชว้ ิธีการติดตา ทาบกงิ่ กับตน้ ตอท่ีมี สารส�ำ คัญในพืชกระทอ่ ม ความแข็งแรง และปกั ชำ� จากฐานขอ้ มลู พฤกษเคมขี องพชื กระทอ่ ม มหาวทิ ยาลยั อลิ ลนิ อยส์ แหง่ ชคิ าโก พบองคป์ ระกอบทางเคมขี องกลมุ่ สารแอลคาลอยด์ มากกว่า ๒๐ ชนิดในใบกระท่อม โดยพบสารสำ�คัญหลัก คือ มิตรากัยนีน (Mitragynine) ปริมาณท่ีพบในใบกระท่อมของไทย จะมสี งู ถึง ๖๖% โดยนาํ้ หนกั เม่อื เทยี บกบั ปรมิ าณสารสกดั แอลคาลอยด์ทั้งหมด มิตรากัยนีน (Mitragynine) เป็นสารจำ�พวกแอลคาลอยด์ ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำ�ให้รู้สึกชา กดความรู้สึก เมอ่ื ยล้าขณะท�ำ งาน ส่งผลใหส้ ามารถท�ำ งานไดน้ าน และทนความรอ้ น ดังนั้น ผใู้ ชใ้ บกระทอ่ มสามารถทำ�งานกลางแจ้งได้ ทนนานขึ้นภายหลังเคย้ี วใบกระทอ่ ม ๕-๑๐ นาที ก ลไกการออกฤทธิ์ มิตรากัยนีนซ่ึงเป็นสารแอลคาลอยด์ที่พบมาก ออกฤทธิ์ต่อตัวรับ opioid ชื่อมิว เดลตา และแคปปา โดยออกฤทธหิ์ ลกั ทต่ี วั รบั มวิ นอกจากนย้ี งั พบวา่ มติ รากยั นนี จบั กบั ตวั รบั ในระบบประสาทสว่ นกลางอนื่ ๆ และในไขสนั หลงั การออกฤทธข์ิ องพชื กระทอ่ มนน้ั ขน้ึ อยกู่ บั ปรมิ าณทไี่ ดร้ บั โดยรวม คอื รบั ในปรมิ าณทตี่ า่ํ จะมฤี ทธเ์ิ ปน็ สารกระตนุ้ แตถ่ า้ รบั ในปริมาณท่ีสงู มฤี ทธ์คิ ลา้ ยสารกลมุ่ opioid กดประสาท ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ จะเร่ิมออกฤทธ์ิประมาณ ๕-๑๐ นาทีหลังเคี้ยวใบกระท่อม มีระยะเวลาออกฤทธ์ิประมาณ ๒-๕ ชัว่ โมง 10 เพื่อนวิทยากร
๒ เภสัชวิทยาและพษิ วทิ ยา เภสชั วิทยาพชื กระทอ่ ม เภสัชวิทยาหรือฤทธ์ิทางยา คือ ผลของยาหรือสารต่ออวัยวะหรือระบบต่าง ๆ ของ รา่ งกาย ซง่ึ ผลหรอื ฤทธทิ์ ตี่ อ้ งการจะเปน็ ขอ้ บง่ ใชใ้ นการรกั ษา สว่ นผลหรอื ฤทธทิ์ ไี่ มต่ อ้ งการ จะเป็นอาการข้างเคียง นอกจากฤทธ์ิทางยาแล้ว ยังต้องศึกษาว่าเม่ือยาหรือสารเข้าสู่ร่างกาย แลว้ รา่ งกายจะจดั การอยา่ งไรกบั ยาทไ่ี ดร้ บั เขา้ ไป เชน่ การดดู ซมึ ยาเขา้ สรู่ า่ งกาย การกระจายตวั ของยา ในรา่ งกาย การแปรรปู ของยาในรา่ งกาย และการก�ำ จดั ยาออกจากรา่ งกาย องคป์ ระกอบเหลา่ นร้ี วมกบั ขนาดยาหรอื สารทไี่ ดร้ บั จะเปน็ ตวั ก�ำ หนดความเขม้ ขน้ ของยา ในบรเิ วณทย่ี าออกฤทธิ์ ปรมิ าณการกระจายยาในรา่ งกาย ความแรงของยา เวลาท่ียาออกฤทธ์ิ และระยะเวลาการออกฤทธ์ิของยาในร่างกาย เป็นต้น ซึ่งฤทธ์ิทางยาของพืชกระท่อมได้มีการศึกษาจาก สารสกดั หยาบ crude alkaloids สารส�ำ คญั มิตรากยั นนี และ ๗-ไฮดรอกซีมิตรากัยนนี พอจะสรุปได้ดังน้ี ฤทธ์ิระงับปวดหรือบรรเทาอาการปวด สารมิตรากัยนีนมีฤทธิ์คล้ายกับสารฝิ่นที่ระบบประสาทส่วนกลางทำ�ให้การรับรู้ ความรสู้ กึ เจบ็ ปวดลดลง และสารส�ำ คญั อกี ชนดิ ในใบกระทอ่ ม คอื ๗-ไฮดรอกซ ี มติ รากยั นนี มฤี ทธ์ิในการระงบั การปวด ดีกว่ามอร์ฟีน และอาการข้างเคียงท่ีทำ�ให้เกิดอาการท้องผูกน้อยกว่าผลท่ีเกิดจากมอร์ฟีน นอกจากนี้ยังได้มีการศึกษา ในหนทู ดลองและพบว่าสารสกดั จากใบกระท่อมมีฤทธค์ิ ล้ายยารกั ษาอาการซมึ เศร้าได้ ฤ ทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร สารมิตรากัยนีนมีผลต่อการลดการหดตัวของลำ�ไส้เล็ก ลดอัตราการเคล่ือนที่ของอาหาร ในล�ำ ไสเ้ ลก็ แตเ่ มอื่ ใหส้ ารสกดั ใบกระทอ่ มเปน็ ประจ�ำ ทกุ วนั ระยะเวลานาน ๑๕ วนั ถงึ ๓๐ วนั พบวา่ อตั ราการเคลอื่ นที่ ของอาหารในล�ำ ไสเ้ ลก็ ไมล่ ดลง แสดงใหเ้ หน็ วา่ ระบบทางเดนิ อาหารจะมกี ารปรบั ตวั หรอื อาจเกดิ ภาวะทนยา และสามารถ ช่วยในการรกั ษาอาการทอ้ งเสียได้ ฤ ทธิ์ต่อความอยากอาหาร สารสกัดจากใบกระท่อมมีผลต่อความอยากอาหารและนํ้าลดลง และเมื่อใช้เป็นเวลานาน พบวา่ การเพมิ่ ของนา้ํ หนกั ตวั จะลดลง เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั กลมุ่ คนผู้ใชพ้ ชื กระทอ่ ม เปน็ ประจ�ำ จะเหน็ วา่ มภี าวะการท�ำ งาน ได้ทนและนานจนลืมนึกถึงความหิวหรอื รสู้ ึกไมห่ วิ ฤ ทธิ์ต่อระดับน้ําตาลในเลือด สารสกัดจากใบกระท่อมและมิตรากัยนีนมีผลต่อการเพ่ิมอัตราการนำ�กลูโคสเข้าสู่เซลล์ กล้ามเนื้อ (ทำ�ให้ร่างกายนำ�ไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที) และจากข้อมูลในพ้ืนท่ีท่ีใช้ใบกระท่อมพบว่าชาวบ้านในชุมชน ใช้พืชกระทอ่ มในการรักษาเบาหวาน ฤทธติ์ อ่ กลา้ มเนอื้ ลาย สารสกดั จากใบกระทอ่ มและมติ รากยั นนี มผี ลท�ำ ใหก้ ลา้ มเนอื้ ลายคลายตวั ท�ำ ใหล้ ดอาการปวดเมอ่ื ย กล้ามเนื้อ โดยสารสกัดเมทานอลจากใบกระท่อมจะออกฤทธ์ิตรงบริเวณรอยต่อปลายประสาท-กล้ามเนื้อลาย และ ด้วยเหตุน้ีจึงอาจทำ�ให้ผู้ที่ใช้ใบกระท่อมเพ่ือการทำ�งานสามารถทำ�งานได้ แต่อย่างไรก็ดียังพบว่าผู้ที่ใช้พืชกระท่อม เป็นประจ�ำ ในระยะเวลานานเมอื่ หยดุ ใช้พืชกระท่อมจะพบอาการของกล้ามเนอื้ กระตกุ ฤทธล์ิ ดการเสพตดิ รศ.ดร.เอกสทิ ธิ์ กมุ ารสทิ ธิ์ และผศ.ดร.ดารเ์ นยี เจห๊ ะ จากมหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ ไดท้ �ำ การศกึ ษา และทดลองใช้พืชกระท่อมเพื่อลดการเสพติด โดยการวัดคลื่นไฟฟ้าสมองในหนูขาวที่ชักนำ�ให้เกิดการติดแอลกอฮอล์ และมอร์ฟีน พบว่า สารแอลคาลอยด์สกัดหยาบจากใบกระท่อมมีสรรพคุณ ท่ีสามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดจาก การเสพสารเสพตดิ ไดจ้ รงิ ในสตั วท์ ดลอง ดงั นน้ั จงึ มคี วามเปน็ ไปได ้ ทจ่ี ะประยกุ ต์ใชพ้ ชื กระทอ่ มเพอื่ การบ�ำ บดั การเสพตดิ ท้งั น้ีขนึ้ อยูก่ บั การพัฒนารปู แบบการเตรียมยา และควรอยภู่ ายใต้การดูแลของแพทยเ์ ทา่ น้ัน 11เพ่ือนวิทยากร
มิติวิทยาศาสตร์/ชีววิทยา/ด้านสายพันธุ์ การออกฤทธิ์ และผลต่อร่างกาย พิษวิทยาพชื กระท่อม ความเปน็ พิษระยะยาว พษิ ระยะยาว คอื การสะสมสารสกดั จากพชื กระทอ่ ม ความเปน็ พษิ ของสารในพชื กระทอ่ มจะพบมากหากใช้ ในปรมิ าณทส่ี งู หรอื มากเกนิ ไป หรอื ใชต้ ดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลานาน ไว้ในร่างกายเป็นระยะเวลานาน โดยผู้ท่ีใช้พืชกระท่อม ซ่ึงอาจจะส่งผลให้แสดงการเกิดพิษ โดยหลัก ๆ สามารถ เป็นประจำ�อาจมีอาการตากระตุก (nystagmus) หรือ จำ�แนกออกเป็น ๒ รูปแบบ คือ ความเป็นพิษเฉียบพลัน มอี าการสน่ั ได้ และในผทู้ ใ่ี ชพ้ ชื กระทอ่ ม เปน็ ระยะเวลานาน และความเปน็ พิษระยะยาว ทำ�ให้มีสีผิวคล้ําข้ึน (เนื่องจากผู้ใช้พืชกระท่อมส่วนใหญ่ ใช้เพื่อการทำ�งาน ทำ�ให้ทำ�งานได้นานขึ้นและทนแดด ความเปน็ พิษเฉยี บพลัน มากขน้ึ ) นอกจากนย้ี งั มผี วิ แหง้ ปากแหง้ ทอ้ งอดื ทอ้ งผกู พิษเฉียบพลัน หมายถึง ผลกระทบหลังจากการได้รับ สีอุจจาระเปล่ียน ปัสสาวะบ่อย นํ้าหนักลดเนื่องจาก เบื่ออาหารหรือทำ�งานจนลืมความอยากอาหาร และอาจ สารสกดั จากใบกระทอ่ มเขา้ สรู่ า่ งกายมากเกนิ ไป โดยเบอ้ื งตน้ มีผลต่อจิตประสาท ทำ�ให้เกิดความผิดปกติทางจิตได้ อาการท่ีพบได้บ่อยหลังจากการเคี้ยวใบกระท่อมหรือ กระท่อมมีฤทธิ์ทำ�ให้เกิดการเสพติดได้เมื่อหยุดเสพ ด่ืมนํ้าต้มใบกระท่อม ได้แก่ ปากแห้ง คล่ืนไส้อาเจียน กะทันหันจะเกิดอาการถอน (withdrawal symptom) ท้องผูก นํ้าหนักลด กระสับกระส่าย วิตกกังวล ผู้ใช้ ขึ้นได้ และมีรายงานการเกิดภาวะไทรอยด์ทำ�งานต่ําใน ใบกระท่อมบางรายอาจจะมีอาการใจสั่น เหงื่อออกมาก คนท่ใี ชพ้ ืชกระทอ่ มเปน็ ระยะเวลานานหลายเดอื น สน่ั เกรง็ กา้ วรา้ วเพมิ่ ขนึ้ ระดบั ความรสู้ กึ ตวั เปลยี่ นแปลง การเสพแบบดง้ั เดิม การศกึ ษาวจิ ยั ความเปน็ พษิ เฉยี บพลนั ของพชื กระทอ่ ม เคยี้ วใบสด ในสตั วท์ ดลอง พบวา่ ขนาดของสารสกดั เอทานอลจากใบ กระท่อม และสารสกัดแอลคาลอยด์ (crude alkaloids) การใช้ตะบนั ช่วยต�ำ ใบกระทอ่ มใหแ้ หลกละเอียด เพอื่ สะดวก ท่ีทำ�ให้สัตว์ทดลองเพียงคร้ังเดียวแล้วทำ�ให้ตายไป ๕๐% แกก่ ารเค้ียว ใชส้ ำ�หรับผ้สู ูงอายุทส่ี ขุ ภาพฟันไมค่ อ่ ยดี (LD 50) คือขนาด ๔.๙๐ กรัม/กิโลกรัม และ ๑๗๓.๒๐ มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตามลำ�ดับ ทั้งนี้ยังได้มีการทดลองให้ สารสกัดเมทานอลจากใบกระท่อมในขนาดที่สูงซึ่งมีผล ทำ�ให้ความดันเลือดสูงข้ึน หลังจากการให้สารสกัดใน ๑ ช่ัวโมงแรก และค่าเอนไซม์ในตับ ไตรกลีเซอไรด์ และ คอเลสเตอรอลสูงขึ้น ส่วนสารสกัดในขนาดสูง ๑,๐๐๐ มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทำ�ให้ค่าครีเอตินินสูงขึ้น ซ่ึงอาจส่งผล เป็นพษิ ต่อไต แตไ่ ม่มผี ลตอ่ นาํ้ หนกั ตวั การศกึ ษาความเปน็ พษิ ในมนษุ ย์ (Grewal และคณะ) โดยทำ�การศึกษาในอาสาสมัครจำ�นวนท้ังสิ้น ๕ ราย โดย ในอาสาสมัครจำ�นวน ๔ ราย ดื่มสารละลายมิตรากัยนีน ในนํ้าท่ีมีปริมาณมิตรากัยนีน อะซิเตรด ๕๐ มิลลิกรัม และอาสาสมคั รจ�ำ นวน ๑ ราย ดมื่ สารสะลายมติ รากยั นนี จากผงใบกระทอ่ ม ๑.๓ กรมั พบวา่ อาสาสมคั รทกุ รายมี อารมณ์เคลิบเคลิ้มมีความสุข หัวใจเต้นเร็ว เบ่ืออาหาร และนอนไม่หลับ และในบางรายพบว่ามีอาการคล่ืนไส้ อาเจยี น มือส่ัน และหน้าแดง 12 เพ่ือนวิทยากร น�ำ ใบสดไปตม้ ด่ืมแบบชา
มติ ทิ าง สังคมศาสตร/์ การควบคุม ทางกฎหมาย และชุมชน การใชใ้ นทางทผ่ี ดิ 13เพ่ือนวิทยากร
๓ การควบคุมพชื กระทอ่ มในอดีต ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ หากจะกล่าวถึงกฎหมายในการควบคุมพืชกระท่อม จงึ ได้เกดิ กฎหมายท่กี ำ�หนดให้ ในประเทศไทย จำ�เป็นต้องกลา่ วถงึ พชื อกี ชนดิ หน่ึงท่มี กี าร ใช้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในอดีต น่ันคือ “ฝิ่น” พืชกระทอ่ มเป็นยาเสพติด เนื่องจากพืชท้ังสองชนิดน้ีมีประวัติศาสตร์ท่ีเกี่ยวข้อง โดยรัฐจ�ำ เป็นต้องรักษาผลประโยชน์ รว่ มกันมา และสง่ ผลให้เกดิ กฎหมายซ่ึงกนั และกัน จากการควบคุมการผลติ และ พืชฝ่ินเขา้ มาในประเทศไทยสมัยใดนน้ั ไมป่ รากฏขอ้ มูล จ�ำ หน่ายฝิน่ เนื่องจากหากผเู้ สพฝิ่น ท่ี แ น่ ชั ด แ ต่ ก ฎ ห ม า ย เ ก่ี ย ว กั บ ฝิ่ น มี ก า ร บั ญ ญั ติ ไว้ ใ น สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หันไปใชใ้ บกระทอ่ มแทน (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เม่ือ ประมาณปี พ.ศ. ๑๙๐๓ หรือ ๖๐๐ กว่าปีท่ีผ่านมา มีบทบัญญัตกิ �ำ หนดเก่ยี วกับการห้ามซื้อขายฝน่ิ ความวา่ “ผู้สูบฝิ่น กินฝิ่น ขายฝ่ินน้ัน ให้ลงพระราชอาญาจง หนกั หนา รบิ ราชบาทวใ์ หส้ น้ิ เชงิ ทเวนบกสามวนั ทเวนเรอื สามวนั ใหจ้ �ำ ใสค่ กุ ไวจ้ นกวา่ จะอดได้ ถา้ อดไดแ้ ลว้ เรยี กเอา ทานบนแก่มันญาติพ่ีน้องไว้แล้ว จึงให้ปล่อยผู้สูบ ขาย กนิ ฝิน่ ออกจากโทษ” ต่อมา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลท่ี ๑) ทรงแจก กฎหมายป่าวร้องห้ามปรามผู้ขาย แต่ก็ให้ผลในทางปฏิบัติ ไดน้ อ้ ย ยงั คงมผี เู้ สพฝน่ิ ในราชอาณาจกั รอยู่ เมอ่ื เปลย่ี นรชั กาล มาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รชั กาลท่ี ๒) พระองคจ์ งึ ไดท้ รงตราพระราชบญั ญตั กิ �ำ หนด อัตราโทษให้สูงขน้ึ ความว่า “ห้ามอย่าให้ผู้ใดสูบฝ่ิน กินฝ่ิน ซื้อฝิ่น ขายฝ่ิน และ เปน็ ผสู้ มเชอ้ื สมขายเปน็ อนั ขาดทเี ดยี ว ถา้ มฟิ งั จบั ได้ และมี ผรู้ อ้ งฟอ้ ง พจิ ารณาเปน็ สจั จะ ใหล้ งพระอาญา เฆย่ี นสามยก ทเวนบกสามวนั ทเวนเรอื สามวนั รบิ ราชบาทว์ บตุ ร ภรรยา และทรัพย์สิ่งของให้ส้ินเชิง ให้ส่งตัวไปตะพุ่นหญ้าช้าง ผู้รู้เห็นเป็นใจมิได้เอาความมาว่ากล่าว จะให้ลงพระอาญา เฆ่ียน ๖๐ ท”ี 14 เพื่อนวิทยากร
มิติทางสังคมศาสตร์/การควบคุมทางกฎหมายและชุมชน การใช้ในทางท่ีผิด ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ ในสมัยน้ันเป็นจำ�นวนมาก ซ่ึงสมเด็จ และจ�ำ หนา่ ยฝน่ิ เนอื่ งจากหากผเู้ สพฝนิ่ เจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๓) อยู่ในสมัย กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ ได้ทรง หนั ไปใชใ้ บกระทอ่ มแทน รายไดท้ เ่ี กดิ ขน้ึ การล่าอาณานิคมท่ีประเทศอังกฤษ รวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไว้ จากธุรกิจการผลิตและการค้าขายฝ่ิน นำ�ฝิ่นจากอินเดียไปบังคับขายให้แก่ ในหนังสือลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ใน รวมถึงการเก็บภาษีฝิ่นของรัฐก็จะ ประเทศจนี ท�ำ ใหป้ ระชาชนในประเทศ “ต�ำ นานภาษฝี น่ิ ” ซงึ่ ภาษที ไี่ ดจ้ ากการ น้อยลงไปด้วย ซ่ึงข้อเท็จจริงดังกล่าว จนี ตดิ ฝน่ิ เพมิ่ ขน้ึ ซงึ่ ในชว่ งเวลาดงั กลา่ ว เกบ็ นบั รวมเปน็ เงนิ ไดก้ วา่ ปลี ะ ๔ แสนบาท เป็นเหตุผลเบ้ืองหลังของการกำ�หนด เป็นยุคเฟ่ืองฟูของการค้าขายระหว่าง ซึ่งสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของการเก็บภาษี กฎหมาย มใิ ชเ่ หตขุ องการทพ่ี ชื กระทอ่ ม ประเทศ พอ่ คา้ คนจนี ไดน้ �ำ สนิ คา้ มากมาย จากสนิ ค้าตา่ ง ๆ เปน็ ยาเสพตดิ เองไม่ และในชว่ งสมยั นนั้ รวมถึงลักลอบนำ�ฝิ่นเข้ามาค้าขายใน การค้าขายและเสพฝิ่นยังคงดำ�รง แทบจะไมม่ ขี อ้ มลู ทางเภสชั วทิ ยาเกย่ี วกบั ประเทศไทยดว้ ย ทง้ั ทางเรอื ส�ำ เภาและ ตอ่ เนอ่ื งมาตง้ั แตส่ มยั รชั กาลท่ี ๔ ภายใต้ ฤทธข์ิ องสารทอ่ี ยใู่ นใบกระทอ่ ม รวมถงึ ผา่ นทางชายแดน ท�ำ ใหภ้ มู ภิ าคทต่ี ดิ ตอ่ การควบคุมดูแลของรัฐ จนกระท่ังเม่ือ การเก็บข้อมูลผลกระทบด้านสุขภาพ ค้าขายกับประเทศจีนได้รับผลจากการ ถงึ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทร รา่ งกายของประชาชน ทนี่ �ำ มาเปน็ ฐาน แพรก่ ระจายการเสพฝน่ิ จนเกดิ การระบาด มหาอานันทมหิดล (รัชกาลท่ี ๘) เกิด ข้อมูลทางวิชาการประกอบในการ หนักข้ึน พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี ๓ ปัญหาฝิ่นขาดตลาด ราคาฝ่ินจึงสูงข้ึน ออกกฎหมาย อีกท้ังกฎหมายดังกล่าว มีนโยบายการปราบปรามผู้ค้าผู้เสพฝ่ิน โดยรฐั เปน็ ผกู้ �ำ กบั การขายฝน่ิ และผกู ขาด ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกในภูมิภาค อยา่ งหนกั โดยในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ ไดจ้ บั ในการก�ำ หนดราคาและการผลติ ท�ำ ให้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำ�หนดให้ ฝนิ่ ตามหวั เมอื งชายทะเล ตลอดชายฝง่ั มผี รู้ เิ รม่ิ น�ำ ใบกระทอ่ มมาเคย้ี วแทนการ พืชกระท่อมเป็นพืชเสพติด เน่ืองจาก ตะวันออกและภาคใต้ซ่ึงเป็นพ้ืนที่ เสพฝิ่น เนื่องจากใบกระท่อมส่งผลต่อ เป็นภูมิภาคเดียวท่ีมีพืชกระท่อมเป็น ก า ร เ ข้ า ม า ค้ า ข า ย ข อ ง เ รื อ สำ � เ ภ า ร่างกายให้แข็งแรงกระปร้ีกระเปร่า พันธุ์ไม้ที่เติบโตอยู่ โดยต่อมาในปี สามารถปราบปรามฝน่ิ และจบั ฝน่ิ ดบิ ได้ สามารถท�ำ งานไดอ้ ยา่ งไมร่ จู้ กั เหนด็ เหนอ่ื ย พ.ศ. ๒๔๙๕ ประเทศมาเลเซยี ไดป้ ระกาศ ถงึ กวา่ ๓,๗๐๐ หาบ และฝน่ิ สกุ อกี กวา่ ลดอาการปวดเมอื่ ย ประชาชนจงึ หนั มา ใช้กฎหมายห้ามเสพพืชกระท่อมใน ๒ หาบ ได้ฝ่ินปริมาณรวมกว่า ๒.๖ เค้ียวใบกระท่อมแทนการสูบฝิ่น ซ่ึง ลักษณะเดียวกัน ซ่ึงเป็นผลพวงจาก แสนกิโลกรัม โดยนำ�ฝิ่นที่จับยึดได้มา สง่ ผลกระทบตอ่ การขายฝน่ิ ทด่ี �ำ เนนิ การ ผู้เสพฝิ่นในประเทศ หันไปใช้กระท่อม เผาทำ�ลายในกรุงเทพมหานคร โดยรัฐ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ จึงได้เกิด ทดแทนในช่วงฝ่ินขาดตลาด และทำ�ให้ กฎหมายท่ีกำ�หนดให้พืชกระท่อมเป็น ถูกเข้าใจว่ากระท่อมมีสารที่ออกฤทธิ์ การปราบปรามการสูบฝิ่นและขาย ยาเสพติด โดยรัฐจำ�เป็นต้องรักษา เชน่ เดยี วกบั ฝน่ิ และจดั ใหเ้ ปน็ พชื เสพตดิ ฝน่ิ ยงั ไมส่ ามารถท�ำ ไดส้ �ำ เรจ็ การสบู ฝนิ่ ผลประโยชน์จากการควบคุมการผลิต ในกลุ่มทม่ี ีสารออกฤทธเ์ิ ดียวกัน และการขายฝิ่นจึงกลายเป็นวัฒนธรรม หนง่ึ ของภมู ภิ าคจากการทพี่ อ่ คา้ ชาวจนี ได้ลักลอบนำ�ฝิ่นมาขายในประเทศทั้ง ทางเรอื และทางบก ท�ำ ใหพ้ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๔) ทรงเห็นว่า หากจะปราบปรามต่อไป จะเปน็ ความยงุ่ ยากและเกดิ ความวนุ่ วาย จงึ ทรงเปลย่ี นนโยบายใหม่ ยอมใหค้ นจนี เสพและขายฝิ่นได้ตามกฎหมาย แต่ใช้ วธิ กี ารผกู ขาดการเสยี ภาษแี ละมนี ายภาษี เป็นผู้ดำ�เนินการ จากนโยบายดังกล่าว เป็นผลให้สามารถเก็บภาษีได้อย่าง มากมาย สรา้ งรายไดใ้ หแ้ กป่ ระเทศไทย 15เพื่อนวิทยากร
๔ พัฒนาการทางกฎหมายภายหลงั การเปล่ียนแปลงการปกครอง นบั ตง้ั แตป่ ระเทศไทยเปลย่ี นแปลงการปกครอง การเสพฝน่ิ กฎหมายเก่ียวกับยาเสพติดให้โทษ ซ่ึงในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ถอื เปน็ สง่ิ ทนี่ า่ รงั เกยี จในวงการสงั คม และเปน็ อนั ตรายตอ่ ได้มีการออกกฎหมายพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ สขุ ภาพอย่างรา้ ยแรง ประเทศตา่ ง ๆ ได้พยายามกำ�หนดให้ พ.ศ. ๒๕๒๒ ปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด โดยมี ฝน่ิ เปน็ สง่ิ อนั ตรายและเสพตดิ ได้ และพยายามยกเลกิ การขาย เจตนารมณ์ในการปราบปรามและควบคุมยาเสพติดให้โทษ และก�ำ หนดใหก้ ารเสพฝน่ิ เปน็ สงิ่ ผดิ กฎหมาย จนกระทง่ั ในปี ให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน และสอดคล้องกับอนุสัญญา พ.ศ. ๒๕๐๑ คณะปฏิวัติภายใต้การนำ�ของจอมพล สฤษด์ิ ระหว่างประเทศว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ซ่ึงประเทศไทย ธนะรัชต์ ได้ออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๗ ลงวันที่ เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิก โดยยกเลิกพระราชบัญญัติ ๙ ธนั วาคม ๒๕๐๑ ใหเ้ ลกิ การสบู ฝน่ิ ทว่ั ราชอาณาจกั ร โดย ยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช ๒๔๖๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มกี ารเผาท�ำ ลายฝนิ่ และอปุ กรณก์ ารสบู ฝน่ิ ทที่ อ้ งสนามหลวง และยกเลกิ พระราชบญั ญตั พิ ชื กระทอ่ ม พ.ศ. ๒๔๘๖ อยา่ งไร ในคืนวันท่ี ๓๐ มิถุนายน ๒๕๐๔ ต่อมารัฐบาลได้จัดต้ัง ก็ตาม ได้กำ�หนดให้พืชกระท่อม เป็นยาเสพติดให้โทษใน คณะกรรมการปราบปรามยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ใชช้ อ่ื ยอ่ วา่ ก.ป.ส. ประเภท ๕ และใหอ้ ยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ ตามพระราชบญั ญตั ิ สงั กดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี โดยมอี ธบิ ดกี รมต�ำ รวจเปน็ ประธาน ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษฉบับนี้ และมีผู้แทนจากทุกส่วนราชการท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อร่วมมือ ปราบปรามฝน่ิ ในประเทศ อยา่ งไรกต็ าม กไ็ มไ่ ดม้ กี ารด�ำ เนนิ การ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ประเทศไทย แก้ไขกฎหมายเก่ียวกับพืชกระท่อม เม่ือฝ่ินถูกปราบปราม เป็นประเทศแรกท่ีประกาศใช้ และหายไปจากสังคมไทย การใช้กระท่อมก็หายไปด้วย กฎหมายควบคุมการใช้พืชกระทอ่ ม ระยะหน่ึง แต่ถูกทดแทนด้วยการเสพสารเสพติดชนิดอ่ืน ดว้ ยเหตุผลของการยับย้งั ความนิยม จนเมอื่ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ความนยิ มเสพพืชกระท่อม การใช้พชื กระท่อมแทนการเสพฝ่ิน ก็กลับมาอีกคร้ัง จากการทดลองใช้ผสมกับตัวยาและ สารชนดิ อนื่ ใหเ้ ปน็ เครอื่ งดมื่ ซงึ่ สรา้ งความนยิ มในกลมุ่ ผเู้ สพ เนอ่ื งจากสว่ นผสมมฤี ทธทิ์ �ำ ใหเ้ กดิ ความมนึ เมาคลา้ ยการดม่ื แอลกอฮอล์ ตอ่ มาไดข้ ยายวงแพรร่ ะบาดไปยงั ภมู ภิ าคอนื่ ๆ ทั้งในประเทศข้างเคยี ง และไปยงั ท่วั โลกตามล�ำ ดบั ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ประเทศไทยเปน็ ประเทศแรก ท่ีประกาศใช้กฎหมายควบคุมการใช้ พืชกระท่อม ด้วยเหตุผลของการยับยั้ง ความนิยมการใช้พืชกระท่อมแทน การเสพฝิ่น ซ่ึงในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐมีสถานะเป็นผู้ค้าและเก็บภาษี โดยการควบคุมดังกล่าวรวมถึง การห้ามปลูก ห้ามครอบครอง พืชกระท่อม ห้ามเสพและขาย ใบกระทอ่ ม ซงึ่ ตลอดระยะเวลา ที่ผ่านมา ได้มีการปรับปรุง 16 เพ่ือนวิทยากร
๕ ความพยายามในการแก้กฎหมาย เกีย่ วกับพชื กระท่อม ภาคประชาชน หน่วยงานรัฐ รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทน คณะกรรมาธิการฯ จึงมีข้อเสนอให้ยกเลิกพืชกระท่อมจาก ราษฎร มีความมุ่งหมายและแนวคิดท่ีสอดคล้องกันในการ ยาเสพติดให้โทษ เพื่อเปิดโอกาสในการใช้ประโยชน์จากพืช ถอดพชื กระทอ่ มออกจากยาเสพตดิ ซงึ่ ความพยายามในการ กระทอ่ ม และใชศ้ กึ ษาวจิ ยั และพฒั นาเปน็ ยารกั ษาโรคหรอื ผลกั ดนั รา่ งกฎหมายเพอื่ ถอดพชื กระทอ่ มออกจากยาเสพตดิ ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร ท้ังแผนโบราณและแผนปัจจุบัน รวมถงึ การปลดลอ็ กเพอ่ื ใหส้ ามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากพชื กระทอ่ ม โดยเสนอให้แก้ไขบทบัญญัติที่กำ�หนดให้พืชกระท่อมเป็น ได้ โดยความพยายามดงั กลา่ วไดเ้ กดิ ขน้ึ ในชว่ งเวลาทแ่ี ตกตา่ ง ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ในพระราชบัญญตั ยิ าเสพติดให้โทษ พ.ศ. กัน แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การแก้กฎหมายเพื่อให้ ๒๕๒๒ สามารถใชพ้ ชื กระทอ่ มตามวถิ ชี วี ติ สามารถน�ำ มาใชป้ ระโยชน์ และใชใ้ นการวจิ ยั ได้ รวมถงึ การท�ำ ใหก้ ระทอ่ มเปน็ ผลติ ภณั ฑ์ ๒) การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ทไ่ี ดร้ ับการยอมรับ (ฉบบั ที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ แมว้ า่ พชื กระทอ่ มยงั คงถกู ก�ำ หนด ให้เป็นยาเสพติดใหโ้ ทษในประเภท ๕ ในส่วนของการแก้ไข ๑) คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลดีและผลเสียของ กฎหมายที่ควบคุมพืชกระท่อม มาตรา ๕๘/๒ กฎหมาย การบรโิ ภคพชื กระทอ่ ม เพอื่ เปน็ แนวทางในการเสนอวา่ ควร ก�ำ หนดใหส้ ามารถออกกฎกระทรวงเพอ่ื ประกาศใหบ้ างพน้ื ที่ ยกเลิกพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ สามารถเสพพชื กระทอ่ มได้ ซง่ึ ส�ำ นกั งาน ป.ป.ส. ไดม้ นี โยบาย ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยยาเสพตดิ ใหโ้ ทษหรอื ไม่ วฒุ สิ ภาไดส้ รปุ ในการศึกษาภาวะสังคมกับการใช้พืชกระท่อมในการแก้ไข และเสนอรายงานผลการพิจารณา เม่ือวันที่ ๑๕ ตุลาคม ปัญหายาเสพติด โดยขออนุญาตครอบครองพืชกระท่อม ๒๕๔๖ ซงึ่ รายละเอยี ดของรายงานไดม้ กี ารศกึ ษาขอ้ มลู ทาง ในพื้นที่ตำ�บลน้ําพุ อำ�เภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี วชิ าการของพชื กระทอ่ ม กฎหมายของตา่ งประเทศ ขอ้ ก�ำ หนด เพอ่ื ท�ำ การศกึ ษาวจิ ยั และยกเปน็ โมเดลของการแกไ้ ขปญั หา และอนุสัญญาระหว่างประเทศ รวมถึงงานวิจัยการศึกษา ยาเสพติดด้วยการใช้พืชกระท่อมตามวิถีชุมชน โดยกำ�หนด ฤทธิ์ของสารสำ�คัญที่อยู่ในพืชกระท่อม และการลงพ้ืนที่ เก็บข้อมูลเพื่อรับฟังความคิดเห็นและรับข้อมูลเกี่ยวกับ สขุ ภาพของประชาชนทใ่ี ชพ้ ชื กระทอ่ มในชวี ติ ประจ�ำ วนั และ พฤตกิ รรมการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม โดยสรปุ ขอ้ มลู ผลการศกึ ษา พบขอ้ มลู วา่ แมว้ า่ ในใบกระทอ่ มจะมสี ารออกฤทธสิ์ �ำ คญั คอื สารมิตรากัยนีน (Mitragynine) และแอลคาลอยด์ต่าง ๆ ทม่ี ฤี ทธทิ์ างเภสชั วทิ ยา ตา้ นอาการออ่ นเพลยี กดความรสู้ กึ เมอ่ื ยลา้ ลดระดบั การบบี ตวั ของกลา้ มเนอ้ื เรยี บสง่ ผลใหเ้ กดิ อาการชา และหากบริโภคอย่างต่อเน่ืองจะเป็นสารที่มีฤทธิ์ ตอ่ จติ และประสาท แตป่ ระชาชนทบ่ี รโิ ภคสว่ นมากเป็นกลุ่ม แรงงาน มีพฤติกรรมการบริโภคเพื่อเพิ่มกำ�ลังวังชาในการ ท�ำ งานหรอื เปน็ การบรโิ ภคเพอื่ ประกอบอาชพี คลา้ ยการดมื่ เครอ่ื งดม่ื ชกู �ำ ลงั ท�ำ ใหไ้ มง่ ว่ งนอน ไมร่ จู้ กั เหนด็ เหนอ่ื ย และ ประชาชนบางสว่ นทบ่ี รโิ ภคจะเปน็ การใชเ้ พอ่ื รกั ษาอาการจาก โรคตา่ ง ๆ เชน่ โรคเบาหวาน ความดัน แก้ปวดท้อง แก้บิด ในบางพ้ืนท่ีใช้ใบกระท่อมเพ่ือบรรเทาอาการไอ อาการเจบ็ ปวดจากโรคงูสวัด เป็นต้น อีกท้งั ไม่มีพฤติกรรมการติดสาร ออกฤทธ์ิจากใบกระท่อมท่ีมีลักษณะก่ออันตรายแก่ผู้อื่น 17เพ่ือนวิทยากร
มิติทางสังคมศาสตร์/การควบคุมทางกฎหมายและชุมชน การใช้ในทางท่ีผิด ธรรมนญู ชมุ ชนในการปอ้ งกนั ปญั หายาเสพตดิ และใหก้ ารใช้ พืชกระท่อมในพื้นท่ีสามารถเสพได้โดยไม่เป็นความผิด โดยการศึกษาวิจัยดังกล่าวประสบผลสำ�เร็จอย่างมาก ทำ�ให้ ประชาชนในพ้ืนที่หันมาป้องกันปัญหายาเสพติดในชุมชน และใหใ้ ชใ้ บกระทอ่ มในการบรโิ ภคอยา่ งเหมาะสม โดยนบั เปน็ จุดเร่ิมต้นของการกำ�หนดกฎหมายเพ่ือให้ประชาชนสามารถ ใชป้ ระโยชนจ์ ากพืชกระทอ่ มได้อย่างแท้จรงิ ๓) การเสนอแกไ้ ขปลดลอ็ กพชื กระทอ่ มออกจากยาเสพตดิ ประเภท ๕ ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๘) โดยการริเร่ิมของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม ได้สั่งการให้ สำ�นักงาน ป.ป.ส. เสนอใน ประเด็นการยกเลิกพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๕ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการ แก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน และสมาชิกรัฐสภาทั้ง สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาให้การตอบรับกับ แนวนโยบายการถอดพชื กระทอ่ ม ซงึ่ เปน็ ทที่ ราบมาโดยตลอด ว่า ตามกฎหมายยาเสพติดระหว่างประเทศและพันธสญั ญา ระหว่างประเทศ อันเก่ียวข้องกับยาเสพติดให้โทษ วัตถุ ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท รวมถึงอนุสัญญาว่าด้วยการ ต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธ์ิ ที่ต้อง ควบคุม ไม่ได้นับพืชกระท่อมให้จัดอยู่เป็นยาเสพติดให้โทษ หรือวัตถุออกฤทธิ์ และไม่มีข้อบังคับในทางการค้า ซึ่งจะพบ ในข้อมูลอันกล่าวถึงพืชกระท่อมในรายงานของ UNODC เมอ่ื ปี ค.ศ. 2013 เทา่ นน้ั ทก่ี �ำ หนดใหเ้ ฝา้ ระวงั การแพรก่ ระจาย ของพชื กระทอ่ มเนอื่ งจากมกี ารพบการแพรก่ ระจายและใชใ้ น ภมู ภิ าคทเ่ี พม่ิ ขน้ึ โดยการพจิ ารณารา่ งกฎหมายไดผ้ า่ นขน้ั ตอน และกระบวนการทางนิติบัญญัติ ซ่ึงได้ให้ความเห็นชอบและ ผ่านกฎหมายพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ ซ่ึงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันท่ี ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔ และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ และจะส่งผลให้พืชกระท่อมไม่เป็น ยาเสพตดิ ให้โทษอีกต่อไป 18 เพ่ือนวิทยากร
๖ แนวนโยบายใหม่เกยี่ วกับพชื กระท่อม สำ�นักงาน ป.ป.ส. ได้เสนอแก้ไขกฎหมายให้กระท่อม อาจสง่ ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพรา่ งกาย หากใชโ้ ดยรเู้ ทา่ ไมถ่ งึ การณ์ ไม่เป็นยาเสพติดอีกต่อไป โดยเสนอเป็นร่างกฎหมาย คือ จงึ สมควรเสนอกฎหมายส�ำ หรบั การควบคมุ และก�ำ กบั การใช้ ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พชื กระทอ่ มเปน็ การเฉพาะ นายสมศกั ด์ิ เทพสทุ นิ ไดม้ อบหมาย ซึ่งมีหลักการในการถอดพืชกระท่อมออกจากการเป็น ให้สำ�นักงาน ป.ป.ส. ดำ�เนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ยกเลกิ บทบญั ญตั ทิ เี่ กย่ี วขอ้ งกบั การอนญุ าต พืชกระท่อม โดยมีหลักการของการกำ�กับดูแลและควบคุม ให้เสพกระท่อมในบางพื้นท่ี และยกเลิกความผิดทุกฐานท่ี การใช้พืชกระท่อม การใช้ระบบอนุญาตในการผลิตและ เก่ียวข้องกับพืชกระท่อม รวมถึงยกเลิกบทกำ�หนดโทษที่ จำ�หน่าย การกำ�หนดความผิดบางประการของการเสพ เก่ียวข้องกับพืชกระท่อม ซ่ึงการเสนอร่างกฎหมายเป็นไป และการขายพืชกระท่อม รวมถึงการป้องกันมิให้กลุ่มบุคคล ตามข้ันตอนและผ่านการพิจารณาของรัฐสภาครบถ้วน บางกลุ่มใช้กระท่อม หรือนำ�ไปใช้ในทางที่ผิด เพื่อป้องกัน ทุกกระบวนการ จนกระทั่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา สุขภาพอนามัยของประชาชน และการกำ�หนดอัตราโทษ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เผยแพร่พระราชบัญญัติ ทไ่ี มส่ งู นกั เพอ่ื การปอ้ งปรามการกระท�ำ ความผดิ โดยไดเ้ สนอ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ (ฉบบั ท่ี ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ รา่ งกฎหมายตอ่ คณะรฐั มนตรใี หค้ วามเหน็ ชอบ และคณะรฐั มนตรี ได้มีมติมอบหมายสำ�นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ อยา่ งไรกต็ าม ส�ำ นกั งาน ป.ป.ส. ไดต้ ระหนกั ถงึ ความส�ำ คญั พิจารณาร่างให้มีความสมบูรณ์มากย่ิงขึ้น โดยสำ�นักงาน ของการปกป้องสังคมและสุขภาพของประชาชน หากมี คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ การนำ�กระท่อมไปใช้ในทางท่ีผิด และโดยท่ีบุคคลบางกลุ่ม พืชกระท่อม พ.ศ. .... เรื่องเสร็จที่ ๖๓๙/๒๕๖๔ โดยมี ยงั มภี าวะการตดั สนิ ใจทก่ี ฎหมายยงั ตอ้ งคมุ้ ครอง เพอื่ ปกปอ้ ง สาระส�ำ คัญทกี่ �ำ หนด เช่น จากการเป็นเคร่ืองมือของการใช้ให้กระทำ�ความผิด รวมถึง 19เพ่ือนวิทยากร
มิติทางสังคมศาสตร์/การควบคุมทางกฎหมายและชุมชน การใช้ในทางท่ีผิด การกำ�หนดให้ประชาชนยนื่ คำ�ขอและหนว่ ยงานใหก้ ารอนุญาตผา่ นระบบอเิ ล็กทรอนิกส์ การกำ�หนดการควบคุมการเพาะหรอื ปลูก การขาย และการนำ�เข้าหรือการส่งออกเพือ่ ประโยชนใ์ นเชิงอตุ สาหกรรม จะต้องขออนุญาต แต่ประชาชนทใ่ี ชใ้ บกระทอ่ มในการบรโิ ภค ตามวถิ ชี มุ ชนไมต่ อ้ งขออนญุ าต การกำ�หนดคณุ สมบตั แิ ละขอ้ หา้ มของบคุ คลทจ่ี ะขออนญุ าต เพอ่ื การกำ�กบั ดแู ลการใชป้ ระโยชน์ การกำ�หนดหน้าทขี่ องผ้รู ับอนญุ าต เพื่อดำ�เนนิ การใหเ้ ปน็ ไปตามทไ่ี ด้รับอนุญาต ก ารกำ�หนดเก่ยี วกบั การพักใช้และการเพกิ ถอนใบอนุญาตในกรณที ผี่ ิดเงื่อนไขหรือขาด คณุ สมบัติ และใหส้ ทิ ธใิ นการอทุ ธรณใ์ นกรณีที่ไมไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรมจากการออกคำ�สั่ง ก ารกำ�หนดความผดิ และอตั ราโทษในกรณีฝ่าฝนื ข้อหา้ ม โดยอตั ราโทษท่ไี มส่ ูงให้ดลุ พินิจของ เจา้ หนา้ ท่ใี นการเปรยี บเทยี บปรบั ด้วยอัตราค่าปรับทางอาญาอย่างเหมาะสม กำ�หนดใหม้ พี นกั งานเจา้ หนา้ ทท่ี ม่ี อี ำ�นาจในการควบคมุ ดแู ล และกำ�กบั การดำ�เนนิ การใหถ้ กู ตอ้ ง ตามกฎหมาย ซ่ึงร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... ที่ผ่าน การตรวจพิจารณาโดยสำ�นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีการปรับปรุงหลักการท่ีเปล่ียนแปลงไปจากร่างเดิม ท้ังน้ี รา่ งฉบบั ดงั กลา่ วไดผ้ า่ นการพจิ ารณาของคณะรฐั มนตรี และ เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซง่ึ เมอ่ื วนั ท่ี ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ทป่ี ระชมุ สภาผแู้ ทนราษฎร ไดล้ งมตริ บั หลกั การรา่ งพระราชบญั ญตั พิ ชื กระทอ่ ม พ.ศ. .... และตงั้ คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั พจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั ิ พืชกระท่อม พ.ศ. .... โดยนายสมศักด์ิ เทพสุทิน รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้รับความไว้วางใจจากคณะ กรรมาธิการฯ ให้ดำ�รงตำ�แหน่งประธานคณะกรรมาธิการ เพื่อพิจารณาศึกษาและกำ�หนดกรอบทิศทางของร่าง พระราชบญั ญตั พิ ชื กระทอ่ ม พ.ศ. .... ใหป้ ระชาชนไดร้ บั การ ปกป้องและประโยชน์จากกฎหมายอย่างสูงสุด ในช้ันการ พจิ ารณาของคณะ กมธ. ให้พิจารณาร่วมกันในการกำ�หนด การควบคุมพชื กระท่อมไมใ่ หเ้ ดก็ และเยาวชนน�ำ ไปใช้ในทาง ทผี่ ดิ และใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ กบั ประชาชน โดยมหี ลกั การ คือ การปลูก การขายภายในประเทศสามารถทำ�ได้โดยเสรี ยกเว้นการนำ�เขา้ หรือส่งออกตา่ งประเทศต้องขออนญุ าต 20 เพื่อนวิทยากร
มิติทาง เศรษฐศาสตร์ การตลาด และบทบาทของ หน่วยงานที่ เกยี่ วข้อง 21เพ่ือนวิทยากร
๗ สาระส�ำ คญั ของกฎหมายพืชกระท่อม และการผลักดันสู่พชื เศรษฐกจิ ร่างพระราชบัญญตั ิพืชกระท่อม แม้ว่านโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ไดอ้ ยู่ระหวา่ งการพิจารณาในกระบวนการ (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) ได้มองเห็นถึงความจำ�เป็นในการ ทางนติ บิ ญั ญตั ิ เพอื่ ให้เกดิ ความรอบคอบ ถอดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ และได้ผลักดัน มาโดยตลอดจนสำ�เร็จเป็นพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ในการบญั ญัตกิ ฎหมาย... (ฉบับท่ี ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งนอกจากความสำ�เร็จในการถอด เพ่ือศึกษา และก�ำ หนดกฎหมายใหป้ ระชาชน พืชกระท่อมออกจากยาเสพติดแล้วนั้น ยังได้ตระหนักถึง การนำ�กระท่อมไปใช้ในทางที่ผิด เนื่องจากในใบกระท่อม ได้ประโยชนจ์ ากการถอดพชื กระท่อม ยังมีสารออกฤทธ์ิที่อาจก่ออันตรายแก่ประชาชนได้ ท้ังใน ออกจากยาเสพตดิ สามารถเขา้ ถึง กลุ่มเด็กและเยาวชน รวมถึงความเส่ียงต่อทารกในครรภ์ การใชป้ ระโยชน์จากพชื กระท่อมไดอ้ ย่าง ดา้ นการรบั สารอาหารจากมารดาและทารกในภาวะทตี่ อ้ งการ สารอาหารในนมจากมารดาเพ่ือรับภูมิคุ้มกันท่ีจำ�เป็นต่อ เหมาะสม และสามารถศึกษาวิจยั สุขภาพของเด็กทารก ซึ่งสมควรมีการห้ามการขายในบางวิธี และพฒั นาพชื กระท่อมของไทยส่กู ารเป็น และในสถานทท่ี ไี่ มเ่ หมาะสม ซง่ึ อาจมเี ดก็ และเยาวชนเขา้ ไป เก่ียวข้องหรือเข้าถึงได้ง่าย และการห้ามนำ�กระท่อมไป พชื เศรษฐกจิ ใหม่ของประเทศ ทงั้ น้ี ปรงุ ผสมกบั สารตา่ ง ๆ เพอื่ น�ำ ไปใชใ้ นทางทผี่ ดิ โดยมแี นวคดิ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณชิ ย์ ในการออกกฎหมายเพอ่ื ก�ำ กบั ดแู ลการใชก้ ระทอ่ มเปน็ การเฉพาะ และอตุ สาหกรรมตอ้ งไดร้ บั อนญุ าต คือ พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... ซ่ึงร่างกฎหมาย จากหนว่ ยงานทรี่ บั ผิดชอบก่อนดำ�เนนิ การ ดงั กลา่ วอยรู่ ะหวา่ งการพจิ ารณาของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั พิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... 22 เพื่อนวิทยากร โดยที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้มีข้อสังเกตและข้อควร ปรบั ปรงุ ในหลายประเดน็ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั หลกั การและแนวคดิ ในการกำ�กับดูแลการใช้พืชกระท่อมของประชาชน ซ่ึงมี ขอ้ สรปุ เบอ้ื งตน้ ของแนวทางใหมใ่ นการก�ำ กบั ดแู ลพชื กระทอ่ ม ซ่ึงมกี ารเปลยี่ นแปลง ดังน้ี ๑) ก�ำ กบั ดแู ลการใชใ้ บกระทอ่ มทน่ี �ำ ไปแปรรปู หรอื ใชเ้ ปน็ วตั ถดุ บิ ในการบรโิ ภค แตไ่ มร่ วมถงึ ผลติ ภณั ฑท์ ใี่ ชใ้ บกระทอ่ ม เป็นส่วนประกอบ เช่น สมุนไพร อาหาร ยา เครื่องสำ�อาง ซึ่ ง ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ดั ง ก ล่ า ว อ ยู่ ใ น ค ว า ม ดู แ ล ข อ ง สำ � นั ก ง า น คณะกรรมการอาหารและยา (สำ�นักงาน อย.) และจะทำ�ได้ ตอ่ เมอ่ื ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นผลติ ภณั ฑแ์ ละไดร้ บั อนญุ าตแลว้ ๒) ประชาชนสามารถปลกู พชื กระทอ่ มและใชใ้ บกระทอ่ ม ได้ในชีวิตประจำ�วัน สามารถขายใบกระท่อมได้ท้ังในชุมชน และการขายในเชงิ พาณชิ ย์ นกั วชิ าการหรอื หนว่ ยงานทส่ี นใจ ดา้ นการศกึ ษาวจิ ยั สามารถท�ำ การศกึ ษาวจิ ยั พชื กระทอ่ มและ ใบกระทอ่ มได้ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการพฒั นาพนั ธกุ์ ระทอ่ มไทย และส่งเสริมนวัตกรรมการผลิต เพ่ือปรับปรุงและพัฒนาเป็น ผลิตภัณฑท์ ีม่ คี ุณภาพและมาตรฐาน
มิติทางเศรษฐศาสตร์ การตลาด และบทบาทของหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ทิศทางหรอื ตัวอยา่ งการพฒั นาพชื กระท่อม เป็นผลติ ภณั ฑส์ มุนไพร ตำ�รับยาแผนไทย ๗ ตำ�รับ • ยาแกป้ ิตตอชณิ • ยากล่อมอารมณ์ • ยาเหลืองใหญ่ • ยาแก้กจุ ฉิยาวาตอตสิ าร • ยาหนมุ านจองถนนปิดมหาสมทุ ร • แก้ป่วง • ยาแก้บดิ ผลิตภัณฑส์ มุนไพรเพ่อื สุขภาพ ชา เครอ่ื งด่มื เข้มขน้ แคปซูล แคปซลู นม่ิ สรรพคุณ • คลายกังวล • ชว่ ยหลับ • ควบคมุ นาํ้ หนกั ยาที่พฒั นาจากสมนุ ไพร ๓) ก�ำ หนดระบบการขออนญุ าตเฉพาะในเรอื่ งการน�ำ เขา้ ๕) กำ�หนดอัตราโทษอย่างเหมาะสม โดยเป็นไปเพ่ือ หรือการส่งออกใบกระท่อม ซึ่งสามารถขออนุญาตผ่านทาง ปอ้ งปรามมใิ หน้ �ำ พชื กระทอ่ มไปใชใ้ นทางทผี่ ดิ และลงโทษตอ่ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ และกำ�หนดคุณสมบัติและข้อห้าม ผู้ที่ฝ่าฝืนข้อห้าม ท้ังน้ี ในความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว ของบุคคลซ่ึงขอรับใบอนุญาต แต่หากเป็นกรณีที่ประชาชน หรือความผิดที่มีโทษจำ�คุกไม่เกินหน่ึงปีเจ้าหน้าที่มีอำ�นาจใน น�ำ ตดิ ตวั เขา้ หรอื น�ำ ออกไปจากราชอาณาจกั รไทย ในลกั ษณะ การเปรียบเทียบปรับทางอาญาได้ ซ่ึงจะเป็นการป้องปราม ของการติดตัวเพื่อการบริโภค หรือการใช้รักษาหรือบรรเทา และลงโทษกับผู้กระทำ�ผิด ได้อย่างเหมาะสม และไม่จำ�เป็น อาการเจบ็ ปว่ ยสว่ นตวั ในปรมิ าณเลก็ นอ้ ย สามารถกระท�ำ ได ้ ตอ้ งใหค้ ดขี นึ้ สกู่ ารพจิ ารณาของศาล ซง่ึ อาจสง่ ผลกระทบตอ่ ส�ำ หรบั การน�ำ ออกไปจากราชอาณาจกั รไทยนนั้ ตอ้ งค�ำ นงึ ถงึ ประวัตขิ องบคุ คล หากฟอ้ งเป็นคดีความ การบังคับใช้กฎหมายของประเทศปลายทางทีจ่ ะไปดว้ ย โดยปจั จบุ นั รา่ งพระราชบญั ญตั พิ ชื กระทอ่ มไดอ้ ยรู่ ะหวา่ ง ๔) ก�ำ หนดขอ้ หา้ มในการขายใหเ้ ดก็ และเยาวชน รวมถงึ การพจิ ารณาในกระบวนการทางนติ บิ ญั ญตั ิ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความ สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร การห้ามขาย ในบางวิธีการ รอบคอบในการบญั ญตั กิ ฎหมาย อกี ทงั้ สภาผแู้ ทนราษฎรได้ และห้ามขายในบางสถานท่ีที่ไม่เหมาะสม ซ่ึงอาจมีเด็กและ พิจารณาลงมติรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม เยาวชนเขา้ ไปเกย่ี วข้องหรอื เขา้ ถงึ การขายไดโ้ ดยงา่ ย รวมถึง พ.ศ. .... และแตง่ ตงั้ คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั เพอื่ พจิ ารณารา่ ง ห้ามการบรโิ ภคใบกระทอ่ มหรือนาํ้ ตม้ กระทอ่ มที่ปรงุ ผสมกบั พระราชบญั ญตั พิ ชื กระทอ่ ม พ.ศ. .... เพอ่ื ศกึ ษา และก�ำ หนด ยาเสพติดหรือวัตถุอันตราย เพื่อป้องกันการนำ�ใบกระท่อม กฎหมายให้ประชาชนได้ประโยชน์จากการถอดพืชกระท่อม ไปบรโิ ภคในทางทผ่ี ดิ ออกจากยาเสพตดิ สามารถเขา้ ถงึ การใชป้ ระโยชนจ์ ากพชื กระทอ่ ม ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และสามารถศกึ ษาวจิ ยั และพฒั นาพชื กระทอ่ ม ของไทยสกู่ ารเปน็ พืชเศรษฐกจิ ใหม่ของประเทศ 23เพ่ือนวิทยากร
๘ ศักยภาพและโอกาสการพฒั นาพชื กระทอ่ ม สพู่ ืชเศรษฐกจิ ศกั ยภาพ นอกจากนส้ี ว่ นประกอบอน่ื ๆ ของพชื กระทอ่ ม เชน่ ราก ยังพบว่ามีสรรพคุณในการลดความดัน เปลือกนำ�มาเป็น พืชกระท่อม (Kratom) เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ส่วนประกอบในตำ�รับยาแพทย์แผนไทยและทางเลือก และ สูงประมาณ ๑๕-๓๐ เมตร เป็นพืชพ้ืนถ่ินท่ีพบมากในเขต ดอกมีกล่ินหอมคล้ายกับดอกกระดังงาซึ่งสามารถนำ�ไปผ่าน ปา่ ฝนของประเทศไทย มาเลเซยี เมยี นมา สปป. ลาว กมั พชู า กรรมวิธีในการศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างของกล่ินเพื่อ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาะนิวกินี หมอพื้นบ้านและ สงั เคราะหก์ ลนิ่ ขนึ้ มา และน�ำ ไปจดอนสุ ทิ ธบิ ตั รหรอื สทิ ธบิ ตั ร คนไทยในภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคใต้รู้จักพืชกระท่อม ในการแบง่ ปนั ผลประโยชนใ์ นการน�ำ กลน่ิ ดงั กลา่ วไปด�ำ เนนิ การ เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นพืชท่ีมีการนำ�มาใช้ประโยชน์ ทางธุรกิจสปาและเคร่ืองหอม ส่วนเนื้อไม้จากพืชกระท่อม ในบรบิ ททางวฒั นธรรมในภาคใตม้ านาน ทงั้ ในดา้ นพธิ กี รรม พบวา่ มศี กั ยภาพในเรอื่ งของการจดั ท�ำ เปน็ เฟอรน์ เิ จอรแ์ ตด่ ว้ ย ด้านการใช้เป็นยารักษาโรค เป็นของขบเคี้ยวยามว่างที่ใช้ มูลค่าของใบท่ีมีคุณค่าสูง จึงไม่เหมาะสมในการมุ่งเน้น ตอ้ นรบั แขก ตลอดจนใชบ้ �ำ รงุ ก�ำ ลงั ของชาวบา้ นในวยั ท�ำ งาน สง่ เสรมิ การผลิตพืชกระทอ่ มเพือ่ เอาเนอ้ื ไม้ มานาน โอกาส ในต�ำ ราแพทยแ์ ผนไทยโบราณ พบวา่ มกี ารน�ำ พชื กระทอ่ ม เป็นส่วนผสมในตำ�รับยาเพื่อรักษาโรคมาเป็นระยะเวลา จากข้อบ่งชี้ทางศักยภาพของพืชกระท่อมที่ได้จากการ ยาวนาน โดย ๕ อันดับแรกท่ีนิยมใช้พืชกระท่อมมาเป็น ศกึ ษาวจิ ยั จงึ ท�ำ ใหเ้ หน็ ถงึ โอกาสในการพฒั นาพชื กระทอ่ มสู่ ยารักษาโรค คือ โรคท้องร่วง โรคเบาหวาน โรคปวดเมื่อย พืชเศรษฐกิจ โดยนำ�มาวิเคราะห์ร่วมกับข้ันตอน ระยะเวลา แกไ้ อ และขบั พยาธิ แกป้ วดท้อง นอนไม่หลับ ตามลำ�ดับ และกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทม่ี สี ว่ นผสมของพชื กระทอ่ มเปน็ สว่ นประกอบ โดยเรยี งล�ำ ดบั พืชกระท่อม พบองค์ประกอบทางเคมีของกลุ่มสาร จากอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเกิดข้ึนได้มากที่สุดไปจนถึง แอลคาลอยด์มากกว่า ๒๐ ชนิดในใบกระท่อม โดยพบ ยากท่ีสุดแต่ท้ังน้ีไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ ได้แก่ สารสำ�คัญหลัก คือ มิตรากัยนีน (Mitragynine) ปริมาณ อุตสาหกรรมพืชสมุนไพร อุตสาหกรรมยาทางการแพทย์ ทพี่ บในใบกระทอ่ มของไทยจะมสี งู ถงึ ๖๖% โดยนาํ้ หนกั เมอื่ และอุตสาหกรรมทางอาหาร ตามลำ�ดับ ซึ่งมีรายละเอียด เทียบกับปริมาณสารสกัดแอลคาลอยด์ทั้งหมด ซ่ึงออกฤทธ์ิ ดงั น้ี กดประสาทส่วนกลาง ทำ�ให้รู้สึกชา กดความรู้สึกเม่ือยล้า ขณะทำ�งาน ทำ�ให้สามารถท�ำ งานไดน้ าน และทนความรอ้ น ดงั นน้ั ผทู้ ใ่ี ชใ้ บกระทอ่ ม สามารถท�ำ งานกลางแจง้ ไดท้ น นานข้ึนภายหลังเค้ียวใบกระท่อม ๕-๑๐ นาที ซึ่งจาก สรรพคณุ ขา้ งตน้ จงึ ไดม้ กี ารศกึ ษาวจิ ยั เพอื่ หาขอ้ บง่ ชฤ้ี ทธท์ิ าง เภสัชวิทยาเพื่อนำ�ไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ พบว่า มีฤทธิ์ระงับปวด มีผลต่อระดับนํ้าตาลในเลือด (รักษา เบาหวาน) ผลต่อกล้ามเนื้อลาย(ทำ�ให้กล้ามเนื้อคลายตัว ทำ�งานได้นานขึ้นไม่รู้สึกเม่ือย) ผลต่อระบบประสาทและ พฤติกรรม (ลดอาการในโรคสมองเส่ือมชนิดพาร์กินสัน) และผลตอ่ ระบบทางเดนิ อาหาร (ลดอาการทอ้ งเสยี /ลดความ อยากอาหาร/ปอ้ งกนั การเกดิ แผลในกระเพาะอาหาร) เปน็ ตน้ จึงส่งผลให้ใบกระท่อมมีคุณค่าในการนำ�มาใช้ประโยชน์ ทางการแพทย์และผลติ ภัณฑ์ทางสมนุ ไพรเพอ่ื สุขภาพ 24 เพื่อนวิทยากร
มิติทางเศรษฐศาสตร์ การตลาด และบทบาทของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมพชื สมุนไพร มีโอกาสท่ีสามารถเกิดข้ึนได้มากที่สุด ง่ายท่ีสุด และเร็วที่สุดเน่ืองจากข้ันตอนในการดำ�เนินการที่ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อน เชน่ เดยี วกบั การผลติ ยาทางการแพทย์ มกี ารสนบั สนนุ อยา่ งเปน็ รปู ธรรมผา่ นแผนแมบ่ ทแหง่ ชาตวิ า่ ดว้ ยการพฒั นาสมนุ ไพรไทย และกฎหมายที่เก่ียวข้อง อย่างเช่น พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. ๒๕๖๒ ถือว่าเป็นกฎหมายใหม่ที่เข้ามาช่วย ลดความยงุ่ ยากในการพฒั นาผลติ ภณั ฑท์ มี่ ลี กั ษณะครงึ่ ๆ กลาง ๆ วา่ จะเปน็ ยาหรอื อาหาร เชน่ ผลติ ภณั ฑส์ มนุ ไพรเพอ่ื สขุ ภาพ อาทิ ชา เครอ่ื งดม่ื เข้มข้น แคปซูล แคปซูลน่ิม เป็นตน้ ภายใต้กระบวนการผลิตและเกณฑ์มาตรฐานที่ไม่ยุ่งยากหรือซับซ้อนมากเกินไป จึงส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีทางออก มโี อกาส และมีทศิ ทางในการพัฒนาท่ีชัดเจน รวมถึงโอกาสของธุรกิจในการผลติ วตั ถุดิบพืชกระท่อมคณุ ภาพ เช่น ใบสด ใบแห้ง ผง และอัดแท่ง เป็นต้น ภายใต้มาตรฐานทางสมุนไพร ซ่ึงคาดว่ามีทิศทางหรืออนาคต ท่ีสดใสในการส่งต่อวัตถุดิบคุณภาพ เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ และตำ�รับยาแพทย์ แผนไทยหรือแผนโบราณที่มีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ยังสามารถเป็นวัตถุดิบคุณภาพ เพ่ือต่อยอดในขั้นสูงอย่างการผลิตเป็นยาท่ีพัฒนาจากสมุนไพรซ่ึงเป็นการเพ่ิมมูลค่าให้แก่พืชกระท่อม ในมลู ค่าทสี่ ูงเปน็ เทา่ ตวั หรือมากกวา่ เทา่ ตวั อุตสาหกรรมยาทางการแพทย์ มีโอกาสท่สี ามารถเกิดข้นึ ได้ แต่อย่ใู นความเร็วระดับปานกลาง แต่ค่อนข้างมีมูลค่าสูงหากมีการพัฒนาส�ำ เร็จ เนื่องจาก กระบวนการผลิตมีความยุ่งยากซับซ้อน ต้องมีผลงานวิจัยรองรับ ตั้งแต่ระดับเซลล์หรือสัตว์ทดลอง หลังจากนั้นหากมี ผลการศึกษาที่น่าพอใจหรืออยู่ในเกณฑ์ดีก็จะนำ�เข้าสู่การทดลองในมนุษย์ ซ่ึงกระบวนการเหล่านี้ใช้เวลาร่วม ๆ ๑๐–๑๕ ปี ประกอบกับการศึกษาวิจัยและทดลองในมนุษย์ ต้องผ่านการขออนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน รวมถึง กฎหมายหรอื มาตรฐานทน่ี �ำ มาใชใ้ นการก�ำ กบั ควบคมุ การผลติ มคี วามเขม้ งวดสงู เพราะเปน็ เรอื่ งของสงิ่ ทน่ี �ำ เขา้ สรู่ า่ งกายในมนษุ ย์ เพอ่ื ทำ�การรกั ษาหรอื บรรเทาอาการซึง่ อาจกอ่ ให้เกดิ ผลข้างเคยี งตง้ั แต่ระดบั น้อยจนถึงขั้นเสยี ชวี ติ แต่ถึงอย่างไรก็ดีการพัฒนายาจากพืชกระท่อมได้มีการดำ�เนินการศึกษาวิจัยไปมากและมีความก้าวหน้าพอสมควร เช่น การพัฒนาพืชกระท่อมเพื่อใช้ในทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ได้รับทุนจากสำ�นักงานพัฒนาการวิจัย การเกษตร (องคก์ ารมหาชน) หรอื สวก. โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื พฒั นาเภสชั ภณั ฑต์ น้ แบบจากสารสกดั พชื กระทอ่ มใชใ้ นการ รักษาโรคหรือบำ�บัดผู้ติดสารเสพติด ซึ่งจากการศึกษาวิจัยมีข้อบ่งชี้ในการรักษาโรคพาร์กินสัน เบาหวาน ระงับปวด และ ใชท้ ดแทนสารเสพตดิ เชน่ มอรฟ์ นี แอลกอฮอล์ และยาบา้ เปน็ ต้ โดยทง้ั หมดทดลองในหนขู าว ซง่ึ ผลการศกึ ษาเปน็ ทน่ี า่ พอใจ โดยเฉพาะการใช้ทดแทนสารเสพติด ท่ีผลผลิตที่ได้ตอนน้ี คือ เภสัชต�ำ รับท่ีมีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบในรูปของยาเม็ด และนาํ้ เชอื่ ม ขอ้ ก�ำ หนดมาตรฐานสมนุ ไพรของใบกระทอ่ มและสารสกดั จากใบกระทอ่ ม ขอ้ มลู ความปลอดภยั ดา้ นความเปน็ พษิ เฉียบพลันทางปาก ซ่ึงทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ยังได้รับการสนับสนุนทุนต่อเน่ืองให้ดำ�เนินการศึกษาวิจัยหากไม่มี ข้อผดิ พลาดคาดว่าในปี ๒๕๖๕ ก็จะสามารถเขา้ สกู่ ารทดลองในมนษุ ย์ได้ในระยะท่ี ๑ ซง่ึ หากพฒั นาส�ำ เรจ็ ประเทศไทยกส็ ามารถลดการน�ำ เขา้ เมทาโดนทใ่ี ชใ้ นการบ�ำ บดั รกั ษาผเู้ สพ และตดิ ยาเสพตดิ สรา้ งหว่ งโซค่ ณุ คา่ ทางเศรษฐกจิ ตง้ั แตฐ่ านรากจนถงึ ระดบั อตุ สาหกรรมในการ ผลติ ยา และแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ รวมถงึ การพฒั นาเปน็ ยาเพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน เบาหวาน หรือระงับปวด ซ่ึงเป็นยาท่ีมีความคุ้มค่าต่อการศึกษาวิจัยและลงทุนเพื่อพัฒนาให้เกิดผลสำ�เร็จ ตอ่ ไป 25เพื่อนวิทยากร
มิติทางเศรษฐศาสตร์ การตลาด และบทบาทของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง อตุ สาหกรรมทางอาหาร หากมองถงึ ศกั ยภาพหรอื สรรพคณุ ของพชื กระทอ่ มแลว้ มกั จะเหน็ ภาพทางดา้ นความคดิ ในการน�ำ พชื กระทอ่ มไปเปน็ สว่ นผสม ของเครอ่ื งดม่ื ชกู �ำ ลงั เพอ่ื กระตนุ้ รา่ งกายใหท้ �ำ งานไดท้ นทาน ซง่ึ ธรุ กจิ กลมุ่ นม้ี มี ลู คา่ ในตลาดเฉลย่ี แตล่ ะปสี งู ถงึ ๒๓,๐๐๐ ลา้ นบาท แต่หากพิจารณาในความยุ่งยากความซับซ้อนของกระบวนการผลิตแล้วน้ัน ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ท่ีไม่ยุ่งยากและไม่ซับซ้อน ในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ แต่หากพิจารณาทางกฎหมายที่เก่ียวข้องอย่างเช่น พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ค่อนข้าง มีความเข้มงวดเป็นอย่างมาก จำ�เป็นต้องมีข้อมูลผลงานวิจัยสนับสนุนในหลายด้านและท่ีสำ�คัญท่ีสุด คือ พืชเหล่าน้ันต้องมี ประวัติศาสตร์ในการเป็นอาหารมาก่อน เมื่อพิจารณาพืชกระท่อมแล้ว พบว่า พืชกระท่อมไม่ได้มีประวัติศาสตร์ในการนำ�ไป ประกอบหรือใช้เป็นอาหาร ประกอบกับยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน เพ่ือพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางอาหาร รวมถึง ผู้ถือกฎหมายอย่าง กองอาหาร สำ�นักงานคณะกรรมการอาหารและยา มองเป็นเรื่องอ่อนไหวและต้องมีความเข้มงวด เป็นอย่างมากในการจะประกาศหรือยอมรับสิ่งใดให้เป็นอาหารเพ่ือสามารถนำ�เข้าสู่ร่างกายในมนุษย์ให้เกิดประโยชน์แล้ว ไม่เกดิ โทษตอ่ ร่างกาย อาหาร หรอื แมแ้ ต่การนำ�ไปเปน็ อาหารสัตวย์ ังคงมคี วามกังวลและตอ้ งมขี อ้ มูลวา่ เม่ือมนุษย์รับประทานสัตว์ที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ที่มีส่วนประกอบของพืชกระท่อมแล้วจะมี ผลตกค้างท่ีเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ ดังนั้นอุตสาหกรรมทางอาหารจึงถูกประเมินและ วเิ คราะหว์ า่ เปน็ อตุ สาหกรรมทเี่ กดิ ขน้ึ ไดย้ ากทสี่ ดุ แตท่ ง้ั นไี้ มไ่ ดห้ มายความวา่ จะเปน็ ไปไมไ่ ด้ เพียงแต่ต้องใช้เวลานานในการศึกษาวิจัยเพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีเป็นท่ียอมรับและสนับสนุน ในการนำ�พืชกระท่อมเปน็ ส่วนประกอบในผลิตภณั ฑท์ างอาหารตอ่ ไปในอนาคต อุตสาหกรรมทางไม้ จากการศึกษาพบว่า เน้ือไม้จากพืชกระท่อมมีศักยภาพแต่ด้วยมูลค่าของใบท่ีมีมูลค่าสูง จึงไม่เหมาะสมในการมุ่งเน้น ส่งเสริมการผลิตพืชกระท่อมเพื่อเอาเน้ือไม้ ประกอบกับพืชกระท่อมเป็นพืชตระกูลเดียวกับตะกู่ยักษ์ ซึ่งเคยมีการส่งเสริม แต่ไม่ประสบความส�ำ เร็จ รวมถึงเนอื้ ไม้มลี ักษณะใกล้เคียงกบั ไมย้ างพาราซึง่ ครองตลาดอยใู่ นขณะน้ี 26 เพ่ือนวิทยากร
๙ การพฒั นาพืชกระท่อม เปน็ พชื เศรษฐกิจฐานชมุ ชน การพัฒนาพืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจฐานชุมชน ●●โครงการท่ี ๔ โครงการการศึกษาลักษณะเฉพาะ ตอ้ งมกี ารวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหอ์ ยบู่ นพน้ื ฐานหว่ งโซค่ ณุ คา่ ประจ�ำ พนั ธุ์และการเก็บอนุรักษ์พนั ธุกรรมของพชื เศรษฐกจิ (Value Chain) โดยมุ่งให้ความสำ�คัญกับกิจกรรมใน มูลค่า (กัญชา กัญชง และกระท่อม) จากสำ�นักงานพัฒนา ห่วงโซ่คุณค่าของแต่ละหน่วยธุรกิจ ตั้งแต่การจัดหาแหล่ง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วตั ถดุ ิบ การแปรรปู ตลอดจนถึงกระบวนการส่งมอบสินค้า และบริหารให้กับลูกค้า ดังนั้นการพัฒนาพืชกระท่อมเป็น ทง้ั นี้ ควรมกี ารน�ำ ผลการศกึ ษาการรวบรวมและจ�ำ แนก พืชเศรษฐกิจฐานชุมชน จึงได้กำ�หนดการพัฒนาออกเป็น สายพันธ์ุพืชกระท่อม ทั้ง ๔ โครงการมาวิเคราะห์ความ ๓ กลุ่ม (Cluster) ไดแ้ ก่ สอดคลอ้ งและความแตกตา่ ง เพอ่ื น�ำ มาก�ำ หนดเปน็ มาตรฐาน ขอ้ มลู ทางสายพันธ์ุของประเทศไทย และน�ำ ข้อมลู สายพนั ธ์ุ ๑. กล่มุ ต้นน้ํา มาก�ำ หนดแผนเพอ่ื ศกึ ษาวจิ ยั ปรบั ปรงุ พนั ธ์ุ รวมถงึ ขอ้ เสนอแนะ มาศกึ ษาวจิ ัยต่อยอดตอ่ ไป มงุ่ เนน้ ใหค้ วามส�ำ คญั ในการเรง่ พฒั นาวจิ ยั ใน ๔ ประเดน็ คือ ประเดน็ ท่ี ๒ การขยายพนั ธพ์ุ ชื กระทอ่ มทม่ี สี ารมติ รากยั นนี ในปริมาณสูงไปยังสภาพแวดล้อมที่ต่างกันในแต่ละภูมิภาค ประเดน็ ท่ี ๑ การรวบรวมและจ�ำ แนกสายพนั ธพ์ุ ชื กระทอ่ ม เช่น ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ เป็นต้น เนื่องจากมีความสำ�คัญเป็นลำ�ดับแรกต่อการปรับปรุงพันธ์ุ เพ่ือศึกษาว่าสภาพแวดล้อมมีผลต่อการเจริญเติบโตของ และสายพนั ธ์ุพชื กระทอ่ มในประเทศไทย พบวา่ ถูกจ�ำ แนก พชื กระทอ่ มและปรมิ าณสารส�ำ คญั ในใบกระทอ่ มหรอื ไมอ่ ยา่ งไร โดยการเรียกช่ือตามลักษณะของใบและเรียกตามท้องถิ่น นั้น ๆ เช่น ในพ้ืนท่ีภาคใต้จะเรียกพันธุ์พืชกระท่อมว่า ประเด็นท่ี ๓ การพัฒนาการผลิตใบกระท่อมคุณภาพ ก้านเขียว ก้านแดง หางก้ัง (ใบหยัก) หรือยักษ์ใหญ่ ส่วน ภายใต้มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good ในพื้นท่ีภาคกลาง จังหวัดปทุมธานีจะมีพันธุ์ท่ีเรียกว่า Agricultural Practices: GAP) โดยขณะน้ี สำ�นักงาน เหรียญทอง และแตงกวา ซึ่งในภาคใต้ไม่มีการเรียก ป.ป.ส. ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และวิสาหกิจ ในลักษณะดังกล่าว และในทางวิชาการยังไม่เป็นท่ียอมรับ ชุมชนพืชสมุนไพรตำ�บลน้ําพุ อำ�เภอบ้านนาสาร จังหวัด โดยขณะน้ีมีการศึกษาในประเด็นดังกล่าวอย่างเป็นทางการ สุ ร า ษ ฎ ร์ ธ า นี ซ่ึ ง อ ยู่ ร ะ ห ว่ า ง ก า ร พิ จ า ร ณ า ใ ห้ ทุ น จ า ก และรปู ธรรม จำ�นวน ๔ โครงการดงั นี้ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพ่ิมความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. โดยมีวัตถุประสงค์ ●●โครงการที่ ๑ โครงการศึกษาการกระจายตัวของ เพอื่ พฒั นาแปลงตน้ แบบการผลติ พชื กระทอ่ มตามมาตรฐาน พืชกระท่อมในภาคใต้ : ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทาง GAP เกิดชุดองค์ความรู้ในการบริหารจัดการพืชกระท่อม พฤกษศาสตร์และรูปแบบของสารเคมีในพืชกระท่อม จาก พรอ้ มถา่ ยทอดเทคโนโลยแี ละองคค์ วามรกู้ ารผลติ พชื กระทอ่ ม มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ สชู่ มุ ชน สง่ ผลใหเ้ กดิ พน้ื ทผี่ ลติ ใบกระทอ่ มคณุ ภาพเพอ่ื สง่ เขา้ โรงงานผลิตสารสกัดมาตรฐานหรือกลุ่มกลางน้ําต่อไป ท้ังน้ี ●●โครงการท่ี ๒ โครงการวิจัยสารออกฤทธ์ิทาง เกษตรกรควรรวมตวั เปน็ วสิ าหกจิ ชมุ ชนในการผลติ ใบกระทอ่ ม ชวี ภาพจากพชื สกลุ กระทอ่ ม Mitragyna (Rubiaceae) จาก คุณภาพภายใต้มาตรฐาน GAP มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประเด็นท่ี ๔ ควรมุ่งเน้นการศึกษาวิจัย ส่งเสริม และ ●●โครงการท่ี ๓ โครงการ “การประเมินความ สนับสนุนการแปรรูปพืชกระท่อมขั้นต้น ได้แก่ใบกระท่อม หลากหลายทางพันธุกรรมของกระท่อม (Mitragyna อบแห้ง กระท่อมผง และกระท่อมอัดแท่งภายใต้มาตรฐาน speciosa (Korth.) Havil.) ในประเทศไทยโดยใช้ สมนุ ไพรใหแ้ กว่ สิ าหกจิ ชมุ ชน ซงึ่ หากด�ำ เนนิ การเปน็ ไปตาม เครอื่ งหมายโมเลกลุ สนปิ รว่ มกบั ลกั ษณะสณั ฐานวทิ ยา” จาก มาตรฐานสมุนไพร ก็สามารถส่งออกเพื่อเป็นการเพ่ิมมูลค่า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ และรายได้ให้แกเ่ กษตรกร 27เพ่ือนวิทยากร
มิติทางเศรษฐศาสตร์ การตลาด และบทบาทของหน่วยงานที่เก่ียวข้อง ๒. กลุ่มกลางนํ้า โครงการที่ ๑ โครงการการจัดทำ�ข้อกำ�หนดมาตรฐาน ของใบกระท่อมและสารสกัดจากใบกระท่อมตามแนวทาง ควรมุ่งเน้นให้ความสำ�คัญการพัฒนาโรงงานต้นแบบใน การพฒั นาต�ำ รามาตรฐานยาสมนุ ไพรและการพฒั นาใบรบั รอง การผลิตสารสกัดมาตรฐานจากพืชกระท่อม โดยขณะนี้ การวิเคราะหด์ งั กลา่ ว จากมหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (สถาบันวิจัยและนวัตกรรม ทางการแพทย)์ รว่ มกบั บพข. ส�ำ นกั งาน อย. และส�ำ นกั งาน โครงการที่ ๒ โครงการพัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการ ป.ป.ส. ร่วมมือในการขับเคล่ือนโครงการพัฒนาโรงงาน ทดสอบวัตถุดิบและสารสกัดสมุนไพรเพื่อรองรับการจัดทำ� ตน้ แบบในการผลติ สารสกดั มาตรฐาน จากสมนุ ไพรเพอื่ ใชใ้ น มาตรฐานสารสกดั สมุนไพร จากกรมวิทยาศาสตร์บริการ ทางการแพทยแ์ ละอาหารทไ่ี ดม้ าตรฐานการผลติ ยาของประเทศ (Good Manufacturing Pratice: GMP) ตวั อยา่ งการศกึ ษา ๓. กลมุ่ ปลายนํา้ พชื กระทอ่ ม เปน็ พชื ตน้ แบบ ซง่ึ ไดร้ บั ทนุ จาก บพข. จ�ำ นวน ๓๕ ล้านบาทเป็นท่เี รียบร้อยแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์ สร้าง ควรมุ่งเน้นให้ความสำ�คัญในการนำ�สารสกัดกระท่อม มาตรฐาน GMP ของโรงงานต้นแบบในการผลิตสารสกัด ท่ีมีคุณภาพสูงเพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถ จากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติโดยใช้พืชกระท่อมในการนำ�ร่อง ใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพ่ือ ในการสกดั และไดม้ าตรฐานการผลติ โดยผลผลติ ทสี่ �ำ คญั คอื สขุ ภาพ และอาหาร เชน่ ยาลดเบาหวาน ยาตา้ นพารก์ นิ สนั สารสกดั กระทอ่ มทมี่ คี ณุ ภาพสงู เพอ่ื สง่ ตอ่ ใหแ้ กก่ ลมุ่ ปลายนา้ํ ยาแก้ปวด ยาทดแทนสารเสพติด ชา เคร่ืองดื่มเข้มข้น ตอ่ ไป นอกจากนย้ี งั ตอ้ งใหค้ วามส�ำ คญั ในการก�ำ หนดมาตรฐาน แคปซูล แคปซูลนิ่ม หรือเคร่ืองดื่มชูกำ�ลัง เป็นต้น รวมถึง ทเี่ กยี่ วขอ้ ง ซง่ึ ขณะนม้ี กี ารศกึ ษาวจิ ยั เพอ่ื ก�ำ หนดมาตรฐาน การสง่ ออกสารสกดั พชื กระทอ่ มแบบผงและแบบสารสกดั หยาบ ท่เี ก่ยี วข้องจำ�นวน ๒ โครงการ คือ ซึ่งจะเป็นการเพ่ิมมูลค่าให้แก่พืชกระท่อมส่งผลให้เกิด การสรา้ งงาน สรา้ งรายได้ และชว่ ยขบั เคลอ่ื นเศรษฐกจิ ฐานราก หรือฐานชุมชน เกิดเป็นห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ท่ีหมุนเวียนอยู่ในประเทศและนำ�เงินจากต่างประเทศเข้าสู่ ประเทศ ยกตวั อยา่ งเชน่ หากประเทศไทยสามารถพฒั นายา ทดแทนสารเสพติดเพื่อนำ�มาใช้บำ�บัดรักษาผู้เสพผู้ติด สารเสพติดแทนเมทาโดน ซ่ึงที่ผ่านมาต้องนำ�เข้าจากต่าง ประเทศมูลค่าหลักสิบล้านถึงร้อยล้าน หากดำ�เนินการได้ ส�ำ เรจ็ ประเทศไทยจะลดการน�ำ เขา้ เมทาโดนจากตา่ งประเทศ เปรียบเสมือนไม่ต้องเสียเงินจากบ้านตัวเองเพื่อไปซ้ือของ บ้านคนอ่ืน แต่ในทางกลับกันคนในบ้านเราสามารถพัฒนา ยาทดแทนสารเสพติดข้ึนได้เอง ดังนั้นเงินที่ใช้ในการซ้ือยา เหล่าน้ันจึงหมุนเวียนในบ้านตนเอง ต้ังแต่คนผลิต คนสกัด จนถึงคนแปรรูป จึงเกิดเป็นห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทห่ี มนุ เวยี นอยใู่ นประเทศ รวมทง้ั ยงั สามารถชว่ ยแกไ้ ขปญั หา ยาเสพติดได้อีกทาง ซึ่งขณะน้ีมีภาคเอกชนให้ความสนใจ ในเรอื่ งดงั กลา่ วเปน็ จ�ำ นวนมาก และประสานงานเพอื่ พฒั นา ความร่วมมือกับสถาบันวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ โดยสถาบนั วจิ ยั และนวตั กรรม ทางการแพทย์ ร่วมกับสำ�นักงาน ป.ป.ส. มีปณิธานมุ่งเน้น ใหภ้ าคเอกชนตอ้ งแบง่ ปนั ผลประโยชนอ์ ยา่ งเปน็ ธรรมใหแ้ ก่ ชุมชน 28 เพื่อนวิทยากร
มิติ การศึกษาวจิ ัย 29เพ่ือนวิทยากร
๑๐ น้าํ พโุ มเดล : รูปแบบการควบคุมพชื กระทอ่ ม โดยการมสี ่วนร่วมของชมุ ชน น้ําพุโมเดล เป็นรูปแบบการควบคุมพืชกระท่อม โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนท่ีพัฒนาข้ึนใน พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยความร่วมมือของสำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามยาเสพติด หรือ สำ�นักงาน ป.ป.ส. กับพ้ืนท่ี ตำ�บลนํ้าพุ อำ�เภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี นำ�โดย สิบโทสงคราม บัวทอง กำ�นันตำ�บลนํ้าพุ พร้อมด้วย ภาคประชาชน นักวิชาการ หน่วยงานภาครัฐระดับพื้นท่ี และระดบั สว่ นกลาง ความรว่ มมอื นมี้ วี ตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ในการลดความขดั แยง้ ระหวา่ งประชาชนทย่ี งั คงใชพ้ ชื กระทอ่ มตามวถิ กี ารด�ำ รงชวี ติ กับเจ้าหน้าที่ภาครัฐท่ีต้องรักษากฎหมาย รวมถึงเป็นการ แกไ้ ขปญั หาพชื กระทอ่ มในระดบั พน้ื ท่ี และการคน้ หารปู แบบ การแกไ้ ขปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคข์ องระดบั นโยบาย เพอ่ื พฒั นา ให้กลายเป็นโมเดลต้นแบบหรือพ้ืนท่ีต้นแบบของประเทศ ในการเปน็ แหลง่ เรยี นรเู้ พอื่ ขยายผลรปู แบบการแกไ้ ขปญั หา อย่างสร้างสรรค์ โดยนำ� “แนวคิดชุมชนเป็นศูนย์กลาง ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด แนวคิดธรรมนูญสุขภาพ และกระบวนการมีส่วนร่วม” เป็นกรอบพัฒนารวมถึง น�ำ นวัตกรรมและเทคโนโลยีท่ีทนั สมยั มาใช้ 30 เพื่อนวิทยากร
มิติการศึกษาวิจัย ความเปน็ มาและความส�ำ คญั ของปัญหา พืชกระท่อมเป็นพืชพื้นถิ่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทวีปแอฟริกา ซ่ึงมีการใช้มายาวนานต้ังแต่อดีต ในวิถีชุมชนเพื่อใช้ในการทำ�งาน ขนบธรรมเนียมประเพณี และบรรเทาหรือรักษาโรคต่าง ๆ ในพื้นท่ีภาคใต้ของประเทศไทย แต่ยงั คงมีสถานะเป็นยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท ๕ ตามพระราชบัญญตั ยิ าเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เมอ่ื พชื กระทอ่ มยงั มสี ถานะทผ่ี ดิ กฎหมาย จงึ มคี วามจ�ำ เปน็ ของภาครฐั ทงั้ ระดบั สว่ นกลางและสว่ นทอ้ งถนิ่ ทตี่ อ้ งด�ำ เนนิ การ รักษากฎหมาย จึงส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับการใช้ในวิถีดั้งเดิม ประกอบกับมีการลักลอบค้าขายและนำ�เข้าจากประเทศ เพ่อื นบ้าน รวมทั้งมีความหว่ งใยในเรอื่ งการใช้ใบกระท่อมเปน็ สว่ นผสมในรปู แบบ ๔×๑๐๐ ในกลมุ่ วยั รุ่นอกี ดว้ ย ปญั หาพชื กระทอ่ ม มขี อบเขตระดบั ประเทศ จากการส�ำ รวจขอ้ มลู ตามแบบสอบถามของส�ำ นกั งาน ปปส.ภาค ๘ และ ๙ ในพน้ื ท่ี ๑๔ จงั หวดั ของภาคใต้ พบวา่ มผี ใู้ ชพ้ ชื กระทอ่ มตามวถิ ชี าวบา้ น จ�ำ นวน ๑๕๕,๙๙๑ ราย ๔,๖๓๘ หมบู่ า้ น ๗๓๒ ต�ำ บล ๑๑๕ อำ�เภอ นอกจากน้ียังมีข้อมูลทางสถิติเก่ียวกับคดีที่เกี่ยวข้องกับพืชกระท่อมของประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๒๐-๒๕๖๒ จากระบบทะเบยี นคดยี าเสพตดิ หรอื NCR พบวา่ มคี ดจี �ำ นวน ๑๘๗,๔๘๖ คดี แบง่ ออกเปน็ คดคี า้ ๕๔,๒๑๖ คดี (รอ้ ยละ ๒๙) และคดีเสพ ๑๓๓,๒๗๐ คดี (ร้อยละ ๗๑) ดังน้ัน เพ่ือแก้ไขปัญหาสถานการณ์พืชกระท่อมตามบริบทภูมิสังคม สำ�นักงาน ป.ป.ส. โดยสถาบันสำ�รวจและติดตามการปลูกพืชเสพติดร่วมกับสำ�นักงาน ปปส. ภาค ๘ และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องจึงได้ หาทางออกของการแกไ้ ขปัญหาพืชกระทอ่ มของประเทศไทยอย่างสรา้ งสรรค์ จดุ เริ่มต้นการพฒั นารปู แบบการควบคุมพืชกระท่อม โดยการมีส่วนรว่ มของชุมชน ในการแสวงหาความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาพืชกระท่อม เริ่มจากการจัดสัมมนาเชิงวิชาการเร่ือง “การปฏิรูปแนวทาง การปฏบิ ตั ติ อ่ พชื กระทอ่ มในประเทศไทย” เมอื่ ๓๑ พฤษภาคม ถงึ ๒ มถิ นุ ายน ๒๕๕๙ ณ จงั หวดั สตลู ในการประชมุ ครง้ั นนั้ สิบโทสงคราม บัวทอง กำ�นันตำ�บลนํ้าพุ ได้อาสาและเสนอพื้นท่ีตำ�บลนํ้าพุเป็นพื้นที่ศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหา พืชกระท่อมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และขอรับการสนับสนุนการจัดทำ�แผนท่ีแสดงตำ�แหน่งต้นกระท่อมเพ่ือใช้ในการ ตดิ ตามควบคมุ ส�ำ นกั งาน ป.ป.ส. โดยสถาบนั ส�ำ รวจและตดิ ตามการปลกู พชื เสพตดิ (สพส.) จงึ รบั ขอ้ เสนอดงั กลา่ ว ซง่ึ ถอื ไดว้ า่ เป็นจดุ เริ่มตน้ ของความร่วมมือในการแก้ไขปญั หาพชื กระท่อมในระดับพ้นื ทขี่ องส�ำ นกั งาน ป.ป.ส. ร่วมกบั ต�ำ บลนา้ํ พุ การพัฒนาความรว่ มมอื ในการแก้ไขปัญหาพชื กระทอ่ ม รว่ มกบั ก�ำ นันตำ�บลนา้ํ พุ ●●การสำ�รวจข้อมูล ในการสำ�รวจพื้นที่หมู่ท่ี ๔ บ้านดอนทราย ตำ�บลน้ําพุ อำ�เภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบครัวเรอื นทีม่ พี ชื กระทอ่ มจ�ำ นวน ๗๒ ครวั เรอื น (รอ้ ยละ ๕๕.๘๑) จาก ๑๒๙ ครัวเรือน มีพืชกระท่อมจำ�นวน ๑๘๕ ตน้ เพื่อใชใ้ นการก�ำ กับ ตดิ ตาม และควบคมุ ●●การจดั เวทปี ระชาคม เพอ่ื คนื ขอ้ มลู จากการส�ำ รวจและรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของชาวบา้ นและรว่ มกนั จดั ท�ำ กฎประชาคม ของหมู่บ้านอย่างมีส่วนร่วม เพ่ือควบคุมพืชกระท่อมไม่ให้ส่งผลต่อเยาวชนและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ซ่ึงได้ข้อสรุปในรูปแบบ ของกฎประชาคมหรอื กตกิ าของหมบู่ า้ น เชน่ อนญุ าตใหค้ รวั เรอื นครอบครองตน้ กระทอ่ มไดไ้ มเ่ กนิ ๓ ตน้ หา้ มจ�ำ หนา่ ยและ จ่ายแจกให้เยาวชนและบุคคลทั่วไป ประชาชนทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการควบคุมเฝ้าระวังเยาวชนไม่ให้เสพนํ้าต้มกระท่อม ทีม่ สี ว่ นผสมอนื่ เปน็ ตน้ 31เพื่อนวิทยากร
มิติการศึกษาวิจัย ขั้นตอนการพัฒนารูปแบบ การยกระดบั ความรว่ มมอื การควบคุมพชื กระท่อม เพื่อพัฒนารูปแบบการควบคุมพืชกระท่อมโดยการมี โดยการมสี ่วนร่วมของชมุ ชน ส่วนร่วมของชุมชน จึงมีการจัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการจดั ท�ำ ระบบควบคมุ พน้ื ทพ่ี ชื กระทอ่ มในชมุ ชน ขออนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ ใหเ้ ปน็ พนื้ ทนี่ �ำ รอ่ งอยา่ งบรู ณาการ” ณ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี ในประเภท ๕ ต่อ อย. เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัยภายใต้ เมอ่ื วนั ท่ี ๓๑ สงิ หาคม ถงึ ๒ กนั ยายน ๒๕๕๙ โดยน�ำ เสนอ โครงการพัฒนารูปแบบการควบคุมพืชกระท่อมโดยการ บทเรยี นจากการเกบ็ ขอ้ มลู ในพนื้ ท่ี แนวคดิ ธรรมนญู สขุ ภาพ มสี ว่ นรว่ มของชมุ ชน ในประเทศไทย : กรณศี กึ ษาต�ำ บลนา้ํ พุ แหง่ ชาติ และแนวคดิ ชมุ ชนเปน็ ศนู ยก์ ลางในการแกไ้ ขปญั หา อำ�เภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพ่ือลดข้อกังวล ยาเสพตดิ มาเพือ่ พจิ ารณา ของเจา้ หนา้ ที่ภาครัฐในเร่อื งการละเว้นการปฏิบตั ิหนา้ ที่ แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบข้อกังวลจากหน่วยงานภาครัฐ สร้างการรับรู้และความเข้าใจต่อโครงการฯ โดย เกย่ี วกบั การทราบต�ำ แหนง่ ของตน้ กระทอ่ ม แตไ่ มด่ �ำ เนนิ การ ประสานงานเขา้ พบหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งในระดบั จงั หวดั บงั คบั ใชก้ ฎหมาย ซงึ่ อาจเขา้ ขา่ ยการละเวน้ การปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี อำ�เภอ และตำ�บล รวมถึงจัดเวทีสร้างการรับรู้ ๖ หมู่บ้าน ได้ จงึ มขี อ้ เสนอจาก ส�ำ นกั งานคณะกรรมการอาหารและยา รว่ มกบั นกั วชิ าการเพอ่ื สรา้ งความเขา้ ใจเกย่ี วกบั พชื กระทอ่ ม (อย.) ต่อสำ�นักงาน ป.ป.ส. ในการจัดทำ�คำ�ขออนุญาต ในมิติต่าง ๆ ท้ังทางสาธารณสุข กฎหมาย และผลกระทบ ครอบครองจาก อย. โดยดำ�เนินการในรูปแบบศึกษาวิจัย ทางสังคม เพ่ือลดข้อกังวลในประเด็นดังกลา่ ว จดั ตง้ั กลไกเพอ่ื ขบั เคลอ่ื นการพฒั นารปู แบบการควบคมุ พืชกระท่อมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยอาศัยกลไก ทมี่ อี ยเู่ ดมิ เชน่ คณะกรรมการหมบู่ า้ น คณะกรรมการต�ำ บล เป็นต้น โดยมนี ายอำ�เภอเปน็ ผลู้ งนามในค�ำ สั่ง 32 เพ่ือนวิทยากร
มิติการศึกษาวิจัย สรา้ งกระบวนการมสี ่วนร่วม การจัดเก็บข้อมูล โดยถ่ายทอดความรู้และฝึกปฏิบัติขั้นตอนการสำ�รวจและจัดเก็บข้อมูลพืชกระท่อมให้แก่ คณะกรรมการหมู่บ้านท้ัง ๖ หมู่บ้าน และร่วมวางแผนสำ�รวจ ดำ�เนินการสำ�รวจ พร้อมจัดเก็บข้อมูล เช่น บ้านเลขที่ ชอ่ื เจา้ บา้ น พกิ ดั ต�ำ แหนง่ ครวั เรอื น ความสงู /ขนาด/พกิ ดั ต�ำ แหนง่ ตน้ กระทอ่ ม และบนั ทกึ ภาพการด�ำ เนนิ งาน เปน็ ตน้ และตดิ QR code ต้นกระทอ่ มท่ลี งทะเบยี น เพอ่ื ใชใ้ นการกำ�กบั ตดิ ตาม และควบคุม การก�ำ หนดและพัฒนากติกาและมาตรการ เพ่ือควบคมุ พชื กระท่อมโดยการมสี ่วนร่วมของชมุ ชน โดยจัดเวทปี ระชุม ยกร่างโดยนำ�กติกาของหมู่ที่ ๔ บ้านดอนทราย มาพัฒนาและปรับปรุงเป็นธรรมนูญตำ�บลเพื่อการควบคุมพืชกระท่อมและ สรา้ งชมุ ชนเขม้ แขง็ ปลอดยาเสพตดิ พชื กระทอ่ มพน้ื ทต่ี �ำ บลนา้ํ พุ อ�ำ เภอบา้ นนาสาร จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี ประกอบดว้ ย ๖ หมวด ได้แก่ หมวดท่ี ๑ บทท่วั ไป หมวดท่ี ๒ ข้อห้ามส�ำ หรับการเสพ การผลิต และการจำ�หน่ายพชื กระท่อม หมวดที่ ๓ การควบคุมพืชกระทอ่ ม หมวดที่ ๔ การคงไว้ของพืชกระทอ่ มในพ้นื ท่ี หมวดที่ ๕ การปฏบิ ัตขิ องผ้เู สพพืชกระทอ่ ม หมวดที่ ๖ บทลงโทษ โดยนำ�เข้าสู่เวทีประชาคมระดับหมู่บ้านทั้ง ๖ หมู่บ้านเพื่อรับฟังความเห็น ต่อด้วยการจัดประชุมเพ่ือพิจารณาปรับปรุง ธรรมนญู ตำ�บลครง้ั สดุ ทา้ ย และจัดพมิ พเ์ ปน็ เอกสารเผยแพร่ การรับรองธรรมนูญตำ�บล โดยมีการจัดเวทีประชาคมระดับตำ�บล มีผู้เข้าร่วม ๘๐๐ คน ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ ในการรบั รา่ งธรรมนญู ตำ�บลฉบบั ดงั กล่าว และตัวแทนภาคประชาชนร่วมกับหน่วยงานในพืน้ ทร่ี ว่ มลงนามรบั รอง การปฏิบัติตามข้อตกลงธรรมนูญตำ�บล เช่น ให้ความร่วมมือคณะกรรมการหมู่บ้านเข้าตัดท�ำ ลายพืชกระท่อมท่ีเกิน ๓ ตน้ และผูใ้ ชพ้ ชื กระท่อมเขา้ รบั ตรวจสุขภาพตามขอ้ ตกลงในธรรมนูญต�ำ บล เปน็ ต้น การติดตามและประเมินผลการควบคุมพืชกระท่อม โดยการออกตรวจติดตามระดับครัวเรือนและนำ�ผลการติดตาม ประชุมหารือและรวบรวมปัญหาอุปสรรคท่ีเกิดข้ึนในแต่ละหมู่บ้าน พร้อมทั้งร่วมกันหาแนวทางแก้ไขให้เป็นไปตามแนวทาง ทเ่ี หมาะสม โดยยดึ กรอบของธรรมนญู ตำ�บลเป็นหลัก พฒั นาโปรแกรมการตดิ ตามและตรวจสอบพชื กระทอ่ มในรปู แบบ Mobile Application เพอ่ื ใชใ้ นการตดิ ตามประเมนิ ผล การควบคุมพืชกระท่อมและถ่ายทอดความรู้ และฝึกปฏิบัติการใช้ Mobile Application ให้แก่คณะกรรมการหมู่บ้าน เพื่อใชใ้ นการตดิ ตามและควบคมุ พืชกระทอ่ ม สรุปบทเรียนเพ่ือวิเคราะห์ปัจจัยและเง่ือนไขที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการควบคุมพืชกระท่อมโดยการมีส่วนร่วม ของชุมชนผา่ นธรรมนูญต�ำ บล นำ�ไปสกู่ ารปรับปรุงและพฒั นารปู แบบใหเ้ หมาะสม 33เพ่ือนวิทยากร
มิติการศึกษาวิจัย กลไกการขบั เคล่ือน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำ�บลบ้านยางอุง ร่วม ประชาคมเพอ่ื สรา้ งและรบั รอง ขอ้ ตกลง กตกิ า และขอ้ ปฏบิ ตั ิ นํ้าพุโมเดล อาศัยกลไกที่มีอยู่เดิมในพ้ืนท่ีในการสร้าง ร่วมกันในรูปแบบธรรมนูญตำ�บลและแผนปฏิบัติการติดตาม ความร่วมมือเพ่ือบูรณาการ ได้แก่ คณะกรรมการหมู่บ้าน และควบคมุ พชื กระทอ่ ม รวมถงึ สนบั สนนุ ใหบ้ รกิ ารตรวจสขุ ภาพ 6 หมบู่ า้ น คณะกรรมการต�ำ บลนาํ้ พุ ชดุ ปฏบิ ตั กิ ารเฉพาะกจิ ผขู้ นึ้ ทะเบยี นผเู้ สพและครอบครองพชื กระทอ่ ม ตามขอ้ ตกลง ต�ำ บลนา้ํ พุ ศนู ยป์ ฏบิ ตั กิ ารปอ้ งกนั และปราบปรามยาเสพตดิ ในธรรมนูญตำ�บลและแผนเฝ้าระวังทางสุขภาพ รวมถึง อ�ำ เภอบา้ นนาสาร และศนู ยอ์ �ำ นวยการปอ้ งกนั และปราบปราม ร่วมติดตามและประเมนิ ผล ยาเสพตดิ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี รวมถงึ กระตนุ้ ใหพ้ น้ื ทโ่ี ดยเฉพาะ ผเู้ สพและครอบครองพชื กระทอ่ มรวมตวั เปน็ ประชาคม และ องค์การบริหารส่วนต�ำ บลนํ้าพุ และสถานีตำ�รวจภูธร คัดเลือกตัวแทนเข้าร่วมประชุม เน้นการสร้างการรับรู้และ ท่าชี ร่วมประชาคมเพื่อสร้างและรับรอง ข้อตกลง กติกา ความเข้าใจอาศัยการทำ�งานเป็นลักษณะเครือข่าย เน้นการ ในรูปแบบธรรมนูญตำ�บลและแผนปฏิบัติการติดตามและ ใช้มาตรการทางปกครองและมาตรการทางสาธารณสุข ควบคุมพืชกระท่อม รวมถึงร่วมติดตามและประเมนิ ผล มากกว่าการบังคับใช้กฎหมาย และเปิดโอกาสให้ชุมชน เป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วยตนเอง อำ�เภอบ้านนาสาร จัดตั้งให้มีกลไกคณะกรรมการ โดยส่งเสรมิ บทบาทของหนว่ ยงานภาครัฐในลักษณะพเี่ ล้ียง ควบคมุ พชื กระทอ่ มระดบั หมบู่ า้ นและต�ำ บล เปน็ พเี่ ลยี้ งใหแ้ ก่ พื้นที่ในการจัดทำ�ประชาคมเพื่อสร้างและรับรอง ข้อตกลง บทบาทภาคตี ่อการขบั เคลื่อน กติกา และข้อปฏิบัติร่วมกันในรูปแบบธรรมนูญตำ�บลและ แผนปฏิบัติการติดตามและควบคุมพืชกระท่อม รวมถึง ภาคประชาชน ประชาชนตำ�บลน้ําพุ อำ�เภอบ้านนาสาร รว่ มตดิ ตามและประเมนิ ผล จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมตัวเป็นประชาคม ให้ความร่วมมือ ในการสำ�รวจข้อมูลและขึ้นทะเบียนผู้เสพและครอบครอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และสำ�นักงาน ปปส. ภาค ๘ พืชกระท่อม ร่วมพิจารณาและลงมติรับรองธรรมนูญตำ�บล เป็นพี่เลี้ยงในการพัฒนารูปแบบการควบคุมพืชกระท่อมโดย รวมถึงปฏิบัติตามธรรมนูญตำ�บลอย่างเคร่งครัด เช่น ต้อง การมีส่วนร่วมของชุมชน และร่วมติดตามและประเมินผล เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำ�ปีตามกำ�หนด และเข้าร่วม นอกจากน้ียังเป็นหน่วยสนับสนุนงบประมาณให้แก่พ้ืนที่ ประชุมประชาคมระดบั หม่บู ้านและต�ำ บล เป็นต้น ในการด�ำ เนนิ งานตามแผนการเฝา้ ระวงั ทางสังคม หนว่ ยงานภาครฐั ในระดับพน้ื ที่ หนว่ ยงานภาครฐั ระดับสว่ นกลาง ก�ำ นนั ผใู้ หญบ่ า้ น คณะกรรมการต�ำ บล ชดุ ปฏบิ ตั กิ าร สำ�นักงานคณะกรรมการอาหารและยาสนับสนุนให้ เฉพาะกจิ ต�ำ บลนา้ํ พุ และคณะกรรมการหมบู่ า้ น เปน็ ผขู้ บั เคลอ่ื น หลกั ของพน้ื ทใ่ี นการสรา้ งการรบั รแู้ ละเขา้ ใจตอ่ ภาคประชาชน การอนญุ าตมไี วใ้ นครอบครองซง่ึ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท ด�ำ เนนิ การส�ำ รวจขอ้ มลู และขนึ้ ทะเบยี นผเู้ สพและครอบครอง ๕ และรว่ มใหค้ วามเหน็ เพอื่ ก�ำ หนดกลไกการด�ำ เนนิ งานและ พืชกระท่อม จัดให้มีประชุมประชาคมเพ่ือสร้างและรับรอง ควบคุมระดับพืน้ ที่ รวมถงึ รว่ มตดิ ตามและประเมนิ ผล ข้อตกลง กติกา และข้อปฏิบัติร่วมกันในรูปแบบธรรมนูญ ตำ�บลและแผนปฏิบัติการติดตามและควบคุมพืชกระท่อม สำ�นักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสนับสนุน เช่น แผนเฝ้าระวังทางสุขภาพ แผนควบคุมพืชกระท่อม งบประมาณในการศึกษาวิจัยพัฒนารูปแบบการควบคุม แผนเฝา้ ระวงั ทางสงั คม และแผนการตรวจสอบ และติดตาม พืชกระท่อมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในประเทศไทย : เป็นต้น กรณศี กึ ษาต�ำ บลนา้ํ พุ อ�ำ เภอบา้ นนาสาร จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี กระทรวงมหาดไทย รว่ มใหค้ วามเหน็ เพอื่ ก�ำ หนดกลไก การด�ำ เนนิ งานและควบคมุ ระดบั พน้ื ท่ี รวมถงึ รว่ มตดิ ตามและ ประเมนิ ผล ส�ำ นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การเสรมิ สรา้ งสขุ ภาพ หรอื สสส. ถ่ายถอดบทเรียนสสู่ าธารณะ 34 เพ่ือนวิทยากร
มิติการศึกษาวิจัย ผลผลติ และผลสัมฤทธ์ิ ผลผลติ พบวา่ มที ศิ ทางลดลง ซง่ึ เปน็ ผลจากความพยายามปรบั เปลยี่ น ลดความขัดแย้งและจำ�นวนคดีลดลง โดยข้อมูลคดี พฤตกิ รรมของเยาวชนทใ่ี ช้ ๔×๑๐๐ รวมถงึ ใชธ้ รรมนญู ต�ำ บล ในการป้องกันปัญหายาเสพติดชนิดอื่น โดยใน พ.ศ. ๒๕๖๓ เก่ียวกับพืชกระท่อม จากสถานีตำ�รวจภูธรท่าชี พบว่า ไม่มี ผลจากการตรวจสารเสพตดิ ในรา่ งกายในการเกณฑท์ หารของ คดีเก่ียวกับการเสพใบพืชกระท่อม ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๕๙ ถึง ต�ำ บลนา้ํ พุ พบผใู้ ชย้ าเสพตดิ เพยี ง ๒ ราย คอื เสพยาบา้ ๑ ราย ๒๕๖๓ แตพ่ บคดนี าํ้ กระทอ่ มตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๕๙ ถงึ ๒๕๖๓ และกญั ชา ๑ ราย ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ สถติ ทิ น่ี อ้ ยและเปน็ ทน่ี า่ พอใจ รวมทั้งส้ิน ๔๘ คดี หากคิดเป็นความเสียหายจากคดีมากถึง ๑,๔๔๐,๐๐๐ บาท (ประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาทต่อคดี) โดย 40 32 30 20 10 6 4 1 5 0 ปี 2559 ปี 2560 ปี 2561 ปี 2562 ปี 2563 โมเดลตน้ แบบหรอื พน้ื ทต่ี น้ แบบนา้ํ พโุ มเดล ถอื วา่ เปน็ นวัตกรรมและเทคโนโลยี น้ําพุโมเดลถือว่าได้สร้าง ผลผลิตที่ได้จากการพัฒนารูปแบบการควบคุมพืชกระท่อม ผลผลติ ดา้ นนวตั กรรมและเทคโนโลย ี เพอื่ ใชใ้ นการสนบั สนนุ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นต้นแบบเชิงกระบวนการ การควบคุมพืชกระท่อมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน คือ เช่น การสร้างความเข้าใจและให้ความสำ�คัญของข้อมูล ระบบสารสนเทศควบคุมพืชกระท่อมที่ใช้ร่วมกับ Mobile การเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการก�ำ หนดกตกิ ารว่ มกนั โดยสามารถ Application ที่ใช้ในการสำ�รวจและติดตามพืชกระท่อม นำ�เอาธรรมนูญตำ�บลน้ําพุเป็นต้นแบบได้ ต้องมีการคุม และผู้ใช้และครอบครองพืชกระทอ่ ม ต้นกระท่อมไม่เกิน ๓ ต้นต่อครัวเรือน ผู้ใช้พืชกระท่อม อยา่ งนอ้ ยตอ้ งตรวจสขุ ภาพประจ�ำ ปี เปน็ ตน้ โดยพนื้ ทมี่ กี าร ขอ้ มลู จากการส�ำ รวจและขน้ึ ทะเบยี นผเู้ สพและครอบครอง ใช้พืชกระท่อมเช่นเดียวกับตำ�บลน้ําพุ อาจนำ�กระบวนการ พชื กระทอ่ ม ทงั้ ๖ หมบู่ า้ น ในพน้ื ทตี่ �ำ บลนา้ํ พุ พบครวั เรอื น ไปปรับใช้หรือประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง ท่ีมีพืชกระท่อมจำ�นวน ๖๕๕ ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ ๓๓ รวมถึงเป็นพ้ืนต้นแบบในการเป็นแหล่งเรียนรู้ท่ีมีชีวิตและ ของครวั เรอื นทง้ั หมด ๑,๙๒๐ ครวั เรอื น จ�ำ นวนตน้ กระทอ่ ม เชิงประจักษ์ โดยต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นมาจนถึง ๑,๙๑๒ ต้น ตัดทำ�ลาย จำ�นวน ๓๓๔ ต้นเน่ืองจากเกินจาก ปีปัจจุบันมีองค์กรหรือภาคีภาคประชาชนหรือหน่วยงาน ขอ้ ตกลงในธรรมนญู ต�ำ บล คงเหลอื ทข่ี น้ึ ทะเบยี นตดิ QR code ภาครฐั เขา้ มาศึกษาในพน้ื ทแ่ี ลว้ มากกวา่ ๑๒ คณะ จำ�นวน ๑,๕๗๘ ต้น และมีผู้ใช้พืชกระท่อมท่ีข้ึนทะเบียน จ�ำ นวน ๕๘๘ ราย คดิ เปน็ รอ้ ยละ ๑๐ ของประชากรทงั้ หมด ๕,๖๕๙ ราย โดยผู้ใช้พืชกระท่อมที่ขึ้นทะเบียนจะได้รับ การดูแลสขุ ภาพอย่างน้อยปลี ะ ๒ ครง้ั 35เพ่ือนวิทยากร
มิติการศึกษาวิจัย ผลสัมฤทธิ์ รูปแบบหลัก นํ้าพุโมเดลถูกนำ�ไปถอดบทเรียน 36 เพ่ือนวิทยากร โดย สพส. ส�ำ นกั งาน ป.ป.ส. ในการน�ำ มาเปน็ รปู แบบหลกั ในการเตรียมพ้ืนท่ีนำ�ร่องที่ทำ�การเสพและครอบครอง พชื กระทอ่ มโดยไมเ่ ปน็ ความผดิ รองรับมาตรา ๕๘/๒ แหง่ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และท่ีแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ทร่ี ะบวุ า่ คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปราม ยาเสพติดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด อาจมีมติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการควบคมุ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ประกาศให้ท้องท่ีใดเป็นท้องท่ีท่ีทำ�การเสพพืชกระท่อมได้ โดยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติน้ี การเสพและ การครอบครองพชื กระทอ่ มทก่ี ระท�ำ ตามวรรคหนง่ึ ใหเ้ ปน็ ไป ตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี ารและเงอื่ นไขทก่ี �ำ หนดในกฎกระทรวง พื้นท่ีขยาย ส่งผลให้มีพ้ืนที่ในลักษณะน้ําพุโมเดล เพม่ิ ขนึ้ โดยคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามยาเสพตดิ มีมติเห็นชอบพื้นที่ท่ีจะประกาศให้เป็นท้องท่ีท่ีให้เสพและ ครอบครองพชื กระทอ่ ม ไดโ้ ดยไมเ่ ปน็ ความผดิ จ�ำ นวน ๑๓๕ หมู่บ้าน/ชุมชน และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุม ยาเสพติดให้โทษ ประกาศให้พื้นท่ีจำ�นวน ๑๓๕ หมู่บ้าน/ ชมุ ชน เปน็ ทอ้ งทที่ ใี่ หเ้ สพพชื กระทอ่ มไดโ้ ดยไมเ่ ปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๕๘/๒ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ ยาเสพตดิ ให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ พื้นที่ทุนทางวิจัย จากการท่ีตำ�บลน้ําพุเป็นพื้นที่ ศึกษาวิจัยของสำ�นักงาน ป.ป.ส. และได้รับอนุญาตมีไว้ใน ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ จาก อย. จงึ เปน็ พนื้ ทที่ สี่ �ำ นกั งาน อย. มนั่ ใจและไวว้ างใจใหเ้ ปน็ พน้ื ท่ี หลกั ในการอนญุ าตใหส้ ถาบนั ทางการศกึ ษาทขี่ อครอบครอง ใบกระท่อมเพื่อนำ�ไปศึกษาวิจัยแต่ต้องผ่านความเห็นจาก ส�ำ นกั งาน ป.ป.ส. ในการใหต้ วั อยา่ งใบกระทอ่ ม เนอื่ งจากเปน็ ผู้ได้รับอนุญาตครอบครองต้นกระท่อม โดยที่ผ่านมามี สถาบันทางการศึกษามาขอใช้ตัวอย่างใบกระทอ่ ม มากกวา่ ๕ หน่วยงาน มากกว่า ๑๐ โครงการ โดยส่วนใหญ่จะเป็น การนำ�ไปพัฒนาวิธีการสกัดสาร และสกัดสารเพ่ือศึกษา คุณสมบัติทางเภสัชของพืชกระท่อม รวมถึงการศึกษาเพื่อ จ�ำ แนกสายพนั ธ์ุ และคน้ หาสายพนั ธด์ุ ที ใ่ี หค้ า่ สารมติ รากยั นนี ในปรมิ าณทส่ี งู เพอ่ื พฒั นาและน�ำ พชื กระทอ่ มมาใชป้ ระโยชน์ ทางการแพทย์และสร้างโอกาสทางเศรษฐกจิ
มิติการศึกษาวิจัย ประโยชน์ทส่ี �ำ คญั ต่อประชาชนในพ้ืนทีต่ ำ�บลน้าํ พุ ผนู้ �ำ หมบู่ า้ นทงั้ ๖ หมบู่ า้ นในพนื้ ทต่ี �ำ บลนา้ํ พุ สามารถลดความขดั แยง้ กบั ผใู้ ชพ้ ชื กระทอ่ มในพนื้ ท่ี โดยสามารถพจิ ารณา ไดจ้ ากการใหค้ วามรว่ มมอื ของผใู้ ชพ้ ชื กระทอ่ มทใ่ี หค้ วามรว่ มมอื ในการส�ำ รวจและยอมแสดงตวั เพอ่ื ขน้ึ ทะเบยี นจ�ำ นวน ๕๘๘ ราย จาก ๖๕๕ ครวั เรอื น ผู้ใช้พืชกระท่อมจำ�นวน ๕๘๘ ราย ได้รับการดูแลสุขภาพจากข้อตกลงในธรรมนูญตำ�บล โดยสามารถรับบริการ ตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านยางอุง และสามารถปรับเปล่ียนพฤติกรรมของเยาวชนที่ใช้ ๔×๑๐๐ โดยสามารถพิจารณาได้จากคดีท่ีเกี่ยวกับน้ําต้มกระท่อมลดลงถึงร้อยละ ๘๔ และไม่มีคดีเสพใบกระท่อมในพื้นท่ีตำ�บลนํ้าพุ ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๕๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมถึงป้องกันปัญหายาเสพติดชนิดอื่น โดยใน พ.ศ. ๒๕๖๓ ผลจากการตรวจปัสสาวะ ในการเกณฑท์ หารของตำ�บลนา้ํ พุ พบผู้ใชย้ าเสพตดิ เพียง ๒ ราย เป็นพื้นที่ต้นแบบหรือแหล่งเรียนรู้ให้แก่พ้ืนท่ีอื่น ๆ ที่มีบริบทใกล้เคียงในการควบคุมพืชกระท่อม โดยการมีส่วนร่วม ของชุมชน โดยที่ผ่านมามีคณะหรือหน่วยงานต่าง ๆ เข้าศึกษาดูงานมากกว่า ๑๒ คณะ รวมถึงได้รับโอกาสเป็นพื้นที่ ทมี่ นี กั วิชาการลงพื้นทเี่ พ่ือศกึ ษาวิจยั ทางสุขภาวะในการใช้พชื กระทอ่ มและการค้นหาพันธกุ์ ระทอ่ มทเี่ หมาะสมตอ่ การพฒั นา และเพ่ิมมูลค่าในอนาคต ซึ่งท่ีผ่านมาคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ลงพื้นท่ีวิจัยในด้านต่าง ๆ และคืนข้อมูล ใหแ้ กช่ าวบา้ นมากกวา่ ๓ ครงั้ สง่ ผลให้พ้นื ทเี่ กดิ เป็นพื้นท่แี ห่งการเรียนรบู้ นฐานความรทู้ ี่ถกู ต้อง เป็นพื้นท่ีต้นแบบการพัฒนาการผลิตใบกระท่อมคุณภาพภายใต้มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรท่ีดี (Good Agricultural Practices: GAP) โดยขณะนี้สำ�นักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และวิสาหกิจชุมชน พชื สมนุ ไพรต�ำ บลนา้ํ พุ อ�ำ เภอบา้ นนาสาร จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี ซงึ่ อยรู่ ะหวา่ งการพจิ ารณาใหท้ นุ จากหนว่ ยบรหิ ารและจดั การ ทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแปลงต้นแบบการผลิต พชื กระทอ่ มตามมาตรฐาน GAP เกดิ ชดุ องคค์ วามรใู้ นการบรหิ ารจดั การพชื กระทอ่ มพรอ้ มถา่ ยทอดเทคโนโลยแี ละองคค์ วามรู้ การผลติ พชื กระทอ่ มสชู่ มุ ชน สง่ ผลใหเ้ กดิ พนื้ ทผ่ี ลติ ใบกระทอ่ มคณุ ภาพตามมาตรฐาน GAP เพอื่ สง่ เขา้ โรงงานตน้ แบบในการ ผลิตสารสกัดมาตรฐานจากสมุนไพรเพ่ือใช้ในทางการแพทย์และอาหารที่ได้มาตรฐาน GMP ตัวอย่างการศึกษาพืชกระท่อม เปน็ พชื ตน้ แบบ ของมหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ ซงึ่ ด�ำ เนนิ การโดยสถาบนั วจิ ยั และนวตั กรรมทางการแพทย์ ซงึ่ ไดร้ บั ทนุ จาก บพข. จ�ำ นวน ๓๕ ลา้ นบาท เป็นทเ่ี รียบรอ้ ยแลว้ 37เพื่อนวิทยากร
มิติการศึกษาวิจัย ผู้นำ�หุ้นส่วนความรว่ มมือคนส�ำ คญั สบิ โทสงคราม บัวทอง ก�ำ นนั ต�ำ บลนํ้าพุ อ�ำ เภอบา้ นนาสาร จงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี ปวารณาตวั และอาสาในการน�ำ พ้นื ท่ีต�ำ บลนา้ํ พแุ ก้ปญั หาพชื กระทอ่ มอย่างสร้างสรรค์ พัฒนาทีมงานในการสื่อสารและสร้างความเข้าใจต่อสาธารณะ นำ�โดยนายศุภวัฒน์ กล่อมวิเศษ ปราชญ์ชาวบ้านที่มี ความรคู้ วามสามารถและมจี ติ อาสาทจี่ ะขบั เคลอื่ นเรอื่ งพชื กระทอ่ ม รว่ มกบั ผใู้ หญบ่ า้ นและชดุ ปฏบิ ตั กิ ารเฉพาะกจิ ประจ�ำ ต�ำ บล ที่มีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย เพ่ือลงพื้นท่ีสื่อสารทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการให้แก่ประชาชน โดยกำ�นัน จะเข้าชี้แจงกับหน่วยงานอย่างสถานีตำ�รวจภูธรท่าชีและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำ�ตำ�บลบ้านยางอุงด้วยตนเอง เน่อื งจากเปน็ หน่วยงานส�ำ คญั ท่มี ีผลต่อการขับเคลือ่ น พัฒนากลไกในการขับเคลื่อน ประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน/ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน/คณะกรรมการหมู่บ้านท้ัง ๖ หมู่บ้าน ชดุ ปฏบิ ตั กิ ารเฉพาะกจิ ประจ�ำ ต�ำ บล อาสาสมคั รจากภาคประชาชนหมบู่ า้ นละ ๒ ราย และอาสาสมคั รสาธารณสขุ ประจ�ำ หมบู่ า้ น (อสม.) เข้ามาเป็นทีมขบั เคลือ่ นในภาพรวม ประสานเชอ่ื มโยง โดยเปน็ ผปู้ ระสานกลางเชอ่ื มโยงภาคประชาชนและหนว่ ยงานภาครฐั อยา่ ง สพส. และ ปปส. ภาค ๘ จากสำ�นักงาน ป.ป.ส. ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำ�เภอบ้านนาสาร และศูนย์อำ�นวยการป้องกันและ ปราบปรามยาเสพติดจังหวดั สุราษฎรธ์ านี ในการบูรณาการขบั เคลอ่ื นงานในพื้นท่ี สร้างพื้นท่ีสาธารณะ โดยเป็นหลักในการจัดเวทีประชุมชี้แจง เวทีกำ�หนดกติกา ข้อตกลง แผนปฏิบัติการ เวทีรับฟัง ความคดิ เหน็ เพอ่ื พจิ ารณากตกิ า ขอ้ ตกลง แผนปฏบิ ตั กิ ารระดบั หมบู่ า้ น เวทปี ระชาคมระดบั ต�ำ บลเพอ่ื รบั รองธรรมนญู ต�ำ บล และแผนปฏบิ ตั กิ ารเพ่อื ควบคมุ พชื กระท่อม และเวทสี รุปผลตดิ ตามและประเมินผล สรา้ งพน้ื ทปี่ ลอดภยั โดยเปน็ ผนู้ �ำ ทมี เขา้ ศกึ ษาพดู คยุ อยา่ งเขา้ ใจกบั กลมุ่ เดก็ และเยาวชนทใี่ ช้ ๔×๑๐๐ เพอ่ื ปรบั เปลย่ี น พฤตกิ รรมและลดอันตรายจากการใช้ ๔x๑๐๐ รวมถงึ ผใู้ ช้ยาเสพติดประเภทอืน่ โดยการนำ�การบ�ำ บัดฟ้ืนฟูโดยการมสี ่วนรว่ ม ของชุมชนเข้ามาใช้ในพ้ืนท่ี เน้นความเข้าใจ ให้กำ�ลังใจ เชื่อใจ และให้โอกาส นอกจากน้ียังดำ�เนินการตามแผนเฝ้าระวัง ทางสังคมโดยตง้ั จุดตรวจสกัดและออกตรวจตราความปลอดภยั ในพนื้ ท่ี สรา้ งพน้ื ทเ่ี ปน็ ธรรม โดยตดิ ตามอยา่ งใกลช้ ดิ และเนน้ การบงั คบั ใชธ้ รรมนญู ต�ำ บลอยา่ งเปน็ ธรรม เชน่ แผนการควบคมุ พืชกระทอ่ มท่ตี กลงให้ครวั เรอื นละ ๓ ต้น หากใครเกนิ ใหต้ ดั ทำ�ลายตามขอ้ ตกลง หากไมต่ ิดภารกจิ กำ�นนั จะลงก�ำ กับร่วมกับ ชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจประจำ�ตำ�บลและคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นประจำ�ทุกครั้ง รวมถึงกระตุ้นให้ผู้ใช้พืชกระท่อมเข้ารับ การตรวจสขุ ภาพตามแผนการตรวจสขุ ภาพของผู้ใชพ้ ชื กระท่อม เปน็ ตน้ นายศภุ วฒั น์ กลอ่ มวเิ ศษ ปราชญช์ าวบา้ นตำ�บลนา้ํ พุ เปน็ แกนนำ�และตวั แทนภาคประชาชนของผูใ้ ชพ้ ืชกระทอ่ มต�ำ บลนํ้าพุ เปน็ ทมี งานหลกั ในการส่อื สารและสรา้ งความเขา้ ใจตอ่ สาธารณะ เป็นผูพ้ ฒั นาอาสาสมคั รภาคประชาชนของผใู้ ช้พชื กระทอ่ มต�ำ บลนํ้าพุ จ�ำ นวน ๑๒ คน เพื่อรว่ มขับเคลือ่ นร่วมกับผใู้ หญ่บ้าน/ผ้ชู ่วยผูใ้ หญ่บา้ น/คณะกรรมการ หมบู่ า้ นทงั้ ๖ หม่บู ้าน ชุดปฏบิ ัตกิ ารเฉพาะกิจประจ�ำ ตำ�บล และ อสม. ประจำ�หม่บู ้าน เขา้ มาเป็นทีมขบั เคลื่อนในภาพรวม เปน็ ผ้รู ว่ มดำ�เนินการสำ�รวจขอ้ มูลและขึน้ ทะเบยี นผู้เสพและครอบครองพชื กระทอ่ ม เปน็ ผูร้ ่วมคิด ร่วมก�ำ หนด และร่วมพิจารณาธรรมนูญตำ�บล เปน็ ตัวแทนภาคประชาชนลงนามรบั รองธรรมนูญตำ�บล เปน็ แบบอย่างของภาคประชาชนในการปฏิบัติตามธรรมนญู ตำ�บลอย่างเครง่ ครัด เปน็ ผู้ตดิ ตามและประเมนิ ผลการบังคบั ใชธ้ รรมนูญต�ำ บลอยา่ งเปน็ ธรรม 38 เพ่ือนวิทยากร
Scan QR Code วารสาร ONCBhttp://km.oncb.go.th/m_webboard.php?lename=webboard วตั ถุประสงค์ ๑. เพอ่ื เสริมสรา้ งความรแู้ ละขอ้ มูลขา่ วสารแก่ผปู้ ฏิบตั หิ น้าทวี่ ิทยากร ท้ังวิทยากรปอ้ งกันยาเสพตดิ และวิทยากรกระบวนการ ๒. เพอื่ เสริมสรา้ งและให้ข้อมลู ข่าวสารแก่ผปู้ ฏบิ ตั งิ านดา้ นปอ้ งกัน ปราบปราม บ�ำ บัดรกั ษา และบรหิ ารจัดการ ๓. เพอ่ื ให้เกดิ การแลกเปลยี่ นความรู้ ประสบการณ์ ดา้ นการปอ้ งกันและแก้ไขปญั หายาเสพติด คณะที่ปรกึ ษา : นายวิชัย ไชยมงคล พ.ต.ต. สุริยา สงิ หกมล พ.ต.ท. ไพศิษฎ์ สงั คหะพงศ์ นายธนากร คัยนันท์ บรรณาธกิ าร : นายศริ สิ ุข ยืนหาญ กองบรรณาธิการ : น างสาวโชตริ ส อตุ สาหกจิ นายรฐั การ ศรศี กนุ นายชนิ ภาค สอนชอ่ื นางสาวจรี กานต์ ดาวฤกษ ์ นางสาวอญั ชลี ก�ำ เนดิ เวา้ นางสาวจริ าภา องั สุธนานนท ์ นางสาววงเดอื น เกตุคำ� นางสาวทพิ ยส์ รุ างค์ วะชมุ นางสาวมนัสนันท์ นุ่นเกดิ *บทความในวารสารเป็นลิขสิทธ์ิของส�ำ นกั งาน ป.ป.ส. ส�ำ หรบั การคดั ลอกเน้อื หาบทความเพ่ือการศกึ ษาหรือปฏบิ ตั ิงานให้อา้ งองิ แหล่งท่ีมา ใหค้ รบถ้วนสมบรู ณ์ สำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพตดิ สามารถดาวนโ์ หลดขอ้ มูลได้ที่ พิมพ์ที ่ : อัพทรูยู ครีเอทนิว จำ�กัด Office of the Narcotics Control Board http://km.oncb.go.th/main.php?lename=index# โทร. ๐ ๒๙๖๔ ๘๔๘๔ / ๐๘ ๕๘๔๕ ๘๔๖๘ E – mail: [email protected]
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: