โครงสร้างภายในลาต้น ลาตน้ พืชใบเลยี งคู่ ➢ สตลี (Stele) 2. พธิ (Pith) ✓ เป็นไส้ในของลาตน้ ✓ ทาหน้าทสี่ ะสมอาหาร รวมถงึ ช่วย ลาเลียงน้า เกลือแร่ และอาหารไปยงั ส่วน ตา่ ง ๆ ของลาตน้ Date Your Footer Here 51
โครงสรา้ งภายในลาต้น ลาตน้ พืชใบเลยี งเด่ียว ✓ ชนั้ ต้นเจริญเหมือนพืชใบเลีย้ งคู่ ต่างกัน ที่มดั ทอ่ ลาเลียง ✓ ด้านบนคือ โฟลเอม ✓ ด้านลา่ งของไซเล็ม เป็นชอ่ งอากาศ ✓ กลมุ่ มดั ท่อลาเลียงจะกระจายทกุ สว่ น ✓ เจริญเตบิ โตด้านข้างจากดั แตม่ ักจะ สงู ขน้ึ ✓ บางส่วนของพืชหายไป กลายเปน็ ชอ่ ง กลวงกลางลาต้น Date Your Footer Here 52
Date Your Footer Here 53
การเจริญเตบิ โตขน้ั ที่สองของลาต้นพืชใบเลย้ี งคู่ Date Your Footer Here 54
ชนิดของลาตน้ ต้นไมย้ ืนต้น 1. ลาต้นเหนือดนิ (Aerial Stem) ตน้ ไม้พ่มุ 1.1) ต้นไม้ยืนตน้ (Tree) 55 เป็นตน้ ไมท้ ี่มีลาต้นหลกั ตน้ เดยี ว และแตก กง่ิ กา้ นสาขาบรเิ วณยอด ลักษณะเนอื้ แขง็ ลาตน้ มี ขนาดใหญอ่ ายยุ ืนหลายปี 1.2) ตน้ ไม้พุ่ม (Shrub) เปน็ ต้นไมท้ ีม่ ีลาต้นหลักหลายตน้ มักมีเน้ือ ไมแ้ ขง็ แต่มีขนาดเล็กกวา่ ไมย้ นื ต้น แตกก่ิงกา้ นสาขา ใกล้บริเวณผิวดิน Date Your Footer Here
ชนดิ ของลาต้น กาแพงเงนิ ผเี สือ้ ราตรี 1. ลาตน้ เหนอื ดนิ (Aerial Stem) เศรษฐเี รือนนอก 1.3) ตน้ ไมล้ ้มลุก (Herb) เป็นต้นไมท้ มี่ เี นอื้ ไมอ้ อ่ นหรอื ไม่มีเนื้อไม้ ส่วนใหญ่มอี ายปุ ีเดียว บางชนดิ อาจอยู่ได้สองปีเม่อื ครบวงชีวติ จะตายไป Date Your Footer Here 56
ชนดิ ของลาต้น ขงิ 2. ลาต้นใตด้ นิ (Underground Stem) 2.1) ไรโซม (Rhizome) เป็นลาตน้ ใตด้ นิ ทมี่ ักขนานไปกับผิวดนิ มี ข้อและปล้องสัน้ ๆ ใบเกลด็ สนี า้ ตาลไมม่ คี ลอโรฟิลล์ หมุ้ ตาไว้ เชน่ ขิง ข่า ขมนิ้ หญ้าคา หญา้ แพรก Date Your Footer Here ขม้นิ 57
ชนิดของลาต้น มันฝร่งั 2. ลาต้นใต้ดิน (Underground Stem) 58 2.2) ทเู บอร์ (Tuber) เปน็ ลาตน้ ใตด้ นิ สั้นๆ ประกอบดว้ ยขอ้ และ ปล้องประมาณ 3-4 ปลอ้ ง ไม่มีใบเกล็ด ลาต้นมี อาหารสะสมทาใหอ้ วบอว้ น มีตาอยู่โดยรอบซ่งึ มักจะบ๋มุ ลงไป สามารถงอกตน้ ใหญช่ ขู ึน้ เหนอื ดนิ ในบริเวณตานน้ั ได้แก่ มันฝร่งั Date Your Footer Here
ชนดิ ของลาต้น 59 2. ลาตน้ ใตด้ นิ (Underground Stem) 2.3) บลั บ์ (Bulb) เปน็ ลาต้นใตด้ นิ ทต่ี ง้ั ตรง มปี ล้องสน้ั มาก ตามปลอ้ งมีใบเกลด็ ซอ้ นกนั หลายช้นั หอ่ ห้มุ ลาต้น เอาไวเ้ หน็ เป็นหวั ขนึ้ มา ใบเกลด็ น้จี ะทาหน้าที่ สะสมอาหาร เชน่ หอม กระเทียม พลับพลงึ Date Your Footer Here
ชนดิ ของลาตน้ เผอื ก ซอ่ นกลนิ่ ฝรั่ง 2. ลาต้นใตด้ นิ (Underground Stem) 2.4) คอร์ม (Corm) 60 เปน็ ลาตน้ ใต้ดินทตี่ งั้ ตรง มขี อ้ ปลอ้ ง เห็นชัดตามขอ้ มใี บเกลด็ บางๆ หุ้มลาต้นมี หนา้ ที่สะสมอาหารทาให้อวบอว้ น มตี าตามขอ้ สามารถงอกเป็นใบโผลข่ ึ้นเหนือดินหรืออาจ แตกเป็นลาตน้ ใต้ดินต่อไปได้ เชน่ เผอื ก ซอ่ นกลิ่นฝรงั่ Date Your Footer Here
ชนิดของลาต้น 3. ลาต้นท่เี ปลยี่ นแปลงไปเพอื่ ทาหน้าที่พเิ ศษ ลาต้นผักบ้งุ 3.1) ลาตน้ เลอื ย (Creeping Stem) เป็นลาตน้ ที่เลื้อยไปตามผวิ ดนิ หรือผิวนา้ ลาตน้ ตรอเบอรร์ ่ี และมีรากงอกออกมาจากบริเวณข้อแล้วแทงลงดนิ เพอื่ ช่วยยึดลาตน้ เชน่ สตรอเบอร์รี่ ผกั บงุ้ ผักตบชวา Date Your Footer Here 61
ชนิดของลาต้น ถ่ัวฝกั ยาว 3. ลาตน้ ท่เี ปลยี่ นแปลงไปเพอ่ื ทาหน้าทีพ่ ิเศษ องุน่ 62 3.2) ลาตน้ ปีนปา่ ย (Climbing Stem) เปน็ ลาตน้ ทีเ่ ล้อื ยหรอื ไต่ข้นึ ทีส่ ูง มีลาต้นอ่อน เปน็ พวกไมเ้ ถา (Vine) ซึง่ มหี ลายลักษณะ ไดแ้ ก่ ➢ ลาต้นปนี ปา่ ยพันกับหลกั เปน็ เกลียว เช่น ถว่ั ฝักยาว ➢ ลาต้นเปล่ยี นไปเปน็ มือพนั ยืดหดได้คล้าย ลวดสปรงิ เชน่ อง่นุ Date Your Footer Here
ชนิดของลาตน้ พลู พรกิ ไทย มะนาว สม้ 3. ลาต้นท่เี ปล่ยี นแปลงไปเพอ่ื ทาหนา้ ทพ่ี ิเศษ 3.2) ลาตน้ ปนี ปา่ ย (Climbing Stem) 63 ➢ ลาตน้ ปนี ป่ายโดยงอกรากออกจากข้อยึดตดิ กับหลกั หรือตน้ ไม้ เช่น พลู พรกิ ไทย ➢ ลาตน้ ทเี่ ปล่ยี นแปลงไปเป็นหนามรวมท้งั ขอ เกีย่ วสาหรับปนี ป่ายขน้ึ ที่สงู และป้องกัน อนั ตราย เชน่ สม้ Date Your Footer Here
ชนดิ ของลาต้น 3. ลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเพือ่ ทาหนา้ ท่ีพิเศษ 3.2) ลาต้นปีนปา่ ย (Climbing Stem) ➢ ตน้ มลี กั ษณะแบนคลา้ ยใบในพืชท่วั ๆ ไป ทาหน้าทส่ี งั เคราะห์ด้วยแสง เชน่ กระบองเพชร กระบองเพชร ➢ ลาตน้ ทเ่ี ปลย่ี นไปมลี ักษณะคลา้ ยใบมักใช้ กับกงิ่ กา้ นที่เป็นเสน้ เรียวเลก็ ทาหน้าทแี่ ทน ใบโดยมีสีเขยี วสามารถสงั เคราะห์ด้วยแสง ได้ เชน่ หนอ่ ไมฝ้ รัง่ สนปฏพิ ัทธ์ Date Your Footer Here หน่อไมฝ่ รั่ง 64
โครงสร้างและ หน้าทขี่ องใบ นางสาววรศิ รา วิฉายา แผนกสามญั สมั พนั ธ์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยเี ชียงใหม่
สว่ นประกอบของใบ 66 แผน่ ใบ ก้านใบ หูใบ เสน้ กลางใบ เสน้ ใบ Date Your Footer Here
สว่ นประกอบของใบ เสน้ ใบเรียงขนานคล้ายฝา่ มือ เสน้ ใบเรียงขนานคลา้ ยขนนก 1. แผ่นใบ (Blade) 67 1.1 เสน้ ใบเรยี งขนานกนั (Parallel Venation) เส้นใบจะเรยี งขนานกัน พบในใบพืชใบเล้ียง เด่ยี วแบ่งเป็นเสน้ ใบเรียงขนานคลา้ ยฝ่ามือ เช่น ใบไผ่ ใบมะพรา้ ว และเส้นใบเรยี งขนานคล้ายขน นก เช่น ใบตอง ใบพทุ ธรักษา Date Your Footer Here
ส่วนประกอบของใบ ใบมะละกอ ใบมะม่วง 1. แผน่ ใบ (Blade) 68 1.2 เสน้ ใบเรียงแบบร่างแห (Reticulate Venation) มีการแตกแขนงของเส้นใบย่อยออกไปทุกทศิ ทาง แลว้ มาประสานกันเปน็ ร่างแห พบในใบพชื ใบเลย้ี งคู่ มี เส้นใบใหญม่ ากกว่า 1 เสน้ แลว้ มเี สน้ ใบย่อยแตก และ เส้นใบเรยี งแบบรา่ งแหคล้ายขนนก มีเสน้ กลางใบ 1 เส้น มเี สน้ ใบย่อยแตกเป็นรา่ งแห Date Your Footer Here
ส่วนประกอบของใบ ก้านใบ 2. กา้ นใบ (Petiole) 69 เป็นสว่ นที่เชื่อมตอ่ ระหว่างตัวใบกับลาต้น มี ลกั ษณะเป็นงา่ ม เรยี กว่าซอกใบ เปน็ ที่อยู่ของตาพชื ใบ เลี้ยงคู่ 3. หใู บ (Stipule) เป็นส่วนของระยางคท์ ย่ี ่นื ออกมาตรงโคนใบที่ติด กับลาตน้ หูใบมักมอี ายไุ มน่ านและจะหลุดร่วงไป หูใบมัก มีสเี ขยี วแต่อาจมีสี Date Your Footer Here
ชนดิ ของใบ ใบน้อยหน่า ใบจามจรุ ี 1. ใบเดี่ยว (Simple Leaf) ใบทม่ี ีตัวใบแผ่นเดยี ว เช่น ใบนอ้ ยหน่า มะม่วง 70 ชมพู่ 2. ใบประกอบ (Compound Leaf) ใบท่มี ีตวั ใบหลายแผน่ ติดอย่กู บั ก้านใบเดยี ว เช่น ข้เี หลก็ ใบจามจุรี ใบย่อย แบง่ เป็น 2 ประเภท Date Your Footer Here
ชนดิ ของใบ 1) ใบประกอบแบบขนนก (Pinnately Compound Leaf) 2) ใบประกอบแบบฝา่ มอื (Palmately Compound Leaf) Date Your Footer Here 71
โครงสร้างภายในของใบ 1. เอพเิ ดอรม์ สิ (Epidermis) เป็นเซลล์ชั้นนอกสุด มที ง้ั ด้านหลงั ใบและทอ้ งใบ ผนังเซลล์ดา้ นที่สมั ผัสกบั ดา้ นนอกจะหนา กวา่ ด้านใน ซ่ึงชว่ ยป้องกนั อันตรายจากภายนอก 72 Date Your Footer Here
โครงสร้างภายในของใบ 2. มโี ซฟลิ ล์ (Mesophyll) เปน็ เน้อื เยือ่ พน้ื ของใบทปี่ ระกอบดว้ ยเซลล์รูปรา่ งยาวเรียงชิดตดิ กนั คลา้ ยร้วั อย่ทู างดา้ นหลัง ใบ แบ่งเปน็ 2 ชั้น Your Footer Here 73 Date
โครงสร้างภายในของใบ 1) แพลิเซดมโี ซฟิลล์ เซลล์มรี ปู ร่างรยี าวหรือรูปตัวยูตัง้ ฉากกบั เอพิเดอร์มสิ อยู่ติดกับด้านหลังใบ 2) สปันจีมโี ซฟลิ ล์ เซลล์มรี ูปรา่ งรกี ลม อยตู่ ดิ กบั ด้านทอ้ งใบเซลล์เกาะตัวกนั อยา่ งหลวมๆ และไม่เปน็ ระเบียบ Date Your Footer Here 74
ใบทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปทา หนา้ ท่ีพเิ ศษ 1. มือเกาะ (Leaf Tendril) กระบองเพชร ใบมะระ เป็นใบทีเ่ ปลย่ี นแปลงมาเปน็ มือเกาะ เพื่อพยงุ ลา ต้นใหไ้ ตข่ น้ึ ที่สงู ได้ เช่น มอื เกาะของถ่วั ลันเตา มะระ 75 ตาลึง เปน็ ตน้ 2. หนาม (Leaf Spine) เปน็ ใบทีเ่ ปลี่ยนแปลงไปเปน็ หนาม เพื่อใช้เปน็ เครอ่ื งปอ้ งกนั อนั ตรายตา่ ง ๆ จากศัตรหู รือสัตวท์ ี่จะมากนิ และปอ้ งกนั การระเหยของนา้ Date Your Footer Here
ใบทเ่ี ปลี่ยนแปลงไปทา หนา้ ที่พิเศษ 3. ใบสะสมอาหาร (Storage Leaf) กลีบของหัวหอม เปน็ ใบทีเ่ ปล่ยี นแปลงไปเป็นอวัยวะสาหรบั เก็บ หรอื สะสมอาหาร คว่าตายหงายเปน็ 4. ใบสบื พนั ธ์ุ (Vegetative Reproduction 76 Leaf) เปน็ ใบทเ่ี ปลี่ยนแปลงมาเพื่อสบื พันธุ์ เพอื่ ช่วยใน การแพร่พันธุ์ของพชื Date Your Footer Here
ใบทเี่ ปลยี่ นแปลงไปทา หน้าท่ีพิเศษ ผกั ตบชวา 5. ใบเกลด็ (Scale Leaf) 77 เปน็ ใบทเี่ ปล่ยี นแปลงไปเปน็ เกล็ดเล็ก ๆ มักไม่มี คลอโรฟลิ ล์ เช่น ขิง ขา่ เผือก 6. ท่นุ ลอย (Floating Leaf) พืชนา้ บางชนดิ เชน่ ผักตบชวา ลอยน้าโดยอาศัย ก้านใบพองโตออกและมชี ่องวา่ งอากาศใหญ่ ทาใหม้ ี อากาศอยมู่ ากจงึ ชว่ ยพยงุ ใหล้ าตน้ ลอยน้าอยไู่ ด้ Date Your Footer Here
ใบทเ่ี ปล่ียนแปลงไปทา หน้าท่พี เิ ศษ 7. ใบประดบั หรือใบดอก (Bract) เฟอ่ื งฟ้า เป็นใบที่เปลยี่ นแปลงพิเศษเพื่อรองรับดอก โดย กาบหอยแครง อยู่บริเวณก้านดอก สสี ันสวยงามคล้ายดอก 78 8. ใบกบั ดกั แมลง (Insectivorous Leaf) เป็นใบทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปเป็นกบั ดักแมลงหรอื สัตวเ์ ล็ก ภายในกบั ดักจะมตี ่อมสรา้ งน้ายอ่ ยอาหาร จาพวกโปรตนี Date Your Footer Here
การลาเลยี งน้า ของพชื นางสาววรศิ รา วฉิ ายา แผนกสามญั สัมพนั ธ์ วทิ ยาลยั เกษตรและเทคโนโลยีเชยี งใหม่
กลไกการลาเลยี งน้าของพืช 1. แรงดนั ราก (Root Pressure) ✓ เมื่อรากดดู น้าในปริมาณมากจะเกิดแรงดนั ทีด่ นั ของเหลวไหลไปตามท่อลาเลยี งน้า ✓ ปากใบเปดิ จะมีแรงดันรากต่อเน่อื งจนทา ใหน้ า้ ออกเปน็ ไอน้าทปี่ ากใบ ✓ ปากใบปดิ น้าจะออกมาเปน็ หยดนา้ ที่ปลาย ของเส้นใบซ่งึ มรี ูเล็ก ๆ Date 80
กลไกการลาเลียงน้าของพืช 81 Date
กลไกการลาเลยี งน้าของพืช 2. แรงดึงเนื่องจากการคายนา (Transpiration Pull) Date ✓ น้าเคลอ่ื นท่ีไปตามหลอดเลก็ ๆ เรียกวา่ กระบวนการคะปลิ ลารแี อคช่ัน ✓ อัตราการคายนา้ และการดูดน้าของ รากต้องสมดุลกนั ✓ ท่อลาเลยี งนา้ ตอ้ งไมม่ ฟี องอากาศเข้า แทรก เพราะจะทาใหก้ ารลาเลียงนา้ ชา้ กว่าเดมิ หรอื หยุดชะงักได้ 82
โครงสรา้ งทีท่ าหนา้ ท่ีในการลาเลยี งน้า 1. อะโพพลาสต์ (Apoplast) คอื การท่ีน้าและแร่ธาตผุ ่าน จากเซลลห์ นง่ึ ไปยงั เซลลห์ นงึ่ โดย ผา่ นชอ่ งวา่ งระหว่างผนังเซลลใ์ นชั้น คอรเ์ ทกซแ์ ละผา่ นเซลล์ทไ่ี มม่ ีชีวติ คือ เทรคีด และ เวสเซล Date 83
โครงสรา้ งทท่ี าหนา้ ที่ในการลาเลียงน้า 2. ซมิ พลาสต์ (Symplast) คือ การทนี่ ้าและแร่ธาตผุ ่าน จากเซลลห์ นงึ่ ไปยงั อีกเซลลห์ นึง่ โดย ผา่ นไซโทพลาซึมทเี่ ชอ่ื มตอ่ กันและ ทะลุไปอีกเซลล์หนึ่ง และผา่ นทาง พลาสโมเดสมาตา (Plasmodesmata) Date 84
ข้นั ตอนการลาเลยี งน้าและแรธ่ าตุ 1. เมื่อน้าและแรธ่ าตุผ่านขน รากของชนั้ เอพิเดอรม์ สิ Date 2. ถา้ การลาเลยี งน้นั เขา้ ทาง อะโพพลาสต์ 3. นา้ และแร่ธาตุทีเ่ ขา้ สู่ เอนโดเดอรม์ สิ ทางผนังเซลล์ ด้วยวธิ ีอะโพพลาสต์ 4. เซลล์ของเอนโดเดอรม์ ิส และเซลล์ในชนั้ สตลี 85
ปจั จัยควบคมุ การลาเลยี งนา้ 1. ปรมิ าณนาในดิน ✓ เมือ่ นา้ ในดนิ มปี ริมาณมากพอ อัตราการดดู น้าของรากกจ็ ะมากตาม ✓ ถา้ มนี ้าท่วมขังราก อัตราการดูดนา้ จะลดลง มีผลทาให้รากขาดน้าได้ Date 86
ปจั จยั ควบคมุ การลาเลียงน้า 87 2. อุณหภมู ใิ นดิน ต้องไม่สงู หรือตา่ เกนิ ไป 3. สารละลายในดนิ หากเข้มขน้ สูงมากจะทา ให้พืชตอ้ งสญู เสียน้าให้กับดนิ 4. อากาศในดิน รากต้องการแกส๊ ออกซิเจนไป ใชใ้ นกระบวนการเมแทบอลซิ ึม ดงั นัน้ ดินจะตอ้ ง ไมอ่ ดั แนน่ หรือ มนี า้ ขัง Date
การปิดเปิดของปากใบ 88 Date
การปดิ เปดิ ของปากใบ 1. แสงสว่าง ตอนกลางวันเกดิ กระบวนการสงั เคราะห์ Date ดว้ ยแสง ปริมาณนา้ ตาลในเซลล์มาก ทาใหเ้ ซลล์ คมุ เต่ง ปากใบเปิด 2. ปริมาณคารบ์ อนไดออกไซด์ หากมีปริมาณมาก จะทาใหป้ ากใบปดิ 3. อุณหภมู ิทเ่ี หมาะสม หากอุณหภมู ิสงู หรือตา่ เกินไปจะทาให้ ปากใบปดิ 4. ปรมิ าณนาภายในใบ 5. ฮอร์โมนบางชนิด 89
ความสาคัญของน้าต่อพืช 90 1. นาเปน็ ส่วนประกอบทสี่ าคญั ในเซลลพ์ ืช 2. นาชว่ ยให้เซลลพ์ ืชเต่ง 3. นาเป็นตวั ทาละลาย 4. นาเปน็ ตวั รว่ มในปฏกิ ิรยิ าเคมใี นเซลล์ 5. นาทาหน้าทีค่ วบคมุ อุณหภูมิของเซลล์และลาตน้ พชื Date
การลาเลยี ง สารอาหารของพชื นางสาววริศรา วิฉายา แผนกสามญั สัมพนั ธ์ วทิ ยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชยี งใหม่
กระบวนการลาเลยี งสารอาหารของพืช 1. การแพร่ (Diffusion) เปน็ การลาเลียงสารอาหารโดย เคลอื่ นที่ไปตามความเข้มขน้ ของสาร 2. การไหลเวยี นของโพรโทพลาซึม (Protoplasm Streaming) สารอาหารภายในโพรโทพลาซึมของ ซฟี ทวิ บเ์ คลื่อนทไี่ ปอีกเซลล์หนงึ่ โดยผา่ น ช่องพลาสโมเดสมาตา Date 92
3. การไหลของอาหารเนือ่ งจากแรงดนั (Pressure Flow) 3.1) น้าตาลทพี่ ืชสร้างข้ึนจากกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง ส่วนหน่งึ จะถูกเปลี่ยนเป็น นา้ ตาลซโู ครสแลว้ ลาเลยี งเข้าไปในซีฟทวิ บโ์ ดยใช้ ATP 3.2) น้าจากเซลลข์ ้างเคียงออสโมซิสเข้ามาและเพ่ิมแรงดนั ในซฟี ทวิ บ์ 3.3) แรงดนั ทเี่ พ่ิมขึ้นจะดนั ให้สารละลายน้าตาลซโู ครสลาเลียงไปตามท่อจนถงึ เน้ือเย่อื ตา่ ง ๆ 3.4) นา้ ตาลซโู ครสจะออกจากซฟี ทิวบ์เพอ่ื ใชใ้ นกระบวนการตา่ ง ๆ หรือสะสมไว้ในเซลล์ 3.5) เมื่อน้าตาลซโู ครสถูกลาเลียงออกจากซีฟทิวบ์ ทาให้ความเข้มข้นของสารในซฟี ทวิ บ์ ลดลง นา้ จงึ ออสโมซิสไปยังเซลล์ขา้ งเคยี งกลบั เข้าสไู่ ซเล็ม 3.6) เมื่อนา้ กลบั เข้าไปในไซเลม็ การคายน้าของพชื ก็จะดึงใหน้ ้ากลบั ขนึ้ ไปสูใ่ บตอ่ ไป Date 93
3. การไหลของอาหารเนื่องจากแรงดนั (Pressure Flow) Date 94
กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง Date 95
กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง เปน็ กระบวนการทพี่ ชื สเี ขยี วซง่ึ มีคลอโรฟิลลเ์ ป็นตัวนาพลังงานแสงเปลยี่ นเป็น พลังงานเคมี โดยมนี า้ และคารบ์ อนไดออกไซดเ์ ป็นวตั ถุดบิ ผลท่ีไดค้ อื ออกซิเจน นา้ ตาล กลโู คส และน้า Date 96
ปจั จัยสาคัญในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 1. ปจั จัยเก่ียวกบั พืช คอื ชนิดของพืช สภาพทางสรรี วทิ ยา เช่น ใบพชื ท่อี ่อนหรือแก่เกินไป พบว่า ความสามารถในการสงั เคราะห์ด้วยแสงต่า Date 97
ปจั จัยสาคัญในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 2. ปัจจยั เกย่ี วกับสิ่งแวดล้อม 2.1) แสงสวา่ ง (Light) เป็นปัจจัยสาคญั ทพ่ี ชื ใช้เปน็ พลังงาน กระตนุ้ การเกิดกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง 2.2) อุณหภมู ิ (Temperature) อณุ หภูมิทีเ่ หมาะสมอยชู่ ่วงประมาณ 10 – 35 องศาเซลเซียส หากสงู เกนิ ไปจะทาให้ เอนไซมเ์ ส่อื มสภาพลง Date 98
ปจั จัยสาคญั ในกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง 2. ปัจจัยเกี่ยวกบั ส่งิ แวดล้อม 2.3) แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) เป็นองค์ประกอบสาคญั ในการสรา้ งนา้ ตาล 2.4) นา (H2O) เปน็ ตวั ใหไ้ ฮโดรเจนท่ใี ช้ในการสรา้ งนา้ ตาล 2.5) คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ทาหน้าท่ีดดู กลนื พลงั งานแสง Date 99
ปจั จยั สาคัญในกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง Date Your Footer Here 100
Search