Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นานวน.หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-๖๓ใช้

นานวน.หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-๖๓ใช้

Published by โรงเรียน บ้านนานวน, 2020-09-24 11:01:04

Description: นานวน.หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-๖๓ใช้

Search

Read the Text Version

หลักสตู รสถานศึกษา ระดบั การศึกษาปฐมวยั โรงเรยี นบา้ นนานวน พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ ตามหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ จดั ทาโดย นางสาวณฐั ปภสั ร์ แขมคา ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะครชู านาญการพเิ ศษ หัวหน้ากลมุ่ การเรยี นรปู้ ฐมวัย สำนกั งำนเขตพืน้ ที่กำรศกึ ษำประถมศึกษำสรุ นิ ทร์ เขต ๒ สำนักงำนคณะกรรมกำรศกึ ษำขั้นพ้ืนฐำน กระทรวงศกึ ษำธิกำร

คำนำ หลกั สูตรสถานศกึ ษา ระดับการศึกษาปฐมวยั พุทธศักราช ๒๕๖๓ จดั ทาข้นึ เพอ่ื ให้โรงเรียน บ้านนานวน ซงึ่ จดั การศึกษาระดับปฐมวยั ตามหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ โดยปรับปรุงให้ เหมาะสมกบั เดก็ และสภาพทอ้ งถน่ิ เพือ่ ทก่ี าหนดเป้าหมายในการพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ให้มีพัฒนาการด้านรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสติปญั ญา เป็นคนดี มวี นิ ัย สานึกความเปน็ ไทย และมคี วามรับผดิ ชอบต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม และประเทศไทยในอนาคต อยา่ งมีประสิทธภิ าพและได้มาตรฐานตามจุดหมายหลักสูตร การศึกษาปฐมวยั พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ โรงเรียนบา้ นนานวน สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาสรุ ินทร์ เขต ๒ ขอขอบคุณผู้ทีม่ ี สว่ นเกีย่ วข้องทุกท่าน รว่ มทง้ั คณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนบ้านนานวน ที่มสี ว่ นร่วมในการพัฒนาหลักสตู ร สถานศึกษาปฐมวยั พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ ให้มีความเหมาะสมต่อการนาไปใช้จดั การศึกษาระดับปฐมวยั ของ โรงเรยี นต่อไป คณะผจู้ ัดทำ

สำรบัญ หนำ้ คานา ๑ ความนา ๑ ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย ๑ วิสัยทัศน์ ๒ หลกั การ ๓ แนวคิดการจดั การศกึ ษาปฐมวัย ๔ ปรชั ญาการศกึ ษาปฐมวัยโรงเรยี น ๔ ๘) พัฒนาการเดก็ ปฐมวยั ๑๗ มาตรฐานคุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ ตวั บง่ ช้ี และสภาพทพ่ี งึ ประสงค์ ๑๙ เปา้ หมายหลักสตู ร ๒๐ โครงสร้างหลักสตู ร ๒๐ การจัดเวลาเรยี น ๒๕ สาระการเรยี นรู้รายปี ๒๘ การจัดประสบการณ์ การสร้างบรรยากาศการเรยี นรู้ ๒๙ สอื่ และแหล่งเรยี นรู้ ๓๖ การประเมนิ พัฒนาการ ๕๐ การบริหารจดั การหลักสตู ร ๕๓ การจดั การศึกษาปฐมวัย(เดก็ อาย๓ุ -๕ป)ี สาหรบั กลุ่มเปา้ หมายเฉพาะ ๕๓ การเชือ่ มตอ่ ของการศกึ ษาระดับปฐมวัย กบั ระดับประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ๕๕ การกากบั ติดตาม ประเมินและรายงาน ภาคผนวก ๕๖ คาสั่ง

“ ประกาศโรงเรียนบ้านนานวน เรือ่ ง ให้ใช้หลกั สูตรสถานศึกษา ระดับการศึกษาปฐมวยั โรงเรียนบ้านนานวน พทุ ธศกั ราช 256๓ ตามหลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั พทุ ธศกั ราช 2560 กระทรวงศกึ ษาธกิ ารไดม้ คี าสั่งท่ี สพฐ. 1223/2560 ลงวนั ท่ี 3 สงิ หาคม 2560 ใหใ้ ชห้ ลกั สตู ร การศกึ ษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 แทนหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ต้งั แตป่ ีการศึกษา 2561 เปน็ ต้นไป เพื่อใหส้ ถานศึกษานาหลักสตู รไปใช้โดยปรับปรงุ ใหเ้ หมาะสมกับเดก็ และสภาพทอ้ งถน่ิ โรงเรยี นบา้ นนานวน จึงได้ดาเนินการจัดทาหลักสตู รสถานศึกษาปฐมวัย โรงเรยี นบา้ นนานวน พทุ ธศักราช 256๓ ตามหลักสตู รการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ บรรลมุ าตรฐาน คณุ ลกั ษณะท่พี ึงประสงคต์ ามทห่ี ลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัยกาหนด โดยคานงึ ถึงวิสยั ทศั น์ จุดเน้น ภมู ิปญั ญา ทอ้ งถน่ิ สภาพบรบิ ท และความตอ้ งการของชมุ ชน รวมทัง้ การเปลีย่ นแปลงทางสงั คมเศรษฐกิจ สอดคล้องกบั ธรรมชาติและการเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั ทัง้ น้ี หลักสูตรดงั กล่าวไดร้ ับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน โรงเรียน บา้ นนานวน ในคราวการประชุม คร้งั ที่ ๒๐/๒๕๖๓ เมื่อวนั ท่ี ๒ มถิ ุนายน 256๓ จงึ ประกาศใหใ้ ชห้ ลักสูตร สถานศกึ ษาปฐมวัย โรงเรียนบ้านนานวน พุทธศักราช 256๓ ต้ังแตป่ ีการศึกษา 256๓ เปน็ ต้นไป ประกาศ ณ วันท่ี ๘ เดือน มิถุนายน พ.ศ. 256๓ (นายสมพร โคตรชัย) (นายปณิธาร ห้าวหาญ) ประธานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน ผู้อานวยการโรงเรียนบา้ นนานวน โรงเรียนบา้ นนานวน

ควำมนำ สภาพการเปลีย่ นแปลงดา้ นเศรษฐกิจ สังคม และความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีสารสนเทศประกอบกบั รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ รวมทง้ั กรอบยทุ ธศาสตรช์ าติ ระยะ ๒๐ ปี(พ.ศ. ๒๕๖๐- ๒๕๗๙) แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๖๑) แผนยุทธศาสตร์ชาติดา้ นเด็กปฐมวยั (พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๖๔)นาไปสู่การกาหนดทกั ษะสาคญั สาหรบั เดก็ ในศตวรรษที่ ๒๑ ที่มีความสาคัญในการกาหนดเปา้ หมายในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มคี วาม สอดคลอ้ งและทนั ต่อการเปลี่ยนแปลงทุกด้าน กระทรวงศึกษาธิการมนี โยบายให้มกี ารพัฒนาการศกึ ษาปฐมวัยอยา่ งจริงจังและตอ่ เน่อื งโดยได้แต่งต้งั คณะทางานพจิ ารณาหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย เพ่ือปรบั ปรุงให้สอดคลอ้ งกบั สภาพการเปล่ยี นแปลงดงั กลา่ ว หลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั พุทธศักราช ๒๕๖๐ เปน็ หลกั สตู รสถานศกึ ษา สถาบันพัฒนาเด็กปฐมวัย และ หน่วยงานทเี่ กย่ี วขอ้ ง นาไมใชเ้ ป็นกรอบและทิศทางในการพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและ ไดม้ าตรฐานตามจุดหมายหลักสตู รการศึกษาปฐมวัย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ท่ีกาหนดเป้าหมายในการพฒั นาเด็ก ปฐมวัยใหม้ พี ฒั นาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสติปัญญา ครอบครวั ชมุ ชน สงั คม และ ประเทศชาติในอนาคต ปรัชญำของหลกั สตู รกำรศึกษำปฐมวยั การศึกษาปฐมวัยเปน็ การพฒั นาเด็กตงั้ แต่แรกเกิดถึง ๖ ปี บริบูรณ์ อย่างเปน็ องค์รวม บนพ้นื ฐานการ อบรมเลย้ี งดู และส่งเสริมกระบวนการเรียนรทู้ สี่ นองต่อธรรมชาตแิ ละพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคนให้เตม็ ตามศกั ยภาพภายใต้บริบทสงั คมและวฒั นธรรมทเ่ี ด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเออ้ื อาทร และความเข้าใจของ ทุกคน เพ่ือสร้างรากฐานคุณภาพชวี ิตให้เด็กพฒั นาไปสู่ความเป็นมนษุ ยท์ ่สี มบรู ณเ์ กิดคุณคา่ ตอ่ ตนเอง ครอบครัว สงั คม และประเทศชาติ วสิ ยั ทัศน์ หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัยมุ่งพฒั นาเด็กทุกคนให้ได้รบั การพฒั นาด้านร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และ สติปญั ญาอยา่ งมีคณุ ภาพและตอ่ เนือ่ ง ได้รับการจัดประสบการณ์การเรยี นรอู้ ย่างมคี วามสุขและเหมาะสมตามวยั มที ักษะชวี ิตและปฏบิ ัติตนตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง เป็นคนดี มีวนิ ยั และสานกึ ความเปน็ ไทย โดย ความรว่ มมือระหว่างสถานศกึ ษา พอ่ แม่ ครอบครวั ชุมชน และทกุ ฝา่ ยที่เก่ียวข้องกบั การพฒั นาเด็ก

ภำรกจิ /พันธกิจ ๑. พฒั นาหลักสตู รสถานศกึ ษาทีม่ ุง่ เน้นพฒั นาการเดก็ ปฐมวัยทง้ั ๔ ด้าน อย่างสมดลุ และเต็มศกั ยภาพ ๒. พัฒนาครแู ละบคุ ลากรดา้ นการจัดประสบการณท์ ่ีสง่ เสรมิ การเรียนรผู้ า่ นการเลน่ ทม่ี ีจดุ หมายอยา่ ง ตอ่ เนือ่ ง ๓. ส่งเสริมสนับสนนุ การจดั สภาพแวดลอ้ ม สอ่ื เทคโนโลยแี ละแหลง่ เรียนรู้ในการพฒั นาเดก็ ปฐมวัย ๔. จดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ ่หี ลากหลายซึ่งสอดคลอ้ งกับพัฒนาการทางสมองของเด็ก โดยนาหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและแหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถน่ิ มาใชเ้ สริมสร้างพฒั นาการและการเรยี นรู้ของ เดก็ ๕. สง่ เสริมการมสี ว่ นรว่ มของผปู้ กครองและชุมชนในการพฒั นาเดก็ ปฐมวัย หลกั กำรและจุดหมำยของหลักสตู ร เด็กทุกคนมสี ิทธท์ิ จี่ ะได้รบั การอบรมเลยี้ งดแู ละส่งเสรมิ พฒั นาการตามอนุสัญญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ด็ก ตลอดจนได้รับการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้อย่างเหมาะสม ดว้ ยปฏิสัมพนั ธ์ท่ีดีระหว่างเด็กกับพอ่ แม่ เด็กกบั ผู้สอน เด็กกบั ผูเ้ ลี้ยงดูหรอื ผ้ทู ี่เกยี่ วข้องในการอบรมเลี้ยงดู การพัฒนา และใหก้ ารศกึ ษาแก่เดก็ ปฐมวยั เพ่ือให้ เดก็ มีโอกาสพฒั นาตนเองตามลาดับขั้นของพัฒนาการทุกดา้ น อยา่ งเป็นองค์รวม มคี ุณภาพ และเต็มตาม ศักยภาพโดยมีหลกั การดังนี้ ๑. ส่งเสริมกระบวนการเรยี นรู้และพฒั นาการท่ีครอบคลมุ เดก็ ปฐมวยั ทกุ คน ๒. ยึดหลักการอบรมเล้ียงดูและให้การศึกษาท่ีเน้นเด็กเป็นสาคัญ โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่าง บคุ คลและวถิ ชี ีวิตของเดก็ ตามบรบิ ทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย ๓. ยดึ พัฒนาการและการพฒั นาเด็กโดยองคร์ วมผา่ นการเล่นอยา่ งมีความหมายและมกี จิ กรรมที่ หลากหลาย ไดล้ งมือกระทาในสภาพแวดลอ้ มทีเ่ อ้ือต่อการเรยี นรู้ เหมาะสมกบั วัย และมีการพักผ่อนที่เพยี งพอ ๔. จัดประสบการณก์ ารเรียนรใู้ ห้เด็กมีทกั ษะชวี ติ และสามารถปฏิบตั ติ นตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง เปน็ คนดี มวี นิ ยั และมคี วามสขุ ๕. สร้างความรู้ ความเขา้ ใจและประสานความรว่ มมือในการพฒั นาเด็กระหว่างสถานศกึ ษากับพอ่ แม่ ครอบครวั ชุมชน และทกุ ฝ่ายท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการพัฒนาเดก็ ปฐมวยั

แนวคิดกำรจัดกำรศึกษำปฐมวยั หลกั สูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ พฒั นาขึ้นบนแนวคดิ หลักสาคัญเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก ปฐมวัย โดยถือว่าการเลน่ ของเดก็ เป็นหัวใจสาคัญของการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ ภายใต้การจัด สภาพแวดลอ้ มท่เี อื้อตอ่ การทางานของสมอง ผ่านส่ือที่ตอ้ งเอื้อให้เด็กไดเ้ รยี นร้ผู ่านการเล่นประสาทสัมผัสทัง้ ห้า โดยครูจาเป็นตอ้ งเขา้ ใจและยอมรับว่าสงั คมและวัฒนธรรมทแ่ี วดลอ้ มตวั เดก็ มีอิทธิพลต่อการเรยี นรแู้ ละการ พัฒนาศกั ยภาพและพฒั นาการของเดก็ แตล่ ะคน ทงั้ นี้ หลกั สูตรฉบับนี้มีแนวคดิ ในการจัดการศกึ ษาปฐมวัย ดงั นี้ ๑. แนวคดิ เกีย่ วกับพัฒนำกำรเด็ก พฒั นาการของมนุษย์เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลงท่เี กดิ ขึ้น ตอ่ เน่อื งในตวั มนษุ ย์เรม่ิ ต้งั แตป่ ฏสิ นธไิ ปจนตลอดชวี ิต พัฒนาการของเด็กแต่ละคนจะมีลาดับข้นั ตอนลักษณะ เดียวกัน แต่อัตราและระยะเวลาในการผ่านข้ันตอนตา่ งๆอาจแตกตา่ งกนั ได้ขนั้ ตอนแรกๆจะเปน็ พน้ื ฐานสาหรบั พัฒนาการขัน้ ต่อไป พัฒนาการดา้ นร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คมและสติปญั ญา แตล่ ะสว่ นสง่ ผลกระทบซึง่ กนั และกัน เมอ่ื ด้านหนึ่งก้าวหนา้ อีกดา้ นหน่ึงจะกา้ วหน้าตามด้วยในทานองเดยี วกันถา้ ดา้ นหนึ่งด้านใดผดิ ปกติจะทา ให้ดา้ นอ่ืนๆผดิ ปกติตามดว้ ย แนวคิดเกย่ี วกบั ทฤษฎีพฒั นาการดา้ นร่างกายอธิบายว่าการเจริญเติบโตและ พัฒนาการของเด็กมีลักษณะต่อเนือ่ งเป็นลาดับชนั้ เดก็ จะพฒั นาถึงข้ันใดจะตอ้ งเกิดวฒุ ิภาวะของความสามารถ ด้านนนั้ กอ่ น สาหรบั ทฤษฎดี ้านอารมณ์ จิตใจ และสังคมอธบิ ายวา่ การอบรมเลยี้ งดูในวยั เด็กสง่ ผลตอ่ บคุ ลกิ ภาพ ของเด็ก เมือ่ เตบิ โตเป็นผู้ใหญ่ ความรกั และความอบอุ่นเป็นพนื้ ฐานของความเช่ือมน่ั ในตนเอง เด็กทีไ่ ดร้ บั ความ รักและความอบอุน่ จะมีความไว้วางใจในผู้อ่ืน เหน็ คุณค่าของตนเอง จะมคี วามเช่ือมน่ั ในความสามารถของตน ทางานร่วมกับผู้อนื่ ได้ดี ซ่งึ เป็นพนื้ ฐานสาคัญของความเปน็ ประชาธปิ ไตยและความคิดรเิ รม่ิ สร้างสรรค์และทฤษฎี พฒั นาการด้านสติปญั ญาอธบิ ายว่า เดก็ เกดิ มาพร้อม วุฒภิ าวะ ซง่ึ จะพัฒนาข้ึนตามอายุ ประสบการณ์ รวมทงั้ ค่านิยมทางสังคมและสิง่ แวดล้อมทเ่ี ดก็ ได้รับ ๒. แนวคดิ เกยี่ วกับกำรเลน่ ของเด็ก การเล่นเป็นหวั ใจสาคัญของการจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ การ เลน่ อย่างมจี ุดมงุ่ หมายเปน็ เครอ่ื งมือการเรยี นร้ขู น้ั พืน้ ฐานท่ถี อื เป็นองคป์ ระกอบสาคัญในกระบวนการเรยี นร้ขู อง เด็ก ขณะที่เด็กเลน่ จะเกดิ การเรยี นร้ไู ปพรอ้ มๆกนั ด้วย จากการเลน่ เด็กจะมโี อกาสเคล่ือนไหวสว่ นต่างๆของ รา่ งกาย ไดใ้ ช้ประสาทสัมผัสและการรับรู้ผอ่ นคลายอารมณ์ และแสดงออกของตนเอง เรยี นรคู้ วามรสู้ ึกของผู้อื่น เดก็ จะรู้สกึ สนุกสนาน เพลิดเพลนิ ไดส้ ังเกต มโี อกาสทาการทดลอง คดิ สร้างสรรค์ คิดแกป้ ัญหาและค้นพบด้วย ตนเอง การเล่นช่วยให้เด็กเรียนรูส้ ิ่งแวดลอ้ ม และชว่ ยใหเ้ ด็กมีพฒั นาการทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสติปญั ญา ดังนัน้ เดก็ ควรมีโอกาสเล่น ปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคล ส่งิ แวดลอ้ มรอบตวั และเลอื กกิจกรรมการเล่น ดว้ ยตนเอง

๓. แนวคิดเกย่ี วกบั กำรทำงำนของสมอง สมองเป็นอวยั วะที่มคี วามสาคญั ท่ีสดุ ในรา่ งกายของคนเรา เพราะการที่มนษุ ย์สามารถเรียนรู้สิ่งตา่ งๆได้นั้นตอ้ งอาศยั สมองและระบบประสาทเปน็ พืน้ ฐานการรับรู้ รบั ความรสู้ ึกจากประสาทสมั ผสั ทั้งหา้ การเช่ือมโยงต่อกนั ของเซลล์สมองส่วนมากเกิดขนึ้ ก่อนอายุ ๕ ปี และ ปฏิสมั พันธแ์ รกเร่ิมระหว่างเดก็ กับผใู้ หญ่ มีผลโดยตรงต่อการสรา้ งเซลล์สมองและจดุ เช่อื มต่อ โดยในชว่ ง ๓ ปี แรกของชวี ิต สมองเจรญิ เติบโตอยา่ งรวดเรว็ มาก มกี ารสร้างเซลล์สมองและจุดเชือ่ มตอ่ ข้ึนมามากมาย มีการ สร้างไขมนั หรือมันสมองหุ้มล้อมรอบเส้นใยสมองดว้ ย พอเดก็ อายุ ๓ ปี สมองจะมขี นาดประมาณ ๘๐ % ของ สมองผู้ใหญ่ มีเซลล์สมองนบั หมื่นลา้ นเซลล์ เซลล์สมองและจุดเช่ือมตอ่ เหล่านยี้ ่งิ ได้รับการกระตนุ้ มากเท่าใด การ เชอื่ มต่อกนั ระหว่างเซลลส์ มองยิ่งมีมากขน้ึ และความสามารถทางการคดิ ยิ่งมมี ากขึ้นเท่านนั้ ถา้ หากเดก็ ขาดการ กระตนุ้ หรอื ส่งเสรมิ จากสง่ิ แวดลอ้ มท่เี หมาะสม เซลลส์ มองและจดุ เชือ่ มต่อท่สี ร้างขนึ้ มาก็จะหายไป เดก็ ที่ได้รับ ความเครียดอย่ตู ลอดเวลาจะทาให้ขาดความสามารถท่ีจะเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างๆของสมองเจริญเตบิ โต และเร่มิ มีความสามารถในการทาหน้าท่ีในช่วงเวลาตา่ งกนั จงึ อธิบายได้ว่าการเรียนรู้ทกั ษะบางอยา่ งจะเกิดขนึ้ ได้ ดที ่ีสดุ เฉพาะในช่วงเวลาหนึ่งทเ่ี รียกวา่ ”หน้าต่างของโอกาสการเรียนรู้” ซง่ึ เปน็ ชว่ งท่พี ่อแม่ ผู้เลยี้ งดูและครู สามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้และพัฒนาสิง่ นัน้ ๆได้ดีท่ีสุด เม่ือพ้นช่วงนไ้ี ปแลว้ โอกาสนนั้ จะฝึกยากหรอื เด็กอาจทาไม่ได้ เลย เชน่ การเชื่อมโยงวงจรประสาทของการมองเหน็ และรับรภู้ าพจะต้องไดร้ ับการกระตุน้ ทางานตัง้ แต่ ๓ หรือ ๔ เดอื นแรกของชีวิตจึงจะมพี ัฒนาการตามปกติ ช่วงเวลาของการเรยี นภาษาคอื อายุ ๓ – ๕ ปีแรกของชวี ิต เด็กจะพูด ได้ชัด คล่องและถกู ตอ้ ง โดยการพัฒนาจากการพูดเป็นคาๆมาเปน็ ประโยคและเล่าเร่อื งได้ เป็นตน้ ๔. แนวคิดเกีย่ วกบั สอื่ กำรเรียนรู้ ส่ือการเรยี นร้ทู าให้เดก็ เกิดการเรียนรตู้ ามจดุ ประสงคท์ ่ีวางไว้ ทาให้ ส่งิ ท่เี ปน็ นามธรรมเขา้ ใจยากกลายเป็นรปู ธรรมทเี่ ดก็ เขา้ ใจและเรยี นรู้ได้ง่าย รวดเร็ว เพลิดเพลิน เกิดการเรยี นรู้ และคน้ พบดว้ ยตนเอง การใช้ส่ือการเรียนรู้ตอ้ งปลอดภัยตอ่ ตัวเดก็ และเหมาะสมกบั วัย วฒุ ิภาวะ ความแตกต่าง ระหวา่ งบุคคล ความสนใจ และความตอ้ งการของเดก็ ท่ีหลากหลาย สอ่ื ประกอบการจัดกิจกรรมเพ่อื พัฒนาเด็ก ปฐมวัยควรมสี ื่อท้ังท่เี ปน็ ประเภท ๒ มติ แิ ละ/หรือ ๓ มติ ิ ที่เปน็ สอ่ื ของจรงิ สือ่ ธรรมชาติ ส่ือที่อยู่ใกลต้ วั เด็ก ส่ือ สะท้อนวัฒนธรรม ส่อื ภูมิปญั ญาทอ้ งถนิ่ สือ่ เพอื่ พฒั นาเดก็ ในด้านตา่ งๆใหค้ รบทกุ ด้าน ทง้ั นี้ สื่อต้องเอ้ือให้เด็ก เรยี นรูผ้ ่านประสาทสัมผัสท้งั ห้าโดยการจดั การใช้สื่อสาหรบั เดก็ ปฐมวัยตอ้ งเร่มิ ตน้ จากสือ่ ของจริง ของจาลอง ภาพถา่ ย ภาพโครงรา่ งและสัญลักษณ์ตามลาดบั ๕. แนวคิดเกี่ยวกับสงั คมและวฒั นธรรม เดก็ เมื่อเกิดมาจะเป็นสว่ นหนงึ่ ของสงั คมและวฒั นธรรม ซงึ่ ไม่ เพยี งแตจ่ ะได้รับอิทธพิ ลจากการปฏบิ ัตแิ บบดัง้ เดิมตามประเพณี มรดก และความรขู้ องบรรพบุรุษ แตย่ งั ได้รบั อทิ ธิพลจากประสบการณ์ ค่านิยมและความเช่ือของบคุ คลในครอบครวั และชุมชนของแต่ละท่ีด้วย บรบิ ทของ สงั คมและวฒั นธรรมท่เี ด็กอาศยั อยหู่ รือแวดล้อมตัวเดก็ ทาให้เดก็ แต่ละคนแตกต่างกันไป ครูจาเปน็ ต้องเข้าใจและ ยอมรบั วา่ สังคมและวฒั นธรรมท่แี วดล้อมตวั เด็ก มีอิทธพิ ลตอ่ การเรยี นรู้ การพัฒนาศักยภาพและพัฒนาการของ เดก็ แตล่ ะคน ครคู วรตอ้ งเรยี นรบู้ รบิ ททางสงั คมและวัฒนธรรมของเด็กทตี่ นรบั ผดิ ชอบ เพอื่ ชว่ ยใหเ้ ด็กไดร้ บั การ

พฒั นา เกิดการเรียนรู้และอยูใ่ นกลุ่มคนทีม่ าจากพื้นฐานเหมือนหรอื ต่างจากตนได้อย่างราบรานมคี วามสุข เป็น การเตรยี มเด็กไปสู่สังคมในอนาคตกับการอย่รู ว่ มกบั ผ้อู ่นื การทางานรว่ มกับผอู้ ื่นท่มี คี วามหลากหลายทาง ความคดิ ความเช่ือและวฒั นธรรมเช่น ความคลา้ ยคลงึ และความแตกตา่ งระหว่างวัฒนธรรมไทยกบั ประเทศเพอ่ื น บ้านเรอื่ งศาสนา ประเทศ พมา่ ลาว กัมพชู าก็จะคล้ายคลงึ กบั คนไทยในการทาบญุ ตกั บาตร การสวดมนต์ไหว้ พระ การใหค้ วามเคารพพระสงฆ์ การทาบุญเลย้ี งพระ การเวียนเทียนเนอื่ งในวนั สาคัญทางศาสนา ประเพณี เขา้ พรรษา สาหรับประเทศมาเลเซยี บรูไน อินโดนีเซยี ประชากรส่วนใหญน่ บั ถอื ศาสนาอิสลามจึงมีวัฒนธรรม แบบอสิ ลาม ประเทศฟลิ ิปปินส์ได้รบั อิทธิพลจากคริสต์ศาสนา ประเทศสิงคโปร์และเวยี ดนามนบั ถอื หลาย ศาสนา โดยนับถือลัทธธิ รรมเนียมแบบจนี เปน็ หลัก เป็นต้น ปรชั ญำกำรศกึ ษำปฐมวัยโรงเรียนบ้ำนนำนวน โรงเรียนจัดการพัฒนาเด็กอายุ ๔– ๖ ปีบนพ้ืนฐานการอบรมเลีย้ งดูและสง่ เสรมิ กระบวนการเรียนรทู้ ่ี สอดคลอ้ งกับการพัฒนาการทางสมองของเดก็ แตล่ ะคนให้เตม็ ตามศกั ยภาพ ผา่ นการเล่น การชว่ ยเหลอื ตนเอง มี ทักษะในการดารงชีวิตประจาวันตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยความรกั ความเข้าใจของทุกคน เพอ่ื สร้างรากฐานคุณภาพชีวิต และพัฒนาเด็กมีพฒั นาการท้ังด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสติปญั ญา วสิ ยั ทัศน์ ภายในปีพุทธศักราช ๒๕๖๓ โรงเรียน มงุ่ เน้นพัฒนาเดก็ อายุ ๔ – ๖ ปีใหม้ พี ัฒนาการทางดา้ นร่างกาย อารมณ-์ จิตใจ สงั คม และสติปญั ญาเหมาะสมกับวัย เน้นให้เด็กเรียนรูผ้ ่านการเล่น ช่วยเหลือตนเอง ดารงชีวติ ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง และปลกู ฝงั ใหเ้ ด็กมนี สิ ัยการประหยดั อดออม โดยการมีสว่ นร่วมของ ผูป้ กครอง ชุมชนและทุกฝ่ายท่เี กี่ยวข้อง ภำรกิจหรือพันธกจิ ๑. พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาทีม่ ุ่งเนน้ พฒั นาการเดก็ ปฐมวัยท้ัง ๔ ด้าน อย่างสมดลุ และเต็มศักยภาพ ๒. พฒั นาครแู ละบคุ ลากรด้านการจัดประสบการณ์ท่ีสง่ เสรมิ การเรยี นรผู้ า่ นการเล่นทีม่ จี ดุ หมายอย่าง ตอ่ เนอื่ ง ๓. ส่งเสรมิ สนบั สนนุ การจดั สภาพแวดลอ้ ม ส่อื เทคโนโลยแี ละแหลง่ เรียนรใู้ นการพัฒนาเดก็ ปฐมวัย ๔. จัดประสบการณก์ ารเรียนรทู้ ่หี ลากหลายซ่งึ สอดคลอ้ งกับพัฒนาการทางสมองของเด็ก โดยนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและแหล่งเรียนรู้ ภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่น มาใชเ้ สรมิ สรา้ งพฒั นาการและการ เรียนรขู้ องเด็ก ๕. สง่ เสริมการมสี ่วนร่วมของผูป้ กครองและชุมชนในการพฒั นาเด็กปฐมวัย

เปำ้ หมำย ๑. เดก็ ปฐมวยั ทกุ คนไดร้ บั การพัฒนาด้านรา่ งกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสตปิ ญั ญาเป็นองค์รวม อย่างสมดุลและมีความสขุ ๒. ครมู ีความรู้ ความเขา้ ใจ และสามารถจดั ประสบการณท์ ีส่ ่งเสรมิ การเรยี นรูผ้ า่ นการเล่นโดยใช้ กระบวนการวางแผน การปฏบิ ตั ิ และการทบทวน ๓. มสี ภาพแวดล้อม สอ่ื เทคโนโลยี และแหล่งเรยี นรทู้ ีเ่ อ้ือต่อการสง่ เสรมิ พัฒนาการเดก็ ปฐมวัยอย่าง พอเพยี ง ๔. ผู้ปกครอง ชมุ ชน และหนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ งมสี ่วนรว่ มในการพัฒนาเด็กปฐมวยั จดุ หมำย หลกั สูตรการศึกษาปฐมวยั มงุ่ ใหเ้ ด็กมพี ฒั นาการตามวัยเตม็ ตามศกั ยภาพ และเม่ือมีความพร้อมในการ เรยี นรตู้ อ่ ไป จึงกาหนดจดุ หมายเพ่ือให้เกิดกบั เดก็ เมือ่ เด็กจบการศกึ ษาระดบั ปฐมวยั ดังน้ี ๑. มีรา่ งกายเจริญเตบิ โตตามวยั แขง็ แรง และมีสขุ นสิ ัยท่ีดี ๒. มีสุขภาพจิตดี มีสุนทรยี ภาพ มคี ณุ ธรรม จริยธรรมและจติ ใจทีด่ งี าม ๓. มที กั ษะชวี ติ และปฏิบตั ิตนตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง มีวนิ ยั และอยู่รว่ มกบั ผู้อื่นได้ อย่างมคี วามสุข ๔. มีทกั ษะการคิด การใชภ้ าษาสอื่ สาร และการแสวงหาความรไู้ ดเ้ หมาะสมกบั วัย พฒั นำกำรเด็กปฐมวยั พฒั นาการของเด็กปฐมวยั ดา้ นร่างกาย จติ ใจ สังคม และสตปิ ัญญาแสดงให้เห็นถงึ การเปลย่ี นแปลงท่ี เกิดข้ึนตามวฒุ ภิ าวะและสภาพแวดล้อมทเ่ี ด็กได้รับ พัฒนาการเดก็ ในแตล่ ะชว่ งวยั อาจเรว็ หรอื ชา้ แตกตา่ งกนั ไป ในเด็กแตล่ ะคน มีรายละเอยี ด ดังน้ี ๑. พฒั นำกำรด้ำนรำ่ งกำย เป็นพัฒนาการท่เี ป็นผลมาจากการเปลย่ี นแปลงในทางทีด่ ีขึน้ ของรา่ งกายใน ด้านโครงสรา้ งของร่างกาย ด้านความสามารถในการเคลอ่ื นไหว และด้านการมีสุขภาพอนามัยท่ีดี รวมถึงการใช้ สัมผสั รับรู้ การใช้ตาและมอื ประสานกันในการทากจิ กรรมตา่ งๆ เด็กอายุ ๓-๕ ปีมกี ารเจรญิ เตบิ โตรวดเรว็ โดยเฉพาะ ในเรือ่ งนา้ หนกั และส่วนสูง กล้ามเนอ้ื ใหญจ่ ะมีความกา้ วหนา้ มากกว่ากลา้ มเน้อื เล็ก สามารถบังคับการเคลื่อนไหว ของร่างกายไดด้ ี มคี วามคล่องแคลว่ ว่องไวในการเดิน สามารถวิ่ง กระโดด ควบคุมและบังคบั การทรงตวั ไดด้ ี

จึงชอบเคล่ือนไหว ไม่หยดุ นง่ิ พร้อมทจ่ี ะออกกาลงั และเคลื่อนไหวในลักษณะตา่ งๆสว่ นกลา้ มเนอื้ เลก็ และ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตาและมือยงั ไม่สมบูรณ์ การสัมผัสหรอื การใชม้ อื มีความละเอยี ดขนึ้ ใช้มอื หยบิ จับสิ่งของ ตา่ งๆได้มากขึ้น ถ้าเดก็ ไมเ่ ครียดหรือกงั วลจะสามารถทากจิ กรรมทพี่ ฒั นากล้ามเนื้อเล็กได้ดีและนานขึ้น ๒. พัฒนำกำรดำ้ นอำรมณ์ จติ ใจ เป็นความสามารถในการรสู้ กึ และแสดงความรูส้ ึกของเดก็ เชน่ พอใจ ไมพ่ อใจ รัก ชอบ สนใจ เกียด โดยท่ีเด็กรจู้ กั ควบคุมการแสดงออกอยา่ งเหมาะสมกบั วยั และสถานการณ์ เผชิญ กับเหตกุ ารณ์ต่างๆ ตลอดจนการสรา้ งความรู้สกึ ท่ีดีและการนับถอื ตนเอง เดก็ อายุ ๓-๕ ปจี ะแสดงความรูส้ กึ อยา่ งเตม็ ที่ไมป่ ดิ บัง ช่อนเรน้ เชน่ ดีใจ เสยี ใจ โกรธแต่จะเกดิ เพยี งชั่วครแู่ ล้วหายไปการที่เด็กเปลย่ี นแปลง อารมณง์ ่ายเพราะมีช่วงความสนใจระยะส้นั เม่ือมีสิ่งใดน่าสนใจก็จะเปล่ยี นความสนใจไปตามสิ่งน้ัน เดก็ วันนี้มัก หวาดกลวั สง่ิ ตา่ งๆ เชน่ ความมดื หรอื สตั ว์ต่างๆ ความกลวั ของเดก็ เกิดจากจินตนาการ ซ่ึงเดก็ ว่าเป็นเรอ่ื งจรงิ สาหรับตน เพราะยงั สบั สนระหวา่ งเรอ่ื งปรุงแตง่ และเรอื่ งจรงิ ความสามารถแสดงอารมณไ์ ด้สอดคล้องกับ สถานการณอ์ ยา่ งเหมาะสมกับวัย รวมถงึ ช่นื ชมความสามารถและผลงานของตนเองและผอู้ ื่น เพราะยดึ ตัวเอง เป็นศนู ยก์ ลางนอ้ ยลงและตอ้ งการความสนใจจากผู้อื่นมากขน้ึ ๓. พัฒนำกำรด้ำนสังคม เปน็ ความสามารถในการสรา้ งความสัมพันธท์ างสังคมครง้ั แรกในครอบครัว โดยมปี ฏิสัมพันธ์กับพอ่ แม่และพนี่ อ้ ง เม่อื โตข้ึนต้องไปสถานศึกษา เด็กเริ่มเรียนรูก้ ารตดิ ต่อและการมสี ัมพนั ธก์ ับ บุคคลนอกครอบครวั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เด็กในวยั เดยี วกนั เดก็ ได้เรียนรูก้ ารปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ สงั คมกับเด็กอนื่ พร้อมๆกบั รู้จักร่วมมอื ในการเลน่ กบั กลมุ่ เพือ่ น เจตคติและพฤติกรรมทางสังคมของเดก็ จะก่อขน้ึ ในวยั น้ีและจะ แฝงแนน่ ยากที่จะเปลีย่ นแปลงในวยั ตอ่ มา ดงั นั้น จงึ อาจกล่าวได้ว่าพฤติกรรมทางสงั คมของเด็กวัยนี้ มี ๒ ลักษณะ คอื ลักษณะแรกนน้ั เปน็ ความสมั พันธ์กบั ผู้ใหญแ่ ละลกั ษณะทสี่ องเปน็ ความสัมพันธก์ ับเดก็ ในวยั ใกลเ้ คียงกัน ๔. ดำ้ นสติปัญญำ ความคดิ ของเดก็ วยั นม้ี ลี ักษณะยดึ ตนเองเปน็ ศนู ยก์ ลาง ยงั ไม่สามารถเขา้ ใจ ความรสู้ กึ ของคนอืน่ เดก็ มคี วามคดิ เพียงแตว่ า่ ทกุ คนมองส่ิงต่างๆรอบตวั และรู้สกึ ตอ่ ส่ิงต่างๆ เหมอื นตนเอง ความคดิ ของตนเองเปน็ ใหญท่ ี่สดุ เมอ่ื อายุ ๔-๕ ปี เดก็ สามารถโตต้ อบหรอื มปี ฏิสมั พนั ธ์กับวตั ถุสงิ่ ของทอี่ ยู่ รอบตัวได้ สามารถจาสง่ิ ตา่ งๆ ท่ีได้กระทาซ้ากันบ่อยๆ ได้ดี เรยี นรสู้ ิง่ ต่างๆ ได้ดขี น้ึ แต่ยงั อาศัยการรบั รู้เป็นสว่ น ใหญ่ แกป้ ัญหาการลองผิดลองถูกจากการรับรู้มากกวา่ การใชเ้ หตุผลความคดิ รวบยอดเก่ยี วกับส่ิงต่างๆ ทอี่ ยู่ รอบตัวพฒั นาอย่างรวดเร็วตามอายุท่ีเพม่ิ ขึน้ ในส่วนของพัฒนาการทางภาษา เดก็ วัยนี้เป็นระยะเวลาของการ พัฒนาภาษาอยา่ งรวดเรว็ โดยมกี ารฝึกฝนการใชภ้ าษาจากการทากจิ กรรมต่าง ๆ ในรูปของการพูดคุย การตอบ คาถาม การเล่าเรอื่ ง การเล่านิทานและการทากิจกรรมตา่ ง ๆ ท เกย่ี วขอ้ งกับการใช้ภาษาในสถานศึกษา เด็ก ปฐมวัยสามารถ ใช้ภาษาแทนความคิดของตนและใช้ภาษาในการตดิ ตอ่ สัมพันธ์กับคนอน่ื ไดค้ าพูดของเดก็ วัยนี้ อาจจะทาให้ผู้ใหญ่บางคนเขา้ ใจว่าเด็กร้มู ากแลว้ แตท่ จี่ รงิ เดก็ ยังไมเ่ ข้าใจความหมายของคาและเรอื่ งราวลกึ ซง้ึ นกั

ตัวบง่ ช้ี ตัวบ่งช้ีเป็นเป้าหมายในการพัฒนาเด็กท่ีมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึง ประสงค์ มำตรฐำนคุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ หลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัยกาหนดมาตรฐานคุณลักษณะทพี่ ึงประสงคจ์ านวน ๑๒ มาตรฐาน ประกอบด้วย ๑.พฒั นำกำรด้ำนร่ำงกำย ประกอบด้วย ๒ มำตรฐำนคอื มาตรฐานที่ ๑ รา่ งกายเจรญิ เตบิ โตตามวยั และมีสุขนสิ ัยที่ดี มาตรฐานท่ี ๒ กลา้ มเน้ือใหญ่และกลา้ มเนอื้ เล็กแขง็ แรงใชไ้ ด้อยา่ งคล่องแคล่วและประสานสัมพนั ธ์ กัน ๒.พัฒนำกำรด้ำนอำรมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย ๓ มำตรฐำนคอื มาตรฐานที่ ๓ มีสุขภาพจติ ดีและมคี วามสขุ มาตรฐานที่ ๔ ชนื่ ชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคล่ือนไหว มาตรฐานท่ี ๕ มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม และมีจิตใจที่ดงี าม ๓.พัฒนำกำรด้ำนสังคม ประกอบดว้ ย ๓ มำตรฐำนคือ มาตรฐานที่ ๖ มที กั ษะชีวติ และปฏิบัติตนตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง มาตรฐานท่ี ๗ รกั ธรรมชาติ สง่ิ แวดลอ้ ม วฒั นธรรม และความเป็นไทย มาตรฐานที่ ๘ อย่รู ่วมกบั ผู้อน่ื ได้อยา่ งมีความสขุ และปฏบิ ตั ติ นเปน็ สมาชิกที่ดีของสงั คมใน ระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ ๔.พฒั นำกำรด้ำนสติปัญญำ ประกอบดว้ ย ๔ มำตรฐำนคือ มาตรฐานท่ี ๙ ใชภ้ าษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวยั มาตรฐานที่ ๑๐ มีความสามารถในการคิดท่เี ปน็ พ้ืนฐานการเรียนรู้ มาตรฐานที่ ๑๑ มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ มาตรฐานที่ ๑๒ มีเจตคตทิ ่ีดตี ่อการเรยี นรแู้ ละมคี วามสามารถในการแสวงหาความรไู้ ดเ้ หมาะสม กับวยั

สภำพทีพ่ ึงประสงค์ สภาพที่พึงประสงค์เป็นพฤติกรรมหรือความสามารถตามวัยท่ีคาดหวังให้เด็กเกิด บนพ้ืนฐาน พฒั นาการตามวยั หรอื ความสามารถตามธรรมชาติในแตล่ ะระดบั อายุ เพ่อื นาไปใช้ในการกาหนดสาระการเรียนรู้ ในการจัดประสบการณ์ และประเมินพัฒนาการเด็ก โดยมีรายละเอียดของมาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตวั บ่งช้ี และสภาพท่พี ึงประสงค์ ดังน้ี มำตรฐำนท่ี ๑ รำ่ งกำรเจริญเตบิ โตตำมวยั และมสี ขุ นสิ ัยทีด่ ี ตวั บ่งชี้ สภำพท่ีพงึ ประสงค์ อำยุ ๓-๔ ปี อำยุ ๔-๕ ปี อำยุ ๕-๖ ปี ๑.๑ น้ำหนักและ ๑.๑.๑ นา้ หนกั และ ๑.๑.๑ นา้ หนกั และ ๑.๑.๑ น้าหนกั และส่วนสูง ส่วนสงู ตำมเกณฑ์ ส่วนสงู ตามเกณฑข์ องกรม ส่วนสูงตามเกณฑข์ อง ตามเกณฑ์ของกรมอนามัย อนามัย กรมอนามยั ๑.๒ มีสุขภำพอนำมัย ๑.๒.๑ ยอมรับประทาน ๑.๒.๑ รับประทาน ๑.๒.๑ รบั ประทานอาหาร สุขนิสยั ทด่ี ี อาหารท่ีมปี ระโยชนแ์ ละ อาหารท่มี ีประโยชน์และ ทมี่ ีประโยชน์ได้หลายชนิด ดม่ื นา้ ทสี่ ะอาดเมื่อมีผู้ ดื่มนา้ สะอาดดว้ ยตนเอง และด่ืมน้าสะอาดได้ด้วย ชแ้ี นะ ตนเอง ๑.๒.๒ ลา้ งมือก่อน ๑.๒.๒ ลา้ งมือก่อน ๑.๒.๒ ลา้ งมอื ก่อน รบั ประทานอาหารและ รับประทานอาหารและ รับประทานอาหารและ หลงั จากใช้ห้องน้า ห้อง หลงั จากใช้หอ้ งนา้ ห้อง หลงั จากใช้หอ้ งน้าหอ้ ง ส้วมเม่ือมผี ูช้ ้ีแนะ ส้วมด้วยตนเอง สว้ มด้วยตนเอง ๑.๒.๓ นอนพักผอ่ นเปน็ ๑.๒.๓ นอนพกั ผอ่ นเปน็ ๑.๒.๓ นอนพักผ่อนเปน็ เวลา เวลา เวลา ๑.๒.๔ ออกกาลังกายเป็น ๑.๒.๔ ออกกาลังกาย ๑.๒.๔ ออกกาลงั กายเป็น เวลา เป็นเวลา เวลา ๑.๓ รักษำควำม ๑.๓.๑ เล่นและทา ๑.๓.๑ เลน่ และทา ๑.๓.๑ เลน่ ทากิจกรรม ปลอดภยั ของ กจิ กรรมอยา่ งปลอดภยั กิจกรรมอยา่ งปลอดภัย และปฏิบัตติ ่อผอู้ ่นื อยา่ ง ตนเองและผอู้ ่ืน เมื่อมผี ู้ชี้แนะ ดว้ ยตนเอง ปลอดภยั

มำตรฐำนที่ ๒ กล้ำมเนือ้ ใหญ่และกลำ้ มเนื้อเลก็ แขง็ แรง ใช้ได้อยำ่ งคลอ่ งแคล่ว และประสำทสัมพนั ธก์ นั ตวั บ่งชี้ สภำพที่พึงประสงค์ ๒.๑ เคลอื่ นไหว อำยุ ๓-๔ ปี อำยุ ๔-๕ ปี อำยุ ๕-๖ ปี ร่ำงกำยอย่ำง ๒.๑.๑ เดนิ ตามแนวท่ี คลอ่ งแคลว่ กาหนดได้ ๒.๑.๑ เดนิ ตอ่ เทา้ ไป ๒.๑.๑ เดนิ ต่อเท้าถอย ประสำนสมั พันธ์ และทรงตัวได้ ๒.๑.๒ กระโดดสองขา ข้างหนา้ เปน็ เสน้ ตรงได้ หลงั เป็นเสน้ ตรงได้โดย ขน้ึ ลงอยู่กับที่ได้ ๒.๒ ใช้มอื -ตำ โดยไม่ตอ้ งกางแขน ไมต่ อ้ งกางแขน ประสำนสัมพนั ธ์ ๒.๑.๓ วง่ิ แลว้ หยุดได้ กัน ๒.๑.๒ กระโดดขาเดียว ๒.๑.๒ กระโดดขาเดยี ว ๒.๑.๔ รบั ลูกบอลโดย ใช้มือและลาตัวชว่ ย อยูก่ บั ท่ีไดโ้ ดยไม่เสยี ไปขา้ งหน้าไดอ้ ยา่ ง ๒.๒.๑ ใชก้ รรไกรตัด กระดาษขาดจากกันได้ การทรงตวั ต่อเน่อื งโดยไมเ่ สียการ โดยใชม้ ือเดียว ๒.๒.๒ เขียนรปู วงกลม ทรงตัว ตามแบบได้ ๒.๑.๓ ว่งิ หลบหลกี ส่ิง ๒.๑.๓ ว่ิงหลบหลกี ส่ิง ๒.๒.๓ รอ้ ยวัสดทุ ม่ี รี ู ขนาดเส้นผ่าน กดี ขวางได้ กดี ขวางไดอ้ ย่าง ศูนยก์ ลาง ๑ ชม. ได้ คล่องแคลว่ ๒.๑.๔ รับลกู บอลโดย ๒.๑.๔ รับลูกบอลที่ ใช้มอื ทง้ั สองข้าง กระตอบข้นึ จากพ้นื ได้ ๒.๒.๑ ใชก้ รรไกรตดั ๒.๒.๑ ใช้กรรไกรตัด กระดาษตามแนว กระดาษตามแนวเสน้ เส้นตรงได้ โคง้ ได้ ๒.๒.๒ เขียนรูป ๒.๒.๒ เขยี นรูป สเี่ หลี่ยมตามแบบได้ สามเหลี่ยมตามแบบได้ อยา่ งมมี มุ ชัดเจน อย่างมมี ุมชัดเจน ๒.๒.๓ รอ้ ยวสั ดทุ ี่มีรู ๒.๒.๓ รอ้ ยวัสดทุ ีม่ รี ู ขนาดเสน้ ผ่าน ขนาดเสน้ ผ่าน ศูนยก์ ลาง ๐.๕ ชม. ได้ ศูนยก์ ลาง ๐.๒๕ ชม. ได้

มำตรฐำนที่ ๓ มสี ุขภำพจิตดีและมีควำมสุข ตวั บง่ ช้ี อำยุ ๓-๔ ปี สภำพท่พี งึ ประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี ๓.๑.๑ แสดงอารมณ์ อำยุ ๔-๕ ปี ๓.๑.๑ แสดงอารมณ์ ๓.๑ แสดงออก ความรสู้ กึ ได้เหมาะสม ความรู้สึกได้สอดคล้อง ทำงอำรมณ์ได้ กบั บางสถานการณ์ ๓.๑.๑ แสดงอารมณ์ กบั สถานการณอ์ ยา่ ง อยำ่ งเหมำะสม ความรูส้ กึ ไดต้ าม เหมาะสม ๓.๒.๑ กลา้ พดู กลา้ สถานการณ์ ๓.๒.๑ กล้าพูดกล้า ๓.๒ มคี วำมรูส้ กึ ที่ดี แสดงออก แสดงออกอย่าง ตอ่ ตนเองและ ๓.๒.๑ กล้าพูดกล้า เหมาะสมตาม ผู้อ่ืน ๓.๒.๒ แสดงความ แสดงออกอย่าง สถานการณ์ พอใจในผลงานตนเอง เหมาะสมบาง ๓.๒.๒ แสดงความ สถานการณ์ พอใจในผลงานและ ๓.๒.๒ แสดงความ ความสามารถของ พอใจในผลงานและ ตนเองและผู้อืน่ ความสามารถของ ตนเอง มำตรฐำนที่ ๔ ช่ืนชมและแสดงออกทำงศลิ ปะ ดนตรี และกำรเคลือ่ นไหว ตัวบ่งช้ี อำยุ ๓-๔ ปี สภำพท่ีพึงประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี ๔.๑.๑ สนใจ มี อำยุ ๔-๕ ปี ๔.๑.๑ สนใจ มี ๔.๑ สนใจ มีควำมสุข ความสุข และ ความสุข และ และแสดงออก แสดงออกผ่านงาน ๔.๑.๑ สนใจ มี แสดงออกผา่ นงาน ผำ่ นงำนศิลปะ ศลิ ปะ ความสขุ และ ศิลปะ ดนตรี และ ๔.๑.๒ สนใจ มี แสดงออกผ่านงาน ๔.๑.๒ สนใจ มี กำรเคลือ่ นไหว ความสุข และ ศลิ ปะ ความสขุ และ แสดงออกผ่าน ๔.๑.๒ สนใจ มี แสดงออกผา่ น เสียงเพลง ดนตรี ความสขุ และ เสยี งเพลง ดนตรี ๔.๑.๓ สนใจ มี แสดงออกผา่ น ๔.๑.๓ สนใจ มี ความสุข และแสดง เสยี งเพลง ดนตรี ความสุข และแสดง ท่าทาง/เคลือ่ นไหว ๔.๑.๓ สนใจ มี ทา่ ทาง/เคล่ือนไหว ประกอบเพลง จงั หวะ ความสุข และแสดง ประกอบเพลง จงั หวะ และดนตรี ท่าทาง/เคล่ือนไหว และดนตรี ประกอบเพลง จงั หวะ และดนตรี

มำตรฐำนที่ ๕ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงำม ตวั บ่งช้ี อำยุ ๓-๔ ปี สภำพท่ีพึงประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี อำยุ ๔-๕ ปี ๕.๑ ซ่อื สตั ยส์ จุ ริต ๕.๑.๑ บอกหรอื ชไ้ี ดว้ า่ ๕.๑.๑ ขออนุญาตหรอื ๕.๑.๑ ขออนุญาตหรือ สิง่ ใดเป็นของตนเอง รอคอยเมื่อต้องการ รอคอยเมือ่ ต้องการ และส่ิงใดเปน็ ของผู้อื่น สิ่งของของผอู้ น่ื เมอ่ื มีผู้ ส่ิงของของผู้อน่ื ด้วย ช้ีแนะ ตนเอง ๕.๒ มคี วำมเมตตำ ๕.๒.๑ แสดงความรัก ๕.๒.๑ แสดงความรกั ๕.๒.๑ แสดงความรัก กรุณำ มนี ำ้ ใจ เพื่อนและมีเมตตา เพือ่ นและมเี มตตา เพือ่ นและมเี มตตา และช่วยเหลือ สตั ว์เล้ยี ง สตั ว์เลยี้ ง สตั ว์เลย้ี ง แบง่ ปนั ตัวบ่งชี้ อำยุ ๓-๔ ปี สภำพท่พี ึงประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี ๕.๓.๑ แสดงสหี นา้ อำยุ ๔-๕ ปี ๕.๓.๑ แสดงสีหน้า ๕.๓ มีควำมเห็นอก หรือทา่ ทางรบั รู้ และท่าทางรบั รู้ เหน็ ใจผ้อู ่ืน ความรูส้ กึ ผูอ้ ่ืน ๕.๓.๑ แสดงสีหน้า ความรู้สึกผู้อน่ื อย่าง และท่าทางรับรู้ สอดคลอ้ งกบั ๕.๔ มีควำมรับผิดชอบ ๕.๔.๑ ทางานทไี่ ดร้ ับ ความรูส้ ึกผูอ้ ื่น สถานการณ์ มอบหมายจนสาเรจ็ ๕.๔.๑ ทางานที่ได้รับ เม่อื มีผู้ชว่ ยเหลอื ๕.๔.๑ ทางานทีไ่ ด้รับ มอบหมายจนสาเร็จ มอบหมายจนสาเร็จ ด้วยตนเอง เม่อื มผี ู้ชี้แนะ

มำตรฐำนที่ ๖มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตำมหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง ตวั บง่ ช้ี อำยุ ๓-๔ ปี สภำพที่พึงประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี อำยุ ๔-๕ ปี ๖.๑ ช่วยเหลอื ตนเอง ๖.๑.๑ แตง่ ตวั โดยมีผู้ ๖.๑.๑ แตง่ ตวั ดว้ ย ๖.๑.๑ แตง่ ตัวด้วย ในกำรปฏบิ ตั ิ ช่วยเหลือ ตนเอง ตนเองไดอ้ ย่าง กิจวัตรประจำวนั คล่องแคลว่ ๖.๑.๒ รบั ประทาน ๖.๑.๒ รับประทาน ๖.๑.๑ รับประทาน อาหารด้วยตนเอง อาหารด้วยตนเอง อาหารด้วยตนเองอยา่ ง ถูกวิธี ๖.๑.๓ ใช้ห้องน้าห้อง ๖.๑.๓ ใช้ห้องนา้ หอ้ ง ๖.๑.๓ ใชแ้ ละทาความ สว้ ม โดยมีผู้ช่วยเหลือ ส้วมดว้ ยตนเอง สะอาดหลังใช้ห้องนา้ หอ้ งส้วม ด้วยตนเอง ๖.๒ มีวนิ ัยในตนเอง ๖.๒.๑ เกบ็ ของเลน่ ๖.๒.๑ เกบ็ ของเล่น ๖.๒.๑ เก็บของเลน่ ของใชเ้ ข้าท่เี ม่อื มี ของใช้เข้าทด่ี ้วยตนเอง ของใชเ้ ขา้ ทอ่ี ยา่ ง ผ้ชู แ้ี นะ เรียบร้อยด้วยตนเอง ๖.๒.๒ เขา้ แถว ๖.๒.๒ เขา้ แถว ๖.๒.๒ เขา้ แถว ตามลาดบั ก่อนหลังได้ ตามลาดบั กอ่ นหลังได้ ตามลาดบั กอ่ นหลังได้ เมื่อมีผู้ชแ้ี นะ ด้วยตนเอง ด้วยตนเอง ตวั บ่งช้ี อำยุ ๓-๔ ปี สภำพทพี่ ึงประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี อำยุ ๔-๕ ปี ๖.๓ ประหยดั และ ๖.๓.๑ ใช้ส่ิงของ ๖.๓.๑ ใชส้ ิง่ ของ ๖.๓.๑ ใช้สิ่งของ พอเพียง เครอื่ งใช้อย่างประหยดั เครื่องใช้อยา่ งประหยัด เคร่ืองใช้อย่างประหยดั และพอเพียง เม่อื มี และพอเพยี ง เมอื่ มี และพอเพียง ดว้ ย ผชู้ ้ีแนะ ผชู้ แ้ี นะ ตนเอง

มำตรฐำนท่ี ๗รักธรรมชำติ สงิ่ แวดลอ้ ม และควำมเป็นไทย ตัวบ่งช้ี อำยุ ๓-๔ ปี สภำพท่พี งึ ประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี อำยุ ๔-๕ ปี ๗.๑.๑ ดูแลรกั ษา ๗.๑ ดูแลรกั ษำ ๗.๑.๑ มสี ่วนร่วมดูแล ธรรมชาตแิ ละ ๗.๑.๑ มีสว่ นร่วมดูแล สิง่ แวดลอ้ มด้วยตนเอง ธรรมชำตแิ ละ รักษาธรรมชาติและ รกั ษาธรรมชาตแิ ละ ส่ิงแวดลอ้ ม เมื่อมี ๗.๑.๒ ทิง้ ขยะไดถ้ กู ที่ สง่ิ แวดลอ้ ม ส่งิ แวดล้อม เม่อื มี ผชู้ ีแ้ นะ ๗.๒.๑ ปฏบิ ตั ติ นตาม ๗.๑.๒ ทงิ้ ขยะได้ถูกที่ มารยาทไทยได้ตาม ผชู้ แ้ี นะ ๗.๒.๑ ปฏิบัติตนตาม กาลเทศะ มารยาทไทยได้ดว้ ย ๗.๒.๒ กล่าวคา ๗.๑.๒ ทิ้งขยะไดถ้ ูกที่ ตนเอง ขอบคณุ และขอโทษ ๗.๒.๒ กล่าวคา ด้วยตนเอง ๗.๒ มีมำรยำทตำม ๗.๒.๑ ปฏบิ ตั ติ นตาม ขอบคุณและขอโทษ ๗.๒.๓ ยนื ตรงและรว่ ม ดว้ ยตนเอง ร้องเพลงชาติไทยและ วัฒนธรรมไทย มารยาทไทยได้เมื่อมี ๗.๒.๓ ยืนตรงเม่อื ได้ เพลงสรรเสริญ ยนิ เพลงชาตไิ ทยและ พระบารมี และรกั ควำมเปน็ ผู้ชี้แนะ เพลงสรรเสริญ พระบารมี ไทย ๗.๒.๒ กลา่ วคา ขอบคุณและขอโทษ เม่ือมีผูช้ ้แี นะ ๗.๒.๓ หยุดยนื เมือ่ ได้ ยนิ เพลงชาตไิ ทยและ เพลงสรรเสริญ พระบารมี มำตรฐำนที่ ๘ อยู่ร่วมกับผอู้ ่นื ได้อย่ำงมคี วำมสุขและปฏิบัติตนเปน็ สมำชิกที่ดขี องสังคมในระบอบ ประชำธิปไตยอันมพี ระมหำกษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข ตวั บ่งช้ี อำยุ ๓-๔ ปี สภำพที่พงึ ประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี อำยุ ๔-๕ ปี ๘.๑.๑ เลน่ และทา ๘.๑ ยอมรับควำม ๘.๑.๑ เลน่ และทา กิจกรรมร่วมกบั เดก็ ท่ี ๘.๑.๑ เล่นและทา แตกต่างไปจากตน เหมือนและควำม กจิ กรรมรว่ มกบั เดก็ ท่ี กจิ กรรมร่วมกับเด็กที่ แตกตา่ งไปจากตน แตกตำ่ งระหวำ่ ง แตกต่างไปจากตน บุคคล ๘.๒ มปี ฏิสมั พันธ์ท่ดี ี ๘.๒.๑ เล่นร่วมกับ ๘.๒.๑ เลน่ หรอื ทางาน ๘.๒.๑ เลน่ หรือทางาน รว่ มกบั เพอื่ นเป็นกลมุ่ ร่วมมอื กบั เพ่อื นอยา่ งมี กบั ผู้อ่ืน เพอ่ื น เป้าหมาย

๘.๒.๒ ย้ิมหรือทักทาย ๘.๒.๒ ย้มิ ทกั ทายหรอื ๘.๒.๒ ยม้ิ ทกั ทายและ ผ้ใู หญแ่ ละบคุ คลที่ พดู คุยกบั ผู้ใหญแ่ ละ พดู คุยกบั ผใู้ หญ่และ คุ้นเคย เมอ่ื มีผชู้ ้แี นะ บคุ คลทคี่ ุน้ เคยไดด้ ้วย บคุ คลทีค่ ุ้นเคยได้ ตนเอง เหมาะสมกับ สถานการณ์ ๘.๓ ปฏิบัติตน ๘.๓.๑ ปฏิบตั ิตาม ๘.๓.๑ มีส่วนร่วมสร้าง ๘.๓.๑ มสี ว่ นร่วมสรา้ ง เบ้ืองตน้ ในกำร ขอ้ ตกลงเม่ือมีผูช้ ้ีแนะ ข้อตกลงและปฏิบตั ิ ขอ้ ตกลงและปฏบิ ตั ิ เป็นสมำชกิ ทีด่ ี ตามข้อตกลงเมือ่ มี ตามข้อตกลงด้วย ของสงั คม ผูช้ ้แี นะ ตนเอง ๘.๓.๒ ปฏิบัตติ นเปน็ ๘.๓.๒ ปฏบิ ัตติ นเปน็ ๘.๓.๒ ปฏบิ ัตติ นเป็น ผ้นู าและผู้ตามเมอื่ มี ผนู้ าและผู้ตามได้ด้วย ผู้นาและผตู้ ามได้ ผู้ชแ้ี นะ ตนเอง เหมาะสมกบั สถานการณ์ ๘.๓.๓ ยอมรับการ ๘.๓.๓ ประนีประนอม ๘.๓.๓ ประนปี ระนอม ประนีประนอมแกไ้ ข แกไ้ ขปญั หาโดย แกไ้ ขปัญหาโดย ปญั หาเมื่อมผี ้ชู ้แี นะ ปราศจากการใชค้ วาม ปราศจากการใช้ความ รุนแรง เมือ่ มีผชู้ ีแ้ นะ รุนแรงด้วยตนเอง มำตรฐำนที่ ๙ใชภ้ ำษำส่ือสำรได้เหมำะสมกบั วัย ตัวบง่ ชี้ อำยุ ๓-๔ ปี สภำพท่พี ึงประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี อำยุ ๔-๕ ปี ๙.๑ สนทนำโตต้ อบ ๙.๑.๑ ฟังผอู้ ื่นพดู จน ๙.๑.๑ ฟังผอู้ นื่ พดู จน ๙.๑.๑ ฟงั ผอู้ ื่นพดู จน และเล่ำเรือ่ งให้ จบและพูดโตต้ อบ จบและสนทนาโต้ตอบ จบและสนทนาโต้ตอบ ผู้อืน่ เข้ำใจ เกีย่ วกบั เร่ืองท่ีฟงั สอดคลอ้ งกบั เร่ืองที่ฟงั อย่างตอ่ เนอ่ื งเชือ่ มโยง กับเรอื่ งทีฟ่ ัง ๙.๑.๒ เลา่ เร่อื งดว้ ย ๙.๑.๒ เล่าเรอ่ื งเป็น ๙.๑.๒ เลา่ เป็น ประโยคส้ันๆ ประโยคอยา่ งตอ่ เนื่อง เร่อื งราวต่อเนอ่ื งได้ ๙.๒ อำ่ น เขียนภำพ ๙.๒.๑ อา่ นภาพ และ ๙.๒.๑ อา่ นภาพ ๙.๒.๑ อ่านภาพ และสญั ลักษณไ์ ด้ พดู ขอ้ ความด้วยภาษา สญั ลกั ษณ์ คา พร้อม สญั ลักษณ์ คา ด้วยการ ของตน ท้ังชห้ี รอื กวาดตามอง ชหี้ รือกวาดตามอง ข้อความตามบรรทดั จดุ เรมิ่ ตน้ และจดุ จบ ของขอ้ ความ

๙.๒.๒ เขียนขีดเขีย่ ๙.๒.๒ เขียนคลา้ ย ๙.๒.๒ เขยี นชือ่ ของ อย่างมีทิศทาง ตัวอักษร ตนเองตามแบบ เขียน ขอ้ ความด้วยวธิ ีที่คิด ข้นึ เอง มำตรฐำนท่ี ๑๐มีควำมสำมำรถในกำรคิดท่เี ปน็ พน้ื ฐำนในกำรเรยี นรู้ ตัวบง่ ช้ี อำยุ ๓-๔ ปี สภำพทีพ่ ึงประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี อำยุ ๔-๕ ปี ๑๐.๑ มีควำมสำมำรถ ๑๐.๑.๑ บอกลกั ษณะ ๑๐.๑.๑ บอกลักษณะ ๑๐.๑.๑ บอกลักษณะ ในกำรคดิ ของสิง่ ตา่ งๆ จากการ และสว่ นประกอบของ สว่ นประกอบ การ รวบยอด สังเกตโดยใช้ประสาท สิ่งตา่ งๆ จากการ เปลยี่ นแปลงหรอื สัมผสั สังเกตโดยใช้ประสาท ความสมั พนั ธข์ องสง่ิ สมั ผัส ตา่ งๆ จากการสังเกต โดยใชป้ ระสาทสมั ผัส ตวั บง่ ช้ี อำยุ ๓-๔ ปี สภำพที่พงึ ประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี อำยุ ๔-๕ ปี ๑๐.๑.๒ จับคหู่ รอื ๑๐.๑.๒ จับคู่และ ๑๐.๑.๒ จับคู่และ เปรยี บเทยี บสงิ่ ต่างๆ เปรียบเทยี บความ เปรียบเทียบความ โดยใชล้ กั ษณะหรอื แตกตา่ งหรือความ แตกตา่ งและความ หน้าท่ีการใช้งานเพยี ง เหมอื นของสิ่งต่างๆ เหมอื นของสิง่ ต่างๆ ลักษณะเดียว โดยใชล้ ักษณะทสี่ งั เกต โดยใช้ลกั ษณะที่สงั เกต พบเพียงลักษณะเดียว พบสองลกั ษณะขึน้ ไป ๑๐.๑.๓ คัดแยก ๑๐.๑.๓ จาแนกและ ๑๐.๑.๓ จาแนกและ ส่งิ ต่างๆ ตามลักษณะ จดั กลมุ่ สิ่งต่างๆ โดยใช้ จัดกลมุ่ ส่ิงต่างๆ โดยใช้ หรือหนา้ ทกี่ ารใช้งาน อย่างนอ้ ยหนง่ึ ลักษณะ ตั้งแต่สองลกั ษณะข้นึ เป็นเกณฑ์ ไปเปน็ เกณฑ์ ๑๐.๑.๔ เรียงลาดบั ๑๐.๑.๔ เรยี งลาดบั ๑๐.๑.๔ เรยี งลาดบั สง่ิ ของหรอื เหตุการณ์ สิง่ ของหรอื เหตุการณ์ ส่งิ ของและเหตุการณ์ อยา่ งนอ้ ย ๓ ลาดับ อยา่ งน้อย ๔ ลาดบั อย่างน้อย ๕ ลาดบั ๑๐.๒ มีควำมสำมำรถ ๑๐.๒.๑ ระบทุ เ่ี กดิ ข้ึน ๑๐.๒.๑ ระบุสาเหตุ ๑๐.๒.๑ อธิบาย ในกำรคดิ เชิง ในเหตกุ ารณ์หรือการ หรือผลท่ีเกิดขน้ึ ใน เชือ่ มโยงสาเหตุและผล เหตผุ ล กระทาเมื่อมีผชู้ ี้แนะ เหตกุ ารณห์ รอื การ ทเี่ กิดขนึ้ ในเหตุการณ์ กระทาเมอ่ื มผี ูช้ ีแ้ นะ หรือการกระทาดว้ ย ตนเอง ๑๐.๒.๒ คาดเดา หรอื ๑๐.๒.๒ คาดเดา หรอื ๑๐.๒.๒ คาดคะเนส่ิงท่ี

คาดคะเนส่ิงทีอ่ าจจะ คาดคะเน สิ่งที่อาจจะ อาจจะเกดิ ขน้ึ และมี เกดิ ข้ึน เกดิ ขึน้ หรือมสี ว่ นร่วม ส่วนรว่ มในการลง ในการลงความเห็นจาก ความเหน็ จากขอ้ มูล ข้อมลู อย่างมเี หตผุ ล ๑๐.๓ มคี วำมสำมำรถ ๑๐.๓.๑ ตดั สินใจใน ๑๐.๓.๑ ตดั สินใจใน ๑๐.๓.๑ ตัดสนิ ใจใน ในกำรคิดแก้ เร่ืองงา่ ยๆ เรื่องง่ายๆ และเรมิ่ เรอ่ื งงา่ ยๆ และยอมรับ ปญั หำและ เรยี นรู้ผลท่เี กิดข้ึน ผลที่เกดิ ขึ้น ตดั สนิ ใจ ๑๐.๓.๒ แก้ปญั หาโดย ๑๐.๓.๒ ระบปุ ญั หา ๑๐.๓.๒ ระบปุ ญั หา ลองผิดลองถกู และแก้ปญั หาโดยลอง สรา้ งทางเลือกและ ผิดลองถกู เลือกวธิ แี กป้ ัญหา มำตรฐำนที่ ๑๑มจี นิ ตนำกำรและควำมคดิ สร้ำงสรรค์ ตัวบง่ ชี้ อำยุ ๓-๔ ปี สภำพทพี่ ึงประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี ๑๑.๑.๑ สรา้ งผลงาน อำยุ ๔-๕ ปี ๑๑.๑.๑ สรา้ งผลงาน ๑๑.๑ ทำงำนศิลปะ ศิลปะเพือ่ สื่อสาร ศลิ ปะเพอื่ สื่อสาร ควำมจนิ ตนำกำรและ ความคดิ ความรูส้ กึ ๑๑.๑.๑ สรา้ งผลงาน ความคดิ ความรู้สกึ ควำมคิดสร้ำงสรรค์ ของตนเอง ศลิ ปะเพ่อื ส่อื สาร ของตนเองโดยมกี าร ความคิด ความรสู้ ึก ดดั แปลงแปลกใหม่จาก ๑๑.๒ แสดงท่ำทำง/ ๑๑.๒.๑ เคลอื่ นไหว ของตนเองโดยมกี าร เดมิ และมีรายละเอียด เคลอ่ื นไหวตำม ท่าทางเพ่อื สอื่ สาร ดดั แปลง และแปลก เพ่มิ ขน้ึ จินตนำกำรอย่ำง ความคดิ ความรูส้ ึก ใหมจ่ ากเดิมหรอื มี ๑๑.๒.๑ เคล่อื นไหว สรำ้ งสรรค์ ของตนเอง รายละเอียดเพิม่ ข้ึน ท่าทางเพ่อื สอ่ื สาร ๑๑.๒.๑ เคลือ่ นไหว ความคดิ ความรูส้ กึ ทา่ ทางเพือ่ สื่อสาร ของตนเองอยา่ ง ความคดิ ความรู้สกึ หลากหลายและแปลก ของตนเองอยา่ ง ใหม่ หลากหลายหรอื แปลก ใหม่

มำตรฐำนท่ี ๑๒ มเี จตคตทิ ่ดี ีต่อกำรเรียนรู้ และมีควำมสำมำรถในกำรแสวงหำควำมรู้ไดเ้ หมำะสม กบั วยั ตวั บง่ ชี้ อำยุ ๓-๔ ปี สภำพท่พี ึงประสงค์ อำยุ ๕-๖ ปี อำยุ ๔-๕ ปี ๑๒.๑ มีเจตคตทิ ด่ี ตี ่อ ๑๒.๑.๑ สนใจฟังหรอื ๑๒.๑.๑ สนใจซักถาม ๑๒.๑.๑ สนใจหยบิ หนังสอื มา กำรเรยี นรู้ อา่ นหนงั สอื ด้วยตนเอง เกยี่ วกบั สัญลกั ษณห์ รือ อ่านและเขยี นส่อื ความคดิ ด้วย ตวั หนงั สอื ทีพ่ บเหน็ ตนเองเป็นประจาอยา่ งต่อเนื่อง ๑๒.๑.๒ กระตอื รอื รน้ ๑๒.๑.๒ กระตือรือรน้ ๑๒.๑.๒ กระตอื รือรน้ ในการร่วม ในการเขา้ รว่ มกจิ กรรม ในการเขา้ รว่ มกจิ กรรม กจิ กรรมตงั้ แต่ต้นจนจบ ๑๒.๒ มีควำมสำมำรถ ๑๒.๒.๑ คน้ หาคาตอบ ๑๒.๒.๑ คน้ หาคาตอบ ๑๒.๒.๑ คน้ หาคาตอบของข้อ ในกำรแสวงหำ ของขอ้ สงสยั ตา่ งๆ ตาม ของข้อสงสัยต่างๆ ตาม สงสยั ต่างๆ โดยใช้วิธีการที่ ควำมรู้ วธิ กี ารที่มีผ้ชู ้แี นะ วิธีการของตนเอง หลากหลายด้วยตนเอง ๑๒.๒.๒ ใชป้ ระโยค ๑๒.๒.๒ ใช้ประโยค ๑๒.๒.๒ ใช้ประโยคคาถามว่า คาถามว่า “ใคร” คาถามวา่ “ทไ่ี หน” “เมื่อไร” “อยา่ งไร” ในการ “อะไร” ในการคน้ หา “ทาไม” ในการคน้ หา คน้ หาคาตอบ คาตอบ เป้ำหมำยของหลักสตู ร เปา้ หมายเป็นการกาหนดความคาดหวังด้านคณุ ภาพท่เี กิดกับเด็กปฐมวยั และการดาเนินงานด้าน อน่ื ๆ ซ่งึ สอดคล้องกับจุดหมายหรือมาตรฐานคุณลักษณะทพ่ี งึ ประสงคข์ องหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั พ.ศ. ๒๕๖๐ และวสิ ัยทศั น์ท่ีสถานศกึ ษากาหนด การกาหนดเป้าหมายสามารถกาหนดไดท้ ้งั เชิงปรมิ าณและเชิง คณุ ภาพ ดังน้ี เป้ำหมำยเชงิ ปรมิ ำณ มาตรฐานที่ ๑ รอ้ ยละ ๘๐ ของเดก็ ปฐมวัยมรี า่ งกายเจรญิ เติบโตตามวยั และมีสุขนิสยั ที่ดี มาตรฐานที่ ๒ รอ้ ยละ ๘๐ ของเด็กปฐมวยั มกี ล้ามเนือ้ ใหญ่และกลา้ มเนอ้ื เล็กแขง็ แรง ใชไ้ ดอ้ ย่างคล่องแคลว่ และ ประสานสมั พนั ธก์ นั

มาตรฐานที่ ๓ ร้อยละ ๘๐ ของเดก็ ปฐมวัยมมี ีสขุ ภาพจิตดแี ละมีความสุข มาตรฐานท่ี ๔ รอ้ ยละ ๘๐ ของเดก็ ปฐมวยั ชืน่ ชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลือ่ นไหว และรักการ ออกกาลังกาย มาตรฐานที่ ๕ ร้อยละ ๘๐ ของเด็กปฐมวัยมีคุณธรรม จริยธรรม และมจี ิตใจท่ีดงี าม มาตรฐานที่ ๖ ร้อยละ ๘๐ ของเด็กปฐมวัยมีทกั ษะชวี ติ และปฏิบตั ิตนตามหลกั ปรชั ญาของเศษฐกจิ พอเพยี ง มาตรฐานท่ี ๗ ร้อยละ ๘๐ ของเด็กปฐมวยั รักธรรมชาติ สงิ่ แวดล้อม วฒั นธรรม และความเป็นไทย มาตรฐานที่ ๘ ร้อยละ ๘๐ ของเดก็ ปฐมวยั อย่รู ว่ มกบั ผอู้ ื่นได้อย่างมคี วามสุขและปฏบิ ตั ิตนเปน็ สมาชิกท่ีดีของ สังคมไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมขุ มาตรฐานที่ ๙ รอ้ ยละ ๘๐ ของเด็กปฐมวัยใช้ภาษาสื่อสารไดเ้ หมาะสมกบั วยั มาตรฐานท่ี ๑๐ ร้อยละ ๘๐ ของเดก็ ปฐมวัยมีความสามารถในการคิดท่เี ปน็ พ้ืนฐานในการเรยี นรู้ มาตรฐานที่ ๑๑ ร้อยละ ๘๐ ของเดก็ ปฐมวยั จินตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์ มาตรฐานท่ี ๑๒ รอ้ ยละ๘๐ของเดก็ ปฐมวยั มเี จตคติทด่ี ตี อ่ การเรียนรู้ และมคี วามสามารถใน การแสวงหาความรไู้ ดเ้ หมาะสมกับวยั

เปำ้ หมำยเชงิ คุณภำพ มาตรฐานที่ ๑ เด็กปฐมวยั มีรา่ งกายเจรญิ เตบิ โตตามวยั และมีสขุ นิสัยท่ีดีในระดบั คณุ ภาพ ดเี ยีย่ ม มาตรฐานที่ ๒ เด็กปฐมวยั มกี ลา้ มเนอื้ ใหญ่และกล้ามเน้ือเลก็ แข็งแรง ใช้ได้อยา่ งคลอ่ งแคลว่ และประสานสัมพนั ธ์ กนั ในระดับคณุ ภาพ ดเี ยย่ี ม มาตรฐานที่ ๓ เดก็ ปฐมวัยมมี สี ุขภาพจติ ดแี ละมีความสุขในระดับคณุ ภาพ ดีเยยี่ ม มาตรฐานที่ ๔ เดก็ ปฐมวัยชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลือ่ นไหว และรักการออกกาลังกายใน ระดบั คณุ ภาพ ดีเย่ยี ม มาตรฐานที่ ๕ เดก็ ปฐมวยั มีคณุ ธรรม จริยธรรม และมีจิตใจทีด่ งี ามในระดบั คุณภาพ ดีเยย่ี ม มาตรฐานที่ ๖ เด็กปฐมวยั มีทักษะชวี ิตและปฏิบัติตนตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงใน ระดบั คุณภาพ ดีเย่ียม มาตรฐานท่ี ๗ เดก็ ปฐมวัยรักธรรมชาติ สิง่ แวดล้อม วฒั นธรรม และความเปน็ ไทยในระดับคุณภาพ ดีเยยี่ ม มาตรฐานที่ ๘ เด็กปฐมวัยอยู่รว่ มกับผอู้ นื่ ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ และปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสงั คมไทยในระบอบ ประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ ในระดบั คุณภาพ ดเี ยย่ี ม มาตรฐานท่ี ๙ เดก็ ปฐมวัยใชภ้ าษาส่ือสารได้เหมาะสมกบั วัยในระดบั คุณภาพ ดเี ย่ยี ม มาตรฐานท่ี ๑๐ เด็กปฐมวยั มคี วามสามารถในการคดิ ที่เป็นพื้นฐานในการเรยี นรูใ้ นระดบั คณุ ภาพ ดีเยย่ี ม มาตรฐานท่ี ๑๑ เดก็ ปฐมวยั มีจินตนาการและความคดิ สร้างสรรค์ในระดบั คณุ ภาพ ดีเยย่ี ม มาตรฐานท่ี ๑๒ เดก็ ปฐมวัยมีเจตคติท่ีดตี อ่ การเรียนรู้ และมีความสามารถใน การแสวงหาความรไู้ ดเ้ หมาะสมกับ วัยในระดบั คณุ ภาพ ดีเยีย่ ม เกณฑ์พจิ ำรณำ - ระดับคุณภาพ รอ้ ยละ แปลความหมาย ตัวอย่างการต้ังคา่ เปา้ หมายระดบั คณุ ภาพ ระดับคุณภาพ แบบทา้ ทาย 80-100 ดีมาก ดเี ย่ียม 90-100 ดีมาก ดเี ยีย่ ม 60-79 ดี ดีมาก 80-89 ดี ดมี าก 40-59 พอใช้ ดี 70-79 พอใช้ ดี 20-39 ปรับปรงุ พอใช้ 60-69 ปรบั ปรงุ พอใช้ 1-19 ปรับปรุงเรง่ ด่วน ปรับปรงุ ตา่ กวา่ 59 ปรับปรุงเร่งด่วน ปรบั ปรงุ ขอ้ สงั เกตการตง้ั ค่าเป้าหมายแบบท้าทาย การกาหนดช่วงหา่ งของคะแนน ต้องเทา่ กนั ทุกเกณฑ์ เช่น 10 หรอื 5 หรือ 3 หรือ 2 ขน้ึ กับสถาบนั นัน้ พิจารณาจากผลการดาเนินการเดมิ ร่วมกันเปน็ มติท่ีประชุม

โครงสร้ำงหลกั สูตร โครงสร้ำงหลกั สูตรกำรศึกษำปฐมวยั พทุ ธศกั รำช ๒๕๖๐ ชว่ งอายุ อายุ 3 – 6 ปี สาระการเรยี นรู้ ประสบการณ์สาคญั สาระทค่ี วรเรยี นรู้ - ด้านรา่ งกาย - เร่ืองราวเก่ยี วกบั ตวั เดก็ - ดา้ นอารมณแ์ ละจติ ใจ - เร่อื งราวเก่ยี วกับบุคคลและ - ด้านสังคม สถานทีแ่ วดลอ้ มเดก็ - ด้านสติปัญญา - ธรรมชาตริ อบตวั - ส่งิ ตา่ งๆรอบตวั เดก็ ระยะเวลาเรียน ขึน้ อยู่กบั อายนุ ักเรียนทีเ่ ริ่มเขา้ รบั การอบรมเล้ยี งดูแลและรบั การศึกษา กำรจดั เวลำเรียน หลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั กาหนดกรอบโครงสรา้ งเวลาในการจัดประสบการณใ์ หก้ ับเด็ก ๑-๓ ปี การศึกษาโดยประมาณ ทงั้ น้ี ข้ึนอยกู่ บั อายขุ องเด็กทีเ่ ริม่ เข้าสถานศกึ ษาหรอื สถาบันพัฒนาเด็กปฐมวยั เวลา เรยี นสาหรบั เด็กปฐมวยั ขน้ึ อยู่กบั สถานศกึ ษาแต่ละแห่ง โดยมีเวลาเรยี นไมน่ ้อยกวา่ ๑๘๐ วนั ตอ่ ๑ ปกี ารศึกษา ในแตล่ ะวันจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๕ ชั่วโมง โดยสามารถปรับเปล่ียนให้เหมาะสมตามบริบทของสถานศกึ ษาและ สถาบันพฒั นาเดก็ ปฐมวัย สำระกำรเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ เป็นส่ือกลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเดก็ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ทุกด้าน ให้เปน็ ไปตามจุดหมายของหลกั สตู รท่กี าหนด ประกอบด้วย ประสบการณ์สาคัญ และสาระที่ควรเรียนรู้ ดังน้ี ๑. ประสบกำรณ์สำคัญ ประสบการณ์สาคัญเป็นแนวทางสาหรับผู้สอนนาไปใช้ในการออกแบบการ จดั ประสบการณ์ใหเ้ ดก็ ปฐมวัยเรยี นรู้ ลงมอื ปฏบิ ตั ิ และได้รบั การส่งเสริมพฒั นาการครอบคลุมทุกดา้ น ดังน้ี ๑.๑ ประสบกำรณ์สำคญั ท่ีส่งเสริมพฒั นำกำรดำ้ นร่ำงกำย เป็นการสนับสนุนใหเ้ ด็กได้มโี อกาส พัฒนาการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนอ้ื เล็ก และการประสานสัมพันธร์ ะหว่างกล้ามเนื้อและระบบประสาท ในการ ทากิจวตั รประจาวันหรือทากิจกรรมต่างๆ และสนับสนุนใหเ้ ด็กมีโอกาสดูแลสุขภาพและสุขอนามัย สขุ นิสยั และ การรักษาความปลอดภัย ดังน้ี

ด้ำนรำ่ งกำย ประสบกำรณส์ ำคญั ๑.๑.๑ กำรใชก้ ล้ำมเน้ือใหญ่ (๑) การเคลอื่ นไหวอย่กู ับที่ (๒) การเคล่ือนไหวเคล่อื นท่ี ๑.๑.๒ กำรใช้กล้ำมเนือ้ เล็ก (๓) การเคลอ่ื นไหวพร้อมวสั ดุอุปกรณ์ (๔) การเคล่ือนไหวทใ่ี ชก้ ารประสานสมั พันธข์ องการใช้ กล้ามเนอื้ ใหญใ่ นการขว้าง การจับ การโยน การเตะ (๕) การเลน่ เคร่ืองเลน่ สนามอย่างอิสระ (๑) การเลน่ เครือ่ งเลน่ สัมผสั และการสร้างจากแท่งไม้ บล็อก (๒) การเขยี นภาพและการเล่นกบั สี (๓) การป้ัน (๔) การประดิษฐส์ ง่ิ ตา่ งๆ ด้วย เศษวัสดุ ด้ำนร่ำงกำย ประสบกำรณ์สำคญั (๕) การหยบิ จับ การใชก้ รรไกร การฉีก การตดั การปะ และ ๑.๑.๓ กำรรักษำสุขภำพ อนำมัยสว่ นตน การรอ้ ยวัสดุ (๑) การปฏบิ ัติตนตามสขุ อนามัย สขุ นสิ ัยทด่ี ใี นกจิ วัตรประจาวนั ๑.๑.๔ กำรรกั ษำควำม ปลอดภัย (๑) การปฏบิ ัติตนให้ปลอดภัยในกิจวตั รประจาวนั (๒) การฟังนิทาน เร่ืองราว เหตกุ ารณ์ เก่ียวกบั การป้องกนั ๑.๑.๕ กำรตระหนกั รู้เกี่ยวกับ ร่ำงกำยตนเอง และรักษาความปลอดภัย (๓) การเลน่ เคร่ืองเล่นอยา่ งปลอดภยั (๔) การเล่นบทบาทสมมติเหตุการณต์ ่างๆ (๑) การเคล่อื นไหวโดยควบคมุ ตนเองไปในทิศทาง ระดับ และพ้นื ที่ (๒) การเคลอื่ นไหวข้ามสงิ่ กดี ขวาง

๑.๒ ประสบกำรณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนำกำรด้ำนอำรมณ์ จิตใจ เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้แสดงออก ทางอารมณแ์ ละความรูส้ ึกของตนเองทเ่ี หมาะสมกบั วัย ตระหนักถงึ ลกั ษณะพเิ ศษเฉพาะ ท่ีเป็น อัตลักษณ์ ความเปน็ ตัวของตัวเอง มีความสุข ร่าเริงแจ่มใส การเห็นอกเห็นใจผู้อ่ืน ได้พัฒนาคุณธรรมจริยธรรม สนุ ทรียภาพ ความรู้สึกท่ีดีต่อตนเอง และความเชอื่ ม่นั ในตนเองขณะปฏิบตั กิ จิ กรรมต่างๆ ดงั น้ี ด้ำนอำรมณ์ ประสบกำรณ์สำคัญ ๑.๒.๑ สุนทรียภำพ ดนตรี (๑) การฟงั เพลง การร้องเพลง และการแสดงปฏิกิรยิ าโตต้ อบ เสียงดนตรี (๒) การเล่นเครือ่ งดนตรีประกอบจังหวะ ๒๓ (๓) การเคลือ่ นไหวตามเสียงเพลง/ดนตรี (๔) การเลน่ บทบาทสมมติ (๕) การทากิจกรรมศิลปะตา่ งๆ (๖) การสรา้ งสรรคส์ ่งิ สวยงาม ๑.๒.๒ กำรเลน่ (๑) การเลน่ อิสระ (๒) การเล่นรายบุคคล กลุม่ ยอ่ ย กลุ่มใหญ่ (๓) การเลน่ ตามมุมประสบการณ์ (๔) การเล่นนอกห้องเรยี น ๑.๒.๓ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม (๑) การปฏิบตั ิตนตามหลกั ศาสนาที่นับถือ (๒) การฟังนทิ านเกี่ยวกับคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ด้ำนอำรมณ์ ประสบกำรณ์สำคญั (๓) การรว่ มสนทนาและแลกเปลีย่ นความคิดเหน็ เชงิ จรยิ ธรรม ๑.๒.๔ กำรแสดงออกทำง (๑) การพดู สะท้อนความรู้สึกของตนเองและผู้อ่ืน อำรมณ์ (๒) การเล่นบทบาทสมมติ (๓) การเคล่ือนไหวตามเสยี งเพลง/ดนตรี (๔) การร้องเพลง (๕) การทางานศิลปะ ๑.๒.๕ กำรมีอัตลกั ษณเ์ ฉพำะ (๑) การปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ งๆ ตามความสามารถของตนเอง ตนและเชื่อวำ่ ตนเองมี ควำมสำมำรถ ๑.๒.๖ กำรเหน็ อกเห็นใจผู้อน่ื (๑) การแสดงความยนิ ดีเม่ือผูอ้ ่ืนมีความสุข เห็นใจเมอื่ ผ้อู ื่นเศรา้ หรอื เสยี ใจและการชว่ ยเหลอื ปลอบโยนเมอ่ื ผู้อน่ื ไดร้ ับบาดเจบ็

๑.๓ ประสบกำรณ์สำคัญท่ีส่งเสริมพัฒนำกำรด้ำนสังคม เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาส ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัวจากการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ผ่านการเรียนรู้ทางสังคม เช่น การเล่น การทางานกบั ผอู้ น่ื การปฏิบตั ิกจิ วัตรประจาวนั การแก้ปญั หาข้อขัดแยง้ ตา่ งๆ ด้ำนสังคม ประสบกำรณส์ ำคญั ๑.๓.๑ กำรปฏบิ ัตกิ จิ วตั ร (๑) การชว่ ยเหลือตนเองในกจิ วัตรประจาวัน ประจำวัน (๒) การปฏบิ ตั ิตนตามแนวทางหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ๑.๓.๒ กำรดแู ลรกั ษำ (๑) การมสี ว่ นรว่ มรับผดิ ชอบดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและ ธรรมชำตแิ ละ ภายนอกห้องเรยี น สิ่งแวดล้อม (๒) การใช้วัสดุและสงิ่ ของเคร่อื งใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ (๓) การทางานศิลปะทนี่ าวัสดหุ รือสงิ่ ของเครอ่ื งใชท้ ใ่ี ช้แล้ว มาใชซ้ า้ หรือแปรรปู แลว้ นากลับมาใช้ใหม่ (๔) การเพาะปลกู และดแู ลต้นไม้ (๕) การเล้ียงสัตว์ (๖) การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ทเี่ ก่ยี วกบั ธรรมชาติและ ส่งิ แวดลอ้ มในชีวิตประจาวนั ๑.๓.๓ กำรปฏบิ ัตติ ำม (๑) การเล่นบทบาทสมมตกิ ารปฏิบตั ิตนในความเป็นคนไทย วัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ และ (๒) การปฏบิ ัติตนตามวัฒนธรรมท้องถนิ่ ทอี่ าศยั และประเพณไี ทย ควำมเปน็ ไทย (๓) การประกอบอาหารไทย ด้ำนสังคม ประสบกำรณส์ ำคญั (๔) การศึกษานอกสถานท่ี (๕) การละเล่นพื้นบ้านของไทย ๑.๓.๔ กำรมปี ฏิสัมพนั ธ์ (๑) การรว่ มกาหนดขอ้ ตกลงของหอ้ งเรยี น มวี ินัย มีส่วนร่วม (๒) การปฏบิ ัติตนเปน็ สมาชิกทดี่ ขี องห้องเรยี น และบทบำทสมำชกิ (๓) การใหค้ วามรว่ มมอื ในการปฏิบตั ิกจิ กรรมตา่ งๆ ของสงั คม (๔) การดแู ลหอ้ งเรยี นรว่ มกนั (๕) การรว่ มกิจกรรมวันสาคัญ ๑.๓.๕ กำรเล่นและทำงำน (๑) การร่วมสนทนาและแลกเปลีย่ นความคดิ เหน็ แบบร่วมมอื รว่ มใจ (๒) การเล่นและทางานรว่ มกับผอู้ ื่น (๓) การทาศลิ ปะแบบร่วมมอื ๑.๓.๖ กำรแก้ปญั หำ (๑) การมีส่วนรว่ มในการเลอื กวิธกี ารแก้ปัญหา ควำมขัดแย้ง (๒) การมสี ่วนร่วมในการแกป้ ัญหาความขดั แยง้ ๑.๓.๗ กำรยอมรับในควำม (๑) การเล่นหรือทากิจกรรมร่วมกับกลุ่มเพอ่ื น เหมอื นและควำม แตกต่ำงระหว่ำงบุคคล

๑.๔ ประสบการณ์สาคญั ทีส่ ่งเสริมพัฒนาการดา้ นสติปัญญา เป็นการสนับสนุนใหเ้ ด็กได้รบั ร้แู ละ เรียนรู้ส่ิงต่างๆ รอบตัวผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อม บุคคลและสื่อต่างๆ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่ หลากหลาย เพ่อื เปิดโอกาสให้เดก็ พัฒนาการใช้ภาษา จินตนาการความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การคิดเชิง เหตุผล และการคิดรวบยอดเก่ียวกับสงิ่ ต่างๆ รอบตัวและมีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานของ การเรยี นร้ใู นระดบั ทส่ี ูงขึ้นต่อไป กำรพฒั นำด้ำน ประสบกำรณ์สำคญั (๑) การฟังเสยี งต่างๆ ในส่งิ แวดล้อม (๒) การฟงั และปฏิบัตติ ามคาแนะนา (๓) การฟังเพลง นทิ าน คาคล้องจอง บทร้อยกรองหรอื เรื่องราว ต่างๆ (๔) การพูดแสดงความคิด ความรูส้ กึ และความต้องการ (๕) การพดู กบั ผู้อน่ื เกยี่ วกับประสบการณ์ของตนเอง หรือพูดเล่า เรือ่ งราวเกี่ยวกับตนเอง (๖) การพูดอธบิ ายเกี่ยวกบั สง่ิ ของ เหตกุ ารณ์ และความสัมพันธ์ ของสิ่งต่างๆ กำรพัฒนำด้ำน ประสบกำรณ์สำคญั (๗) การพดู อยา่ งสรา้ งสรรคใ์ นการเล่น และการกระทาต่างๆ (๘) การรอจงั หวะท่ีเหมาะสมในการพดู (๙) การพดู เรยี งลาดบั คาเพื่อใชใ้ นการส่อื สาร (๑๐) การอ่านหนังสอื ภาพ นิทาน หลากหลายประเภท/รูปแบบ (๑๑) การอ่านอย่างอสิ ระตามลาพัง การอ่านร่วมกนั การอา่ นโดย มีผู้ช้ีแนะ (๑๒) การเหน็ แบบอย่างของการอา่ นทถ่ี ูกตอ้ ง (๑๓) การสงั เกตทิศทางการอ่านตัวอักษร คา และข้อความ (๑๔) การอา่ นและช้ขี อ้ ความ โดยกวาดสายตาตามบรรทัดจากซา้ ย ไปขวา และจากบนลงล่าง (๑๕) การสงั เกตตวั อักษรในชื่อของตน หรอื คาคุ้นเคย (๑๖) การสังเกตตวั อักษรที่ประกอบเป็นคาผา่ นการอ่านหรอื เขยี น ของผู้ใหญ่ (๑๗) การคาดเดาคา วลี หรอื ประโยค ทมี่ โี ครงสรา้ งซา้ ๆ กัน จาก นิทาน เพลง คาคลอ้ งจอง (๑๘) การเล่นเกมภาษา (๑๙) การเหน็ แบบอย่างของการเขยี นท่ีถกู ต้อง (๒๐) การเขียนร่วมกันตามโอกาส และการเขยี นอสิ ระ

๑.๔.๒ กำรคดิ รวบยอด (๒๑) การเขยี นคาทม่ี ีความหมายกบั ตวั เดก็ /คาคุ้นเคย กำรคิดเชงิ เหตผุ ล (๒๒) การคดิ สะกดคาและเขยี นเพื่อส่อื ความหมายดว้ ยตนเองอย่าง กำรตัดสนิ ใจและ แกป้ ญั หำ อิสระ (๑) การสังเกตลักษณะ สว่ นประกอบ การเปลยี่ นแปลง และ ความสัมพนั ธ์ของส่งิ ต่างๆ โดยใช้ประสาทสมั ผัสอย่างเหมาะสม (๒) การสงั เกตส่ิงตา่ งๆ และสถานที่จากมุมมองท่ีตา่ งกนั (๓) การบอกและแสดงตาแหน่ง ทศิ ทาง และระยะทางของสิ่งต่างๆ ด้วยการกระทา ภาพวาด ภาพถ่าย และรูปภาพ (๔) การเลน่ กบั ส่ือตา่ งๆ ท่เี ปน็ ทรงกลม ทรงส่ีเหลี่ยมมมุ ฉาก ทรงกระบอก กรวย กำรพฒั นำดำ้ น ประสบกำรณ์สำคัญ (๕) การคัดแยก การจัดกลมุ่ และการจาแนกสงิ่ ตา่ งๆ ตามลักษณะ และรูปรา่ ง รปู ทรง (๖) การต่อของชนิ้ เลก็ เตมิ ในชิน้ ใหญ่ให้สมบรู ณ์ และการแยก ชิน้ สว่ น (๗) การทาซ้า การตอ่ เตมิ และการสรา้ งแบบรปู (๘) การนบั และแสดงจานวนของส่ิงตา่ งๆ ในชวี ติ ประจาวัน (๙) การเปรียบเทียบและเรียงลาดบั จานวนของสิ่งต่างๆ (๑๐) การรวมและการแยกสง่ิ ต่างๆ (๑๑) การบอกและแสดงอนั ดับที่ของสงิ่ ต่างๆ (๑๒) การชั่ง ตวง วัดสิ่งตา่ งๆ โดยใชเ้ ครื่องมือและหนว่ ยท่ีไม่ใช่ หน่วยมาตรฐาน (๑๓) การจบั คู่ การเปรยี บเทยี บ และการเรยี งลาดับ สิง่ ตา่ งๆ ตาม ลักษณะความยาว/ความสูง นา้ หนกั ปริมาตร (๑๔) การบอกและเรยี งลาดับกิจกรรมหรือเหตกุ ารณ์ตามชว่ งเวลา (๑๕) การใช้ภาษาทางคณติ ศาสตรก์ ับเหตุการณใ์ นชวี ิตประจาวัน (๑๖) การอธิบายเชือ่ มโยงสาเหตแุ ละผลทีเ่ กิดขึ้นในเหตุการณ์หรือ การกระทา (๑๗) การคาดเดาหรอื การคาดคะเนส่ิงทีอ่ าจจะเกิดขึน้ อยา่ งมี

๑.๔.๓ จินตนำกำรและ เหตผุ ล ควำมคดิ สร้ำงสรรค์ (๑๘) การมสี ว่ นร่วมในการลงความเหน็ จากขอ้ มลู อยา่ งมีเหตผุ ล (๑๙) การตัดสินใจและมสี ่วนรว่ มในกระบวนการแกป้ ัญหา ๑.๔.๔ เจตคติทีด่ ีต่อกำร (๑) การรับรู้ และแสดงความคิดความรสู้ ึกผ่านสอื่ วสั ดุ ของเลน่ เรยี นรู้และกำร แสวงหำควำมรู้ และช้ินงาน กำรพฒั นำดำ้ น (๒) การแสดงความคดิ สร้างสรรค์ผ่านภาษา ท่าทาง การเคล่อื นไหว และศิลปะ (๓) การสรา้ งสรรค์ชนิ้ งานโดยใช้รปู ร่างรูปทรงจากวสั ดทุ ี่ หลากหลาย (๑) การสารวจสิ่งตา่ งๆ และแหล่งเรียนรู้รอบตวั (๒) การตั้งคาถามในเร่อื งทีส่ นใจ (๓) การสบื เสาะหาความรู้เพอื่ ค้นหาคาตอบของข้อสงสัยตา่ งๆ ประสบกำรณ์สำคัญ (๔) การมสี ่วนร่วมในการรวบรวมขอ้ มูลและนาเสนอขอ้ มูลจากการ สืบเสาะหาความรู้ในรูปแบบต่างๆ และแผนภูมอิ ย่างงา่ ย ๒. สำระท่ีควรเรียนรู้ สาระที่ควรเรียนรู้ เป็นเร่ืองราวรอบตัวเด็กที่นามาเป็นส่ือกลางในการจัดกิจกรรมให้เด็กเกิด แนวคิดหลังจากนาสาระที่ควรรู้นั้นๆ มาจัดประสบการณ์ให้เด็ก เพ่ือให้บรรลุจดุ หมายท่ีกาหนดไว้ ทั้งนี้ ไม่เน้น การท่องจาเน้ือหา ผู้สอนสามารถกาหนดรายละเอียดขึ้นเองให้สอดคล้องกับวัย ความต้องการ และความสนใจ ของเด็ก โดยให้เด็กได้เรยี นรู้ผ่านประสบการณ์สาคัญ ท้ังน้ี อาจยืดหยนุ่ เนื้อหาได้ โดยคานึงถึงประสบการณ์และ สิ่งแวดลอ้ มในชวี ิตจริงของเดก็ ดงั นี้ ๒.๑ เรื่องรำวท่ีเก่ียวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้ชื่อ นามสกุล รูปร่างหน้าตา อวัยวะต่างๆ วิธี ระวังรักษาร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยที่ดี การรับประทานอาหารท่ีเป็นประโยชน์การระมัดระวัง ความปลอดภัยของตนเองจากผู้อืน่ และภัยใกล้ตวั รวมท้ังการปฏิบัตติ ่อผู้อืน่ อยา่ งปลอดภยั การรู้จกั ประวัติความ เป็นมาของตนเองและครอบครัว การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัวและโรงเรียน การเคารพสิทธิของ ตนเองและผอู้ ืน่ การร้จู ักแสดงความคดิ เห็นของตนเองและรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่นื การกากบั ตนเอง การเล่น และทาส่ิงต่างๆ ด้วยตนเองตามลาพังหรือกบั ผู้อืน่ การตระหนักร้เู ก่ียวกบั ตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การ สะท้อนการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่าง เหมาะสม การแสดงมารยาททด่ี ี การมีคณุ ธรรมจริยธรรม ๒.๒ เร่ืองรำวเก่ียวกับบุคคลและสถำนท่ีแวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน และบุคคลต่างๆ ที่เด็กต้องเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ในชีวติ ประจาวัน สถานที่ สาคัญในชมุ ชน

วนั สาคัญ อาชพี ของคนในชมุ ชน ศาสนา แหล่งวัฒนธรรมในชุมชน สญั ลักษณ์สาคัญของชาติไทยและการปฏิบัติ ตามวฒั นธรรมทอ้ งถ่ินและความเป็นไทย หรอื แหล่งเรยี นร้จู ากภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินอนื่ ๆ ๒.๓ ธรรมชำติรอบตวั เดก็ ควรเรียนร้เู กีย่ วกับชือ่ ลกั ษณะ ส่วนประกอบ การเปล่ียนแปลงและ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช และสัตว์ในท้องถิ่นท่ีเด็กควรรู้จัก และพืชในท้องถ่ินท่ีเด็กควรรู้จัก ตลอดจน การรู้จักเก่ียวกับดิน น้า ท้องฟ้า สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ แรงและพลังงานในชีวิตประจาวันที่แวดล้อมเด็ก รวมท้งั การอนรุ กั ษส์ ่ิงแวดลอ้ มและการรักษาสาธารณสมบัติ ๒.๔ สิ่งต่ำงๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับการใช้ภาษาเพื่อส่ือความหมายใน ชวี ิตประจาวนั ความรพู้ ื้นฐานเก่ียวกับการใช้หนังสอื และตวั หนังสือ รู้จักช่ือ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปร่าง รูปทรง ปริมาตร น้าหนัก จานวน ส่วนประกอบ การเปล่ียนแปลงและความสัมพันธ์ของส่ิงต่างๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใช้งาน และการเลือกใช้ส่ิงของเคร่ืองใช้ ยานพาหนะ การคมนาคมในชุมชนที่เด็กควรรู้จัก เทคโนโลยแี ละการสอ่ื สารต่างๆ ที่ใชอ้ ยู่ในชวี ติ ประจาวันอยา่ งประหยดั ปลอดภัยและรกั ษาส่งิ แวดลอ้ ม กำรจดั ประสบกำรณ์ การจัดประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวยั อายุ ๓ – ๖ ปี เปน็ การจัดกิจกรรมในลักษณะบูรณาการผา่ น การเลน่ การลงมือกระทาจากประสบการณ์ตรงอย่างหลากหลาย เกิดความรู้ ทกั ษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทง้ั เกิดการพัฒนาท้งั ดา้ นร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสติปัญญา ไม่จัดเป็นรายวิชาโดยมหี ลกั การ และ แนวทางการจดั ประสบการณ์ ดงั นี้ ๑. หลกั กำรจัดประสบกำรณ์ ๑.๑ จัดประสบการณก์ ารเลน่ และการเรยี นรหู้ ลากหลาย เพอื่ พัฒนาเด็กโดยองคร์ วมอยา่ งสมดุล และต่อเนอ่ื ง ๑.๒ เนน้ เด็กเปน็ สาคญั สนองความตอ้ งการ ความสนใจ ความแตกต่างระหวา่ งบุคคลและบรบิ ท ของสงั คมทเ่ี ด็กอาศัยอยู่ ๑.๓ จัดใหเ้ ดก็ ได้รบั การพฒั นา โดยให้ความสาคัญกบั กระบวนการเรียนรแู้ ละพัฒนาการของเดก็ ๑.๔ จดั การประเมนิ พฒั นาการให้เป็นกระบวนการอย่างตอ่ เนื่อง และเป็นส่วนหน่งึ ของการจดั ประสบการณ์ พร้อมทงั้ นาผลการประเมนิ มาพัฒนาเด็กอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ๑.๕ ให้พอ่ แม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝา่ ยที่เกยี่ วขอ้ งมสี ว่ นร่วมในการพฒั นาเด็ก ๒. แนวทำงกำรจัดประสบกำรณ์ ๒.๑ จัดประสบการณ์ให้สอดคลอ้ งกับจติ วิทยาพัฒนาการและการทางานของสมองท่ีเหมาะสม กบั อายุ วฒุ ิภาวะและระดบั พฒั นาการ เพือ่ ใหเ้ ดก็ ทุกคนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ ๒.๒ จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรูข้ องเด็ก เดก็ ไดล้ งมอื กระทาเรียนรูผ้ า่ น ประสาสมั ผัสทั้งห้า ไดเ้ คลอื่ นไหว สารวจ เลน่ สังเกต สืบค้น ทดลอง และคดิ แก้ปญั หาด้วยตนเอง

๒.๓ จดั ประสบการณ์แบบบรู ณาการ โดยบรู ณาการทง้ั กจิ กรรม ทกั ษะ และสาระการเรยี นรู้ ๒.๔ จัดประสบการณ์ใหเ้ ด็กไดร้ ิเรมิ่ คิด วางแผน ตัดสนิ ใจลงมือกระทาและนาเสนอความคิด โดยครูหรอื ผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้สนับสนุนอานวยความสะดวก และเรยี นรูร้ ว่ มกบั เด็ก ๒.๕ จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสมั พนั ธก์ ับเด็กอ่ืนกับผใู้ หญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมทีเ่ อ้อื ต่อ การเรียนรู้ ในบรรยากาศทอ่ี บอ่นุ มคี วามสุข และเรยี นร้กู ารทากจิ กรรมแบบรว่ มมอื ในลักษณะต่างๆกนั ๒.๖ จดั ประสบการณ์ใหเ้ ด็กมีปฏสิ มั พนั ธ์กบั สื่อและแหลง่ การเรยี นรีห่ ลากหลายและอยู่ในวิถี ชีวติ ของเดก็ ๒.๗ จดั ประสบการณ์ที่ส่งเสรมิ ลกั ษณะนิสยั ที่ดีและทกั ษะการใช้ชวี ิตประจาวนั ตลอดจน สอดแทรกคุณธรรมจรยิ ธรรมให้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของการจดั ประสบการณ์การเรยี นรอู้ ย่างตอ่ เน่ือง ๒.๘ จัดประสบการณ์ท้งั ในลักษณะท่ีดีการวางแผนไว้ลว่ งหนา้ และแผนทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสภาพจรงิ โดยไมไ่ ดค้ าดการณ์ไว้ ๒.๙ จดั ทาสารนทิ ัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมลู เกีย่ วกบั พฒั นาการและการเรยี นร้ขู องเด็กเปน็ รายบคุ คล นามาไตรต่ รองและใชใ้ ห้เปน็ ประโยชนต์ ่อการพฒั นาเด็ก และการวิจยั ในชนั้ เรียน ๒.๑๐ จดั ประสบการณ์โดยใหพ้ ่อแม่ ครอบครวั และชุมชนมีส่วนร่วมทง้ั การวางแผน การ สนบั สนนุ สื่อแหลง่ เรยี นรู้ การเข้าร่วมกิจกรรม และการประเมินพฒั นาการ ๓. กำรจดั กิจกรรมประจำวัน กิจกรรมสาหรับเดก็ อายุ ๓ – ๖ ปบี ริบูรณ์ สามารถนามาจดั เป็นกจิ กรรมประจาวนั ได้หลายรปู แบบเป็น การชว่ ยให้ครูผู้สอนหรือผจู้ ัดประสบการณท์ ราบวา่ แตล่ ะวนั จะทากิจกรรมอะไร เม่อื ใด และอยา่ งไร ทั้งนี้ การจดั กิจกรรมประจาวันสามารถจัดได้หลายรปู แบบ ขึ้นอยกู่ บั ความเหมาะสมในการนาไปใช้ของแตล่ ะหน่วยงานและ สภาพชุมชน ทส่ี าคญั ครูผู้สอนต้องคานงึ ถงึ การจดั กจิ กรรมใหค้ รอบคลุมพัฒนาการทุกดา้ นการจัดกจิ กรรม ประจาวนั มหี ลักการจดั และขอบขา่ ยกจิ กรรมประจาวนั ดังน้ี ๓.๑ หลกั กำรจดั กิจกรรมประจำวัน ๑. กาหนดระยะเวลาในการจัดกจิ กรรมแต่ละกจิ กรรมให้เหมาะสมกับวัยของเดก็ ในแต่ละวันแต่ ยดื หยนุ่ ได้ตามความตอ้ งการและความสนใจของเดก็ เช่น วัย ๓-๔ ปี มคี วามสนใจชว่ งส้ันประมาณ ๘-๑๒ นาที วัย ๔ – ๕ ปี มีความสนใจอยูไ่ ดป้ ระมาณ ๑๒-๑๕ นาที วยั ๕-๖ ปี มคี วามสนใจอยู่ไดป้ ระมาณ ๑๕- ๒๐ นาที ๒. กิจกรรมที่ต้องใช้ความคดิ ทงั้ ในกล่มุ เล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใชเ้ วลาต่อเนอื่ งนานเกนิ กว่า ๒๐ นาที

๓. กิจกรรมทีเ่ ด็กมีอิสระเลือกเลน่ เสรี เพื่อชว่ ยให้เดก็ รู้จกั เลือกตัดสินใจ คิดแกป้ ัญหา คิด สรา้ งสรรค์ เช่น การเลน่ ตามมุม การเล่นกลางแจ้ง ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที ๔. กจิ กรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกหอ้ ง กจิ กรรมทีใ่ ชก้ ล้ามเน้ือใหญ่ และกล้ามเนอ้ื เลก็ กิจกรรมที่เปน็ รายบคุ คล กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กจิ กรรมทเี่ ด็กเปน็ ผู้ริเร่มิ และครูผูส้ อนหรอื ผู้ จัดประสบการณ์เป็นผรู้ เิ รม่ิ และกิจกรรมทใ่ี ช้กาลังและไมใ่ ชก้ าลัง จัดให้ครบทุกประเภท ท้งั น้ี กิจกรรมทีต่ อ้ ง ออกกาลงั กายควรจัดสลับกบั กิจกรรมทไ่ี ม่ต้องออกกาลังมากนัก เพ่อื เด็กจะไดไ้ มเ่ หนื่อยเกนิ ไป ๓.๒ ขอบขำ่ ยของกจิ กรรมประจำวนั การเลือกกจิ กรรมที่จะนามาจัดในแตล่ ะวนั สามารถจดั ได้หลายรูปแบบ ท้งั น้ี ขึน้ อย่กู ับความเหมาะสมใน การนาไปใช้ของแตล่ ะหนว่ ยงานและสภาพชมุ ชน ท่สี าคัญครูผู้สอนตอ้ งคานึกถึงการจัดกจิ กรรมให้ครอบคลุม พัฒนาการทุกดา้ น ดังตอ่ ไปนี้ ๓.๒.๑ กำรพัฒนำกลำ้ มเนอ้ื ใหญ่ เปน็ การพัฒนาความแขง็ แรง การทรงตวั ความยดื หยุ่น ความ คล่องแคล่วในการใชอ้ วัยวะต่าง ๆ และจังหวะการเคลอ่ื นไหวในการใช้กล้ามเนือ้ ใหญ่ โดยจัดกิจกรรมให้เดก็ ได้ เลน่ อสิ ระกลางแจง้ เลน่ เครอ่ื งเลน่ สนาม ปนี ปา่ ยเลน่ อสิ ระ เคลื่อนไหวรา่ งกายตามจังหวะดนตรี ๓.๒.๒ กำรพฒั นำกำรกล้ำมเนื้อเลก็ เป็นการพฒั นาความแขง็ แรงของกล้ามเนอื้ เลก็ กลา้ มเนอ้ื มือ-นว้ิ มอื การประสานสมั พนั ธร์ ะหว่างกล้ามเนื้อมือและระบบประสาทตามอื ไดอ้ ย่างคล่องแคลว่ และประสานสัมพันธ์ โดยจดั กิจกรรมให้เด็กได้เลน่ เครอ่ื งสมั ผัส เล่นเกมการศกึ ษา ฝึกชว่ ยเหลอื ตนเองในการแตง่ กาย หยบิ จับ ช้อนสอ้ ม และใช้อปุ กรณ์ศิลปะ เช่น สีเทียน กรรไกร พูก่ ัน ดนิ เหนยี ว ฯลฯ ๓.๒.๓ กำรพฒั นำกำรอำรมณ์ จติ ใจ และปลูกฝังคณุ ธรรม จรยิ ธรรม เป็นการปลกู ฝังใหเ้ ดก็ มี ความรู้สกึ ที่ดีตอ่ ตนเองและผู้อ่นื มคี วามเช่ือมัน่ กลา้ แสดงออก มีวินัย รับผดิ ชอบ ซอ่ื สัตย์ ประหยัด เมตตากรุณา เอื้อเฟ้อื แบ่งปัน มมี ารยาทและปฏบิ ัตติ นตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาที่นบั ถอื โดยจดั กิจกรรมต่างๆ ผ่านการ เลน่ ใหเ้ ด็กได้มโี อกาสตดั สนิ ใจเลือก ไดร้ ับการตอบสนองตาความตอ้ งการไดฝ้ ึกปฏิบตั โิ ดยสอดแทรกคณุ ธรรม จรยิ ธรรมอย่างต่อเนื่อง ๓.๒.๔ กำรพฒั นำสังคมนสิ ัย เป็นการพัฒนาใหเ้ ด็กมีลักษณะนสิ ัยทด่ี ี แสดงออกอย่างเหมาะสมและอยู่ ร่วมกบั ผู้อ่ืนไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ ชว่ ยเหลือตนเองในการทากจิ วตั รประจาวนั มีนสิ ยั รักการทางาน ระมดั ระวงั ความ ปลอดภยั ของตนเองและผูอ้ ่นื โดยรวมท้งั ระมดั ระวงั อันตรายจากคนแปลกหนา้ ให้เด็กไดป้ ฏิบัตกิ ิจวตั รประจาวัน อยา่ งสมา่ เสมอ เชน่ รบั ประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขบั ถ่าย ทาความสะอาดรา่ งกาย เล่นและทางาน ร่วมกับผ้อู ่ืน ปฏิบัติตามกฎกตกิ าข้อตกลงของรว่ มรวม เกบ็ ของเข้าท่ีเมอ่ื เลน่ หรอื ทางานเสร็จ ๓.๒.๕ กำรพฒั นำกำรคิด เป็นการพฒั นาใหเ้ ดก็ มีความสามารถในการคดิ แกป้ ัญหาความ คิด รวบยอดทางคณติ ศาสตร์ และคดิ เชิงเหตผุ ลทางคณิตศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์โดยจัดกิจกรรมให้เด็กไดส้ นทนา อภิปรายและเปลี่ยนความคิดเห็น เชญิ วทิ ยากรมาพดู คยุ กับเด็ก ศึกษานอกสถานที่ เล่นเกมการศกึ ษา ฝึกการ

แก้ปัญหาในชวี ิตประจาวนั ฝึกออกแบบและสรา้ งชิน้ งาน และทากิจกรรมทั้งเป็นกลมุ่ ย่อย กลุ่มใหญแ่ ละ รายบุคคล ๓.๒.๖ กำรพฒั นำภำษำ เปน็ การพัฒนาให้เดก็ ใช้ภาษาสอ่ื สารถา่ ยทอดความรู้สกึ นกึ คิด ความรคู้ วามเข้าใจในสง่ิ ตา่ งๆ ที่เด็กมีประสบการณ์โดยสามารถตั้งคาถามในส่ิงที่สงสยั ใครร่ ู้ จัดกจิ กรรมทาง ภาษาให้มีความหลากหลายในสภาพแวดลอ้ มที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ ม่งุ ปลูกฝงั ใหเ้ ด็กไดก้ ล้าแสดงออกในการฟงั พดู อ่าน เขยี น มนี ิสัยรกั การอ่าน และบคุ คลแวดลอ้ มตอ้ งเปน็ แบบอย่างทด่ี ใี นการใช้ภาษา ทงั้ น้ตี อ้ งคานึกถึง หลักการจดั กิจกรรมทางภาษาท่เี หมาะสมกับเด็กเปน็ สาคญั ๓.๒.๗ กำรสง่ เสรมิ จินตนำกำรและควำมคิดสรำ้ งสรรค์ เป็นการสง่ เสรมิ ให้เดก็ มีความคิด รเิ รมิ่ สร้างสรรค์ ได้ถา่ ยทอดอารมณค์ วามรู้สึกและเห็นความสวยงามของสง่ิ ตา่ งๆ โดยจดั กิจกรรมศลิ ปะ สร้างสรรคด์ นตรี การเคล่อื นไหวและจงั หวะตามจินตนาการ ประดษิ ฐ์สิง่ ตา่ งๆ อย่างอสิ ระ เล่นบทบาทสมมุติ เลน่ น้า เล่นทราย เล่นบล็อก และเล่นกอ่ สร้าง กำรสรำ้ งบรรยำกำศกำรเรียนรู้ การจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา มีความสาคัญตอ่ เดก็ เนือ่ งจากธรรมชาติของเดก็ ในวยั นส้ี นใจท่ีจะ เรยี นรู้ ค้นคว้า ทดลอง และตอ้ งการสัมผัสกบั สิ่งแวดลอ้ มรอบๆตวั ดังนนั้ การจัดเตรยี มสง่ิ แวดลอ้ มอย่าง เหมาะสมตามความต้องการของเดก็ จงึ มีความสาคัญที่เกยี่ วข้องกับพฤติกรรมและการเรียนรู้ของเดก็ เด็ก สามารถเรียนรจู้ ากการเลน่ ท่เี ป็น ประสบการณ์ตรงทเ่ี กดิ จากการรบั รู้ดว้ ยประสาทสมั ผัสท้ังหา้ จงึ จาเป็นต้องจัด สงิ่ แวดลอ้ มในสถานศกึ ษาให้สอดคล้องกับสภาพ และความตอ้ งการของหลกั สูตร เพอ่ื สง่ ผลให้บรรลุจุดหมายใน การพัฒนาเด็ก การจัดสภาพแวดล้อมคานึงถึงสิ่งต่อไปน้ี ๑. ความสะอาด ความปลอดภัย ๒. ความมอี ิสระอย่างมขี อบเขตในการเลน่ ๓. ความสะดวกในการทากิจกรรม ๔. ความพรอ้ มของอาคารสถานที่ เช่น หอ้ งเรยี น หอ้ งนา้ ห้องส้วม สนามเดก็ เลน่ ฯลฯ ๕. ความเพยี งพอเหมาะสมในเร่ืองขนาด นา้ หนัก จานวน สขี องสือ่ และเคร่อื งเลน่ ๖. บรรยากาศในการเรยี นรู้ การจัดท่ีเล่นและมมุ ประสบการณ์ต่าง ๆ สภำพแวดล้อมภำยในหอ้ งเรยี น หลกั สาคญั ในการจัดต้องคานึงถงึ ความปลอดภัย ความสะอาด เปา้ หมายการพัฒนาเด็ก ความเปน็ ระเบยี บ ความเป็นตัวของเดก็ เอง ใหเ้ ด็กเกิดความรสู้ กึ อบอุ่น มน่ั ใจ และมีความสุข ซ่งึ อาจจัดแบง่ พ้ืนท่ใี ห้ เหมาะสมกบั การประกอบกจิ กรรมตามหลกั สูตร ดงั น้ี ๑. พื้นทอี่ ำนวยควำมสะดวกเพื่อเดก็ และผู้สอน ๑.๑ ทแ่ี สดงผลงานของเด็ก อาจจดั เป็นแผ่นป้าย หรอื ที่แขวนผลงาน ๑.๒ ที่เกบ็ แฟ้มผลงานของเด็ก อาจจัดทาเปน็ กลอ่ งหรือจัดใสแ่ ฟ้มรายบุคคล

๑.๓ ทเ่ี ก็บเคร่อื งใช้ส่วนตวั ของเด็ก อาจทาเปน็ ช่องตามจานวนเด็ก ๑.๔ ทีเ่ ก็บเครอ่ื งใช้ของผู้สอน เชน่ อุปกรณ์การสอน ของสว่ นตวั ผสู้ อน ฯลฯ ๑.๕ ปา้ ยนเิ ทศตามหนว่ ยการสอนหรือสิง่ ทีเ่ ดก็ สนใจ ๒. พน้ื ทปี่ ฏบิ ัตกิ จิ กรรมและกำรเคลื่อนไหว ต้องกาหนดใหช้ ดั เจน ควรมพี ้นื ทีท่ เี่ ดก็ สามารถจะทางานได้ ด้วยตนเอง และทากิจกรรมดว้ ยกันในกลุ่มเล็ก หรือกลุม่ ใหญ่ เด็กสามารถเคลือ่ นไหวได้อย่างอสิ ระจากกจิ กรรม หน่งึ ไปยงั กจิ กรรมหนงึ่ โดยไมร่ บกวนผอู้ ่ืน ๓. พ้นื ท่ีจดั มมุ เลน่ หรือมมุ ประสบกำรณ์ สามารถจัดไดต้ ามความเหมาะสมขนึ้ อยกู่ บั สภาพของหอ้ งเรยี น จดั แยกส่วนที่ใชเ้ สียงดงั และเงียบออกจากกนั เชน่ มุมบล็อกอยู่หา่ งจากมุมหนังสอื มุมบทบาทสมมติอยู่ติดกบั มมุ บลอ็ ก มมุ วิทยาศาสตร์อยู่ใกลม้ มุ ศิลปะฯ ลฯ ท่ีสาคัญจะตอ้ งมีของเล่น วัสดอุ ปุ กรณ์ ในมมุ อย่างเพยี งพอต่อการเรยี นรูข้ องเด็ก การเลน่ ในมมุ เลน่ อยา่ งเสรี มักถกู กาหนดไวใ้ นตารางกิจกรรมประจาวนั เพ่ือให้โอกาสเด็กได้เล่นอย่างเสรปี ระมาณวนั ละ ๖๐ นาทีการจดั มุมเล่นตา่ งๆ ผู้สอนควรคานงึ ถึงสง่ิ ต่อไปน้ี ๓.๑ ในหอ้ งเรยี นควรมีมมุ เลน่ อยา่ งน้อย ๓-๕ มุม ทัง้ น้ีขนึ้ อย่กู บั พ้ืนทขี่ องห้อง ๓.๒ ควรไดม้ กี ารผลดั เปลีย่ นส่อื ของเลน่ ตามมมุ บ้าง ตามความสนใจของเด็ก ๓.๓ ควรจดั ให้มีประสบการณท์ ี่เดก็ ได้เรยี นรไู้ ปแลว้ ปรากฏอยู่ในมุมเล่น เช่น เดก็ เรียนรู้เรอ่ื งผีเส้ือ ผสู้ อนอาจจัดให้มีการจาลองการเกิดผีเส้อื ล่องไวใ้ หเ้ ด็กดใู นมมุ ธรรมชาติศกึ ษาหรือมุมวทิ ยาศาสตร์ ฯลฯ ๓.๔ ควรเปดิ โอกาสให้เด็กมีสว่ นร่วมในการจดั มมุ เลน่ ทงั้ น้ีเพอื่ จงู ใจใหเ้ ด็กรู้สึกเป็นเจา้ ของ อยาก เรียนรู้ อยากเข้าเล่น ๓.๕ ควรเสรมิ สรา้ งวินยั ใหก้ ับเด็ก โดยมขี อ้ ตกลงร่วมกนั วา่ เมื่อเล่นเสร็จแล้วจะต้องจัดเก็บอปุ กรณ์ ทุกอยา่ งเข้าท่ีใหเ้ รียบร้อยสภำพแวดล้อมนอกหอ้ งเรยี น คือ การจดั สภาพแวดลอ้ มภายในอาณาบริเวณรอบ ๆ สถานศึกษา รวมทง้ั จดั สนามเด็กเล่น พรอ้ มเครื่องเล่นสนาม จัดระวงั รักษาความปลอดภยั ภายในบริเวณ สถานศกึ ษาและบริเวณรอบนอกสถานศึกษา ดแู ลรักษาความสะอาด ปลูกตน้ ไมใ้ หค้ วามรม่ ร่ืนรอบๆบริเวณ สถานศกึ ษา สิง่ ต่างๆเหล่านีเ้ ป็นสว่ นหน่ึงทีส่ ่งผลต่อการเรยี นรแู้ ละพฒั นาการของเดก็ บรเิ วณสนำมเดก็ เลน่ ตอ้ งจัดให้สอดคลอ้ งกับหลักสตู ร ดังน้ี สนำมเดก็ เลน่ มพี ้ืนผวิ หลายประเภท เชน่ ดิน ทราย หญา้ พื้นท่ีสาหรบั เล่นของเลน่ ท่มี ีลอ้ รวมทง้ั ทร่ี ม่ ที่โลง่ แจง้ พ้นื ดนิ สาหรับขดุ ท่ีเล่นน้า บ่อทราย พร้อมอปุ กรณป์ ระกอบการเล่น เคร่อื งเล่นสนาม สาหรับ ปนี ปา่ ย ทรงตวั ฯลฯ ท้งั นต้ี ้องไม่ตดิ กับบรเิ วณที่มีอันตราย ต้องหมั่นตรวจตราเครอ่ื งเลน่ ให้อยูใ่ นสภาพแขง็ แรง ปลอดภัยอยเู่ สมอ และหม่ันดูแลเร่อื งความสะอาด ทนี่ งั่ เล่นพกั ผอ่ น จดั ท่ีน่งั ไว้ใต้ต้นไม้มรี ม่ เงา อาจใชก้ จิ กรรมกลมุ่ ยอ่ ย ๆ หรือกิจกรรมทต่ี ้องการ ความสงบ หรอื อาจจดั เป็นลานนิทรรศการให้ความร้แู กเ่ ด็กและผู้ปกครองบรเิ วณธรรมชำติ ปลกู ไมด้ อก ไม้ ประดับ พืชผกั สวนครวั หากบรเิ วณสถานศกึ ษา มีไม่มากนกั อาจปลกู พืชในกระบะหรือกระถาง ส่ือและแหล่งเรียนรู้

ส่ือประกอบการจัดกจิ กรรมเพอื่ พฒั นาเด็กปฐมวัยท้ังทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ควรมีสื่อทงั้ ทีเ่ ปน็ ประเภท ๒ มิติ และ/หรือ ๓ มติ ิ ทเ่ี ปน็ สื่อของจริง สอื่ ธรรมชาติ ส่อื ท่อี ยู่ใกลต้ ัวเด็ก ส่ือ สะท้อนวฒั นธรรม ส่ือท่ีปลอดภยั ต่อตัวเด็ก สื่อเพื่อพฒั นาเดก็ ในด้านต่างๆใหค้ รบทุกด้านสื่อทเี่ อื้อใหเ้ ด็กเรียนรู้ ผา่ นประสาทสมั ผัสทงั้ หา้ โดยการจดั การใช้สอื่ เรมิ่ ต้นจาก สื่อของจริง ภาพถ่าย ภาพโครงร่าง และ สญั ลักษณ์ ทงั้ นี้การใช้สื่อตอ้ งเหมาะสมกับวยั วฒุ ภิ าวะ ความแตกต่างระหว่างบคุ คล ความสนใจและความ ต้องการของเด็กทีห่ ลากหลาย ตัวอยา่ งส่ือประกอบการจัดกจิ กรรม มีดงั นี้ กิจกรรมเสรี /กำรเล่นตำมมุม ๑. มมุ บทบำทสมมติ อาจจัดเปน็ มมุ เลน่ ดังนี้ ๑.๑ มุมบา้ น ของเลน่ เคร่อื งใช้ในครัวขนาดเลก็ หรือของจาลอง เช่น เตา กระทะ ครก กานา้ เขยี ง มีดพลาสติก หม้อ จาน ชอ้ น ถว้ ยชาม กะละมัง ฯลฯ เคร่อื งเลน่ ต๊กุ ตา เสอ้ื ผ้าตุ๊กตา เตยี ง เปลเด็ก ตุก๊ ตา เครอ่ื งแตง่ บา้ นจาลอง เชน่ ชุดรบั แขก โตะ๊ เครื่องแปง้ หมอนองิ กระจกขนาดเหน็ เตม็ ตัว หวี ตลบั แปง้ ฯลฯ เครือ่ งแตง่ กายบคุ คลอาชีพต่าง ๆ ท่ีใช้แลว้ เช่น ชุดเครือ่ งแบบทหาร ตารวจ ชดุ เสอื้ ผา้ ผ้ใู หญ่ชายและหญงิ รองเท้า กระเป๋าถือที่ไม่ใชแ้ ล้ว ฯลฯ โทรศัพท์ เตารีดจาลอง ที่รดี ผ้าจาลอง ภาพถา่ ยและรายการอาหาร ๑.๒ มุมหมอ - เครื่องเล่นจาลองแบบเครื่องมือแพทยแ์ ละอุปกรณ์การรกั ษาผ้ปู ่วย เชน่ หฟู ัง เส้อื คลมุ หมอ ฯลฯ อุปกรณส์ าหรับเลยี นแบบการบันทึกขอ้ มูลผู้ป่วย เช่น กระดาษ ดนิ สอ ฯลฯ ๑.๓ มุมรา้ นค้า กลอ่ งและขวดผลิตภณั ฑ์ต่างๆที่ใชแ้ ล้ว อุปกรณ์ประกอบการเลน่ เช่น เคร่อื งคดิ เลข ลูกคดิ ธนบัตรจาลอง ฯลฯ ๒. มมุ บล็อก ไมบ้ ล็อกหรือแท่งไมท้ มี่ ีขนาดและรูปทรงตา่ งๆกนั จานวนตงั้ แต่ ๕๐ ชน้ิ ขน้ึ ไป ของเลน่ จาลอง เชน่ รถยนต์ เครอ่ื งบนิ รถไฟ คน สัตว์ ตน้ ไม้ ฯลฯ ภาพถ่ายต่างๆ - ท่จี ดั เก็บไม้บล็อกหรอื แทง่ ไมอ้ าจเปน็ ชั้น ลังไม้หรอื พลาสติก แยกตามรปู ทรง ขนาด

๓. มุมหนังสอื หนงั สือภาพนทิ าน สมุดภาพ หนังสอื ภาพทม่ี คี าและประโยคสั้น ๆพร้อมภาพ ช้นั หรอื ท่ีวางหนังสอื อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ท่ใี ช้ในการสรา้ งบรรยากาศการอา่ น เชน่ เสื่อ พรม หมอน ฯลฯ สมุดเซ็นยมื หนังสือกลบั บ้าน อุปกรณส์ าหรับการเขียน อปุ กรณ์เสรมิ เชน่ เครอื่ งเลน่ เทป ตลับเทปนทิ านพรอ้ มหนงั สือนิทาน หูฟงั ฯลฯ ๔. มมุ วทิ ยำศำสตร์ หรอื มุมธรรมชำตศิ ึกษำ วสั ดตุ ่าง ๆ จากธรรมชาติ เช่น เมล็ดพชื ต่าง ๆ เปลือกหอย ดิน หิน แร่ ฯลฯ เครือ่ งมอื เครอ่ื งใช้ในการสารวจ สังเกต ทดลอง เช่น แว่นขยาย แมเ่ หลก็ เขม็ ทิศ เคร่อื งชัง่ ฯลฯ ๕.มมุ อำเซียน ธงของแต่ละประเทศในกลุม่ ประเทศอาเซียน คากลา่ วทักทายของแต่ละประเทศ ภาพการแตง่ กายประจาชาติในกลุ่มประเทศอาเซียน กิจกรรมสร้ำงสรรค์ ควรมีวสั ดุ อุปกรณ์ ดงั น้ี ๑. กำรวำดภำพและระบำยสี - สเี ทยี นแทง่ ใหญ่ สไี ม้ สีชอลก์ สีนา้ - พู่กันขนาดใหญ่ (ประมาณเบอร์ ๑๒ ) - กระดาษ - เสือ้ คลมุ หรอื ผ้ากันเปื้อน ๒. กำรเล่นกบั สี การเปา่ สี มี กระดาษ หลอดกาแฟ สนี า้ การหยดสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ พกู่ ัน สนี า้ การพับสี มี กระดาษ สีนา้ พ่กู นั การเทสี มี กระดาษ สีน้า การละเลงสี มี กระดาษ สนี ้า แปง้ เปยี ก ๓. กำรพิมพภ์ ำพ แมพ่ มิ พ์ต่าง ๆ จากของจรงิ เชน่ น้ิวมือ ใบไม้ ก้านกลว้ ย ฯลฯ แม่พิมพจ์ ากวสั ดุอ่ืน ๆ เช่น เชือก เส้นด้าย ตรายาง ฯลฯ กระดาษ ผ้าเชด็ มือ สีโปสเตอร์ (สนี า้ สีฝุ่น ฯลฯ) ๔.กำรปัน้ เช่น ดินน้ามนั ดนิ เหนยี ว แปง้ โดว์ แผ่นรองปนั้ แม่พิมพร์ ูปตา่ ง ๆ ไมน้ วดแป้ง ฯลฯ ๕.กำรพบั ฉกี ตัดปะ เชน่ กระดาษ หรือวัสดุอื่นๆที่จะใช้พบั ฉกี ตดั ปะ กรรไกรขนาดเลก็ ปลายมน กาวน้าหรอื แป้งเปยี ก ผ้าเชด็ มอื ฯลฯ

๖. กำรประดิษฐ์เศษวสั ดุ เช่น เศษวสั ดุตา่ ง ๆ มกี ลอ่ งกระดาษ แกนกระดาษ เศษผา้ เศษไหม กาว กรรไกร สี ผา้ เชด็ มือ ฯลฯ ๗. กำรรอ้ ย เช่น ลกู ปดั หลอดกาแฟ หลอดด้าย ฯลฯ ๘.กำรสำน เช่น กระดาษ ใบตอง ใบมะพรา้ ว ฯลฯ ๙. กำรเลน่ พลำสติกสรำ้ งสรรค์ พลาสติกชิ้นเล็ก ๆ รปู ทรงต่าง ๆ ผูเ้ ลน่ สามารถนามาต่อเป็นรูปแบบ ต่าง ๆ ตามความตอ้ งการ ๑๐.กำรสร้ำงรูป เช่น จากกระดานปกั หมดุ จากแปน้ ตะปทู ่ใี ช้หนังยางหรือเชือก ผูกดงึ ให้เปน็ รปู ร่างตา่ ง ๆ เกมกำรศึกษำ ตวั อย่างส่ือประเภทเกมการศึกษามดี งั นี้ ๑. เกมจับคู่ จับครู่ ูปรา่ งที่เหมือนกัน จับคู่ภาพเงา จับค่ภู าพท่ซี ่อนอยูใ่ นภาพหลกั จับคู่ส่งิ ท่ีมคี วามสมั พนั ธก์ ัน สิ่งทใี่ ชค้ ่กู นั จบั คู่ภาพส่วนเต็มกบั สว่ นย่อย จับคภู่ าพกับโครงร่าง จับคู่ภาพช้ินสว่ นท่ีหายไป จบั คภู่ าพที่เป็นประเภทเดยี วกัน จับคู่ภาพทซี่ อ่ นกัน จับคู่ภาพสัมพันธแ์ บบตรงกนั ขา้ ม จบั คภู่ าพท่ีสมมาตรกัน จบั คู่แบบอุปมาอุปไมย จับคแู่ บบอนุกรม ๒. เกมภำพตดั ต่อ ภาพตัดต่อท่ีสมั พันธ์กับหน่วยการเรยี นต่าง ๆ เช่น ผลไม้ ผัก ฯลฯ ๓. เกมจัดหมวดหมู่ ภาพสิ่งต่าง ๆ ทีน่ ามาจัดเป็นพวก ๆ ภาพเกยี่ วกบั ประเภทของใช้ในชีวิตประจาวนั ภาพจัดหมวดหมตู่ ามรปู ร่าง สี ขนาด รูปทรงเรขาคณิต ๔. เกมวำงภำพตอ่ ปลำย (โดมิโน) โดมิโนภาพเหมอื น โดมโิ นภาพสมั พันธ์ ๕. เกมเรยี งลำดบั เรยี งลาดบั ภาพเหตุการณต์ อ่ เนอื่ ง เรยี งลาดับขนาด

๖. เกมศึกษำรำยละเอียดของภำพ (ล็อตโต้) ๗. เกมจบั ค่แู บบตำรำงสัมพนั ธ์ (เมตริกเกม) ๘. เกมพ้นื ฐำนกำรบวก กิจกรรมเสรมิ ประสบกำรณ์ /กจิ กรรมในวงกลม ตวั อยา่ งสอ่ื มีดงั น้ี ๑.ส่อื ของจริงท่อี ยู่ใกลต้ วั และสอื่ จากธรรมชาติหรือวัสดุท้องถน่ิ เช่น ตน้ ไม้ ใบไม้ เปลือกหอย เสอื้ ผ้า ฯลฯ ๒. สอื่ ท่ีจาลองข้นึ เช่น ลูกโลก ตุก๊ ตาสัตว์ ฯลฯ ๓. สอื่ ประเภทภาพ เชน่ ภาพพลิก ภาพโปสเตอร์ หนังสอื ภาพ ฯลฯ ๔. สือ่ เทคโนโลยี เช่น วทิ ยุ เครือ่ งบันทึกเสยี ง เคร่ืองขยายเสียง โทรศัพท์ กจิ กรรมกลำงแจ้ง ตัวอยา่ งสอื่ มดี ังนี้ ๑. เครอื่ งเล่นสนาม เชน่ เคร่ืองเล่นสาหรบั ปนี ปา่ ย เคร่ืองเลน่ ประเภทล้อเลอ่ื น ฯลฯ ๒. ท่เี ลน่ ทราย มีทรายละเอียด เครอ่ื งเลน่ ทราย เคร่อื งตวง ฯลฯ ๓. ที่เลน่ น้า มภี าชนะใส่น้าหรอื อา่ งน้าวางบนขาตงั้ ที่มัน่ คง ความสูงพอท่เี ด็กจะยนื ได้พอดี เส้อื คลุม หรอื ผ้ากนั เปอ้ื นพลาสตกิ อปุ กรณ์เลน่ นา้ เช่น ถว้ ยตวง ขวดตา่ งๆ สายยาง กรวยกรอกน้า ต๊กุ ตายาง ฯลฯ กจิ กรรมเคล่อื นไหวและจงั หวะ ตวั อยา่ งสื่อมดี งั นี้ ๑. เคร่ืองเคาะจงั หวะ เชน่ ฉิ่ง เหลก็ สามเหลีย่ ม กรับ รามะนา กลอง ฯลฯอปุ กรณ์ประกอบการ เคลื่อนไหว เช่น หนงั สอื พมิ พ์ รบิ บิ้น แถบผา้ ห่วง ๒. หวาย ถุงทราย ฯลฯ กำรเลอื กส่อื มีวธิ ีการเลอื กสือ่ ดังน้ี ๑. เลอื กให้ตรงกับจดุ มุ่งหมายและเรือ่ งทส่ี อน ๒. เลือกใหเ้ หมาะสมกับวัยและความสามารถของเดก็ ๓. เลอื กใหเ้ หมาะสมกับสภาพแวดล้อมของทอ้ งถิน่ ท่เี ดก็ อยู่หรอื สถานภาพของสถานศึกษา ๔. มวี ิธีการใช้งา่ ย และนาไปใชไ้ ด้หลายกจิ กรรม ๕. มีความถูกต้องตามเนอื้ หาและทนั สมยั ๖. มีคุณภาพดี เช่น ภาพชดั เจน ขนาดเหมาะสม ไมใ่ ชส้ ีสะทอ้ นแสง ๗. เลอื กสอื่ ที่เดก็ เข้าใจงา่ ยในเวลาสนั้ ๆ ไมซ่ บั ซ้อน ๘. เลือกสื่อท่สี ามารถสมั ผสั ได้ ๙. เลอื กสอื่ เพอ่ื ใช้ฝกึ และสง่ เสริมการคิดเปน็ ทาเปน็ และกลา้ แสดงความคิดเห็นดว้ ยความมั่นใจ กำรจัดหำส่ือ สามารถจัดหาได้หลายวธิ ี คอื ๑. จัดหาโดยการขอยืมจากแหล่งตา่ งๆ เช่น ศนู ย์สอ่ื ของสถานศึกษาของรัฐบาล หรอื สถานศึกษาเอกชน ฯลฯ ๒.จดั ซอื้ สอื่ และเครื่องเลน่ โดยวางแผนการจดั ซื้อตามลาดับความจาเป็น เพ่อื ให้สอดคลอ้ งกับงบประมาณท่ี ทางสถานศกึ ษาสามารถจัดสรรให้และสอดคล้องกับแผนการจดั ประสบการณ์ ๓.ผลติ สื่อและเครอ่ื งเลน่ ขึน้ ใชเ้ องโดยใชว้ ัสดุท่ีปลอดภัยและหาง่ายเปน็ เศษวัสดเุ หลอื ใช้

ท่มี ีอยใู่ นทอ้ งถนิ่ นัน้ ๆ เช่น กระดาษแขง็ จากลงั กระดาษ รูปภาพจากแผน่ ป้ายโฆษณา รปู ภาพจากหนงั สอื นิตยสารตา่ ง ๆ เป็นตน้ ข้ันตอนกำรดำเนนิ กำรผลติ ส่อื สำหรบั เดก็ มีดังนี้ ๑. สารวจความตอ้ งการของการใช้สื่อให้ตรงกบั จดุ ประสงค์ สาระการเรียนรู้และกิจกรรมที่จดั ๒. วางแผนการผลิต โดยกาหนดจุดมุง่ หมายและรปู แบบของส่อื ให้เหมาะสมกับวยั และความสามารถของเดก็ สอ่ื น้นั จะตอ้ งมคี วามคงทนแข็งแรง ประณีตและสะดวกต่อการใช้ ๓. ผลติ ส่ือตามรูปแบบท่ีเตรียมไว้ ๔. นาสอ่ื ไปทดลองใชห้ ลาย ๆ คร้ังเพ่ือหาข้อดี ขอ้ เสียจะได้ปรบั ปรุงแกไ้ ขให้ดียง่ิ ขึ้น ๕. นาส่อื ที่ปรบั ปรุงแกไ้ ขแล้วไปใช้จริง กำรใช้ส่ือ ดาเนนิ การดงั น้ี ๑.กำรเตรยี มพร้อมก่อนใช้ส่อื มีข้ันตอน คอื ๑.๑ เตรยี มตวั ผู้สอน ผสู้ อนจะตอ้ งศึกษาจุดมุ่งหมายและวางแผนว่าจะจดั กิจกรรมอะไรบา้ ง เตรยี มจดั หาสอ่ื และศกึ ษาวธิ กี ารใช้สื่อ จัดเตรียมสือ่ และวัสดอุ น่ื ๆ ทจ่ี ะต้องใช้ร่วมกนั ทดลองใช้ส่อื กอ่ นนาไปใชจ้ ริง ๑.๒ เตรยี มตวั เดก็ ศกึ ษาความรูพ้ ้ืนฐานเดมิ ของเดก็ ใหส้ มั พนั ธ์กบั เร่ืองท่ีจะสอน เร้าความสนใจเดก็ โดยใช้สอื่ ประกอบการเรยี นการสอน ใหเ้ ด็กมคี วามรับผดิ ชอบ รูจ้ ักใชส้ ื่ออย่างสร้างสรรค์ ไมใ่ ช่ทาลาย เลน่ แลว้ เก็บใหถ้ กู ท่ี ๑.๓ เตรียมสือ่ ใหพ้ รอ้ มก่อนนาไปใช้ จดั ลาดบั การใชส้ ือ่ ว่าจะใชอ้ ะไรกอ่ นหรอื หลัง เพื่อความสะดวกในการสอน ตรวจสอบและเตรยี มเครือ่ งมอื ใหพ้ รอ้ มท่ีจะใช้ได้ทนั ที เตรียมวสั ดุอุปกรณ์ทใี่ ชร้ ว่ มกับสอื่ ๒.กำรนำเสนอสอ่ื เพ่อื ใหบ้ รรลุผลโดยเฉพาะใน กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ / กจิ กรรมวงกลม / กจิ กรรมกลุ่มย่อย ควรปฏิบัติ ดังนี้ ๒.๑ สร้างความพร้อมและเร้าความสนใจใหเ้ ด็กกอ่ นจดั กจิ กรรมทกุ คร้ัง ๒.๒ ใช้ส่อื ตามลาดับข้ันของแผนการจัดกิจกรรมทก่ี าหนดไว้ ๒.๓ ไมค่ วรให้เดก็ เห็นสือ่ หลายๆชนิดพรอ้ มๆกนั เพราะจะทาให้เดก็ ไม่สนใจ กิจกรรมที่สอน ๒.๔ ผู้สอนควรยืนอยู่ด้านข้างหรอื ด้านหลงั ของส่อื ทีใ่ ช้กบั เดก็ ผูส้ อนไมค่ วรยนื หนั หลงั ใหเ้ ดก็ จะต้องพดู คุยกบั เด็กและสังเกตความสนใจของเดก็ พรอ้ มท้ังสารวจขอ้ บกพร่องของสื่อที่ใช้ เพ่อื นาไปปรับปรงุ แกไ้ ขใหด้ ขี นึ้

๒.๕ เปิดโอกาสให้เด็กไดร้ ่วมใช้สอื่ ขอ้ ควรระวังในกำรใชส้ อ่ื กำรเรยี นกำรสอน กำรใชส้ ่ือในระดับปฐมวัยควรระวงั ในเรื่องตอ่ ไปนี้ ๑.วัสดทุ ใ่ี ช้ ต้องไม่มพี ษิ ไม่หัก และแตกง่าย มีพืน้ ผิวเรยี บ ไมเ่ ปน็ เสย้ี น ๒.ขนำด ไม่ควรมีขนาดใหญเ่ กินไป เพราะยากตอ่ การหยิบยก อาจจะตกลงมา เสยี หาย แตก เป็นอันตรายต่อเดก็ หรอื ใช้ไม่สะดวก เชน่ กรรไกรขนาดใหญ่ โตะ๊ เก้าอ้ีที่ใหญ่ และสงู เกินไป และไม่ควรมขี นาดเล็กเกินไป เดก็ อาจจะนาไปอมหรอื กลืนทาใหต้ ิดคอหรอื ไหลลงท้องได้ เชน่ ลูกปัดเลก็ ลูกแก้วเลก็ ฯลฯ ๓. รูปทรง ไมเ่ ป็นรปู ทรงแหลม รูปทรงเหลย่ี ม เปน็ สนั ๔. นำ้ หนกั ไมค่ วรมีน้าหนกั มาก เพราะเดก็ ยกหรือหยิบไม่ไหว อาจจะตกลงมาเป็นอนั ตรายต่อตัว เดก็ ๕. สือ่ หลกี เลย่ี งสือ่ ที่เปน็ อนั ตรายต่อตัวเด็ก เชน่ สารเคมี วัตถไุ วไฟ ฯลฯ ๖. สี หลกี เล่ียงสที ีเ่ ปน็ อันตรายต่อสายตา เช่น สสี ะทอ้ นแสง ฯลฯ กำรประเมินกำรใชส้ อื่ ควรพิจารณาจากองคป์ ระกอบ 3 ประการ คอื ผู้สอน เด็ก และสือ่ เพื่อจะได้ทราบวา่ สื่อนน้ั ช่วยใหเ้ ดก็ เรยี นรูไ้ ด้มากน้อยเพยี งใด จะได้นามาปรับปรงุ การผลติ และการใช้สอ่ื ใหด้ ียง่ิ ขึน้ โดยใชว้ ธิ สี ังเกต ดงั น้ี ๑. ส่ือนน้ั ชว่ ยให้เดก็ เกิดการเรยี นรเู้ พยี งใด ๒. เด็กชอบส่อื น้ันเพียงใด ๓. สือ่ นัน้ ช่วยใหก้ ารสอนตรงกบั จุดประสงค์หรอื ไม่ ถูกต้องตามสาระการเรียนรแู้ ละทันสมยั หรอื ไม่ ๔. สื่อนัน้ ชว่ ยให้เด็กสนใจมากน้อยเพียงใด เพราะเหตใุ ด กำรเกบ็ รักษำ และซ่อมแซมสอื่ การจดั เก็บสือ่ เป็นการสง่ เสรมิ ให้เด็กฝึกการสังเกต การเปรยี บเทยี บ การจัดกลุม่ ส่งเสริมความรับผิดชอบ ความมนี า้ ใจ ชว่ ยเหลอื ผู้สอนไม่ควรใช้การเกบ็ ส่ือเป็นการลงโทษเด็ก โดยดาเนนิ การดังน้ี ๑. เกบ็ ส่ือให้เปน็ ระเบยี บและเปน็ หมวดหมู่ตามลักษณะประเภทของส่ือ สอื่ ที่เหมอื นกนั จดั เก็บหรอื จัดวาง ไวด้ ้วยกัน ๒. วางสอ่ื ในระดบั สายตาของเด็ก เพอื่ ใหเ้ ดก็ หยบิ ใช้ จัดเกบ็ ได้ด้วยตนเอง ๓. ภาชนะท่ีจดั เก็บสื่อควรโปรง่ ใส เพ่ือให้เด็กมองเหน็ ส่งิ ท่อี ยูภ่ ายในไดง้ า่ ยและควรมมี ือจบั เพอ่ื ให้สะดวก ในการขนยา้ ย ๔. ฝกึ ให้เด็กรู้ความหมายของรปู ภาพหรือสีทเี่ ป็นสญั ลักษณ์แทนหมวดหมู่ ประเภทส่ือ เพ่อื เดก็ จะได้ เกบ็ เข้าท่ไี ด้ถกู ต้อง การใช้สัญลกั ษณค์ วรมีความหมายตอ่ การเรียนรขู้ องเด็ก สญั ลกั ษณ์ควรใช้ส่ือของจรงิ ภาพถา่ ยหรือสาเนา ภาพวาด ภาพโครงร่างหรอื ภาพประจุด หรอื บตั รคาตดิ คูก่ ับสัญลกั ษณอ์ ย่างใดอย่างหนง่ึ ๕.ตรวจสอบสอื่ หลงั จากที่ใชแ้ ลว้ ทุกครง้ั วา่ มีสภาพสมบูรณ์ จานวนครบถ้วนหรอื ไม่ ๖. ซอ่ มแซมสือ่ ชารุด และทาเตมิ ส่วนท่ีขาดหายไปใหค้ รบชดุ กำรพัฒนำส่อื

การพัฒนาสอื่ เพื่อใช้ประกอบการจดั กิจกรรมในระดบั ปฐมวยั นั้น ก่อนอืน่ ควรได้สารวจข้อมลู สภาพ ปญั หาต่างๆของสือ่ ทุกประเภทท่ีใช้อยู่วา่ มอี ะไรบา้ งทจี่ ะต้องปรับปรงุ แก้ไข เพ่ือจะไดป้ รับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับ ความต้องการ แนวทางการพฒั นาส่ือ ควรมลี กั ษณะเฉพาะ ดงั น้ี ๑. ปรบั ปรุงส่อื ให้ทันสมัยเข้ากบั เหตุการณ์ ใช้ได้สะดวก ไมซ่ ับซ้อนเกนิ ไป เหมาะสมกับวยั ของเดก็ ๒. รกั ษาความสะอาดของสื่อ ถ้าเป็นวัสดุท่ีล้างน้าได้ เมอ่ื ใช้แลว้ ควรได้ล้างเช็ด หรอื ปดั ฝนุ่ ให้สะอาด เกบ็ ไวเ้ ป็นหมวดหมู่ วางเปน็ ระเบียบหยบิ ใชง้ า่ ย ๓. ถ้าเปน็ สอื่ ทีผ่ ู้สอนผลิตขึ้นมาใชเ้ องและผา่ นการทดลองใช้มาแลว้ ควรเขยี นค่มู ือประกอบการใช้สื่อ นัน้ โดยบอกชอ่ื สอื่ ประโยชน์และวิธีใช้สอื่ รวมทัง้ จานวนช้ินสว่ นของสื่อในชุดนั้นและเกบ็ คู่มอื ไว้ในซองหรือถุง พร้อมสอื่ ทีผ่ ลิต ๔. พฒั นาสือ่ ท่สี ร้างสรรค์ ใชไ้ ด้เอนกประสงค์ คอื เป็นไดท้ ง้ั ส่ือเสรมิ พฒั นาการ และเป็นของเลน่ สนุกสนานเพลดิ เพลิน แหลง่ กำรเรียนรู้ โรงเรียนได้แบง่ ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ ได้ดังน้ี ๑. แหลง่ เรียนรูป้ ระเภทบุคคล ได้แก่ วทิ ยากรหรือผู้เชยี วชาญเฉพาะด้าน ทีจ่ ัดหามาเพอื่ ให้ความรู้ ความเขา้ ใจอย่างกระจ่างแกเ่ ด็กโดยสอดคลอ้ งกับเนื้อหาสาระการเรียนร้ตู ่างๆ ไดแ้ ก่ - เจ้าหนา้ ที่ใน อบต. หนองอยี อ - เจา้ หนา้ ที่สาธารณสุขตาบลหนองอียอ - พระสงฆ์ - พ่อคา้ – แมค่ ้า - เจา้ หน้าท่ตี ารวจ - ผปู้ กครอง - ช่างตดั ผม / ช่างเสริมสวย - ครู - ภารโรง - ฯลฯ ๒. แหล่งเรยี นรภู้ ายในชมุ ชน ได้แก่ แหล่งขอ้ มลู หรือแหลง่ วทิ ยาการตา่ งๆ ท่อี ยใู่ นชุมชน มีความสัมพนั ธ์กับเอกลักษณ์ทางวฒั นธรรมและประเพณีช่วยใหเ้ ดก็ สามารถเช่ือมโยงโลกภายในและโลก ภายนอก (inner world & outer world) ได้ และสอดคลอ้ งกับวถิ กี ารดาเนินชีวติ ของเด็กปฐมวยั ได้แก่ - หอ้ งสมดุ โรงเรยี น - ห้องวทิ ยาศาสตร์ - สถานีตารวจ - สถานท่ที าการผ้ใู หญบ่ ้าน

- องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลหนองอียอ - โรงพยาบาล - ร้านคา้ ในหมู่บ้าน - รา้ นตัดผมชาย-หญิง ๓. สถานท่ีสาคัญตา่ งๆ ไดแ้ ก่ แหลง่ ความรูส้ าคัญตา่ งๆ ทีเ่ ดก็ ใหค้ วามสนใจ ไดแ้ ก่ - เล้ยี งกบ เลย้ี งไก่ -หนองสนม - เกษตรพอเพียง - ฯลฯ กำรประเมินพฒั นำกำร การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ ๓ – ๖ ปี เปน็ การประเมนิ พัฒนาการทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสติปญั ญาของเดก็ โดยถือเป็นกระบวนการต่อตนเอง และเป็น สว่ นหนงึ่ ของกิจกรรมปกติท่จี ัด ใหเ้ ดก็ ในแต่ละวนั ผลที่ได้จากการสงั เกตพฒั นาการเด็กต้องนามาจดั ทาสารนทิ ัศนห์ รือจดั ทาข้อมูลหลักฐานหรือ เอกสารอย่างเปน็ ระบบ ด้วยการวบรวมผลงานสาหรบั เด็กเป็นรายบคุ คลทีส่ ามารถบอกเร่อื งราวหรอื ประสบการณท์ ีเ่ ด็กได้รบั ว่าเดก็ เกดิ การเรยี นรูแ้ ละมคี วามก้าวหน้าเพยี งใด ทง้ั น้ี ให้นาข้อมูลผลการประเมนิ พฒั นาการเด็กมาพิจารณา ปรับปรุงวางแผล การจดั กิจกรรม และส่งเสรมิ ใหเ้ ดก็ แต่ละคนได้รับการพฒั นาตาม จุดหมายของหลกั สตู รอย่างต่อเน่อื ง การประเมินพัฒนาการควรยึดหลกั ดังน้ี ๑. วางแผนการประเมนิ พฒั นาการอยา่ งเป็นระบบ ๒. ประเมินพัฒนาการเด็กครบทุกด้าน ๓. ประเมนิ พัฒนาการเด็กเป็นรายบคุ คลอย่างสม่าเสมอต่อเนื่องตลอดปี ๔. ประเมินพัฒนาการตามสภาพจรงิ จากกจิ กรรมประจาวนั ด้วยเครื่องมือและวิธีการทห่ี ลากหลาย ไม่ ควรใชแ้ บบทดสอบ ๕. สรปุ ผลการประเมนิ จัดทาขอ้ มลู และนาผลการประเมนิ ไปใชพ้ ัฒนาเดก็ สาหรบั วธิ ีการประเมินท่เี หมาะสมและควรใช้กับเด็กอายุ ๓ – ๖ ปี ได้แก่ การสงั เกต การบนั ทึก พฤติกรรม การสนทนากับเดก็ การสัมภาษณ์ การวิเคราะหข์ ้อมลู จากผลงานเด็กทเ่ี ก็บอย่างมีระบบ ประเภทของกำรประเมินพฒั นำกำร การพฒั นาคุณภาพการเรยี นรูข้ องเด็ก ประกอบดว้ ย ๑) วัตถปุ ระสงค์ (Obejetive) ซ่งึ ตามหลกั สูตร การศึกษาปฐมวัย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ หมายถงึ จุดหมายซ่งึ เปน็ มาตรฐานคุณลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ ตวั บ่งชแ้ี ละ สภาพทีพ่ ึงประสงค์ ๒) การจัดประสบการณการเรียนรู้ (Leanning) ซงึ่ เป็นกระบวนการได้มาของความรูห้ รือ

ทกั ษะผ่านการกระทาสิง่ ตา่ งๆที่สาคัญตามหลักสตู รการศึกษาปฐมวัยกาหนดใหห้ รือท่เี รียกวา่ ประสบการณ์ สาคัญ ในการชว่ ยอธิบายใหค้ รูเข้าใจถงึ ประสบการณ์ทเี่ ดก็ ปฐมวยั ต้องทาเพ่อื เรยี นรสู้ ง่ิ ต่างๆรอบตัว และชว่ ย แนะผู้สอนในการสงั เกต สนับสนุน และวางแผนการจัดกจิ กรรมใหเ้ ด็กและ ๓) การประเมนิ ผล(Evaluation) เพื่อ ตรวจสอบพฤติกรรมหรอื ความสามารถตามวัยทค่ี าดหวังใหเ้ ดก็ เกิดข้นึ บนพืน้ ฐานพัฒนาการตามวยั หรอื ความสามารถตามธรรมชาติในแต่ละระดับอายุ เรียกว่า สภาพท่พี ึงประสงค์ ท่ีใชเ้ ป็นเกณฑ์สาคญั สาหรับการ ประเมินพฒั นาการเด็ก เป็นเปา้ หมายและกรอบทิศทางในการพฒั นาคณุ ภาพเดก็ ทง้ั น้ปี ระเภทของการประเมนิ พัฒนาการ อาจแบง่ ได้เปน็ ๒ ลักษณะ คอื ๑) แบ่งตำมวตั ถุประสงคข์ องกำรประเมนิ การแบ่งตามวัตถปุ ระสงค์ของการประเมนิ แบง่ ได้ ๒ ประเภท ดังน้ี ๑.๑) การประเมนิ ความก้าวหนา้ ของเดก็ (Formative Evaluation) หรอื การประเมินเพอื่ พฒั นา (Formative Assessment) หรือการประเมินเพือ่ เรยี น (Assessment for Learning) เป็นการประเมินระหว่าง การจดั ระสบการณ์ โดยเก็บรวบรวมข้อมลู เกี่ยวกับผลพฒั นาการและการเรยี นรูข้ องเด็กในระหว่างทากิจกรรม ประจาวนั /กจิ วัตรประจาวนั ปกตอิ ยา่ งตอ่ เน่อื ง บนั ทึก วิเคราะห์ แปลความหมายขอ้ มลู แลว้ นามาใชใ้ นการ สง่ เสริมหรอื ปรับปรงุ แกไ้ ขการเรียนรขู้ องเด็ก และการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรขู้ องผู้สอน การประเมนิ พฒั นาการกบั การจดั ประสบการณ์การเรยี นรขู้ องผูส้ อนจึงเปน็ เรื่องท่สี มั พันธก์ นั หากขาดสิง่ หนงึ่ ส่งิ ใดการจดั ประสบการณ์การเรยี นรกู้ ข็ าดประสิทธภิ าพ เปน็ การประเมินผลเพื่อให้รู้จุดเดน่ จุดทีค่ วรส่งเสรมิ ผ้สู อนตอ้ งใช้ วธิ กี ารและเครือ่ งมอื ประเมนิ พฒั นาการท่ีหลากหลาย เชน่ การสังเกต การสมั ภาษณ์ การรวบรวมผลงานที่ แสดงออกถึงความก้าวหนา้ แต่ละด้านของเด็กเป็นรายบุคคล การใช้แฟม้ สะสมงาน เพ่อื ใหไ้ ด้ขอ้ สรปุ ของประเด็น ท่กี าหยด สิ่งทีส่ าคญั ทสี่ ุดในการประเมินความกา้ วหนา้ คือ การจัดประสบการณ์ให้กับเดก็ ในลักษณะการเช่ือมโยง ประสบการณเ์ ดิมกับประสบการณใ์ หม่ทาให้การเรียนรขู้ องเด็กเพ่มิ พูน ปรบั เปลย่ี นความคิด ความเขา้ ใจเดิมทไี่ ม่ ถูกต้อง ตลอดจนการใหเ้ ด็กสามารถพฒั นาการเรยี นรู้ของตนเองได้ ๑.๒) การประเมินผลสรุป (Summatie Evaluation) หรอื การประเมินเพอื่ ตดั สินผลพฒั นาการ (Summatie Assessment) หรือการประเมินสรุปผลของการเรยี นรู้ (Assessment of Learning) เปน็ การ ประเมนิ สรุปพฒั นาการ เพ่ือตดั สินพฒั นาการของเดก็ ว่ามีความพร้อมตามมาตรฐานคุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ ของหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั หรอื ไม่ เพื่อเปน็ การเชือ่ มต่อของการศกึ ษาระดับปฐมวัยกับช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ ดังนนั้ ผู้สอนจึงควรใหค้ วามสาคญั กบั การประเมนิ ความกา้ วหน้าของเด็กในระดับห้องเรยี นมากกว่าการ ประเมนิ เพื่อตัดสนิ ผลพฒั นาการของเด็กเมื่อส้ินภาคเรยี นหรอื สิน้ ปกี ารศึกษา ๒) แบ่งตำมระดับของกำรประเมิน การแบ่งตามระดบั ของการประเมนิ แบ่งไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท ๒.๑) กำรประเมินพัฒนำกำรระดบั ชัน้ เรียน เป็นการประเมินพฒั นาการที่อย่ใู นกระบวนการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ ผู้สอนดาเนนิ การเพื่อพฒั นาเดก็ และตัดสินผลการพัฒนาการด้านรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสติปญั ญา จากกิจกรรมหลัก/หน่วยการเรยี นรู้(Unit) ที่ผู้สอนจดั ประสบการณ์ให้กับเด็ก ผ้สู อน ประเมนิ ผลพัฒนาการตามสภาพที่พงึ ประสงค์และตัวบง่ ชีท้ ก่ี าหนดเปน็ เป้าหมายในแตล่ ะแผนการจัด ประสบการณ์ของหน่วยการเรียนรูด้ ว้ ยวธิ ีตา่ งๆ เชน่ การสังเกต การสนทนา การสัมภาษณ์ การรวบรวมผลงานที่

แสดงออกถงึ ความกา้ วหนา้ แต่ละด้านของเด็กเป็นรายบคุ คล การแสดงกรยิ าอาการต่างๆของเด็กตลอดเวลาทจี่ ัด ประสบการณเ์ รียนรู้ เพือ่ ตรวจสอบและประเมนิ วา่ เดก็ บรรลุตามสภาพทีพ่ ึงประสงคล์ ะตัวบง่ ชี้ หรอื มแี นวโน้มวา่ จะบรรลุสภาพทพี่ งึ ประสงค์และตวั บง่ ชี้เพียงใด แล้วแกไ้ ขข้อบกพร่องเปน็ ระยะๆอย่างต่อเน่อื ง ทั้งนี้ ผสู้ อนควร สรปุ ผลการประเมนิ พัฒนาการวา่ เด็กมีผลอนั เกิดจากการจดั ประสบการณ์การเรียนรหู้ รอื ไม่ และมากนอ้ ย เพียงใด โดยมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือรวบรวมหรอื สะสมผลการประเมนิ พฒั นาการในกิจกรรมประจาวัน/กจิ วตั ร ประจาวัน/หน่วยการเรยี นรู้ หรผื ลตามรูปแบบการประเมินพฒั นาการท่ีสถานศกึ ษากาหนด เพอื่ นามาเป็นขอ้ มูล ใช้ปรงั ปรงุ การจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ และเป็นขอ้ มูลในการสรุปผลการประเมินพฒั นาในระดบั สถานศกึ ษา ตอ่ ไปอีกด้วย ๒.๒) กำรประเมนิ พัฒนำกำรระดับสถำนศกึ ษำ เป็นการตรวจสอบผลการประเมนิ พฒั นาการของเดก็ เปน็ รายบคุ คลเปน็ รายภาค/รายปี เพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลเก่ียวกับการจดั การศกึ ษาของเด็กในระดบั ปฐมวยั ของ สถานศึกษาว่าส่งผลตาการเรยี นรขู้ องเด็กตามเป้าหมายหรือไม่ เดก็ มีส่ิงท่ีต้องการไดร้ ับการพฒั นาในด้านใด รวมทง้ั สามารถนาผลการประเมนิ พฒั นาการของเด็กในระดบั สถานศึกษาไปเป็นข้อมูลและสารสนเทศในการ ปรบั ปรุงหลกั สูตรสถานศกึ ษาปฐมวยั โครงการหรอื วิธีการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ ตลอดจนการจดั แผนพฒั นาคุณภาพการศึกษาปฐมวัยของสถานศกึ ษาตามแผนการประกนั คณุ ภาพการศึกษาและการรายงานผล การพฒั นาคณุ ภาพเด็กตอ่ ผู้ปกครอง นาเสนอคณะกรรมการถานศกึ ษาข้นั พื้นฐานรับทราบ ตลอดจนเผยแพรต่ ่อ สาธรณชน ชมุ ชน หรอื หน่วยงานตน้ สงั กดั หรือหนว่ ยงานตน้ สังกดั หนว่ ยงานที่เกี่ยวขอ้ งต่อไป อนึ่ง สาหรับการประเมนิ พฒั นาการเด็กปฐมวัยในระดับเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาหรอื ระดับประเทศนัน้ หาก เขตพื้นท่กี ารศกึ ษาใดมีความพรอ้ ม อาจมีการดาเนินงานในลักษณะของการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเด็กปฐมวัยเขา้ รบั การประเมนิ ก็ได้ ท้งั นี้ การประเมนิ พฒั นาการเด็กปฐมวยั ขอให้ถอื ปฏบิ ตั ิตามหลกั การการประเมนิ พฒั นาการตาม หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ บทบำทหนำ้ ที่ของผูเ้ กย่ี วข้องในกำรดำเนินงำนประเมนิ พฒั นำกำร การดาเนนิ งานประเมินพฒั นาการของสถานศกึ ษานนั้ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้เกีย่ วข้องเข้ามามีสว่ นร่วมใน การประเมนิ พฒั นาการและร่วมรบั ผดิ ชอบอย่างเหมาะสมตามบริบทของสถานศกึ ษาแต่ละขนาด ดงั น้ี ผปู้ ฏบิ ัติ บทบาทหนา้ ทใี่ นการประเมนิ พัฒนาการ ผสู้ อน ๑. ศึกษาหลักสตู รสถานศกึ ษาปฐมวัย และแนวการปฏบิ ัตกิ ารประเมินพฒั นาการตาม หลกั สูตรสถานศกึ ษาปฐมวัย ๒. วิเคราะห์และวางแผนการประเมินพัฒนาการทสี่ อดคล้องกับหน่วยการเรยี นร้/ู กิจกรรมประจาวัน/กจิ วัตรประจาวัน ๓. จัดประสบการณ์ตามหน่วยการเรยี นรู้ ประเมนิ พัฒนาการ และบันทึกผลการ ประจาวนั /กิจวตั รประจาวัน ๔. รวบรวมผลการประเมนิ พฒั นาการ แปลผลและสรปุ ผลการประเมินเมอื่ ส้นิ ภาคเรียน และส้นิ ปีการศึกษา ๕. สรปุ ผลการประเมนิ พัฒนาการระดบั ช้ันเรยี นลงในสมดุ บันทกึ ผลการประเมิน

ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา พัฒนาการประจาชน้ั ๖. จัดทาสมุดรายงานประจาตัวนักเรียน พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ๗. เสนอผลการประเมนิ พัฒนาการต่อผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาลงนามอนมุ ัติ ๑.กาหนดผู้รับผดิ ชอบงานประเมินพฒั นาการตามหลักสูตร และวางแนวทางปฏิบัติการ คณะกรรมการ ประเมนิ พฒั นาการเด็กปฐมวยั ตามหลักสูตรสถานศกึ ษาปฐมวยั สถานศกึ ษาข้นั ๒. นิเทศ กากบั ติดตามใหก้ ารดาเนินการประเมินพฒั นาการใหบ้ รรลุเป้าหมาย พนื้ ฐาน ๓. นาผลการประเมินพัฒนาการไปจดั ทารายงานผลการดาเนนิ งานกาหนดนโยบายและ สานกั งานเขตพ้ืนที่ วางแผนพัฒนาการจัดการศึกษาปฐมวัย การศึกษา ๑. ให้ความร่วมมือกบั ผู้สอนในการประเมนิ พฤติกรรมของเดก็ ทีส่ งั เกตไดจ้ ากท่บี ้านเพ่อื เป็นขอ้ มลู ประกอบการแปลผลทเ่ี ท่ยี งตรงของผ้สู อน ๒. รบั ทราบผลการประเมนิ ของเดก็ และสะทอ้ นให้ข้อมูลยอ้ นกลับที่เป็นประโยชนใ์ นการ ส่งเสรมิ และพฒั นาเดก็ ในปกครองของตนเอง ๓. รว่ มกบั ผู้สอนในการจดั ประสบการณห์ รือเปน็ วิทยากรทอ้ งถน่ิ ๑. ใหค้ วามเห็นชอบและประกาศใชห้ ลกั สูตรสถานศกึ ษาปฐมวัยและแนวปฏบิ ัติในการ ประเมนิ พัฒนาการตามหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย ๒. รับทราบผลการประเมินพฒั นาการของเดก็ เพอื่ การประกันคุณภาพภายใน ๑. ส่งเสริมการจดั ทาเอกสารหลักฐานวา่ ดว้ ยการประเมนิ พัฒนาการของเด็กปฐมวัยของ สถานศกึ ษา ๒. สง่ เสรมิ ให้ผสู้ อนในสถานศึกษามคี วามรู้ ความเข้าใจในแนวปฏิบัติการประเมนิ พฒั นาการตามมาตรฐานคณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ตามหลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวยั ตลอดจนความเข้าใจในเทคนิควธิ กี ารประเมินพฒั นาการในรูปแบบตา่ งๆโดยเน้นการ ประเมนิ ตามสภาพจริง ๓. ส่งเสรมิ สนับสนุนใหส้ ถานศกึ ษาพฒั นาเครอื่ งมอื พัฒนาการตามมาตรฐาน คณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงคต์ ามหลกั สตู รการศึกษาปฐมวัยและการจัดเก็บเอกสารหลกั ฐาน การศึกษาอย่างเปน็ ระบบ ๔. ใหค้ าปรึกษา แนะนาเก่ยี วกับการประเมนิ พฒั นาการและการจัดทาเอกสารหลกั ฐาน ๕. จดั ใหม้ ีการประเมนิ พฒั นาการเดก็ ท่ีดาเนนิ การโดยเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษาหรือหนว่ ยงาน ตน้ สงั กดั และให้ความร่วมมอื ในการประเมินพัฒนาการระดบั ประเทศ แนวปฏิบัติกำรประเมนิ พฒั นำกำร การประเมินพฒั นาการเด็กปฐมวัยเป็นกิจกรรมท่สี อดแทรกอยู่ในการจัดประสบการณ์ทุกขัน้ ตอนโดย เร่ิมตง้ั แต่การประเมนิ พฤตกิ รรมของเด็กกอ่ นการจดั ประสบการณ์ การประเมนิ พฤตกิ รรมเด็กขณะปฏบิ ัติกจิ รรม และการประเมนิ พฤติกรรมเดก็ เม่อื สน้ิ สุดการปฏบิ ัติกิจกรรม ทง้ั นี้ พฤตกิ รรมการเรยี นรู้และพฒั นาการดา้ นต่างๆ ของเดก็ ทไ่ี ดร้ บั การประเมนิ น้นั ต้องเปน็ ไปตามมาตรฐานคุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ ตัวบง่ ช้ี และสภาพทีพ่ งึ

ประสงคข์ องหลักสูตรสถานศึกษาระดบั ปฐมวัยท่ีผู้สอนวางแผนและออกแบบไว้ การประเมินพัฒนาการจงึ เปน็ เคร่ืองมอื สาคัญทจ่ี ะช่วยใหก้ ารเรียนรขู้ องเด็กบรรลุตามเป้าหมายเพือ่ นาผลการประเมนิ ไปปรับปรงุ พฒั นาการ จัดประสบการณ์การเรียนรู้ และใช้เป็นขอ้ มูลสาหรบั การพฒั นาเดก็ ต่อไป สถานศกึ ษาควรมีกระบวนการประเมนิ พัฒนาการและการจัดการอย่างเปน็ ระบบสรุปผลการประเมินพัฒนาการท่ตี รงตามความรู้ ความสามารถ ทักษะ และพฤตกิ รรมทแี่ ทจ้ รงิ ของเด็กสอดคล้องตามหลักการประเมนิ พฒั นาการ รวมทั้งสะท้อนการดาเนนิ งานการ ประกนั คุณภาพภายในของสถานศกึ ษาอย่างเปน็ ระบบและต่อเน่ือง แนวปฏบิ ัตกิ ารประเมนิ พฒั นาการเด็ก ปฐมวัยของสถานศกึ ษา มดี งั นี้ ๑. หลักกำรสำคัญของกำรดำเนินกำรประเมนิ พัฒนำกำรตำมหลกั สตู รกำรศึกษำปฐมวัย พทุ ธศักรำช ๒๕๖๐ สถานศึกษาทจ่ี ดั การศกึ ษาปฐมวัยควรคานึงถึงหลักสาคญั ของการดาเนนิ งานการประเมนิ พฒั นาการตาม หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สาหรบั เด็กปฐมวัยอายุ ๓-๖ ปี ดังนี้ ๑.๑ ผ้สู อนเปน็ ผูร้ ับผดิ ชอบการประเมินพัฒนาการเดก็ ปฐมวัย โดยเปดิ โอกาสใหผ้ ู้ท่ีเก่ยี วข้องมีสว่ นร่วม ๑.๒ การประเมนิ พัฒนาการ มีจุดมุ่งหมายของการประเมินเพื่อพฒั นาความก้าวหน้าของเดก็ และสรปุ ผล การประเมนิ พัฒนาการของเดก็ ๑.๓ การประเมินพัฒนาการตอ้ งมคี วามสอดคลอ้ งและครอบคลุมมาตรฐานคุณลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ ตวั บง่ ชี้ สภาพทพ่ี งึ ประสงค์แต่ละวัยซง่ึ กาหนดไวใ้ นหลักสตู รสถานศกึ ษาปฐมวยั ๑.๔ การประเมนิ พฒั นาการเปน็ สว่ นหน่งึ ของกระบวนการจัดประสบการณ์การเรยี นรตู้ ้องดาเนนิ การ ด้วยเทคนคิ วิธกี ารท่ีหลากหลาย เพือ่ ให้สามารถประเมนิ พฒั นาการเด็กได้อย่างรอบด้านสมดุลทั้งดา้ นร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา รวมทง้ั ระดับอายุของเด็ก โดยต้งั อยู่บนพ้ืนฐานของความเท่ยี งตรง ยุตธิ รรม และเชอื่ ถือได้ ๑.๕ การประเมินพฒั นาการพิจารณาจากพฒั นาการตามวยั ของเดก็ การสังเกตพฤตกิ รรมการเรียนรแู้ ละ การรว่ มกิจกรรม ควบคไู่ ปในกระบวนการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ตามความเหมาะสมของแต่ละระดบั อายุ และรปู แบบการจดั การศึกษา และต้องดาเนินการประเมนิ อย่างต่อเนอื่ ง ๑.๖ การประเมินพัฒนาการตอ้ งเปดิ โอกาสให้ผมู้ ีสว่ นเกี่ยวขอ้ งทกุ ฝ่ายได้สะทอ้ นและตรวจสอบผลการ ประเมนิ พัฒนาการ ๑.๗ สถานศกึ ษาควรจดั ทาเอกสารบนั ทกึ ผลการประเมินพฒั นาการของเดก็ ปฐมวัยในระดับช้ันเรยี น และระดับสถานศึกษา เช่น แบบบนั ทกึ การประเมินพัฒนาการตามหนว่ ยการจัดประสบการณ์ สมุดบันทึกผลการ ประเมนพัฒนาการประจาชน้ั เพือ่ เป็นหลกั ฐานการประเมินและรายงานผลพัฒนาการและสมดุ รายงานประจาตัว นักเรียน เพือ่ เป็นการสอื่ สารข้อมลู การพัฒนาการเด็กระหว่างสถานศกึ ษากบั บ้าน ๒. ขอบเขตของกำรประเมนิ พฒั นำกำร หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ได้กาหนดเปา้ หมายคุณภาพของเด็กปฐมวยั เปน็ มาตรฐานคุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ ซึ่งถอื เป็นคุณภาพลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ทตี่ อ้ งการให้เกิดขน้ึ ตวั เดก็ เมอื่ จบ

หลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั คณุ ลักษณะทีร่ ะบไุ ว้ในมาตรฐานคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงคถ์ ือเป็นสง่ิ จาเป็นสาหรับ เดก็ ทกุ คน ดังนนั้ สถานศึกษาและหนว่ ยงานที่เกยี่ วขอ้ งมีหนา้ ทแี่ ละความรบั ผิดชอบในการจัดการศึกษาเพื่อ พัฒนาเดก็ ให้มคี ณุ ภาพมาตรฐานทพี่ ึงประสงคก์ าหนด ถือเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการขบั เคลอ่ื นและพัฒนา คุณภาพการศึกษาปฐมวยั แนวคิดดงั กลา่ วอยบู่ นฐานความเชื่อท่ีวา่ เด็กทกุ คนสามารถพัฒนาอย่างมคี ณุ ภาพและ เทา่ เทียมได้ ขอบเขตของการประเมนิ พฒั นาการประกอบดว้ ย ๒.๑ ส่ิงทจ่ี ะประเมนิ ๒.๒ วธิ แี ละเครือ่ งมือทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ ๒.๓ เกณฑ์การประเมินพฒั นาการ ๒.๑ สงิ่ ท่ีจะประเมิน การประเมนิ พัฒนาการสาหรับเดก็ อายุ ๓-๖ ปี มีเป้าหมายสาคัญคือ มาตรฐานคุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ จานวน ๑๒ ข้อ ดงั นี้ ๑. พัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบดว้ ย ๒ มาตรฐาน คอื มาตรฐานท่ี ๑ รา่ งกายเจริญเตบิ โตตามวยั และมีสุขนิสัยที่ดี มาตรฐานที่ ๒ กลา้ มเน้อื ใหญแ่ ละกล้ามเน้อื เล็กแขง็ แรงใช้ไดอ้ ย่างคล่องแคลว่ และประสานสัมพนั ธ์ กนั ๒. พัฒนาการด้านอารมณ์ จติ ใจ ประกอบดว้ ย ๓ มาตรฐาน คอื มาตรฐานที่ ๓ มสี ุขภาพจิตดีและมีความสุข มาตรฐานที่ ๔ ชน่ื ชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคล่ือนไหว มาตรฐานท่ี ๕ มคี ุณธรรม จริยธรรม และมจี ิตใจท่ีดงี าม ๓. พัฒนาการด้านสังคม ประกอบดว้ ย ๓ มาตรฐาน คือ มาตรฐานท่ี ๖ มที กั ษะชวี ิตและปฏบิ ตั ิตนตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง มาตรฐานที่ ๗ รกั ธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ ม วัฒนธรรม และความเป็นไทย มาตรฐานที่ ๘ อยรู่ ว่ มกับผู้อ่นื ไดอ้ ย่างมีความสุขและปฏิบัตติ นเป็นสมาชิกทีด่ ีของสังคมใน ระบอบประชาธปิ ไตย อันมพี ระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมขุ ๔. พฒั นาการด้านสตปิ ญั ญา ประกอบดว้ ย ๔ มาตรฐาน คอื มาตรฐานที่ ๙ ใชภ้ าษาสื่อสารไดเ้ หมาะสมกับวัย มาตรฐานที่ ๑๐ มคี วามสามารถในการคดิ ที่เป็นพ้ืนฐานในการเรียนรู้ มาตรฐานท่ี ๑๑ มีจนิ ตนาการและความคดิ สร้างสรรค์ มาตรฐานท่ี ๑๒ มีเจตคติท่ีดีตอ่ การเรยี นรแู้ ละมีความสามารถในการแสวงหาความรไู้ ด้เหมาะสม กบั วัย ส่งิ ทจี่ ะประเมนิ พัฒนาการของเด็กปฐมวัยแต่ละดา้ น มีดงั น้ี ดำ้ นร่ำงกำย ประกอบดว้ ย การประเมินการมีน้าหนกั และสว่ นสงู ตามเกณฑ์ สุขภาพอนามยั สุขนิสัยทีด่ ี การรจู้ กั รักษาความปลอดภยั การเคล่ือนไหวและการทรงตัว การเล่นและการออกกาลังกาย และการใชม้ ืออย่าง คล่องแคล่วประสานสัมพันธ์กนั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook