ชมุ นมุ เรอื่ งสั้น – พุทธทาสภิกขุ ปญหายุงยากเกย่ี วกบั การถอื พระรัตนตรัย พระธรรม และดวงจิตของผทู ่ีรตู ามพระพทุ ธเจา กาํ ลงั ประกอบดว ยปญ ญาเปน สว นเคร่อื งพนทุกข อยางเดียวกัน นั่นเปนพระสงฆ และพึงเขา ใจวา นามวา พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ เหลา น้ี เปน คาํ ซึ่งสมมตขิ ึ้น เพื่อใชเรยี กสิง่ สาํ คัญทัง้ สามน้นั และสมมตขิ นึ้ โดยผทู ่รี จู กั หรอื เขา ใจในสง่ิ ทงั้ สามน้ันเปน อยา งดี. ท่เี ปนสว นซ่ึงยงั รวมกันอยู คอื ทย่ี งั ไมไดแ ยกเปลอื กและเน้ือออกจากกนั กค็ ือความทสี่ ิง่ นน้ั ๆ ถูกเพง มองอยางรวมๆ กันไปท้ังตวั จรงิ ของสงิ่ นัน้ และวตั ถทุ สี่ ง่ิ น้นั เขาตง้ั อาศยั , เปน การ มองของผูท ี่อยูในระดับปานกลาง ไมเ พงไปแตฝา ยรปู หรือฝายนามเพยี งดา นใดดา นหนงึ่ , เหมาะ ทงั้ คนธรรมดาและคนฉลาดจะมองตามเหน็ ตามไดง า ยๆ สาํ หรับการมองทาํ นองนี้ พระพุทธเจา ก็ คอื องคพระพุทธเจา รวมทั้งจิตใจ หรอื ปญ ญาซึง่ แนบเนอ่ื งอยูในกายนนั้ , พระธรรม กค็ อื ตัววตั ถุ เหลาใดเหลา หนงึ่ อนั เปนเครื่องสะดุดตาสะดดุ ใจคนผูพบเหน็ ชวยใหเขาเขาใจตอ กฏความจริง ของความพนทกุ ข รวมท้ังตวั ความจรงิ อันเขาจะพบไดโ ดยอาศัยส่ิงเหลา นัน้ , แมทส่ี ุดแตค วามจรงิ สวนใดสว นหนึ่ง ซ่งึ เขาจะคนพบไดใ นการงานท่เี ขาเคยกระทํามาแลว หรอื ในการศึกษาปริยตั ิของ เขาก็ตาม, และพระสงฆ กค็ อื รูปกายพรอ มท้งั จิตอันบรสิ ทุ ธ์ิและปญ ญาอนั มอี ยูในกายนั้น ของผูทรี่ ู ธรรม ตามอยางพระพทุ ธเจา ตามที่รบั ปฏบิ ัตมิ าจากพระพทุ ธเจา โดยไมตอ งคนเอง. ทัง้ ท่คี วามจรงิ นน้ั มีอยูวา เปลอื กนั้นเปน อยา งหนึง่ เน้อื แทเ ปน อีกอยางหนึ่งกต็ าม เรามกั เรยี กสง่ิ นั้นทง้ั สองสิง่ รวมเปน ส่ิงเดยี วกนั คอื เรียกรวมทงั้ เปลอื กและเน้ือของมันวา เปน สิง่ น้นั ๆ เชน เราเรียกทัง้ เปลอื กและเนือ้ ของมันวา ทุเรยี น เปนตน หากใหชถ้ี งึ คุณสมบตั ิ ทีค่ วรจะไดรบั เกยี รตเิ ปน เจาของชอื่ นน้ั แลว ใครก็ตามจะตอ งชีท้ ีเ่ นอ้ื ทเุ รยี น ซึง่ รบั ประทานไดนนั่ เอง แตเพือ่ เขา ใจงา ยๆ เรารวมเรยี กทงั้ หมดน้ันวา ทุเรียน ซงึ่ แปลกวางไปถงึ ตน ทเุ รยี นก็ได ปลอ ยใหผ ูมี ดวงตาคน หาหวั ใจของคาํ วา ทเุ รยี นเอาเอง และทกุ คนแมจ ะมีปญ ญาตาํ่ เพยี งไร เขากย็ อมอยากท่ี จะใหส ว นทก่ี นิ ไดนน่ั แหละ เปน หวั ใจของคําวา ทุเรียนแท ความเขา ใจของคนทุกคนยอ มลงรอย รว มกนั ดงั นี้ แมท ่ีสดุ แตก ระรอกกระแต ก็คงเหมือนกันหมด. สาํ หรับพระรตั นตรัยน้ัน หวั ใจทแี่ ทม ีเพยี งอันเดียว หมายความวา ทัง้ สามนั้นเปนอนั เดยี วกัน ตรงกันกบั ลักษณะเอกานุภาพของ Trinity ของคริสตศาสนา, ของทีว่ ามสี ่งิ เดยี วนั้น คือ พระธรรม คนเปนพระพุทธเจา ได ก็เพราะพระธรรมซึง่ มีอยใู นตน และตนคนพบดว ยตน พระธรรม คือสภาพที่มอี ยเู องทวั่ ไป ไมม เี บ้ืองตน ทา มกลาง และทีส่ ดุ ไมเปนอดีต อนาคต หรือเปน ปจจบุ ัน กะใครได, เพราะเปนเพียงตวั กฏความจริงทค่ี รอบงําโลกอยู โดยทวั่ ไปเทา นน้ั เขาไปสงิ อยูใน บุคคลผูใด ผนู นั้ ก็แปรรูปจากเดมิ ทนั ท,ี พระสงฆเลา เปน พระสงฆข น้ึ มาได กเ็ พราะพระธรรมทตี่ น นอ มนาํ มาใสตนตามวธิ ีท่พี ระพุทธเจาสอนให เชนกบั ทพ่ี ระองคท าํ แกพ ระองคเอง, จงึ ไมม อี ะไร แตกแยกออกไปจากกนั ได ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ โดยหวั ใจ. เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 50 / 90
ชุมนุมเรอ่ื งสนั้ – พุทธทาสภกิ ขุ ปญหายุงยากเก่ยี วกับการถือพระรตั นตรัย แตเ พ่อื ใหเ ห็นชดั เจน เขาใจงา ย ยึดถอื เอาไดงายๆ สาํ หรบั ผูที่จะเขามาถอื พระรตั นตรัย ซ่งึ ยงั ใหมอยู, จงึ มีการแยกชีใ้ หเหน็ ชัดๆ เปน สามอยา ง, ใหแ ตกตา งกันออกไป โดยวัตถุทต่ี งั้ อนั เปนฝายรูปธรรม (Material) ทัง้ สามส่งิ น้เี ปน อันเดยี วกนั โดยความจรงิ อันสงู สดุ (Ultimate Truth) และแมจะไดแยกออกเปนสามอยา ง เพื่อใหเปน การงา ยแกผทู ่ียงั ใหม ในการทีเ่ ขา มารบั ถือชนั้ หนงึ่ แลว กต็ าม น่ันยังไมเ พียงพอ, ยังตอ งมีการแสดงดวยเปลือกเปนครงั้ แรก แสดงดวยเนือ้ แท เปน ขั้นหลงั อีกข้นั หนง่ึ ดว ย, เพราะฉะน้นั กวา เราจะมกี ารเขา ใจในพระรตั นตรัย โดยผานเปลอื กเขา ไปถงึ เนอ้ื แลว รูจักทําเนือ้ ทงั้ สามน้ันใหร วมเปนอันเดียวกันได เปนตัวพระธรรมตวั เดียว, ตวั ซงึ่ มี รศั มีแผซานครอบงาํ ท่วั โลก อยคู ูกบั โลก มีอานุภาพบันดาลใหสง่ิ ทงั้ หลายเปนไป ตรงตามกฏแหง ความจริงอยา งเดียวนน้ั มนั ไมใ ชส งิ่ ท่ีเราคนเราโดยท่วั ไป จะทาํ ไดงายๆ เลย. \"ผูใดไมเหน็ ธรรม ผนู ้ันไมเ ห็นตถาคต, ทงั้ ท่แี มว า เขาจะจับมมุ จวี รของเรา เท่ียวไป ไหนไปดวยกนั ทุกวนั กต็ าม\" นเ่ี ปน พระพุทธภาษิต ท่ตี รัสแกพ ระวักกลิ อนั แสดงเนื้อความวา ผู ทเ่ี หน็ เปลอื ก (คอื รางกาย) ของพระองคนั้น หาชอื่ วา เหน็ พระองคไ ม ผูใ ดเหน็ ธรรม (คือสงิ่ ท่ที ํา พระสิทธารถใหก ลายเปน พระพทุ ธเจา) ผนู ้นั จึงจะชื่อวาเห็นพระพุทธเจา, โดยนยั นี้ เราจะเหน็ ได ชดั ทีเดยี ววา การทจี่ ะเห็นธรรมนน้ั มันมีท้ังเหน็ เปลอื กและเห็นเน้ือแทจ รงิ ๆ แมการเห็นพระ รตั นตรยั ซงึ่ เปน สวนทีไ่ ดกระจายออกไปจากตวั พระธรรม ก็เชน นน้ั ดจุ กนั . การทพ่ี ระองคตรัสวา \"ผูใดเห็นธรรม ผูนัน้ เห็นตถาคต, ผูใดเหน็ ตถาคต ผนู ้นั เห็นธรรม\" ดังนี้ ยอ มแสดงใหเ ห็นวา พระพุทธเจา กบั พระธรรมเปน อันเดยี วกนั สวนรปู กายนนั้ ไมใชท้ังธรรม และตถาคต, เปนเพียง เปลอื กของธรรมหรอื ของตถาคต การเหน็ เปลอื ก และเหน็ เนื้อแท จงึ ไมใ ชอ นั เดยี วกัน และแยกกัน ไดอยางเดด็ ขาด. แตแมว า การเหน็ เปลอื กกบั เห็นเน้อื จะเปนคนละอันเชน นน้ั ก็ตาม, ในวงศลี ธรรมแหง พระพทุ ธศาสนาตอ งมีคูกันทง้ั เหน็ เปลือก และเห็นเนอื้ . และในสว นตวั พระธรรมเอง กต็ องมที ัง้ เปลอื ก และเน้ืออาศัยกัน จงึ จะเปนประโยชนแ กโ ลกได, หนาที่ของเราท้งั หลายจงึ มีวา เราจะตอ ง เห็นใหถกู ใหต รงตามทีเ่ ปน จริง เปนอยา งๆ ไปเทา นน้ั เอง. ถามฉิ ะนนั้ กจ็ ะเกดิ การแกง แยง หรอื ดู หมนิ่ กันข้ึน เพราะตางฝายตา งจะถือร้ันวา ฉันเห็นถูก ทานเหน็ ไมถ กู ซึ่งลว นแตม ีเหตผุ ลกันคนละ ทาง ท้ังสองฝา ย. ขอทว่ี า จาํ เปน จะตองมีทง้ั เปลือกและเนอ้ื นั้น คิดดูงา ยๆ ก็จะเหน็ ไดว า ถา หากวา ความ หวานไมอาศยั น้ําออ ย หรอื นํา้ ตาล เปน ทตี่ ้งั อาศัยแลว มนั จะปรากฏแกล ิ้นมนุษยไดอยางไร, ถาไม มตี มุ หรือขวดใส เราจะเก็บนา้ํ ไวไ ดอ ยา งไร, แมท ีส่ ุดแตก ารทีเ่ ราจะเกบ็ มงั คุดไวร บั ประทาน มันจะ เปน ไปไมไดเลย ถา จะปอกเปลือกออกทง้ิ เสียกอ นแลวเกบ็ เนื้อลว นๆ ไว เดก็ ๆ ไมรูแมแตเพียงวา ในตวั เองมีสิง่ ซง่ึ เขาเรยี กวา จติ อนั เปน นามธรรม, จึงไมอาจรูจัก ตัวปญ ญา หรอื ตวั ความบรสิ ุทธซ์ิ ่ึงเราจะบอกวาเปนองคพ ระพุทธเจาทแ่ี ท. แตถาบอกวาองค เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 51 / 90
ชุมนุมเร่ืองสนั้ – พุทธทาสภกิ ขุ ปญหายุงยากเกยี่ วกบั การถือพระรตั นตรัย พระพุทธเจา ซึง่ มีประวตั ิเปน เชน นัน้ ๆ หรือจะชท้ี ี่พระพุทธรูปสําคญั ๆ ในโบสถ วา เปน พระพุทธเจา ไปกอน ก็ยังเปนการดีกวาทจ่ี ะไมบ อกใหย ดึ ถืออะไรไวเ สยี เลยอยูนัน่ เอง. สาํ หรบั ผใู หญท่ีไมม ีการใชความคิดนึก กไ็ มตา งอะไรกันกบั เด็ก จึงจัดเปน เด็กในที่น้ดี ว ย. เม่อื เปน ผูใ หญม ี ความคดิ นกึ ขน้ึ กจ็ ะคอ ยรูจกั สง่ิ ท่เี ปนประเภทนามธรรมมากข้ึน อนั จะเปน หนทางใหเขารูจ ัก พระพุทธเจาตวั จริงไดเอง; เชน เดยี วกบั ท่เี ม่อื เขาโตข้นึ เปน ผใู หญย อมเขาใจคําวา \"การมลี ูกเมยี \" ไดด ีกวา เมือ่ ยงั มอี ายุ ๔-๕ ขวบ ฉนั นนั้ เหมือนกนั , แมไมมีใครบอกเลา , เปน เพียงเขาใชค วาม สงั เกต หรือการศึกษาประเภททเ่ี ปน ภายในอยเู สมอ. เม่อื เล็กๆ คนเราเหมาะที่รบั คาํ บอกอยา งงายๆ สําหรบั จะไดเช่อื เพ่อื ปองกนั ตวั เองไมใ ห ตกไปฝายตํา่ , ขณะนนั้ เราไมต องการเหตผุ ล เพราะเรายงั ไมมคี วามคิดนกึ ในทางเหตผุ ล, ขืนให เหตุผล หนักเขา ก็จะเห็นเปน เซาซ้ยี ุง ยาก เลยไมเ กยี่ วขอ งเอาเสียทเี ดียว. การใหเ ด็กๆ รับถอื พระ รตั นตรัย เพื่อเปนพทุ ธมามกะก็อยูในกฎความจรงิ อันนี้ เราจงึ จาํ เปน ตอ งมกี ารถอื ประเภททง้ั เปลอื กเขาไวในวงแหงศีลธรรมของเราดว ย เพราะตองการใหเ ดก็ ทกุ คนถอื พระรตั นตรัย เพอ่ื ยอม นํ้าใจไปเสียตงั้ แตแ รก. ในคร้งั พุทธกาลไมปรากฏวา มกี ารเกณฑใ หถ ือพระรตั นตรัย ท้งั ทีผ่ ูนั้นยงั ไมร จู กั วา พระรตั นตรัยคอื อะไร แมจะเปน ผใู หญแ ลวกต็ าม. เขาถือของเขาเอง และเปลงวาจา ปฏญิ าณตนเปน ผูถอื พระรตั นตรัยออกมาจากหัวใจของเขาเอง จงึ ไมจําเปน ตอ งมกี ารถือประเภท ทั้งเปลอื กซึง่ ตรงกบั ความตอ งการของเราในบดั น.ี้ อนั เราทราบกันอยูดแี ลว วา หนกั ไปในทาง ประเพณีมิใชเปนไปเองตามอํานาจจิตใจ. เพราะฉะนั้น การถอื หรอื การไดอ านิสงสข องการถอื หรือการประพฤตศิ ีลธรรมน้ัน จึงเกิดเปน มีสองอยางขึ้นตาม คือไดอานิสงสช นิดที่เปน ประเพณี อยา งหนึง่ อานสิ งสอ ันแทจ ริงอยา งหน่ึง, เทา เทยี มกันกบั การถือ. ความจรงิ เนอื้ แทของพทุ ธศาสนานน้ั เปน ฝก ฝา ยของเหตผุ ล หรือปญ ญา หรือปรชั ญา คือเปนส่ิง ท่ีเหมาะสําหรบั คนพวกฉลาด. เชน การรบั ถอื พระรัตนตรัย ก็ถอื กนั เฉพาะผูท ่รี จู กั พระรตั นตรยั แลวดวยปญญาอยา งชดั เจนแจมแจง ถูกตองตามตามท่ีเปน จรงิ เทา นั้น, คร้นั มาบดั นี้ เราตอ งการ ใหแ ปรรปู มาเปนศาสนาทวั่ ไป คือเปน ศลี ธรรม (Moral) สําหรับทุกๆ คนถอื ถอื ทัง้ เด็กท้ังผูใ หญ ท้งั โง ท้งั ฉลาด หรือปานกลาง, ตวั ศาสนาทเี่ ราจะถือและวธิ ถี อื ของผถู อื กจ็ ําเปน อยูเองที่จะตอ ง แปรรูปไปจากเดิม เพือ่ ผลอนั กวางขวางทเ่ี ราตอ งการนัน้ . เมอ่ื เหตุภายในหรือความจริงเปลีย่ นไปดงั นี้ แตข างภายนอกไมไดเปลย่ี นไปใหเ หมาะสมกัน กเ็ กดิ การแกงแยงโตเถยี งแยง กันข้นึ ในหมนู ักคดิ คน , และเกดิ การถอื อยางงมงายไรป ระโยชนขน้ึ ในหมผู ู ที่ไมร ูจักถือใหท ะลุเปลือกเขาไปหาเนอื้ แท และทําใหเ ขา กันไมส นทิ ในระหวา งชนสองพวกน้,ี การ ถอื พระรัตนตรัย ซง่ึ จดุ ประสงค เพ่อื เปน ยานพาหนะเขา ถึงพระนพิ พาน เปรยี บประดุจพว งแพ สําหรับขา มมหาสมุทร ก็กลบั กลายเปน ถูกจับข้ึนใชแทนอาวธุ สําหรบั ปราบปรามกนั ใหพ า ยแพ กอ นแตจ ะออกเดินทางนั่นเอง. พวกหนึง่ มคี วามรูสูงและอวดดีกเ็ หยยี ดและแสดงอาการขยะแขยง ตอ ความรู และการถอื ของอกี พวกหนึ่ง ซง่ึ เปน พวกมีความรูตํา่ แตถ อื อยา งยึดม่นั ถอื มั่น ยอมตาย เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 52 / 90
ชมุ นมุ เรอื่ งสั้น – พทุ ธทาสภิกขุ ปญ หายุงยากเกย่ี วกบั การถอื พระรัตนตรัย กบั พระรตั นตรยั ทงั้ ทไ่ี มต อ งรูว าพระรัตนตรัยนน้ั คอื อะไรมากไปกวาทีเ่ ขาวา ๆ กันตามศาลาการ เปรยี ญของบคุ คลผูถ ือสบื ๆ กนั มาแตโ บราณเทา นนั้ . ในยคุ แรกๆ โนน ปรากฏในพระบาลวี า ผทู ี่ หลงใหลในพระรัตนตรยั เกินขดี ไปกม็ อี ยบู า ง พวกนเี้ รียกวา มุทุปสนั นา, ยอมถวายเมถุนธรรมแก ภิกษบุ างรูป ทเ่ี ขาไปหลอกวา เมถนุ เปน ของหายากสําหรับภิกษุ ถาถวายจะไดบ ญุ มาก ดงั นี้กม็ .ี นน่ั กเ็ พราะความรักพระรัตนตรยั ผดิ เนื้อทแี่ ท ถกู เปลอื กนอก และทปี่ ลอมดว ย. คนชนดิ น้ี ถาจะ เทียบกันในบดั น้ี กเ็ ห็นจะเทา กันกบั พวกทยี่ อมเอาทองหุมเจดยี หรอื ท้ังท่เี หน็ อยูวา เขาตองเอาไป เทท้งิ เพราะมากมายเหลอื เฟอ ก็ยังจะถวายอาหารใหว ัดนัน่ เอง แมว าจะมีเพอื่ นบานกําลังอดจวน ตายกันอย,ู ลงทุนนํ้ามันเช้อื เพลิง จดุ บชู าพระพทุ ธรูปหรือเจดียอ ยา งรุงโรจนสวางไสว ทัง้ ทีเ่ พ่อื น มนษุ ยด ว ยกนั บางเหลา กําลังทนลําบากอยูในทีม่ ืด เพราะความขาดแคลนและ ฯลฯ. น่ีมใิ ชบ คุ คล ประเภทนนั้ จะไมร เู สียทเี ดยี ววา การทาํ ประโยชนชว ยเหลอื ผอู ื่นน้ันเปน ความด.ี แตเปน เพราะเขา เหน็ วา การทีเ่ ขาทําเชนน้นั ๆ เปน การทําตอพระรตั นตรัย, สว นท่ีจะมาเจอื จานแกคนยากจน เหลาน้ีไมค ุมกนั เพราะไมใชพระรตั นตรยั หรือเน่ืองกับพระรตั นตรยั ตามทรรศนะของเขา. นี่แหละ, เราจะเหน็ ไดวา การเหยยี บรกู ับการงมงายนนั้ แมจ ะตางกันอยางตรงกนั ขา ม มันกเ็ ปน ผลรา ยดวยกนั ทงั้ สองฝา ย. แตถ าเพง ลงไปใหละเอียดอีกสกั หนอ ยแลว จะพบวา การงมงายเสยี อกี ยังจะไดเปรยี บ เพราะคนงมงายนนั้ อยา งไรเสียก็ชวยกนั บาํ รุงศาสนาไวโดยเปลอื ก, สว นคน เหยยี บรู จะไมไ ดเ สียเลย ท้งั โดยเปลือก และโดยเนื้อ สวนมากมกั เปนพวกขีเ้ กยี จและเห็นแกต น ดวย บางทกี ท็ ํานาบนหลังคนงมงายนนั่ เอง. เม่อื เราตอ งการจะใหเปนไปอยา งถูกตอ ง นาชมุ ชน่ื ใจจริงๆ ก็ควรทจี่ ะถอื พระรตั นตรัยดวยการลืม ตาดู คอ ยๆ ปอกเปลือกออกท้ิงเสียคราวละเลก็ ละนอย จนในทีส่ ดุ ก็เขา ถึงเน้อื แทไ ดตามลําดบั ๆ เชน เดยี วกบั การปอกมะพรา ว ปอกเปลือกแข็งออก, ปอกเปลือกออ น, แลว ตอยกะลาจนไดบรโิ ภค เน้ือใน หรือคั้นเอาน้ํากะทอิ อกมาไดฉันน้ัน. ถาเรากําลงั เกาะอยทู เี่ ปลอื กกต็ องรวู า เราเกาะ เพ่อื จะ เจาะใหท ะลุเขา ไปขางใน ไมใ ชต องการเปลือก เชน เดยี วกบั ทเี่ ราไหวพ ระพุทธรปู นนั้ มิใชเพือ่ แลก กับการไดไปสวรรค หรือขอใหเ ปน อยา งนน้ั อยางน้ตี ามทเี่ ราตองการเปน ตน , ซึ่งเปน เพียงการ หลอกตวั เอง ใหสบายใจดว ยการท่ไี ดทําความเชอ่ื มัน่ ของตวั เองเทา นนั้ . นกั สอนศาสนาบางคน สอนแตทอ นเดยี ววา ความสบายใจเปนบญุ หรอื บุญเปน ชื่อของความสบายใจ, ไมส อนเลยไปถงึ วา เราควรคดิ หรอื เขา ใจอยา งไรตอ ไป. การไดสบายใจเพราะเพียงแตไ ดไหวพระพทุ ธรูปเชน นนั้ ยงั ไมใชของแนน อนหรือถงึ ทส่ี ดุ , ถา เราเช่อื ลัทธอิ นื่ เราอาจไหวส ง่ิ อน่ื ก็ได ซึง่ จะไดบุญ หรอื ความ สบายใจนน้ั เทา ๆ กัน. แตส ิ่งท่พี ระพุทธเจา หรอื พระรัตนตรยั จะใหแ กเ รานัน้ สงู กวา น้นั มากนกั . ถาเราดใี จเพราะยึดถือเอาท่เี ปลอื กบญุ ทไ่ี ดม นั ก็ยงั เปน ชนดิ ท้ังเปลือก เชน เดียวกบั ที่ผลไมท ี่ยงั ปอกเปลอื กออกไมไ ด, มคี วามดใี จเพียงแตว า เราม!ี เราม!ี ! เทา นั้นเอง. เราจะไหวพระรัตนตรัย หรือเขาถงึ ตวั พระรตั นตรยั ไดในท่ที กุ แหง ไมเ ฉพาะแตใ นโบสถ. แตท่เี รา ทาํ เชน นั้นไมไดก ็เพราะวา แมท่ชี นิดทีท่ ้งั เปลอื กเรากย็ งั ไมอ าจถือเอาไดอยูน ัน่ เอง. สมาชิกทีเ่ ดนิ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 53 / 90
ชุมนมุ เร่อื งสน้ั – พทุ ธทาสภกิ ขุ ปญ หายุงยากเก่ยี วกับการถือพระรตั นตรัย ไปโบสถเ ปน แถวๆ กเ็ พราะเกรงกฎวัด หรอื กฎโรงเรยี น. ใครไมถ ูกไลอ อกจากวดั จากโรงเรยี น, หรอื อยา งนอยทสี่ ดุ ก็ยงั เกรงใจครบู าอาจารย; แมผ ทู สี่ มัครไป สมคั รไหวดว ยตนเอง สวนมากก็ เปนเพราะความกลวั หรือความคดิ สัน้ ๆ วา มนั ควรจะทําหรอื จะตองทาํ ไปเทา นน้ั , แทนท่ีจะได ความชมุ ช่ืนใจอันแทจ รงิ กลบั ไดม าเพยี งเครื่องปลอบตวั เองวา เห็นจะไมตกนรกแนแลวเทา น้นั . เราจะมองเห็นไดชดั ทเี ดียววา นนั่ ยังไมเ พียงพอ. ยิง่ สําหรับบางหมบู างคณะทําการไหวพระสวด มนต เพยี งเพื่อจดลงสําหรับรายงานผูใหญเพือ่ หาความชอบข้นึ ไปเปน ลาํ ดบั ดวยแลว ก็ยิ่งจะหาง ออกไปอีกมาก เพราะทําเพยี งเพอ่ื ใหคนนอกสรรเสรญิ มดี อี ยูบา งก็ท่ีดกี วา ผทู ีไ่ มทาํ เสยี เลย ทง้ั โดยกายและโดยใจ. แตนน่ั เปน การเขาถึงบางเพยี งเปลอื กชัน้ นอกเทาน้นั เอง เปนอยา งมาก. แทจ รงิ เครอื่ งหมายแทนองคพระรัตนตรยั เชน พระพทุ ธรูปเหลา น้ี ในเม่อื เราทําถูกวธิ ,ี คือทาํ ให เปน เหมอื นเครื่องแวดลอ มขางนอก ทจี่ ะผลกั เราเขาสภู ายในเรอื่ ยไปไมรูจักหยุดหยอนแลว กจ็ ะ เปนคุณประโยชนอยางใหญหลวง, คอื เราจะถึงพระรตั นตรยั จรงิ ๆ เมอื่ เราเหลอื บเห็นพระพุทธรูป เราจะตองมคี วามรูส กึ วา ความดีท่ีสุด ก็คือการทาํ ตนใหอ ิสระเหนือความทุกข เหมือนบคุ คลผเู ปน เจา ของอนสุ าวรียอันน้ี (คือพระพทุ ธเจา ), และวา อนุสาวรยี เองเปนพยานเครื่องยืนยันวา การทํา เชน นน้ั ไมน อกเหนอื ไปจากวสิ ยั มนษุ ยจ ะพงึ ทาํ ได เพราะพระพทุ ธรปู นี้ คือรูปคนๆ เรานี่เอง. พระพทุ ธรูปนมี้ ไี วสําหรบั เปน เครอื่ งกระตนุ เตือนผพู บเหน็ ใหร สู ึกวา วธิ ีทีม่ นษุ ยจ ะชนะความทกุ ข ทนหมนหมองนน้ั มีอยูแนๆ คลา ยๆ กบั วา พระพุทธรปู นั้น มวี ญิ ญาณของพระพทุ ธเจาสิงอยใู นน้ัน เพอ่ื คอยเตอื นเราวา \"เจา จงทําตามอยางที่เราทํามาแลว เถิด\" ความจาํ หมายในเรอ่ื งความเขา ใจ โดยอนุมานหรือเปรยี บเทยี บ, หรือเคยรูเ คยชมิ มาจริงๆ ในรสแหง พระธรรม คอื ความชมุ ชื่นเยอื ก เย็นแหง ใจนนั้ ควรจะเรียกมาสคู วามรสู กึ หรอื ซอ มความจํานนั้ ใหแ จมแจง ชัดเจนยงิ่ ข้นึ ทกุ คราวที่ เราสบตาตอ พระพทุ ธรปู , คนท่เี ปน บาเพราะต่นื ตกใจกลวั อะไรบางอยา ง ถาจะมใี ครคอยเอาภาพ หรอื สิ่งท่ีนากลวั นน้ั คอยตดิ หรอื ขใู หเ ห็นอยูเสมอ ไมวาจะเหลอื บตาไปทางใดแลว , ก็มแี ตจ ะทาํ ให เขาบา หนักขน้ึ หรอื อยางนอยที่สดุ กไ็ มร ูจ ักหายบา ; ก็เมอื่ ฝายชั่วยังเปน ไดถึงเชนนนั้ แลว ทําไม พระพทุ ธรปู ซงึ่ มอี ยทู ่วั ไปจะไมชวยใหความรสู ึกที่ดงี าม อันมอี ยบู า งแลว ในใจเรานนั้ ลุกกระพือ ยง่ิ ขน้ึ ไปไดเ ลา , หรืออยา งนอยจะไมชวยพยงุ เราไวใหอ ยใู นระดับนนั้ เสมอ. เม่อื เรารูสกึ ตัววา เราดี ขน้ึ แลว หรอื อยา งนอยท่ีสดุ เราไมไดเลวลงดังน้ี, นน่ั แหละ คอื บุญหรอื ความช่ืนใจอนั ไดจากการ ไหวพ ระพุทธรปู แทนองคพ ระพุทธเจา, และเปนบญุ อนั แทจ รงิ . ไมตองปรารภหรือเกยี่ วเนือ่ งกบั คนนอก เราก็ทาํ ของเราเองได. ดวงจิตของเราเทา นน้ั ท่สี ามารถชําแรกตวั เองเขา ไปจนถงึ องคพระรตั นตรัย โดยผา นทะลทุ าง พระพทุ ธรูปหรือตัววตั ถอุ นั เปน พทุ ธานสุ าวรยี อื่นๆ; หรือโดยไมตองผานอะไร เพราะสรา งขึน้ ใน ดวงใจของเราเอง ไมวาในสถานท่ไี หนก็ได. ถาเราสามารถ, เราอาจสรา งขึ้นได แมใ นโรงละคร. สรางตัวปญญา อนั เปนเครือ่ งชวยกระชากเราออกมาเสีย จากกองเพลงิ แหงทุกขแ ละกิเลส. เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 54 / 90
ชุมนุมเรือ่ งสน้ั – พุทธทาสภิกขุ ปญ หายุงยากเกี่ยวกับการถือพระรตั นตรัย ดังกลา วมาแลว ทัง้ หมดนี้ เราจะเหน็ ไดว า การถึงพระรัตนตรัยนนั้ ก็คอื การทจ่ี ิตของเราไดส ัมผสั กันเขากบั ความแจม แจง , ความบริสุทธ์สิ ะอาด. ความสุขทีเ่ ยือกเยน็ เปนธรรมชาติ อนั ไดแกต วั พระ ธรรม ซ่ึงมีอยูในจติ ของพระพุทธเจาหรอื พระสงฆ หรือทีท่ าํ บญุ ใหกลายเปนพระพทุ ธเจา หรอื พระสงฆไปนน่ั เอง. ศิลปะอนั น้ไี มยากสําหรับผทู เ่ี คารพหรอื ซอ่ื ตรงตอ ตวั เอง, (ไมต องพูดถึงตอ ประชาชน, เพราะผซู ่ือตรงตอ ตนเอง, ยอมซ่ือตรงตอ ประชาชนเปนธรรมดา) แตยากยิ่งนกั สาํ หรับ ผูท่ีตรงกันขาม; เพราะฉะนน้ั เรากลาวไดว า ไมย าก และทัง้ ไมง ายดวย. ผูซือ่ ตรงตอตนเอง จะตอง ทะลุเปลอื กเขา ไปเปน ชัน้ ๆ โดยเร็วเปน แน, แมจ ะเปน ชั้นออนปญ ญา กย็ ังไดรบั ความชุม ชนื่ สบาย ใจชนดิ ทีส่ ะอาดหมดจดแท. คนซื่อตรงแมโ ง กพ็ บความบรสิ ทุ ธเ์ิ ร็วกวา คนคดโกง แมจ ะแสนฉลาด หาตัวจบั ไมค อ ยได, ทางโลกคนฉลาดตบตาคนได, แตท างธรรม คนฉลาดจะตบตาพระธรรมไมได. คนฉลาดทางโลกเชนน้ี จะตองอบตัวอยกู บั ความสกปรก จนกวาจะเขด็ หลาบ กลายเปนคนซ่ือตรง เสยี กอ น จงึ จะเขาถึงความบรสิ ทุ ธ์ิ หรอื พระธรรมนนั้ ได. ขอทานผูอา นทง้ั หลาย จงหาความซอ่ื ตรงตอตัวเองไวเปน ทนุ ใหเ ตม็ ทีเ่ ถดิ อยาคาํ นงึ ถึงวา ทาน เปน ผโู งเ ขลาอยางไรเลย: เพราะความสขุ ที่บรสิ ุทธน์ิ ัน้ มีไวสาํ หรบั คนซื่อตรง, ความซื่อตรงนน้ั จะ ชวยเปน รอกแมแรง ดงึ ตวั ทานเขา หาความบรสิ ุทธ์ิ ขยบั เขาไปทีละนดิ ๆ โดยอาการทค่ี วามชว่ั รา ย จะมาจูงไปนอกทางไมไ ด และขอ สาํ คัญอนั หนง่ึ ทท่ี า นจะตองเห็นอยา งแจม แจงอยเู สมอนน้ั คอื เรา จะมุง เฉพาะความสขุ ทบ่ี รสิ ทุ ธิ์บรบิ รู ณ, จะเปน นักปราชญหรือไมเ ปน เปนผสู ามารถหรือไมเ ปน, ใครจะเลื่อมใสหรอื ไมเลอ่ื มใสน้นั ไมเ ปนปญหา! ขอทา นทัง้ หลาย จงชําระปญ หายงุ ยากอันเกี่ยวกับการถือพระรตั นตรยั ดังวา มานี้ ใหส ะอาดหมด จด หรือสะอาดหมดจดยงิ่ ขึ้นไดสมประสงคโดยเร็วเถดิ . ขาพเจาขอจบการบรรยายน้ีดว ยถอยคํา ซง่ึ จะชกั ชวนใหทานพยายามยิ่งขึ้นทางกาย วาจา ใจ จนครบบรบิ รู ณ ดวยความบากบั่นมน่ั คงแท ทกุ คน คอื คําวา :- พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจาถอื เอาพระพทุ ธเจาเปน เครอื่ งจงู ใจ. ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจา ถือเอาพระธรรมเปนเคร่อื งจูงใจ. สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขา พเจา ถอื เอาพระสงฆเ ปน เครื่องจูงใจ. เพราะพระพุทธเจาตรสั วา ใครจะเปน ท่ีพงึ่ ใหแ กใครไมไ ด, แมแ ตพ ระตถาคตเอง. ทุกคนตองพึง่ ตวั เอง, เพราะตนเปนท่ีพง่ึ ของตน พระตถาคตเจา ทงั้ หมดทง้ั สนิ้ เปน ผชู ้ีทางเทาน้นั !!! ๑๐ กันยายน ๒๔๗๙ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 55 / 90
ชุมนมุ เร่อื งสั้น – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธ์ิ-ปาฏิหารยิ ฤทธ-์ิ ปาฏิหารยิ เรื่องของฤทธิ์ หรือ ปาฏหิ ารยิ นบั วาเปน เร่อื งหนึ่ง ที่ยังมัวอยูมาก ในบรรดา เรื่องทีย่ ังมวั อยู หลายเรื่อง ดว ยกนั และดูเหมือน จะเปนเพราะ ความท่มี นั เปน เรือ่ งมวั น่ีเอง ทีเ่ ปนเหตุ ใหมี ผสู นใจ ในเร่ืองน้ี อยูเรื่อยๆ มาเปนลาํ ดบั อยา งไมขาดสาย และมากกวา ท่ีถา มนั จะเปน เรอ่ื งที่ กระจา ง เสยี วา มนั เปน เรื่อง อะไรกนั แน หมายความวา ถาเราทราบดีวา ฤทธิ์ คอื อะไร และเปน เรือ่ ง เหมาะสาํ หรบั ใคร โดยเฉพาะแลว เชอื่ วา จะทําใหมีผสู นใจ เรื่องน้ี นอยเขา เปน อนั มาก ทา นผทู ี่แสดงฤทธไิ์ ด ไมเ คยปรากฏวา ไดรับผล อัน\"เดด็ ขาดแทจ ริง\" อยา งไร จากฤทธ์ิน้ัน ทงั้ ทางวตั ถุ และความสขุ ในสว นใจ ฤทธ์ิ เปน เรอื่ งจริง สาํ หรบั ผูที่ไมทราบวา ฤทธิ์ คอื อะไร และ ตน เปน ผทู ี่ ตกอยใู น ภมู ิแหงใจทต่ี าํ่ จนผูม ฤี ทธ์ิ จะออกอาํ นาจฤทธิ์ บังคบั เมื่อไรกไ็ ด แตสาํ หรับ ผมู ี ฤทธ์ิ หรือ ผทู ร่ี ูเรอื่ งฤทธิ์ดี หรอื มกี ําลังใจ เข็มแขง็ เทากับ ผมู ีฤทธิ์ จะเหน็ วา ฤทธน์ิ ้นั เปนเพียง เร่ือง \"เลน ตลก\" ชนิดหนึง่ เทา นั้น แตเปน เรอื่ งที่ แยบคายมาก ลึกซง้ึ มาก พระพทุ ธองค ทรงสะอิดสะเอยี น ในเมอื่ จะตอ งมีการแสดงฤทธิ์ เวน แต จะเปน การจําเปน จริงๆ ทรงหา ม พระสาวก ไมใหแ สดงฤทธ์ิ พระองคเอง ก็ตรสั ไวใน เกวฎั ฎสูตร๑ วา พระองคเ อง กไ็ ม พอพระทยั ทจี่ ะทรมานใคร ดว ยอทิ ธปิ าฏิหารยิ และ อาเทศนาปาฏิหาริย เพราะมนั พองกันกบั วิชากลางบาน ซ่ึงพวกนกั เลงโต ในสมยั น้ัน เลนกนั อยู เรียกวา วชิ าคนั ธารี และมนตมณกิ า พระองค พอพระทัยท่สี ุด ท่ีจะใช อนสุ าสนีปาฏหิ าริย คือ การพดู ส่งั สอนกนั ดว ยเหตุผล ทผี่ ูฟ ง จะ ตรองเห็นตามไดเ อง อนั เปน การทรมาน ที่ไดผ ลเด็ดขาด ดกี วาฤทธ์ิ ซึ่งเปนของช่ัวขณะ อัน จะตอ งหาวิธที าํ ให มั่นคง ดวยการสัง่ สอน ท่ีมเี หตุผล อีกตอหนง่ึ ในภายหลัง แตถ ึงแมว า ฤทธ์ิจะเปน เรอ่ื งหลอกลวงตา อยางไรกต็ าม มนั กเ็ ปนเรือ่ ง ที่นา สนใจอยูบ าง เพราะ มันเปน ส่งิ ทที่ า นผมู ีฤทธ์ิ เคยใชตอตาน หรือ ทาํ ลายอุปสรรค ของทา นสําเร็จมาแลว เปนอันมาก เหมอื นกนั เม่ือเราปวดทอ ง เพราะอาหารเนา บดู ในทอง ยาขนานแรก ทีเ่ ราตอ งกนิ ก็คอื ยารอน เพ่ือระงบั ความปวด ใหหายไปเสยี ขณะหนึ่งกอน แลวจงึ กนิ ยาระบาย ถายของบูดเนาเหลา นนั้ ออก อันเปน การแกใ หห ายเด็ดขาด ในภายหลัง ท้ังที่ ยาแกป วดทอ ง เปน เพยี ง แกป วดช่วั คราว ไมไ ดแก สมฎุ ฐาน ของโรค มนั ก็เปน ยาทีม่ ีประโยชน อยูเหมือนกัน ในเมอ่ื เรารูจ กั ใช เปรียบกนั ไดกบั เรอื่ งฤทธิ์ อันทา นใช ทรมานใคร ในเบือ้ งตน แลว ทาํ ใหม่ันคง ดวยปญ ญา หรอื เหตผุ ลใน ภายหลงั ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั แตถ า ไมม ีการทําใหมัน่ คง ดวยเหตผุ ล ท่เี ปนปจจัตตะ หรือ สันทฎิ ฐิโก ในภายหลงั ผลท่ีไดมกั ไม สมใจ เชน เดียวกับ กนิ เพียง ยาระงบั ความเจบ็ ปวด อยา งเดยี ว แตห าได ถา ยโทษราย น้นั ออก เสียไม มันก็กลบั เจบ็ อกี หรอื กลายเปนโทษรา ย อยา งอืน่ ไป ควรใชก าํ ลงั ฤทธิ์ ในเบ้ืองตน ใช ปญ ญา หรอื เหตุผล ในภายหลัง ยอมไดผลแนบเนยี น และไพศาลกวา ที่จะไดเ พยี งอยา งเดียว แต เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 56 / 90
ชมุ นมุ เร่อื งสนั้ – พุทธทาสภิกขุ ฤทธ์-ิ ปาฏหิ าริย อยางเดยี ว คนบางพวก เลอื่ มใสในศาสนา ดวยอาํ นาจปาฏิหาริย อยา งใดอยา งหนึ่ง จูงใหเขา ปฏบิ ตั ศิ าสนา จนไดร ับ ผลของศาสนานนั้ แลว แมจะ มารูภายหลังวา เร่อื งฤทธ์ิ เปนเรอื่ งหลอก เขาก็ละทิ้ง เฉพาะเรื่องของฤทธิ์ แตห าได ทง้ิ ศาสนา หรือความสขุ ทเ่ี ขาประจกั ษ กบั เขาเอง ใน ภายหลงั น้ันไม แตมปี รากฏ อยบู างเหมอื นกนั ที่คนบางคน เล่อื มใสฤทธิ์ อยา งเดยี ว เขา มาเปน สาวก ของพระ พุทธองคแลว หาไดทําใหต น เขาถงึ หวั ใจ แหง พุทธธรรม ดวยปญ ญาไม ตอ งหนั หลัง กลบั ไปสู มิจฉาทฎิ ฐิ ตามเดิม เชน สนุ ักขัตตะลิจฉวบี ตุ ร เปน ตน แตก ม็ มี ากหลาย ท่ถี กู ทรงชนะ มาดว ย ฤทธิ์ แลว ไดร บั การอบรม ส่ังสอนตอ ไดบ รรลุ พระอรหัตตผลไป เชน ทานพระองคุลมิ าล เปน ตน จงึ เปน อนั วา เรื่องฤทธ์ิ กเ็ ปน เรื่องท่ี นารสู นใจ อยูไ มนอ ย แมจะไมเ ปนการสนใจ เพอ่ื ฝกฝนตน ใหเปน ผมู ฤี ทธ์ิ แตก็เปน การสนใจ เพอื่ จะรสู ่งิ ทคี่ วรรู ในฐานะทตี่ น เปน นกั ศึกษา หาความแจม แจง ในวชิ า ทวั่ ๆไป ตอไปน้ี จะไดว ินจิ ฉยั ในเรือ่ งฤทธิ์น้ี เปน เพยี ง แนวความคดิ เหน็ ที่ขยาย ออกมา สาํ หรบั จะไดช ว ยกนั คิดคนหาความจริง ใหพบใกลช ดิ เขาไปหาจุด ของความจรงิ แหง เรื่องน้ี ยง่ิ ขนึ้ เทา น้ัน ในบาลี พระไตรปฎก เราพบเรื่องของ ฤทธิ์ ชั้นทเี่ ปน วชิ ชา หรือ อภิญญา หนึ่งๆ แสดงไว แต ลกั ษณะ หรือ อาการวา สามารถทําได เชนน้นั ๆ เทา น้นั หามีบทเรียนหรอื วิธีฝก กลาวไวดว ยไม อนั ทา นผูอา น จะอา นพบไดจาก พระบาลี มหาอสั สปรุ สูตร หรอื สามัญญผลสตู ร แลว, ในบาลี คลา ยๆ กบั ทา นแสดงวา เมื่อไดพยายามฝก จิต ของตนใหผอ งใส จนถงึ ขนาด ทีเ่ หมาะสม แกการ ใชมันแลว ฤทธนิ์ นั้ กเ็ ปน อันวา อยูในกํามอื ตอมาในช้ัน อรรถกถา และคัมภรี พิเศษ เชน คมั ภีรว ิ สุทธิมรรค โดยเฉพาะ ไดอ ธบิ ายถงึ วธิ ีฝก ฝน เพ่อื การแสดงฤทธ์ิ ไวโ ดยตรง และดูคลา ยกบั วา ทานประสงค ใหเ ปน บรุ พภาค ของ การบรรลมุ รรคผล เสยี ทีเดยี ว ขา พเจา ไมเขา ใจวา เรื่องฤทธ์ิ นีเ้ ปน เรือ่ งของพุทธศาสนา โดยตรง หรอื เปนสว นหนึ่ง ของพุทธ ศาสนา ในบาลีมัชฌมิ นิกาย มีพทุ ธภาษิตวา พระตถาคต สอนแตเรอื่ งความทุกข กบั ความพน ทกุ ข เทา นนั้ ๒ ทงั้ เรอื่ ง ของฤทธ์ิ ก็ไมเ ขา หลักโคตมีสตู รแปดหลัก แตหลกั ใด หลกั หนงึ่ การที่ เรื่องของฤทธิ์ เขามาเกยี่ วขอ งกบั พทุ ธศาสนาได ก็เปน การเทยี บเคยี ง โดยสวนเปรียบวา ผูทฝี่ ก จติ ของตน ใหอ ยูในอาํ นาจ อาจทจ่ี ะ บรรลมุ รรคผล ได ในทันตาเหน็ นแี้ ลว จติ ชนิดนั้น กย็ อม สามารถ ทจ่ี ะ แสดงฤทธ์ิ เชนนัน้ ๆ ได ตามตอ งการ เม่ือตองการ, และ อกี ประการหนงึ่ ฤทธ์ิ เปน เครื่องมอื อยางดี ทจี่ ะ ทรมานบุคคล ประเภท ท่ีไมใช นักศึกษา หรือ นกั เหตผุ ล ใหม าเขารตี ถือ ศาสนา ได, ในยุคพุทธกาล ยงั เปน ยคุ แหงจติ ศาสตร ไมนิยม พสิ ูจนค นควา กันใน ทางวัตถุ เชน วทิ ยาศาสตรแ ผนปจจบุ ัน มหาชน หนกั ไปในทางน้ัน บรรดาศาสดา จึงจําเปน ที่จะตองมี ความรู ความสามารถ ในเร่อื ง ฤทธิ์ นี้เปนพเิ ศษ สว นหน่ึงดว ย เราอาจกลาวไดว า ฤทธิ์ เปน ของคูก นั กบั ลทั ธคิ าํ สอน มาตงั้ แต ดกึ ดาํ บรรพ กอ นพุทธกาล ซ่งึ ศาสดานนั้ ใชเ ปน เครอ่ื งมือ เผยแพร ศาสนา เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 57 / 90
ชมุ นุมเรือ่ งส้ัน – พุทธทาสภิกขุ ฤทธิ์-ปาฏิหารยิ ของตน แมพ ระพทุ ธองค ซง่ึ ปรากฏวา เปนผูท ที่ รง เกลียดฤทธ์ิ ก็ยงั ตองทรงใชบ า ง ในบางคราว เม่อื จําเปน ดังทปี่ รากฏอยู ในบาลี หลายแหง คร้งั กอนพทุ ธกาล นานไกล ในยคุ พระเวท พระเวทยคุ แรกๆ กม็ ีแตคาํ ส่ังสอน ในการปฏบิ ัตแิ ละ บชู า เทา นน้ั ครั้นตกมายุคหลัง เกดิ พระเวทที่สี่ (อรรถวนเวท) ซึ่งเตม็ ไปดว ยเวทมนต อนั เปน ไป ในการให ประหตั ประหาร ลา งผลาญ กนั หรือ ตอ สู ตานทาน เวทมนต ของศตั รู ข้ึนดว ยอาํ นาจ ความนิยม ของมหาชน หรือ อาจกลาวได อกี อยา งวา ตามอํานาจ สัญชาตญาณ ของ ปถุ ุชน นั่นเอง นับไดว า ยุคนี้เปน มลู ราก ของสิง่ ที่ เรยี กกนั วา \"ฤทธ\"์ิ และนยิ ม สบื กันมา ดวยเหตทุ ว่ี า มหาชน ชอบซือ้ \"สนิ คา\" ท่เี ปน ไปทํานองฤทธ์ิ มากกวา เหตผุ ลทางปรชั ญา ถา ศาสนาใด ดอ ยใน เรือ่ งน้ี ก็จะมีสาวก นอ ยทส่ี ุด จะไดแต คนฉลาด เทา น้นั ท่จี ะเขา มาเปน สาวก ถา เกดิ การแขงขัน ในระหวางศาสนา กเ็ หน็ จะเปน ฤทธิ์ อยางเดยี ว เทานน้ั ท่ีจะนําความ มีชยั มาสูตนได ในเมอ่ื ให มหาชนท้งั หมด เปนกรรมการตัดสิน คอื ใหพ วกเขา หนั เขามา เลื่อมใส และเพราะเหตนุ ีเ้ อง ใน บาลี จงึ มีกลา วประปรายถงึ ฤทธิ์ สว นในอรรถกถา ไดก ลา วอยา ง ละเอียดพสิ ดาร พระพทุ ธโฆษา จารย ไดก ลาว วิธฝี ก ฤทธ์ิ ไวใน คมั ภรี ว สิ ุทธิมรรค ซึง่ เปนหนงั สอื ทแ่ี ตง ขน้ึ เพ่ือเอาชนะน้ําใจ ชาวเกาะลังกา นับตงั้ แต พระสังฆราช แหง เกาะนน้ั ลงมา อันนบั วา เปนหนังสอื เลมสาํ คัญท่ีสดุ ของทานผนู ้ี และไดก ลา วไว ใน อรรถกถาขุททกนิกาย วา พระศาสดาของเรา ทรงแสดงฤทธิ์ หรอื ปาฏหิ ารยิ แขง กบั ศาสดานิครนถเดียรถีย อันเรียกวา ยมกปาฏหิ าริย และเลาเร่ือง พระศาสดา ทรงแสดงปาฏหิ ารยิ ยอยๆ อยา งอ่ืนอกี เปน อนั มาก น่ชี ใ้ี หเ หน็ ชัดทีเดียววา จะอยา งไรก็ตาม ไดมี การตอสู และ แขงขนั ในระหวาง เพอื่ นศาสดา ดวยใชฤ ทธ์ิ เปนเครอื่ งพิสูจน ตามความนยิ ม ของ มหาชน เปน แนแท ในยคุ นน้ั , แตนกั ตอสูนนั้ ๆ จะเปน องคพ ระศาสดาเอง ดังท่ที านผูนี้กลา ว หรอื วาเปนพวกสาวกในยคุ หลงั ๆ หรอื ยุคของทานผูกลาวเอง หรือ ราว พ.ศ. ๙๐๐ กอ็ าจเปน ได ทง้ั สองทาง อาจมผี แู ยงวา ถาเปน ยคุ หลงั ทําไมเรอื่ งนี้ จึงไปอยใู น บาลเี ดมิ เลา? พึงเขาใจวา บาลพี ระไตรปฎ ก ของเราน้ี ปรากฏวา มอี ยคู ราวหนง่ึ ซง่ึ ถูก ถา ยจากภาษาสงิ หล กลับสู ภาษาบาลี แลว เผา ตนฉบบั เดมิ เสยี และผทู ี่ทาํ ดังนี้ ก็คือ ทา นพระพุทธโฆษาจารย ผู เปน เอกอัคร แหง พระอรรถกถาจารย ทงั้ หลาย นั่นเอง, ทา นผูน ี้เปน พราหมณ โดย กาํ เนดิ จงึ นําให นกั ศกึ ษา หลายๆ คนเชอ่ื วา ถาเร่ือง ของ พราหมณ หลายเรอ่ื ง (เชน เรือ่ งนรก สวรรค เร่ืองพระราหู จบั พระอาทติ ย พระจนั ทร ในสังยตุ ตนิกาย เปนตน) ไดเขา มาปนอยู ใน พระไตรปฎ ก ถึงกบั บรรจุ เขา ใน พระพุทธโอษฐ กม็ ีนนั้ ตอ งเปน ฝม ือ ของทานผูน ี้ หรือ บคุ คลประเภท เดียวกับทา นผนู ้ี แตทท่ี านบรรจเุ ขา ก็ดว ย ความหวงั ดี ใหค นละบาป บาํ เพญ็ บุญ เพราะสมกับ ความเชื่อถอื ของคน ในคร้ังน้นั เพราะฉะนนั้ ถาหากวา พระ ศาสดา มไิ ดทรงสอน เร่อื งฤทธ์ิ หรอื เรือ่ งฤทธ์ิ มไิ ดเขาเก่ยี วขอ ง กับพุทธศาสนา ในคร้ัง พทุ ธกาลแลว มนั ก็นาจะ ไดเขาเกีย่ วของในครั้งนี้ เปนแน. ทา นผทู ่ีดึงเขา มา เก่ยี วขอ ง ก็ ไดทาํ ไป ดวยความหวงั ดี เพ่อื ให พุทธศาสนา อันเปน ทร่ี ัก ของทาน ตานทานอิทธพิ ล เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 58 / 90
ชุมนมุ เร่อื งสนั้ – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธ-์ิ ปาฏิหารยิ ของศาสนาอน่ื ซง่ึ กาํ ลังทว มทบั เขา มานน่ั เอง มิฉะนน้ั นากลัววา พทุ ธศาสนา จะเหลืออยู ในโลกนอ ยกวา ทีเ่ ปนอยู ในบัดนมี้ าก เมอื่ เหตผุ ลมีอยูดังน้ี ขอ ปญหาตอไป จึงมีอยูวา เราจะปรบั ปรุง ความคิดเห็น และความเชอื่ ถือ ใน เร่อื งฤทธ์ิ นอี้ ยา งไร ขา พเจา เหน็ วา ฤทธ์ิ เปน เพยี ง เครอื่ งประดับ หรอื เครอ่ื งมือ อยา งหน่งึ ซ่งึ พทุ ธศาสนา เคยใชประดบั หรือ ใชต านทานศตั รู มาแลว แตห าใชเ ปน เนือ้ แทของ พทุ ธวจนะ ซง่ึ กลาวเฉพาะ ความดบั ทุกข โดยตรงไม เพราะฉะน้นั เม่อื เราในบัดนี้ จะเขาเก่ยี วขอ ง กบั ฤทธิ์ อยา งดที ส่ี ุด ท่จี ะทาํ ได ก็เทากับ ทเ่ี ปน มาแลว น่ันเอง เราไมอ าจถือเอามนั เปนสรณะ อันแทจริง อยา งไรได เพราะเหตผุ ล ดงั ท่ี ขาพเจา จะไดแสดงตอไป ตามความรู ความเห็น ฝากทา นผูรู ชวยกัน พิจารณาหาความจริง สืบไป คําวา ฤทธ์ิ แปลวา เคร่อื งมือ ใหสาํ เร็จ ตามตองการ แตความหมายจํากดั แตเ พยี งวา เฉพาะ ปจ จบุ นั ทันดว น หรอื ช่วั ขณะเทาน้นั เมอ่ื หมดอาํ นาจ บงั คบั ของฤทธิ์ แลว สงิ่ ทง้ั ปวง กก็ ลบั คนื เขาสูส ภาพเดมิ ผูม กี ําลังจิตสงู ยอมแสดงฤทธ์ิ ไดส ูง จนผูท่มี ฤี ทธดิ์ วยกัน ตอ งยอมแพ เพราะมี อาํ นาจใจ ตา่ํ กวา จติ เปนธรรมชาติ อันหน่ึง ซึง่ เมื่อไดมีการฝก ใหถ ูกวธิ ี ของมนั แลว ยอมมี อํานาจมากพอ ท่ีจะครอบงาํ ส่ิงทงั้ หลาย ทมี่ ีจิตใจ ดว ยกัน ไดหมด ชางปา ดรุ า ย และนา อนั ตราย มาก ถา เราไมได คน พบ วธิ ฝี ก มันแลว กไ็ มอ าจ ไดรับประโยชน อะไร จากมันเลย คนเรา ทร่ี ูจกั คิดวา ชางน้ี คงฝก ได อยางใจ และคนพบ วธิ ฝี ก บางอยา ง ในขน้ั ตน ก็นบั วา เปน ผูท ่ที าํ ส่งิ ทย่ี าก มาก แตผ ทู ค่ี น พบ เรือ่ งของจติ และ วธิ ฝี ก มัน โดยประการตางๆ น้ัน นับวา ไดท าํ ส่ิง ทีย่ าก มากกวา น้นั ขึ้นไปอกี ในยคุ ดึกดาํ บรรพ เม่ือไดม ีการสนใจ ในเร่ืองจิตกันข้นึ นักจติ ศาสตร ไดพ ยายาม ทดลอง โดย อาการตางๆ แยกกนั ไป คนละสาย สองสาย จนในท่ีสดุ ก็ไดล ุถึง คณุ สมบัติ อันสงู สุด ท่จี ิต ทเี่ ขา ฝก ถึงท่ีสุด ในแงน ้ันๆแลว สามารถจะ อํานายประโยชน ใหได อนั จําแนกได โดยประเภทหยาบๆ คอื (๑) เขา ถึงธรรมชาติ ที่เรยี กวา ทิพย แลว หา ความเพลดิ เพลิน จากสิ่งท่ีเรยี กวา วสิ ยั ทิพย นน้ั ๆ (๒) มีอาํ นาจบงั คบั ทางจติ สาํ หรับบงั คับจิต ของเพอ่ื นสตั ว ดวยกัน เพือ่ เอาผล เชน นั้น เชน น้ี ตามความปรารถนา (๓) สามารถรูเร่ือง เกี่ยวกบั สากลจักรวาล พอท่จี ะใหตน หมดความอยากรู อ ยากคน ควา อกี ตอไป เพราะตนพอใจ ในความรนู ้นั ๆ เสยี แลว (๔) สามารถปลงวาง สลัดออกเสยี ซึง่ ความทุกข ทางใจ อันไดแ ก ลัทธศิ าสนา ทีเ่ ก่ียวกบั ความ ดบั ทกุ ข ในจติ ท้ังมวล นบั ต้ังแต สุขใน ฌาน สมาธิ มรรค ผล นพิ พาน เปน ลําดบั ๆ เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 59 / 90
ชุมนุมเรอื่ งสน้ั – พุทธทาสภิกขุ ฤทธ์ิ-ปาฏิหาริย พวกใด ดําเนนิ สายแหงการคน ควาของเขา เขาไปในดงรกแหง ฤทธวิ์ ธิ ี ยอ มไดผลใน สองประเภท ขา งตน (ขอ ๑-๒) พวกท่ีดาํ เนนิ ไป เพื่อฟน ฝา รกชฏั แหง ตัณหา อันเปน กอนหินหนัก แหงชีวิต กไ็ ด ผลประเภทหลัง (ขอ ๓-๔) พวกแรก คือ พวกฤทธิ์ พวกหลัง คอื ศีลธรรม และ ปรัชญา ในทางจิต ทัง้ สองประเภทน้ี เปนท่ีนิยม ของมหาชน อยางคเู คยี ง กนั มา ในยคุ ทค่ี วามนิยม ในทาง จติ ศาสตร ยงั ปกคลุม ดนิ แดน อนั เปนทเ่ี กดิ ขนึ้ แหงวิชาน้ี คอื ชมพทู วีป หรอื อินเดยี โบราณ มหาชนในถ่ินนั้น ตางไดรบั ผล สมประสงค กนั ท้ัง ฝา ยฤทธ์ิ และ ฝา ยความพน ทกุ ข ของจิต แตใ น ท่ีน้ี จะไดกลาวเฉพาะ เรอ่ื งฤทธิ์ อยา งเดยี ว งดเรือ่ งของความพน ทกุ ข ซ่งึ เปน อีกเรือ่ งหนงึ่ เสยี ผูท่ีฝก ใจตามวธิ ที คี่ น ควา และ สงั่ สอนสืบๆ กันมา หลายชั่วอายคุ น ไดถ ึงขีดสุด อยา งถกู ตอ งแลว สามารถบังคบั ใจตนเอง ใหเ ปน เชนน้นั เชนน้ี อันเก่ียวกับ รูป เสียง กลนิ่ รส สมั ผัส และ ความรสู ึกในใจ อันเกดิ ข้นึ จาก รูป เสยี ง เปนตน นน้ั ๆ แลว ฝกวธิ ี ทจี่ ะสงกระแสจติ นน้ั ๆ ไป ครอบงํา จติ ผอู น่ื ใหผอู ื่นรูสกึ เชน นนั้ บา ง ในทางรูป เสยี ง กลน่ิ ฯลฯ ทกุ ประการ ผทู ม่ี ีกาํ ลงั จิต ออ นกวา ทกุ ๆ คน แมจ ะมี จํานวนมากมาย เทา ใด กจ็ ะรูสึกทางตา หู จมูก ล้นิ กาย เชนเดียวกนั หมด เพราะใจของเขา ถูกอํานาจจติ ของผูทสี่ งมา ครอบงาํ เขาไว ครอบงํา เหมือนกันหมด ทุกๆ คนจึงไดเเห็น หรือ ไดย ิน ไดดมตรงกันหมด เชน แผน ดนิ ไหว นํา้ ทวม บานเมืองทีง่ ดงาม ฯลฯ ตามแตท ่ีผอู อกฤทธ์ิ ไดสรางมโนคติ ข้นึ ในใจ ของเขา แลว สงมาครอบงํา อาํ นาจครอบงาํ อนั น้ี เปนไปแนบเนยี น สนทิ สนม ผูท่ถี กู งาํ ไมมโี อกาสรสู ึกตัวในเวลานน้ั วา ถูกครอบงาํ ทางจิต และ สิง่ ท่รี ูสึกนัน้ ไมใชข องจริง เมอ่ื เรานอนหลับ และ กําลังฝนอยู เราไมอาจรตู ัววา เราฝน เรากลวั จริง โกรธจริง กําหนดั จริง ฉนั ใด ในขณะท่ี เราถกู งาํ ดวยอํานาจฤทธิ์ กร็ สู ึกวา เปนเชน นนั้ จริงๆ ทุก อยา งฉนั นั้น ผอู อกฤทธิบ์ างคน สามารถออกอํานาจบังคับ เฉพาะคน ยกเวน ใหบ างคน คนในหมูนน้ั แมน ง่ั อยู พรอ มกนั ในท่เี ดยี วกนั จึงเหน็ ตา งๆกนั ดังเราจะไดย ิน ในตอนที่ เกย่ี วกับ พระศาสดา ทรมานคน บางคน ทีเ่ ขา ไปเผา พระองค ในทีป่ ระชุมใหญ และพระองค ทรงบนั ดาล ดวย อิทธาภิสงั ขาร เฉพาะผูน นั้ ใหเห็น หรือ ไดย นิ อยา งนี้ อยา งนัน้ เพ่ือทําลาย ทิฎฐิ หรือ มานะ บางอยาง ของเขา เสีย เม่อื ผทู ีท่ ําการตอสกู นั ตางกม็ ีฤทธ์ิดว ยกัน น่ันยอมแลว แต อํานาจจิต ของใคร จะสงู กวา หรือ มี กาํ ลังแรงกวา เม่ือผมู ฤี ทธิ์ ฝายหนึ่ง ไดบ ันดาล ใหท ุกๆ คนในทน่ี ัน้ เหน็ ภาพ อันนา กลัว มา คกุ คาม อยูต รงหนา เชน นัน้ ๆ แลว ถา หาก อีกฝายหนึ่ง มีอาํ นาจจิต สงู กวา กอ็ าจรวบรวม กําลงั จิตของตน เพิกถอนภาพ อันเกดิ จาก อํานาจฤทธิ์ ของฝายแรก กวาดใหเกลี้ยง ไปเสยี จาก สนาม แหงวิญญาณ แลว บันดาล ภาพอนั นา กลัว ซ่งึ เปน ฝา ยของตน ข้ึน คกุ คาม บา ง แมว า ในขณะท่ี คนน้นั ๆ ถูกอาํ นาจฤทธ์ิ ครอบงํา อยู และ เขาไมอ าจทราบวา น่ันเปน กาํ ลงั ฤทธ์ิ ดจุ ตกอยใู น ขณะแหงความฝน ก็ดี เขายงั ไดร ับการศกึ ษา และความเช่ือ มากอ นแลว วา มีวธิ ี ท่จี ะตอ สู เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 60 / 90
ชมุ นมุ เร่ืองส้นั – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธิ-์ ปาฏิหารยิ ตา นทาน ซงึ่ เปน การเพิกถอนฤทธ์ิ ของฝายหนงึ่ เชนน้นั ๆ ดวย จงึ โตต อบ กนั ไปมา จนกวา ฝาย ใด ฝายหนึ่ง จะสิ้นฤทธ์ิ ในรายทีไ่ มได ท ําการตอสู ประหตั ประหาร กนั โดยตรง แตต อ สู เพือ่ แขงขัน ชงิ เกยี รตยิ ศ อยา งใด อยา งหนึ่ง เพ่ือเรียกเอา ความเล่อื มใส ของมหาชน มาสู พวกของตวั นั้น กท็ าํ นองเดยี วกัน คือ มี การตา นทาน เพื่อมิให อีกฝา ยหนึง่ แสดงฤทธิ์ ของเขาไดสมหมาย ซ่งึ ถา หาก การตา นทาน น้นั สําเร็จ ฝา ยโนน ก็แพ แตต น มอื ถาตานทานไมสาํ เรจ็ กต็ อ งหาอบุ าย กวาดลาง อาํ นาจฤทธิ์ ในเม่ือ ฝา ยหนงึ่ ไดส ง มาแลว ซ่ึงถา ยังทําไมไ ดอ กี ตนกต็ กเปน ฝายแพ ฤทธิ์ของผทู ี่มี ดวงใจบรสิ ุทธิ์ เปนอริยบคุ คล ยอมมกี ําลังสูง และหนักแนน ยง่ั ยืนกวา ของฝา ยที่ยังเตม็ ไปดวยกเิ ลส เปน ธรรมดา เพราะเหตวุ า จิตของผูมีกเิ ลส ถูกกเิ ลสตดั ทอน เสยี ตอนหน่งึ แลว ยังอาจที่จะ งอนแงน คลอนแคลน ได ในเมอื่ อิฎฐารมณ หรอื อนิฎฐารมณ มากระทบ ในขณะที่ ตอ สกู ันน้ัน อกี ประการ หน่งึ ผไู มม กี เิ ลส ยอมไมทาํ เพราะเหน็ แกต ัว จึงมีกําลัง ปต ิปราโมทย ความเชอ่ื และ อ่ืนๆ ซึง่ เปน ดจุ เสบยี งอาหาร ของฤทธิ์ มากกวา ยอ มไดเ ปรียบ ในขอ น้ี ในรายที่ไมม ีการตอ สูกนั เปน เพยี งการทรมาน ผทู ี่มกี ําลงั ใจ ออนกวา แตมีมานะ หรือ ความ กระดา ง เพราะเหตบุ างอยาง ยอ มเปนการงา ยกวา ชนดิ ทตี่ อ สูก นั คนธรรมดา สตรี เดก็ ๆ เพียงแตอ าํ นาจสะกดจติ ช้ันตา่ํ ๆ ซ่ึงยงั มีเหลอื ออกมา ถึงสมัยปจ จุบันนบ้ี าง กอ็ าจทีจ่ ะเปน อาํ นาจ งํา ใหตกอยใู ต อาํ นาจของผูแสดง นั้นได เสียแลว แมว า สมัยนี้จะเปน สมัย ที่ไมคอยมีใครเชอ่ื ใน เร่อื งน้ี และทัง้ ผูฝ ก ก็มิไดเ ปน \"นกั \" ในเรือ่ งน้ี อยา งเอาจรงิ เอาจงั ก็ในสมยั โบราณ คนทุกคนเชอ่ื ในเรอื่ งฤทธิ์ และผฝู ก กฝ็ ก อยางเอาจริง เอาจงั เรอ่ื งของฤทธิ์ จงึ เปน เร่ืองท่ีแนบเนียน และเปน เร่อื งจริง ไดอยา งเตม็ ท่ี ในสมยั น้ัน ความท่ีทุกคนเช่อื ก็ดี ความทผี่ ฝู ก เองกเ็ ช่ือ และตงั้ ใจฝก เปน อยางดี ก็ดี ลวนแตเ ปน ส่ิงสงเสริม ในเร่อื งฤทธ์ิ ใหเปน เรอื่ งจริง เรื่องจงั ยิง่ ขนึ้ ไปอกี เราอาจกลา ว ไดว า ในยุคโบราณยคุ หนง่ึ ความเช่อื ในเรอื่ งน้ี มีเตม็ รอยเปอรเซน็ ต อิทธพิ ลในเรอ่ื งฤทธิ์ จึงมไี ด เตม็ รอยเปอรเซน็ ต เพราะมนั ถกู ฝา ถกู ตัว แกกัน คร้นั มาบัดน้ี ท้ังความเชื่อ และการฝกฝน มี เหลอื นอ ย ไมถ งึ หา เปอรเ ซน็ ต เลยกลายเปน เรอื่ งเหลวไหล เสยี เกาสิบหา เปอรเซน็ ต บางที มี แตต วั ไมม ฝี า บางทีมีฝา แตไ มม ีตวั ตา งฝา ย ตา งก็ข้ีเกยี จเก็บ เลยทง้ิ ให คอยหาย สาบสูญไป ความย่ัวยวน อันเกิดจากฝม ือ ของนักวทิ ยาศาสตร แผนปจ จุบัน กาํ ลังมอี ิทธพิ ล มากข้ึนๆ ในอนั ทีจ่ ะ ใหจติ ของคนเรา ตกตาํ่ ออนแอ ตอ การท่ีจะบังคบั ตวั เอง ใหว างโปรง เพอ่ื เปนบาทฐาน ของ ฤทธ์ิ ได เมอ่ื วา งผูแสดงฤทธ์ิ ได นานเขา ความเชื่อในเรื่องนี้ ก็สาบสูญไป ทั้งของผทู จ่ี ะฝกและ ของผูท ี่จะดู บัดน้ี จะยอนกลบั ไปหาเร่อื งของการฝก เพอ่ื ใหเ ขาใจในเรอ่ื งนีด้ ขี ้ึน (มิใชเพือ่ รอ้ื ฟน ข้ึนฝก กัน) ผทู ่ี จะฝกในเรอื่ งฤทธ์ิ ตอ งเปนผูท่มี ใี จ เปน สมาธงิ าย กวาคนธรรมดา เพราะเรื่องน้ี มิใชเ ปนสาธารณะ สาํ หรับคนทวั่ ไป แมผูท ีเ่ ช่ือและตั้งใจฝกจรงิ ๆ ถึงฝกสมาธไิ ดแลว ทานยงั กลาววา รอยคนพันคน จงึ จะมสี กั คนหน่งึ ที่จะเขยบิ ตวั เอง ข้นึ ไป จนถงึ กับ แสดงฤทธไิ์ ด การปฏิบตั ิ เพื่อรอู รยิ สัจ หลดุ เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 61 / 90
ชุมนมุ เรอ่ื งสั้น – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธ์ิ-ปาฏิหารยิ พน ไปจากทุกขไ ด เสียอกี ท่เี ปนสาธารณะกวา! คนบางประเภท หลุดพน จากทุกขไ ด ดวยเหตผุ ล ท่ีแวดลอ มเหมาะสม จูงความคดิ ใหต กไป ในแนวแหง ความเบอื่ หนา ย และปลอยวางได โดยไม ตอ งเกีย่ วกบั การฝก สมาธเิ ลย จึงกลาวยาํ้ เพื่อกนั สงสยั ไดอ ีกคร้ังหนงึ่ สาํ หรับคนธรรมดา เราๆ การฝกเพอื่ พระนพิ พาน เปนของงา ยกวา ทีจ่ ะฝก ในเรอ่ื งฤทธิ์ ใหไดถ ึงทีส่ ุด ยงิ่ ถาจะฝกเพือ่ ทัง้ ฤทธ์ิ และพระนิพพาน ท้ังสองอยางดวยแลว กย็ ่ิงยาก มากข้นึ ไปอกี ในหมูพระอรหนั ต ก็ยงั มแี บง กันวา ประเภทสุกขวปิ สสก และประเภทอภิญญา คอื แสดงฤทธิไ์ มไ ด และแสดงได ผูฝ ก สมาธิ เพอ่ื มรรคผลนพิ พานนั้น เม่อื ใจเปน สมาธแิ ลว กน็ อ มไปสู การคดิ คน หาความจรงิ ของ ชวี ติ หรอื ความทนทกุ ข ของสตั ว วา มอี ยูอ ยางไร เกดิ ขึน้ อยางไร จะดับไปไดอยางไร เปน ตน สว นผูทฝ่ี ก เพ่ือฤทธิ์นั้น แทนทจ่ี ะนอมไปเพ่ือคดิ คน หาความจรงิ เขากน็ อ มสมาธิ น้ันไปเพ่ือ การ สรา งมโนคติ ตางๆ ใหชํานาญ ซง่ึ เปนบทเรยี น ทยี่ ากมาก เม่ือเขาสรา ง ภาพแหงมโนคติ ไดด วย การบังคบั จิต หรือวิญญาณของเขา ไดเ ด็ดขาด และ คลอ งแคลว แลว ก็หดั รวมกําลงั สงไป ครอบงาํ สิ่งทีอ่ ยูใ กล จะขยายวงกวา ง ออกไปทุกที เพอื่ ให ภาพแหง มโนคติ นน้ั ครอบงําใจ ของ ผูอ่นื ตามท่ี เขาตอ งการ ความยากทสี่ ดุ ตกอยูทต่ี นจกั ตอ ง ดําเนินการ เปลีย่ นแปลงภาพ น้ันๆ ใหเ ปนไป ตามเรื่องท่ตี อ งการ ดุจการฉายภาพยนตร ลงในผนื จอ แหงวิญญาณ ของผูอ ื่น จงึ เปน การยากกวา การท่ีเจริญสมาธิ เพอ่ื สงบน่งิ อยูเฉยๆ หรอื คดิ เร่อื งใด เร่อื งหนง่ึ แตเ ร่อื งเดียว โดยเฉพาะ แตอยา งไรก็ดี ความลําบาก นัน้ ๆ มิไดเปนสิง่ ท่ี อยูนอกวิสัย เพราะเมอื่ จติ ไดถ กู ฝก จนถึงขีด ทีเ่ รยี กวา \"กัมมนีโย\" นมิ่ นวล ควรแก การใชง านทุกๆ อยางแลว ก็ยอ มใชไ ด สม ประสงค ฤทธต์ิ ามที่กลา วไว ใน นิทเทสแหง อภิญญา ของฝา ยพุทธศาสนานนั้ ดคู ลายกบั ยืมของใครมาใส ไว เพ่ือแสดง ความสามารถของจิต อนั สูงสดุ ประเภทนี้ ใหครบถว น นอกจาก ไมเปนไป เพื่อ ความพนทกุ ข โดยตรงแลว ยงั ไมค อ ย ตรงกับ อาการท่ี พระพุทธองค ทรงแสดงอยูบา ง ในบาง คราว ในบาลไี มไ ดแ สดงวิธฝี ก ไมไ ดแสดงวแี่ วววา ควรฝก หรือจาํ เปน และไมค อยปรากฏวา พระ มหาสาวกองคได ไดร บั ประโยชน หรอื ใชใหเ ปนประโยชน อยางใดอยา งหนึ่ง จงึ นาํ ความเขา ใจ ให เกดิ ขน้ึ วา ถาหากวา เร่อื งอภญิ ญาเหลาน้ี มใิ ชเปน เรื่องที่กลาว เพอื่ แสดง คณุ สมบัตขิ องจิต ที่ฝก แลว ถึงที่สดุ ใหค รบถว นเทา นัน้ ไมใ ชเร่ืองจาํ เปน ของพระสาวกเลย เมอ่ื เปน เชน นี้ การฝกก็ เปน อนั วา ตองตางกนั ดว ย ไมมาก กน็ อ ย จากวิธที ่ีเขาฝกกัน ในสายของฤทธ์โิ ดยตรง เพราะเรอ่ื ง โนน เปนเรื่องของ ผูขวนขวาย เพือ่ เสียสละ มใิ ชเ รอื่ งของ ผูขวนขวาย เพ่ือรบั เอา ในพระบาลี กลาวแตเ พยี งวา เมอ่ื จติ เปน จตตุ ถฌาน คลอ งแคลว ดแี ลว กน็ อมไปเพอื่ อภญิ ญา เชน น้นั ๆ สาํ เร็จได ดว ยอาํ นาจ จตตุ ถฌาน น่นั เอง เมอ่ื การนอมน้ันๆ สาํ เรจ็ ก็จะสามารถทําได เชน น้ันๆ ดู เหมือนวา ถา นอมไปเพือ่ อภิญญานนั้ ๆ ไมสําเรจ็ ก็นอ มเลยไป เปน ลําดับๆ ขา มไปหา การคดิ คน เรอื่ งอริยสจั เลยทีเดยี ว คลา ยกบั วา มไี วเ ผื่อเลอื ก หรือ สําหรบั คน ทม่ี ีอุปนิสยั บางคน ในบาลบี าง แหง ไมมีกลา วถึง อภญิ ญาเลย เมือ่ กลาวถึง จตตุ ถฌานแลว ก็กลาวถงึ วิชชาสาม คือ ระลกึ ถึง ความเปนมา แลว ของตนในอดตี ความวงิ่ วนของหมูสตั ว ในสังสารวฎั และเหตุผล เรอื่ ง อริยสจั เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 62 / 90
ชมุ นุมเรือ่ งสนั้ – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธ์-ิ ปาฏหิ าริย เปนที่สดุ พระบาลี ชนิดหลงั น้ี มีมากกวา ทกี่ ลา วถงึ อภญิ ญา และทก่ี ลาวถงึ จตตุ ถฌาน แลว กลาวอรยิ สจั เสียเลย กม็ มี ากกวา มาก ในอรรถกถาซง่ึ เปน คําอธิบายของพระบาลี ก็มิไดกลาววธิ ฝี ก ฤทธิน์ ัน้ ๆ มักแกในทางศพั ท ทางขอ ธรรมะแทๆ หรือ มฉิ ะน้ัน กท็ างนยิ ายเลยไป แตไ ดท า ใหคน ดู เอาจาก คมั ภรี วสิ ุทธมิ รรค เพราะ ผู รอยกรอง อรรถกถา กับผแู ตงวสิ ทุ ธมิ รรค เปนคนเดยี วกนั หรอื วิสทุ ธิมรรคมอี ยแู ลว กอนการ แตง อรรถกถาน้นั ๆ ในคัมภรี ว ิสทุ ธมิ รรค มเี ร่อื งของการฝก ฤทธอ์ิ ยา งพิสดาร จนกลา วไดว า ไมมคี มั ภีรใ ด มพี สิ ดาร เทา ในวงของ คมั ภีรฝา ยพุทธศาสนา ดวยกนั เพราะความพสิ ดารนั่นเอง จาํ เปน ท่ขี าพเจา จะตอง ขอรอ ง ใหทา นพลิกดู ในหนงั สอื ชือ่ น้นั ดว ยตนเอง ดว ยวา เหลือทจ่ี ะ นํามาบรรยาย ใหพสิ ดาร ในทน่ี ีไ้ ด เม่ือกลา วแต หลกั ยอๆ กค็ อื ขน้ั แรก ทานสอน ใหห าความชาํ นาญ จรงิ ๆ ในการเพงสี ตางๆ และวตั ถุ เชน ดนิ น้าํ ไฟ ลม จนติดตาตดิ ใจ เพอื่ สะดวกในการ สรางภาพแหงมโนคติ ใน ขัน้ ตอไป อันเรยี กวา เพงกสิณ ซ่งึ เปน ส่งิ มมี า กอ นพุทธกาล มิใชส มบัติ ของพระพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะ ผเู พงตอ ฤทธิ์ ตอ งหนักไปใน การฝก กสิณ เทากบั ผูเพง ตอ พระนิพพาน หนกั ไปใน การฝก แหง อานาปานสติ และกายคตาสติ เปน ตน ดนิ น้ํา ไฟ ลม คอื สวนผสมของส่งิ ตา งๆ ใน โลก หรอื กลา วอกี อยา งหนงึ่ กว็ า โลก เทาที่ปรากฏแก ความรูสึก ของคนทวั่ ไป ก็คือ ดนิ น้าํ ไฟ ลม นน่ั เอง เม่อื สิง่ เหลาน้ี ตดิ ตา และติดใจ จนคลอ งแคลว พระโยคนี นั้ กอ็ าจสราง มโนคตภิ าพ อนั เกยี่ วกับเรอ่ื งราวตางๆ ไดท ัว่ ไป ทกุ อยาง กสิณ จงึ จําเปน อยา งย่งิ สําหรับผูศึกษา ในฝายฤทธิ์ สขี าว สีเขยี ว และสตี างๆ ก็ทํานองเดยี วกนั เปนสีของสงิ่ ทั้งหลาย บรรดามี ในโลกน้ี การฝก อทุ ธุมาตกอสุภ คือ การเพงจาํ ซากศพ ที่ตายไดส หี่ าวนั กาํ ลงั ขึน้ พองเขยี ว จนตดิ ตา และขยาย สัดสว น ใหใหญเ ล็ก ทํานองยอ และ ขยายสเกล อยไู ปมา ตลอดจน ใหลกุ เดิน เคลื่อนไหวได ตา งๆ จนติดตา ตดิ ใจ ชาํ นาญ ทกุ ประเภท เชนน้ี ชว ยใหป ระสาท ของผูน้นั เขมแขง็ ตอ ความ กลัว จนมใี จ ไมหวั่นไหว ไดจริง ในทีท่ ัง้ ปวง ทง้ั ชวยสง เสริม ในการสราง มโนคติ ในเรอ่ื งกล่นิ เปนตน ไดเ ปน พิเศษ รวมความวา ในข้ันแรก ตองฝก การอดทน การบงั คับใจ ของตนเอง ใหอยใู น มอื จริงๆ การชํานาญ สรา งภาพ ดวยใจ อยา งเดียว ตลอดถึง ความกลา หาญ ความบกึ บนึ หนกั แนน ของประสาท ทงั้ ส้ิน เม่ือชาํ นาญใน ขั้นน้แี ลว จงึ ฝก การสง ภาพ ทางใจ หรอื ทเี่ รียกวา อธิษฐานจิต เพอ่ื ความเปน เชนน้ี เชน นัน้ ครอบงาํ ผูอ่นื ถาหาก มีความชาํ นาญ และกลา แข็งพอ อาจทีจ่ ะ บันดาลให คนทง้ั ชมพูทวปี รสู กึ หรือเห็น เปน อันเดียวกนั หมดวา ภเู ขาหมิ าลยั ซง่ึ เคยอยู ทางทิศเหนอื นน้ั บดั นี้ได ขยับเลอื่ น ลงมาอยู ทางทศิ ใต หรอื กลางมหาสมุทรอินเดยี เสียแลว เปน ตนได แตเ พราะ ความท่ี อํานาจใจ น้ันๆ ไมพ อ จงึ เทา ที่ เคยปรากฏ กนั มาแลว มีเพยี ง ในวงคน หมหู น่ึง หรือ ช่ัวขณะ หนงึ่ เทาน้นั สมตาม ทช่ี ือ่ ของมัน คือคําวา ฤทธิ์ ซ่งึ แปลวา เครอ่ื งมือชว ย แกอ ปุ สรรค ใหส าํ เรจ็ กะทันหัน ทันอก ทันใจ คราวหนึ่ง เทา น้ัน เพราะวา แมห าก พระโยคอี งคใ ด เคลอ่ื น ภูเขาหิมาลยั เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 63 / 90
ชมุ นมุ เรอ่ื งสั้น – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธ-์ิ ปาฏิหารยิ ไดดว ย อํานาจฤทธ์ิ เมือ่ ทา นคลายฤทธ์ิ หรือตายเสยี ภเู ขาหิมาลัย กจ็ ะ วิ่งกลบั สทู ่ีเดมิ เทานนั้ เอง นักโทษ ทม่ี ฤี ทธ์ิ อาจบันดาล ใหเขา เหน็ ตน เหาะลอย อยใู นอากาศได แตยอม ไมอาจท่ีจะ ทําลาย เคร่ืองจองจํา นัน้ ได ถาหากมนั เปนเครื่องมือ ทีแ่ นน หนา แขง็ แรงพอ แตนกั โทษผนู ั้น มี ทางทจี่ ะใช ฤทธน์ิ นั้ ใหเ ปนประโยชน แกต น หรอื มีโอกาส ใหอบุ าย อนั ใด อันหนึ่ง หรอื เขาสั่ง ปลอ ย เพราะ กลวั อภนิ ิหาร ของตน เม่ือตนคลอ งแคลวใน การอธษิ ฐานจติ แผม โนคตภิ าพ ไปครอบงํา สตั วอ ่ืน ไดเ ชน นี้ กเ็ ปนผูมีฤทธิ์ แตจ ะมากหรือนอย ยอมแลว แต ความสามารถ ของตน เม่ือมาถึงตรงน้ี กอ นแตจะจบ ควรยอ นกลบั ไป พิจารณาถงึ เรอื่ งฤทธิน์ ี้ กนั มาใหม ต้งั แตตน อีก สักเลก็ นอ ย แตพจิ ารณากัน ในแงแ หง ประวตั ศิ าสตร ของวิชา ประเภทน้ี วิชาเร่อื งนี้ ฟก ตวั มนั เอง ขนึ้ มาไดด วย ความอยากรู และ อยากเขาถึง อํานาจบางอยา ง ซึ่งอยเู หนอื คนธรรมดา มนั เปน ความอยาก ทเี่ กิดข้ึน โดยบงั เอิญของ คนบางพวก ที่อตุ ริ เช่ือวา จิตน้ี แปลกประหลาดมาก นาจะมี คณุ สมบัติพิเศษ บางอยาง ซง่ึ เมื่อผูใด อตุ สา หฝก ฝน จนรูเทา ถงึ แลว อาจเอาชนะ คนทรี่ ู ไมถงึ ได เปนอันมาก ความคิดน้ี เปนเหตใุ ห ยอมพลเี วลา ตลอดทง้ั ชวี ิต เพ่อื การคน ควา ทดลอง อนั เรยี กวา บาํ เพญ็ ตบะ ในยคุ ท่ีคนเราถอื พระเปน เจา ยอมหวงั ความชว ยเหลือของ พระเปนเจา อยางเต็มที่ ดวยอาํ นาจสมาธิ ท่มี ตี อ สงิ่ ท่ี เขาเช่อื วาเปน พระเปน เจา นั่นเอง ท่ไี ดเ ปน บาทฐาน ใหเขาพบ วี่แวว ของฤทธิ์ ในคร้ังแรก สักเล็กนอย และ เปนเงอื่ น ให คนชน้ั หลงั ดาํ เนินตาม หลายสิบชวั่ อายคุ น เขา คนที่ตงั้ ใจจริง เหลา นั้น กไ็ ดพบ แปลกขนึ้ เปน อันมาก จน ปะตดิ ปะตอ เขาเปนหลัก เปน เกณฑ สาํ หรบั สง่ั สอนกัน เมือ่ วชิ าน้ี ถูกแพรขาวรมู าถงึ คนในบา น ในเมอื ง ก็จูง ใจ พวกชายหนุม นกั รบ หรอื กษตั รยิ ใหอ อกไป ขอศกึ ษาจาก พวกโยคนี ้นั ถงึ ในปา มีเรอื่ งเหลือ เปน นิยาย อยูตามท่ี หนงั ตะลุง มกั เลนกัน โดยมาก คนปา หรอื ยักษบางตน กม็ คี วามรู ความสามารถ ในเรอื่ งนี้ เทา หรอื มากกวา คนบา น หรือ มนุษย ถงึ กบั รบกนั และ ผลดั กันแพ ผลดั กันชนะ พวกเทวดาหรือ พวกท่ีเอาแต เลนสนกุ ไมป รากฏวา มีฤทธ์ิ เพราะสมาธิ ไมคอยดี กระมงั ในตอนแรกๆ ผูมฤี ทธ์นิ ั้น คนควา กนั เพยี ง ข้นั ที่สาํ เร็จ สมความตอ งการ ไมไ ดคน ถึง เหตผุ ล ของฤทธ์ิ ไมเ ปน นกั ปรชั ญา หรอื ทฤษฎใี นเรอ่ื งน้ี แตเปนเพียงนักปฏิบตั กิ าร ตามทีส่ ง่ั สอน สบื ๆ กันมา ขณะเม่ือ ในอินเดีย กําลงั รงุ เรอื ง ดว ยวิชา ประเภทน้ี ทางฝา ยยโุ รป ไมม คี วามรู ในเรือ่ งน้ีเลย เมอ่ื ทางอนิ เดียเสื่อมลง ทางยโุ รป ไดรบั เพยี ง กระเซน็ กระสาย เลก็ นอ ย ไมพ อท่ีจะ รงุ เรืองดว ย จิตวทิ ยา ประเภทนี้ อยางอินเดียได มแี ตฤ ทธิ์ ของซาตาน หรอื มาร เพยี งเลก็ นอย ซ่งึ ไมมพี ษิ สง อะไรนัก และเปน เร่อื ง ทางศาสนา มากกวา เมอื่ วิชานี้ ไดเ ส่อื มลง ในอนิ เดียแลว ในทางปฏิบตั ิการ แตทางนยิ าย ยงั มีเหลืออยู ไมส าบสญู และ ยง่ิ กวานัน้ ที่แนนอนทส่ี ดุ คอื ไดถกู คนชนั้ หลัง ตอเติม เสรมิ ความ ใหว ิจิตร ยิง่ ข้นึ ไป จนคนชั้น หลัง ในบัดน้ี ปอกเปลือก ตง้ั หลายชนั้ แลว กย็ ังไมถงึ เยอ่ื ในไดเลย ความเดา ทาํ ใหขยาย ความ จรงิ ใหเชือ่ ง จนฤทธิ์ ซง่ึ เปน เพียงวชิ า สาํ หรบั ใชแก อุปสรรค กะทันหนั เลน ตลก กับคนท่ีรไู มถ งึ เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 64 / 90
ชุมนุมเรือ่ งสั้น – พุทธทาสภกิ ขุ ฤทธ-์ิ ปาฏหิ าริย กลับกลาย เปน เร่อื งจรงิ แทๆ ไป ดจุ เดียวกับ เรอื่ งทางวัตถอุ ืน่ ๆ คนในชน้ั หลงั เปนอันมาก เชอ่ื วา อะไรทุกๆ อยางจรงิ ตามน้ัน ทงั้ ทีต่ นตอบไมไดว า ถาจรงิ เชนนนั้ ทาํ ไมเวลาปรกติ ผมู ฤี ทธ์ิ ยงั ตอ ง เดนิ ไปไหน มาไหน ไมเหาะ เหมอื นคราวท่ี แสดงฤทธิ์ แขง ขัน ทําไมตอ งทาํ นา ทาํ สวน หรอื ออกบณิ ฑบาต ขอทาน ไมบ นั ดาล เอาดว ยฤทธิ์ เปนตน ฤทธท์ิ ่ีเคยเปน เพียงการลองดี กันดวย กาํ ลังจิต กก็ ลายเปน เร่ืองทางวตั ถุ หนักขน้ึ จนคนบางคนในชั้นหลงั หวงั จะมฤี ทธิ์ เพอื่ ใหห า เหยอ่ื ใหแ กตน ตามกิเลสของตน ผลท่ไี ดร บั ในทีส่ ดุ กค็ อื การวิกลจริต! สรปุ ความส้นั ๆ ท่ีสดุ ในเรอื่ งฤทธ์ิ ท่ีไดกลา วมา อยางยืดยาว น้ี ก็คอื วา ฤทธ์ิ เปน เพยี ง คณุ สมบัติ พิเศษ สว นหนึ่งของจติ เทา นน้ั เร่อื งของจติ อนั นเี้ ปน พวกนามธรรม จะใหส ําเรจ็ ผล เปนวตั ถุ ไมได เชนเดียวกับวัตถุในความฝน มันจะเปน วัตถุอยู ก็ช่วั เวลา ทเี่ ราไมตื่น จากฝน เทา นัน้ ของที่ นฤมติ ข้นึ ดวยอาํ นาจฤทธ์ิ สําเรจ็ ประโยชน ชว่ั เวลา ท่คี นเหลาน้นั ยังตกอยูใต อํานาจจิต ทเี่ ปน ตัวออกฤทธิ์ เพราะวา สงิ่ ทง้ั หลาย ทีเ่ ราเรยี กกันวา โลกน้ีกต็ าม ถา มีอะไร มาดลบนั ดาล ใหจิต ของเรา ทกุ คน วปิ รติ เปน อยางอ่นื ไป โลกนี้กจ็ ะปรากฏ แกเรา อยา งอืน่ ไปทนั ที ดุจกัน สิ่ง ทงั้ หลายสาํ เรจ็ อยูทีใ่ จ รปู เสยี ง กล่ิน รส ทัง้ หมด มคี ุณสมบัตขิ น้ึ มาได ก็เพราะเรา มีสิง่ ทเี่ รียก กันวา ใจ ถา ไมม ีใจ โลกน้ีก็พลอยไมม ไี ปดวย รวมความสั้นๆ ไดว า ส่ิงท้ังหลายสาํ เรจ็ จากใจ ใจ สรางขึน้ ใจเปน ประธาน หรอื หัวหนาแตผ ูเดียว เพราะฉะนั้น ถา มอี ะไรกต็ าม มาดลบันดาล ใหใ จ เปลีย่ นเปน อยางอืน่ ไป สิ่งทั้งหลายที่รไู ดดว ยใจ ก็ตองเปล่ียนตามไปดวย ถาอํานาจ ดลบันดาล น้นั เปน ของ ช่วั ขณะ สง่ิ น้นั ก็ แปรปรวน ชว่ั ขณะ ดว ย ในโลกน้ี ไมมีอะไร เท่ียงอยแู ลว เราจะสรา งฤทธ์ิ เพื่อเอาชนะ สง่ิ ทีไ่ มเท่ยี งนนั้ นา จะไมไดรบั ผลท่ี นาชื่นใจ เพราะฉะน้นั พระอรยิ บุคคล ทั้งหลาย แทนทจี่ ะ ใชเวลา ไปคน ควา ในเรอ่ื งฤทธิ์ ทา นจึง ใชช วี ิต ทเ่ี ปน ของ นอ ยนิด เดียวนี้ คน ควา หาสิง่ ท่เี ทย่ี ง และเปน สขุ คือ พระนพิ พาน แมว า เรื่อง ฤทธิ์ และพระนพิ พาน ตางก็ เปนวทิ ยาสว นจิต ดวยกนั ก็จริง แตแ ตกตา งกนั ลบิ ลบั ดว ยเหตผุ ล ดังกลาวมาแลว เมอื่ พระผมู ี พระภาคเจา อุบตั ขิ ึน้ ในอนิ เดีย พระองคทรงบญั ญัติ บาทฐาน ของฤทธ์ิ วา มีอยู สี่ อยาง คอื ความพอใจ ความเพียร ความฝก ใฝ และ ความคดิ คน เรียกวา อทิ ธิบาท เมอ่ื ทาํ ได ผลที่ ไดร ับ คอื มรรคผลนิพพาน เพราะคําวา ฤทธิ์ ของพระองค จาํ กดั ความเฉพาะ เครอื่ งมอื ใหส าํ เร็จ หรือ ลุถงึ นพิ พาน เทา นัน้ ฤทธิ์ ซึง่ เคยไดผ ล เปนของตบตา และชวั่ คราว กไ็ ดเปลยี่ น มาเปน ส่ิง ซ่ึงใหผ ล อันมีคา สูงสุด และแนนอน ดวยประการฉะนี้ พทุ ธทาสภิกขุ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๐ เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 65 / 90
ชุมนุมเรือ่ งส้ัน – พุทธทาสภกิ ขุ พระพทุ ธคุณทจี่ ารกึ รอยอยูใ นประวตั ศิ าสตร พระพทุ ธคุณ ที่จารึกรอยอยูในประวตั ิศาสตร เร่อื งเปน ท่รี ะลึกในวันวสิ าขบูชา ในสมัยวสิ าขบูชา พทุ ธบรษิ ัทยอมราํ ลกึ ถึงพระพทุ ธคณุ เปนพเิ ศษ ในท่ีนจี้ ะไดชักชวนเพอ่ื พุทธบรษิ ัท ใหค ยุ คนหาพระคุณนนั้ ๆ อันเรน ลับอยใู นประวตั ิศาสตร ซ่ึงมอี ยอู ยางนาอัศจรรย และ ไมนอย หวังวา ถา ไดตั้งใจพจิ ารณา คงจะพบมากพอทจ่ี ะทําใหม คี วามเช่ือความเลอื่ มใสในพระผมู ี พระภาคมากยิง่ ขึน้ กวา ทแี่ ลวมา และเหมาะสมกบั โอกาสในวนั เชนวันวสิ าขบูชาวันน้ี การจะคนหาใหพบรอยแหงพระพทุ ธคณุ อนั จารกึ ติดอยใู นสากลประวัตศิ าสตรน ั้น เรา จะตอ งมองใหพบการปฏบิ ตั อิ นั เกดิ ขน้ึ แกโลก เนือ่ งจากมีพระองคเปนมลู เหตุโดยเฉพาะ วามีอยู อยางไรเสียกอน! พระคุณของสมเด็จพระผูม พี ระภาคเจา อันมีอยูเหนือปวงสัตวใ นสากลโลกนน้ั คอื ความท่ี พระองคทรงประศาสนค วามสวสั ดีมิ่งมงคลไวแกส ัตวโลก ทั้งโดยตรงและโดยออม ดวยอาํ นาจการ ปฏิวตั ิทพ่ี ระองคทรงบนั ดาลใหเ ปน ไปในโลก โดยทรงพระเจตนากต็ าม ไรเจตนากต็ าม ความ สวัสดที เ่ี กิดขน้ึ โดยตรงน้ัน ไดแก สขุ สวสั ด์ิ อนั เกิดจากการสดบั ธรรมเทศนาของพระองคแ ลว ประพฤตติ ามโดยควรแกธ รรม และท่เี ปนโดยออ มน้นั คอื ผลอยา งอ่นื อนั เกดิ ขึน้ สืบตอ มาจากการท่ี มีผฟู งธรรม แลว ประพฤตติ นใหเ ปน ตวั อยางแกโ ลก ดงึ ดดู ใหม ีผนู ยิ มธรรมอีกตอ หนึง่ หรือแมท่ี สุดแตการทีเ่ มอื่ บคุ คลมากลายเปนผมู ีความสขุ ไปเสยี มากข้นึ ความชวั่ และคนชวั่ กน็ อ ยลงไป คน ทงั้ โลกก็พลอยสขุ เพราะเหตนุ น้ั และขอทว่ี า ทรงบันดาลใหก ารปฏวิ ตั ิเกดิ มี และเปน ไปในโลกน้นั ไดแ ก การปฏิวตั ขิ องประวตั ศิ าสตรโลก ทงั้ ในทางสมาคมและทางศาสนาสําหรับการปฏวิ ตั ิของ ประวตั ศิ าสตรน ั้น เปนการปฏิวตั ทิ ีไ่ รเ จตนา เพราะพระองคทรงทําหนา ทข่ี องพระองคตามธรรมดา พระพทุ ธเจา องคห นงึ่ เทา น้ัน แตก ารปฏวิ ตั ิก็เกิดขึน้ แกป ระวตั ศิ าสตรเ อง โดยนัยน้ี เราจะพบวา มีพระคณุ ของพระองคจารึกรอยปรากฏอยูใ นการปฏวิ ตั ิทั้งสาม คือ ปฏิวตั ิของประวัตศิ าสตรเ อง, ปฏวิ ัติทางสงั คม, และปฏิวัตทิ างศาสนา ซึ่งมีการปฏวิ ัตทิ งั้ ทางฝา ย ทฤษฎี และฝา ยปฏิบัติการ ก. การปฏิวัตทิ เ่ี กิดข้ึนแกประวตั ิศาสตร เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 66 / 90
ชุมนมุ เรอ่ื งสั้น – พทุ ธทาสภิกขุ พระพทุ ธคณุ ทจี่ ารกึ รอยอยใู นประวัตศิ าสตร โลกหมนุ ลอยไปตามกระแสของความอยากของตัวเอง และหมุนไปสคู วามแตกดับ ดวยอาํ นาจกเิ ลสของสตั วโ ลกนน่ั เอง ไดกอการอนั รายกาจขน้ึ ทาํ ลายกนั เอง หรอื เปน การทาํ ลาย โลก ในเม่อื วอดวายกันหมด แลวเกิดขึ้นมาใหม สําหรับเปนเชนน้ันอกี แตธ รรมนน้ั หยุด หรือไม ลอยไปตามกระแส หรอื เรียกอีกอยางหนง่ึ ก็คอื ขวางกระแส กนั้ ไมใ หโลกไหลไปตาม กระแสของตวั เอง แตใหท วนกระแสไหลไปตามแนวธรรม ธรรมเปน เคร่ืองคุมครองโลก หรือ กีดกัน้ ไมใหโลกหมนุ ไปสคู วามแตกดับเรว็ เกินไป จึงเปน เหมือนลูกตมุ ทีถ่ ว งโลกไว ใหม ีชวี ิตอยูย นื นานกวา ทจี่ ะปลอยใหหมนุ จีไ๋ ปตามอาํ นาจของตัวมันเอง ธรรมนัน้ ไมมีใครต้ังข้นึ เปนของมอี ยูเอง เปน แตม ีผคู นพบ และเปนความจรงิ อนั เด็ดขาดอยใู นตวั สิง่ ใดทีต่ ง้ั ขน้ึ สง่ิ นนั้ หาใชธ รรมในทน่ี ้ไี ม และไมมีความจรงิ ในตวั เพราะถูกตัง้ ข้ึนได และมคี นตัง้ ขนึ้ ธรรมท่ีแทจ รงิ ใครตง้ั ไมไ ด แม พระพทุ ธเจากท็ รงตง้ั ขนึ้ ไมไ ด เปน แตท รงคน พบดว ยอาํ นาจพระปญญา แลว ทรงนาํ มา สอนสัตว คนเราเกดิ มาในทา มกลางอวชิ ชา จงึ ไมม ีความรูหรือมีแตค วามรทู ีผ่ ิด ซึง่ มีผลเทากบั ความไมรู หรือบางอยา งจะใหโ ทษยงิ่ กวาความไมร ไู ปเสยี อกี ธรรมหรอื กฎความจริงทม่ี อี ยเู องแลว จึงไมปรากฏตอ เรา เราทราบขอ นีไ้ ด ตรงทเ่ี ราทาํ ผิดกฎความจริงของธรรมชาติ และเราทราบวา เราทําผิดได ตรงทเ่ี รากาํ ลงั ไมไดร ับความสขุ ชนดิ ทเ่ี รามีความพออกพอใจอยเู สมอได เรายงั ไมได ความอยหู รอื ความมีความเปนทีถ่ กู ใจตรงความประสงคของเราทกุ ๆ อยา ง และแลวเราก็ไมทราบ วามันเปน เพราะเหตไุ ร นน่ั แหละ คือขอ ที่วา แมค วามจริงมอี ยู เราก็หาทราบไม จนกวา เราจะมี ปญญาเสียกอน พระผูมพี ระภาคเจา ทรงคนพบความจรงิ ดวยพระปญญาของพระองคเ องกอ นแลว สอนใหเ รารหู รอื เขา ใจความจรงิ อันนน้ั ตามพระองคไดง ายขนึ้ จนเราสามารถดาํ รงใจใหต ้ังอยูได ในสภาพทไี่ มม ีความทุกขอนั ใดมารบกวนได และเรามีแตความพอใจในชวี ติ ของเราอยา งชุมช่ืน เยือกเย็นอยูเสมอ โลกกาํ ลงั กระหายตอ ความพน ทุกขอยแู ลว ฉะนนั้ พอพระองคท รงอบุ ัตขิ นึ้ สัง่ สอนธรรมแตไ มตอ งรอ งเช้ือเชิญ สตั วท ม่ี ปี ญ ญาก็ยนิ ดี และพรอมอยเู สมอท่ีจะรบั เอาธรรมจาก พระองคใ นสว นหลกั วิชา และนาํ ไปประพฤติ จนบงั เกดิ ผลในทางใจ สมตามที่ตนหวัง คือ สภาพท่ี ใจไมม ีความทกุ ขอ กี ตอ ไป เม่ือเกิดมีคนทส่ี ามารถรบั เอาธรรมชนดิ น้ี และเกิดมมี ากข้นึ ดวยการสงั่ สอนกันสืบมา ธรรมก็เปนสงิ่ ท่ีปรากฏแกดวงใจของสัตวโลกมากขึ้น เมื่อมมี ากข้ึน ก็มีอิทธพิ ลใน การท่ีจะจงู สตั วโลกไปในแนวของธรรมมากข้ึน หรือกลาวอกี อยางหน่งึ ก็คอื เปนลกู ตมุ ทีถ่ วงโลก ใหห มุนไปหาความลมจมชา เขานน่ั เอง แมวาผูที่รูธรรมโดยตรงน้ัน จะมคี วามสขุ ของตนเองอยาง เต็มเปยมไปผหู นง่ึ เปนสว นตวั แลว ก็ยังมอี ทิ ธพิ ลท่ีจะดงึ ดูดนาํ้ ใจผูอ่ืนอกี เปน จาํ นวนมากใหดําเนิน ตาม จงึ เกิดเปนลูกตมุ ถว งขึน้ ไดด วยอาการอยางนี้ ธรรมิกบุคคลในโลก เปรยี บเหมือนผจู ะออก คะแนนเสยี งเปนฝา ยคานอีกฝายหน่ึง ซง่ึ ออกความคิดอยางหลบั ตาปลอยโลกใหเ ปนไปในทางลม จม และเดือดรอ นโดยไมรูสึก ฉะนัน้ ถา ธรรมกิ บุคคลย่ิงมีมากขึ้นเมือ่ ใด ลกู ตุม ท่ถี ว งกย็ ิง่ หนกั และ ถว งไดม ากขนึ้ เพียงน้นั ในบดั นป้ี ระมาณกันวามพี ทุ ธบริษัทในโลกไมน อ ยกวา หน่ึงในสาม ของพล โลกทั้งหมด จํานวนคนเหลา นี้ยอมเปนสว นที่ถว งใหโลกหมนุ ไปหาการลุกเปนไฟชา เขา ตามสว น เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 67 / 90
ชมุ นุมเรือ่ งสั้น – พทุ ธทาสภกิ ขุ พระพุทธคณุ ท่จี ารึกรอยอยูใ นประวตั ศิ าสตร ในระหวา งทย่ี งั ไมลุกน้ี เพราะมคี วามถว งใหชาอยู มคี นอ่ืนอีกเปน จํานวนมากหรอื ทั้งโลก พลอย ไดรับความผาสุกไปดวย จงึ กลายเปนการอํานวยสขุ ใหแ กโลกท้ังสิ้นไปในตวั ซึง่ ควรทส่ี ัตวทุกถว น หนา จะพึงอาํ นวยสุขใหแ กโ ลกท้งั สนิ้ ไปในตวั ซง่ึ ควรทสี่ ตั วท กุ ถว นหนาจะพึงรําลกึ ถึงหิตคณุ อนั น้ี ของพระพทุ ธเจา และการทโี่ ลกหมนุ ไปหาความลม จมชา เขานเ่ี องชอื่ วา เกิดการปฏวิ ตั ิขน้ึ ในตวั ประวตั ศิ าสตรเ องโดยไมรสู ึก ซ่งึ ถา มฉิ ะน้นั โลกจะตองดําเนิน หรอื มฉี ากในทางประวัตศิ าสตรเ ปน อยางอืน่ ไปแลว ถาเราจะปลอ ยใหมนั เปน ไปตามอํานาจกิเลสตณั หาของโลกลวนๆ โดยไมมธี รรม เขา คุมครองหรอื แทรกแซง ข. การปฏิวัตทิ เี่ กิดขนึ้ แกส งั คมมนษุ ย อินเดียในสมยั ที่พระผมู พี ระภาคเจาทรงอุบัตขิ น้ึ น้ัน มกี ารถอื ชน้ั วรรณะ ตามลทั ธิ พราหมณ แบง คนออกเปน ๔ พวก คือ กษตั รยิ พราหมณ พลเมืองธรรมดาท่ีเรียกวา ไวศยะ และ พวกทาสหรือทเี่ รียกวา ศทู ร รวมทัง้ พวกทตี่ ํา่ กวา เชน พวกจณั ฑาลดว ย สามพวกแรกเปนพวก สูง และสูงกวา กนั อยตู ามลาํ ดับ สวนพวกหลังนน้ั ตามลทั ธิน้ันคลา ยกบั ไมรบั รองวา เปนมนุษย เขา ไมย อมใหพ วกศทู รเขาโบสถ ไมย อมใหไ ดเ รยี นหรือฟงพระเวท ไมร ว มบอ น้ํา ไมรวมหนทาง และ ถาบงั เอิญวา พวกศทู รผานมาพบเขา กบั พวกช้นั สูง เขาปรับใหเปนความผิดของพวกศทู รนนั้ เอง และไดรับโทษซ่ึงทารุณ เขาถอื วา พวกกษตั รยิ สรา งขนึ้ จากแขนของพรหม พวกพราหมณส รา ง ข้ึนจากปาก พวกไวศยะสรา งขึน้ จากกระเพาะ และพวกศูทรถกู สรา งข้นึ จากเทา ของพรหม ดังน้ี พวกศทู รจาํ นวนลาน ตองกลายเปน พวกที่อดิ หาระอาใจของผอู น่ื คลายกบั วา ของเนา ที่ไปปนอยู ทามกลางกองดอกไมอ ันมีกลิ่นหอม การสมาคมจงึ เจือไปดว ยการถือตัว การเกลยี ดกัน และการ สบประมาทอยางรนุ แรง มีภาระทีน่ าอนาถใจแทรกแซงอยทู วั่ ไป เพราะวาแมว าพวกวรรณะสูงจะ รังเกยี จ และเหยยี ดหยามทําทารุณตอ วรรณะตํา่ อยเู พยี งใด กย็ ังตองติดตอ กบั พวกทาสเหลา นน้ั อยนู นั่ เอง ภาพแหง ความทารณุ จึงคงมอี ยทู ั่วไปในวงการสมาคม ซ่งึ เปนเหมอื นกับสีดําอนั ปา ยอยู เปนแหงๆ ในพน้ื ที่ขาวหรือเหลอื ง ฉนั ใดกฉ็ ันนน้ั คร้ันพระผมู พี ระภาคเจา ทรงอุบตั ิข้นึ พระองค ทรงสง่ั สอนวา คนเราจะเปนพราหมณ เพราะเหตสุ ักวาบดิ ามารดาเปนพราหมณหาไดไ ม แตจ ะ เปน พราหมณไดก ด็ ว ยประพฤตติ นตามแนวธรรมคอื ประพฤติดี และในการประพฤติดนี ัน้ ทําไดท กุ คนไมจ าํ กดั วา จะเปนวรรณะไหน ในการประพฤตธิ รรมไมม ีกษัตรยิ ไมม พี ราหมณ ไมม ไี วศยะ และไมม ีศทู ร เพราะฉะนั้น คนเราจะเปน อะไรกไ็ ดท ัง้ นั้น แลวแตก ารประพฤตขิ องเขานัน่ เอง การ เปน กษตั ริยห รือพราหมณด วยเหตสุ ืบจากบิดามารดาน้ันไมชว ยได เพราะวาแมจ ะมกี ําเนดิ จาก บิดามารดาทเี่ ปนกษัตรยิ พราหมณ ไวศยะ หรือศทู ร กต็ าม เม่อื ประพฤตผิ ดิ ธรรมแลว ยอมจมลง ไปในนรกเหมอื นกนั โดยไมแตกตา งกัน และไมมีขอ ยกเวนใหแ กใ ครเปน พเิ ศษ ถา ประพฤตถิ ูก ธรรม ก็จะไดไ ปสสู คุ ตแิ ละเปนสขุ เหมือนกนั โดยทํานองเดียวกนั ดงั นี้ คร้ันมคี นนบั ถือและทําตาม คาํ ส่งั สอนของพระองคมากข้ึน จนกระทั่งถึงพวกราชาและมหาราชา พวกศทู รกค็ อยมโี อกาสได หายใจดวยอากาศท่ีบรสิ ทุ ธส์ิ ดใสเยอื กเยน็ ปราศจากลมอนั ทารุณไดมากข้นึ ฉากของมนุษยใ น เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 68 / 90
ชุมนุมเร่ืองสั้น – พุทธทาสภิกขุ พระพุทธคุณทจี่ ารึกรอยอยูใ นประวัตศิ าสตร ดานการสมาคมก็เปลย่ี นไปโดยควรแกเหตุ ภาพทารณุ ท่ีเคยปรากฏในวงการสมาคมระหวาง วรรณะทั้งสี่ ก็คอ ยจางหายไป พนื้ สขี าวในดวงใจของมนุษยเหลา น้ัน ก็มีสขี าวอนั สมา่ํ เสมอมากขน้ึ มจี ุดหรือทางดาํ นอ ยลง อีกอยา งหนึ่ง สตรี ในกาลกอ นเปน สิง่ ท่เี คยถือกนั วา เปน ทรัพยสมบตั ิชนิดหน่ึง ใน ตอนแรกกเ็ ปน ทรพั ยของบดิ ามารดา ท่เี ลีย้ งไวส ําหรบั ขายใหแกบ รุ ษุ ในตระกลู ทจ่ี ะมาขอซื้อเอาไป ครั้นผูท ีเ่ ปนสามีซ้อื เอาไปแลว ก็ถอื เสมือนหน่ึงทรพั ยห รือสตั วเ ลี้ยงชนิดหนงึ่ ปราศจากสทิ ธแิ์ ละ เสยี งใดๆ เพราะเชอื่ กนั วาสตรเี ปนมนุษยท ไี่ มม อี ะไรๆ สมบรู ณเหมือนผชู าย จงึ ไมใหการศกึ ษาแก สตรี สตรีก็มีอนั ทจ่ี ะเปน ไปในทางเสือ่ มเสยี มากขึน้ จึงกลายเปน ธรรมเนยี มถือกนั วา สตรีไมค วร ถกู ยกข้ึนมาเทยี มบรุ ุษ ทุกๆ อยางใหอยูในอาํ นาจของฝา ยชายอยางเดียว จุดดาํ ไดเ กดิ ข้ึนแกเ พศ ท่เี ปน มารดาของโลกอยา งเปอ นไปหมด ท้งั ท่บี รุ ษุ ผูถือลทั ธินัน้ กต็ องเกิดมาจากสตรนี ่ันเอง ครั้น พระองคทรงอบุ ัติข้นึ ทรงรบั รองขอ ท่ีวา สตรีสามารถบรรลมุ รรคผลเชน เดียวกับบรุ ษุ โดยไมม ขี อ แตกตา งและตรัสขอ ปฏบิ ัตสิ ําหรบั สตรี เพ่อื ”เอาชนะ”ไดท้ังในโลกนแี้ ละโลกหนา คอื ความมีหนา มี ตา ในทางสมาคมหรือวงสงั คม และการไปสสู คุ ตสิ วรรคโ ดยเทา เทียมกบั ผูชาย ใหร จู กั หนา ท่ีของ ตวั ทจ่ี ะพงึ ปฏบิ ัตติ อ สามี ซ่งึ กม็ ีหนา ท่ีอกี อยางหนงึ่ อนั จะพงึ ปฏบิ ัตติ อ ภรรยา และใหทง้ั สองฝายถือ เสมือนท่จี ะพงึ กระทําตอ กนั โดยเทาเทยี มกนั การยกสถานะสตรเี ชน นี้ ปรากฏในตระกลู วงศข อง พระองคคอื พวกศากยะมากอนแลว โดยทถ่ี อื วา สตรีเปน เพศทีค่ วรยกยอ ง ไมย อมใหไปกบั พวกท่มี ี เช้ือชาตติ ่ํากวา แมจ ะมีอาํ นาจ และสตรคี วรมสี ิทธทิ์ ีจ่ ะปฏเิ สธ หรอื ไมถกู ยกใหแกบ ุรษุ ทไ่ี มมี คุณสมบตั ทิ นั เทียมกนั หรือกลาวอยา งส้นั ๆ ก็คือวา เกยี รติยศของสตรี เปนสง่ิ ที่จะตอ งพจิ ารณาอยู อยางรอบคอบ สขุ มุ ขอนี้ทาํ ใหสตรพี วกศากยะกา วออกจากประตเู รอื น บวชในสาํ นักภกิ ษณุ ีได โดยปราศจากการขดั ขวางของฝา ยชาย และธรรมของพระองคซ ง่ึ มผี ูร บั ถอื กันมากขึ้นสืบมา ในตอนหลัง ไดชว ยยกสถานะของสตรใี หสงู ขึ้นอยางประจกั ษ มสี ทิ ธแิ ละโอกาสท่จี ะทาํ การกุศลและการศกึ ษา ตามประสงคของตนมากขนึ้ ทวั่ ๆ ไป ในประเทศท่ีรบั นับถอื พทุ ธ ศาสนา อกี อยา งหนง่ึ อินเดยี ในสมัยโบราณมธี รรมเนียม บชู ายญั ดว ยเน้อื และเลือดท้งั ของ สัตวและมนษุ ย โบสถสว นมากคือโรงฆา สตั วท ี่แดงไปดวยเลอื ด และไฟทส่ี ง ควันตลบ ผมู ที รพั ย และอาํ นาจจัดใหพวกนักบวชประกอบการบูชายัญ เพือ่ ไถถอนบาปของตนและชว ยใหตนมีความ เจรญิ ยิ่งขึน้ ไปตามลทั ธทิ เ่ี ชอื่ กนั อยู พวกนักบวชเหลานั้นชว ยทาํ พธิ ี ใหบาปของผูเ ปน เจา ของยัญ นัน้ ตกมารวมกันอยทู ศ่ี ีรษะของสัตวทจี่ ะฆา แลว ฟน มนั เสีย โดยไมม ีขณะท่ีมนั อาจสํานึกถงึ รส ของความเจบ็ และความตาย เอาโลหิตรองใสถ าดมาเผาไฟสมนาคณุ พระเปน เจา ในเบ้ืองบน ศตั รู ยอ มตอบแทนศัตรูดว ยเลอื ดและชวี ิต การริษยาอาฆาตจองเวรแกแ คน ถอื กันวา เปน เกียรติยศ ไม ถือกันวาการใหอ ภัยเปนสงิ่ ที่ควรนิยม ครน้ั พระผมู ีพระภาคเจา ทรงอบุ ัติขน้ึ พระองคท รงสอนวา ความบรสิ ทุ ธแ์ิ ละไมบ รสิ ทุ ธ์เิ ปน ของเฉพาะตวั คนอนื่ จะชว ยทาํ คนอนื่ ใหเศราหมองหรือบริสุทธห์ิ า เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 69 / 90
ชุมนมุ เร่อื งส้นั – พทุ ธทาสภิกขุ พระพุทธคณุ ทจี่ ารกึ รอยอยใู นประวัตศิ าสตร ไดไ ม กรรมเปน สงิ่ เด็ดขาดแนนอนในขอ ที่วา ทําเชนไรตอ งไดผลเชน น้นั และผทู ํานน่ั เองเปน ผูรบั ผล ไมม กี ารไถถอนสบั เปลยี่ นกันไดด วยอาํ นาจ หรอื ดวยทรัพย หรอื สงิ่ อ่ืนๆ เวรยอ มไมร ะงบั ดว ย เวร แตจะระงับเพราะความไมผ ูกเวรของฝา ยใดฝายหนง่ึ และการใหอ ภัยเปน ความกลาหาญของ นกั ปราชญ แมพ วกคนพาลจะถือกนั วา เปนความขลาดหรืออะไรก็ตาม สตั วทกุ ชนดิ รูจกั รักชีวติ เหมือนมนษุ ยและเทากันกบั มนุษย และตกอยใู นภาวะอนั หนกั เพราะถกู ความแกค วามเจ็บและ ความตายครอบงําเชน เดียวกนั ควรทจี่ ะเปนเพอ่ื นทกุ ขย ากดวยกัน ดกี วา ทจ่ี ะลางผลาญกัน ซ่ึง เปนการกระทาํ อยางหลับตาและนา ละอายย่งิ ขึ้น คร้นั มีผนู บั ถอื ศาสนาของพระองคม ากขน้ึ ธรรมท่ี ทรงนํามาสงั่ สอนนนั้ ก็ยิ่งมีอทิ ธิพลในดวงใจของมนษุ ยทเี่ คยนยิ มการฆาและการจองเวรมากขึน้ ซึง่ ชวยใหเ ขาบรรเทาความโหดรา ยนัน้ ลงเสียไดตามควรแหง ธรรมที่ไดศ กึ ษา ครั้นแพรหลายไปถึง ช้ันพระราชา กม็ กี ฎหมายบัญญตั ิหามการฆา สตั ว และตั้งโรงพยาบาลขึ้นสําหรับสตั วเดรจั ฉาน ดงั ท่ปี รากฏอยูในศลิ าจารึกของพระเจาอโศกแทบทว่ั ไปทงั้ อนิ เดีย หรือชมพทู วปี สมตามทีพ่ ระ ราชาธริ าชองคนี้มอี าณาจักรอันกวางขวาง เพราะทรงอาศยั อํานาจธรรมเปนเครื่องปราบและขยาย อาณาจกั ร อันปรากฏตามประวตั ศิ าสตรว า ทรงขยายอาณาเขตไดก วา งวา กษตั ริยองคใดใน อนิ เดีย การปฏวิ ตั ิไดเกิดขน้ึ ในดวงใจของประชาชน จนถงึ กบั ทําใหโ รงฆาสัตวชนดิ ท่ีหมุ คลุมอยู ดว ยลักษณะของโบสถน้ันลดจาํ นวนนอ ยลงไป และมีโรงพยาบาลสําหรับสัตวท่เี จบ็ ปว ยเกดิ ขน้ึ แทนดังกลาวแลว นค่ี อื รอยแหงพระพทุ ธคณุ ท่จี ารกึ ตดิ อยใู นประวตั ศิ าสตรข องอินเดียและ ประเทศใกลเ คยี ง เทาทธ่ี รรมาณาจกั รของพระเจา อโศกราชแผไปถงึ และลากรอยของมนั สืบตอมา จนกระทงั่ บัดนี้ ไดแผไ ปในประเทศอืน่ โดยกวางขวาง จนกระทัง่ เกิดมชี นหมูมากท่ถี ือไมก นิ เน้ือสัตว เพราะอาศยั รศั มธี รรมของพระองคก ม็ ี โดยเฉพาะอยางย่ิง คือ พุทธบรษิ ทั ท่ปี ฏิภาณตน ไมเ สพเนอ้ื สตั วตลอดชีวติ หรือบางคราวสัตวไ มถ กู ฆา หรือเปน เหตใุ หถ กู ฆา เพราะชนพวกนี้ หรอื ในวนั ทก่ี ําหนดเปนวนั ทางศาสนานน้ั มจี ํานวนมากมายเหลอื ท่ีจะนบั ได ซง่ึ เปนเสมอื นการปด เสยี ซง่ึ ลําธารของโลหิต อนั เคยไหลนองใหหยดุ ไหล หรือนอยลง ซึ่งยอมทําใหฉากแหง ประวัตศิ าสตร เปลยี่ นแปลงไปอยางยากทจี่ ะพจิ ารณาเหน็ ไดงา ยๆ เพราะปฏวิ ตั อิ ันนีม้ ีสังคมหรอื สมาคมสวน ใหญข องมนุษยเ ปนมลู ฐาน เม่อื ยอ นมามองดอู ีกคร้ังหนึง่ จะพบวา สงั คมใดหนักแนน ในพทุ ธธรรมแลว การเหยยี ดชนั้ วรรณะของกันและกนั จะมีในสมาคมน้ันๆ จะมแี ตความวางตนเสมอ พรอ ม เพรยี งสามคั คกี ันกอ กูภาระของประเทศชาติ การยกสถานะของสตรี และการใหอ ภัยดวย ความเมตตากรณุ า ยอมหาไดงา ยในสมาคมนั้น มนุษยช าตสิ ว นใหญ จึงไดม ีรปู ทาง ประวตั ิศาสตร แปลกไปกวาตามทีจ่ ะปลอยใหม นั หมนุ ไปเอง โดยปราศจากหลักธรรมของพระองค เขาเก่ียวของ ดวยประการฉะนี้ ค. การปฏวิ ัตทิ างศาสนา เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 70 / 90
ชมุ นมุ เรอ่ื งส้นั – พทุ ธทาสภกิ ขุ พระพทุ ธคุณท่จี ารึกรอยอยูในประวตั ศิ าสตร จากประวัตศิ าสตรของปรัชญาท้งั หมดบรรดามใี นโลกน้ี เราจะพบหลกั สาํ คัญได อนั หนึง่ วา พทุ ธศาสนาไดสอนส่งิ ที่ใหมและแปลก จนถึงกบั ตรงกนั ขามกบั หลกั ปรชั ญานั้นๆ ใหแ ก โลก ซึ่งจะไดยกมาวนิ จิ ฉยั โดยยอๆ เปนลําดบั ไป ทฤษฎีทางปรชั ญา ที่พระผมู พี ระภาค ไดทรงเผยใหแกโ ลก ชนดิ ทไี่ มเ คยมใี ครสอนมา กอ น ก็คอื กฎอนั วา ดวยอนตั ตา ไมม สี ่ิงใดที่เปน อัตตาคือตวั ตน มติในลทั ธิอ่นื ยอ มสอนวามอี ตั ตา ท่เี ปน ตวั เรา ไมอยา งใดก็อยางหนึ่ง ถึงแมจะไดป ฏเิ สธบางสวน (เชน รางกาย เปนตน) วา เปน อนตั ตามิใชต วั เราไปแลวกต็ าม ในยุคพทุ ธสมัยมลี ทั ธทิ สี่ อนอยา งสูงทีส่ ดุ กค็ อื ลทั ธิท่สี อนใหศ กึ ษา ปฏบิ ัติ จนรูจกั ตัวอาตมันหรืออตั ตาท่ีหลดุ พน แลวจากโลกยิ ธรรมอนั หอ หมุ อยู อันเปนสภาพชนดิ หน่ึง ท่ไี มร จู ักตายหรอื แมแ ตแ ปรผนั คอื เปน อสังขตะ นั่นแหละวาเปน ตวั อาตมันหรอื ตัวเรา ที่ แทจ รงิ แทนท่จี ะยดึ ถือรางกายหรือจิตตามธรรมดาวา เปน ตวั เรา แตพ ระผูมีพระภาคเจาไดทรง ประกาศขึน้ วา สิ่งทเ่ี ปน อสังขตะคอื ไมตายและไมผ นั แปร เพราะไมมีการเกดิ และไมมเี หตุปจจยั ปรงุ แตงไดน ้ัน เปน สงิ่ ท่ีมีอยูจรงิ แตมนั หาใชเ ปน อาตมนั หรอื ตวั ตนของใครไม มันเปนเพียง “สิง่ ธรรมดา” ลว นๆ เชนเดียวกบั สิง่ อนื่ ๆ ทเ่ี ปนพวกสังขตะ คือรจู กั ตายและแปรผนั เพราะมีเหตุ ปจ จยั ปรุงน้นั เหมอื นกัน และขอ สําคัญนน้ั มอี ยวู า จิตจะไดลุถงึ ศานตสิ ขุ อันแทจรงิ และถึงทสี่ ดุ จรงิ ๆ นัน้ ตอ งเปน จิตท่ปี ราศจากความเขา ใจและความยึดถือวา มอี ตั ตาหรอื เปนอตั ตาเทา นน้ั ถา ยงั ปด วาเปนอตั ตาเพยี งบางอยาง และยึดถือวาเปน อตั ตาบางอยา ง ดงั กลาวมาแลว แมส ง่ิ นั้นจะ สูงสดุ เพยี งไร กย็ งั หาใชเปน การหลุดพน ท่แี ทจ ริงและถงึ ท่ีสดุ ของจิตไม เปนอันวา พุทธศาสนา ปฏิเสธอตั ตาโดยส้ินเชิง และประวตั ศิ าสตรย อมแสดงชัดอยูในตวั เองทันทวี า กอ นหนา นน้ั โลกไม เคยไดย นิ คาํ วา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา = “ส่งิ ทงั้ ปวงเปนอนตั ตา” เลย โลกเพิ่งจะมาไดฟ งเม่อื พระ พุทธองคท รงประกาศขึน้ และไดล ถุ งึ ภูมธิ รรมขนึ้ ใหม กลาวคอื ความปลอยวางสงิ่ ทั้งปวงโดย เด็ดขาดไดเ ชนนี้ จึงกลาวไดวา ทฤษฎอี นั น้ี (คือที่วา สง่ิ ท้ังปวงเปน อนตั ตา) มอี นั เดียวเฉพาะใน พทุ ธศาสนาเทา น้ัน ลทั ธิอนื่ ๆ ท้ังหมด มีจดุ หมายอยูทห่ี า “อตั ตาหรอื ชีวติ อนั แทจ ริง” ใหพบ แต พทุ ธศาสนาประกาศขึน้ วา อัตตาหรือชีวติ อนั แทจรงิ น้ันไมมเี ลย แมว าอสังขตธรรมจะเปนส่ิงไมผัน แปร และตงั้ อยูต ลอดอนันตกาลเพียงไร มนั ก็หาใชเปน ชวี ติ หรือเปน อตั ตาไม ตามประวตั ศิ าสตรแหง ธรรมปฏบิ ตั ิ เราอาจพบไดอ ยางแจมแจง วา กอนหนา นี้ มีแต แนวปฏิบตั ิเพยี งสองสายคือ พวกหนึง่ คลอ ยไปตามกระแสโลก ยงั เกี่ยวขอ งอยกู บั กามคณุ หรือหา ความอรอยทางกายพรอมกันไปดวย อีกพวกหนึง่ กถ็ งึ กับทรมานกายใหแสบเผ็ด โดยมีหลกั ฐาน วาทรมานไดเ พยี งไร ก็ยงิ่ เปนการปลอยวางกาย ไมเ หน็ แกกาย และเปนการหลุดพน ไดเพยี งนัน้ ไมเ คยมีใครไดย ิน หรอื ไมย ึดหลักวา มัชฌิมาปฏิปทา อนั คลุกเคลาไปดวยปญ ญา และกวา งขวาง เหมาะสําหรบั คนทัว่ ไป ดงั ที่พระองคทรงบญั ญตั ขิ ้ึน ไมมีใครเคยไดย นิ คําวา อริยสจั อันเปน กฎ แหงเหตผุ ลและคนเราจะพน ทกุ ขไดก ด็ ว ยการกระทาํ ทตี่ รงตามกฎแหงเหตุผล เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 71 / 90
ชมุ นุมเรอ่ื งสั้น – พุทธทาสภิกขุ พระพุทธคุณทจ่ี ารึกรอยอยูในประวัตศิ าสตร กอนทีพ่ ระองคอบุ ัตขิ น้ึ ถามใี ครถามวา คนเราตายแลว เกิดอกี ไหม? ก็จะมคี นตอบ ตา งๆกนั คอื ๑. ตอบวา เกดิ อีก ๒. ตอบวา ไมเ กิดอกี ๓. ตอบวา เกดิ อีกกม็ ี ไมเ กิดอีกกม็ ี ๔. แต คําตอบทัง้ ๓ ชนดิ น้ี ผดิ หลกั พทุ ธศาสนา ถา มีใครทูลถามพระองคเ ชนน้นั พระองคกจ็ ะตรัสตอบมี หลักวา แททจี่ รงิ คนเราไมม ี มแี ตการควบคุมเขากบั การแยกออก และการผันแปรไปของ ธรรมชาตพิ วกหน่งึ ซึง่ มเี หตปุ จ จยั ปรุงแตงและผลักไสไป เมื่อขาดเหตุขาดปจจยั มนั ก็หยดุ หรือ ดับ แทจ รงิ ทุกสวนของสงิ่ ทเี่ รียกวา คนเราหรือตวั เรา ก็เปล่ยี นแปลงเปนอันอื่นอยทู ุกๆ ปรมาณู และทุกขณะจิตอยเู องแลว หาสาระทจี่ ะเรียกวา คนเรา ตรงไหนหรือเวลาไหนมไิ ด หรืแมจะ หมายความเอาวา คนเราเกดิ หรอื ตายตรงรา งกาย เรากย็ งั กลา วลงไปไมไดวา บางคนเกดิ อีก หรอื บางคนไมเ กิดอีก คงกลา วไดแ ตเ พียงวา ยอมแลวแตเหตุ ถาเหตุเพอื่ จะใหเ กดิ อกี มี มันก็เกิด ถา หมด ก็ไมเ กิด แตอ ยางไรกต็ าม การตอบเชน นี้ยังไมตรงตามความจรงิ เพราะตามกฎแหง วัฏสงสารนน้ั มีแตเ พยี งธรรมชาติสายหนง่ึ ซง่ึ ไหลเช่ียวเปนเกลียวไปดว ยความเปล่ยี นแปลง ไม หยุดหยอน จนกวา มันจะหมดตน เหตุ โดยที่ตนเหตุของมันถกู ทําลายเสีย คําวา เกิด-แก- ตาย หรือ อื่นๆ เปน เพียง “คําสมมติ” ทีเ่ ราจบั ไปสวมเขา ทีร่ ะยะหรอื ตอนใดตอนหนง่ึ ของ “สายอนั ยาวยดื ” สายนเี้ ทาน้นั เพราะฉะนนั้ การกลาวด่งิ เดด็ ขาดตายตวั ลงไปวา เกดิ อกี หรอื ไมเ กิดอีก บางคนเกิด บางคนไมเ กดิ อยางใดอยางหนงึ่ น้ัน ผิดจากความจรงิ ซึง่ พทุ ธศาสนาเล็งถึง สรปุ วา พระพุทธองค เปนผูเ ปดเผยหลกั อนั สบดว ยเหตุผล หรอื ทเี่ ราเรียกกันในสมัยนี้วา สบหลกั วทิ ยาศาสตร (Scientific) เปนคนแรก เปน บคุ คลแรกในโลกทีป่ ระกาศวา สิ่งท่ีเราเรยี กกันวา คนหรอื ตัวเรานน้ั เปนเพียงสวนหนง่ึ ๆ ของเกลียวแหงความหมุนเวยี นของสิง่ ซงึ่ เปน เหตผุ ลขณะหน่ึงๆ แทท่ีจรงิ คนเราไมมี มีแตส ว นยอ ยๆ หลายสวน จบั กลมุ กนั เขาแลวหมนุ ไปๆ ซึ่งทั้งนีเ้ ปน ดวยอํานาจแหง เหตทุ ่ีทาํ ใหปรากฏดจุ วา มีตวั ตนอยูได แตกช็ ว่ั ขณะทม่ี ันหมุน หยุดหมนุ กด็ บั และไมมตี ัวอะไร นอกจากความวา งจากสงิ่ เหลา น้ัน จึงกลาวไดว า มแี ตโ ลกยิ ธรรมทห่ี มุนไปตามเหตุ ปรากฏอยูช่วั ขณะทย่ี ังมเี หตุ และหมุนไปๆ จนกวาจะถึงท่สี ุดเม่ือส้ินเหตุ เทา น้นั ถา ถามวา คนตายแลว เกิด หรอื หรอื ไม? กต็ อบวา คนไมมี จะเอาอะไรมาตาย หรอื เกดิ มแี ตกลุม ของสง่ิ ที่หมนุ ไปตามอํานาจ แหง เหตุ จนกวาจะหมดเหตุ ยงั มีเหตุกต็ องหมนุ ไป หมดเหตุ ก็หยดุ หมุน นอกจากน้ัน ยังอาจกลา วไดสบื ไปวา พระพุทธองคเ ปน คนแรกทปี่ าวประกาศ มิใหม ี การเชือ่ มน่ั ตามตาํ รา เชื่อม่นั คําครู เช่ือลทั ธิธรรมเนยี มประเพณี หรือเชื่อดว ยการตรึกตามเหตุผล ชั่วแลน ตามหลักท่ีปรากฏอยใู นกาลามสตู ร และทรงวางหลักวา ไมควรถกเถียงคดั งางกนั ดวย ปญ หาทางปรัชญาทเี่ ปน ปญ หาโลกแตก ดังเชนเรอื่ งทฎิ ฐสิ ิบ ท่เี ปน ปญ หาพ้นื เมอื งในสมัย พุทธกาล ทรงสรปุ ใจความวา ชวี ติ น้ี มิใชเ ปนปญหาทต่ี อ งสะสาง แตเ ปนเพยี งสภาพความจริง ชนดิ หน่ึง ทีเ่ ราจะตองเขาใจถึงอยา งเดยี วเทาน้นั และกด็ วยการปฏบิ ตั อิ นั เปน ภายในอยางเดียว และอาศยั ตนของตนโดยเฉพาะจึงจะเขาถึงได การออ นวอนพระเปน เจา เปนเพยี งความขลาด เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 72 / 90
ชุมนุมเร่ืองส้นั – พทุ ธทาสภิกขุ พระพุทธคณุ ท่จี ารกึ รอยอยูในประวตั ิศาสตร หลักคาํ สอนดังกลาวมาท้ังหมดน้ี ประทปี ดวงใหม ท่พี ระพทุ ธองคท รงจดุ ขึ้น และทรง สอ งใหส ัตวโลกกาวเทา ไปสคู วามพนทุกข โดยอาการที่ผดิ แปลกไปจากท่ีถา หากวา โลกจะมิไดรบั แสงจากประทีปดวงน้ี และโดยเหตนุ ้จี งึ ทาํ ใหทิวทรรศนแ หงประวัตศิ าสตรใ นดานปรัชญาหรือธรรม วิทยา ไดเ ปลยี่ นรูปไปอยา งมากมาย และความเปล่ยี นแปลงอนั นี้ ยอ มเปน ผลเกิดมาจากการ ปฏิวตั ทิ างศาสนา ซง่ึ มมี ูลฐานมาจากพระพทุ ธองคโดยเฉพาะ เมือ่ ลทั ธใิ หมนี้ มอี ทิ ธิพลเหนือ ชาวโลกแทนลทั ธเิ กา (ดังทก่ี ลา วแลว ในตอนตนๆ มีพระเจา อโศกมหาราชเปน ตวั อยา ง) มากข้นึ แลว รอยจารึกแหงพระพทุ ธคณุ ทีฝ่ กลึกอยูใ นสายอันยาวยืดของประวตั ศิ าสตรโลก กย็ อ มีปกคลมุ อยูโดยทั่วไป และเราก็จะพอมองเหน็ ไดวา พระมหากรุณาคุณของพระผูมีพระภาคเจานนั้ จะยังคง ปกคลุมประวตั ิศาสตรของโลกไปตลอดชวั่ กัลปาวสาน เมอื่ เรามองเห็นภาพแหง การปฏิวตั ิท้งั ทตี่ วั ประวัตศิ าสตร ทีม่ นุษยส มาคม และทีแ่ นว ปรัชญาของโลกทั้งมวล อันเปนมาอยางไร โดยท่ัวถึงดังนี้แลว เรากเ็ ห็นไดจากการปฏิวตั ินั้นๆ สืบไปวา พระพุทธองคทรงเปน บอเกิดแหง คณุ ประโยชนของโลกอยา งใหญห ลวงเพียงไร ผลท่ี กระทอนสืบๆ ไปจากพระคณุ ทงั้ ปวงน้ัน ยอมทงิ้ รอยของมันใหจารกึ ติดอยใู นสายอนั ยาวยืดของ ประวตั ศิ าสตรย ิง่ ขนึ้ ทุกๆยคุ พทุ ธบรษิ ทั ท้งั หลายควรจะมองคน ดใู หค รบถว นทวั่ ถงึ ในสมยั อนั เปน อภิลักขติ กาล เชน วสิ าขบูชาน้ี ดวยความเคารพอนั หาขอบเขตมิไดจงทุกคนเถดิ . พุทธทาสภกิ ขุ วสิ าขมาส ๒๔๘๓ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 73 / 90
ชมุ นมุ เรื่องสนั้ – พทุ ธทาสภกิ ขุ ใครทกุ ข? ใครสขุ ? ใครทุกข ? ใครสขุ ? พระพทุ ธองคต รสั วา \"เมื่อกลา วสรปุ ใหส น้ั ที่สดุ แลว เบญจขันธท ยี่ งั มอี ุปาทาน เปน ตวั ทุกข.\" (สงขฺ ิตฺเตน ปฺจปุ าทานกฺขนธฺ า ทุกฺขา) เม่อื เปนเชนนี้ ยอ มทําใหเ กิดความสงสยั วา ถา ขนั ธเ ปนทุกข ก็ชางมันเปนไร เราอยาทุกขกแ็ ลว กัน มิใชหรือ? บาลีแหงอนื่ กม็ อี ีกวา \"ตัวทกุ ขน ้ันมอี ยแู ท แตบุคคลผูเปนทุกขห ามไี ม\" (ทกุ ขฺ เมว หิ น โกจิ ทกุ ขฺ โิ ต การโก น, กริ ิยา วชิ ฺชติ) นกี่ ็เชน เดยี วกนั อีก แสดงวา ตัวตนของเราไมมี. ทุกขอ ยทู รี่ ปู และนาม. นก้ี ็กอใหเ กิดคาํ ถามวา เราจะพยายามทําที่สดุ ทกุ ขไ ปทาํ ไม เมื่อเราผูเปนเจาทุกขก็ไมม ี เสียแลว , พยายามใหใคร. ใครจะเปนผรู บั สุข ทาํ บญุ กศุ ลเพือ่ อะไรกนั ? เพื่อขบปญหานีใ้ หแตกหัก โดยตนเองทกุ ๆ คน (เพราะธรรมะเปน ของเฉพาะตน). ขาพเจาขอเสนอแนวคิดส้ันๆ แตกวางขวางออกไป แดทานท้ังหลายสําหรับจะไดนาํ ไปคดิ ไปตรอง จนแจม แจงในใจดวยปญญาของตนเองแลว และบาํ บดั ความหนักใจ หมนหมองใจ อันเกิดแตความ สงสยั และลงั เลในการประพฤตธิ รรมของตน ใหเ บาบางไปไดบ า ง ดังตอ ไปนี้ :- รา งกายและจติ ใจสองอยา งนี้ รวมกนั เขาเรียกวา นามรูป, หรอื เรียกวา เบญจขันธ เม่ือ แยกใหเ ปน ๕ สวน. ในรา งกายและจิตใจนี้ ถา ยังมีอปุ าทาน กลาวคือความยึดถือวา \"ของฉัน\" วา \"ฉัน\" อยูเ พียงใดแลว ความทุกขนานปั การ ต้ังตนแตค วามเกิด แก เจบ็ ตาย จนถงึ ความ หมน หมองรา ยแรงอยา งอืน่ เชน อยากแลว ไมไ ดส มอยาก เปน ตน กย็ ังมอี ยู และออกฤทธแ์ิ ผดเผา ทรมานรางกายและจติ ใจอนั นนั้ เอง. แตเมอื่ ใดอุปาทานอนั นห้ี มดไปจากจิต ผนู ัน้ ไมม ีความสาํ คญั ตนหรือรสู ึกตนวา \"ฉนั ม\"ี , \"นี่เปนของฉนั \" เปนตนแลว ทุกขท ั้งมวลดงั กลาวกต็ กไปจากจติ อยาง ไมม เี หลอื เพราะเราอาจท่ีจะไมร ับเอาวา รา งกายและจติ ใจนี้เปน ของเรา และส่งิ ทเี่ กดิ ขนึ้ แกม นั วา เปนของเราไดจ รงิ ๆ. แตพ ึงทราบวา เมือ่ อวิชชา (ความโงหลง) ยงั มีอยใู นสนั ดานเพยี งใดแลว ความสําคญั วา เรา หรือของเรา มนั กส็ งิ อยูในสนั ดานเรา โดยเราไมตอ งรสู ึก เพราะฉะนัน้ เราจงึ รบั เอาความทุกข ทั้งมวลเขามาเปน ของเรา โดยเราไมร สู กึ ตัว; จงึ กลาวไดวา ตัวตนของเรา มอี ยใู นขณะท่ีเรายังมี อวชิ ชาหรืออุปาทาน เพราะสิ่งทเ่ี ปน ตัวตน (ตามทีเ่ รารูส กึ และยึดถอื ไวใ นสันดานนัน้ ) เปนสิง่ ทถ่ี ูก สรางใหเ กดิ ขนึ้ โดยอวิชชานั่นเอง. ตวั ตนไมม ีในเม่ือหมดอวิชชา. เม่อื ใดหมดอวิชชา หรอื ความโงหลง เมอ่ื นั้น \"ตัวตน\" กท็ ําลายไปตาม; ความรสู กึ วา \"เรา\" ก็ไมมีในสนั ดานเรา; ไมม ใี ครเปน ผทู าํ หรือรบั ผลของอะไร จงึ ไมมีทกุ ข, ความจริงน้ันมแี ต นามรปู ซงึ่ เกิดขนึ้ , แปรปรวน, ดับไปตามธรรมดาของมนั เรียกวา มันเปน ทุกข. เมอ่ื อวชิ ชาใน สนั ดานเรา (หรือในนามรูปนั้นเอง) กอ ใหเกิดความรสู กึ วา \"นามรูปคือตวั เรา\" แลว \"เรา\" ก็ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 74 / 90
ชุมนมุ เรอ่ื งสน้ั – พุทธทาสภกิ ขุ ใครทุกข? ใครสขุ ? เกดิ ขึ้นสาํ หรบั เปน ทกุ ข, หรอื รับทุกขท ้ังมวลของนามรูปอนั เปนอยตู ามธรรมชาตนิ นั้ . เหน็ ไดวา \"เราที่แทจรงิ \" นัน้ ไมมี มีแตเราทีส่ รางขนึ้ โดยอวิชชา. ทานจงึ กลาววา ความทุกขน ้ันมีจรงิ แตผู ทุกขหามไี ม, หรอื เบญจขนั ธท่ียงั มอี ุปาทาน เปนตวั ทกุ ข. ท่เี รารูสกึ วา มผี ทู ุกข และไดแ กตัวเรา น่เี องนัน้ เปน เพราะความโงของเรา สรางตัวเราขน้ึ มาดว ยความโงน นั้ เอง, ตวั เราจงึ มีอยูไดแ ตใน ที่ๆ ความโงมอี ย.ู ยอดปรชั ญาของพทุ ธศาสนา จงึ ไดแ สดงถึงความจรงิ ในเรอ่ื งนี้ ดวยการคิดให เหน็ อยา งแจมแจงประจกั ษชดั วา \"ตวั เราไมมี\" จรงิ ๆ. อาจมีผถู ามวา ก็เมื่อความจริงน้ัน ตวั เราไมมแี ลวเราจะขวนขวายประพฤตธิ รรมเพ่อื พน ทุกขท าํ ไมเลา ? นี่กต็ อบไดดว ยคาํ ท่กี ลาวมาแลว ขางตน อีกนน่ั เอง, คอื วา ในขณะนี้ เราหาอาจมี ความรูไดไมว า \"ตัวเราไมม ี\". เรายังโงเ หมือนคนบาทย่ี งั ไมหายบา กไ็ มร สู ึกเลยวาตนบา. เหตนุ ี้ เอง \"ตวั เรา\" ซ่ึงสรา งขน้ึ ดวยความโง นน่ั แหละมันมอี ย,ู มนั เปนเจาทกุ ข, และเปน ตวั ที่เราเขายดึ เอามาเปนตวั เรา หรือของเราไวโ ดยไมร ูสึก. เราจึงตองทาํ ตามคําสอนของพระพทุ ธศาสนา เพ่อื หายโง หายยึดถอื หมดทุกข แลวเรากจ็ ะรูไ ดเ องทีเดียววา ออ ! ตวั เรานนั้ ที่แทไ มม จี ริงๆ!! นามรปู มนั พยายามด้ินรนเพ่อื ตัวมนั เองตลอดเวลา มันสราง \"เรา\" ขึ้นใสต วั มันเองดว ยความโงของมนั ; เราทม่ี นั สรางข้ึน กค็ ือเราทก่ี าํ ลงั อา นหนังสอื เลม น้ีอยูนแ่ี หละ ! ความทกุ ข ความสุขมจี รงิ . แตตวั ผทู ุกข หรอื ผูสขุ ที่เปน \"เราจรงิ ๆ\" หามีไม, มแี ต \"เรา\" ท่สี รา งข้ึนจากความไมร ู โดยความไมร ู. ดบั เราเสยี ได กพ็ นทุกขแ ละสุข, สภาพเชน นี้เรยี กวา นพิ พาน. ท่ีกลา ววา พระนพิ พานเปนยอดสุขนัน้ ไมถ งึ เขา ใจวา เปนสขุ ทาํ นองท่ีเราเขา ใจกนั , ตอ ง เปน สขุ เกดิ จากการที่ \"เรา\" ดบั ไป และการทีพ่ นจากสุขและทกุ ข ชนดิ ท่ีเราเคยรจู ักมันดมี าแต กอ น. แตพ ระนพิ พานจะมีรสชาตเิ ปน อยางไรนนั้ ทา นจะทราบไดเองเมื่อทา นลุถึง. มนั อยนู อกวสิ ยั ทีจ่ ะบอกกนั เขา ใจ ดงั ทานเรยี กกันวา เปน ปจ จตั ตัง หรือสนั ทฏิ ฐิโก. ในพระนิพพาน ไมม ผี ูรู, ไมมีผูเ สวยรสชาตแิ หงความสขุ ; เพราะอยูเลยนั้น หรือนอกน้ัน ออกไป; ถายงั มผี ูรู หรือผเู สวย ยังยินดีในรสนน้ั อยู น่ันยงั หาใชพระนพิ พานอนั เปนท่สี ดุ ทุกขจ รงิ ๆ ไม แมจะเปนความสุขอยางมากและนาปรารถนาเพยี งไรก็ตาม มันเปนเพยี ง \"ประตขู องพระ นพิ พาน\" เทา นั้น. แตเมื่อเราถึงสถานะนนั่ แลว เรากแ็ นแ ทต อพระนพิ พานอยูเอง. เมอ่ื นามรปู ยังมีอยู และทําหนาทีเ่ สวยรสเยอื กเยน็ อนั หลง่ั ไหลออกมาจากการลถุ งึ พระ นพิ พานได ในเมอื่ มันไมเ ปนที่ตัง้ อาศยั แหง อปุ าทาน หรอื อวิชชาอกี ตอ ไป. เราเรียกกนั วา นัน่ เปน ภาวะแหง นิพพาน. เม่ือรปู นามนนั้ ดับไปอยา งไมม เี ชอ้ื เหลอื อยูอ กี นั่นก็คอื ปรนิ พิ พาน เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 75 / 90
ชุมนุมเรอื่ งส้นั – พุทธทาสภิกขุ ใครทุกข? ใครสขุ ? ดังน้ี ทา นตดั สินเอาตามความพอใจของทา นเองเถดิ วา ใครเลา เปน ผูท ุกข? ใครเลาเปน ผู สขุ ? แตพ งึ รูตวั ไดว า ตวั เราท่ีกําลังจบั กระดาษแผน น้อี านอยูนั้น ก็ยงั เปน ตัวเราของอวชิ ชาอยู ! ๑ สิงห ๒๔๗๙ พทุ ธทาสภกิ ขุ เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 76 / 90
ชุมนมุ เร่อื งสน้ั – พุทธทาสภกิ ขุ อานาปานสตสิ าํ หรบั คนท่ัวไป อานาปานสติ (สาํ หรบั คนทว่ั ไป อยา งงา ย ข้นั ตน ๆ เพื่อรูจ กั ไวท ีกอ น) ในกรณีปรกติ ใหนั่งตัวตรง (ขอ กระดกู สนั หลงั จดกันสนิท เต็มหนา ตัด ของมันทกุ ๆ ขอ) ศรี ษะ ตั้งตรง ตามองไปที่ปลายจมกู ใหอ ยางย่ิง จนไมเ ห็นสิ่งอ่ืน จะเหน็ อะไรหรอื ไมเห็น ก็ตามใจ ขอให จองมองเทา น้นั พอชนิ เขา ก็จะไดผ ลดกี วาหลบั ตา และไมช วนใหง ว งนอน ไดง ายดวย โดยเฉพาะ คนขึ้งว ง ใหท าํ อยาง ลืมตาน้ี แทนหลับตา ทําไปเร่อื ยๆ ตามนั จะหลับ ของมันเอง ในเมื่อถงึ ขัน้ ที่ มนั จะตอ งหลบั ตา หรอื จะหัดทํา อยางหลบั ตาเสยี ตงั้ แตต น กต็ ามใจ แตวิธที ล่ี ืมตานน้ั จะมีผลดี กวา หลายอยา ง แตวา สาํ หรบั บางคน รูสกึ วา ทาํ ยาก โดยเฉพาะ พวกที่ยึดถือ ในการหลับตา ยอ มไมสามารถ ทําอยางลืมตา ไดเ ลย มือปลอ ยวาง ไวบ นตัก ซอ นกัน ตามสบาย ขาขดั หรือ ซอนกัน โดยวิธที ีจ่ ะ ชว ยยนั นา้ํ หนกั ตวั ใหน่งั ไดถนดั และลม ยาก ขาขัด อยา งซอนกัน ธรรมดา หรือ จะขดั ไขวก นั นนั่ แลว แต จะชอบ หรอื ทาํ ได คนอวนจะขดั ขา ไขวกนั อยางท่ี เรยี กขดั สมาธิ เพชร นนั้ ทําไดย าก และ ไมจ าํ เปน แตข อใหน ั่งคขู ามา เพ่อื รบั น้ําหนักตัว ใหสมดุลย ลมยากก็ พอแลว ขัดสมาธิ อยา งเอาจรงิ เอาจัง ยากๆ แบบตา งๆ นน้ั ไวสาํ หรบั เมื่อจะเอาจรงิ อยา งโยคี เถิด ในกรณีพเิ ศษ สาํ หรับคนปว ย คนไมค อ ยสบาย หรือ แมแต คนเหนื่อย จะนงั่ อิง หรือ น่ังเกาอ้ี หรอื เกาอผี้ า ใบ สําหรบั เอนทอด เลก็ นอ ย หรือ นอนเลย สําหรบั คนเจ็บไข กท็ าํ ได ทําในที่ ไมอ ับ อากาศ หายใจไดสบาย ไมมีอะไรกวน จนเกนิ ไป เสียงอกึ ทึก ทดี่ งั สม่ําเสมอ และ ไมมคี วามหมาย อะไร เชน เสยี งคลืน่ เสียงโรงงาน เหลานี้ ไมเ ปนอุปสรรค (เวนแต จะไป ยดึ ถือเอาวา เปน อุปสรรค เสยี เอง) เสียงท่ีมี ความหมายตา งๆ (เชน เสยี งคนพดู กัน) นั้นเปนอปุ สรรค แกผ ูหดั ทํา ถา หาทีเ่ งยี บเสียง ไมไ ด กใ็ หถือวา ไมม ีเสยี งอะไร ตัง้ ใจทาํ ไป กแ็ ลว กัน มันจะคอยไดเอง ทง้ั ท่ีตามองเหมอ ดปู ลายจมูกอยู กส็ ามารถ รวมความนึก หรือ ความรสู ึก หรอื เรียกภาษาวัดวา สติ ไปกาํ หนด จบั อยูที่ ลมหายใจ เขาออก ของตวั เองได (คนทช่ี อบหลับตา กห็ ลบั ตาแลว ต้งั แต ตอนนี)้ คนชอบลมื ตา ลมื ไปไดเรอื่ ย จนมันคอ ยๆ หลบั ของมันเอง เมื่อเปน สมาธิ มากข้นึ ๆ เพ่อื จะใหกาํ หนดไดง ายๆ ในชน้ั แรกหดั ใหพยายาม หายใจ ใหย าวทีส่ ดุ ท่จี ะยาวได ดว ยการฝน ทง้ั เขา และ ออก หลายๆ ครั้งเสยี กอน เพือ่ จะไดร ูของตวั เอง ใหช ดั เจนวา ลมหายใจ ที่มนั ลาก เขา ออก เปนทาง อยภู ายในนัน้ มนั ลาก ถูก หรอื กระทบ อะไรบาง ในลกั ษณะอยา งไร และกาํ หนด ไดงา ยๆ วา มนั ไปรสู ึกวา สุดลง ที่ตรงไหน ทใ่ี นทอ ง (โดยเอาความรสู ึก ที่กระเทอื น นน้ั เปน เกณฑ ไมต อ ง เอาความจรงิ เปนเกณฑ) พอเปนเครื่องกาํ หนด สวนสดุ ขา งใน และสว นสดุ ขา ง นอก ก็กาํ หนดงา ยๆ เทา ทจี่ ะกาํ หนดได คนธรรมดา จะรสู ึกลมหายใจ กระทบปลาย จะงอยจมูก ใหถ อื เอา ตรงน้นั เปน ทส่ี ุดขา งนอก (ถา คนจมูกแฟบ หนา หัก รมิ ฝปากเชิด ลมจะกระทบ ปลาย เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 77 / 90
ชุมนมุ เร่ืองส้นั – พทุ ธทาสภกิ ขุ อานาปานสตสิ าํ หรับคนทั่วไป รมิ ฝปากบน อยา งนี้ กใ็ หก ําหนด เอาที่ตรงน้นั วาเปนท่สี ดุ ขา งนอก) แลว ก็จะได จดุ ทงั้ ขา งนอก และขางใน โดยกาํ หนดเอาวา ท่ีปลายจมกู จดุ หน่งึ ทสี่ ะดือจุดหนงึ่ แลว ลมหายใจ ไดลากตวั มัน เอง ไปมา อยูระหวา ง จุดสองจุด นี้ ขน้ึ ลงอยูเสมอ ทนี ้ี ทําใจของเรา ใหเ ปน เหมือน อะไรทคี่ อย วิง่ ตามลมนนั้ ไมยอมพราก ทุกคร้ัง ท่ีหายใจทง้ั ข้นึ และลง ตลอดเวลา ที่ทาํ สมาธินี้ นี้จดั เปนข้ัน หนึ่ง ของการกระทาํ เรยี กกันงา ยๆ ในทนี่ ้ีกอ นวา ขัน้ \"วงิ่ ตามตลอดเวลา\" กลา วมาแลว า เริม่ ตน ทีเดียว ใหพ ยายามฝน หายใจใหย าวท่ีสุด และใหแรงๆ และหยาบที่สุด หลายๆ คร้ัง เพื่อใหพ บจุดหวั ทา ย แลว พบเสน ทล่ี าก อยูต รงกลางๆ ไดช ัดเจน เมอื่ จิต(หรอื สต)ิ จับหรอื กําหนดตัวลมหายใจ ทเึ่ ขา ๆ ออกๆ ได โดยทาํ ความรสู กึ ทๆี่ ลมมนั กระทบ ลากไป แลว ไปสดุ ลง ทต่ี รงไหน แลว จึงกลับเขา หรอื กลบั ออก ก็ตาม ดงั นี้แลว ก็คอยๆ ผอ น ใหก ารหายใจ นัน้ คอ ยๆ เปล่ยี น เปนหายใจอยางธรรมดา โดยไมตอ งฝน แตส ตินนั้ คงทกี่ าํ หนดท่ี ลมได ตลอดเวลา ตลอดสาย เชนเดยี วกบั เม่อื แกลง หายใจหยาบๆ แรงนนั้ เหมอื นกนั คอื กาํ หนด ได ตลอดสาย ทล่ี มผา น จากจุดขางใน คอื สะดอื (หรอื ทองสว นลา งกต็ าม) ถึงจดุ ขา งนอก คือ ปลาย จมูก (หรือ ปลายริมฝปากบน แลว แตกรณี) ลมหายใจ จะละเอียด หรอื แผวลงอยางไร สตกิ ็คง กําหนด ไดชดั เจน อยเู สมอไป โดยใหก ารกําหนด น้ัน ประณตี ละเอยี ด เขาตามสว น ถา เผอญิ เปน วา เกิดกาํ หนดไมได เพราะลมละเอยี ดเกินไป กใ็ หต้งั ตนหายใจ ใหห ยาบ หรือ แรงกนั ใหม (แมจ ะไมเ ทา ทแี รก ก็เอาพอใหก ําหนด ไดชดั เจน กแ็ ลว กนั ) กาํ หนดกนั ไปใหม จนใหม ีสติ รสู ึก อยทู ี่ ลมหายใจ ไมม ขี าดตอน ใหจ นได คือ จนกระทัง่ หายใจอยตู ามธรรมดา ไมมีฝนอะไร ก็ กําหนดไดตลอด มันยาว หรือส้ันแคไ หน กร็ ู มันหนกั หรอื เบาเพียงไหน มันก็รูพ รอม อยใู นนน้ั เพราะสติ เพยี งแตคอยเกาะแจอยู ติดตามไปมา อยูกับลม ตลอดเวลา ทําไดอยา งน้ี เรียกวา ทาํ การบริกรรม ในขัน้ \"ว่งิ ตามไปกบั ลม\" ไดสาํ เร็จ การทาํ ไมสาํ เร็จน้นั คอื สติ (หรอื ความนกึ ) ไมอ ยู กับลม ตลอดเวลา เผลอเมือ่ ไหรก ็ไมรู มันหนไี ปอยู บา นชอง เรอื กสวนไรน า เสยี เม่อื ไหร ก็ไมร ู มารูเ มื่อ มนั ไปแลว และกไ็ มรูว า มันไปเมอื่ ไหร โดยอาการอยางไร เปน ตน พอรู ก็จบั ตวั มนั มา ใหม และฝก กนั ไป กวา จะได ในขั้นนี้ ครงั้ หนง่ึ ๑๐ นาที เปน อยา งนอย แลวจึงคอ ยฝก ขน้ั ตอ ไป ขนั้ ตอ ไป ซ่งึ เรียกวา บรกิ รรมขั้นทสี่ อง หรือ ขนั้ \"ดักดู อยแู ต ตรงทีแ่ หง ใด แหง หนึง่ \" น้นั จะทํา ตอเมอ่ื ทําข้ันแรก ขา งตนไดแลว เปนดีทส่ี ดุ (หรือใคร จะสามารถ ขามมาทําขน้ั ท่ีสอง นีไ้ ดเลย ก็ ไมวา ) ในขัน้ นี้ จะใหสติ (หรือความนึก) คอยดกั กาํ หนด อยตู รงทใี่ ด แหงหนึ่ง โดยเลกิ การว่งิ ตาม ลมเสีย ใหก าํ หนดความรูสกึ เม่อื ลมหายใจ เขา ไปถงึ ท่สี ุดขา งใน (คือสะดือ) คร้ังหนง่ึ แลว ปลอ ย วาง หรอื วางเฉย แลว มากําหนด รสู กึ กนั เม่ือลมออก มากระทบ ที่สุดขางนอก (คอื ปลายจมูก) อกี ครงั้ หน่ึง แลว กป็ ลอ ยวา ง หรอื วางเฉย จนมีการกระทบ สว นสุดขา งใน (คือสะดือ) อีก ทํานองน้ี เร่อื ยไป ไมม ีการเปล่ียนแปลง เมอื่ เปน ขณะท่ีปลอยวา ง หรือ วางเฉย น้ัน จติ ก็ไมไ ดห นี ไปอยู บานชอ ง ไรนา หรือทีไ่ หน เลยเหมือนกนั แปลวา สตคิ อยกาํ หนด ทีส่ วนสุด ขางในแหง หนงึ่ ขา ง นอกแหงหนง่ึ ระหวางน้ัน ปลอ ยเงยี บ หรอื วาง เม่อื ทําไดอยางนเ้ี ปนที่แนน อนแลว ก็เลกิ กําหนด ขางในเสีย คงกาํ หนด แตขา งนอก คือท่ปี ลายจมูก แหง เดียวก็ได สตคิ อยเฝากําหนด อยแู ตท ่ี เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 78 / 90
ชมุ นุมเร่อื งสน้ั – พทุ ธทาสภกิ ขุ อานาปานสติสาํ หรับคนทัว่ ไป จะงอยจมูก ไมว าลมจะกระทบ เมื่อหายใจเขา หรอื เมอื่ หายใจออก ก็ตาม ใหกาํ หนดรู ทกุ ครงั้ สมมติเรียกวา เฝาแตตรงท่ี ปากประตู ใหม ีความรูส กึ ครั้งหนง่ึ ๆ เมื่อลมผาน นอกน้นั วาง หรือ เงยี บ ระยะกลาง ทวี่ าง หรอื เงียบ น้นั จิตไมไ ดหนี ไปอยูท่บี า นชอง หรือทีไ่ หน อีกเหมือนกัน ทาํ ไดอ ยา งนี้ เรียกวา ทาํ บริกรรมในขนั้ \"ดักอยูแต ในทแี่ หง หน่งึ \" นัน้ ไดส ําเรจ็ จะไมส าํ เรจ็ ก็ตรงท่ี จิตหนีไป เสยี เมอ่ื ไหร ก็ไมรู มันกลับเขา ไป ในประตู หรอื เขาประตแู ลว ลอดหนไี ปทางไหนเสยี ก็ ได ทั้งน้เี พราะระยะทว่ี าง หรือ เงยี บน้นั เปน ไปไมถ กู ตอง และทาํ ไมดมี าตง้ั แตข า งตน ของข้ันนี้ เพราะฉะนัน้ ควรทาํ ใหดี หนักแนน และแมน ยาํ มาตัง้ แตข้ันแรก คอื ขั้น \"ว่งิ ตามตลอดเวลา\" นัน้ ทีเดียว แมข้นั ตน ท่ีสุด หรือท่เี รยี กวา ขัน้ \"วิ่งตามตลอดเวลา\" กไ็ มใ ชท ําไดโ ดยงาย สําหรับทุกคน และเมอื่ ทําได กม็ ีผลเกินคาดมาแลว ท้ังทางกายและทางใจ จึงควรทําใหได และทําใหเสมอๆ จนเปนของ เลน อยา งการบรหิ ารกาย มีเวลา สองนาทกี ท็ าํ เร่มิ หายใจ ใหแ รงจนกระดูกล่ัน กย็ ิง่ ดี จนมีเสยี ง หวีด หรือ ซดู ซาด ก็ได แลวคอ ยผอ น ใหเบาไปๆ จนเขา ระดบั ปรกติ ของมัน ตามธรรมดาท่ี คนเราหายใจ อยนู ้นั ไมใชระดบั ปรกติ แตวา ตา่ํ กวา หรือ นอ ยกวา ปรกติ โดยไมร ูส ึกตัว โดยเฉพาะ เมอ่ื ทํากิจการงานตางๆ หรือ อยใู นอิรยิ าบถ ทไี่ มเปนอิสระ นัน้ ลมหายใจของตวั เอง อยูในลักษณะ ที่ตา่ํ กวา ปรกติ ทค่ี วรจะเปน ท้ังที่ตนเอง ไมท ราบได เพราะฉะน้นั จงึ ใหเ รม่ิ ดว ย หายใจอยา งรนุ แรง เสียกอน แลว จงึ คอยปลอย ใหเปน ไป ตามปรกติ อยางนี้ จะไดลมหายใจ ท่ี เปนสายกลาง หรอื พอดี และทํารางกาย ใหอ ยใู นสภาพ ปรกตดิ ว ย เหมาะสําหรับ จะกาํ หนด เปน นมิ ติ ของอานาปานสติ ในขน้ั ตน นีด้ ว ย ขอยาํ้ อกี คร้ังหนึ่งวา การบรกิ รรมขัน้ ตน ที่สุดนี้ ขอใหท ํา จนเปน ของเลน ปรกติ สาํ หรับทกุ คน และทกุ โอกาสเถดิ จะมปี ระโยชน ในสว นสุขภาพ ท้งั ทางกาย และทางใจ อยา งย่งิ แลว จะเปน บันได สําหรบั ขน้ั ที่สอง ตอไปอกี ดวย แทจรงิ ความแตกตางกนั ในระหวางขั้น \"ว่ิงตามตลอดเวลา\" กบั ข้ัน \"ดักดอู ยูเ ปนแหง ๆ\" น้ัน มไี ม มากมายอะไรนัก เปน แตเ ปน การ ผอ นใหป ระณตี เขา คอื มรี ะยะ การกาํ หนดดว ยสติ นอยเขา แต คงมผี ล คือ จติ หนไี ปไมได เทา กนั เพ่ือใหเขา ใจงา ย จะเปรยี บกบั พีเ่ ลย้ี ง ไกวเปลเดก็ อยูขา งเสา เปล ขน้ั แรก จับเด็กใสล งในเปล แลว เดก็ มันยัง ไมง ว ง ยังคอยจะด้ิน หรือ ลุกออกจากเปล ในข้นั นี้ พีเ่ ลย้ี ง จะตองคอย จบั ตาดู แหงนหนา ไปมา ดเู ปล ไมใหวางตาได ซา ยที ขวาที อยตู ลอดเวลา เพอ่ื ไมใหเด็ก มีโอกาสตกลงมา จากเปลได คร้ันเดก็ ชกั จะยอมนอน คือ ไมคอ ยด้ินรนแลว พ่เี ลย้ี ง กห็ มดความจาํ เปน ทจ่ี ะตอง แหงนหนาไปมา ซายทขี วาที ตามระยะ ท่เี ปลไกวไป ไกวมา พเี่ ลยี้ ง คงเพยี งแต มองเด็ก เมื่อเปลไกว มาตรงหนา ตน เทา นน้ั ก็พอแลว มองแตเ พียง ครัง้ หนงึ่ ๆ เปน ระยะๆ ขณะที่เปลไกว ไปมา ตรงหนาตน พอดี เด็กก็ไมมโี อกาส ลงจากเปล เหมือนกัน เพราะ เดก็ ชกั จะยอมนอน ขน้ึ มา ดังกลา วมาแลว ระยะแรก ของการบรกิ รรม กาํ หนดลมหายใจ ในขั้น \"วงิ่ ตามตลอดเวลา\" นี้ กเ็ ปรียบกันไดกับ ระยะทีพ่ ี่เล้ยี ง ตองคอยสายหนา ไปมา ตามเปลท่ไี กว ไมใ หวางตาได สวนระยะทส่ี อง ทีก่ ําหนดลมหายใจเฉพาะทป่ี ลายจมกู หรือทเี่ รยี กวา ขัน้ \"ดักอยู เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 79 / 90
ชมุ นมุ เรอ่ื งส้นั – พุทธทาสภกิ ขุ อานาปานสตสิ ําหรบั คนท่วั ไป แหง ใดแหง หนึง่ \" นนั้ ก็คือ ขนั้ ท่ี เด็กชักจะงว ง และยอมนอน จนพเ่ี ลี้ยง จับตาดูเฉพาะ เมอ่ื เปล ไกว มาตรงหนา ตน น่ันเอง เม่ือฝกหัด มาไดถ ึง ขน้ั ทีส่ อง นอี้ ยา งเต็มท่ี ก็อาจฝก ตอ ไป ถงึ ขน้ั ท่ี ผอนระยะการกาํ หนดของสติ ใหป ระณีตเขาๆ จนเกิดสมาธิ ชนดิ ที่แนวแน เปน ลาํ ดบั ไป จนถึงเปนฌาน ขัน้ ใด ขัน้ หนงึ่ ได ซงึ่ พนไปจาก สมาธอิ ยางงา ยๆ ในข้นั ตนๆ สําหรับ คนธรรมดาทวั่ ไป และไมสามารถ นํามากลา ว รวมกนั ไวในทนี่ ี้ เพราะเปน เรื่อง ท่ีละเอยี ด รดั กุม มหี ลักเกณฑ ซับซอน ตอ งศึกษากนั เฉพาะ ผูสนใจ ถงึ ขนั้ น้ัน ในชัน้ น้ี เพียงแตขอใหส นใจ ในขัน้ มลู ฐาน กันไปเรือ่ ยๆ จนกวาจะเปน ของเคยชนิ เปนธรรมดา อันอาจจะ ตะลอ มเขาเปน ช้ันสูงขึน้ ไป ตามลําดับ ในภายหลัง ขอให ฆราวาสทว่ั ไป ไดม โี อกาส ทําสมาธิ ชนดิ ที่อาจทาํ ประโยชนทงั้ ทางกาย และทางใจ สมความตอ งการ ในข้ันตน เสียชนั้ หนึ่ง กอน เพอื่ จะไดเ ปนผชู ่ือวา มีศลี สมาธิ ปญ ญา ครบสามประการ หรอื มคี วามเปน ผูป ระกอบตน อยใู น มรรคมีองคแปดประการ ไดครบถว น แมในขั้นตน ก็ยงั ดีกวา ไมมเี ปน ไหนๆ กายจะระงบั ลงไปกวา ท่ีเปนอยู ตามปรกติ ก็ดว ยการฝกสมาธิ สูงข้นึ ไป ตามลําดบั ๆ เทาน้นั และจะไดพบ \"สง่ิ ทีม่ นษุ ย ควรจะไดพบ\" อีกส่ิงหน่ึง ซึ่งทําใหไมเ สียที ท่ีเกิดมา. หอสมดุ ธรรมทาน ๒๘ สิงหาคม ๒๔๙๑ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 80 / 90
ชุมนมุ เรื่องส้นั – พุทธทาสภกิ ขุ ศานตภิ าพอยทู ีไ่ หน? ศานติภาพอยูท ่ีไหน ? คณะหนงั สอื พมิ พศ านติสาสน มาขอใหขาพเจาชวยเขยี นเร่ืองเปนปฐมฤกษใหแกหนงั สอื พมิ พของตน. ในฐานะ ท่ีเราเปนพวกใฝศ านติภาพดวยกนั ขา พเจา จงึ ยนิ ดรี ับและเขยี นเรื่องน้ี ดงั ท่ปี รากฏแกตาทานท้งั หลายอยบู ัดน.้ี ความสขุ หรอื ความทกุ ข ศานตภิ าพหรอื ความโกลาหลนน้ั มนั สาํ เร็จอยทู ีใ่ จ ซึง่ จะเปน ตวั ผู รูส ึกเทา นัน้ เชนเดยี วกบั สวมรองเทา หนงั บยุ างอยูเสมอ เรากร็ ูสึกหรือไดร บั ผลเปน วา พ้นื แผน ดนิ ในโลกนี้ทัง้ หมดเทวดาทา นปลู าดไวดว ยแผน หนงั ซบั ยางไมม ีทวี่ า งเวนเลย. และโดยทาํ นอง ตรงกนั ขาม ถา หากวา รองเทาทเ่ี ราสวมนั้น มีตะปู ๔-๕ ตัว แลบออกมาจากพื้นรองเทา และเจาะ พ้นื หนังเทาของเรา ทกุ ๆ กาวท่เี รากาวไปแลว โลกนกี้ ็กลายเปน โลกทีเ่ ทวดาลาดไวดวยหนามเทา นนั้ เอง. เพราะเหตนุ เ้ี ปน อนั กลาวไดว า เราสามารถทจี่ ะสรางโลกของเราเอง ใหเปน โลกทต่ี รงกบั ความตอ งการของเรา ไดท กุ เมื่อ ถา เราสามารถจดั การกับตวั เราเอง คือใจของเราเอง โดยไมตอง เก่ียวขอ งกบั ผอู น่ื หรอื สิ่งอื่นเลย. ศานตภิ าพจรงิ ๆ น้ัน มใี นโลกนีไ้ มไดดอก เพราะเหตวุ า ชวี ติ ไดเ ปนตวั สงครามเสยี เอง แลว . โลกคอื ชีวติ ชวี ติ เปนเพียงสเี ขยี ว สีแดง หรอื สีอะไรก็ได ท่ปี า ยกนั ไปปา ยกนั มาบนสิ่งๆ หนึ่ง ทไี่ มมีสอี ะไรเลย ตัณหาเปน ผูปาย อปุ าทานเปนแปรงสําหรับชบุ สปี า ย. มกี ายหรือวัตถุเปน แผน กระดาษทรี่ องรบั สี, \"สิง่ \" ทีไ่ มมอี ะไรเลยนั้น. ไมใ ชส ิง่ เดยี วกับกระดาษ ไมใ ชสงิ่ เดยี วกบั สที ี่ ปา ย เพราะวา กระดาษก็มีสีอยา งใดอยา งหนึ่งอยแู ลว อยา งนอ ยทสี่ ุดกส็ ีขาว ถา หากวาทา นหาตวั ส่งิ ท่ไี มม ีสพี บ กแ็ ปลวา ทา นอาจหาศานติภาพพบ. แตว า แมท า นจะควา่ํ กระปอ งสที ้ังสิ้น หรือเผา กระดาษแผนนั้นเสียดว ย ทา นก็ไมอาจพบ \"ส่งิ \" ท่ีไมม ีสนี ั้นเลย เพราะเหตวุ า \"สง่ิ \" ที่ไมมีสนี น้ั ที่สี ก็มี ทีแ่ ปรงกม็ ี ทกี่ ระดาษก็มี และมีอยใู นท่ีทัว่ ไปดว ย. สอี าจจะปายใหกระดาษเลอะเทอะได แตไ ม สามารถปาย \"สิง่ \" ท่ไี มม ีสีใหเลอะเทอะได แมว าจะไดปายเขา ทส่ี ่ิงนนั้ . เพราะฉะนน้ั ศานติภาพที่ แทจ รงิ นั้น เราไมจําเปนจะตอ งไปหาจากทีอ่ ่นื ใหนอกไปจากโลก ทัง้ ที่ในโลกนัน้ ไมมีศานติภาพ เลย เชน เดยี วกบั ทเ่ี ราอาจจะ \"หยั่งเห็น\" สิง่ ที่ไมมสี ีเลย ไดตรงทีท่ ี่มีสดี าํ สีแดง สีขาว สเี ขียว ฯลฯ นั่นเอง, ทา นจงปดสไี ปเสยี ทางหน่ึง แลว ปด กระดาษไปเสยี อกี ทางหนง่ึ แลว ทา นจะพบสงิ่ ทไ่ี มม ีสี แตอ ยาเพอ นกึ เอาลว งหนา วา เปน ความสญู เปลา , ถาปรากฏเปน ความสูญเปลา ก็ตอ งถอื วา ทาน ยงั ไมมี \"ตา\". ศานติภาพหรอื ส่ิงทีย่ ังไมม ีสนี น้ั ตอ งเปนสง่ิ ทีไ่ มถ กู อะไรทาํ ข้นึ ไมม ีอะไรปรุง ไมม อี ะไร กวน ท้งั อดตี อนาคต และปจ จุบัน. โลกน้ี หรอื ชีวิตนี้ เปน สงิ่ ท่ีมสี ง่ิ อื่นทําข้นึ ปรุงขึ้น และกวนให ปน ปว นอยูเสมอ ทงั้ อดตี อนาคต ปจ จบุ นั . ความเกิดขนึ้ มา ก็ไมใชข องมัน เพราะมันเกิดเองไมไ ด ส่งิ อื่นหลายสง่ิ ปรุงหรอื ทํามันขึ้นมาดวยเหตผุ ลอยางอืน่ ตางหาก มนั จงึ ไมม อี สิ ระเปน ตวั มนั เอง จงึ เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 81 / 90
ชมุ นมุ เร่อื งสนั้ – พทุ ธทาสภิกขุ ศานตภิ าพอยทู ไ่ี หน? สงบไมได ตลอดเวลาที่ยังเปนอิสระไมไ ด. การทาํ สงคราม การจดั เรอื่ งเศรษฐกจิ ศลิ ปะ วัฒนธรรม อารยธรรม หรอื การศึกษาสาขาใด แมจ ะจดั ใหดอี ยางไรก็ตาม ชีวติ น้ันกไ็ มม ีโอกาสทีจ่ ะพบกนั เขา กับศานตภิ าพ หรือสง่ิ ทีไ่ มม ีสนี ้ันเลย เพราะวา สงคราม เศรษฐกิจ ศลิ ปะ วฒั นธรรม อารยธรรม และการศกึ ษาตางๆ ของโลก กค็ อื สที ่ีเลอะเทอะเราดๆี นเี่ อง และเปนสงครามอยใู นตวั , เปน ขบถ อยใู นตัว. จงใหช วี ติ ท่ีมปี รกติธรรมดารอแร จวนจะจมน้าํ ตายอยูเสมอนั้น มองใหท ะลตุ ัวมนั เองหรือ โลกท้งั ส้นิ ขา มไปยังฟากฝงขา งโนน เถดิ จะพบศานตภิ าพ หรอื \"สิ่ง\" ทีไ่ มมสี ี จงระคนสีเขยี ว เหลือง แดง ฯลฯ ทเ่ี ลอะเทอะเหลานนั้ เขา ดว ยกันใหเหมาะสวนจนกลายเปนสขี าว แลว เพกิ ถอนสี ขาวใหส ้ินสญู ไปอีกคร้งั หนึ่งเถดิ จะไดความสงบซง่ึ ไมม ีสี อันเปนจดุ มุงของชวี ติ ทง้ั มวล. นั่นแล คอื ศานตภิ าพ. พทุ ธทาสภิกขุ ปทมุ คงคา ๖ มนี าคม ๒๔๘๙ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 82 / 90
ชุมนุมเรื่องสั้น – พทุ ธทาสภกิ ขุ จะมชี ีวิตเปน คนอยูอยางไรจงึ จะไมข าดทุน จะมชี ีวติ เปน คนอยอู ยางไร จงึ จะไมข าดทนุ ฉันอยากใหเ พือ่ นมนุษยของฉันทกุ คน คดิ ปญ หาขอ ท่วี า ถาเราจะไมเปนคนชนดิ ท่ีเหมอื นกับเขา แตจะเปน อยางของเรา เราจะตอ งเปนอยางไรจึงจะไมข าดทุน. บางคนคงจะยอ นถามฉันวา การเปนคนอยทู ุกวันๆ นี้ ตองลงทุนดวยหรอื ? เหน็ มีแตลงทุนเรยี น ลงทนุ คา หรอื อะไรทํานองนท้ี ัง้ นน้ั ไมเ หน็ มีใครลงทนุ ในการเปนคนเลย. ฉนั จะตอ งขอโทษ ในการทฉ่ี ันมีความเหน็ วา การเคลอ่ื นไหวของเราทุกอยาง ไมวาจะเปนฝายการ ทํา หรอื เปนการรับผลของการทาํ ลว นแตเ ปนการลงทุนในการเปน คนไปหมด เราลงทนุ ลงแรงวิง่ แลนไปในวฏั สงสาร ลงทุนมาเกิดเปน คน ลงทนุ ในการดาํ รงชีพเปนอยู, ตองหวั เราะ ตองรองไห อิม่ หวิ รกั โศก เพลิน หงอย ไปหองนาํ้ ไปหองสวม ฯลฯ ปว ยไข หาย สบาย กระทง่ั ตาย เพื่อ เกิดใหมในท่ีสดุ ทง้ั หมดนเ้ี ปน การลงทุน เรยี นเพอ่ื รู แลวเขด็ หลาบในการท่จี ะไมต องว่ิงมาวนเวยี น เปนเชนเดียวกันตอ ไปอีก ฉนั เห็นวา ทง้ั การกระทํา และการรบั ผลของการกระทําทัง้ ดแี ละชว่ั ทงั้ หมดนน้ั ลว นแตเ ปน การถกู ธรรมชาตบิ ังคบั ใหเราทาํ และเปนไป. เปนการ ลงทนุ เรียน เพอื่ ให เรากลายเปนผสู ามารถขน้ึ อยเู หนือกฎเหลา นนั้ คือ นพิ พาน! ถา เราไมลงทุนดวยการลองมาเปน คน ดเู สยี กอ น เราก็จะไมมีความรอู ะไรเลย ในการท่ีจะถอนตัวขน้ึ ใหพน จากการท่จี ะตอ งเปนคน (หรอื เปน สตั ว) ไป อยางไมม ที ส่ี น้ิ สดุ , เราลงทนุ ดวย การทนเปน คน เพือ่ เรียนรูและ สอบไล ใหไ ดถ งึ ขน้ั ท่จี ะไมตอ งเปน คน อกี ตอ ไป. การตายชวยอะไรเราไมไ ดในขอ น้ี เพราะมันกลับมาเกิดอีก, เวน ไวแ ตเ ราจะเปน คนใหค รบถว นตามหลกั สตู รเสียกอน คือเปนคนชนดิ ทีม่ ีกาํ ไร ไมขาดทนุ . หรอื กลา วอกี อยางหน่งึ กค็ ือ ศึกษาใหร ูจักการเปนคนดว ยการเคยเปนคนเสียอยางเต็มท่ี จนตน สามารถเอาชนะอยเู หนอื การเปนคนของตนเอง ไดนั่นเอง. เราจะเปน ผูมีกําไรประจําวนั ทุกๆ วนั ได ดว ยการท่ีเรามที กุ ขกะใครไมเปน ไมวา เหตุการณอ ยา งใดจะเกิดขึ้น และเราจะงบยอดมกี ําไร เด็ดขาดในขั้นสุด ในการทเ่ี ราเขา ถึงขีดทค่ี วามทุกขไมอาจเกิดขนึ้ อกี ตอไป. บางคนคงจะถามวา ถา เกดิ มาทํางานไดรบั ผลสําเร็จราํ่ รวยสมบรู ณพ ูนสขุ ดวยเกยี รติและทรัพย แลว ยงั จะวา ขาดทนุ ในการเปน คนอกี หรอื ? ฉันตอบวา การสมบูรณพนู สขุ น้นั ก็เปน เพยี งการลงทนุ อยางหน่ึง หรอื ตอนหน่ึงของการลงทนุ ใน การเปนคนเทา น้นั คือ เปน การลงทุนเพ่ือใหเราไดเรยี นรูวา มันก็เปนของหลอกๆ เชน เดยี วกบั การตกระกําลาํ บากเหมือนกัน. คร้ันเรารูจักมันอยางถูกตอ งแลว เราก็จะเปนคนมากขน้ึ อกี จนกระทั่งเปน คนทีเ่ ตม็ (Perfected) โดยทุกๆ ทาง ในการทจ่ี ะบรสิ ทุ ธ์ิ สวา งไสว และสุขเยน็ . ความสมบรู ณพ นู สุขจงึ เปน เพียงการลงทนุ เทา นนั้ ยังหาใชผลกาํ ไรแหงการเปนคนไม ก็ถา ใคร เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 83 / 90
ชุมนุมเรื่องสัน้ – พทุ ธทาสภกิ ขุ จะมชี ีวิตเปนคนอยูอยางไรจงึ จะไมขาดทุน หลงเอาตนทนุ มาใชจ ายเสยี อยา งกะวา มันเปนผลกาํ ไรแลว คนนน้ั กจ็ ะหมดกระเปา เลย! แลว เขาก็ จะตองฟบุ หนา รอ งไหกบั พ้ืนดิน ตรงที่เขายืนนนั่ เอง, ไมเ ชือ่ ใครลองใชค วามสมบูรณพ ูนสุข ใน ฐานเปนผลกําไรของชีวติ ดูเถดิ ! เชิญทานลอง คา การเปน คน ของทา นดเู รอ่ื ยๆ ไปเถดิ ทา นจะเห็นเอง. พทุ ธทาส อินทปญโญ หอสมุดธรรมทาน ไชยา ๑๙ มีนาคม ๒๔๘๖ เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 84 / 90
ชุมนมุ เรอ่ื งสั้น – พุทธทาสภกิ ขุ ธรรมะกับเรา ธรรมะกบั เรา (เรอื่ งน้ี ลงพมิ พในหนงั สอื พมิ พ พาณิชย-บญั ช,ี ฉบบั กรกฎาคม ๒๔๙๐) ทานภกิ ษุ พุทธทาส อนิ ทปญโญ สํานกั อยใู นสวนโมกขพลาราม ไชยา สาํ นักนี้เปนทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรม หรืออีกนยั หนึ่ง คือเปนฝา ยอรัญวาสี ทา นพุทธทาส อนิ ทปญ โญ เปนผูปฏบิ ัติธรรม และปรากฏมาแลววา ปฏิบัติมาดว ยดี ทาน ไดพยายามเราความสนใจของพุทธบริษทั โดยเฉพาะอยางยงิ่ รุนใหมใหส นใจในแกน ของพระธรรม ดงั ทีป่ รากฏ แพรห ลายโดยบทความบา ง โดยปาฐกถาบาง บทความขางลางนีก้ เ็ ปนสวนหนง่ึ ซง่ึ จะเปนประโยชนอยา งยิ่งแก บุคคลในระดับนิสติ แหงมหาวิทยาลยั . (บันทึกของบรรณาธิการ พาณิชย - บัญช)ี ทา นบอกใหฉ นั ชว ยเขียนเรอื่ งหนา ที่ และวธิ ที เี่ ราจะตองปฏบิ ตั ติ อ \"ธรรมะ\" ก็คาํ วา ธรรมะน้ัน โดย พยญั ชนะมีอยา งเดียว. แตโ ดยความหมายแลวมหี ลายอยาง หลายขนาด; ฉันจงึ ไมท ราบวาให เขยี นธรรมะอยางไหนแน กาํ ลังไมแ นใ จอยู ก็เกิดความคิดวา ในข้นั ตน นีเ้ ขยี นเผอื่ ใหห ลายๆ อยา ง ดีกวา , เมอ่ื ทานเลอื กชอบใจอยา งไหนแลว มีเวลาจึงคอ ยเขียนกนั เฉพาะธรรมะอยา งนน้ั ใหละเอยี ด กค็ งสาํ เรจ็ ตามประสงค. คาํ วา \"ธรรมะ\" น้ี โดยศพั ทศาสตรห รือนริ ุกตศิ าสตร แปลวา ส่งิ ซ่ึงทรงตวั มนั เองอยไู ด หรอื โดย ความหมายก็ไดแ ก สง่ิ ท้งั ปวงน่นั เอง ไมม ีอะไรท่ีไมถ กู เรยี กวา ธรรม ไมวาสงิ่ นัน้ จะเปน สิ่ง เปลีย่ นแปลง หรือเปนสิง่ ท่ไี มมกี ารเปล่ียนแปลงก็ตาม ส่ิงทัง้ หลายประเภทท่ีเปลย่ี นแปลง กท็ รง ตัวมนั อยูไดด ว ยการเปลีย่ นแปลง หรือโดยพฤตินยั กต็ วั ความเปล่ียนแปลงน่ันเอง คอื ตัวมนั เอง. สว นสิง่ ท้งั หลายประเภททไ่ี มเปล่ยี น กท็ รงตวั อยไู ดด ว ยความไมเ ปลยี่ นแปลง หรอื ตัวความไม เปลี่ยนแปลงนน่ั เอง เปน ตวั มนั เอง. ทัง้ สองประเภทนี้ ลว นแตทรงตวั เองได จงึ เรียกมันวา \"ธรรมะ\" หรอื \"ธัมม\" แลวแตว า จะอยใู นรปู ภาษาบาลี สันสกฤต หรือภาษาไทย คําวาธรรม โดยศัพทศาสตร ตรงกบั คาํ ไทยแทวา \"สิ่ง\" เปน สามัญญนาม หมายถึงไดท ุกสงิ่ และมคี ุณลกั ษณะคอื การทรงตวั มนั เองตามทีก่ ลา วมาแลว ขางตน หนาทอี่ นั เราจะตองประพฤตติ อ มัน กไ็ มมอี ะไรมากไปกวา เฉยๆ เสียก็แลว กนั อยา ขันอาสาเขา ไปแบกไปทรงใหมนั แทนตัวมนั เลย. นี้คอื คําวา \"ธรรม\" โดย ความหมายรวมและเปน กลางท่ีสดุ . แตคําวา ธรรม น้ี ถกู นําไปใชโ ดยขนาดและอยา งตางๆ กัน มงุ หมายตางกนั เลยทาํ ใหฟ นเฝอไป ได ฉะนนั้ ในกรณหี ลังนี้ ตอ งพิจารณากนั ทลี ะอยางเชน :- คาํ วา \"ธรรมะ\" ท่ีมาในประโยควา \"ผูใดประพฤตธิ รรม ผูนั้นไมไปทุคต\"ิ นนั้ , คาํ นห้ี มายถงึ ศีลธรรม ทัว่ ไป. หนา ทที่ ค่ี นทว่ั ไปจะตอ งประพฤตกิ ค็ ือ ชวยกันบงั คับตนเองใหประพฤต.ิ ศลี ธรรมของคน เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 85 / 90
ชุมนมุ เร่อื งสนั้ – พุทธทาสภิกขุ ธรรมะกบั เรา ทงั้ หลายที่ไมป ระพฤตนิ นั้ ไมใชเ พราะไมรู เปนเพราะทกุ คนพากนั เหยยี บรู ขอจงชว ยกนั อยา เหยียบรตู อไปอกี เลย. คําวา \"ธรรมะ\" ทีม่ าในประโยควา \"บัณฑิตควรละธรรมที่ดํา ควรเจรญิ ธรรมทข่ี าว\" นัน้ . ธรรมคําน้ี มีความหมายตรงกบั คําวา การกระทํา คอื เราอาจพดู ใหชัดเจนเสียใหมว า \"บัณฑติ ควรละการ กระทาํ ทดี่ าํ ควรเจรญิ การกระทาํ ที่ขาว\" ในกรณที ่ีคาํ วา ธรรมะตรงกบั คาํ วา การกระทํา (Action) มีอรรถะเปนกลางๆ เชนน้ี เรามหี นาทีท่ ําแตส่งิ ท่ดี .ี คําวา \"ธรรม\" ทมี่ าในประโยควา \"เขายังหา งไกลจากธรรมน้ันอยางกะฟา กบั ดนิ แมว าเขาจะฟง เทศนท กุ วนั พระ\" น้ีมคี วามหมายตรงกับสถานะหรอื State ชน้ั หนึ่งๆ ตามแตท านจะบัญญัตธิ รรม ไวเ ปนช้นั ๆ อยา งไร. เรามีหนาทีใ่ นเรือ่ งน้ี คือรีบเลือ่ นช้ันใหตวั เอง ใหสมกับเกียรตขิ องตวั . คําวา \"ธรรม\" ทีม่ าในประโยควา \"สังขารท้ังหลายมีความเกิดขึน้ และเสอ่ื มไปเปน ธรรม (อุปปฺ า ทวยธมมฺ โิ น)\" ; คํานี้ตรงกบั คําวา ธรรมดา (Nature) หนาท่ขี องเราคอื บางอยา งควรเรยี นและ สงั เกตอยา งเตม็ ที่ บางอยา งเอาแตเพียงเอกเทศ. ในประโยควา \"พระพทุ ธเจา เกดิ ในโลกเพื่อประกาศสจั ธรรม\" เชนคาํ วา ธรรม หมายถึงกฎธรรมดา (Law of Nature) เชนวา ทกุ ขต อ งเกดิ มาจากสงิ่ นน้ั ความดับทกุ ขม ไี ดเพราะส่ิงนนั้ . หรอื วา ส่ิงทงั้ ปวงตองเปนอยางนน้ั ๆ เปน ตน. หนาทขี่ องเรา คือตอ งทาํ ตวั ใหเ ขา กนั ไดก บั กฎนัน้ บา ง รจู ักนาํ เอา กฎนัน้ มาใชใ หเปนประโยชนบาง. (คําวาสจั ธรรมในทน่ี ี้ ใชคาํ วา ธัมม เฉยๆ แทนได) . ในประโยควา \"เสียทรัพยเ พือ่ ไถเ อาอวยั วะไว เสยี อวยั วะเพ่ือไถเ อาชวี ติ ไว. ยอมเสยี ท้งั หมดนั้น เพ่ือเอาธรรมไว\" เชนน้ี คาํ วา \"ธรรมะ\" หมายถึง \"ความถกู ตอง\" หรอื Righteousness หนา ที่ของ เรา คอื เลอื กเอาเองตามใจชอบในทางทถ่ี ูกตอ ง. ในประโยควา \"ตดั สนิ คดไี มเปนธรรมกลาวหาไมเ ปน ธรรม\" เหลา น้ี คําวา ธรรม หมายถึง ความ ยุติธรรม (Justice of Justness) หนาท่ีของเราคอื ระวังใหเปนธรรม. ในประโยคทพี่ ระทานสวดเมือ่ สวดศพ วา กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพยฺ ากตา ธมมฺ า \"ธรรม ท้ังหลายท่ีเปน กศุ ล, ธรรมทง้ั หลายทเ่ี ปน อกศุ ล, ธรรมทงั้ หลายท่ที า นไมบ ัญญตั วิ า เปน กศุ ลหรือ อกศุ ล\" เชน นคี้ ําวา ธรรม เปน คํากลางๆ มีความหมายตรงกับคําวา \"สงิ่ \" หนา ทข่ี องเราโดยทาง ปฏบิ ัติ ยังกลา วไมไดว า คอื อะไร เพราะยังไมไดย ุตวิ าจะเอาความหมายกนั ตรงไหน. น่เี พอ่ื ชี้ใหเ ห็นวา คาํ วา ธรรม ในภาษาบาลีน้นั กวา งขวางเพยี งไร. คอื ถา ไมมคี ณุ นามประกอบแลว คาํ วา ธรรมในทเ่ี ชน น้ไี มมคี วามหมายอะไรมากไปกวา คําวา ส่ิง น้ันเลย. สิ่ง เทา กับ Thing. เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 86 / 90
ชมุ นมุ เรอ่ื งสัน้ – พุทธทาสภกิ ขุ ธรรมะกับเรา ในประโยควา \"เมื่อธรรมท้ังปวงถูกเพกิ ถอนแลว วาทบถท้งั หลายกพ็ ลอยถูกเพกิ ถอนตามไปดวย\" (สพฺเพสุ ธมฺเมสุ สมหู เตสุ สมหู ตา วาทปถาป สพเฺ พ). คาํ วา ธรรมในทน่ี ี้ หมายถงึ แตส ิ่งตางๆ ท่ี อยใู นวงของความยึดม่ันถอื ม่ันของสตั ว ไดแกค ําวา \"สง่ิ \" เหมอื นกัน แตก นั เอามาเฉพาะประเภทท่ี เก่ียวกับการยดึ ถือ ไมทัว่ ไปแกส งิ่ ทไี่ มยดึ ถอื แคบกวาขอ ขา งบนเลก็ นอ ย. ตัวอยา งในเรอ่ื งน้ี เชน เงนิ ทอง ลูก เมีย ขาวของ เปด ไก วัว ควาย ฯลฯ ถา ใครถอนความยดึ ม่นั วา เปนสัตว เปน คน ตวั ตน เรา เขา ของเรา ของเขาเสียไดแลว เหน็ เปน สักวา สงั ขารเสมอกนั ช่ือทเี่ รยี กส่ิงเหลาน้ันก็ พลอยไมม คี วามหมายไปดวยสําหรับผนู นั้ . นีค้ ําวา ธรรมตรงกับ \"สง่ิ ท่ถี กู ยดึ ถือ\" คืออปุ าทานัก ขันธ ท่มี ีความยดึ ถอื , หนาท่ขี องเราในธรรมประเภทนกี้ ค็ ือ คิดเพิกถอน อยายดึ ถอื จะไดสงบเยน็ ไมข ้นึ ๆ ลงๆ ไปกับธรรมเหลา นน้ั . ในประโยควา \"ธรรมเหลาใดมีเหตเุ ปนแดนเกดิ พระตถาคตทรงแสดงเหตุของธรรมเหลานั้น (เย ธมมฺ า เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต)\" คาํ วา ธรรมในทนี่ ไ้ี ดแ ก \"สิ่งซ่งึ เปนผล\" ซง่ึ มีเหตปุ รงุ แตง ข้ึน และกําลังบงั คบั ใหเ ปนไปตามอํานาจของเหตุ สงิ่ ซง่ึ เปนผล หรือ Phenomena เหลานี้ เรามี หนาทจ่ี ะตองคน หาเหตขุ องมนั ใหพบ แลว จัดการกับเหตนุ ัน้ ๆ ตามท่ีควรจะทํา. เชนทุกขเปน ผล ของความทะยานอยาก เราจัดการสับบลิเมตหรือเปลย่ี นกาํ ลงั งานของความอยากนน้ั เอามาใช เปน กาํ ลงั งานของความรูสึกทางปญ ญา ทาํ ไปตามความรสู ึกทถ่ี ูกทค่ี วร ไมทาํ ตามอาํ นาจของ ความอยากนน้ั ๆ ทุกขกน็ อยลงและหมดไปในท่ีสุด. ในประโยควา \"พระนพิ พานเปน ธรรมที่ปลอดจากโยคะ ไมม ธี รรมใดยง่ิ ไปกวา \" เชน นี้ คาํ วา ธรรม หมายถึง (Thing) สิ่งใดสงิ่ หนงึ่ ในบรรดาสิง่ ทั้งหลาย เชน เดยี วกับสิ่งอน่ื เหมอื นกัน หาความหมาย ในทางปฏิบตั อิ ยางใดอยางหน่งึ มิได เพราะเปน นามศพั ทก ลางเชน เดยี วกบั คาํ วา \"สิ่ง\" ใน ภาษาไทย หรอื คาํ วา (Thing) ในภาษาองั กฤษ ทเี่ กย่ี วกับคาํ วา \"ธรรม\" ลวนๆ ในประโยคน้ี หนาทย่ี งั ไมเกิด. ในประโยควา \"เขาไดร ับประโยชนตอบแทนในทิฏฐธรรม\" (ทิฏฐธรรม แปลวา ธรรมอันสตั วเหน็ แลว) ในประโยคเชน น้ี คําวา ธรรมตรงกบั คาํ วา เวลา หรอื แปลวาเวลา; ในทิฏฐธรรม กค็ อื ภายใน เวลาท่ีผูนั้นเหน็ ไดด ว ยตนเอง คือในชาตนิ ้ี ไมตอ งรอถึงชาตหิ นา . ในกรณีทแ่ี ปลวา เวลาเชน นี้ คํา วา ธรรมลว นๆ ยงั ไมกอใหเกิดหนา ที่อะไร เชนเดียวกบั ขอ ทแ่ี ลว มา. ในประโยควา \"บคุ คลผบู รรพชา อปุ สมบทแลว ไมพึงเสพเมถุนธรรม\" เชนน้ี คําวา ธรรม แปลวา การกระทาํ เปน คํากลางยง่ิ กวาในประโยคที่วา บณั ฑติ ควรละธรรมดํา เจริญธรรมขาว เปน เพยี ง การทํา (Doing) กลางๆ ท่ัวไป ไมม ุงแสดงในทางดชี ว่ั และเปน ศพั ทนามธรรมดาคาํ หนงึ่ ไมมี ความหมายเกยี่ วกบั ทางธรรมหรอื ทางโลกอะไรๆ หมด ตอเมือ่ มีคาํ อ่ืนประกอบเขาจงึ มี ความหมายไปในทางใดทางหนึง่ เชน ในท่ีนป้ี ระกอบกนั เปน เมถุนธรรม แปลวา การกระทําของ คนคู คอื สตรกี ับบรุ ษุ . คาํ วา ธรรมลวนๆ ในที่น้ี ไมมคี วามหมายอันจะกอใหเ กดิ หนา ท่ี และเปน เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 87 / 90
ชุมนมุ เร่ืองส้ัน – พทุ ธทาสภกิ ขุ ธรรมะกับเรา เชนเดียวกบั สองขอทแ่ี ลวมา. (ยกมาเปนตัวอยาง เพ่อื ใหเ ห็นวา คําวา ธรรม ในภาษาบาลีน้นั ทา นใชก ันมากมายหลายประเภทอยางไร) ในประโยควา \"เขากลา วธรรมของตวั เองวา บริบูรณ กลา วธรรมของผอู น่ื บกพรอง (สกํ หิ ธมฺมํ ปริ ปุณณฺ มาหุ อฺญสฺส ธมมฺ ํ ปน ปนมาหุ)\" เชนนค้ี าํ วา ธรรม ตรงกับคาํ วา ลัทธิ คือกลาวใหช ัดกก็ ลาว เสยี ใหมวา \"ลทั ธิของฉนั ถูกตองครบถว น ลทั ธขิ องทานไมค รบถว น\" ดังทีเ่ ชนนักศาสนาชอบกลา ว กนั ในบดั น้ี เพอ่ื ยกศาสนาของตนเอง. ใหเห็นวามีอะไรครบ สมควรยกข้นึ เปน ศาสนาสากลของ โลก คาํ วา ธรรม ท่ตี รงกบั คาํ วา ลทั ธิ (Dogma) เชนนถี้ อื วา ยงั ไมเ กดิ หนาทเ่ี ชนเดียวกนั แตถ าจะ ใหเ กดิ หนาทีก่ ค็ อื ระวงั เลอื กลทั ธทิ ่ีจะเอามาถือใหด ๆี . ในประโยควา \"ภิกษทุ ง้ั หลาย ภิกษุในศาสนานยี้ อ มฟง ธรรมโดยเคารพ ยอมเรียนธรรมโดยเคารพ (อิธ ภิกฺขเว สกกฺ จจฺ จํ ธมมฺ ํ สุณนตฺ ,ิ สกฺกจฺจํ ธมฺมํ ปริยาปณุ นฺต)ิ \" เชน นี้ คําวา ธรรม หมายถงึ ปริยตั ธิ รรม เชน เรยี นพระไตรปฎก เรียนนกั ธรรม เรียนบาลี สรุปกค็ ือ การเรียนดว ยตาํ ราหรอื คมั ภรี ท กุ อยาง หนาทข่ี องเราเกย่ี วกับธรรมในท่นี ีค้ ือ อุตสาหเรียน อตุ สา หฟ ง อตุ สา หคิด อุตสาห จาํ อตุ สา หถ าม ไวนน่ั เอง. ในประโยควา \"ธรรมแล ยอมรกั ษาผูประพฤตธิ รรม (ธมโฺ ม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี)\" เชนนี้ คําวา ธรรม ไดแก ปฏิบตั ธิ รรม หรอื การปฏิบตั ิ ไมหมายเฉพาะการเรยี นเฉยๆ หนา ทีข่ องเราในคาํ วา ธรรมชนิดนี้ กค็ อื การปฏิบัตเิ หมอื นกนั . ตอ งปฏบิ ัติจรงิ ๆ เพยี งแตเ รยี นรนู ั้นไมพ อ หรือจะนอนรอ อํานาจธรรมอันศักด์สิ ทิ ธปิ์ ระจาํ โลกอยางเดียวกไ็ มไหวแน รีบปฏิบตั อิ ยา งลมื หลู ืมตาเทานน้ั จึงจะ เอาตวั รอดได ในประโยควา \"ผูป ติในธรรม ยอ มอยเู ปน สุข (ธมฺมปต ิ สขุ ํ เสติ)\" เชน น้ี คําวา ธรรม หมายถึง ปฏิเวธธรรม คือผลของการปฏบิ ัติ กลา วคือ มรรคท่ีตนไดบ รรลุแลว หรอื เรยี กสัน้ ๆ กค็ ือ ผลแหง การปฏบิ ตั ิ ความปต ิทจี่ ะเกดิ ขึน้ ไดในธรรมนั้น เกิดไดเฉพาะแตในธรรมท่ีตนเองไดบ รรลแุ ลว เห็น แลว เทา นน้ั แมจะเล็กนอยเพยี งไรกต็ อ งเปนธรรมท่ีตนบรรลุแลว เหน็ แลว มฉิ ะน้ันปต ิไมเ กิดขน้ึ คาํ วา ธรรมในทนี่ จ้ี ึงหมายถงึ ปฏเิ วธ หนา ทขี่ องเราทงั้ โดยตรงและโดยออมคอื พยายามหามาชิมดู บางอยาเห็นเปน ของคร.ึ ในประโยควา \"ผใู ดเหน็ ธรรม ผูน้นั เห็นตถาคต ผูใดไมเหน็ ธรรม ผูน้ันแมจ ะคอยดึงมุมจวี รของเรา ไปไหนดว ยกนั ก็หาชอ่ื วา เห็นตถาคตไม\" เชนนี้ คําวา ธรรม หมายถงึ ความหมดกเิ ลส เปน ความ ประเสรฐิ ชนิดทมี่ ีในเม่อื เมอ่ื ประพฤติธรรมสาํ เรจ็ แลว แมบ างสว นหรอื ท้งั หมด จนเห็นชัดวา คนที่ บรสิ ุทธ์ิ คนทส่ี วา งแจมแจง คนท่ีเปน สขุ สงบเปนอยา งนๆี้ ทําใหเหน็ วา พระอรหันต ทา นผิดกับคน ธรรมดา กท็ ี่ตรงนเ้ี อง ชอื่ วา เหน็ ธรรมในทน่ี ี้ คาํ วาธรรมในท่นี ้ี จงึ หมายถึงความเปน พระอรหันต หรอื พระพทุ ธเจา. หนา ท่ขี องเราในเรือ่ งนม้ี ีวา เราจะตองรเู หมือนท่พี ระพุทธเจาทานทรงรู พน เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 88 / 90
ชุมนุมเร่อื งสน้ั – พุทธทาสภิกขุ ธรรมะกบั เรา ความดแี ละความชว่ั เหมือนทีพ่ ระพุทธเจาทานพน โดยเฉพาะคือรอู รยิ สจั ๔ กระท่งั เสวยผลแหง ความรนู ้นั อยูด ว ยใจตวั . ในประโยควา \"ธรรมเปนสง่ิ ทีพ่ ระผูมพี ระภาคตรัสไวดแี ลว เราขอนอบนอมธรรมนนั้ สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม ตํ ธมมฺ ํ นมสสฺ ามิ\" เชนนี้ คําวา ธรรม ในท่ีนี้ หมายถงึ เฉพาะคาํ สอนท่เี ปน นิยยานกิ ธรรม คือท่ี \"ชท้ี างบรรเทาทกุ ข และช้สี ขุ เกษมศานต ชท้ี างพระนฤพาน อนั พน โศกวโิ ยคภยั \" เทานัน้ ไมห มายถงึ สง่ิ ทัง้ ปวงเหมือนบางขอ ขางตน หนา ทขี่ องเราในทน่ี ้ี คอื เรง พจิ ารณาใหอยาง หนักวา ธรรมทต่ี รัสไวน้นั ทนตอการพสิ จู น (เชน สองบวกสามไดห า) จริงหรอื ไม จนเหน็ วา พระองคตรัสไวด ีจรงิ คือไมผิดแลว นอบนอ ม คอื ทาํ ตามเหมอื นอยา งกะวามันเปน สง่ิ ทเ่ี ราคดิ คน ได เอง ทาํ ใหเ กดิ ผลไดเอง. ในประโยควา \"พระพทุ ธเจา ทงั้ หลายไดทรงเคารพใคร แตท รงเคารพธรรม\" คําวา ธรรม ในท่ีนี้ หมายถึงระเบยี บอนั บคุ คลจะพงึ ประพฤตทิ ้งั ตอตนเองและผอู นื่ แมวาตนเองจะไมต อ งการผลอนั จะ พึงไดจากการประพฤติตามระเบียบอนั นั้น กเ็ คารพในการท่ีจะรักษาระเบียบอันน้นั ไวใ หเปน หลกั ของโลก, แมวา ตนจะพน แลว จากบญุ และบาป เปนผทู บ่ี ญุ และบาปไมอ าจฉาบทาตดิ ไดอ กี ตอ ไป ก็ ยังคงเคารพตอ ระเบียบแหงการละบาปบาํ เพ็ญบญุ เพื่อใหระบอบน้ียงั คงเปนหลกั เปน ประธานของ โลกทวั่ ไป แมวาตนเองจะพน ทุกขแ ลว กย็ งั คงเคารพตอ ระเบียบของการปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความพนทกุ ข, เพ่ือพระองคท รงเหน็ วา การอยูโ ดยปราศจากทเ่ี คารพเปนการไมส มควร แตพ ระองคม องหาบคุ คล ใดเปน ทเี่ คารพไมได แมแตพระพทุ ธเจาดว ยกัน, พระองคจ งึ ทรงเคารพธรรม คือระเบียบแหง ความจรงิ (Truth system) ตามที่ควรจะมปี ระจําโลกอยอู ยางไรตลอดอนนั ตกาล คําวาธรรมใน กรณที ีแ่ มแ ตพ ระพทุ ธเจาเองก็ทรงเคารพเชนนี้ หนา ท่ขี องเราก็คอื เคารพเหมอื นกัน ไดแ กเคารพ ตวั เอง ที่รสู ึกวา กาํ ลงั รกั ษาความดีไวใ หค งมีอยใู นตัวเอง และงอกงามไปจนกระท่ังดที ่สี ดุ เปนตน ไป จนกระทั่งเคารพระเบยี บแหง ธรรมทที่ นตอการพสิ จู น ไมมีความประมาทแมแตนอ ย ผใู หญท ด่ี ู ถูกระเบยี บปฏบิ ัตขิ องเด็ก ยอ มทําใหเด็กหมดกําลังใจในการท่ีจะรกั ษาระเบยี บนนั้ . ทั้งน้ีเนือ่ งจาก ผใู หญค นนน้ั เขลาไปวา ระเบียบนั้นมีเดก็ มผี ใู หญไปตามคนผูปฏิบตั ดิ ว ย. ถามองเห็นวา ระเบยี บ ท้งั หลายเปน อันเดยี วกัน ไมมีเด็กผูใหญไ ปตามคนผปู ฏบิ ตั แิ ลว กจ็ ะเปนผูท เ่ี คารพระเบยี บได เต็มท่ี เชนเดยี วกับทพ่ี ระพทุ ธเจา ทานเคารพระเบยี บ ในประโยคยาวทว่ี า \"แมเ ขาฟง ธรรม นอย แตเห็นธรรมดวยนามกาย เขานั่นแหละชอื่ วา ผทู รง ธรรม\" คําวา ธรรม ทงั้ สามคําน้ี ตางกันทงั้ ๓ คาํ คาํ แรกหมายถงึ คาํ สอน (Body of the Teaching) คาํ ทสี่ องหมายถึง ผลของการปฏิบัตธิ รรม ทเี่ ขาทาํ ใหเกดิ ขนึ้ ไดแลว คาํ ท่ีสามหมายถงึ รูปรางแหง การปฏิบตั ธิ รรม. อนั มีอยูที่เนื้อทต่ี วั ของเขา. ประโยคนที้ ง้ั ประโยคใหเ กดิ หนา ที่ คือ ได เลาเรยี นมากหรอื นอ ยไมสําคญั ขอแตใ หไดรรู สของธรรมบางเปน อยางนอยก็แลวกนั ; จะมี ความสุขดว ย จะมีเกียรติวาเปน ผปู ระพฤติธรรมหรอื มีธรรมดวย. การเรยี นจบพระไตรปฎกแตไม เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 89 / 90
ชมุ นุมเร่ืองสนั้ – พทุ ธทาสภิกขุ ธรรมะกับเรา เหน็ ธรรมน้นั ไมม ที างที่จะไดช ือ่ วา เปนผทู รงธรรมเลย. เปนหนอนหนงั สอื หรือคนหาบใบลาน มากกวา . ฉันเขียนมาใหทานเลอื กมากพอแลว, จะเขยี นใหหมดจรงิ ๆ ทานกจ็ ะอา นไมไ หว และเลือกไมไ หว ตาลาย. เมอื่ ทานดูธรรมะเขา ทีเ่ หลย่ี มใดเหล่ยี มหน่งึ เขาตาทา นแลว ทานจงดูเหล่ยี มนน้ั ใหม าก มนั ก็จะทะลุไปยงั เหลี่ยมอน่ื ไดเอง และปรโุ ปรงไปหมด ธรรมะกับเราจะพบกันแลว จัดการอยางไร น้ัน ปญ หาขอนอี้ ยทู ่วี า หมายถงึ ธรรมะอนั ไหนหรอื คาํ ไหนเสียกอน. ทา นตอ งเลือกเอาเองเฉพาะ คน เปนคนๆ ไป เพราะมาจากจดุ ตัง้ ตนทผี่ ดิ กัน. โลกสมัยน้เี ขาไมมีเวลาทจ่ี ะคดิ ธรรมะ หรอื ไมม ี แมแ ตจะอานจะฟง ยอ มเปนการยากอยูที่เขาจะนําธรรมะไปใชใหเปน ประโยชนไ ด มิหนําซ้าํ ยังไม ทราบวา จะตอ งการธรรมะ ตามความหมายของคาํ วา ธรรมะคาํ ไหนดว ยซา้ํ ไป. หอสมุดธรรมทาน พทุ ธทาสภกิ ขุ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 90 / 90
Search