Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชุมนุมเรื่องสั้น

ชุมนุมเรื่องสั้น

Description: หนังสือ ชุมนุมเรื่องสั้น งานของ พุทธทาส ภิกขุ

Keywords: พุทธทาส ภิกขุ ,พุทธทาส,ชุมนุมเรื่องสั้น,ปรัชญา,ธันรบ,พระครูปลัดธันรบ,วงศ์ษา

Search

Read the Text Version

ชมุ นมุ เรอื่ งสั้น – พุทธทาสภิกขุ ปญหายุงยากเกย่ี วกบั การถอื พระรัตนตรัย พระธรรม และดวงจิตของผทู ่ีรตู ามพระพทุ ธเจา กาํ ลงั ประกอบดว ยปญ ญาเปน สว นเคร่อื งพนทุกข อยางเดียวกัน นั่นเปนพระสงฆ และพึงเขา ใจวา นามวา พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ เหลา น้ี เปน คาํ ซึ่งสมมตขิ ึ้น เพื่อใชเรยี กสิง่ สาํ คัญทัง้ สามน้นั และสมมตขิ นึ้ โดยผทู ่รี จู กั หรอื เขา ใจในสง่ิ ทงั้ สามน้ันเปน อยา งดี. ท่เี ปนสว นซ่ึงยงั รวมกันอยู คอื ทย่ี งั ไมไดแ ยกเปลอื กและเน้ือออกจากกนั กค็ ือความทสี่ ิง่ นน้ั ๆ ถูกเพง มองอยางรวมๆ กันไปท้ังตวั จรงิ ของสงิ่ นัน้ และวตั ถทุ สี่ ง่ิ น้นั เขาตง้ั อาศยั , เปน การ มองของผูท ี่อยูในระดับปานกลาง ไมเ พงไปแตฝา ยรปู หรือฝายนามเพยี งดา นใดดา นหนงึ่ , เหมาะ ทงั้ คนธรรมดาและคนฉลาดจะมองตามเหน็ ตามไดง า ยๆ สาํ หรับการมองทาํ นองนี้ พระพุทธเจา ก็ คอื องคพระพุทธเจา รวมทั้งจิตใจ หรอื ปญ ญาซึง่ แนบเนอ่ื งอยูในกายนนั้ , พระธรรม กค็ อื ตัววตั ถุ เหลาใดเหลา หนงึ่ อนั เปนเครื่องสะดุดตาสะดดุ ใจคนผูพบเหน็ ชวยใหเขาเขาใจตอ กฏความจริง ของความพนทกุ ข รวมท้ังตวั ความจรงิ อันเขาจะพบไดโ ดยอาศัยส่ิงเหลา นัน้ , แมทส่ี ุดแตค วามจรงิ สวนใดสว นหนึ่ง ซ่งึ เขาจะคนพบไดใ นการงานท่เี ขาเคยกระทํามาแลว หรอื ในการศึกษาปริยตั ิของ เขาก็ตาม, และพระสงฆ กค็ อื รูปกายพรอ มท้งั จิตอันบรสิ ทุ ธ์ิและปญ ญาอนั มอี ยูในกายนั้น ของผูทรี่ ู ธรรม ตามอยางพระพทุ ธเจา ตามที่รบั ปฏบิ ัตมิ าจากพระพทุ ธเจา โดยไมตอ งคนเอง. ทัง้ ท่คี วามจรงิ นน้ั มีอยูวา เปลอื กนั้นเปน อยา งหนึง่ เน้อื แทเ ปน อีกอยางหนึ่งกต็ าม เรามกั เรยี กสง่ิ นั้นทง้ั สองสิง่ รวมเปน ส่ิงเดยี วกนั คอื เรียกรวมทงั้ เปลอื กและเน้ือของมันวา เปน สิง่ น้นั ๆ เชน เราเรียกทัง้ เปลอื กและเนือ้ ของมันวา ทุเรยี น เปนตน หากใหชถ้ี งึ คุณสมบตั ิ ทีค่ วรจะไดรบั เกยี รตเิ ปน เจาของชอื่ นน้ั แลว ใครก็ตามจะตอ งชีท้ ีเ่ นอ้ื ทเุ รยี น ซึง่ รบั ประทานไดนนั่ เอง แตเพือ่ เขา ใจงา ยๆ เรารวมเรยี กทงั้ หมดน้ันวา ทุเรียน ซงึ่ แปลกวางไปถงึ ตน ทเุ รยี นก็ได ปลอ ยใหผ ูมี ดวงตาคน หาหวั ใจของคาํ วา ทเุ รยี นเอาเอง และทกุ คนแมจ ะมีปญ ญาตาํ่ เพยี งไร เขากย็ อมอยากท่ี จะใหส ว นทก่ี นิ ไดนน่ั แหละ เปน หวั ใจของคําวา ทุเรียนแท ความเขา ใจของคนทุกคนยอ มลงรอย รว มกนั ดงั นี้ แมท ่ีสดุ แตก ระรอกกระแต ก็คงเหมือนกันหมด. สาํ หรับพระรตั นตรัยน้ัน หวั ใจทแี่ ทม ีเพยี งอันเดียว หมายความวา ทัง้ สามนั้นเปนอนั เดยี วกัน ตรงกันกบั ลักษณะเอกานุภาพของ Trinity ของคริสตศาสนา, ของทีว่ ามสี ่งิ เดยี วนั้น คือ พระธรรม คนเปนพระพุทธเจา ได ก็เพราะพระธรรมซึง่ มีอยใู นตน และตนคนพบดว ยตน พระธรรม คือสภาพที่มอี ยเู องทวั่ ไป ไมม เี บ้ืองตน ทา มกลาง และทีส่ ดุ ไมเปนอดีต อนาคต หรือเปน ปจจบุ ัน กะใครได, เพราะเปนเพียงตวั กฏความจริงทค่ี รอบงําโลกอยู โดยทวั่ ไปเทา นน้ั เขาไปสงิ อยูใน บุคคลผูใด ผนู นั้ ก็แปรรูปจากเดมิ ทนั ท,ี พระสงฆเลา เปน พระสงฆข น้ึ มาได กเ็ พราะพระธรรมทตี่ น นอ มนาํ มาใสตนตามวธิ ีท่พี ระพุทธเจาสอนให เชนกบั ทพ่ี ระองคท าํ แกพ ระองคเอง, จงึ ไมม อี ะไร แตกแยกออกไปจากกนั ได ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ โดยหวั ใจ. เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 50 / 90

ชุมนุมเรอ่ื งสนั้ – พุทธทาสภกิ ขุ ปญหายุงยากเก่ยี วกับการถือพระรตั นตรัย แตเ พ่อื ใหเ ห็นชดั เจน เขาใจงา ย ยึดถอื เอาไดงายๆ สาํ หรบั ผูที่จะเขามาถอื พระรตั นตรัย ซ่งึ ยงั ใหมอยู, จงึ มีการแยกชีใ้ หเหน็ ชัดๆ เปน สามอยา ง, ใหแ ตกตา งกันออกไป โดยวัตถุทต่ี งั้ อนั เปนฝายรูปธรรม (Material) ทัง้ สามส่งิ น้เี ปน อันเดยี วกนั โดยความจรงิ อันสงู สดุ (Ultimate Truth) และแมจะไดแยกออกเปนสามอยา ง เพื่อใหเปน การงา ยแกผทู ่ียงั ใหม ในการทีเ่ ขา มารบั ถือชนั้ หนงึ่ แลว กต็ าม น่ันยังไมเ พียงพอ, ยังตอ งมีการแสดงดวยเปลือกเปนครงั้ แรก แสดงดวยเนือ้ แท เปน ขั้นหลงั อีกข้นั หนง่ึ ดว ย, เพราะฉะน้นั กวา เราจะมกี ารเขา ใจในพระรตั นตรัย โดยผานเปลอื กเขา ไปถงึ เนอ้ื แลว รูจักทําเนือ้ ทงั้ สามน้ันใหร วมเปนอันเดียวกันได เปนตัวพระธรรมตวั เดียว, ตวั ซงึ่ มี รศั มีแผซานครอบงาํ ท่วั โลก อยคู ูกบั โลก มีอานุภาพบันดาลใหสง่ิ ทงั้ หลายเปนไป ตรงตามกฏแหง ความจริงอยา งเดียวนน้ั มนั ไมใ ชส งิ่ ท่ีเราคนเราโดยท่วั ไป จะทาํ ไดงายๆ เลย. \"ผูใดไมเหน็ ธรรม ผนู ้ันไมเ ห็นตถาคต, ทงั้ ท่แี มว า เขาจะจับมมุ จวี รของเรา เท่ียวไป ไหนไปดวยกนั ทุกวนั กต็ าม\" นเ่ี ปน พระพุทธภาษิต ท่ตี รัสแกพ ระวักกลิ อนั แสดงเนื้อความวา ผู ทเ่ี หน็ เปลอื ก (คอื รางกาย) ของพระองคนั้น หาชอื่ วา เหน็ พระองคไ ม ผูใ ดเหน็ ธรรม (คือสงิ่ ท่ที ํา พระสิทธารถใหก ลายเปน พระพทุ ธเจา) ผนู ้นั จึงจะชื่อวาเห็นพระพุทธเจา, โดยนยั นี้ เราจะเหน็ ได ชดั ทีเดยี ววา การทจี่ ะเห็นธรรมนน้ั มันมีท้ังเหน็ เปลอื กและเห็นเน้ือแทจ รงิ ๆ แมการเห็นพระ รตั นตรยั ซงึ่ เปน สวนทีไ่ ดกระจายออกไปจากตวั พระธรรม ก็เชน นน้ั ดจุ กนั . การทพ่ี ระองคตรัสวา \"ผูใดเห็นธรรม ผูนัน้ เห็นตถาคต, ผูใดเหน็ ตถาคต ผนู ้นั เห็นธรรม\" ดังนี้ ยอ มแสดงใหเ ห็นวา พระพุทธเจา กบั พระธรรมเปน อันเดยี วกนั สวนรปู กายนนั้ ไมใชท้ังธรรม และตถาคต, เปนเพียง เปลอื กของธรรมหรอื ของตถาคต การเหน็ เปลอื ก และเหน็ เนื้อแท จงึ ไมใ ชอ นั เดยี วกัน และแยกกัน ไดอยางเดด็ ขาด. แตแมว า การเหน็ เปลอื กกบั เห็นเน้อื จะเปนคนละอันเชน นน้ั ก็ตาม, ในวงศลี ธรรมแหง พระพทุ ธศาสนาตอ งมีคูกันทง้ั เหน็ เปลือก และเห็นเนอื้ . และในสว นตวั พระธรรมเอง กต็ องมที ัง้ เปลอื ก และเน้ืออาศัยกัน จงึ จะเปนประโยชนแ กโ ลกได, หนาที่ของเราท้งั หลายจงึ มีวา เราจะตอ ง เห็นใหถกู ใหต รงตามทีเ่ ปน จริง เปนอยา งๆ ไปเทา นน้ั เอง. ถามฉิ ะนนั้ กจ็ ะเกดิ การแกง แยง หรอื ดู หมนิ่ กันข้ึน เพราะตางฝายตา งจะถือร้ันวา ฉันเห็นถูก ทานเหน็ ไมถ กู ซึ่งลว นแตม ีเหตผุ ลกันคนละ ทาง ท้ังสองฝา ย. ขอทว่ี า จาํ เปน จะตองมีทง้ั เปลือกและเนอ้ื นั้น คิดดูงา ยๆ ก็จะเหน็ ไดว า ถา หากวา ความ หวานไมอาศยั น้ําออ ย หรอื นํา้ ตาล เปน ทตี่ ้งั อาศัยแลว มนั จะปรากฏแกล ิ้นมนุษยไดอยางไร, ถาไม มตี มุ หรือขวดใส เราจะเก็บนา้ํ ไวไ ดอ ยา งไร, แมท ีส่ ุดแตก ารทีเ่ ราจะเกบ็ มงั คุดไวร บั ประทาน มันจะ เปน ไปไมไดเลย ถา จะปอกเปลือกออกทง้ิ เสียกอ นแลวเกบ็ เนื้อลว นๆ ไว เดก็ ๆ ไมรูแมแตเพียงวา ในตวั เองมีสิง่ ซง่ึ เขาเรยี กวา จติ อนั เปน นามธรรม, จึงไมอาจรูจัก ตัวปญ ญา หรอื ตวั ความบรสิ ุทธซ์ิ ่ึงเราจะบอกวาเปนองคพ ระพุทธเจาทแ่ี ท. แตถาบอกวาองค เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 51 / 90

ชุมนุมเร่ืองสนั้ – พุทธทาสภกิ ขุ ปญหายุงยากเกยี่ วกบั การถือพระรตั นตรัย พระพุทธเจา ซึง่ มีประวตั ิเปน เชน นัน้ ๆ หรือจะชท้ี ี่พระพุทธรูปสําคญั ๆ ในโบสถ วา เปน พระพุทธเจา ไปกอน ก็ยังเปนการดีกวาทจ่ี ะไมบ อกใหย ดึ ถืออะไรไวเ สยี เลยอยูนัน่ เอง. สาํ หรบั ผใู หญท่ีไมม ีการใชความคิดนึก กไ็ มตา งอะไรกันกบั เด็ก จึงจัดเปน เด็กในที่น้ดี ว ย. เม่อื เปน ผูใ หญม ี ความคดิ นกึ ขน้ึ กจ็ ะคอ ยรูจกั สง่ิ ท่เี ปนประเภทนามธรรมมากข้ึน อนั จะเปน หนทางใหเขารูจ ัก พระพุทธเจาตวั จริงไดเอง; เชน เดยี วกบั ท่เี ม่อื เขาโตข้นึ เปน ผใู หญย อมเขาใจคําวา \"การมลี ูกเมยี \" ไดด ีกวา เมือ่ ยงั มอี ายุ ๔-๕ ขวบ ฉนั นนั้ เหมือนกนั , แมไมมีใครบอกเลา , เปน เพียงเขาใชค วาม สงั เกต หรือการศึกษาประเภททเ่ี ปน ภายในอยเู สมอ. เม่อื เล็กๆ คนเราเหมาะที่รบั คาํ บอกอยา งงายๆ สําหรบั จะไดเช่อื เพ่อื ปองกนั ตวั เองไมใ ห ตกไปฝายตํา่ , ขณะนนั้ เราไมต องการเหตผุ ล เพราะเรายงั ไมมคี วามคิดนกึ ในทางเหตผุ ล, ขืนให เหตุผล หนักเขา ก็จะเห็นเปน เซาซ้ยี ุง ยาก เลยไมเ กยี่ วขอ งเอาเสียทเี ดียว. การใหเ ด็กๆ รับถอื พระ รตั นตรัย เพื่อเปนพทุ ธมามกะก็อยูในกฎความจรงิ อันนี้ เราจงึ จาํ เปน ตอ งมกี ารถอื ประเภททง้ั เปลอื กเขาไวในวงแหงศีลธรรมของเราดว ย เพราะตองการใหเ ดก็ ทกุ คนถอื พระรตั นตรัย เพอ่ื ยอม นํ้าใจไปเสียตงั้ แตแ รก. ในคร้งั พุทธกาลไมปรากฏวา มกี ารเกณฑใ หถ ือพระรตั นตรัย ท้งั ทีผ่ ูนั้นยงั ไมร จู กั วา พระรตั นตรัยคอื อะไร แมจะเปน ผใู หญแ ลวกต็ าม. เขาถือของเขาเอง และเปลงวาจา ปฏญิ าณตนเปน ผูถอื พระรตั นตรัยออกมาจากหัวใจของเขาเอง จงึ ไมจําเปน ตอ งมกี ารถือประเภท ทั้งเปลอื กซึง่ ตรงกบั ความตอ งการของเราในบดั น.ี้ อนั เราทราบกันอยูดแี ลว วา หนกั ไปในทาง ประเพณีมิใชเปนไปเองตามอํานาจจิตใจ. เพราะฉะนั้น การถอื หรอื การไดอ านิสงสข องการถอื หรือการประพฤตศิ ีลธรรมน้ัน จึงเกิดเปน มีสองอยางขึ้นตาม คือไดอานิสงสช นิดที่เปน ประเพณี อยา งหนึง่ อานสิ งสอ ันแทจ ริงอยา งหน่ึง, เทา เทยี มกันกบั การถือ. ความจรงิ เนอื้ แทของพทุ ธศาสนานน้ั เปน ฝก ฝา ยของเหตผุ ล หรือปญ ญา หรือปรชั ญา คือเปนส่ิง ท่ีเหมาะสําหรบั คนพวกฉลาด. เชน การรบั ถอื พระรัตนตรัย ก็ถอื กนั เฉพาะผูท ่รี จู กั พระรตั นตรยั แลวดวยปญญาอยา งชดั เจนแจมแจง ถูกตองตามตามท่ีเปน จรงิ เทา นั้น, คร้นั มาบดั นี้ เราตอ งการ ใหแ ปรรปู มาเปนศาสนาทวั่ ไป คือเปน ศลี ธรรม (Moral) สําหรับทุกๆ คนถอื ถอื ทัง้ เด็กท้ังผูใ หญ ท้งั โง ท้งั ฉลาด หรือปานกลาง, ตวั ศาสนาทเี่ ราจะถือและวธิ ถี อื ของผถู อื กจ็ ําเปน อยูเองที่จะตอ ง แปรรูปไปจากเดิม เพือ่ ผลอนั กวางขวางทเ่ี ราตอ งการนัน้ . เมอ่ื เหตุภายในหรือความจริงเปลีย่ นไปดงั นี้ แตข างภายนอกไมไดเปลย่ี นไปใหเ หมาะสมกัน กเ็ กดิ การแกงแยงโตเถยี งแยง กันข้นึ ในหมนู ักคดิ คน , และเกดิ การถอื อยางงมงายไรป ระโยชนขน้ึ ในหมผู ู ที่ไมร ูจักถือใหท ะลุเปลือกเขาไปหาเนอื้ แท และทําใหเ ขา กันไมส นทิ ในระหวา งชนสองพวกน้,ี การ ถอื พระรัตนตรัย ซง่ึ จดุ ประสงค เพ่อื เปน ยานพาหนะเขา ถึงพระนพิ พาน เปรยี บประดุจพว งแพ สําหรับขา มมหาสมุทร ก็กลบั กลายเปน ถูกจับข้ึนใชแทนอาวธุ สําหรบั ปราบปรามกนั ใหพ า ยแพ กอ นแตจ ะออกเดินทางนั่นเอง. พวกหนึง่ มคี วามรูสูงและอวดดีกเ็ หยยี ดและแสดงอาการขยะแขยง ตอ ความรู และการถอื ของอกี พวกหนึ่ง ซง่ึ เปน พวกมีความรูตํา่ แตถ อื อยา งยึดม่นั ถอื มั่น ยอมตาย เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 52 / 90

ชมุ นมุ เรอื่ งสั้น – พทุ ธทาสภิกขุ ปญ หายุงยากเกย่ี วกบั การถอื พระรัตนตรัย กบั พระรตั นตรยั ทงั้ ทไ่ี มต อ งรูว าพระรัตนตรัยนน้ั คอื อะไรมากไปกวาทีเ่ ขาวา ๆ กันตามศาลาการ เปรยี ญของบคุ คลผูถ ือสบื ๆ กนั มาแตโ บราณเทา นนั้ . ในยคุ แรกๆ โนน ปรากฏในพระบาลวี า ผทู ี่ หลงใหลในพระรัตนตรยั เกินขดี ไปกม็ อี ยบู า ง พวกนเี้ รียกวา มุทุปสนั นา, ยอมถวายเมถุนธรรมแก ภิกษบุ างรูป ทเ่ี ขาไปหลอกวา เมถนุ เปน ของหายากสําหรับภิกษุ ถาถวายจะไดบ ญุ มาก ดงั นี้กม็ .ี นน่ั กเ็ พราะความรักพระรัตนตรยั ผดิ เนื้อทแี่ ท ถกู เปลอื กนอก และทปี่ ลอมดว ย. คนชนดิ น้ี ถาจะ เทียบกันในบดั น้ี กเ็ ห็นจะเทา กันกบั พวกทยี่ อมเอาทองหุมเจดยี  หรอื ท้ังท่เี หน็ อยูวา เขาตองเอาไป เทท้งิ เพราะมากมายเหลอื เฟอ ก็ยังจะถวายอาหารใหว ัดนัน่ เอง แมว าจะมีเพอื่ นบานกําลังอดจวน ตายกันอย,ู ลงทุนนํ้ามันเช้อื เพลิง จดุ บชู าพระพทุ ธรูปหรือเจดียอ ยา งรุงโรจนสวางไสว ทัง้ ทีเ่ พ่อื น มนษุ ยด ว ยกนั บางเหลา กําลังทนลําบากอยูในทีม่ ืด เพราะความขาดแคลนและ ฯลฯ. น่ีมใิ ชบ คุ คล ประเภทนนั้ จะไมร เู สียทเี ดยี ววา การทาํ ประโยชนชว ยเหลอื ผอู ื่นน้ันเปน ความด.ี แตเปน เพราะเขา เหน็ วา การทีเ่ ขาทําเชนน้นั ๆ เปน การทําตอพระรตั นตรัย, สว นท่ีจะมาเจอื จานแกคนยากจน เหลาน้ีไมค ุมกนั เพราะไมใชพระรตั นตรยั หรือเน่ืองกับพระรตั นตรยั ตามทรรศนะของเขา. นี่แหละ, เราจะเหน็ ไดวา การเหยยี บรกู ับการงมงายนนั้ แมจ ะตางกันอยางตรงกนั ขา ม มันกเ็ ปน ผลรา ยดวยกนั ทงั้ สองฝา ย. แตถ าเพง ลงไปใหละเอียดอีกสกั หนอ ยแลว จะพบวา การงมงายเสยี อกี ยังจะไดเปรยี บ เพราะคนงมงายนนั้ อยา งไรเสียก็ชวยกนั บาํ รุงศาสนาไวโดยเปลอื ก, สว นคน เหยยี บรู จะไมไ ดเ สียเลย ท้งั โดยเปลือก และโดยเนื้อ สวนมากมกั เปนพวกขีเ้ กยี จและเห็นแกต น ดวย บางทกี ท็ ํานาบนหลังคนงมงายนนั่ เอง. เม่อื เราตอ งการจะใหเปนไปอยา งถูกตอ ง นาชมุ ชน่ื ใจจริงๆ ก็ควรทจี่ ะถอื พระรตั นตรัยดวยการลืม ตาดู คอ ยๆ ปอกเปลือกออกท้ิงเสียคราวละเลก็ ละนอย จนในทีส่ ดุ ก็เขา ถึงเน้อื แทไ ดตามลําดบั ๆ เชน เดยี วกบั การปอกมะพรา ว ปอกเปลือกแข็งออก, ปอกเปลือกออ น, แลว ตอยกะลาจนไดบรโิ ภค เน้ือใน หรือคั้นเอาน้ํากะทอิ อกมาไดฉันน้ัน. ถาเรากําลงั เกาะอยทู เี่ ปลอื กกต็ องรวู า เราเกาะ เพ่อื จะ เจาะใหท ะลุเขา ไปขางใน ไมใ ชต องการเปลือก เชน เดยี วกบั ทเี่ ราไหวพ ระพุทธรปู นนั้ มิใชเพือ่ แลก กับการไดไปสวรรค หรือขอใหเ ปน อยา งนน้ั อยางน้ตี ามทเี่ ราตองการเปน ตน , ซึ่งเปน เพียงการ หลอกตวั เอง ใหสบายใจดว ยการท่ไี ดทําความเชอ่ื มัน่ ของตวั เองเทา นนั้ . นกั สอนศาสนาบางคน สอนแตทอ นเดยี ววา ความสบายใจเปนบญุ หรอื บุญเปน ชื่อของความสบายใจ, ไมส อนเลยไปถงึ วา เราควรคดิ หรอื เขา ใจอยา งไรตอ ไป. การไดสบายใจเพราะเพียงแตไ ดไหวพระพทุ ธรูปเชน นนั้ ยงั ไมใชของแนน อนหรือถงึ ทส่ี ดุ , ถา เราเช่อื ลัทธอิ นื่ เราอาจไหวส ง่ิ อน่ื ก็ได ซึง่ จะไดบุญ หรอื ความ สบายใจนน้ั เทา ๆ กัน. แตส ิ่งท่พี ระพุทธเจา หรอื พระรัตนตรยั จะใหแ กเ รานัน้ สงู กวา น้นั มากนกั . ถาเราดใี จเพราะยึดถือเอาท่เี ปลอื กบญุ ทไ่ี ดม นั ก็ยงั เปน ชนดิ ท้ังเปลือก เชน เดียวกบั ที่ผลไมท ี่ยงั ปอกเปลอื กออกไมไ ด, มคี วามดใี จเพียงแตว า เราม!ี เราม!ี ! เทา นั้นเอง. เราจะไหวพระรัตนตรัย หรือเขาถงึ ตวั พระรตั นตรยั ไดในท่ที กุ แหง ไมเ ฉพาะแตใ นโบสถ. แตท่เี รา ทาํ เชน นั้นไมไดก ็เพราะวา แมท่ชี นิดทีท่ ้งั เปลอื กเรากย็ งั ไมอ าจถือเอาไดอยูน ัน่ เอง. สมาชิกทีเ่ ดนิ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 53 / 90

ชุมนมุ เร่อื งสน้ั – พทุ ธทาสภกิ ขุ ปญ หายุงยากเก่ยี วกับการถือพระรตั นตรัย ไปโบสถเ ปน แถวๆ กเ็ พราะเกรงกฎวัด หรอื กฎโรงเรยี น. ใครไมถ ูกไลอ อกจากวดั จากโรงเรยี น, หรอื อยา งนอยทสี่ ดุ ก็ยงั เกรงใจครบู าอาจารย; แมผ ทู สี่ มัครไป สมคั รไหวดว ยตนเอง สวนมากก็ เปนเพราะความกลวั หรือความคดิ สัน้ ๆ วา มนั ควรจะทําหรอื จะตองทาํ ไปเทา นน้ั , แทนท่ีจะได ความชมุ ช่ืนใจอันแทจ รงิ กลบั ไดม าเพยี งเครื่องปลอบตวั เองวา เห็นจะไมตกนรกแนแลวเทา น้นั . เราจะมองเห็นไดชดั ทเี ดียววา นนั่ ยังไมเ พียงพอ. ยิง่ สําหรับบางหมบู างคณะทําการไหวพระสวด มนต เพยี งเพื่อจดลงสําหรับรายงานผูใหญเพือ่ หาความชอบข้นึ ไปเปน ลาํ ดบั ดวยแลว ก็ยิ่งจะหาง ออกไปอีกมาก เพราะทําเพยี งเพอ่ื ใหคนนอกสรรเสรญิ มดี อี ยูบา งก็ท่ีดกี วา ผทู ีไ่ มทาํ เสยี เลย ทง้ั โดยกายและโดยใจ. แตนน่ั เปน การเขาถึงบางเพยี งเปลอื กชัน้ นอกเทาน้นั เอง เปนอยา งมาก. แทจ รงิ เครอื่ งหมายแทนองคพระรัตนตรยั เชน พระพทุ ธรูปเหลา น้ี ในเม่อื เราทําถูกวธิ ,ี คือทาํ ให เปน เหมอื นเครื่องแวดลอ มขางนอก ทจี่ ะผลกั เราเขาสภู ายในเรอื่ ยไปไมรูจักหยุดหยอนแลว กจ็ ะ เปนคุณประโยชนอยางใหญหลวง, คอื เราจะถึงพระรตั นตรยั จรงิ ๆ เมอื่ เราเหลอื บเห็นพระพุทธรูป เราจะตองมคี วามรูส กึ วา ความดีท่ีสุด ก็คือการทาํ ตนใหอ ิสระเหนือความทุกข เหมือนบคุ คลผเู ปน เจา ของอนสุ าวรียอันน้ี (คือพระพทุ ธเจา ), และวา อนุสาวรยี เองเปนพยานเครื่องยืนยันวา การทํา เชน นน้ั ไมน อกเหนอื ไปจากวสิ ยั มนษุ ยจ ะพงึ ทาํ ได เพราะพระพทุ ธรปู นี้ คือรูปคนๆ เรานี่เอง. พระพทุ ธรูปนมี้ ไี วสําหรบั เปน เครอื่ งกระตนุ เตือนผพู บเหน็ ใหร สู ึกวา วธิ ีทีม่ นษุ ยจ ะชนะความทกุ ข ทนหมนหมองนน้ั มีอยูแนๆ คลา ยๆ กบั วา พระพุทธรปู นั้น มวี ญิ ญาณของพระพทุ ธเจาสิงอยใู นน้ัน เพอ่ื คอยเตอื นเราวา \"เจา จงทําตามอยางที่เราทํามาแลว เถิด\" ความจาํ หมายในเรอ่ื งความเขา ใจ โดยอนุมานหรือเปรยี บเทยี บ, หรือเคยรูเ คยชมิ มาจริงๆ ในรสแหง พระธรรม คอื ความชมุ ชื่นเยอื ก เย็นแหง ใจนนั้ ควรจะเรียกมาสคู วามรสู กึ หรอื ซอ มความจํานนั้ ใหแ จมแจง ชัดเจนยงิ่ ข้นึ ทกุ คราวที่ เราสบตาตอ พระพทุ ธรปู , คนท่เี ปน บาเพราะต่นื ตกใจกลวั อะไรบางอยา ง ถาจะมใี ครคอยเอาภาพ หรอื สิ่งท่ีนากลวั นน้ั คอยตดิ หรอื ขใู หเ ห็นอยูเสมอ ไมวาจะเหลอื บตาไปทางใดแลว , ก็มแี ตจ ะทาํ ให เขาบา หนักขน้ึ หรอื อยางนอยที่สดุ กไ็ มร ูจ ักหายบา ; ก็เมอื่ ฝายชั่วยังเปน ไดถึงเชนนนั้ แลว ทําไม พระพทุ ธรปู ซงึ่ มอี ยทู ่วั ไปจะไมชวยใหความรสู ึกที่ดงี าม อันมอี ยบู า งแลว ในใจเรานนั้ ลุกกระพือ ยง่ิ ขน้ึ ไปไดเ ลา , หรืออยา งนอยจะไมชวยพยงุ เราไวใหอ ยใู นระดับนนั้ เสมอ. เม่อื เรารูสกึ ตัววา เราดี ขน้ึ แลว หรอื อยา งนอยท่ีสดุ เราไมไดเลวลงดังน้ี, นน่ั แหละ คอื บุญหรอื ความช่ืนใจอนั ไดจากการ ไหวพ ระพุทธรปู แทนองคพ ระพุทธเจา, และเปนบญุ อนั แทจ รงิ . ไมตองปรารภหรือเกยี่ วเนือ่ งกบั คนนอก เราก็ทาํ ของเราเองได. ดวงจิตของเราเทา นน้ั ท่สี ามารถชําแรกตวั เองเขา ไปจนถงึ องคพระรตั นตรัย โดยผา นทะลทุ าง พระพทุ ธรูปหรือตัววตั ถอุ นั เปน พทุ ธานสุ าวรยี อื่นๆ; หรือโดยไมตองผานอะไร เพราะสรา งขึน้ ใน ดวงใจของเราเอง ไมวาในสถานท่ไี หนก็ได. ถาเราสามารถ, เราอาจสรา งขึ้นได แมใ นโรงละคร. สรางตัวปญญา อนั เปนเครือ่ งชวยกระชากเราออกมาเสีย จากกองเพลงิ แหงทุกขแ ละกิเลส. เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 54 / 90

ชุมนุมเรือ่ งสน้ั – พุทธทาสภิกขุ ปญ หายุงยากเกี่ยวกับการถือพระรตั นตรัย ดังกลา วมาแลว ทัง้ หมดนี้ เราจะเหน็ ไดว า การถึงพระรัตนตรัยนนั้ ก็คอื การทจ่ี ิตของเราไดส ัมผสั กันเขากบั ความแจม แจง , ความบริสุทธ์สิ ะอาด. ความสุขทีเ่ ยือกเยน็ เปนธรรมชาติ อนั ไดแกต วั พระ ธรรม ซ่ึงมีอยูในจติ ของพระพุทธเจาหรอื พระสงฆ หรือทีท่ าํ บญุ ใหกลายเปนพระพทุ ธเจา หรอื พระสงฆไปนน่ั เอง. ศิลปะอนั น้ไี มยากสําหรับผทู เ่ี คารพหรอื ซอ่ื ตรงตอ ตวั เอง, (ไมต องพูดถึงตอ ประชาชน, เพราะผซู ่ือตรงตอ ตนเอง, ยอมซ่ือตรงตอ ประชาชนเปนธรรมดา) แตยากยิ่งนกั สาํ หรับ ผูท่ีตรงกันขาม; เพราะฉะนน้ั เรากลาวไดว า ไมย าก และทัง้ ไมง ายดวย. ผูซือ่ ตรงตอตนเอง จะตอง ทะลุเปลอื กเขา ไปเปน ชัน้ ๆ โดยเร็วเปน แน, แมจ ะเปน ชั้นออนปญ ญา กย็ ังไดรบั ความชุม ชนื่ สบาย ใจชนดิ ทีส่ ะอาดหมดจดแท. คนซื่อตรงแมโ ง กพ็ บความบรสิ ทุ ธเ์ิ ร็วกวา คนคดโกง แมจ ะแสนฉลาด หาตัวจบั ไมค อ ยได, ทางโลกคนฉลาดตบตาคนได, แตท างธรรม คนฉลาดจะตบตาพระธรรมไมได. คนฉลาดทางโลกเชนน้ี จะตองอบตัวอยกู บั ความสกปรก จนกวาจะเขด็ หลาบ กลายเปนคนซ่ือตรง เสยี กอ น จงึ จะเขาถึงความบรสิ ทุ ธ์ิ หรอื พระธรรมนนั้ ได. ขอทานผูอา นทง้ั หลาย จงหาความซอ่ื ตรงตอตัวเองไวเปน ทนุ ใหเ ตม็ ทีเ่ ถดิ อยาคาํ นงึ ถึงวา ทาน เปน ผโู งเ ขลาอยางไรเลย: เพราะความสขุ ที่บรสิ ุทธน์ิ ัน้ มีไวสาํ หรบั คนซื่อตรง, ความซื่อตรงนน้ั จะ ชวยเปน รอกแมแรง ดงึ ตวั ทานเขา หาความบรสิ ุทธ์ิ ขยบั เขาไปทีละนดิ ๆ โดยอาการทค่ี วามชว่ั รา ย จะมาจูงไปนอกทางไมไ ด และขอ สาํ คัญอนั หนง่ึ ทท่ี า นจะตองเห็นอยา งแจม แจงอยเู สมอนน้ั คอื เรา จะมุง เฉพาะความสขุ ทบ่ี รสิ ทุ ธิ์บรบิ รู ณ, จะเปน นักปราชญหรือไมเ ปน เปนผสู ามารถหรือไมเ ปน, ใครจะเลื่อมใสหรอื ไมเลอ่ื มใสน้นั ไมเ ปนปญหา! ขอทา นทัง้ หลาย จงชําระปญ หายงุ ยากอันเกี่ยวกับการถือพระรตั นตรยั ดังวา มานี้ ใหส ะอาดหมด จด หรือสะอาดหมดจดยงิ่ ขึ้นไดสมประสงคโดยเร็วเถดิ . ขาพเจาขอจบการบรรยายน้ีดว ยถอยคํา ซง่ึ จะชกั ชวนใหทานพยายามยิ่งขึ้นทางกาย วาจา ใจ จนครบบรบิ รู ณ ดวยความบากบั่นมน่ั คงแท ทกุ คน คอื คําวา :- พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจาถอื เอาพระพทุ ธเจาเปน เครอื่ งจงู ใจ. ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจา ถือเอาพระธรรมเปนเคร่อื งจูงใจ. สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขา พเจา ถอื เอาพระสงฆเ ปน เครื่องจูงใจ. เพราะพระพุทธเจาตรสั วา ใครจะเปน ท่ีพงึ่ ใหแ กใครไมไ ด, แมแ ตพ ระตถาคตเอง. ทุกคนตองพึง่ ตวั เอง, เพราะตนเปนท่ีพง่ึ ของตน พระตถาคตเจา ทงั้ หมดทง้ั สนิ้ เปน ผชู ้ีทางเทาน้นั !!! ๑๐ กันยายน ๒๔๗๙ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 55 / 90

ชุมนมุ เร่อื งสั้น – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธ์ิ-ปาฏิหารยิ  ฤทธ-์ิ ปาฏิหารยิ  เรื่องของฤทธิ์ หรือ ปาฏหิ ารยิ  นบั วาเปน เร่อื งหนึ่ง ที่ยังมัวอยูมาก ในบรรดา เรื่องทีย่ ังมวั อยู หลายเรื่อง ดว ยกนั และดูเหมือน จะเปนเพราะ ความท่มี นั เปน เรือ่ งมวั น่ีเอง ทีเ่ ปนเหตุ ใหมี ผสู นใจ ในเร่ืองน้ี อยูเรื่อยๆ มาเปนลาํ ดบั อยา งไมขาดสาย และมากกวา ท่ีถา มนั จะเปน เรอ่ื งที่ กระจา ง เสยี วา มนั เปน เรื่อง อะไรกนั แน หมายความวา ถาเราทราบดีวา ฤทธิ์ คอื อะไร และเปน เรือ่ ง เหมาะสาํ หรบั ใคร โดยเฉพาะแลว เชอื่ วา จะทําใหมีผสู นใจ เรื่องน้ี นอยเขา เปน อนั มาก ทา นผทู ี่แสดงฤทธไิ์ ด ไมเ คยปรากฏวา ไดรับผล อัน\"เดด็ ขาดแทจ ริง\" อยา งไร จากฤทธ์ิน้ัน ทงั้ ทางวตั ถุ และความสขุ ในสว นใจ ฤทธ์ิ เปน เรอื่ งจริง สาํ หรบั ผูที่ไมทราบวา ฤทธิ์ คอื อะไร และ ตน เปน ผทู ี่ ตกอยใู น ภมู ิแหงใจทต่ี าํ่ จนผูม ฤี ทธ์ิ จะออกอาํ นาจฤทธิ์ บังคบั เมื่อไรกไ็ ด แตสาํ หรับ ผมู ี ฤทธ์ิ หรือ ผทู ร่ี ูเรอื่ งฤทธิ์ดี หรอื มกี ําลังใจ เข็มแขง็ เทากับ ผมู ีฤทธิ์ จะเหน็ วา ฤทธน์ิ ้นั เปนเพียง เร่ือง \"เลน ตลก\" ชนิดหนึง่ เทา นั้น แตเปน เรอื่ งที่ แยบคายมาก ลึกซง้ึ มาก พระพทุ ธองค ทรงสะอิดสะเอยี น ในเมอื่ จะตอ งมีการแสดงฤทธิ์ เวน แต จะเปน การจําเปน จริงๆ ทรงหา ม พระสาวก ไมใหแ สดงฤทธ์ิ พระองคเอง ก็ตรสั ไวใน เกวฎั ฎสูตร๑ วา พระองคเ อง กไ็ ม พอพระทยั ทจี่ ะทรมานใคร ดว ยอทิ ธปิ าฏิหารยิ  และ อาเทศนาปาฏิหาริย เพราะมนั พองกันกบั วิชากลางบาน ซ่ึงพวกนกั เลงโต ในสมยั น้ัน เลนกนั อยู เรียกวา วชิ าคนั ธารี และมนตมณกิ า พระองค พอพระทัยท่สี ุด ท่ีจะใช อนสุ าสนีปาฏหิ าริย คือ การพดู ส่งั สอนกนั ดว ยเหตุผล ทผี่ ูฟ ง จะ ตรองเห็นตามไดเ อง อนั เปน การทรมาน ที่ไดผ ลเด็ดขาด ดกี วาฤทธ์ิ ซึ่งเปนของช่ัวขณะ อัน จะตอ งหาวิธที าํ ให มั่นคง ดวยการสัง่ สอน ท่ีมเี หตุผล อีกตอหนง่ึ ในภายหลัง แตถ ึงแมว า ฤทธ์ิจะเปน เรอ่ื งหลอกลวงตา อยางไรกต็ าม มนั กเ็ ปนเรือ่ ง ที่นา สนใจอยูบ าง เพราะ มันเปน ส่งิ ทที่ า นผมู ีฤทธ์ิ เคยใชตอตาน หรือ ทาํ ลายอุปสรรค ของทา นสําเร็จมาแลว เปนอันมาก เหมอื นกนั เม่ือเราปวดทอ ง เพราะอาหารเนา บดู ในทอง ยาขนานแรก ทีเ่ ราตอ งกนิ ก็คอื ยารอน เพ่ือระงบั ความปวด ใหหายไปเสยี ขณะหนึ่งกอน แลวจงึ กนิ ยาระบาย ถายของบูดเนาเหลา นนั้ ออก อันเปน การแกใ หห ายเด็ดขาด ในภายหลัง ท้ังที่ ยาแกป วดทอ ง เปน เพยี ง แกป วดช่วั คราว ไมไ ดแก สมฎุ ฐาน ของโรค มนั ก็เปน ยาทีม่ ีประโยชน อยูเหมือนกัน ในเมอ่ื เรารูจ กั ใช เปรียบกนั ไดกบั เรอื่ งฤทธิ์ อันทา นใช ทรมานใคร ในเบือ้ งตน แลว ทาํ ใหม่ันคง ดวยปญ ญา หรอื เหตผุ ลใน ภายหลงั ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั แตถ า ไมม ีการทําใหมัน่ คง ดวยเหตผุ ล ท่เี ปนปจจัตตะ หรือ สันทฎิ ฐิโก ในภายหลงั ผลท่ีไดมกั ไม สมใจ เชน เดียวกับ กนิ เพียง ยาระงบั ความเจบ็ ปวด อยา งเดยี ว แตห าได ถา ยโทษราย น้นั ออก เสียไม มันก็กลบั เจบ็ อกี หรอื กลายเปนโทษรา ย อยา งอืน่ ไป ควรใชก าํ ลงั ฤทธิ์ ในเบ้ืองตน ใช ปญ ญา หรอื เหตุผล ในภายหลัง ยอมไดผลแนบเนยี น และไพศาลกวา ที่จะไดเ พยี งอยา งเดียว แต เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 56 / 90

ชมุ นมุ เร่อื งสนั้ – พุทธทาสภิกขุ ฤทธ์-ิ ปาฏหิ าริย อยางเดยี ว คนบางพวก เลอื่ มใสในศาสนา ดวยอาํ นาจปาฏิหาริย อยา งใดอยา งหนึ่ง จูงใหเขา ปฏบิ ตั ศิ าสนา จนไดร ับ ผลของศาสนานนั้ แลว แมจะ มารูภายหลังวา เร่อื งฤทธ์ิ เปนเรอื่ งหลอก เขาก็ละทิ้ง เฉพาะเรื่องของฤทธิ์ แตห าได ทง้ิ ศาสนา หรือความสขุ ทเ่ี ขาประจกั ษ กบั เขาเอง ใน ภายหลงั น้ันไม แตมปี รากฏ อยบู างเหมอื นกนั ที่คนบางคน เล่อื มใสฤทธิ์ อยา งเดยี ว เขา มาเปน สาวก ของพระ พุทธองคแลว หาไดทําใหต น เขาถงึ หวั ใจ แหง พุทธธรรม ดวยปญ ญาไม ตอ งหนั หลัง กลบั ไปสู มิจฉาทฎิ ฐิ ตามเดิม เชน สนุ ักขัตตะลิจฉวบี ตุ ร เปน ตน แตก ม็ มี ากหลาย ท่ถี กู ทรงชนะ มาดว ย ฤทธิ์ แลว ไดร บั การอบรม ส่ังสอนตอ ไดบ รรลุ พระอรหัตตผลไป เชน ทานพระองคุลมิ าล เปน ตน จงึ เปน อนั วา เรื่องฤทธ์ิ กเ็ ปน เรื่องท่ี นารสู นใจ อยูไ มนอ ย แมจะไมเ ปนการสนใจ เพอ่ื ฝกฝนตน ใหเปน ผมู ฤี ทธ์ิ แตก็เปน การสนใจ เพอื่ จะรสู ่งิ ทคี่ วรรู ในฐานะทตี่ น เปน นกั ศึกษา หาความแจม แจง ในวชิ า ทวั่ ๆไป ตอไปน้ี จะไดว ินจิ ฉยั ในเรือ่ งฤทธิ์น้ี เปน เพยี ง แนวความคดิ เหน็ ที่ขยาย ออกมา สาํ หรบั จะไดช ว ยกนั คิดคนหาความจริง ใหพบใกลช ดิ เขาไปหาจุด ของความจรงิ แหง เรื่องน้ี ยง่ิ ขนึ้ เทา น้ัน ในบาลี พระไตรปฎก เราพบเรื่องของ ฤทธิ์ ชั้นทเี่ ปน วชิ ชา หรือ อภิญญา หนึ่งๆ แสดงไว แต ลกั ษณะ หรือ อาการวา สามารถทําได เชนน้นั ๆ เทา น้นั หามีบทเรียนหรอื วิธีฝก กลาวไวดว ยไม อนั ทา นผูอา น จะอา นพบไดจาก พระบาลี มหาอสั สปรุ สูตร หรอื สามัญญผลสตู ร แลว, ในบาลี คลา ยๆ กบั ทา นแสดงวา เมื่อไดพยายามฝก จิต ของตนใหผอ งใส จนถงึ ขนาด ทีเ่ หมาะสม แกการ ใชมันแลว ฤทธนิ์ นั้ กเ็ ปน อันวา อยูในกํามอื ตอมาในช้ัน อรรถกถา และคัมภรี พิเศษ เชน คมั ภีรว ิ สุทธิมรรค โดยเฉพาะ ไดอ ธบิ ายถงึ วธิ ีฝก ฝน เพ่อื การแสดงฤทธ์ิ ไวโ ดยตรง และดูคลา ยกบั วา ทานประสงค ใหเ ปน บรุ พภาค ของ การบรรลมุ รรคผล เสยี ทีเดยี ว ขา พเจา ไมเขา ใจวา เรื่องฤทธ์ิ นีเ้ ปน เรือ่ งของพุทธศาสนา โดยตรง หรอื เปนสว นหนึ่ง ของพุทธ ศาสนา ในบาลีมัชฌมิ นิกาย มีพทุ ธภาษิตวา พระตถาคต สอนแตเรอื่ งความทุกข กบั ความพน ทกุ ข เทา นนั้ ๒ ทงั้ เรอื่ ง ของฤทธ์ิ ก็ไมเ ขา หลักโคตมีสตู รแปดหลัก แตหลกั ใด หลกั หนงึ่ การที่ เรื่องของฤทธิ์ เขามาเกยี่ วขอ งกบั พทุ ธศาสนาได ก็เปน การเทยี บเคยี ง โดยสวนเปรียบวา ผูทฝี่ ก จติ ของตน ใหอ ยูในอาํ นาจ อาจทจ่ี ะ บรรลมุ รรคผล ได ในทันตาเหน็ นแี้ ลว จติ ชนิดนั้น กย็ อม สามารถ ทจ่ี ะ แสดงฤทธ์ิ เชนนัน้ ๆ ได ตามตอ งการ เม่ือตองการ, และ อกี ประการหนงึ่ ฤทธ์ิ เปน เครื่องมอื อยางดี ทจี่ ะ ทรมานบุคคล ประเภท ท่ีไมใช นักศึกษา หรือ นกั เหตผุ ล ใหม าเขารตี ถือ ศาสนา ได, ในยุคพุทธกาล ยงั เปน ยคุ แหงจติ ศาสตร ไมนิยม พสิ ูจนค นควา กันใน ทางวัตถุ เชน วทิ ยาศาสตรแ ผนปจจบุ ัน มหาชน หนกั ไปในทางน้ัน บรรดาศาสดา จึงจําเปน ที่จะตองมี ความรู ความสามารถ ในเร่อื ง ฤทธิ์ นี้เปนพเิ ศษ สว นหน่ึงดว ย เราอาจกลาวไดว า ฤทธิ์ เปน ของคูก นั กบั ลทั ธคิ าํ สอน มาตงั้ แต ดกึ ดาํ บรรพ กอ นพุทธกาล ซ่งึ ศาสดานนั้ ใชเ ปน เครอ่ื งมือ เผยแพร ศาสนา เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 57 / 90

ชมุ นุมเรือ่ งส้ัน – พุทธทาสภิกขุ ฤทธิ์-ปาฏิหารยิ  ของตน แมพ ระพทุ ธองค ซง่ึ ปรากฏวา เปนผูท ที่ รง เกลียดฤทธ์ิ ก็ยงั ตองทรงใชบ า ง ในบางคราว เม่อื จําเปน ดังทปี่ รากฏอยู ในบาลี หลายแหง คร้งั กอนพทุ ธกาล นานไกล ในยคุ พระเวท พระเวทยคุ แรกๆ กม็ ีแตคาํ ส่ังสอน ในการปฏบิ ัตแิ ละ บชู า เทา นน้ั ครั้นตกมายุคหลัง เกดิ พระเวทที่สี่ (อรรถวนเวท) ซึ่งเตม็ ไปดว ยเวทมนต อนั เปน ไป ในการให ประหตั ประหาร ลา งผลาญ กนั หรือ ตอ สู ตานทาน เวทมนต ของศตั รู ข้ึนดว ยอาํ นาจ ความนิยม ของมหาชน หรือ อาจกลาวได อกี อยา งวา ตามอํานาจ สัญชาตญาณ ของ ปถุ ุชน นั่นเอง นับไดว า ยุคนี้เปน มลู ราก ของสิง่ ที่ เรยี กกนั วา \"ฤทธ\"์ิ และนยิ ม สบื กันมา ดวยเหตทุ ว่ี า มหาชน ชอบซือ้ \"สนิ คา\" ท่เี ปน ไปทํานองฤทธ์ิ มากกวา เหตผุ ลทางปรชั ญา ถา ศาสนาใด ดอ ยใน เรือ่ งน้ี ก็จะมีสาวก นอ ยทส่ี ุด จะไดแต คนฉลาด เทา น้นั ท่จี ะเขา มาเปน สาวก ถา เกดิ การแขงขัน ในระหวางศาสนา กเ็ หน็ จะเปน ฤทธิ์ อยางเดยี ว เทานน้ั ท่ีจะนําความ มีชยั มาสูตนได ในเมอ่ื ให มหาชนท้งั หมด เปนกรรมการตัดสิน คอื ใหพ วกเขา หนั เขามา เลื่อมใส และเพราะเหตนุ ีเ้ อง ใน บาลี จงึ มีกลา วประปรายถงึ ฤทธิ์ สว นในอรรถกถา ไดก ลา วอยา ง ละเอียดพสิ ดาร พระพทุ ธโฆษา จารย ไดก ลาว วิธฝี ก ฤทธ์ิ ไวใน คมั ภรี ว สิ ุทธิมรรค ซึง่ เปนหนงั สอื ทแ่ี ตง ขน้ึ เพ่ือเอาชนะน้ําใจ ชาวเกาะลังกา นับตงั้ แต พระสังฆราช แหง เกาะนน้ั ลงมา อันนบั วา เปนหนังสอื เลมสาํ คัญท่ีสดุ ของทานผนู ้ี และไดก ลา วไว ใน อรรถกถาขุททกนิกาย วา พระศาสดาของเรา ทรงแสดงฤทธิ์ หรอื ปาฏหิ ารยิ  แขง กบั ศาสดานิครนถเดียรถีย อันเรียกวา ยมกปาฏหิ าริย และเลาเร่ือง พระศาสดา ทรงแสดงปาฏหิ ารยิ  ยอยๆ อยา งอ่ืนอกี เปน อนั มาก น่ชี ใ้ี หเ หน็ ชัดทีเดียววา จะอยา งไรก็ตาม ไดมี การตอสู และ แขงขนั ในระหวาง เพอื่ นศาสดา ดวยใชฤ ทธ์ิ เปนเครอื่ งพิสูจน ตามความนยิ ม ของ มหาชน เปน แนแท ในยคุ นน้ั , แตนกั ตอสูนนั้ ๆ จะเปน องคพ ระศาสดาเอง ดังท่ที านผูนี้กลา ว หรอื วาเปนพวกสาวกในยคุ หลงั ๆ หรอื ยุคของทานผูกลาวเอง หรือ ราว พ.ศ. ๙๐๐ กอ็ าจเปน ได ทง้ั สองทาง อาจมผี แู ยงวา ถาเปน ยคุ หลงั ทําไมเรอื่ งนี้ จึงไปอยใู น บาลเี ดมิ เลา? พึงเขาใจวา บาลพี ระไตรปฎ ก ของเราน้ี ปรากฏวา มอี ยคู ราวหนง่ึ ซง่ึ ถูก ถา ยจากภาษาสงิ หล กลับสู ภาษาบาลี แลว เผา ตนฉบบั เดมิ เสยี และผทู ี่ทาํ ดังนี้ ก็คือ ทา นพระพุทธโฆษาจารย ผู เปน เอกอัคร แหง พระอรรถกถาจารย ทงั้ หลาย นั่นเอง, ทา นผูน ี้เปน พราหมณ โดย กาํ เนดิ จงึ นําให นกั ศกึ ษา หลายๆ คนเชอ่ื วา ถาเร่ือง ของ พราหมณ หลายเรอ่ื ง (เชน เรือ่ งนรก สวรรค เร่ืองพระราหู จบั พระอาทติ ย พระจนั ทร ในสังยตุ ตนิกาย เปนตน) ไดเขา มาปนอยู ใน พระไตรปฎ ก ถึงกบั บรรจุ เขา ใน พระพุทธโอษฐ กม็ ีนนั้ ตอ งเปน ฝม ือ ของทานผูน ี้ หรือ บคุ คลประเภท เดียวกับทา นผนู ้ี แตทท่ี านบรรจเุ ขา ก็ดว ย ความหวงั ดี ใหค นละบาป บาํ เพญ็ บุญ เพราะสมกับ ความเชื่อถอื ของคน ในคร้ังน้นั เพราะฉะนนั้ ถาหากวา พระ ศาสดา มไิ ดทรงสอน เร่อื งฤทธ์ิ หรอื เรือ่ งฤทธ์ิ มไิ ดเขาเก่ยี วขอ ง กับพุทธศาสนา ในคร้ัง พทุ ธกาลแลว มนั ก็นาจะ ไดเขาเกีย่ วของในครั้งนี้ เปนแน. ทา นผทู ่ีดึงเขา มา เก่ยี วขอ ง ก็ ไดทาํ ไป ดวยความหวงั ดี เพ่อื ให พุทธศาสนา อันเปน ทร่ี ัก ของทาน ตานทานอิทธพิ ล เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 58 / 90

ชุมนมุ เร่อื งสนั้ – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธ-์ิ ปาฏิหารยิ  ของศาสนาอน่ื ซง่ึ กาํ ลังทว มทบั เขา มานน่ั เอง มิฉะนน้ั นากลัววา พทุ ธศาสนา จะเหลืออยู ในโลกนอ ยกวา ทีเ่ ปนอยู ในบัดนมี้ าก เมอื่ เหตผุ ลมีอยูดังน้ี ขอ ปญหาตอไป จึงมีอยูวา เราจะปรบั ปรุง ความคิดเห็น และความเชอื่ ถือ ใน เร่อื งฤทธ์ิ นอี้ ยา งไร ขา พเจา เหน็ วา ฤทธ์ิ เปน เพยี ง เครอื่ งประดับ หรอื เครอ่ื งมือ อยา งหน่งึ ซ่งึ พทุ ธศาสนา เคยใชประดบั หรือ ใชต านทานศตั รู มาแลว แตห าใชเ ปน เนือ้ แทของ พทุ ธวจนะ ซง่ึ กลาวเฉพาะ ความดบั ทุกข โดยตรงไม เพราะฉะน้นั เม่อื เราในบัดนี้ จะเขาเก่ยี วขอ ง กบั ฤทธิ์ อยา งดที ส่ี ุด ท่จี ะทาํ ได ก็เทากับ ทเ่ี ปน มาแลว น่ันเอง เราไมอ าจถือเอามนั เปนสรณะ อันแทจริง อยา งไรได เพราะเหตผุ ล ดงั ท่ี ขาพเจา จะไดแสดงตอไป ตามความรู ความเห็น ฝากทา นผูรู ชวยกัน พิจารณาหาความจริง สืบไป คําวา ฤทธ์ิ แปลวา เคร่อื งมือ ใหสาํ เร็จ ตามตองการ แตความหมายจํากดั แตเ พยี งวา เฉพาะ ปจ จบุ นั ทันดว น หรอื ช่วั ขณะเทาน้นั เมอ่ื หมดอาํ นาจ บงั คบั ของฤทธิ์ แลว สงิ่ ทง้ั ปวง กก็ ลบั คนื เขาสูส ภาพเดมิ ผูม กี ําลังจิตสงู ยอมแสดงฤทธ์ิ ไดส ูง จนผูท่มี ฤี ทธดิ์ วยกัน ตอ งยอมแพ เพราะมี อาํ นาจใจ ตา่ํ กวา จติ เปนธรรมชาติ อันหน่ึง ซึง่ เมื่อไดมีการฝก ใหถ ูกวธิ ี ของมนั แลว ยอมมี อํานาจมากพอ ท่ีจะครอบงาํ ส่ิงทงั้ หลาย ทมี่ ีจิตใจ ดว ยกัน ไดหมด ชางปา ดรุ า ย และนา อนั ตราย มาก ถา เราไมได คน พบ วธิ ฝี ก มันแลว กไ็ มอ าจ ไดรับประโยชน อะไร จากมันเลย คนเรา ทร่ี ูจกั คิดวา ชางน้ี คงฝก ได อยางใจ และคนพบ วธิ ฝี ก บางอยา ง ในขน้ั ตน ก็นบั วา เปน ผูท ่ที าํ ส่งิ ทย่ี าก มาก แตผ ทู ค่ี น พบ เรือ่ งของจติ และ วธิ ฝี ก มัน โดยประการตางๆ น้ัน นับวา ไดท าํ ส่ิง ทีย่ าก มากกวา น้นั ขึ้นไปอกี ในยคุ ดึกดาํ บรรพ เม่ือไดม ีการสนใจ ในเร่ืองจิตกันข้นึ นักจติ ศาสตร ไดพ ยายาม ทดลอง โดย อาการตางๆ แยกกนั ไป คนละสาย สองสาย จนในท่ีสดุ ก็ไดล ุถึง คณุ สมบัติ อันสงู สุด ท่จี ิต ทเี่ ขา ฝก ถึงท่ีสุด ในแงน ้ันๆแลว สามารถจะ อํานายประโยชน ใหได อนั จําแนกได โดยประเภทหยาบๆ คอื (๑) เขา ถึงธรรมชาติ ที่เรยี กวา ทิพย แลว หา ความเพลดิ เพลิน จากสิ่งท่ีเรยี กวา วสิ ยั ทิพย นน้ั ๆ (๒) มีอาํ นาจบงั คบั ทางจติ สาํ หรับบงั คับจิต ของเพอ่ื นสตั ว ดวยกัน เพือ่ เอาผล เชน นั้น เชน น้ี ตามความปรารถนา (๓) สามารถรูเร่ือง เกี่ยวกบั สากลจักรวาล พอท่จี ะใหตน หมดความอยากรู อ ยากคน ควา อกี ตอไป เพราะตนพอใจ ในความรนู ้นั ๆ เสยี แลว (๔) สามารถปลงวาง สลัดออกเสยี ซึง่ ความทุกข ทางใจ อันไดแ ก ลัทธศิ าสนา ทีเ่ ก่ียวกบั ความ ดบั ทกุ ข ในจติ ท้ังมวล นบั ต้ังแต สุขใน ฌาน สมาธิ มรรค ผล นพิ พาน เปน ลําดบั ๆ เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 59 / 90

ชุมนุมเรอื่ งสน้ั – พุทธทาสภิกขุ ฤทธ์ิ-ปาฏิหาริย พวกใด ดําเนนิ สายแหงการคน ควาของเขา เขาไปในดงรกแหง ฤทธวิ์ ธิ ี ยอ มไดผลใน สองประเภท ขา งตน (ขอ ๑-๒) พวกท่ีดาํ เนนิ ไป เพื่อฟน ฝา รกชฏั แหง ตัณหา อันเปน กอนหินหนัก แหงชีวิต กไ็ ด ผลประเภทหลัง (ขอ ๓-๔) พวกแรก คือ พวกฤทธิ์ พวกหลัง คอื ศีลธรรม และ ปรัชญา ในทางจิต ทัง้ สองประเภทน้ี เปนท่ีนิยม ของมหาชน อยางคเู คยี ง กนั มา ในยคุ ทค่ี วามนิยม ในทาง จติ ศาสตร ยงั ปกคลุม ดนิ แดน อนั เปนทเ่ี กดิ ขนึ้ แหงวิชาน้ี คอื ชมพทู วีป หรอื อินเดยี โบราณ มหาชนในถ่ินนั้น ตางไดรบั ผล สมประสงค กนั ท้ัง ฝา ยฤทธ์ิ และ ฝา ยความพน ทกุ ข ของจิต แตใ น ท่ีน้ี จะไดกลาวเฉพาะ เรอ่ื งฤทธิ์ อยา งเดยี ว งดเรือ่ งของความพน ทกุ ข ซ่งึ เปน อีกเรือ่ งหนงึ่ เสยี ผูท่ีฝก ใจตามวธิ ที คี่ น ควา และ สงั่ สอนสืบๆ กันมา หลายชั่วอายคุ น ไดถ ึงขีดสุด อยา งถกู ตอ งแลว สามารถบังคบั ใจตนเอง ใหเ ปน เชนน้นั เชนน้ี อันเก่ียวกับ รูป เสียง กลนิ่ รส สมั ผัส และ ความรสู ึกในใจ อันเกดิ ข้นึ จาก รูป เสยี ง เปนตน นน้ั ๆ แลว ฝกวธิ ี ทจี่ ะสงกระแสจติ นน้ั ๆ ไป ครอบงํา จติ ผอู น่ื ใหผอู ื่นรูสกึ เชน นนั้ บา ง ในทางรูป เสยี ง กลน่ิ ฯลฯ ทกุ ประการ ผทู ม่ี ีกาํ ลงั จิต ออ นกวา ทกุ ๆ คน แมจ ะมี จํานวนมากมาย เทา ใด กจ็ ะรูสึกทางตา หู จมูก ล้นิ กาย เชนเดียวกนั หมด เพราะใจของเขา ถูกอํานาจจติ ของผูทสี่ งมา ครอบงาํ เขาไว ครอบงํา เหมือนกันหมด ทุกๆ คนจึงไดเเห็น หรือ ไดย ิน ไดดมตรงกันหมด เชน แผน ดนิ ไหว นํา้ ทวม บานเมืองทีง่ ดงาม ฯลฯ ตามแตท ่ีผอู อกฤทธ์ิ ไดสรางมโนคติ ข้นึ ในใจ ของเขา แลว สงมาครอบงํา อาํ นาจครอบงาํ อนั น้ี เปนไปแนบเนยี น สนทิ สนม ผูท่ถี กู งาํ ไมมโี อกาสรสู ึกตัวในเวลานน้ั วา ถูกครอบงาํ ทางจิต และ สิง่ ท่รี ูสึกนัน้ ไมใชข องจริง เมอ่ื เรานอนหลับ และ กําลังฝนอยู เราไมอาจรตู ัววา เราฝน เรากลวั จริง โกรธจริง กําหนดั จริง ฉนั ใด ในขณะท่ี เราถกู งาํ ดวยอํานาจฤทธิ์ กร็ สู ึกวา เปนเชน นนั้ จริงๆ ทุก อยา งฉนั นั้น ผอู อกฤทธิบ์ างคน สามารถออกอํานาจบังคับ เฉพาะคน ยกเวน ใหบ างคน คนในหมูนน้ั แมน ง่ั อยู พรอ มกนั ในท่เี ดยี วกนั จึงเหน็ ตา งๆกนั ดังเราจะไดย ิน ในตอนที่ เกย่ี วกับ พระศาสดา ทรมานคน บางคน ทีเ่ ขา ไปเผา พระองค ในทีป่ ระชุมใหญ และพระองค ทรงบนั ดาล ดวย อิทธาภิสงั ขาร เฉพาะผูน นั้ ใหเห็น หรือ ไดย นิ อยา งนี้ อยา งนัน้ เพ่ือทําลาย ทิฎฐิ หรือ มานะ บางอยาง ของเขา เสีย เม่อื ผทู ีท่ ําการตอสกู นั ตางกม็ ีฤทธ์ิดว ยกัน น่ันยอมแลว แต อํานาจจิต ของใคร จะสงู กวา หรือ มี กาํ ลังแรงกวา เม่ือผมู ฤี ทธิ์ ฝายหนึ่ง ไดบ ันดาล ใหท ุกๆ คนในทน่ี ัน้ เหน็ ภาพ อันนา กลัว มา คกุ คาม อยูต รงหนา เชน นัน้ ๆ แลว ถา หาก อีกฝายหนึ่ง มีอาํ นาจจิต สงู กวา กอ็ าจรวบรวม กําลงั จิตของตน เพิกถอนภาพ อันเกดิ จาก อํานาจฤทธิ์ ของฝายแรก กวาดใหเกลี้ยง ไปเสยี จาก สนาม แหงวิญญาณ แลว บันดาล ภาพอนั นา กลัว ซ่งึ เปน ฝา ยของตน ข้ึน คกุ คาม บา ง แมว า ในขณะท่ี คนน้นั ๆ ถูกอาํ นาจฤทธ์ิ ครอบงํา อยู และ เขาไมอ าจทราบวา น่ันเปน กาํ ลงั ฤทธ์ิ ดจุ ตกอยใู น ขณะแหงความฝน ก็ดี เขายงั ไดร ับการศกึ ษา และความเช่ือ มากอ นแลว วา มีวธิ ี ท่จี ะตอ สู เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 60 / 90

ชมุ นมุ เร่ืองส้นั – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธิ-์ ปาฏิหารยิ  ตา นทาน ซงึ่ เปน การเพิกถอนฤทธ์ิ ของฝายหนงึ่ เชนน้นั ๆ ดวย จงึ โตต อบ กนั ไปมา จนกวา ฝาย ใด ฝายหนึ่ง จะสิ้นฤทธ์ิ ในรายทีไ่ มได ท ําการตอสู ประหตั ประหาร กนั โดยตรง แตต อ สู เพือ่ แขงขัน ชงิ เกยี รตยิ ศ อยา งใด อยา งหนึ่ง เพ่ือเรียกเอา ความเล่อื มใส ของมหาชน มาสู พวกของตวั นั้น กท็ าํ นองเดยี วกัน คือ มี การตา นทาน เพื่อมิให อีกฝา ยหนึง่ แสดงฤทธิ์ ของเขาไดสมหมาย ซ่งึ ถา หาก การตา นทาน น้นั สําเร็จ ฝา ยโนน ก็แพ แตต น มอื ถาตานทานไมสาํ เรจ็ กต็ อ งหาอบุ าย กวาดลาง อาํ นาจฤทธิ์ ในเม่ือ ฝา ยหนงึ่ ไดส ง มาแลว ซ่ึงถา ยังทําไมไ ดอ กี ตนกต็ กเปน ฝายแพ ฤทธิ์ของผทู ี่มี ดวงใจบรสิ ุทธิ์ เปนอริยบคุ คล ยอมมกี ําลังสูง และหนักแนน ยง่ั ยืนกวา ของฝา ยที่ยังเตม็ ไปดวยกเิ ลส เปน ธรรมดา เพราะเหตวุ า จิตของผูมีกเิ ลส ถูกกเิ ลสตดั ทอน เสยี ตอนหน่งึ แลว ยังอาจที่จะ งอนแงน คลอนแคลน ได ในเมอื่ อิฎฐารมณ หรอื อนิฎฐารมณ มากระทบ ในขณะที่ ตอ สกู ันน้ัน อกี ประการ หน่งึ ผไู มม กี เิ ลส ยอมไมทาํ เพราะเหน็ แกต ัว จึงมีกําลัง ปต ิปราโมทย ความเชอ่ื และ อ่ืนๆ ซึง่ เปน ดจุ เสบยี งอาหาร ของฤทธิ์ มากกวา ยอ มไดเ ปรียบ ในขอ น้ี ในรายที่ไมม ีการตอ สูกนั เปน เพยี งการทรมาน ผทู ี่มกี ําลงั ใจ ออนกวา แตมีมานะ หรือ ความ กระดา ง เพราะเหตบุ างอยาง ยอ มเปนการงา ยกวา ชนดิ ทตี่ อ สูก นั คนธรรมดา สตรี เดก็ ๆ เพียงแตอ าํ นาจสะกดจติ ช้ันตา่ํ ๆ ซ่ึงยงั มีเหลอื ออกมา ถึงสมัยปจ จุบันนบ้ี าง กอ็ าจทีจ่ ะเปน อาํ นาจ งํา ใหตกอยใู ต อาํ นาจของผูแสดง นั้นได เสียแลว แมว า สมัยนี้จะเปน สมัย ที่ไมคอยมีใครเชอ่ื ใน เร่อื งน้ี และทัง้ ผูฝ ก ก็มิไดเ ปน \"นกั \" ในเรือ่ งน้ี อยา งเอาจรงิ เอาจงั ก็ในสมยั โบราณ คนทุกคนเชอ่ื ในเรอื่ งฤทธิ์ และผฝู ก กฝ็ ก อยางเอาจริง เอาจงั เรอ่ื งของฤทธิ์ จงึ เปน เร่ืองท่ีแนบเนียน และเปน เร่อื งจริง ไดอยา งเตม็ ท่ี ในสมยั น้ัน ความท่ีทุกคนเช่อื ก็ดี ความทผี่ ฝู ก เองกเ็ ช่ือ และตงั้ ใจฝก เปน อยางดี ก็ดี ลวนแตเ ปน ส่ิงสงเสริม ในเร่อื งฤทธ์ิ ใหเปน เรอื่ งจริง เรื่องจงั ยิง่ ขนึ้ ไปอกี เราอาจกลา ว ไดว า ในยุคโบราณยคุ หนง่ึ ความเช่อื ในเรอื่ งน้ี มีเตม็ รอยเปอรเซน็ ต อิทธพิ ลในเรอ่ื งฤทธิ์ จึงมไี ด เตม็ รอยเปอรเซน็ ต เพราะมนั ถกู ฝา ถกู ตัว แกกัน คร้นั มาบัดน้ี ท้ังความเชื่อ และการฝกฝน มี เหลอื นอ ย ไมถ งึ หา เปอรเ ซน็ ต เลยกลายเปน เรอื่ งเหลวไหล เสยี เกาสิบหา เปอรเซน็ ต บางที มี แตต วั ไมม ฝี า บางทีมีฝา แตไ มม ีตวั ตา งฝา ย ตา งก็ข้ีเกยี จเก็บ เลยทง้ิ ให คอยหาย สาบสูญไป ความย่ัวยวน อันเกิดจากฝม ือ ของนักวทิ ยาศาสตร แผนปจ จุบัน กาํ ลังมอี ิทธพิ ล มากข้ึนๆ ในอนั ทีจ่ ะ ใหจติ ของคนเรา ตกตาํ่ ออนแอ ตอ การท่ีจะบังคบั ตวั เอง ใหว างโปรง เพอ่ื เปนบาทฐาน ของ ฤทธ์ิ ได เมอ่ื วา งผูแสดงฤทธ์ิ ได นานเขา ความเชื่อในเรื่องนี้ ก็สาบสูญไป ทั้งของผทู จ่ี ะฝกและ ของผูท ี่จะดู บัดน้ี จะยอนกลบั ไปหาเร่อื งของการฝก เพอ่ื ใหเ ขาใจในเรอ่ื งนีด้ ขี ้ึน (มิใชเพือ่ รอ้ื ฟน ข้ึนฝก กัน) ผทู ่ี จะฝกในเรอื่ งฤทธ์ิ ตอ งเปนผูท่มี ใี จ เปน สมาธงิ าย กวาคนธรรมดา เพราะเรื่องน้ี มิใชเ ปนสาธารณะ สาํ หรับคนทวั่ ไป แมผูท ีเ่ ช่ือและตั้งใจฝกจรงิ ๆ ถึงฝกสมาธไิ ดแลว ทานยงั กลาววา รอยคนพันคน จงึ จะมสี กั คนหน่งึ ที่จะเขยบิ ตวั เอง ข้นึ ไป จนถงึ กับ แสดงฤทธไิ์ ด การปฏิบตั ิ เพื่อรอู รยิ สัจ หลดุ เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 61 / 90

ชุมนมุ เรอ่ื งสั้น – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธ์ิ-ปาฏิหารยิ  พน ไปจากทุกขไ ด เสียอกี ท่เี ปนสาธารณะกวา! คนบางประเภท หลุดพน จากทุกขไ ด ดวยเหตผุ ล ท่ีแวดลอ มเหมาะสม จูงความคดิ ใหต กไป ในแนวแหง ความเบอื่ หนา ย และปลอยวางได โดยไม ตอ งเกีย่ วกบั การฝก สมาธเิ ลย จึงกลาวยาํ้ เพื่อกนั สงสยั ไดอ ีกคร้ังหนงึ่ สาํ หรับคนธรรมดา เราๆ การฝกเพอื่ พระนพิ พาน เปนของงา ยกวา ทีจ่ ะฝก ในเรอ่ื งฤทธิ์ ใหไดถ ึงทีส่ ุด ยงิ่ ถาจะฝกเพือ่ ทัง้ ฤทธ์ิ และพระนิพพาน ท้ังสองอยางดวยแลว กย็ ่ิงยาก มากข้นึ ไปอกี ในหมูพระอรหนั ต ก็ยงั มแี บง กันวา ประเภทสุกขวปิ สสก และประเภทอภิญญา คอื แสดงฤทธิไ์ มไ ด และแสดงได ผูฝ ก สมาธิ เพอ่ื มรรคผลนพิ พานนั้น เม่อื ใจเปน สมาธแิ ลว กน็ อ มไปสู การคดิ คน หาความจรงิ ของ ชวี ติ หรอื ความทนทกุ ข ของสตั ว วา มอี ยูอ ยางไร เกดิ ขึน้ อยางไร จะดับไปไดอยางไร เปน ตน สว นผูทฝ่ี ก เพ่ือฤทธิ์นั้น แทนทจ่ี ะนอมไปเพ่ือคดิ คน หาความจรงิ เขากน็ อ มสมาธิ น้ันไปเพ่ือ การ สรา งมโนคติ ตางๆ ใหชํานาญ ซง่ึ เปนบทเรยี น ทยี่ ากมาก เม่ือเขาสรา ง ภาพแหงมโนคติ ไดด วย การบังคบั จิต หรือวิญญาณของเขา ไดเ ด็ดขาด และ คลอ งแคลว แลว ก็หดั รวมกําลงั สงไป ครอบงาํ สิ่งทีอ่ ยูใ กล จะขยายวงกวา ง ออกไปทุกที เพอื่ ให ภาพแหง มโนคติ นน้ั ครอบงําใจ ของ ผูอ่นื ตามท่ี เขาตอ งการ ความยากทสี่ ดุ ตกอยูทต่ี นจกั ตอ ง ดําเนินการ เปลีย่ นแปลงภาพ น้ันๆ ใหเ ปนไป ตามเรื่องท่ตี อ งการ ดุจการฉายภาพยนตร ลงในผนื จอ แหงวิญญาณ ของผูอ ื่น จงึ เปน การยากกวา การท่ีเจริญสมาธิ เพอ่ื สงบน่งิ อยูเฉยๆ หรอื คดิ เร่อื งใด เร่อื งหนง่ึ แตเ ร่อื งเดียว โดยเฉพาะ แตอยา งไรก็ดี ความลําบาก นัน้ ๆ มิไดเปนสิง่ ท่ี อยูนอกวิสัย เพราะเมอื่ จติ ไดถ กู ฝก จนถึงขีด ทีเ่ รยี กวา \"กัมมนีโย\" นมิ่ นวล ควรแก การใชง านทุกๆ อยางแลว ก็ยอ มใชไ ด สม ประสงค ฤทธต์ิ ามที่กลา วไว ใน นิทเทสแหง อภิญญา ของฝา ยพุทธศาสนานนั้ ดคู ลายกบั ยืมของใครมาใส ไว เพ่ือแสดง ความสามารถของจิต อนั สูงสดุ ประเภทนี้ ใหครบถว น นอกจาก ไมเปนไป เพื่อ ความพนทกุ ข โดยตรงแลว ยงั ไมค อ ย ตรงกับ อาการท่ี พระพุทธองค ทรงแสดงอยูบา ง ในบาง คราว ในบาลไี มไ ดแ สดงวิธฝี ก ไมไ ดแสดงวแี่ วววา ควรฝก หรือจาํ เปน และไมค อยปรากฏวา พระ มหาสาวกองคได ไดร บั ประโยชน หรอื ใชใหเ ปนประโยชน อยางใดอยา งหนึ่ง จงึ นาํ ความเขา ใจ ให เกดิ ขน้ึ วา ถาหากวา เร่อื งอภญิ ญาเหลาน้ี มใิ ชเปน เรื่องที่กลาว เพอื่ แสดง คณุ สมบัตขิ องจิต ที่ฝก แลว ถึงที่สดุ ใหค รบถว นเทา นัน้ ไมใ ชเร่ืองจาํ เปน ของพระสาวกเลย เมอ่ื เปน เชน นี้ การฝกก็ เปน อนั วา ตองตางกนั ดว ย ไมมาก กน็ อ ย จากวิธที ่ีเขาฝกกัน ในสายของฤทธ์โิ ดยตรง เพราะเรอ่ื ง โนน เปนเรื่องของ ผูขวนขวาย เพือ่ เสียสละ มใิ ชเ รอื่ งของ ผูขวนขวาย เพ่ือรบั เอา ในพระบาลี กลาวแตเ พยี งวา เมอ่ื จติ เปน จตตุ ถฌาน คลอ งแคลว ดแี ลว กน็ อมไปเพอื่ อภญิ ญา เชน น้นั ๆ สาํ เร็จได ดว ยอาํ นาจ จตตุ ถฌาน น่นั เอง เมอ่ื การนอมน้ันๆ สาํ เรจ็ ก็จะสามารถทําได เชน น้ันๆ ดู เหมือนวา ถา นอมไปเพือ่ อภิญญานนั้ ๆ ไมสําเรจ็ ก็นอ มเลยไป เปน ลําดับๆ ขา มไปหา การคดิ คน เรอื่ งอริยสจั เลยทีเดยี ว คลา ยกบั วา มไี วเ ผื่อเลอื ก หรือ สําหรบั คน ทม่ี ีอุปนิสยั บางคน ในบาลบี าง แหง ไมมีกลา วถึง อภญิ ญาเลย เมือ่ กลาวถึง จตตุ ถฌานแลว ก็กลาวถงึ วิชชาสาม คือ ระลกึ ถึง ความเปนมา แลว ของตนในอดตี ความวงิ่ วนของหมูสตั ว ในสังสารวฎั และเหตุผล เรอื่ ง อริยสจั เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 62 / 90

ชมุ นุมเรือ่ งสนั้ – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธ์-ิ ปาฏหิ าริย เปนที่สดุ พระบาลี ชนิดหลงั น้ี มีมากกวา ทกี่ ลา วถงึ อภญิ ญา และทก่ี ลาวถงึ จตตุ ถฌาน แลว กลาวอรยิ สจั เสียเลย กม็ มี ากกวา มาก ในอรรถกถาซง่ึ เปน คําอธิบายของพระบาลี ก็มิไดกลาววธิ ฝี ก ฤทธิน์ ัน้ ๆ มักแกในทางศพั ท ทางขอ ธรรมะแทๆ หรือ มฉิ ะน้ัน กท็ างนยิ ายเลยไป แตไ ดท า ใหคน ดู เอาจาก คมั ภรี วสิ ุทธมิ รรค เพราะ ผู รอยกรอง อรรถกถา กับผแู ตงวสิ ทุ ธมิ รรค เปนคนเดยี วกนั หรอื วิสทุ ธิมรรคมอี ยแู ลว กอนการ แตง อรรถกถาน้นั ๆ ในคัมภรี ว ิสทุ ธมิ รรค มเี ร่อื งของการฝก ฤทธอ์ิ ยา งพิสดาร จนกลา วไดว า ไมมคี มั ภีรใ ด มพี สิ ดาร เทา ในวงของ คมั ภีรฝา ยพุทธศาสนา ดวยกนั เพราะความพสิ ดารนั่นเอง จาํ เปน ท่ขี าพเจา จะตอง ขอรอ ง ใหทา นพลิกดู ในหนงั สอื ชือ่ น้นั ดว ยตนเอง ดว ยวา เหลือทจ่ี ะ นํามาบรรยาย ใหพสิ ดาร ในทน่ี ีไ้ ด เม่ือกลา วแต หลกั ยอๆ กค็ อื ขน้ั แรก ทานสอน ใหห าความชาํ นาญ จรงิ ๆ ในการเพงสี ตางๆ และวตั ถุ เชน ดนิ น้าํ ไฟ ลม จนติดตาตดิ ใจ เพอื่ สะดวกในการ สรางภาพแหงมโนคติ ใน ขัน้ ตอไป อันเรยี กวา เพงกสิณ ซ่งึ เปน ส่งิ มมี า กอ นพุทธกาล มิใชส มบัติ ของพระพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะ ผเู พงตอ ฤทธิ์ ตอ งหนักไปใน การฝก กสิณ เทากบั ผูเพง ตอ พระนิพพาน หนกั ไปใน การฝก แหง อานาปานสติ และกายคตาสติ เปน ตน ดนิ น้ํา ไฟ ลม คอื สวนผสมของส่งิ ตา งๆ ใน โลก หรอื กลา วอกี อยา งหนงึ่ กว็ า โลก เทาที่ปรากฏแก ความรูสึก ของคนทวั่ ไป ก็คือ ดนิ น้าํ ไฟ ลม นน่ั เอง เม่อื สิง่ เหลาน้ี ตดิ ตา และติดใจ จนคลอ งแคลว พระโยคนี นั้ กอ็ าจสราง มโนคตภิ าพ อนั เกยี่ วกับเรอ่ื งราวตางๆ ไดท ัว่ ไป ทกุ อยาง กสิณ จงึ จําเปน อยา งย่งิ สําหรับผูศึกษา ในฝายฤทธิ์ สขี าว สีเขยี ว และสตี างๆ ก็ทํานองเดยี วกนั เปนสีของสงิ่ ทั้งหลาย บรรดามี ในโลกน้ี การฝก อทุ ธุมาตกอสุภ คือ การเพงจาํ ซากศพ ที่ตายไดส หี่ าวนั กาํ ลงั ขึน้ พองเขยี ว จนตดิ ตา และขยาย สัดสว น ใหใหญเ ล็ก ทํานองยอ และ ขยายสเกล อยไู ปมา ตลอดจน ใหลกุ เดิน เคลื่อนไหวได ตา งๆ จนติดตา ตดิ ใจ ชาํ นาญ ทกุ ประเภท เชนน้ี ชว ยใหป ระสาท ของผูน้นั เขมแขง็ ตอ ความ กลัว จนมใี จ ไมหวั่นไหว ไดจริง ในทีท่ ัง้ ปวง ทง้ั ชวยสง เสริม ในการสราง มโนคติ ในเรอ่ื งกล่นิ เปนตน ไดเ ปน พิเศษ รวมความวา ในข้ันแรก ตองฝก การอดทน การบงั คับใจ ของตนเอง ใหอยใู น มอื จริงๆ การชํานาญ สรา งภาพ ดวยใจ อยา งเดียว ตลอดถึง ความกลา หาญ ความบกึ บนึ หนกั แนน ของประสาท ทงั้ ส้ิน เม่ือชาํ นาญใน ขั้นน้แี ลว จงึ ฝก การสง ภาพ ทางใจ หรอื ทเี่ รียกวา อธิษฐานจิต เพอ่ื ความเปน เชนน้ี เชน นัน้ ครอบงาํ ผูอ่นื ถาหาก มีความชาํ นาญ และกลา แข็งพอ อาจทีจ่ ะ บันดาลให คนทง้ั ชมพูทวปี รสู กึ หรือเห็น เปน อันเดียวกนั หมดวา ภเู ขาหมิ าลยั ซง่ึ เคยอยู ทางทิศเหนอื นน้ั บดั นี้ได ขยับเลอื่ น ลงมาอยู ทางทศิ ใต หรอื กลางมหาสมุทรอินเดยี เสียแลว เปน ตนได แตเ พราะ ความท่ี อํานาจใจ น้ันๆ ไมพ อ จงึ เทา ที่ เคยปรากฏ กนั มาแลว มีเพยี ง ในวงคน หมหู น่ึง หรือ ช่ัวขณะ หนงึ่ เทาน้นั สมตาม ทช่ี ือ่ ของมัน คือคําวา ฤทธิ์ ซ่งึ แปลวา เครอ่ื งมือชว ย แกอ ปุ สรรค ใหส าํ เรจ็ กะทันหัน ทันอก ทันใจ คราวหนึ่ง เทา น้ัน เพราะวา แมห าก พระโยคอี งคใ ด เคลอ่ื น ภูเขาหิมาลยั เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 63 / 90

ชมุ นมุ เรอ่ื งสั้น – พทุ ธทาสภกิ ขุ ฤทธ-์ิ ปาฏิหารยิ  ไดดว ย อํานาจฤทธ์ิ เมือ่ ทา นคลายฤทธ์ิ หรือตายเสยี ภเู ขาหิมาลัย กจ็ ะ วิ่งกลบั สทู ่ีเดมิ เทานนั้ เอง นักโทษ ทม่ี ฤี ทธ์ิ อาจบันดาล ใหเขา เหน็ ตน เหาะลอย อยใู นอากาศได แตยอม ไมอาจท่ีจะ ทําลาย เคร่ืองจองจํา นัน้ ได ถาหากมนั เปนเครื่องมือ ทีแ่ นน หนา แขง็ แรงพอ แตนกั โทษผนู ั้น มี ทางทจี่ ะใช ฤทธน์ิ นั้ ใหเ ปนประโยชน แกต น หรอื มีโอกาส ใหอบุ าย อนั ใด อันหนึ่ง หรอื เขาสั่ง ปลอ ย เพราะ กลวั อภนิ ิหาร ของตน เม่ือตนคลอ งแคลวใน การอธษิ ฐานจติ แผม โนคตภิ าพ ไปครอบงํา สตั วอ ่ืน ไดเ ชน นี้ กเ็ ปนผูมีฤทธิ์ แตจ ะมากหรือนอย ยอมแลว แต ความสามารถ ของตน เม่ือมาถึงตรงน้ี กอ นแตจะจบ ควรยอ นกลบั ไป พิจารณาถงึ เรอื่ งฤทธิน์ ี้ กนั มาใหม ต้งั แตตน อีก สักเลก็ นอ ย แตพจิ ารณากัน ในแงแ หง ประวตั ศิ าสตร ของวิชา ประเภทน้ี วิชาเร่อื งนี้ ฟก ตวั มนั เอง ขนึ้ มาไดด วย ความอยากรู และ อยากเขาถึง อํานาจบางอยา ง ซึ่งอยเู หนอื คนธรรมดา มนั เปน ความอยาก ทเี่ กิดข้ึน โดยบงั เอิญของ คนบางพวก ที่อตุ ริ เช่ือวา จิตน้ี แปลกประหลาดมาก นาจะมี คณุ สมบัติพิเศษ บางอยาง ซง่ึ เมื่อผูใด อตุ สา หฝก ฝน จนรูเทา ถงึ แลว อาจเอาชนะ คนทรี่ ู ไมถงึ ได เปนอันมาก ความคิดน้ี เปนเหตใุ ห ยอมพลเี วลา ตลอดทง้ั ชวี ิต เพ่อื การคน ควา ทดลอง อนั เรยี กวา บาํ เพญ็ ตบะ ในยคุ ท่ีคนเราถอื พระเปน เจา ยอมหวงั ความชว ยเหลือของ พระเปนเจา อยางเต็มที่ ดวยอาํ นาจสมาธิ ท่มี ตี อ สงิ่ ท่ี เขาเช่อื วาเปน พระเปน เจา นั่นเอง ท่ไี ดเ ปน บาทฐาน ใหเขาพบ วี่แวว ของฤทธิ์ ในคร้ังแรก สักเล็กนอย และ เปนเงอื่ น ให คนชน้ั หลงั ดาํ เนินตาม หลายสิบชวั่ อายคุ น เขา คนที่ตงั้ ใจจริง เหลา นั้น กไ็ ดพบ แปลกขนึ้ เปน อันมาก จน ปะตดิ ปะตอ เขาเปนหลัก เปน เกณฑ สาํ หรบั สง่ั สอนกัน เมือ่ วชิ าน้ี ถูกแพรขาวรมู าถงึ คนในบา น ในเมอื ง ก็จูง ใจ พวกชายหนุม นกั รบ หรอื กษตั รยิ  ใหอ อกไป ขอศกึ ษาจาก พวกโยคนี ้นั ถงึ ในปา มีเรอื่ งเหลือ เปน นิยาย อยูตามท่ี หนงั ตะลุง มกั เลนกัน โดยมาก คนปา หรอื ยักษบางตน กม็ คี วามรู ความสามารถ ในเรอื่ งนี้ เทา หรอื มากกวา คนบา น หรือ มนุษย ถงึ กบั รบกนั และ ผลดั กันแพ ผลดั กันชนะ พวกเทวดาหรือ พวกท่ีเอาแต เลนสนกุ ไมป รากฏวา มีฤทธ์ิ เพราะสมาธิ ไมคอยดี กระมงั ในตอนแรกๆ ผูมฤี ทธ์นิ ั้น คนควา กนั เพยี ง ข้นั ที่สาํ เร็จ สมความตอ งการ ไมไ ดคน ถึง เหตผุ ล ของฤทธ์ิ ไมเ ปน นกั ปรชั ญา หรอื ทฤษฎใี นเรอ่ื งน้ี แตเปนเพียงนักปฏิบตั กิ าร ตามทีส่ ง่ั สอน สบื ๆ กันมา ขณะเม่ือ ในอินเดีย กําลงั รงุ เรอื ง ดว ยวิชา ประเภทน้ี ทางฝา ยยโุ รป ไมม คี วามรู ในเรือ่ งน้ีเลย เมอ่ื ทางอนิ เดียเสื่อมลง ทางยโุ รป ไดรบั เพยี ง กระเซน็ กระสาย เลก็ นอ ย ไมพ อท่ีจะ รงุ เรืองดว ย จิตวทิ ยา ประเภทนี้ อยางอินเดียได มแี ตฤ ทธิ์ ของซาตาน หรอื มาร เพยี งเลก็ นอย ซ่งึ ไมมพี ษิ สง อะไรนัก และเปน เร่อื ง ทางศาสนา มากกวา เมอื่ วิชานี้ ไดเ ส่อื มลง ในอนิ เดียแลว ในทางปฏิบตั ิการ แตทางนยิ าย ยงั มีเหลืออยู ไมส าบสญู และ ยง่ิ กวานัน้ ที่แนนอนทส่ี ดุ คอื ไดถกู คนชนั้ หลัง ตอเติม เสรมิ ความ ใหว ิจิตร ยิง่ ข้นึ ไป จนคนชั้น หลัง ในบัดน้ี ปอกเปลือก ตง้ั หลายชนั้ แลว กย็ ังไมถงึ เยอ่ื ในไดเลย ความเดา ทาํ ใหขยาย ความ จรงิ ใหเชือ่ ง จนฤทธิ์ ซง่ึ เปน เพียงวชิ า สาํ หรบั ใชแก อุปสรรค กะทันหนั เลน ตลก กับคนท่ีรไู มถ งึ เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 64 / 90

ชุมนุมเรือ่ งสั้น – พุทธทาสภกิ ขุ ฤทธ-์ิ ปาฏหิ าริย กลับกลาย เปน เร่อื งจรงิ แทๆ ไป ดจุ เดียวกับ เรอื่ งทางวัตถอุ ืน่ ๆ คนในชน้ั หลงั เปนอันมาก เชอ่ื วา อะไรทุกๆ อยางจรงิ ตามน้ัน ทงั้ ทีต่ นตอบไมไดว า ถาจรงิ เชนนนั้ ทาํ ไมเวลาปรกติ ผมู ฤี ทธ์ิ ยงั ตอ ง เดนิ ไปไหน มาไหน ไมเหาะ เหมอื นคราวท่ี แสดงฤทธิ์ แขง ขัน ทําไมตอ งทาํ นา ทาํ สวน หรอื ออกบณิ ฑบาต ขอทาน ไมบ นั ดาล เอาดว ยฤทธิ์ เปนตน ฤทธท์ิ ่ีเคยเปน เพียงการลองดี กันดวย กาํ ลังจิต กก็ ลายเปน เร่ืองทางวตั ถุ หนักขน้ึ จนคนบางคนในชั้นหลงั หวงั จะมฤี ทธิ์ เพอื่ ใหห า เหยอ่ื ใหแ กตน ตามกิเลสของตน ผลท่ไี ดร บั ในทีส่ ดุ กค็ อื การวิกลจริต! สรปุ ความส้นั ๆ ท่ีสดุ ในเรอื่ งฤทธ์ิ ท่ีไดกลา วมา อยางยืดยาว น้ี ก็คอื วา ฤทธ์ิ เปน เพยี ง คณุ สมบัติ พิเศษ สว นหนึ่งของจติ เทา นน้ั เร่อื งของจติ อนั นเี้ ปน พวกนามธรรม จะใหส ําเรจ็ ผล เปนวตั ถุ ไมได เชนเดียวกับวัตถุในความฝน มันจะเปน วัตถุอยู ก็ช่วั เวลา ทเี่ ราไมตื่น จากฝน เทา นัน้ ของที่ นฤมติ ข้นึ ดวยอาํ นาจฤทธ์ิ สําเรจ็ ประโยชน ชว่ั เวลา ท่คี นเหลาน้นั ยังตกอยูใต อํานาจจิต ทเี่ ปน ตัวออกฤทธิ์ เพราะวา สงิ่ ทง้ั หลาย ทีเ่ ราเรยี กกันวา โลกน้ีกต็ าม ถา มีอะไร มาดลบนั ดาล ใหจิต ของเรา ทกุ คน วปิ รติ เปน อยางอ่นื ไป โลกนี้กจ็ ะปรากฏ แกเรา อยา งอืน่ ไปทนั ที ดุจกัน สิ่ง ทงั้ หลายสาํ เรจ็ อยูทีใ่ จ รปู เสยี ง กล่ิน รส ทัง้ หมด มคี ุณสมบัตขิ น้ึ มาได ก็เพราะเรา มีสิง่ ทเี่ รียก กันวา ใจ ถา ไมม ีใจ โลกน้ีก็พลอยไมม ไี ปดวย รวมความสั้นๆ ไดว า ส่ิงท้ังหลายสาํ เรจ็ จากใจ ใจ สรางขึน้ ใจเปน ประธาน หรอื หัวหนาแตผ ูเดียว เพราะฉะนั้น ถา มอี ะไรกต็ าม มาดลบันดาล ใหใ จ เปลีย่ นเปน อยางอืน่ ไป สิ่งทั้งหลายที่รไู ดดว ยใจ ก็ตองเปล่ียนตามไปดวย ถาอํานาจ ดลบันดาล น้นั เปน ของ ช่วั ขณะ สง่ิ น้นั ก็ แปรปรวน ชว่ั ขณะ ดว ย ในโลกน้ี ไมมีอะไร เท่ียงอยแู ลว เราจะสรา งฤทธ์ิ เพื่อเอาชนะ สง่ิ ทีไ่ มเท่ยี งนนั้ นา จะไมไดรบั ผลท่ี นาชื่นใจ เพราะฉะน้นั พระอรยิ บุคคล ทั้งหลาย แทนทจี่ ะ ใชเวลา ไปคน ควา ในเรอ่ื งฤทธิ์ ทา นจึง ใชช วี ิต ทเ่ี ปน ของ นอ ยนิด เดียวนี้ คน ควา หาสิง่ ท่เี ทย่ี ง และเปน สขุ คือ พระนพิ พาน แมว า เรื่อง ฤทธิ์ และพระนพิ พาน ตางก็ เปนวทิ ยาสว นจิต ดวยกนั ก็จริง แตแ ตกตา งกนั ลบิ ลบั ดว ยเหตผุ ล ดังกลาวมาแลว เมอื่ พระผมู ี พระภาคเจา อุบตั ขิ ึน้ ในอนิ เดีย พระองคทรงบญั ญัติ บาทฐาน ของฤทธ์ิ วา มีอยู สี่ อยาง คอื ความพอใจ ความเพียร ความฝก ใฝ และ ความคดิ คน เรียกวา อทิ ธิบาท เมอ่ื ทาํ ได ผลที่ ไดร ับ คอื มรรคผลนิพพาน เพราะคําวา ฤทธิ์ ของพระองค จาํ กดั ความเฉพาะ เครอื่ งมอื ใหส าํ เร็จ หรือ ลุถงึ นพิ พาน เทา นัน้ ฤทธิ์ ซึง่ เคยไดผ ล เปนของตบตา และชวั่ คราว กไ็ ดเปลยี่ น มาเปน ส่ิง ซ่ึงใหผ ล อันมีคา สูงสุด และแนนอน ดวยประการฉะนี้ พทุ ธทาสภิกขุ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๐ เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 65 / 90

ชุมนุมเรือ่ งส้ัน – พุทธทาสภกิ ขุ พระพทุ ธคุณทจี่ ารกึ รอยอยูใ นประวตั ศิ าสตร พระพทุ ธคุณ ที่จารึกรอยอยูในประวตั ิศาสตร เร่อื งเปน ท่รี ะลึกในวันวสิ าขบูชา ในสมัยวสิ าขบูชา พทุ ธบรษิ ัทยอมราํ ลกึ ถึงพระพทุ ธคณุ เปนพเิ ศษ ในท่ีนจี้ ะไดชักชวนเพอ่ื พุทธบรษิ ัท ใหค ยุ คนหาพระคุณนนั้ ๆ อันเรน ลับอยใู นประวตั ิศาสตร ซ่ึงมอี ยอู ยางนาอัศจรรย และ ไมนอย หวังวา ถา ไดตั้งใจพจิ ารณา คงจะพบมากพอทจ่ี ะทําใหม คี วามเช่ือความเลอื่ มใสในพระผมู ี พระภาคมากยิง่ ขึน้ กวา ทแี่ ลวมา และเหมาะสมกบั โอกาสในวนั เชนวันวสิ าขบูชาวันน้ี การจะคนหาใหพบรอยแหงพระพทุ ธคณุ อนั จารกึ ติดอยใู นสากลประวัตศิ าสตรน ั้น เรา จะตอ งมองใหพบการปฏบิ ตั อิ นั เกดิ ขน้ึ แกโลก เนือ่ งจากมีพระองคเปนมลู เหตุโดยเฉพาะ วามีอยู อยางไรเสียกอน! พระคุณของสมเด็จพระผูม พี ระภาคเจา อันมีอยูเหนือปวงสัตวใ นสากลโลกนน้ั คอื ความท่ี พระองคทรงประศาสนค วามสวสั ดีมิ่งมงคลไวแกส ัตวโลก ทั้งโดยตรงและโดยออม ดวยอาํ นาจการ ปฏิวตั ิทพ่ี ระองคทรงบนั ดาลใหเ ปน ไปในโลก โดยทรงพระเจตนากต็ าม ไรเจตนากต็ าม ความ สวัสดที เ่ี กิดขน้ึ โดยตรงน้ัน ไดแก สขุ สวสั ด์ิ อนั เกิดจากการสดบั ธรรมเทศนาของพระองคแ ลว ประพฤตติ ามโดยควรแกธ รรม และท่เี ปนโดยออ มน้นั คอื ผลอยา งอ่นื อนั เกดิ ขึน้ สืบตอ มาจากการท่ี มีผฟู งธรรม แลว ประพฤตติ นใหเ ปน ตวั อยางแกโ ลก ดงึ ดดู ใหม ีผนู ยิ มธรรมอีกตอ หนึง่ หรือแมท่ี สุดแตการทีเ่ มอื่ บคุ คลมากลายเปนผมู ีความสขุ ไปเสยี มากข้นึ ความชวั่ และคนชวั่ กน็ อ ยลงไป คน ทงั้ โลกก็พลอยสขุ เพราะเหตนุ น้ั และขอทว่ี า ทรงบันดาลใหก ารปฏวิ ตั ิเกดิ มี และเปน ไปในโลกน้นั ไดแ ก การปฏิวตั ขิ องประวตั ศิ าสตรโลก ทงั้ ในทางสมาคมและทางศาสนาสําหรับการปฏวิ ตั ิของ ประวตั ศิ าสตรน ั้น เปนการปฏิวตั ทิ ีไ่ รเ จตนา เพราะพระองคทรงทําหนา ทข่ี องพระองคตามธรรมดา พระพทุ ธเจา องคห นงึ่ เทา น้ัน แตก ารปฏวิ ตั ิก็เกิดขึน้ แกป ระวตั ศิ าสตรเ อง โดยนัยน้ี เราจะพบวา มีพระคณุ ของพระองคจารึกรอยปรากฏอยูใ นการปฏวิ ตั ิทั้งสาม คือ ปฏิวตั ิของประวัตศิ าสตรเ อง, ปฏวิ ัติทางสงั คม, และปฏิวัตทิ างศาสนา ซึ่งมีการปฏวิ ัตทิ งั้ ทางฝา ย ทฤษฎี และฝา ยปฏิบัติการ ก. การปฏิวัตทิ เ่ี กิดข้ึนแกประวตั ิศาสตร เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 66 / 90

ชุมนมุ เรอ่ื งสั้น – พทุ ธทาสภิกขุ พระพทุ ธคณุ ทจี่ ารกึ รอยอยใู นประวัตศิ าสตร โลกหมนุ ลอยไปตามกระแสของความอยากของตัวเอง และหมุนไปสคู วามแตกดับ ดวยอาํ นาจกเิ ลสของสตั วโ ลกนน่ั เอง ไดกอการอนั รายกาจขน้ึ ทาํ ลายกนั เอง หรอื เปน การทาํ ลาย โลก ในเม่อื วอดวายกันหมด แลวเกิดขึ้นมาใหม สําหรับเปนเชนน้ันอกี แตธ รรมนน้ั หยุด หรือไม ลอยไปตามกระแส หรอื เรียกอีกอยางหนง่ึ ก็คอื ขวางกระแส กนั้ ไมใ หโลกไหลไปตาม กระแสของตวั เอง แตใหท วนกระแสไหลไปตามแนวธรรม ธรรมเปน เคร่ืองคุมครองโลก หรือ กีดกัน้ ไมใหโลกหมนุ ไปสคู วามแตกดับเรว็ เกินไป จึงเปน เหมือนลูกตมุ ทีถ่ ว งโลกไว ใหม ีชวี ิตอยูย นื นานกวา ทจี่ ะปลอยใหหมนุ จีไ๋ ปตามอาํ นาจของตัวมันเอง ธรรมนัน้ ไมมีใครต้ังข้นึ เปนของมอี ยูเอง เปน แตม ีผคู นพบ และเปนความจรงิ อนั เด็ดขาดอยใู นตวั สิง่ ใดทีต่ ง้ั ขน้ึ สง่ิ นนั้ หาใชธ รรมในทน่ี ้ไี ม และไมมีความจรงิ ในตวั เพราะถูกตัง้ ข้ึนได และมคี นตัง้ ขนึ้ ธรรมท่ีแทจ รงิ ใครตง้ั ไมไ ด แม พระพทุ ธเจากท็ รงตง้ั ขนึ้ ไมไ ด เปน แตท รงคน พบดว ยอาํ นาจพระปญญา แลว ทรงนาํ มา สอนสัตว คนเราเกดิ มาในทา มกลางอวชิ ชา จงึ ไมม ีความรูหรือมีแตค วามรทู ีผ่ ิด ซึง่ มีผลเทากบั ความไมรู หรือบางอยา งจะใหโ ทษยงิ่ กวาความไมร ไู ปเสยี อกี ธรรมหรอื กฎความจริงทม่ี อี ยเู องแลว จึงไมปรากฏตอ เรา เราทราบขอ นีไ้ ด ตรงทเ่ี ราทาํ ผิดกฎความจริงของธรรมชาติ และเราทราบวา เราทําผิดได ตรงทเ่ี รากาํ ลงั ไมไดร ับความสขุ ชนดิ ทเ่ี รามีความพออกพอใจอยเู สมอได เรายงั ไมได ความอยหู รอื ความมีความเปนทีถ่ กู ใจตรงความประสงคของเราทกุ ๆ อยา ง และแลวเราก็ไมทราบ วามันเปน เพราะเหตไุ ร นน่ั แหละ คือขอ ที่วา แมค วามจริงมอี ยู เราก็หาทราบไม จนกวา เราจะมี ปญญาเสียกอน พระผูมพี ระภาคเจา ทรงคนพบความจรงิ ดวยพระปญญาของพระองคเ องกอ นแลว สอนใหเ รารหู รอื เขา ใจความจรงิ อันนน้ั ตามพระองคไดง ายขนึ้ จนเราสามารถดาํ รงใจใหต ้ังอยูได ในสภาพทไี่ มม ีความทุกขอนั ใดมารบกวนได และเรามีแตความพอใจในชวี ติ ของเราอยา งชุมช่ืน เยือกเย็นอยูเสมอ โลกกาํ ลงั กระหายตอ ความพน ทุกขอยแู ลว ฉะนนั้ พอพระองคท รงอบุ ัตขิ นึ้ สัง่ สอนธรรมแตไ มตอ งรอ งเช้ือเชิญ สตั วท ม่ี ปี ญ ญาก็ยนิ ดี และพรอมอยเู สมอท่ีจะรบั เอาธรรมจาก พระองคใ นสว นหลกั วิชา และนาํ ไปประพฤติ จนบงั เกดิ ผลในทางใจ สมตามที่ตนหวัง คือ สภาพท่ี ใจไมม ีความทกุ ขอ กี ตอ ไป เม่ือเกิดมีคนทส่ี ามารถรบั เอาธรรมชนดิ น้ี และเกิดมมี ากข้นึ ดวยการสงั่ สอนกันสืบมา ธรรมก็เปนสงิ่ ท่ีปรากฏแกดวงใจของสัตวโลกมากขึ้น เมื่อมมี ากข้ึน ก็มีอิทธพิ ลใน การท่ีจะจงู สตั วโลกไปในแนวของธรรมมากข้ึน หรือกลาวอกี อยางหน่งึ ก็คอื เปนลกู ตมุ ทีถ่ วงโลก ใหห มุนไปหาความลมจมชา เขานน่ั เอง แมวาผูที่รูธรรมโดยตรงน้ัน จะมคี วามสขุ ของตนเองอยาง เต็มเปยมไปผหู นง่ึ เปนสว นตวั แลว ก็ยังมอี ทิ ธพิ ลท่ีจะดงึ ดูดนาํ้ ใจผูอ่ืนอกี เปน จาํ นวนมากใหดําเนิน ตาม จงึ เกิดเปนลูกตมุ ถว งขึน้ ไดด วยอาการอยางนี้ ธรรมิกบุคคลในโลก เปรยี บเหมือนผจู ะออก คะแนนเสยี งเปนฝา ยคานอีกฝายหน่ึง ซง่ึ ออกความคิดอยางหลบั ตาปลอยโลกใหเ ปนไปในทางลม จม และเดือดรอ นโดยไมรูสึก ฉะนัน้ ถา ธรรมกิ บุคคลย่ิงมีมากขึ้นเมือ่ ใด ลกู ตุม ท่ถี ว งกย็ ิง่ หนกั และ ถว งไดม ากขนึ้ เพียงน้นั ในบดั นป้ี ระมาณกันวามพี ทุ ธบริษัทในโลกไมน อ ยกวา หน่ึงในสาม ของพล โลกทั้งหมด จํานวนคนเหลา นี้ยอมเปนสว นที่ถว งใหโลกหมนุ ไปหาการลุกเปนไฟชา เขา ตามสว น เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 67 / 90

ชมุ นุมเรือ่ งสั้น – พทุ ธทาสภกิ ขุ พระพุทธคณุ ท่จี ารึกรอยอยูใ นประวตั ศิ าสตร ในระหวา งทย่ี งั ไมลุกน้ี เพราะมคี วามถว งใหชาอยู มคี นอ่ืนอีกเปน จํานวนมากหรอื ทั้งโลก พลอย ไดรับความผาสุกไปดวย จงึ กลายเปนการอํานวยสขุ ใหแ กโลกท้ังสิ้นไปในตวั ซึง่ ควรทส่ี ัตวทุกถว น หนา จะพึงอาํ นวยสุขใหแ กโ ลกท้งั สนิ้ ไปในตวั ซง่ึ ควรทสี่ ตั วท กุ ถว นหนาจะพึงรําลกึ ถึงหิตคณุ อนั น้ี ของพระพทุ ธเจา และการทโี่ ลกหมนุ ไปหาความลม จมชา เขานเ่ี องชอื่ วา เกิดการปฏวิ ตั ิขน้ึ ในตวั ประวตั ศิ าสตรเ องโดยไมรสู ึก ซ่งึ ถา มฉิ ะน้นั โลกจะตองดําเนิน หรอื มฉี ากในทางประวัตศิ าสตรเ ปน อยางอืน่ ไปแลว ถาเราจะปลอ ยใหมนั เปน ไปตามอํานาจกิเลสตณั หาของโลกลวนๆ โดยไมมธี รรม เขา คุมครองหรอื แทรกแซง ข. การปฏิวัตทิ เี่ กิดขนึ้ แกส งั คมมนษุ ย อินเดียในสมยั ที่พระผมู พี ระภาคเจาทรงอุบัตขิ น้ึ น้ัน มกี ารถอื ชน้ั วรรณะ ตามลทั ธิ พราหมณ แบง คนออกเปน ๔ พวก คือ กษตั รยิ  พราหมณ พลเมืองธรรมดาท่ีเรียกวา ไวศยะ และ พวกทาสหรือทเี่ รียกวา ศทู ร รวมทัง้ พวกทตี่ ํา่ กวา เชน พวกจณั ฑาลดว ย สามพวกแรกเปนพวก สูง และสูงกวา กนั อยตู ามลาํ ดับ สวนพวกหลังนน้ั ตามลทั ธิน้ันคลา ยกบั ไมรบั รองวา เปนมนุษย เขา ไมย อมใหพ วกศทู รเขาโบสถ ไมย อมใหไ ดเ รยี นหรือฟงพระเวท ไมร ว มบอ น้ํา ไมรวมหนทาง และ ถาบงั เอิญวา พวกศทู รผานมาพบเขา กบั พวกช้นั สูง เขาปรับใหเปนความผิดของพวกศทู รนนั้ เอง และไดรับโทษซ่ึงทารุณ เขาถอื วา พวกกษตั รยิ สรา งขนึ้ จากแขนของพรหม พวกพราหมณส รา ง ข้ึนจากปาก พวกไวศยะสรา งขึน้ จากกระเพาะ และพวกศูทรถกู สรา งข้นึ จากเทา ของพรหม ดังน้ี พวกศทู รจาํ นวนลาน ตองกลายเปน พวกที่อดิ หาระอาใจของผอู น่ื คลายกบั วา ของเนา ที่ไปปนอยู ทามกลางกองดอกไมอ ันมีกลิ่นหอม การสมาคมจงึ เจือไปดว ยการถือตัว การเกลยี ดกัน และการ สบประมาทอยางรนุ แรง มีภาระทีน่ าอนาถใจแทรกแซงอยทู วั่ ไป เพราะวาแมว าพวกวรรณะสูงจะ รังเกยี จ และเหยยี ดหยามทําทารุณตอ วรรณะตํา่ อยเู พยี งใด กย็ ังตองติดตอ กบั พวกทาสเหลา นน้ั อยนู นั่ เอง ภาพแหง ความทารณุ จึงคงมอี ยทู ั่วไปในวงการสมาคม ซ่งึ เปนเหมอื นกับสีดําอนั ปา ยอยู เปนแหงๆ ในพน้ื ที่ขาวหรือเหลอื ง ฉนั ใดกฉ็ ันนน้ั คร้ันพระผมู พี ระภาคเจา ทรงอุบตั ิข้นึ พระองค ทรงสง่ั สอนวา คนเราจะเปนพราหมณ เพราะเหตสุ ักวาบดิ ามารดาเปนพราหมณหาไดไ ม แตจ ะ เปน พราหมณไดก ด็ ว ยประพฤตติ นตามแนวธรรมคอื ประพฤติดี และในการประพฤติดนี ัน้ ทําไดท กุ คนไมจ าํ กดั วา จะเปนวรรณะไหน ในการประพฤตธิ รรมไมม ีกษัตรยิ  ไมม พี ราหมณ ไมม ไี วศยะ และไมม ีศทู ร เพราะฉะนั้น คนเราจะเปน อะไรกไ็ ดท ัง้ นั้น แลวแตก ารประพฤตขิ องเขานัน่ เอง การ เปน กษตั ริยห รือพราหมณด วยเหตสุ ืบจากบิดามารดาน้ันไมชว ยได เพราะวาแมจ ะมกี ําเนดิ จาก บิดามารดาทเี่ ปนกษัตรยิ  พราหมณ ไวศยะ หรือศทู ร กต็ าม เม่อื ประพฤตผิ ดิ ธรรมแลว ยอมจมลง ไปในนรกเหมอื นกนั โดยไมแตกตา งกัน และไมมีขอ ยกเวนใหแ กใ ครเปน พเิ ศษ ถา ประพฤตถิ ูก ธรรม ก็จะไดไ ปสสู คุ ตแิ ละเปนสขุ เหมือนกนั โดยทํานองเดียวกนั ดงั นี้ คร้ันมคี นนบั ถือและทําตาม คาํ ส่งั สอนของพระองคมากข้ึน จนกระทั่งถึงพวกราชาและมหาราชา พวกศทู รกค็ อยมโี อกาสได หายใจดวยอากาศท่ีบรสิ ทุ ธส์ิ ดใสเยอื กเยน็ ปราศจากลมอนั ทารุณไดมากข้นึ ฉากของมนุษยใ น เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 68 / 90

ชุมนุมเร่ืองสั้น – พุทธทาสภิกขุ พระพุทธคุณทจี่ ารึกรอยอยูใ นประวัตศิ าสตร ดานการสมาคมก็เปลย่ี นไปโดยควรแกเหตุ ภาพทารณุ ท่ีเคยปรากฏในวงการสมาคมระหวาง วรรณะทั้งสี่ ก็คอ ยจางหายไป พนื้ สขี าวในดวงใจของมนุษยเหลา น้ัน ก็มีสขี าวอนั สมา่ํ เสมอมากขน้ึ มจี ุดหรือทางดาํ นอ ยลง อีกอยา งหนึ่ง สตรี ในกาลกอ นเปน สิง่ ท่เี คยถือกนั วา เปน ทรัพยสมบตั ิชนิดหน่ึง ใน ตอนแรกกเ็ ปน ทรพั ยของบดิ ามารดา ท่เี ลีย้ งไวส ําหรบั ขายใหแกบ รุ ษุ ในตระกลู ทจ่ี ะมาขอซื้อเอาไป ครั้นผูท ีเ่ ปนสามีซ้อื เอาไปแลว ก็ถอื เสมือนหน่ึงทรพั ยห รือสตั วเ ลี้ยงชนิดหนงึ่ ปราศจากสทิ ธแิ์ ละ เสยี งใดๆ เพราะเชอื่ กนั วาสตรเี ปนมนุษยท ไี่ มม อี ะไรๆ สมบรู ณเหมือนผชู าย จงึ ไมใหการศกึ ษาแก สตรี สตรีก็มีอนั ทจ่ี ะเปน ไปในทางเสือ่ มเสยี มากขึน้ จึงกลายเปน ธรรมเนยี มถือกนั วา สตรีไมค วร ถกู ยกข้ึนมาเทยี มบรุ ุษ ทุกๆ อยางใหอยูในอาํ นาจของฝา ยชายอยางเดียว จุดดาํ ไดเ กดิ ข้ึนแกเ พศ ท่เี ปน มารดาของโลกอยา งเปอ นไปหมด ท้งั ท่บี รุ ษุ ผูถือลทั ธินัน้ กต็ องเกิดมาจากสตรนี ่ันเอง ครั้น พระองคทรงอบุ ัติข้นึ ทรงรบั รองขอ ท่ีวา สตรีสามารถบรรลมุ รรคผลเชน เดียวกับบรุ ษุ โดยไมม ขี อ แตกตา งและตรัสขอ ปฏบิ ัตสิ ําหรบั สตรี เพ่อื ”เอาชนะ”ไดท้ังในโลกนแี้ ละโลกหนา คอื ความมีหนา มี ตา ในทางสมาคมหรือวงสงั คม และการไปสสู คุ ตสิ วรรคโ ดยเทา เทียมกบั ผูชาย ใหร จู กั หนา ท่ีของ ตวั ทจ่ี ะพงึ ปฏบิ ัตติ อ สามี ซ่งึ กม็ ีหนา ท่ีอกี อยางหนงึ่ อนั จะพงึ ปฏบิ ัตติ อ ภรรยา และใหทง้ั สองฝายถือ เสมือนท่จี ะพงึ กระทําตอ กนั โดยเทาเทยี มกนั การยกสถานะสตรเี ชน นี้ ปรากฏในตระกลู วงศข อง พระองคคอื พวกศากยะมากอนแลว โดยทถ่ี อื วา สตรีเปน เพศทีค่ วรยกยอ ง ไมย อมใหไปกบั พวกท่มี ี เช้ือชาตติ ่ํากวา แมจ ะมีอาํ นาจ และสตรคี วรมสี ิทธทิ์ ีจ่ ะปฏเิ สธ หรอื ไมถกู ยกใหแกบ ุรษุ ทไ่ี มมี คุณสมบตั ทิ นั เทียมกนั หรือกลาวอยา งส้นั ๆ ก็คือวา เกยี รติยศของสตรี เปนสง่ิ ที่จะตอ งพจิ ารณาอยู อยางรอบคอบ สขุ มุ ขอนี้ทาํ ใหสตรพี วกศากยะกา วออกจากประตเู รอื น บวชในสาํ นักภกิ ษณุ ีได โดยปราศจากการขดั ขวางของฝา ยชาย และธรรมของพระองคซ ง่ึ มผี ูร บั ถอื กันมากขึ้นสืบมา ในตอนหลัง ไดชว ยยกสถานะของสตรใี หสงู ขึ้นอยางประจกั ษ มสี ทิ ธแิ ละโอกาสท่จี ะทาํ การกุศลและการศกึ ษา ตามประสงคของตนมากขนึ้ ทวั่ ๆ ไป ในประเทศท่ีรบั นับถอื พทุ ธ ศาสนา อกี อยา งหนง่ึ อินเดยี ในสมัยโบราณมธี รรมเนียม บชู ายญั ดว ยเน้อื และเลือดท้งั ของ สัตวและมนษุ ย โบสถสว นมากคือโรงฆา สตั วท ี่แดงไปดวยเลอื ด และไฟทส่ี ง ควันตลบ ผมู ที รพั ย และอาํ นาจจัดใหพวกนักบวชประกอบการบูชายัญ เพือ่ ไถถอนบาปของตนและชว ยใหตนมีความ เจรญิ ยิ่งขึน้ ไปตามลทั ธทิ เ่ี ชอื่ กนั อยู พวกนักบวชเหลานั้นชว ยทาํ พธิ ี ใหบาปของผูเ ปน เจา ของยัญ นัน้ ตกมารวมกันอยทู ศ่ี ีรษะของสัตวทจี่ ะฆา แลว ฟน มนั เสีย โดยไมม ีขณะท่ีมนั อาจสํานึกถงึ รส ของความเจบ็ และความตาย เอาโลหิตรองใสถ าดมาเผาไฟสมนาคณุ พระเปน เจา ในเบ้ืองบน ศตั รู ยอ มตอบแทนศัตรูดว ยเลอื ดและชวี ิต การริษยาอาฆาตจองเวรแกแ คน ถอื กันวา เปน เกียรติยศ ไม ถือกันวาการใหอ ภัยเปนสงิ่ ที่ควรนิยม ครน้ั พระผมู ีพระภาคเจา ทรงอบุ ัติขน้ึ พระองคท รงสอนวา ความบรสิ ทุ ธแ์ิ ละไมบ รสิ ทุ ธ์เิ ปน ของเฉพาะตวั คนอนื่ จะชว ยทาํ คนอนื่ ใหเศราหมองหรือบริสุทธห์ิ า เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 69 / 90

ชุมนมุ เร่อื งส้นั – พทุ ธทาสภิกขุ พระพุทธคณุ ทจี่ ารกึ รอยอยใู นประวัตศิ าสตร ไดไ ม กรรมเปน สงิ่ เด็ดขาดแนนอนในขอ ที่วา ทําเชนไรตอ งไดผลเชน น้นั และผทู ํานน่ั เองเปน ผูรบั ผล ไมม กี ารไถถอนสบั เปลยี่ นกันไดด วยอาํ นาจ หรอื ดวยทรัพย หรอื สงิ่ อ่ืนๆ เวรยอ มไมร ะงบั ดว ย เวร แตจะระงับเพราะความไมผ ูกเวรของฝา ยใดฝายหนง่ึ และการใหอ ภัยเปน ความกลาหาญของ นกั ปราชญ แมพ วกคนพาลจะถือกนั วา เปนความขลาดหรืออะไรก็ตาม สตั วทกุ ชนดิ รูจกั รักชีวติ เหมือนมนษุ ยและเทากันกบั มนุษย และตกอยใู นภาวะอนั หนกั เพราะถกู ความแกค วามเจ็บและ ความตายครอบงําเชน เดียวกนั ควรทจี่ ะเปนเพอ่ื นทกุ ขย ากดวยกัน ดกี วา ทจ่ี ะลางผลาญกัน ซ่ึง เปนการกระทาํ อยางหลับตาและนา ละอายย่งิ ขึ้น คร้นั มีผนู บั ถอื ศาสนาของพระองคม ากขน้ึ ธรรมท่ี ทรงนํามาสงั่ สอนนนั้ ก็ยิ่งมีอทิ ธิพลในดวงใจของมนษุ ยทเี่ คยนยิ มการฆาและการจองเวรมากขึน้ ซึง่ ชวยใหเ ขาบรรเทาความโหดรา ยนัน้ ลงเสียไดตามควรแหง ธรรมที่ไดศ กึ ษา ครั้นแพรหลายไปถึง ช้ันพระราชา กม็ กี ฎหมายบัญญตั ิหามการฆา สตั ว และตั้งโรงพยาบาลขึ้นสําหรับสตั วเดรจั ฉาน ดงั ท่ปี รากฏอยูในศลิ าจารึกของพระเจาอโศกแทบทว่ั ไปทงั้ อนิ เดีย หรือชมพทู วปี สมตามทีพ่ ระ ราชาธริ าชองคนี้มอี าณาจักรอันกวางขวาง เพราะทรงอาศยั อํานาจธรรมเปนเครื่องปราบและขยาย อาณาจกั ร อันปรากฏตามประวตั ศิ าสตรว า ทรงขยายอาณาเขตไดก วา งวา กษตั ริยองคใดใน อนิ เดีย การปฏวิ ตั ิไดเกิดขน้ึ ในดวงใจของประชาชน จนถงึ กบั ทําใหโ รงฆาสัตวชนดิ ท่ีหมุ คลุมอยู ดว ยลักษณะของโบสถน้ันลดจาํ นวนนอ ยลงไป และมีโรงพยาบาลสําหรับสัตวท่เี จบ็ ปว ยเกดิ ขน้ึ แทนดังกลาวแลว นค่ี อื รอยแหงพระพทุ ธคณุ ท่จี ารกึ ตดิ อยใู นประวตั ศิ าสตรข องอินเดียและ ประเทศใกลเ คยี ง เทาทธ่ี รรมาณาจกั รของพระเจา อโศกราชแผไปถงึ และลากรอยของมนั สืบตอมา จนกระทงั่ บัดนี้ ไดแผไ ปในประเทศอืน่ โดยกวางขวาง จนกระทัง่ เกิดมชี นหมูมากท่ถี ือไมก นิ เน้ือสัตว เพราะอาศยั รศั มธี รรมของพระองคก ม็ ี โดยเฉพาะอยางย่ิง คือ พุทธบรษิ ทั ท่ปี ฏิภาณตน ไมเ สพเนอ้ื สตั วตลอดชีวติ หรือบางคราวสัตวไ มถ กู ฆา หรือเปน เหตใุ หถ กู ฆา เพราะชนพวกนี้ หรอื ในวนั ทก่ี ําหนดเปนวนั ทางศาสนานน้ั มจี ํานวนมากมายเหลอื ท่ีจะนบั ได ซง่ึ เปนเสมอื นการปด เสยี ซง่ึ ลําธารของโลหิต อนั เคยไหลนองใหหยดุ ไหล หรือนอยลง ซึ่งยอมทําใหฉากแหง ประวัตศิ าสตร เปลยี่ นแปลงไปอยางยากทจี่ ะพจิ ารณาเหน็ ไดงา ยๆ เพราะปฏวิ ตั อิ ันนีม้ ีสังคมหรอื สมาคมสวน ใหญข องมนุษยเ ปนมลู ฐาน เม่อื ยอ นมามองดอู ีกคร้ังหนึง่ จะพบวา สงั คมใดหนักแนน ในพทุ ธธรรมแลว การเหยยี ดชนั้ วรรณะของกันและกนั จะมีในสมาคมน้ันๆ จะมแี ตความวางตนเสมอ พรอ ม เพรยี งสามคั คกี ันกอ กูภาระของประเทศชาติ การยกสถานะของสตรี และการใหอ ภัยดวย ความเมตตากรณุ า ยอมหาไดงา ยในสมาคมนั้น มนุษยช าตสิ ว นใหญ จึงไดม ีรปู ทาง ประวตั ิศาสตร แปลกไปกวาตามทีจ่ ะปลอยใหม นั หมนุ ไปเอง โดยปราศจากหลักธรรมของพระองค เขาเก่ียวของ ดวยประการฉะนี้ ค. การปฏวิ ัตทิ างศาสนา เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 70 / 90

ชมุ นมุ เรอ่ื งส้นั – พทุ ธทาสภกิ ขุ พระพทุ ธคุณท่จี ารึกรอยอยูในประวตั ศิ าสตร จากประวัตศิ าสตรของปรัชญาท้งั หมดบรรดามใี นโลกน้ี เราจะพบหลกั สาํ คัญได อนั หนึง่ วา พทุ ธศาสนาไดสอนส่งิ ที่ใหมและแปลก จนถึงกบั ตรงกนั ขามกบั หลกั ปรชั ญานั้นๆ ใหแ ก โลก ซึ่งจะไดยกมาวนิ จิ ฉยั โดยยอๆ เปนลําดบั ไป ทฤษฎีทางปรชั ญา ที่พระผมู พี ระภาค ไดทรงเผยใหแกโ ลก ชนดิ ทไี่ มเ คยมใี ครสอนมา กอ น ก็คอื กฎอนั วา ดวยอนตั ตา ไมม สี ่ิงใดที่เปน อัตตาคือตวั ตน มติในลทั ธิอ่นื ยอ มสอนวามอี ตั ตา ท่เี ปน ตวั เรา ไมอยา งใดก็อยางหนึ่ง ถึงแมจะไดป ฏเิ สธบางสวน (เชน รางกาย เปนตน) วา เปน อนตั ตามิใชต วั เราไปแลวกต็ าม ในยุคพทุ ธสมัยมลี ทั ธทิ สี่ อนอยา งสูงทีส่ ดุ กค็ อื ลทั ธิท่สี อนใหศ กึ ษา ปฏบิ ัติ จนรูจกั ตัวอาตมันหรืออตั ตาท่ีหลดุ พน แลวจากโลกยิ ธรรมอนั หอ หมุ อยู อันเปนสภาพชนดิ หน่ึง ท่ไี มร จู ักตายหรอื แมแ ตแ ปรผนั คอื เปน อสังขตะ นั่นแหละวาเปน ตวั อาตมันหรอื ตัวเรา ที่ แทจ รงิ แทนท่จี ะยดึ ถือรางกายหรือจิตตามธรรมดาวา เปน ตวั เรา แตพ ระผูมีพระภาคเจาไดทรง ประกาศขึน้ วา สิ่งทเ่ี ปน อสังขตะคอื ไมตายและไมผ นั แปร เพราะไมมีการเกดิ และไมมเี หตุปจจยั ปรงุ แตงไดน ้ัน เปน สงิ่ ท่ีมีอยูจรงิ แตมนั หาใชเ ปน อาตมนั หรอื ตวั ตนของใครไม มันเปนเพียง “สิง่ ธรรมดา” ลว นๆ เชนเดียวกบั สิง่ อนื่ ๆ ทเ่ี ปนพวกสังขตะ คือรจู กั ตายและแปรผนั เพราะมีเหตุ ปจ จยั ปรุงน้นั เหมอื นกัน และขอ สําคัญนน้ั มอี ยวู า จิตจะไดลุถงึ ศานตสิ ขุ อันแทจรงิ และถึงทสี่ ดุ จรงิ ๆ นัน้ ตอ งเปน จิตท่ปี ราศจากความเขา ใจและความยึดถือวา มอี ตั ตาหรอื เปนอตั ตาเทา นน้ั ถา ยงั ปด วาเปนอตั ตาเพยี งบางอยาง และยึดถือวาเปน อตั ตาบางอยา ง ดงั กลาวมาแลว แมส ง่ิ นั้นจะ สูงสดุ เพยี งไร กย็ งั หาใชเปน การหลุดพน ท่แี ทจ ริงและถงึ ท่ีสดุ ของจิตไม เปนอันวา พุทธศาสนา ปฏิเสธอตั ตาโดยส้ินเชิง และประวตั ศิ าสตรย อมแสดงชัดอยูในตวั เองทันทวี า กอ นหนา นน้ั โลกไม เคยไดย นิ คาํ วา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา = “ส่งิ ทงั้ ปวงเปนอนตั ตา” เลย โลกเพิ่งจะมาไดฟ งเม่อื พระ พุทธองคท รงประกาศขึน้ และไดล ถุ งึ ภูมธิ รรมขนึ้ ใหม กลาวคอื ความปลอยวางสงิ่ ทั้งปวงโดย เด็ดขาดไดเ ชนนี้ จึงกลาวไดวา ทฤษฎอี นั น้ี (คือที่วา สง่ิ ท้ังปวงเปน อนตั ตา) มอี นั เดียวเฉพาะใน พทุ ธศาสนาเทา น้ัน ลทั ธิอนื่ ๆ ท้ังหมด มีจดุ หมายอยูทห่ี า “อตั ตาหรอื ชีวติ อนั แทจ ริง” ใหพบ แต พทุ ธศาสนาประกาศขึน้ วา อัตตาหรือชีวติ อนั แทจรงิ น้ันไมมเี ลย แมว าอสังขตธรรมจะเปนส่ิงไมผัน แปร และตงั้ อยูต ลอดอนันตกาลเพียงไร มนั ก็หาใชเปน ชวี ติ หรือเปน อตั ตาไม ตามประวตั ศิ าสตรแหง ธรรมปฏบิ ตั ิ เราอาจพบไดอ ยางแจมแจง วา กอนหนา นี้ มีแต แนวปฏิบตั ิเพยี งสองสายคือ พวกหนึง่ คลอ ยไปตามกระแสโลก ยงั เกี่ยวขอ งอยกู บั กามคณุ หรือหา ความอรอยทางกายพรอมกันไปดวย อีกพวกหนึง่ กถ็ งึ กับทรมานกายใหแสบเผ็ด โดยมีหลกั ฐาน วาทรมานไดเ พยี งไร ก็ยงิ่ เปนการปลอยวางกาย ไมเ หน็ แกกาย และเปนการหลุดพน ไดเพยี งนัน้ ไมเ คยมีใครไดย ิน หรอื ไมย ึดหลักวา มัชฌิมาปฏิปทา อนั คลุกเคลาไปดวยปญ ญา และกวา งขวาง เหมาะสําหรบั คนทัว่ ไป ดงั ที่พระองคทรงบญั ญตั ขิ ้ึน ไมมีใครเคยไดย นิ คําวา อริยสจั อันเปน กฎ แหงเหตผุ ลและคนเราจะพน ทกุ ขไดก ด็ ว ยการกระทาํ ทตี่ รงตามกฎแหงเหตุผล เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 71 / 90

ชมุ นุมเรอ่ื งสั้น – พุทธทาสภิกขุ พระพุทธคุณทจ่ี ารึกรอยอยูในประวัตศิ าสตร กอนทีพ่ ระองคอบุ ัตขิ น้ึ ถามใี ครถามวา คนเราตายแลว เกิดอกี ไหม? ก็จะมคี นตอบ ตา งๆกนั คอื ๑. ตอบวา เกดิ อีก ๒. ตอบวา ไมเ กิดอกี ๓. ตอบวา เกดิ อีกกม็ ี ไมเ กิดอีกกม็ ี ๔. แต คําตอบทัง้ ๓ ชนดิ น้ี ผดิ หลกั พทุ ธศาสนา ถา มีใครทูลถามพระองคเ ชนน้นั พระองคกจ็ ะตรัสตอบมี หลักวา แททจี่ รงิ คนเราไมม ี มแี ตการควบคุมเขากบั การแยกออก และการผันแปรไปของ ธรรมชาตพิ วกหน่งึ ซึง่ มเี หตปุ จ จยั ปรุงแตงและผลักไสไป เมื่อขาดเหตุขาดปจจยั มนั ก็หยดุ หรือ ดับ แทจ รงิ ทุกสวนของสงิ่ ทเี่ รียกวา คนเราหรือตวั เรา ก็เปล่ยี นแปลงเปนอันอื่นอยทู ุกๆ ปรมาณู และทุกขณะจิตอยเู องแลว หาสาระทจี่ ะเรียกวา คนเรา ตรงไหนหรือเวลาไหนมไิ ด หรืแมจะ หมายความเอาวา คนเราเกดิ หรอื ตายตรงรา งกาย เรากย็ งั กลา วลงไปไมไดวา บางคนเกดิ อีก หรอื บางคนไมเ กิดอีก คงกลา วไดแ ตเ พียงวา ยอมแลวแตเหตุ ถาเหตุเพอื่ จะใหเ กดิ อกี มี มันก็เกิด ถา หมด ก็ไมเ กิด แตอ ยางไรกต็ าม การตอบเชน นี้ยังไมตรงตามความจรงิ เพราะตามกฎแหง วัฏสงสารนน้ั มีแตเ พยี งธรรมชาติสายหนง่ึ ซง่ึ ไหลเช่ียวเปนเกลียวไปดว ยความเปล่ยี นแปลง ไม หยุดหยอน จนกวา มันจะหมดตน เหตุ โดยที่ตนเหตุของมันถกู ทําลายเสีย คําวา เกิด-แก- ตาย หรือ อื่นๆ เปน เพียง “คําสมมติ” ทีเ่ ราจบั ไปสวมเขา ทีร่ ะยะหรอื ตอนใดตอนหนง่ึ ของ “สายอนั ยาวยดื ” สายนเี้ ทาน้นั เพราะฉะนนั้ การกลาวด่งิ เดด็ ขาดตายตวั ลงไปวา เกดิ อกี หรอื ไมเ กิดอีก บางคนเกิด บางคนไมเ กดิ อยางใดอยางหนงึ่ น้ัน ผิดจากความจรงิ ซึง่ พทุ ธศาสนาเล็งถึง สรปุ วา พระพุทธองค เปนผูเ ปดเผยหลกั อนั สบดว ยเหตุผล หรอื ทเี่ ราเรียกกันในสมัยนี้วา สบหลกั วทิ ยาศาสตร (Scientific) เปนคนแรก เปน บคุ คลแรกในโลกทีป่ ระกาศวา สิ่งท่ีเราเรยี กกันวา คนหรอื ตัวเรานน้ั เปนเพียงสวนหนง่ึ ๆ ของเกลียวแหงความหมุนเวยี นของสิง่ ซงึ่ เปน เหตผุ ลขณะหน่ึงๆ แทท่ีจรงิ คนเราไมมี มีแตส ว นยอ ยๆ หลายสวน จบั กลมุ กนั เขาแลวหมนุ ไปๆ ซึ่งทั้งนีเ้ ปน ดวยอํานาจแหง เหตทุ ่ีทาํ ใหปรากฏดจุ วา มีตวั ตนอยูได แตกช็ ว่ั ขณะทม่ี ันหมุน หยุดหมนุ กด็ บั และไมมตี ัวอะไร นอกจากความวา งจากสงิ่ เหลา น้ัน จึงกลาวไดว า มแี ตโ ลกยิ ธรรมทห่ี มุนไปตามเหตุ ปรากฏอยูช่วั ขณะทย่ี ังมเี หตุ และหมุนไปๆ จนกวาจะถึงท่สี ุดเม่ือส้ินเหตุ เทา น้นั ถา ถามวา คนตายแลว เกิด หรอื หรอื ไม? กต็ อบวา คนไมมี จะเอาอะไรมาตาย หรอื เกดิ มแี ตกลุม ของสง่ิ ที่หมนุ ไปตามอํานาจ แหง เหตุ จนกวาจะหมดเหตุ ยงั มีเหตุกต็ องหมนุ ไป หมดเหตุ ก็หยดุ หมุน นอกจากน้ัน ยังอาจกลา วไดสบื ไปวา พระพุทธองคเ ปน คนแรกทปี่ าวประกาศ มิใหม ี การเชือ่ มน่ั ตามตาํ รา เชื่อม่นั คําครู เช่ือลทั ธิธรรมเนยี มประเพณี หรือเชื่อดว ยการตรึกตามเหตุผล ชั่วแลน ตามหลักท่ีปรากฏอยใู นกาลามสตู ร และทรงวางหลักวา ไมควรถกเถียงคดั งางกนั ดวย ปญ หาทางปรัชญาทเี่ ปน ปญ หาโลกแตก ดังเชนเรอื่ งทฎิ ฐสิ ิบ ท่เี ปน ปญ หาพ้นื เมอื งในสมัย พุทธกาล ทรงสรปุ ใจความวา ชวี ติ น้ี มิใชเ ปนปญหาทต่ี อ งสะสาง แตเ ปนเพยี งสภาพความจริง ชนดิ หน่ึง ทีเ่ ราจะตองเขาใจถึงอยา งเดยี วเทาน้นั และกด็ วยการปฏบิ ตั อิ นั เปน ภายในอยางเดียว และอาศยั ตนของตนโดยเฉพาะจึงจะเขาถึงได การออ นวอนพระเปน เจา เปนเพยี งความขลาด เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 72 / 90

ชุมนุมเร่ืองส้นั – พทุ ธทาสภิกขุ พระพุทธคณุ ท่จี ารกึ รอยอยูในประวตั ิศาสตร หลักคาํ สอนดังกลาวมาท้ังหมดน้ี ประทปี ดวงใหม ท่พี ระพทุ ธองคท รงจดุ ขึ้น และทรง สอ งใหส ัตวโลกกาวเทา ไปสคู วามพนทุกข โดยอาการที่ผดิ แปลกไปจากท่ีถา หากวา โลกจะมิไดรบั แสงจากประทีปดวงน้ี และโดยเหตนุ ้จี งึ ทาํ ใหทิวทรรศนแ หงประวัตศิ าสตรใ นดานปรัชญาหรือธรรม วิทยา ไดเ ปลยี่ นรูปไปอยา งมากมาย และความเปล่ยี นแปลงอนั นี้ ยอ มเปน ผลเกิดมาจากการ ปฏิวตั ทิ างศาสนา ซง่ึ มมี ูลฐานมาจากพระพทุ ธองคโดยเฉพาะ เมือ่ ลทั ธใิ หมนี้ มอี ทิ ธิพลเหนือ ชาวโลกแทนลทั ธเิ กา (ดังทก่ี ลา วแลว ในตอนตนๆ มีพระเจา อโศกมหาราชเปน ตวั อยา ง) มากข้นึ แลว รอยจารึกแหงพระพทุ ธคณุ ทีฝ่ กลึกอยูใ นสายอันยาวยืดของประวตั ศิ าสตรโลก กย็ อ มีปกคลมุ อยูโดยทั่วไป และเราก็จะพอมองเหน็ ไดวา พระมหากรุณาคุณของพระผูมีพระภาคเจานนั้ จะยังคง ปกคลุมประวตั ิศาสตรของโลกไปตลอดชวั่ กัลปาวสาน เมอื่ เรามองเห็นภาพแหง การปฏิวตั ิท้งั ทตี่ วั ประวัตศิ าสตร ทีม่ นุษยส มาคม และทีแ่ นว ปรัชญาของโลกทั้งมวล อันเปนมาอยางไร โดยท่ัวถึงดังนี้แลว เรากเ็ ห็นไดจากการปฏิวตั ินั้นๆ สืบไปวา พระพุทธองคทรงเปน บอเกิดแหง คณุ ประโยชนของโลกอยา งใหญห ลวงเพียงไร ผลท่ี กระทอนสืบๆ ไปจากพระคณุ ทงั้ ปวงน้ัน ยอมทงิ้ รอยของมันใหจารกึ ติดอยใู นสายอนั ยาวยืดของ ประวตั ศิ าสตรย ิง่ ขนึ้ ทุกๆยคุ พทุ ธบรษิ ทั ท้งั หลายควรจะมองคน ดใู หค รบถว นทวั่ ถงึ ในสมยั อนั เปน อภิลักขติ กาล เชน วสิ าขบูชาน้ี ดวยความเคารพอนั หาขอบเขตมิไดจงทุกคนเถดิ . พุทธทาสภกิ ขุ วสิ าขมาส ๒๔๘๓ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 73 / 90

ชมุ นมุ เรื่องสนั้ – พทุ ธทาสภกิ ขุ ใครทกุ ข? ใครสขุ ? ใครทุกข ? ใครสขุ ? พระพทุ ธองคต รสั วา \"เมื่อกลา วสรปุ ใหส น้ั ที่สดุ แลว เบญจขันธท ยี่ งั มอี ุปาทาน เปน ตวั ทุกข.\" (สงขฺ ิตฺเตน ปฺจปุ าทานกฺขนธฺ า ทุกฺขา) เม่อื เปนเชนนี้ ยอ มทําใหเ กิดความสงสยั วา ถา ขนั ธเ ปนทุกข ก็ชางมันเปนไร เราอยาทุกขกแ็ ลว กัน มิใชหรือ? บาลีแหงอนื่ กม็ อี ีกวา \"ตัวทกุ ขน ้ันมอี ยแู ท แตบุคคลผูเปนทุกขห ามไี ม\" (ทกุ ขฺ เมว หิ น โกจิ ทกุ ขฺ โิ ต การโก น, กริ ิยา วชิ ฺชติ) นกี่ ็เชน เดยี วกนั อีก แสดงวา ตัวตนของเราไมมี. ทุกขอ ยทู รี่ ปู และนาม. นก้ี ็กอใหเ กิดคาํ ถามวา เราจะพยายามทําที่สดุ ทกุ ขไ ปทาํ ไม เมื่อเราผูเปนเจาทุกขก็ไมม ี เสียแลว , พยายามใหใคร. ใครจะเปนผรู บั สุข ทาํ บญุ กศุ ลเพือ่ อะไรกนั ? เพื่อขบปญหานีใ้ หแตกหัก โดยตนเองทกุ ๆ คน (เพราะธรรมะเปน ของเฉพาะตน). ขาพเจาขอเสนอแนวคิดส้ันๆ แตกวางขวางออกไป แดทานท้ังหลายสําหรับจะไดนาํ ไปคดิ ไปตรอง จนแจม แจงในใจดวยปญญาของตนเองแลว และบาํ บดั ความหนักใจ หมนหมองใจ อันเกิดแตความ สงสยั และลงั เลในการประพฤตธิ รรมของตน ใหเ บาบางไปไดบ า ง ดังตอ ไปนี้ :- รา งกายและจติ ใจสองอยา งนี้ รวมกนั เขาเรียกวา นามรูป, หรอื เรียกวา เบญจขันธ เม่ือ แยกใหเ ปน ๕ สวน. ในรา งกายและจิตใจนี้ ถา ยังมีอปุ าทาน กลาวคือความยึดถือวา \"ของฉัน\" วา \"ฉัน\" อยูเ พียงใดแลว ความทุกขนานปั การ ต้ังตนแตค วามเกิด แก เจบ็ ตาย จนถงึ ความ หมน หมองรา ยแรงอยา งอืน่ เชน อยากแลว ไมไ ดส มอยาก เปน ตน กย็ ังมอี ยู และออกฤทธแ์ิ ผดเผา ทรมานรางกายและจติ ใจอนั นนั้ เอง. แตเมอื่ ใดอุปาทานอนั นห้ี มดไปจากจิต ผนู ัน้ ไมม ีความสาํ คญั ตนหรือรสู ึกตนวา \"ฉนั ม\"ี , \"นี่เปนของฉนั \" เปนตนแลว ทุกขท ั้งมวลดงั กลาวกต็ กไปจากจติ อยาง ไมม เี หลอื เพราะเราอาจท่ีจะไมร ับเอาวา รา งกายและจติ ใจนี้เปน ของเรา และส่งิ ทเี่ กดิ ขนึ้ แกม นั วา เปนของเราไดจ รงิ ๆ. แตพ ึงทราบวา เมือ่ อวิชชา (ความโงหลง) ยงั มีอยใู นสนั ดานเพยี งใดแลว ความสําคญั วา เรา หรือของเรา มนั กส็ งิ อยูในสนั ดานเรา โดยเราไมตอ งรสู ึก เพราะฉะนัน้ เราจงึ รบั เอาความทุกข ทั้งมวลเขามาเปน ของเรา โดยเราไมร สู กึ ตัว; จงึ กลาวไดวา ตัวตนของเรา มอี ยใู นขณะท่ีเรายังมี อวชิ ชาหรืออุปาทาน เพราะสิ่งทเ่ี ปน ตัวตน (ตามทีเ่ รารูส กึ และยึดถอื ไวใ นสันดานนัน้ ) เปนสิง่ ทถ่ี ูก สรางใหเ กดิ ขนึ้ โดยอวิชชานั่นเอง. ตวั ตนไมม ีในเม่ือหมดอวิชชา. เม่อื ใดหมดอวิชชา หรอื ความโงหลง เมอ่ื นั้น \"ตัวตน\" กท็ ําลายไปตาม; ความรสู กึ วา \"เรา\" ก็ไมมีในสนั ดานเรา; ไมม ใี ครเปน ผทู าํ หรือรบั ผลของอะไร จงึ ไมมีทกุ ข, ความจริงน้ันมแี ต นามรปู ซงึ่ เกิดขนึ้ , แปรปรวน, ดับไปตามธรรมดาของมนั เรียกวา มันเปน ทุกข. เมอ่ื อวชิ ชาใน สนั ดานเรา (หรือในนามรูปนั้นเอง) กอ ใหเกิดความรสู กึ วา \"นามรูปคือตวั เรา\" แลว \"เรา\" ก็ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 74 / 90

ชุมนมุ เรอ่ื งสน้ั – พุทธทาสภกิ ขุ ใครทุกข? ใครสขุ ? เกดิ ขึ้นสาํ หรบั เปน ทกุ ข, หรอื รับทุกขท ้ังมวลของนามรูปอนั เปนอยตู ามธรรมชาตนิ นั้ . เหน็ ไดวา \"เราที่แทจรงิ \" นัน้ ไมมี มีแตเราทีส่ รางขนึ้ โดยอวิชชา. ทานจงึ กลาววา ความทุกขน ้ันมีจรงิ แตผู ทุกขหามไี ม, หรอื เบญจขนั ธท่ียงั มอี ุปาทาน เปนตวั ทกุ ข. ท่เี รารูสกึ วา มผี ทู ุกข และไดแ กตัวเรา น่เี องนัน้ เปน เพราะความโงของเรา สรางตัวเราขน้ึ มาดว ยความโงน นั้ เอง, ตวั เราจงึ มีอยูไดแ ตใน ที่ๆ ความโงมอี ย.ู ยอดปรชั ญาของพทุ ธศาสนา จงึ ไดแ สดงถึงความจรงิ ในเรอ่ื งนี้ ดวยการคิดให เหน็ อยา งแจมแจงประจกั ษชดั วา \"ตวั เราไมมี\" จรงิ ๆ. อาจมีผถู ามวา ก็เมื่อความจริงน้ัน ตวั เราไมมแี ลวเราจะขวนขวายประพฤตธิ รรมเพ่อื พน ทุกขท าํ ไมเลา ? นี่กต็ อบไดดว ยคาํ ท่กี ลาวมาแลว ขางตน อีกนน่ั เอง, คอื วา ในขณะนี้ เราหาอาจมี ความรูไดไมว า \"ตัวเราไมม ี\". เรายังโงเ หมือนคนบาทย่ี งั ไมหายบา กไ็ มร สู ึกเลยวาตนบา. เหตนุ ี้ เอง \"ตวั เรา\" ซ่ึงสรา งขน้ึ ดวยความโง นน่ั แหละมันมอี ย,ู มนั เปนเจาทกุ ข, และเปน ตวั ที่เราเขายดึ เอามาเปนตวั เรา หรือของเราไวโ ดยไมร ูสึก. เราจึงตองทาํ ตามคําสอนของพระพทุ ธศาสนา เพ่อื หายโง หายยึดถอื หมดทุกข แลวเรากจ็ ะรูไ ดเ องทีเดียววา ออ ! ตวั เรานนั้ ที่แทไ มม จี ริงๆ!! นามรปู มนั พยายามด้ินรนเพ่อื ตัวมนั เองตลอดเวลา มันสราง \"เรา\" ขึ้นใสต วั มันเองดว ยความโงของมนั ; เราทม่ี นั สรางข้ึน กค็ ือเราทก่ี าํ ลงั อา นหนังสอื เลม น้ีอยูนแ่ี หละ ! ความทกุ ข ความสุขมจี รงิ . แตตวั ผทู ุกข หรอื ผูสขุ ที่เปน \"เราจรงิ ๆ\" หามีไม, มแี ต \"เรา\" ท่สี รา งข้ึนจากความไมร ู โดยความไมร ู. ดบั เราเสยี ได กพ็ นทุกขแ ละสุข, สภาพเชน นี้เรยี กวา นพิ พาน. ท่ีกลา ววา พระนพิ พานเปนยอดสุขนัน้ ไมถ งึ เขา ใจวา เปนสขุ ทาํ นองท่ีเราเขา ใจกนั , ตอ ง เปน สขุ เกดิ จากการที่ \"เรา\" ดบั ไป และการทีพ่ นจากสุขและทกุ ข ชนดิ ท่ีเราเคยรจู ักมันดมี าแต กอ น. แตพ ระนพิ พานจะมีรสชาตเิ ปน อยางไรนนั้ ทา นจะทราบไดเองเมื่อทา นลุถึง. มนั อยนู อกวสิ ยั ทีจ่ ะบอกกนั เขา ใจ ดงั ทานเรยี กกันวา เปน ปจ จตั ตัง หรือสนั ทฏิ ฐิโก. ในพระนิพพาน ไมม ผี ูรู, ไมมีผูเ สวยรสชาตแิ หงความสขุ ; เพราะอยูเลยนั้น หรือนอกน้ัน ออกไป; ถายงั มผี ูรู หรือผเู สวย ยังยินดีในรสนน้ั อยู น่ันยงั หาใชพระนพิ พานอนั เปนท่สี ดุ ทุกขจ รงิ ๆ ไม แมจะเปนความสุขอยางมากและนาปรารถนาเพยี งไรก็ตาม มันเปนเพยี ง \"ประตขู องพระ นพิ พาน\" เทา นั้น. แตเมื่อเราถึงสถานะนนั่ แลว เรากแ็ นแ ทต อพระนพิ พานอยูเอง. เมอ่ื นามรปู ยังมีอยู และทําหนาทีเ่ สวยรสเยอื กเยน็ อนั หลง่ั ไหลออกมาจากการลถุ งึ พระ นพิ พานได ในเมอื่ มันไมเ ปนที่ตัง้ อาศยั แหง อปุ าทาน หรอื อวิชชาอกี ตอ ไป. เราเรียกกนั วา นัน่ เปน ภาวะแหง นิพพาน. เม่ือรปู นามนนั้ ดับไปอยา งไมม เี ชอ้ื เหลอื อยูอ กี นั่นก็คอื ปรนิ พิ พาน เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 75 / 90

ชุมนุมเรอื่ งส้นั – พุทธทาสภิกขุ ใครทุกข? ใครสขุ ? ดังน้ี ทา นตดั สินเอาตามความพอใจของทา นเองเถดิ วา ใครเลา เปน ผูท ุกข? ใครเลาเปน ผู สขุ ? แตพ งึ รูตวั ไดว า ตวั เราท่ีกําลังจบั กระดาษแผน น้อี านอยูนั้น ก็ยงั เปน ตัวเราของอวชิ ชาอยู ! ๑ สิงห ๒๔๗๙ พทุ ธทาสภกิ ขุ เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 76 / 90

ชุมนมุ เร่อื งสน้ั – พุทธทาสภกิ ขุ อานาปานสตสิ าํ หรบั คนท่ัวไป อานาปานสติ (สาํ หรบั คนทว่ั ไป อยา งงา ย ข้นั ตน ๆ เพื่อรูจ กั ไวท ีกอ น) ในกรณีปรกติ ใหนั่งตัวตรง (ขอ กระดกู สนั หลงั จดกันสนิท เต็มหนา ตัด ของมันทกุ ๆ ขอ) ศรี ษะ ตั้งตรง ตามองไปที่ปลายจมกู ใหอ ยางย่ิง จนไมเ ห็นสิ่งอ่ืน จะเหน็ อะไรหรอื ไมเห็น ก็ตามใจ ขอให จองมองเทา น้นั พอชนิ เขา ก็จะไดผ ลดกี วาหลบั ตา และไมช วนใหง ว งนอน ไดง ายดวย โดยเฉพาะ คนขึ้งว ง ใหท าํ อยาง ลืมตาน้ี แทนหลับตา ทําไปเร่อื ยๆ ตามนั จะหลับ ของมันเอง ในเมื่อถงึ ขัน้ ที่ มนั จะตอ งหลบั ตา หรอื จะหัดทํา อยางหลบั ตาเสยี ตงั้ แตต น กต็ ามใจ แตวิธที ล่ี ืมตานน้ั จะมีผลดี กวา หลายอยา ง แตวา สาํ หรบั บางคน รูสกึ วา ทาํ ยาก โดยเฉพาะ พวกที่ยึดถือ ในการหลับตา ยอ มไมสามารถ ทําอยางลืมตา ไดเ ลย มือปลอ ยวาง ไวบ นตัก ซอ นกัน ตามสบาย ขาขดั หรือ ซอนกัน โดยวิธที ีจ่ ะ ชว ยยนั นา้ํ หนกั ตวั ใหน่งั ไดถนดั และลม ยาก ขาขัด อยา งซอนกัน ธรรมดา หรือ จะขดั ไขวก นั นนั่ แลว แต จะชอบ หรอื ทาํ ได คนอวนจะขดั ขา ไขวกนั อยางท่ี เรยี กขดั สมาธิ เพชร นนั้ ทําไดย าก และ ไมจ าํ เปน แตข อใหน ั่งคขู ามา เพ่อื รบั น้ําหนักตัว ใหสมดุลย ลมยากก็ พอแลว ขัดสมาธิ อยา งเอาจรงิ เอาจัง ยากๆ แบบตา งๆ นน้ั ไวสาํ หรบั เมื่อจะเอาจรงิ อยา งโยคี เถิด ในกรณีพเิ ศษ สาํ หรับคนปว ย คนไมค อ ยสบาย หรือ แมแต คนเหนื่อย จะนงั่ อิง หรือ น่ังเกาอ้ี หรอื เกาอผี้ า ใบ สําหรบั เอนทอด เลก็ นอ ย หรือ นอนเลย สําหรบั คนเจ็บไข กท็ าํ ได ทําในที่ ไมอ ับ อากาศ หายใจไดสบาย ไมมีอะไรกวน จนเกนิ ไป เสียงอกึ ทึก ทดี่ งั สม่ําเสมอ และ ไมมคี วามหมาย อะไร เชน เสยี งคลืน่ เสียงโรงงาน เหลานี้ ไมเ ปนอุปสรรค (เวนแต จะไป ยดึ ถือเอาวา เปน อุปสรรค เสยี เอง) เสียงท่ีมี ความหมายตา งๆ (เชน เสยี งคนพดู กัน) นั้นเปนอปุ สรรค แกผ ูหดั ทํา ถา หาทีเ่ งยี บเสียง ไมไ ด กใ็ หถือวา ไมม ีเสยี งอะไร ตัง้ ใจทาํ ไป กแ็ ลว กัน มันจะคอยไดเอง ทง้ั ท่ีตามองเหมอ ดปู ลายจมูกอยู กส็ ามารถ รวมความนึก หรือ ความรสู ึก หรอื เรียกภาษาวัดวา สติ ไปกาํ หนด จบั อยูที่ ลมหายใจ เขาออก ของตวั เองได (คนทช่ี อบหลับตา กห็ ลบั ตาแลว ต้งั แต ตอนนี)้ คนชอบลมื ตา ลมื ไปไดเรอื่ ย จนมันคอ ยๆ หลบั ของมันเอง เมื่อเปน สมาธิ มากข้นึ ๆ เพ่อื จะใหกาํ หนดไดง ายๆ ในชน้ั แรกหดั ใหพยายาม หายใจ ใหย าวทีส่ ดุ ท่จี ะยาวได ดว ยการฝน ทง้ั เขา และ ออก หลายๆ ครั้งเสยี กอน เพือ่ จะไดร ูของตวั เอง ใหช ดั เจนวา ลมหายใจ ที่มนั ลาก เขา ออก เปนทาง อยภู ายในนัน้ มนั ลาก ถูก หรอื กระทบ อะไรบาง ในลกั ษณะอยา งไร และกาํ หนด ไดงา ยๆ วา มนั ไปรสู ึกวา สุดลง ที่ตรงไหน ทใ่ี นทอ ง (โดยเอาความรสู ึก ที่กระเทอื น นน้ั เปน เกณฑ ไมต อ ง เอาความจรงิ เปนเกณฑ) พอเปนเครื่องกาํ หนด สวนสดุ ขา งใน และสว นสดุ ขา ง นอก ก็กาํ หนดงา ยๆ เทา ทจี่ ะกาํ หนดได คนธรรมดา จะรสู ึกลมหายใจ กระทบปลาย จะงอยจมูก ใหถ อื เอา ตรงน้นั เปน ทส่ี ุดขา งนอก (ถา คนจมูกแฟบ หนา หัก รมิ ฝปากเชิด ลมจะกระทบ ปลาย เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 77 / 90

ชุมนมุ เร่ืองส้นั – พทุ ธทาสภกิ ขุ อานาปานสตสิ าํ หรับคนทั่วไป รมิ ฝปากบน อยา งนี้ กใ็ หก ําหนด เอาที่ตรงน้นั วาเปนท่สี ดุ ขา งนอก) แลว ก็จะได จดุ ทงั้ ขา งนอก และขางใน โดยกาํ หนดเอาวา ท่ีปลายจมกู จดุ หน่งึ ทสี่ ะดือจุดหนงึ่ แลว ลมหายใจ ไดลากตวั มัน เอง ไปมา อยูระหวา ง จุดสองจุด นี้ ขน้ึ ลงอยูเสมอ ทนี ้ี ทําใจของเรา ใหเ ปน เหมือน อะไรทคี่ อย วิง่ ตามลมนนั้ ไมยอมพราก ทุกคร้ัง ท่ีหายใจทง้ั ข้นึ และลง ตลอดเวลา ที่ทาํ สมาธินี้ นี้จดั เปนข้ัน หนึ่ง ของการกระทาํ เรยี กกันงา ยๆ ในทนี่ ้ีกอ นวา ขัน้ \"วงิ่ ตามตลอดเวลา\" กลา วมาแลว า เริม่ ตน ทีเดียว ใหพ ยายามฝน หายใจใหย าวท่ีสุด และใหแรงๆ และหยาบที่สุด หลายๆ คร้ัง เพื่อใหพ บจุดหวั ทา ย แลว พบเสน ทล่ี าก อยูต รงกลางๆ ไดช ัดเจน เมอื่ จิต(หรอื สต)ิ จับหรอื กําหนดตัวลมหายใจ ทเึ่ ขา ๆ ออกๆ ได โดยทาํ ความรสู กึ ทๆี่ ลมมนั กระทบ ลากไป แลว ไปสดุ ลง ทต่ี รงไหน แลว จึงกลับเขา หรอื กลบั ออก ก็ตาม ดงั นี้แลว ก็คอยๆ ผอ น ใหก ารหายใจ นัน้ คอ ยๆ เปล่ยี น เปนหายใจอยางธรรมดา โดยไมตอ งฝน แตส ตินนั้ คงทกี่ าํ หนดท่ี ลมได ตลอดเวลา ตลอดสาย เชนเดยี วกบั เม่อื แกลง หายใจหยาบๆ แรงนนั้ เหมอื นกนั คอื กาํ หนด ได ตลอดสาย ทล่ี มผา น จากจุดขางใน คอื สะดอื (หรอื ทองสว นลา งกต็ าม) ถึงจดุ ขา งนอก คือ ปลาย จมูก (หรือ ปลายริมฝปากบน แลว แตกรณี) ลมหายใจ จะละเอียด หรอื แผวลงอยางไร สตกิ ็คง กําหนด ไดชดั เจน อยเู สมอไป โดยใหก ารกําหนด น้ัน ประณตี ละเอยี ด เขาตามสว น ถา เผอญิ เปน วา เกิดกาํ หนดไมได เพราะลมละเอยี ดเกินไป กใ็ หต้งั ตนหายใจ ใหห ยาบ หรือ แรงกนั ใหม (แมจ ะไมเ ทา ทแี รก ก็เอาพอใหก ําหนด ไดชดั เจน กแ็ ลว กนั ) กาํ หนดกนั ไปใหม จนใหม ีสติ รสู ึก อยทู ี่ ลมหายใจ ไมม ขี าดตอน ใหจ นได คือ จนกระทัง่ หายใจอยตู ามธรรมดา ไมมีฝนอะไร ก็ กําหนดไดตลอด มันยาว หรือส้ันแคไ หน กร็ ู มันหนกั หรอื เบาเพียงไหน มันก็รูพ รอม อยใู นนน้ั เพราะสติ เพยี งแตคอยเกาะแจอยู ติดตามไปมา อยูกับลม ตลอดเวลา ทําไดอยา งน้ี เรียกวา ทาํ การบริกรรม ในขัน้ \"ว่งิ ตามไปกบั ลม\" ไดสาํ เร็จ การทาํ ไมสาํ เร็จน้นั คอื สติ (หรอื ความนกึ ) ไมอ ยู กับลม ตลอดเวลา เผลอเมือ่ ไหรก ็ไมรู มันหนไี ปอยู บา นชอง เรอื กสวนไรน า เสยี เม่อื ไหร ก็ไมร ู มารูเ มื่อ มนั ไปแลว และกไ็ มรูว า มันไปเมอื่ ไหร โดยอาการอยางไร เปน ตน พอรู ก็จบั ตวั มนั มา ใหม และฝก กนั ไป กวา จะได ในขั้นนี้ ครงั้ หนง่ึ ๑๐ นาที เปน อยา งนอย แลวจึงคอ ยฝก ขน้ั ตอ ไป ขนั้ ตอ ไป ซ่งึ เรียกวา บรกิ รรมขั้นทสี่ อง หรือ ขนั้ \"ดักดู อยแู ต ตรงทีแ่ หง ใด แหง หนึง่ \" น้นั จะทํา ตอเมอ่ื ทําข้ันแรก ขา งตนไดแลว เปนดีทส่ี ดุ (หรือใคร จะสามารถ ขามมาทําขน้ั ท่ีสอง นีไ้ ดเลย ก็ ไมวา ) ในขัน้ นี้ จะใหสติ (หรือความนึก) คอยดกั กาํ หนด อยตู รงทใี่ ด แหงหนึ่ง โดยเลกิ การว่งิ ตาม ลมเสีย ใหก าํ หนดความรูสกึ เม่อื ลมหายใจ เขา ไปถงึ ท่สี ุดขา งใน (คือสะดือ) คร้ังหนง่ึ แลว ปลอ ย วาง หรอื วางเฉย แลว มากําหนด รสู กึ กนั เม่ือลมออก มากระทบ ที่สุดขางนอก (คอื ปลายจมูก) อกี ครงั้ หน่ึง แลว กป็ ลอ ยวา ง หรอื วางเฉย จนมีการกระทบ สว นสุดขา งใน (คือสะดือ) อีก ทํานองน้ี เร่อื ยไป ไมม ีการเปล่ียนแปลง เมอื่ เปน ขณะท่ีปลอยวา ง หรือ วางเฉย น้ัน จติ ก็ไมไ ดห นี ไปอยู บานชอ ง ไรนา หรือทีไ่ หน เลยเหมือนกนั แปลวา สตคิ อยกาํ หนด ทีส่ วนสุด ขางในแหง หนงึ่ ขา ง นอกแหงหนง่ึ ระหวางน้ัน ปลอ ยเงยี บ หรอื วาง เม่อื ทําไดอยางนเ้ี ปนที่แนน อนแลว ก็เลกิ กําหนด ขางในเสีย คงกาํ หนด แตขา งนอก คือท่ปี ลายจมูก แหง เดียวก็ได สตคิ อยเฝากําหนด อยแู ตท ่ี เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 78 / 90

ชมุ นุมเร่อื งสน้ั – พทุ ธทาสภกิ ขุ อานาปานสติสาํ หรับคนทัว่ ไป จะงอยจมูก ไมว าลมจะกระทบ เมื่อหายใจเขา หรอื เมอื่ หายใจออก ก็ตาม ใหกาํ หนดรู ทกุ ครงั้ สมมติเรียกวา เฝาแตตรงท่ี ปากประตู ใหม ีความรูส กึ ครั้งหนง่ึ ๆ เมื่อลมผาน นอกน้นั วาง หรือ เงยี บ ระยะกลาง ทวี่ าง หรอื เงียบ น้นั จิตไมไ ดหนี ไปอยูท่บี า นชอง หรือทีไ่ หน อีกเหมือนกัน ทาํ ไดอ ยา งนี้ เรียกวา ทาํ บริกรรมในขนั้ \"ดักอยูแต ในทแี่ หง หน่งึ \" นัน้ ไดส ําเรจ็ จะไมส าํ เรจ็ ก็ตรงท่ี จิตหนีไป เสยี เมอ่ื ไหร ก็ไมรู มันกลับเขา ไป ในประตู หรอื เขาประตแู ลว ลอดหนไี ปทางไหนเสยี ก็ ได ทั้งน้เี พราะระยะทว่ี าง หรือ เงยี บน้นั เปน ไปไมถ กู ตอง และทาํ ไมดมี าตง้ั แตข า งตน ของข้ันนี้ เพราะฉะนัน้ ควรทาํ ใหดี หนักแนน และแมน ยาํ มาตัง้ แตข้ันแรก คอื ขั้น \"ว่งิ ตามตลอดเวลา\" นัน้ ทีเดียว แมข้นั ตน ท่ีสุด หรือท่เี รยี กวา ขัน้ \"วิ่งตามตลอดเวลา\" กไ็ มใ ชท ําไดโ ดยงาย สําหรับทุกคน และเมอื่ ทําได กม็ ีผลเกินคาดมาแลว ท้ังทางกายและทางใจ จึงควรทําใหได และทําใหเสมอๆ จนเปนของ เลน อยา งการบรหิ ารกาย มีเวลา สองนาทกี ท็ าํ เร่มิ หายใจ ใหแ รงจนกระดูกล่ัน กย็ ิง่ ดี จนมีเสยี ง หวีด หรือ ซดู ซาด ก็ได แลวคอ ยผอ น ใหเบาไปๆ จนเขา ระดบั ปรกติ ของมัน ตามธรรมดาท่ี คนเราหายใจ อยนู ้นั ไมใชระดบั ปรกติ แตวา ตา่ํ กวา หรือ นอ ยกวา ปรกติ โดยไมร ูส ึกตัว โดยเฉพาะ เมอ่ื ทํากิจการงานตางๆ หรือ อยใู นอิรยิ าบถ ทไี่ มเปนอิสระ นัน้ ลมหายใจของตวั เอง อยูในลักษณะ ที่ตา่ํ กวา ปรกติ ทค่ี วรจะเปน ท้ังที่ตนเอง ไมท ราบได เพราะฉะน้นั จงึ ใหเ รม่ิ ดว ย หายใจอยา งรนุ แรง เสียกอน แลว จงึ คอยปลอย ใหเปน ไป ตามปรกติ อยางนี้ จะไดลมหายใจ ท่ี เปนสายกลาง หรอื พอดี และทํารางกาย ใหอ ยใู นสภาพ ปรกตดิ ว ย เหมาะสําหรับ จะกาํ หนด เปน นมิ ติ ของอานาปานสติ ในขน้ั ตน นีด้ ว ย ขอยาํ้ อกี คร้ังหนึ่งวา การบรกิ รรมขัน้ ตน ที่สุดนี้ ขอใหท ํา จนเปน ของเลน ปรกติ สาํ หรับทกุ คน และทกุ โอกาสเถดิ จะมปี ระโยชน ในสว นสุขภาพ ท้งั ทางกาย และทางใจ อยา งย่งิ แลว จะเปน บันได สําหรบั ขน้ั ที่สอง ตอไปอกี ดวย แทจรงิ ความแตกตางกนั ในระหวางขั้น \"ว่ิงตามตลอดเวลา\" กบั ข้ัน \"ดักดอู ยูเ ปนแหง ๆ\" น้ัน มไี ม มากมายอะไรนัก เปน แตเ ปน การ ผอ นใหป ระณตี เขา คอื มรี ะยะ การกาํ หนดดว ยสติ นอยเขา แต คงมผี ล คือ จติ หนไี ปไมได เทา กนั เพ่ือใหเขา ใจงา ย จะเปรยี บกบั พีเ่ ลย้ี ง ไกวเปลเดก็ อยูขา งเสา เปล ขน้ั แรก จับเด็กใสล งในเปล แลว เดก็ มันยัง ไมง ว ง ยังคอยจะด้ิน หรือ ลุกออกจากเปล ในข้นั นี้ พีเ่ ลย้ี ง จะตองคอย จบั ตาดู แหงนหนา ไปมา ดเู ปล ไมใหวางตาได ซา ยที ขวาที อยตู ลอดเวลา เพอ่ื ไมใหเด็ก มีโอกาสตกลงมา จากเปลได คร้ันเดก็ ชกั จะยอมนอน คือ ไมคอ ยด้ินรนแลว พ่เี ลย้ี ง กห็ มดความจาํ เปน ทจ่ี ะตอง แหงนหนาไปมา ซายทขี วาที ตามระยะ ท่เี ปลไกวไป ไกวมา พเี่ ลยี้ ง คงเพยี งแต มองเด็ก เมื่อเปลไกว มาตรงหนา ตน เทา นน้ั ก็พอแลว มองแตเ พียง ครัง้ หนงึ่ ๆ เปน ระยะๆ ขณะที่เปลไกว ไปมา ตรงหนาตน พอดี เด็กก็ไมมโี อกาส ลงจากเปล เหมือนกัน เพราะ เดก็ ชกั จะยอมนอน ขน้ึ มา ดังกลา วมาแลว ระยะแรก ของการบรกิ รรม กาํ หนดลมหายใจ ในขั้น \"วงิ่ ตามตลอดเวลา\" นี้ กเ็ ปรียบกันไดกับ ระยะทีพ่ ี่เล้ยี ง ตองคอยสายหนา ไปมา ตามเปลท่ไี กว ไมใ หวางตาได สวนระยะทส่ี อง ทีก่ ําหนดลมหายใจเฉพาะทป่ี ลายจมกู หรือทเี่ รยี กวา ขัน้ \"ดักอยู เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 79 / 90

ชมุ นมุ เรอ่ื งส้นั – พุทธทาสภกิ ขุ อานาปานสตสิ ําหรบั คนท่วั ไป แหง ใดแหง หนึง่ \" นนั้ ก็คือ ขนั้ ท่ี เด็กชักจะงว ง และยอมนอน จนพเ่ี ลี้ยง จับตาดูเฉพาะ เมอ่ื เปล ไกว มาตรงหนา ตน น่ันเอง เม่ือฝกหัด มาไดถ ึง ขน้ั ทีส่ อง นอี้ ยา งเต็มท่ี ก็อาจฝก ตอ ไป ถงึ ขน้ั ท่ี ผอนระยะการกาํ หนดของสติ ใหป ระณีตเขาๆ จนเกิดสมาธิ ชนดิ ที่แนวแน เปน ลาํ ดบั ไป จนถึงเปนฌาน ขัน้ ใด ขัน้ หนงึ่ ได ซงึ่ พนไปจาก สมาธอิ ยางงา ยๆ ในข้นั ตนๆ สําหรับ คนธรรมดาทวั่ ไป และไมสามารถ นํามากลา ว รวมกนั ไวในทนี่ ี้ เพราะเปน เรื่อง ท่ีละเอยี ด รดั กุม มหี ลักเกณฑ ซับซอน ตอ งศึกษากนั เฉพาะ ผูสนใจ ถงึ ขนั้ น้ัน ในชัน้ น้ี เพียงแตขอใหส นใจ ในขัน้ มลู ฐาน กันไปเรือ่ ยๆ จนกวาจะเปน ของเคยชนิ เปนธรรมดา อันอาจจะ ตะลอ มเขาเปน ช้ันสูงขึน้ ไป ตามลําดับ ในภายหลัง ขอให ฆราวาสทว่ั ไป ไดม โี อกาส ทําสมาธิ ชนดิ ที่อาจทาํ ประโยชนทงั้ ทางกาย และทางใจ สมความตอ งการ ในข้ันตน เสียชนั้ หนึ่ง กอน เพอื่ จะไดเ ปนผชู ่ือวา มีศลี สมาธิ ปญ ญา ครบสามประการ หรอื มคี วามเปน ผูป ระกอบตน อยใู น มรรคมีองคแปดประการ ไดครบถว น แมในขั้นตน ก็ยงั ดีกวา ไมมเี ปน ไหนๆ กายจะระงบั ลงไปกวา ท่ีเปนอยู ตามปรกติ ก็ดว ยการฝกสมาธิ สูงข้นึ ไป ตามลําดบั ๆ เทาน้นั และจะไดพบ \"สง่ิ ทีม่ นษุ ย ควรจะไดพบ\" อีกส่ิงหน่ึง ซึ่งทําใหไมเ สียที ท่ีเกิดมา. หอสมดุ ธรรมทาน ๒๘ สิงหาคม ๒๔๙๑ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 80 / 90

ชุมนมุ เรื่องส้นั – พุทธทาสภกิ ขุ ศานตภิ าพอยทู ีไ่ หน? ศานติภาพอยูท ่ีไหน ? คณะหนงั สอื พมิ พศ านติสาสน มาขอใหขาพเจาชวยเขยี นเร่ืองเปนปฐมฤกษใหแกหนงั สอื พมิ พของตน. ในฐานะ ท่ีเราเปนพวกใฝศ านติภาพดวยกนั ขา พเจา จงึ ยนิ ดรี ับและเขยี นเรื่องน้ี ดงั ท่ปี รากฏแกตาทานท้งั หลายอยบู ัดน.้ี ความสขุ หรอื ความทกุ ข ศานตภิ าพหรอื ความโกลาหลนน้ั มนั สาํ เร็จอยทู ีใ่ จ ซึง่ จะเปน ตวั ผู รูส ึกเทา นัน้ เชนเดยี วกบั สวมรองเทา หนงั บยุ างอยูเสมอ เรากร็ ูสึกหรือไดร บั ผลเปน วา พ้นื แผน ดนิ ในโลกนี้ทัง้ หมดเทวดาทา นปลู าดไวดว ยแผน หนงั ซบั ยางไมม ีทวี่ า งเวนเลย. และโดยทาํ นอง ตรงกนั ขาม ถา หากวา รองเทาทเ่ี ราสวมนั้น มีตะปู ๔-๕ ตัว แลบออกมาจากพื้นรองเทา และเจาะ พ้นื หนังเทาของเรา ทกุ ๆ กาวท่เี รากาวไปแลว โลกนกี้ ็กลายเปน โลกทีเ่ ทวดาลาดไวดวยหนามเทา นนั้ เอง. เพราะเหตนุ เ้ี ปน อนั กลาวไดว า เราสามารถทจี่ ะสรางโลกของเราเอง ใหเปน โลกทต่ี รงกบั ความตอ งการของเรา ไดท กุ เมื่อ ถา เราสามารถจดั การกับตวั เราเอง คือใจของเราเอง โดยไมตอง เก่ียวขอ งกบั ผอู น่ื หรอื สิ่งอื่นเลย. ศานตภิ าพจรงิ ๆ น้ัน มใี นโลกนีไ้ มไดดอก เพราะเหตวุ า ชวี ติ ไดเ ปนตวั สงครามเสยี เอง แลว . โลกคอื ชีวติ ชวี ติ เปนเพียงสเี ขยี ว สีแดง หรอื สีอะไรก็ได ท่ปี า ยกนั ไปปา ยกนั มาบนสิ่งๆ หนึ่ง ทไี่ มมีสอี ะไรเลย ตัณหาเปน ผูปาย อปุ าทานเปนแปรงสําหรับชบุ สปี า ย. มกี ายหรือวัตถุเปน แผน กระดาษทรี่ องรบั สี, \"สิง่ \" ทีไ่ มมอี ะไรเลยนั้น. ไมใ ชส ิง่ เดยี วกับกระดาษ ไมใ ชสงิ่ เดยี วกบั สที ี่ ปา ย เพราะวา กระดาษก็มีสีอยา งใดอยา งหนึ่งอยแู ลว อยา งนอ ยทสี่ ุดกส็ ีขาว ถา หากวาทา นหาตวั ส่งิ ท่ไี มม ีสพี บ กแ็ ปลวา ทา นอาจหาศานติภาพพบ. แตว า แมท า นจะควา่ํ กระปอ งสที ้ังสิ้น หรือเผา กระดาษแผนนั้นเสียดว ย ทา นก็ไมอาจพบ \"ส่งิ \" ท่ีไมม ีสนี ั้นเลย เพราะเหตวุ า \"สง่ิ \" ที่ไมมีสนี น้ั ที่สี ก็มี ทีแ่ ปรงกม็ ี ทกี่ ระดาษก็มี และมีอยใู นท่ีทัว่ ไปดว ย. สอี าจจะปายใหกระดาษเลอะเทอะได แตไ ม สามารถปาย \"สิง่ \" ท่ไี มม ีสีใหเลอะเทอะได แมว าจะไดปายเขา ทส่ี ่ิงนนั้ . เพราะฉะนน้ั ศานติภาพที่ แทจ รงิ นั้น เราไมจําเปนจะตอ งไปหาจากทีอ่ ่นื ใหนอกไปจากโลก ทัง้ ที่ในโลกนัน้ ไมมีศานติภาพ เลย เชน เดยี วกบั ทเ่ี ราอาจจะ \"หยั่งเห็น\" สิง่ ที่ไมมสี ีเลย ไดตรงทีท่ ี่มีสดี าํ สีแดง สีขาว สเี ขียว ฯลฯ นั่นเอง, ทา นจงปดสไี ปเสยี ทางหน่ึง แลว ปด กระดาษไปเสยี อกี ทางหนง่ึ แลว ทา นจะพบสงิ่ ทไ่ี มม ีสี แตอ ยาเพอ นกึ เอาลว งหนา วา เปน ความสญู เปลา , ถาปรากฏเปน ความสูญเปลา ก็ตอ งถอื วา ทาน ยงั ไมมี \"ตา\". ศานติภาพหรอื ส่ิงทีย่ ังไมม ีสนี น้ั ตอ งเปนสง่ิ ทีไ่ มถ กู อะไรทาํ ข้นึ ไมม ีอะไรปรุง ไมม อี ะไร กวน ท้งั อดตี อนาคต และปจ จุบัน. โลกน้ี หรอื ชีวิตนี้ เปน สงิ่ ท่ีมสี ง่ิ อื่นทําข้นึ ปรุงขึ้น และกวนให ปน ปว นอยูเสมอ ทงั้ อดตี อนาคต ปจ จบุ นั . ความเกิดขนึ้ มา ก็ไมใชข องมัน เพราะมันเกิดเองไมไ ด ส่งิ อื่นหลายสง่ิ ปรุงหรอื ทํามันขึ้นมาดวยเหตผุ ลอยางอืน่ ตางหาก มนั จงึ ไมม อี สิ ระเปน ตวั มนั เอง จงึ เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 81 / 90

ชมุ นมุ เร่อื งสนั้ – พทุ ธทาสภิกขุ ศานตภิ าพอยทู ไ่ี หน? สงบไมได ตลอดเวลาที่ยังเปนอิสระไมไ ด. การทาํ สงคราม การจดั เรอื่ งเศรษฐกจิ ศลิ ปะ วัฒนธรรม อารยธรรม หรอื การศึกษาสาขาใด แมจ ะจดั ใหดอี ยางไรก็ตาม ชีวติ น้ันกไ็ มม ีโอกาสทีจ่ ะพบกนั เขา กับศานตภิ าพ หรือสง่ิ ทีไ่ มม ีสนี ้ันเลย เพราะวา สงคราม เศรษฐกิจ ศลิ ปะ วฒั นธรรม อารยธรรม และการศกึ ษาตางๆ ของโลก กค็ อื สที ่ีเลอะเทอะเราดๆี นเี่ อง และเปนสงครามอยใู นตวั , เปน ขบถ อยใู นตัว. จงใหช วี ติ ท่ีมปี รกติธรรมดารอแร จวนจะจมน้าํ ตายอยูเสมอนั้น มองใหท ะลตุ ัวมนั เองหรือ โลกท้งั ส้นิ ขา มไปยังฟากฝงขา งโนน เถดิ จะพบศานตภิ าพ หรอื \"สิ่ง\" ทีไ่ มมสี ี จงระคนสีเขยี ว เหลือง แดง ฯลฯ ทเ่ี ลอะเทอะเหลานนั้ เขา ดว ยกันใหเหมาะสวนจนกลายเปนสขี าว แลว เพกิ ถอนสี ขาวใหส ้ินสญู ไปอีกคร้งั หนึ่งเถดิ จะไดความสงบซง่ึ ไมม ีสี อันเปนจดุ มุงของชวี ติ ทง้ั มวล. นั่นแล คอื ศานตภิ าพ. พทุ ธทาสภิกขุ ปทมุ คงคา ๖ มนี าคม ๒๔๘๙ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 82 / 90

ชุมนุมเรื่องสั้น – พทุ ธทาสภกิ ขุ จะมชี ีวิตเปน คนอยูอยางไรจงึ จะไมข าดทุน จะมชี ีวติ เปน คนอยอู ยางไร จงึ จะไมข าดทนุ ฉันอยากใหเ พือ่ นมนุษยของฉันทกุ คน คดิ ปญ หาขอ ท่วี า ถาเราจะไมเปนคนชนดิ ท่ีเหมอื นกับเขา แตจะเปน อยางของเรา เราจะตอ งเปนอยางไรจึงจะไมข าดทุน. บางคนคงจะยอ นถามฉันวา การเปนคนอยทู ุกวันๆ นี้ ตองลงทุนดวยหรอื ? เหน็ มีแตลงทุนเรยี น ลงทนุ คา หรอื อะไรทํานองนท้ี ัง้ นน้ั ไมเ หน็ มีใครลงทนุ ในการเปนคนเลย. ฉนั จะตอ งขอโทษ ในการทฉ่ี ันมีความเหน็ วา การเคลอ่ื นไหวของเราทุกอยาง ไมวาจะเปนฝายการ ทํา หรอื เปนการรับผลของการทาํ ลว นแตเ ปนการลงทุนในการเปน คนไปหมด เราลงทนุ ลงแรงวิง่ แลนไปในวฏั สงสาร ลงทุนมาเกิดเปน คน ลงทนุ ในการดาํ รงชีพเปนอยู, ตองหวั เราะ ตองรองไห อิม่ หวิ รกั โศก เพลิน หงอย ไปหองนาํ้ ไปหองสวม ฯลฯ ปว ยไข หาย สบาย กระทง่ั ตาย เพื่อ เกิดใหมในท่ีสดุ ทง้ั หมดนเ้ี ปน การลงทุน เรยี นเพอ่ื รู แลวเขด็ หลาบในการท่จี ะไมต องว่ิงมาวนเวยี น เปนเชนเดียวกันตอ ไปอีก ฉนั เห็นวา ทง้ั การกระทํา และการรบั ผลของการกระทําทัง้ ดแี ละชว่ั ทงั้ หมดนน้ั ลว นแตเ ปน การถกู ธรรมชาตบิ ังคบั ใหเราทาํ และเปนไป. เปนการ ลงทนุ เรียน เพอื่ ให เรากลายเปนผสู ามารถขน้ึ อยเู หนือกฎเหลา นนั้ คือ นพิ พาน! ถา เราไมลงทุนดวยการลองมาเปน คน ดเู สยี กอ น เราก็จะไมมีความรอู ะไรเลย ในการท่ีจะถอนตัวขน้ึ ใหพน จากการท่จี ะตอ งเปนคน (หรอื เปน สตั ว) ไป อยางไมม ที ส่ี น้ิ สดุ , เราลงทนุ ดวย การทนเปน คน เพือ่ เรียนรูและ สอบไล ใหไ ดถ งึ ขน้ั ท่จี ะไมตอ งเปน คน อกี ตอ ไป. การตายชวยอะไรเราไมไ ดในขอ น้ี เพราะมันกลับมาเกิดอีก, เวน ไวแ ตเ ราจะเปน คนใหค รบถว นตามหลกั สตู รเสียกอน คือเปนคนชนดิ ทีม่ ีกาํ ไร ไมขาดทนุ . หรอื กลา วอกี อยางหน่งึ กค็ ือ ศึกษาใหร ูจักการเปนคนดว ยการเคยเปนคนเสียอยางเต็มท่ี จนตน สามารถเอาชนะอยเู หนอื การเปนคนของตนเอง ไดนั่นเอง. เราจะเปน ผูมีกําไรประจําวนั ทุกๆ วนั ได ดว ยการท่ีเรามที กุ ขกะใครไมเปน ไมวา เหตุการณอ ยา งใดจะเกิดขึ้น และเราจะงบยอดมกี ําไร เด็ดขาดในขั้นสุด ในการทเ่ี ราเขา ถึงขีดทค่ี วามทุกขไมอาจเกิดขนึ้ อกี ตอไป. บางคนคงจะถามวา ถา เกดิ มาทํางานไดรบั ผลสําเร็จราํ่ รวยสมบรู ณพ ูนสขุ ดวยเกยี รติและทรัพย แลว ยงั จะวา ขาดทนุ ในการเปน คนอกี หรอื ? ฉันตอบวา การสมบูรณพนู สขุ น้นั ก็เปน เพยี งการลงทนุ อยางหน่ึง หรอื ตอนหน่ึงของการลงทนุ ใน การเปนคนเทา น้นั คือ เปน การลงทุนเพ่ือใหเราไดเรยี นรูวา มันก็เปนของหลอกๆ เชน เดยี วกบั การตกระกําลาํ บากเหมือนกัน. คร้ันเรารูจักมันอยางถูกตอ งแลว เราก็จะเปนคนมากขน้ึ อกี จนกระทั่งเปน คนทีเ่ ตม็ (Perfected) โดยทุกๆ ทาง ในการทจ่ี ะบรสิ ทุ ธ์ิ สวา งไสว และสุขเยน็ . ความสมบรู ณพ นู สุขจงึ เปน เพียงการลงทนุ เทา นนั้ ยังหาใชผลกาํ ไรแหงการเปนคนไม ก็ถา ใคร เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 83 / 90

ชุมนุมเรื่องสัน้ – พทุ ธทาสภกิ ขุ จะมชี ีวิตเปนคนอยูอยางไรจงึ จะไมขาดทุน หลงเอาตนทนุ มาใชจ ายเสยี อยา งกะวา มันเปนผลกาํ ไรแลว คนนน้ั กจ็ ะหมดกระเปา เลย! แลว เขาก็ จะตองฟบุ หนา รอ งไหกบั พ้ืนดิน ตรงที่เขายืนนนั่ เอง, ไมเ ชือ่ ใครลองใชค วามสมบูรณพ ูนสุข ใน ฐานเปนผลกําไรของชีวติ ดูเถดิ ! เชิญทานลอง คา การเปน คน ของทา นดเู รอ่ื ยๆ ไปเถดิ ทา นจะเห็นเอง. พทุ ธทาส อินทปญโญ หอสมุดธรรมทาน ไชยา ๑๙ มีนาคม ๒๔๘๖ เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 84 / 90

ชุมนมุ เรอ่ื งสั้น – พุทธทาสภกิ ขุ ธรรมะกับเรา ธรรมะกบั เรา (เรอื่ งน้ี ลงพมิ พในหนงั สอื พมิ พ พาณิชย-บญั ช,ี ฉบบั กรกฎาคม ๒๔๙๐) ทานภกิ ษุ พุทธทาส อนิ ทปญโญ สํานกั อยใู นสวนโมกขพลาราม ไชยา สาํ นักนี้เปนทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรม หรืออีกนยั หนึ่ง คือเปนฝา ยอรัญวาสี ทา นพุทธทาส อนิ ทปญ โญ เปนผูปฏบิ ัติธรรม และปรากฏมาแลววา ปฏิบัติมาดว ยดี ทาน ไดพยายามเราความสนใจของพุทธบริษทั โดยเฉพาะอยางยงิ่ รุนใหมใหส นใจในแกน ของพระธรรม ดงั ทีป่ รากฏ แพรห ลายโดยบทความบา ง โดยปาฐกถาบาง บทความขางลางนีก้ เ็ ปนสวนหนง่ึ ซง่ึ จะเปนประโยชนอยา งยิ่งแก บุคคลในระดับนิสติ แหงมหาวิทยาลยั . (บันทึกของบรรณาธิการ พาณิชย - บัญช)ี ทา นบอกใหฉ นั ชว ยเขียนเรอื่ งหนา ที่ และวธิ ที เี่ ราจะตองปฏบิ ตั ติ อ \"ธรรมะ\" ก็คาํ วา ธรรมะน้ัน โดย พยญั ชนะมีอยา งเดียว. แตโ ดยความหมายแลวมหี ลายอยาง หลายขนาด; ฉันจงึ ไมท ราบวาให เขยี นธรรมะอยางไหนแน กาํ ลังไมแ นใ จอยู ก็เกิดความคิดวา ในข้นั ตน นีเ้ ขยี นเผอื่ ใหห ลายๆ อยา ง ดีกวา , เมอ่ื ทานเลอื กชอบใจอยา งไหนแลว มีเวลาจึงคอ ยเขียนกนั เฉพาะธรรมะอยา งนน้ั ใหละเอยี ด กค็ งสาํ เรจ็ ตามประสงค. คาํ วา \"ธรรมะ\" น้ี โดยศพั ทศาสตรห รือนริ ุกตศิ าสตร แปลวา ส่งิ ซ่ึงทรงตวั มนั เองอยไู ด หรอื โดย ความหมายก็ไดแ ก สง่ิ ท้งั ปวงน่นั เอง ไมม ีอะไรท่ีไมถ กู เรยี กวา ธรรม ไมวาสงิ่ นัน้ จะเปน สิ่ง เปลีย่ นแปลง หรือเปนสิง่ ท่ไี มมกี ารเปล่ียนแปลงก็ตาม ส่ิงทัง้ หลายประเภทท่ีเปลย่ี นแปลง กท็ รง ตัวมนั อยูไดด ว ยการเปลีย่ นแปลง หรือโดยพฤตินยั กต็ วั ความเปล่ียนแปลงน่ันเอง คอื ตัวมนั เอง. สว นสิง่ ท้งั หลายประเภททไ่ี มเปล่ยี น กท็ รงตวั อยไู ดด ว ยความไมเ ปลยี่ นแปลง หรอื ตัวความไม เปลี่ยนแปลงนน่ั เอง เปน ตวั มนั เอง. ทัง้ สองประเภทนี้ ลว นแตทรงตวั เองได จงึ เรียกมันวา \"ธรรมะ\" หรอื \"ธัมม\" แลวแตว า จะอยใู นรปู ภาษาบาลี สันสกฤต หรือภาษาไทย คําวาธรรม โดยศัพทศาสตร ตรงกบั คาํ ไทยแทวา \"สิ่ง\" เปน สามัญญนาม หมายถึงไดท ุกสงิ่ และมคี ุณลกั ษณะคอื การทรงตวั มนั เองตามทีก่ ลา วมาแลว ขางตน หนาทอี่ นั เราจะตองประพฤตติ อ มัน กไ็ มมอี ะไรมากไปกวา เฉยๆ เสียก็แลว กนั อยา ขันอาสาเขา ไปแบกไปทรงใหมนั แทนตัวมนั เลย. นี้คอื คําวา \"ธรรม\" โดย ความหมายรวมและเปน กลางท่ีสดุ . แตคําวา ธรรม น้ี ถกู นําไปใชโ ดยขนาดและอยา งตางๆ กัน มงุ หมายตางกนั เลยทาํ ใหฟ นเฝอไป ได ฉะนนั้ ในกรณหี ลังนี้ ตอ งพิจารณากนั ทลี ะอยางเชน :- คาํ วา \"ธรรมะ\" ท่ีมาในประโยควา \"ผูใดประพฤตธิ รรม ผูนั้นไมไปทุคต\"ิ นนั้ , คาํ นห้ี มายถงึ ศีลธรรม ทัว่ ไป. หนา ทที่ ค่ี นทว่ั ไปจะตอ งประพฤตกิ ค็ ือ ชวยกันบงั คับตนเองใหประพฤต.ิ ศลี ธรรมของคน เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 85 / 90

ชุมนมุ เร่อื งสนั้ – พุทธทาสภิกขุ ธรรมะกบั เรา ทงั้ หลายที่ไมป ระพฤตนิ นั้ ไมใชเ พราะไมรู เปนเพราะทกุ คนพากนั เหยยี บรู ขอจงชว ยกนั อยา เหยียบรตู อไปอกี เลย. คําวา \"ธรรมะ\" ทีม่ าในประโยควา \"บัณฑิตควรละธรรมที่ดํา ควรเจรญิ ธรรมทข่ี าว\" นัน้ . ธรรมคําน้ี มีความหมายตรงกบั คําวา การกระทํา คอื เราอาจพดู ใหชัดเจนเสียใหมว า \"บัณฑติ ควรละการ กระทาํ ทดี่ าํ ควรเจรญิ การกระทาํ ที่ขาว\" ในกรณที ่ีคาํ วา ธรรมะตรงกบั คาํ วา การกระทํา (Action) มีอรรถะเปนกลางๆ เชนน้ี เรามหี นาทีท่ ําแตส่งิ ท่ดี .ี คําวา \"ธรรม\" ทมี่ าในประโยควา \"เขายังหา งไกลจากธรรมน้ันอยางกะฟา กบั ดนิ แมว าเขาจะฟง เทศนท กุ วนั พระ\" น้ีมคี วามหมายตรงกับสถานะหรอื State ชน้ั หนึ่งๆ ตามแตท านจะบัญญัตธิ รรม ไวเ ปนช้นั ๆ อยา งไร. เรามีหนาทีใ่ นเรือ่ งน้ี คือรีบเลือ่ นช้ันใหตวั เอง ใหสมกับเกียรตขิ องตวั . คําวา \"ธรรม\" ทีม่ าในประโยควา \"สังขารท้ังหลายมีความเกิดขึน้ และเสอ่ื มไปเปน ธรรม (อุปปฺ า ทวยธมมฺ โิ น)\" ; คํานี้ตรงกบั คําวา ธรรมดา (Nature) หนาท่ขี องเราคอื บางอยา งควรเรยี นและ สงั เกตอยา งเตม็ ที่ บางอยา งเอาแตเพียงเอกเทศ. ในประโยควา \"พระพทุ ธเจา เกดิ ในโลกเพื่อประกาศสจั ธรรม\" เชนคาํ วา ธรรม หมายถึงกฎธรรมดา (Law of Nature) เชนวา ทกุ ขต อ งเกดิ มาจากสงิ่ นน้ั ความดับทกุ ขม ไี ดเพราะส่ิงนนั้ . หรอื วา ส่ิงทงั้ ปวงตองเปนอยางนน้ั ๆ เปน ตน. หนาทขี่ องเรา คือตอ งทาํ ตวั ใหเ ขา กนั ไดก บั กฎนัน้ บา ง รจู ักนาํ เอา กฎนัน้ มาใชใ หเปนประโยชนบาง. (คําวาสจั ธรรมในทน่ี ี้ ใชคาํ วา ธัมม เฉยๆ แทนได) . ในประโยควา \"เสียทรัพยเ พือ่ ไถเ อาอวยั วะไว เสยี อวยั วะเพ่ือไถเ อาชวี ติ ไว. ยอมเสยี ท้งั หมดนั้น เพ่ือเอาธรรมไว\" เชนน้ี คาํ วา \"ธรรมะ\" หมายถึง \"ความถกู ตอง\" หรอื Righteousness หนา ที่ของ เรา คอื เลอื กเอาเองตามใจชอบในทางทถ่ี ูกตอ ง. ในประโยควา \"ตดั สนิ คดไี มเปนธรรมกลาวหาไมเ ปน ธรรม\" เหลา น้ี คําวา ธรรม หมายถึง ความ ยุติธรรม (Justice of Justness) หนาท่ีของเราคอื ระวังใหเปนธรรม. ในประโยคทพี่ ระทานสวดเมือ่ สวดศพ วา กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพยฺ ากตา ธมมฺ า \"ธรรม ท้ังหลายท่ีเปน กศุ ล, ธรรมทง้ั หลายทเ่ี ปน อกศุ ล, ธรรมทงั้ หลายท่ที า นไมบ ัญญตั วิ า เปน กศุ ลหรือ อกศุ ล\" เชน นคี้ ําวา ธรรม เปน คํากลางๆ มีความหมายตรงกับคําวา \"สงิ่ \" หนา ทข่ี องเราโดยทาง ปฏบิ ัติ ยังกลา วไมไดว า คอื อะไร เพราะยังไมไดย ุตวิ าจะเอาความหมายกนั ตรงไหน. น่เี พอ่ื ชี้ใหเ ห็นวา คาํ วา ธรรม ในภาษาบาลีน้นั กวา งขวางเพยี งไร. คอื ถา ไมมคี ณุ นามประกอบแลว คาํ วา ธรรมในทเ่ี ชน น้ไี มมคี วามหมายอะไรมากไปกวา คําวา ส่ิง น้ันเลย. สิ่ง เทา กับ Thing. เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 86 / 90

ชมุ นมุ เรอ่ื งสัน้ – พุทธทาสภกิ ขุ ธรรมะกับเรา ในประโยควา \"เมื่อธรรมท้ังปวงถูกเพกิ ถอนแลว วาทบถท้งั หลายกพ็ ลอยถูกเพกิ ถอนตามไปดวย\" (สพฺเพสุ ธมฺเมสุ สมหู เตสุ สมหู ตา วาทปถาป สพเฺ พ). คาํ วา ธรรมในทน่ี ี้ หมายถงึ แตส ิ่งตางๆ ท่ี อยใู นวงของความยึดม่ันถอื ม่ันของสตั ว ไดแกค ําวา \"สง่ิ \" เหมอื นกัน แตก นั เอามาเฉพาะประเภทท่ี เก่ียวกับการยดึ ถือ ไมทัว่ ไปแกส งิ่ ทไี่ มยดึ ถอื แคบกวาขอ ขา งบนเลก็ นอ ย. ตัวอยา งในเรอ่ื งน้ี เชน เงนิ ทอง ลูก เมีย ขาวของ เปด ไก วัว ควาย ฯลฯ ถา ใครถอนความยดึ ม่นั วา เปนสัตว เปน คน ตวั ตน เรา เขา ของเรา ของเขาเสียไดแลว เหน็ เปน สักวา สงั ขารเสมอกนั ช่ือทเี่ รยี กส่ิงเหลาน้ันก็ พลอยไมม คี วามหมายไปดวยสําหรับผนู นั้ . นีค้ ําวา ธรรมตรงกับ \"สง่ิ ท่ถี กู ยดึ ถือ\" คืออปุ าทานัก ขันธ ท่มี ีความยดึ ถอื , หนาท่ขี องเราในธรรมประเภทนกี้ ค็ ือ คิดเพิกถอน อยายดึ ถอื จะไดสงบเยน็ ไมข ้นึ ๆ ลงๆ ไปกับธรรมเหลา นน้ั . ในประโยควา \"ธรรมเหลาใดมีเหตเุ ปนแดนเกดิ พระตถาคตทรงแสดงเหตุของธรรมเหลานั้น (เย ธมมฺ า เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต)\" คาํ วา ธรรมในทนี่ ไ้ี ดแ ก \"สิ่งซ่งึ เปนผล\" ซง่ึ มีเหตปุ รงุ แตง ข้ึน และกําลังบงั คบั ใหเ ปนไปตามอํานาจของเหตุ สงิ่ ซง่ึ เปนผล หรือ Phenomena เหลานี้ เรามี หนาทจ่ี ะตองคน หาเหตขุ องมนั ใหพบ แลว จัดการกับเหตนุ ัน้ ๆ ตามท่ีควรจะทํา. เชนทุกขเปน ผล ของความทะยานอยาก เราจัดการสับบลิเมตหรือเปลย่ี นกาํ ลงั งานของความอยากนน้ั เอามาใช เปน กาํ ลงั งานของความรูสึกทางปญ ญา ทาํ ไปตามความรสู ึกทถ่ี ูกทค่ี วร ไมทาํ ตามอาํ นาจของ ความอยากนน้ั ๆ ทุกขกน็ อยลงและหมดไปในท่ีสุด. ในประโยควา \"พระนพิ พานเปน ธรรมที่ปลอดจากโยคะ ไมม ธี รรมใดยง่ิ ไปกวา \" เชน นี้ คาํ วา ธรรม หมายถึง (Thing) สิ่งใดสงิ่ หนงึ่ ในบรรดาสิง่ ทั้งหลาย เชน เดยี วกับสิ่งอน่ื เหมอื นกัน หาความหมาย ในทางปฏิบตั อิ ยางใดอยางหน่งึ มิได เพราะเปน นามศพั ทก ลางเชน เดยี วกบั คาํ วา \"สิ่ง\" ใน ภาษาไทย หรอื คาํ วา (Thing) ในภาษาองั กฤษ ทเี่ กย่ี วกับคาํ วา \"ธรรม\" ลวนๆ ในประโยคน้ี หนาทย่ี งั ไมเกิด. ในประโยควา \"เขาไดร ับประโยชนตอบแทนในทิฏฐธรรม\" (ทิฏฐธรรม แปลวา ธรรมอันสตั วเหน็ แลว) ในประโยคเชน น้ี คําวา ธรรมตรงกบั คาํ วา เวลา หรอื แปลวาเวลา; ในทิฏฐธรรม กค็ อื ภายใน เวลาท่ีผูนั้นเหน็ ไดด ว ยตนเอง คือในชาตนิ ้ี ไมตอ งรอถึงชาตหิ นา . ในกรณีทแ่ี ปลวา เวลาเชน นี้ คํา วา ธรรมลว นๆ ยงั ไมกอใหเกิดหนา ที่อะไร เชนเดียวกบั ขอ ทแ่ี ลว มา. ในประโยควา \"บคุ คลผบู รรพชา อปุ สมบทแลว ไมพึงเสพเมถุนธรรม\" เชนน้ี คําวา ธรรม แปลวา การกระทาํ เปน คํากลางยง่ิ กวาในประโยคที่วา บณั ฑติ ควรละธรรมดํา เจริญธรรมขาว เปน เพยี ง การทํา (Doing) กลางๆ ท่ัวไป ไมม ุงแสดงในทางดชี ว่ั และเปน ศพั ทนามธรรมดาคาํ หนงึ่ ไมมี ความหมายเกยี่ วกบั ทางธรรมหรอื ทางโลกอะไรๆ หมด ตอเมือ่ มีคาํ อ่ืนประกอบเขาจงึ มี ความหมายไปในทางใดทางหนึง่ เชน ในท่ีนป้ี ระกอบกนั เปน เมถุนธรรม แปลวา การกระทําของ คนคู คอื สตรกี ับบรุ ษุ . คาํ วา ธรรมลวนๆ ในที่น้ี ไมมคี วามหมายอันจะกอใหเ กดิ หนา ท่ี และเปน เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 87 / 90

ชุมนมุ เร่ืองส้ัน – พทุ ธทาสภกิ ขุ ธรรมะกับเรา เชนเดียวกบั สองขอทแ่ี ลวมา. (ยกมาเปนตัวอยาง เพ่อื ใหเ ห็นวา คําวา ธรรม ในภาษาบาลีน้นั ทา นใชก ันมากมายหลายประเภทอยางไร) ในประโยควา \"เขากลา วธรรมของตวั เองวา บริบูรณ กลา วธรรมของผอู น่ื บกพรอง (สกํ หิ ธมฺมํ ปริ ปุณณฺ มาหุ อฺญสฺส ธมมฺ ํ ปน ปนมาหุ)\" เชนนค้ี าํ วา ธรรม ตรงกับคาํ วา ลัทธิ คือกลาวใหช ัดกก็ ลาว เสยี ใหมวา \"ลทั ธิของฉนั ถูกตองครบถว น ลทั ธขิ องทานไมค รบถว น\" ดังทีเ่ ชนนักศาสนาชอบกลา ว กนั ในบดั น้ี เพอ่ื ยกศาสนาของตนเอง. ใหเห็นวามีอะไรครบ สมควรยกข้นึ เปน ศาสนาสากลของ โลก คาํ วา ธรรม ท่ตี รงกบั คาํ วา ลทั ธิ (Dogma) เชนนถี้ อื วา ยงั ไมเ กดิ หนาทเ่ี ชนเดียวกนั แตถ าจะ ใหเ กดิ หนาทีก่ ค็ อื ระวงั เลอื กลทั ธทิ ่ีจะเอามาถือใหด ๆี . ในประโยควา \"ภิกษทุ ง้ั หลาย ภิกษุในศาสนานยี้ อ มฟง ธรรมโดยเคารพ ยอมเรียนธรรมโดยเคารพ (อิธ ภิกฺขเว สกกฺ จจฺ จํ ธมมฺ ํ สุณนตฺ ,ิ สกฺกจฺจํ ธมฺมํ ปริยาปณุ นฺต)ิ \" เชน นี้ คําวา ธรรม หมายถงึ ปริยตั ธิ รรม เชน เรยี นพระไตรปฎก เรียนนกั ธรรม เรียนบาลี สรุปกค็ ือ การเรียนดว ยตาํ ราหรอื คมั ภรี ท กุ อยาง หนาทข่ี องเราเกย่ี วกับธรรมในท่นี ีค้ ือ อุตสาหเรียน อตุ สา หฟ ง อตุ สา หคิด อุตสาห จาํ อตุ สา หถ าม ไวนน่ั เอง. ในประโยควา \"ธรรมแล ยอมรกั ษาผูประพฤตธิ รรม (ธมโฺ ม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี)\" เชนนี้ คําวา ธรรม ไดแก ปฏิบตั ธิ รรม หรอื การปฏิบตั ิ ไมหมายเฉพาะการเรยี นเฉยๆ หนา ทีข่ องเราในคาํ วา ธรรมชนิดนี้ กค็ อื การปฏิบัตเิ หมอื นกนั . ตอ งปฏบิ ัติจรงิ ๆ เพยี งแตเ รยี นรนู ั้นไมพ อ หรือจะนอนรอ อํานาจธรรมอันศักด์สิ ทิ ธปิ์ ระจาํ โลกอยางเดียวกไ็ มไหวแน รีบปฏิบตั อิ ยา งลมื หลู ืมตาเทานน้ั จึงจะ เอาตวั รอดได ในประโยควา \"ผูป ติในธรรม ยอ มอยเู ปน สุข (ธมฺมปต ิ สขุ ํ เสติ)\" เชน น้ี คําวา ธรรม หมายถึง ปฏิเวธธรรม คือผลของการปฏบิ ัติ กลา วคือ มรรคท่ีตนไดบ รรลุแลว หรอื เรยี กสัน้ ๆ กค็ ือ ผลแหง การปฏบิ ตั ิ ความปต ิทจี่ ะเกดิ ขึน้ ไดในธรรมนั้น เกิดไดเฉพาะแตในธรรมท่ีตนเองไดบ รรลแุ ลว เห็น แลว เทา นน้ั แมจะเล็กนอยเพยี งไรกต็ อ งเปนธรรมท่ีตนบรรลุแลว เหน็ แลว มฉิ ะน้ันปต ิไมเ กิดขน้ึ คาํ วา ธรรมในทนี่ จ้ี ึงหมายถงึ ปฏเิ วธ หนา ทขี่ องเราทงั้ โดยตรงและโดยออมคอื พยายามหามาชิมดู บางอยาเห็นเปน ของคร.ึ ในประโยควา \"ผใู ดเหน็ ธรรม ผูน้นั เห็นตถาคต ผูใดไมเหน็ ธรรม ผูน้ันแมจ ะคอยดึงมุมจวี รของเรา ไปไหนดว ยกนั ก็หาชอ่ื วา เห็นตถาคตไม\" เชนนี้ คําวา ธรรม หมายถงึ ความหมดกเิ ลส เปน ความ ประเสรฐิ ชนิดทมี่ ีในเม่อื เมอ่ื ประพฤติธรรมสาํ เรจ็ แลว แมบ างสว นหรอื ท้งั หมด จนเห็นชัดวา คนที่ บรสิ ุทธ์ิ คนทส่ี วา งแจมแจง คนท่ีเปน สขุ สงบเปนอยา งนๆี้ ทําใหเหน็ วา พระอรหันต ทา นผิดกับคน ธรรมดา กท็ ี่ตรงนเ้ี อง ชอื่ วา เหน็ ธรรมในทน่ี ี้ คาํ วาธรรมในท่นี ้ี จงึ หมายถึงความเปน พระอรหันต หรอื พระพทุ ธเจา. หนา ท่ขี องเราในเรือ่ งนม้ี ีวา เราจะตองรเู หมือนท่พี ระพุทธเจาทานทรงรู พน เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 88 / 90

ชุมนุมเร่อื งสน้ั – พุทธทาสภิกขุ ธรรมะกบั เรา ความดแี ละความชว่ั เหมือนทีพ่ ระพุทธเจาทานพน โดยเฉพาะคือรอู รยิ สจั ๔ กระท่งั เสวยผลแหง ความรนู ้นั อยูด ว ยใจตวั . ในประโยควา \"ธรรมเปนสง่ิ ทีพ่ ระผูมพี ระภาคตรัสไวดแี ลว เราขอนอบนอมธรรมนนั้ สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม ตํ ธมมฺ ํ นมสสฺ ามิ\" เชนนี้ คําวา ธรรม ในท่ีนี้ หมายถงึ เฉพาะคาํ สอนท่เี ปน นิยยานกิ ธรรม คือท่ี \"ชท้ี างบรรเทาทกุ ข และช้สี ขุ เกษมศานต ชท้ี างพระนฤพาน อนั พน โศกวโิ ยคภยั \" เทานัน้ ไมห มายถงึ สง่ิ ทัง้ ปวงเหมือนบางขอ ขางตน หนา ทขี่ องเราในทน่ี ้ี คอื เรง พจิ ารณาใหอยาง หนักวา ธรรมทต่ี รัสไวน้นั ทนตอการพสิ จู น (เชน สองบวกสามไดห า) จริงหรอื ไม จนเหน็ วา พระองคตรัสไวด ีจรงิ คือไมผิดแลว นอบนอ ม คอื ทาํ ตามเหมอื นอยา งกะวามันเปน สง่ิ ทเ่ี ราคดิ คน ได เอง ทาํ ใหเ กดิ ผลไดเอง. ในประโยควา \"พระพทุ ธเจา ทงั้ หลายไดทรงเคารพใคร แตท รงเคารพธรรม\" คําวา ธรรม ในท่ีนี้ หมายถึงระเบยี บอนั บคุ คลจะพงึ ประพฤตทิ ้งั ตอตนเองและผอู นื่ แมวาตนเองจะไมต อ งการผลอนั จะ พึงไดจากการประพฤติตามระเบียบอนั นั้น กเ็ คารพในการท่ีจะรักษาระเบียบอันน้นั ไวใ หเปน หลกั ของโลก, แมวา ตนจะพน แลว จากบญุ และบาป เปนผทู บ่ี ญุ และบาปไมอ าจฉาบทาตดิ ไดอ กี ตอ ไป ก็ ยังคงเคารพตอ ระเบียบแหงการละบาปบาํ เพ็ญบญุ เพื่อใหระบอบน้ียงั คงเปนหลกั เปน ประธานของ โลกทวั่ ไป แมวาตนเองจะพน ทุกขแ ลว กย็ งั คงเคารพตอ ระเบียบของการปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความพนทกุ ข, เพ่ือพระองคท รงเหน็ วา การอยูโ ดยปราศจากทเ่ี คารพเปนการไมส มควร แตพ ระองคม องหาบคุ คล ใดเปน ทเี่ คารพไมได แมแตพระพทุ ธเจาดว ยกัน, พระองคจ งึ ทรงเคารพธรรม คือระเบียบแหง ความจรงิ (Truth system) ตามที่ควรจะมปี ระจําโลกอยอู ยางไรตลอดอนนั ตกาล คําวาธรรมใน กรณที ีแ่ มแ ตพ ระพทุ ธเจาเองก็ทรงเคารพเชนนี้ หนา ท่ขี องเราก็คอื เคารพเหมอื นกัน ไดแ กเคารพ ตวั เอง ที่รสู ึกวา กาํ ลงั รกั ษาความดีไวใ หค งมีอยใู นตัวเอง และงอกงามไปจนกระท่ังดที ่สี ดุ เปนตน ไป จนกระทั่งเคารพระเบยี บแหง ธรรมทที่ นตอการพสิ จู น ไมมีความประมาทแมแตนอ ย ผใู หญท ด่ี ู ถูกระเบยี บปฏบิ ัตขิ องเด็ก ยอ มทําใหเด็กหมดกําลังใจในการท่ีจะรกั ษาระเบยี บนนั้ . ทั้งน้ีเนือ่ งจาก ผใู หญค นนน้ั เขลาไปวา ระเบียบนั้นมีเดก็ มผี ใู หญไปตามคนผูปฏิบตั ดิ ว ย. ถามองเห็นวา ระเบยี บ ท้งั หลายเปน อันเดยี วกัน ไมมีเด็กผูใหญไ ปตามคนผปู ฏบิ ตั แิ ลว กจ็ ะเปนผูท เ่ี คารพระเบยี บได เต็มท่ี เชนเดยี วกับทพ่ี ระพทุ ธเจา ทานเคารพระเบยี บ ในประโยคยาวทว่ี า \"แมเ ขาฟง ธรรม นอย แตเห็นธรรมดวยนามกาย เขานั่นแหละชอื่ วา ผทู รง ธรรม\" คําวา ธรรม ทงั้ สามคําน้ี ตางกันทงั้ ๓ คาํ คาํ แรกหมายถงึ คาํ สอน (Body of the Teaching) คาํ ทสี่ องหมายถึง ผลของการปฏิบัตธิ รรม ทเี่ ขาทาํ ใหเกดิ ขนึ้ ไดแลว คาํ ท่ีสามหมายถงึ รูปรางแหง การปฏิบตั ธิ รรม. อนั มีอยูที่เนื้อทต่ี วั ของเขา. ประโยคนที้ ง้ั ประโยคใหเ กดิ หนา ที่ คือ ได เลาเรยี นมากหรอื นอ ยไมสําคญั ขอแตใ หไดรรู สของธรรมบางเปน อยางนอยก็แลวกนั ; จะมี ความสุขดว ย จะมีเกียรติวาเปน ผปู ระพฤติธรรมหรอื มีธรรมดวย. การเรยี นจบพระไตรปฎกแตไม เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 89 / 90

ชมุ นุมเร่ืองสนั้ – พทุ ธทาสภิกขุ ธรรมะกับเรา เหน็ ธรรมน้นั ไมม ที างที่จะไดช ือ่ วา เปนผทู รงธรรมเลย. เปนหนอนหนงั สอื หรือคนหาบใบลาน มากกวา . ฉันเขียนมาใหทานเลอื กมากพอแลว, จะเขยี นใหหมดจรงิ ๆ ทานกจ็ ะอา นไมไ หว และเลือกไมไ หว ตาลาย. เมอื่ ทานดูธรรมะเขา ทีเ่ หลย่ี มใดเหล่ยี มหน่งึ เขาตาทา นแลว ทานจงดูเหล่ยี มนน้ั ใหม าก มนั ก็จะทะลุไปยงั เหลี่ยมอน่ื ไดเอง และปรโุ ปรงไปหมด ธรรมะกับเราจะพบกันแลว จัดการอยางไร น้ัน ปญ หาขอนอี้ ยทู ่วี า หมายถงึ ธรรมะอนั ไหนหรอื คาํ ไหนเสียกอน. ทา นตอ งเลือกเอาเองเฉพาะ คน เปนคนๆ ไป เพราะมาจากจดุ ตัง้ ตนทผี่ ดิ กัน. โลกสมัยน้เี ขาไมมีเวลาทจ่ี ะคดิ ธรรมะ หรอื ไมม ี แมแ ตจะอานจะฟง ยอ มเปนการยากอยูที่เขาจะนําธรรมะไปใชใหเปน ประโยชนไ ด มิหนําซ้าํ ยังไม ทราบวา จะตอ งการธรรมะ ตามความหมายของคาํ วา ธรรมะคาํ ไหนดว ยซา้ํ ไป. หอสมุดธรรมทาน พทุ ธทาสภกิ ขุ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 90 / 90


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook