ชวี ิตและความตายในทัศนะของพุทธศาสนา ชาย โพธสิ ิตา1 บทความน้ตี องการแสดงทศั นะตอชวี ติ และความตายจากมุมมองของพทุ ธศาสนา แมวา เรือ่ งของชีวติ และความ ตายจะเปน ปรากฏการณธรรมชาติ ท่ีเกิดขน้ึ ตามธรรมดาของโลก แตค นสวนมากก็มักไมเ ขาใจธรรมชาตทิ ่ีแทจริงของมนั เปน เหตุใหไ มสามารถกําหนดทา ทีและการกระทําที่ถกู ตอ งในเรอื่ งทส่ี าํ คญั นี้ได ผลท่ตี ามมาอาจเปน ความทุกขในระดบั ตา งๆ หรอื อยางนอยก็ไมส ามารถไดรับประโยชนท พี่ ึงได จากการเกิดมามีชวี ิตในฐานะคนคนหนึง่ ในการนาํ เสนอตอไปนี้ เบ้ืองตนจะเปน การกลาวถึงทศั นะของพทุ ธศาสนาท่เี ก่ียวกับชวี ติ จากน้ันจะกลาวถึง มุมมองเก่ียวกับความตายและทัศนะท่เี ราควรมีตอเรอ่ื งความตาย ท้งั นี้ โดยอาศัยการคน ควาจากเอกสารท่ีมที า นผรู ไู ด คนควา เรียบเรียงไวก อ นหนา ผูอานโปรดเขา ใจวา การคน ควาท่ีลึกซึ้งควรจะไดอาศัยหลักฐานจากพระไตรปฎกโดยตรง แต น่นั ถา ทาํ ไดก ็คงตอ งใชเวลาและความพยายามมากกวาทผ่ี เู ขียนมใี นขณะนี้ ชีวิตในทศั นะของพทุ ธศาสนา ชีวิตคอื อะไร พุทธศาสนามองส่งิ ท้ังหลาย (รวมทัง้ ชวี ิตและสง่ิ อื่นๆ) วา เปน ส่ิงทเี่ กดิ จากการมีสว นประ- กอบตา งๆ มารวมกันเขา และมคี วามสัมพนั ธแ บบองิ อาศัยซง่ึ กันและกัน ความสัมพันธเกี่ยวเนอ่ื งและความอิงอาศัยกนั น้ี นบั วา เปนคุณสมบัติสาํ คญั เพราะเปนสิ่งท่ที าํ ใหช ีวิตดํารงอยแู ละดําเนนิ ไปได หมายความวา ถา จะใหมชี วี ิตเกิดข้ึน ดาํ รง อยู และดําเนินตอ ไปได สว นประกอบตา งๆ เหลา น้ันจะตอ งไมใชส กั แตว า มา “กองรวม” กันอยู โดยไมมีความเกีย่ วเนอ่ื ง แบบองิ อาศัยกันเทานน้ั แตต องมีความเช่อื มโยงและถอ ยทีถอ ยอาศัยกันและกนั อยา งเหมาะสมดวย โดยเหตทุ ช่ี ีวติ เกิดขึ้น ดํารงอยู และดําเนินไปได เพราะอาศยั การประกอบกันเขาของสวนตา งๆ ดงั กลาวมา พทุ ธ ศาสนาจึงถือวา ตัวตนที่แทจ ริง ของส่งิ ทีเ่ รียกวาชวี ิตนนั้ “ไมมี” เพราะ ประการแรก ตวั สิง่ ที่ถอื วา เปน ชีวติ น้ัน มาจากการ รวมกันของสวนประกอบตางๆ และ ประการท่ีสอง แมสวนประกอบตา งๆ ทมี่ ารวมกันเขา เปน ชีวิตนน้ั เอง แตละสว นกเ็ ปน ผลมาจากการมีสวนประกอบอนื่ ๆ มารวมกันเขาเชนเดียวกนั ดังน้นั สงิ่ ทเี่ ราเรียกวา สวนประกอบแตล ะสว นนั้น แทจริง แลวกไ็ มไดมตี วั ตนของมันจริงๆ เปนแตเ พียงการประกอบกันเขาอยา งเหมาะสมของสว นตางๆ เทานน้ั ถาจะอปุ มาชวี ิตในทศั นะเชน น้ี ก็คงเหมือนกับสิ่งทเี่ ราเรียกวา “รถ” ซ่ึงเกดิ จากการนาํ เอาสวนประกอบตา งๆ หลายสวนมารวมกนั เขา โดยทแี่ ตละสวนมีความเกีย่ วเน่ืองเชื่อมโยงกัน และทํางานสมั พันธก นั เปนระบบ การดาํ รงอยขู อง ความเปน “รถ” และการทําหนาทีข่ องมนั ขน้ึ อยทู ัง้ กบั สวนประกอบหรือชิน้ สว นตางๆ และขึ้นอยูกับลกั ษณะของ ความสัมพนั ธต อกนั ของสว นประกอบเหลาน้นั ดวย เมอื่ ใดท่ีเราแยกเอาสว นประกอบท้งั หมดออกจากกนั สิง่ ทเ่ี รียกวา “รถ” ก็ไมม ี มแี ตสว นประกอบแตล ะสวนเทานัน้ ซง่ึ ก็ไมใช “รถ” และสวนประกอบแตละสว นน้ันเลา ก็มีสวนประกอบยอ ยของมัน อกี 1 รองศาสตราจารย ประจาํ สถาบันวจิ ัยประชากรและสังคม มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล
2 สว นประกอบสําคญั ของชวี ติ ในทัศนะของพุทธศาสนา สงิ่ ท่เี รียกวา “ชวี ติ ” มีองคประกอบใหญ ๒ สว น คือ สว นทเ่ี ปน รปู ธรรม กบั สว นที่เปน นามธรรม อยา งท่ีเราเขา ใจกนั ทั่วไปวา เปนเร่ืองของกายกับเรื่องของจติ องคประกอบใหญทั้งสองสว นน้ี รวมอยูในสงิ่ ที่ เรียกวา ขันธ ๕ (The Five Aggregates) ซ่ึงประกอบดว ย รูป เวทนา สญั ญา สังขาร และ วิญญาณ2 ความหมายของสว นทั้ง ๕ ตามแนวที่พระธรรมปฎก (ปจ จบุ ันคือ พระพรหมคุณาภรณ) ใหไวใ นหนงั สอื พทุ ธ ธรรม (ฉบับดง้ั เดิม, ๒๕๔๔) มีดังน้ี รูป (Corporeality) คือ สว นประกอบที่เปน ดา นกายภาพหรอื ดา นรปู ธรรมทงั้ หมด โดยสรปุ ก็คือ รางกาย (เนื้อ หนงั มงั สา) และพฤตกิ รรมทั้งหมดของรา งกาย หรอื จะกลาวอกี นัยหนึ่งวา คือ สว นที่เปน สสารและพลงั งานฝา ยวัตถุ พรอ ม ทงั้ คุณสมบัตแิ ละพฤติกรรมตางๆ ของสสารและพลงั งานเหลานั้น เวทนา (Feeling) คือ สว นทีเ่ ปนความรสู ึก ซ่ึงเกดิ จากการไดสัมผัสผา นทางประสาทสัมผสั ท้งั ๕ และทางใจ ความรูสึกนนั้ อาจมีหลากหลาย เชน ความรูสึกรอน หนาว อบอนุ เจบ็ ปวด ผอ นคลาย ฯลฯ กลาวรวมๆ ไดว า เปน ความรูสึกสุข ทุกข หรอื เฉยๆ คือ ไมส ขุ ไมทกุ ข สัญญา (Perception) คือ การกําหนดรู การจําได และการแยกแยะความแตกตา งของส่งิ ท่รี บั เขามาทางประสาท สัมผัสตา งๆ ได เปน อาการทีใ่ จรับรแู ละสามารถบอกไดวาสงิ่ นนั้ ๆ เปนอะไร อนั เปนเหตใุ หจ าํ สง่ิ นั้นๆ ได เชน จํารปู รา ง สี เสียง กลน่ิ รส สัมผัส และอาการตา งๆ ได สังขาร (Mental Formation) คําวา สังขาร ในกรณนี ไ้ี มไดหมายถงึ เร่ืองของรางกายทเ่ี ปนเนื้อหนัง คือ ไมใชส วน ท่เี ปน รปู ธรรมหรือกายภาพ อยางทเี่ ขา ใจกันท่ัวไป แตเปนเรื่องของจติ หรือเก่ียวกบั จติ มากกวา ความหมายในที่นจี้ งึ หมายถงึ “สภาพท่ปี รุงแตง จติ ” ใหมีลกั ษณะตา งๆ ซ่งึ อาจจะเปน ฝายดี ฝายชั่ว หรือเปนกลางๆ (ไมด ี ไมช่วั ) ก็ได ทัง้ นี้ โดย มี เจตนา เปน ตัวนาํ กลาวอยางงายๆ สงั ขารนคี้ ือ ความนกึ คดิ ซ่ึงอาจจะเปนดานดี ไมด ี หรือเปนกลางๆ กไ็ ด วิญญาณ (Consciousness) ในที่น้ีก็ไมใชอยางเดียวกบั สงิ่ ที่คนเชือ่ กันทัว่ ไปวา เปนส่ิงทม่ี ีอยใู นตวั คนเมอ่ื ยังมี ชีวติ และเมอื่ ตายแลวกล็ อ งลอยไปในภพภูมิตางๆ แตว ิญญาณในท่ีน้ี หมายถงึ การรบั รอู ารมณ (object) โดยผา นทาง ประสาทสมั ผสั ทั้ง ๕ และทางใจ คือ รูโดยผานทางการเหน็ การไดยิน การไดกลิ่น การไดล้ิมรส การรบั สัมผสั ทางกาย และ การรอู ารมณท างใจ จะสังเกตวา ในสว นประกอบทงั้ ๕ ทก่ี ลา วขา งตนนน้ั สวนท่ีเปนรูปธรรมหรือกายภาพ มีอยเู ฉพาะในขนั ธ ๕ ขอ ท่ี ๑ (รปู ) เพยี งขอเดยี วเทา นัน้ ทเี่ หลอื อกี ๔ ขอ คือ เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวิญญาณ นั้น เปนสวนท่เี ราอาจนิยามวาเปน นามธรรม ดงั ไดก ลาวแลวขา งตน ขนั ธ หรือสวนประกอบแตละสว น ก็มีสว นประกอบยอยของมันอกี จาํ นวนมากบาง นอย บา ง ตามลักษณะของ ขันธ ขอนนั้ ๆ ตวั อยางเชน รปู หรือสวนประกอบท่จี ัดวา เปน สวนกายภาพน้นั มีสว นประกอบยอ ยลง ไปอกี ถึง ๒๘ อยา ง ในจํานวนน้ี สว นประกอบทีเ่ ราคนุ เคยกนั โดยมากคือ เรอื่ งของธาตทุ ัง้ ๔ (ดนิ นาํ้ ลม ไฟ ซึ่งเรยี กอกี อยา งหนง่ึ วา “มหาภตู รปู ”) อนั ไดแก ปฐวธี าตุ (ธาตดุ ิน, solid element) คือ บรรดาสง่ิ ทม่ี สี ภาพเปน ของแขง็ กนิ เนื้อที่ อาโปธาตุ (ธาตุน้าํ , fluid element) คอื ของเหลวหรือสภาวะที่ดูดซึม เตโชธาตุ (ธาตุไฟ, element of heat or radiation) คือ อุณหภมู หิ รือสภาวะทีแ่ ผค วามรอน และ วาโยธาตุ (ธาตุลม, element of vibration) คอื สภาวะท่ีเคลอ่ื นไหว (พระธรรม 2 ชื่อเหลาน้ี แมจะไมใชคําแปลกใหมใ นภาษาไทย แตก็โปรดเขาใจวา โดยมากความหมายที่ใชใ นทางพุทธศาสนาไมใชอ ยางเดียวกับที่เรา เขา ใจกนั ทั่วไปเสยี ทีเดียว
3 ปฎก, ๒๕๔๖: ๙๓) สวนประกอบยอยอืน่ ๆ มีอยูอ ีกมากมาย จะไมนาํ มากลา วในท่ีน้ี เพราะเห็นวา เปน รายละเอยี ดท่เี กิน กวาวัตถปุ ระสงคของบทความนี้3 ชีวิตทป่ี ระกอบดวยขันธ ๕ น้ี เปนชีวิตในระดับท่ีคนทัว่ ไปมกั ไมไดสังเกตเห็น หรือไมไ ดตระหนัก เพราะการดําเนิน ไปและการทําหนาทขี่ องสวนประกอบแตละสวน เปน กระบวนการทล่ี ะเอยี ดออ น สงั เกตรูไดยาก แมก ารทาํ หนาท่ขี องสวน ทเ่ี ปนรปู ธรรม เชน การทาํ งานของอวยั วะภายในบางสว น เราแทบไมส ามารถสงั เกตไดเ ลย เพราะทุกอยางดาํ เนนิ ไปอยาง เปนธรรมชาติ ตอเมื่อเกดิ ปญ หาขึ้นกบั อวยั วะสวนนัน้ ๆ เราจึงจะสามารถสังเกตได หรือใสใจอยากจะรู ไมตอ งพูดถึงการทํา หนาทขี่ องสวนที่เปนนามธรรมกไ็ ด อยางไรกต็ าม โดยทวั่ ไปเราไมไ ดเ ขา ใจหรอื มองเห็นชีวิตในความหมายท่ีวา เปนสง่ิ ทีเ่ กิดข้นึ และดํารงอยจู ากการ ประกอบกันเขาของสวนตา งๆ ดังกลาวมานี้ แตเ ขาใจหรอื มองเห็นชวี ิตเฉพาะในความหมายดา นปฏิบตั ิมากกวา คือ สวน ใหญเรารูชีวิตหรือตระหนกั ในการมีอยูข องชวี ิตเมื่อไดสมั พนั ธก ับโลกภายนอกมากกวา ชีวิตของคนเราสัมพันธก ับโลก ภายนอกโดยผา นระบบ ๒ ระบบ คือ ระบบท่ีเปน ประตูแหงการรับรู และ ระบบที่เปนประตแู หง การแสดงออก ระบบแรก (ระบบการรบั ร)ู ประกอบดวยชองทางการรบั รู ๖ ชองทาง (เรียกวา ”ทวารทง้ั หก” กไ็ ด) คือ ตา เปน ชองสําหรับรับรรู ูปหรอื สี และทรวดทรงของวัตถุสิ่งของตา งๆ หู รับรูเสียง จมูก รบั รกู ล่นิ ลนิ้ รับรรู ส กาย รับรูการสมั ผัส และ ใจ รับรอู ารมณตางๆ ชอ งทางทง้ั หกน้ี พุทธศาสนาเรยี กวา “อายตนะ” แปลวา “ชอ งทางเช่อื มตอ ใหเ กิดความรูหรอื การรบั รู” ระบบทส่ี อง (ระบบการแสดงออก) น้นั ประกอบดวยชอ งทางหลัก ๓ ชอ งทาง คือกาย วาจา และ ใจ รปู แบบของ การแสดงออกทีเ่ ราคุนเคยกันดโี ดยผา นชอ งทางทัง้ สามนี้ คือ การทํา การพูด และการคิด หรือกายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม น่ันเอง ถาพจิ ารณาใหดีจะเห็นวา ทงั้ ชองทางการรบั รูและชอ งทางการแสดงออก ตา งก็ข้นึ อยกู ับขันธ ๕ เพราะถาไมมี การรวมกันเขา ของขนั ธ ๕ (นั่นคือไมม ีชวี ิต) ชอ งทางเหลา นีก้ ม็ ีไมไ ด ชวี ติ ในสว นท่ีเก่ียวกับการสมั พนั ธก ับโลกภายนอก โดยการรับรแู ละการแสดงออก ผานชอ งทางตางๆ ดงั กลาวมา นี้ คอื ชวี ติ ที่คนท่ัวไปตระหนักรู ทัง้ นเ้ี พราะ วันหน่งึ ๆ ต้ังแตต ื่นนอนตอนเชาจนหลับไปในตอนกลางคืน สิง่ ทปี่ ระจักษแกต ัว เรา มแี ตเรอ่ื งท่เี ราสมั พันธก บั โลกภายนอกดว ยการรับเขา มา หรือมิฉะนน้ั ก็แสดงออกไป โดยผา นทางชอ งทางตางๆ ท้ังน้ัน จนดเู สมือนวา สวนท่สี ัมพนั ธก ับโลกภายนอกน้ี คอื สว นท่เี ปน ชีวิตจรงิ และสําคญั ที่สดุ แตแทจริงแลว นเี่ ปนเพียงสว นเดียว เทาน้ัน ควรกลา วตรงนีว้ า ความรูสึกวา มตี ัวตน ความรูสึกวา น่ีเปนเรา น่ีเปน ของเรา เปนตน เกดิ ขน้ึ ไดจากการทีข่ ันธ ๕ (ชีวติ ) มกี ารติดตอกับโลกภายนอกเปนสาํ คัญ กลา วคอื เม่ือมีการรบั รูสิ่งตางๆ ผานชองทาง (อายตนะ, ทวาร) ทัง้ 6 ดังกลาวมา เรายอ มเกดิ ความรูสกึ หรอื มปี ฏิกริ ิยาตอ สิง่ เหลานั้น เชน เกิดความรูส ึกชอบ ไมชอบ รัก โกรธ สุข ทกุ ข ฯลฯ ขึน้ อยูกบั ลักษณะการรบั อารมณในขณะทีเ่ กิดการสัมผัสกบั สิง่ น้ันๆ ความรูสึกท่ีเกิดขนึ้ น้ันจะกอ ใหเ กดิ ความอยาก (ตณั หา) ในลกั ษณะตา งๆ ตามมา คือ อยากได อยากมี อยากเปน ในส่งิ ทีต่ วั เองยงั ไมไ ดย งั ไมม หี รือยงั ไมเ ปน (กามตณั หา) เมอื่ ได หรอื มี หรอื เปน สมใจแลว ก็อยากใหส่ิงทต่ี วั เองได มี และเปน นน้ั คงอยนู านๆ (ภวตณั หา) หรอื มฉิ ะนน้ั ก็อยากให ตวั เองพน จากสภาพท่ีเปน อยใู นปจจบุ นั (วิภวตัณหา) (พระธรรมปฎ ก, ๒๕๔๖; ศ. เสฐียรพงษ วรรณปก, ติดตอ สวนตัว ๑๑ เมษายน ๒๕๔๙) เมอ่ื ไดส่ิงที่ชอบ ส่ิงที่ทาํ ใหเปนสุข ความรสู ึกกจ็ ะพฒั นาไปเปน ความยดึ มัน่ ถอื ม่ัน อยากครอบครองสิง่ 3 ชีวติ ในสว นท่ีเปนขันธ ๕ นี้ ถาวา ตามหลกั วทิ ยาศาสตรสมัยใหม ก็คงจะไดแกบรรดาสว นทเ่ี ปนชวี ะเคมี และสว นท่ีจติ ซึ่งทง้ั หมดประกอบกัน เปนระบบอนั ละเอยี ดออนและซับซอ น
4 นั้นๆ (นนั่ คอื เกิด อุปาทาน) ในข้ันน้ขี ันธ ๕ (ชีวติ ) กก็ ลายเปน ขันธ ๕ ทป่ี ระกอบดวยอปุ าทาน (อุปาทานขันธ) ไมใ ชขนั ธ ๕ บริสทุ ธอิ์ ีกตอไป และน่ีคือชวี ิตของปถุ ุชนอยางเราๆ ทา นๆ ทวั่ ไป ขอเท็จจรงิ ของชวี ิตกค็ ือ เปนไปไมไดท จ่ี ะไมเขา ไปสัมพันธกบั โลกภายนอกเลย เมื่อมีการเก่ียวของกบั โลก ภายนอก กม็ ักจะมเี ร่ืองของตัณหาและอุปาทานตามมา ก็อะไรละ ทีจ่ ะทําใหชวี ติ ไมต กอยใู นกระแสแหงตัณหาและ อปุ าทานซึ่งเปน ที่มาแหง ทุกข? ในเร่ืองนีพ้ ทุ ธศาสนาชี้ทางวา ควรฝก“มองส่งิ ท้งั หลายตามภาวะลวนๆ ของมัน หรอื ตาม สภาววิสัย (objective) คอื มองเหน็ สิง่ ทัง้ หลาย “ตามท่ีมันเปน” ไมเอาตณั หาอุปาทานเขา ไปจับ อนั เปนเหตุใหม องเหน็ ตามทอี่ ยากหรอื ไมอยากใหม นั เปน อยา งท่ีเรียกวาสกวิสยั (subjective)” (พระธรรมปฎ ก, ๒๕๔๔: ๒๕) ทกี่ ลาวมาทง้ั หมดในสว นน้ี มีสาระสาํ คัญเพยี งประเด็นเดียว น่ันคือ ชีวติ ในทัศนะของพุทธศาสนา เปนผลของ การที่สวนประกอบหา สวน (ขนั ธ ๕) มารวมกันเขา โดยมคี วามสัมพนั ธแบบอิงอาศยั กนั อยา งสอดประสาน สวนประกอบ ทัง้ หานี้ มีทั้งสว นทีเ่ ปนรูปธรรมและนามธรรม ชีวติ ในความหมายนีอ้ าจกลาววา เปน ชีวิตบริสุทธิ์ คือ ยังไมมเี ร่อื งอน่ื จาก ภายนอก หรือแมแ ตเร่ืองของความรูส ึกวา เปน ตัวเรา เขา มาเก่ียวของ แตชีวิตในมมุ มองน้ี ไมใชชวี ิตที่คนสวนมากเขา ใจกัน คนสวนมากเขาใจชวี ิตหรอื มองเหน็ ชวี ิตในดา นท่ีเขาไป สมั พันธกบั โลกภายนอก โดยผานชองทางแหงการรบั รู และชองทางแหงการแสดงออกหลายชองทาง ดงั ไดกลาวมาแลว ชีวิตเปน อยางไร ทศั นะท่ีถือวา ชีวิตเปน ผลมาจากการมีสว นตางๆ มาประกอบกันเขา และแตล ะสวนกม็ ีสวนประกอบยอ ยของตน อีกมากมายน้ัน สะทอ นแนวคิดสาํ คัญของพุทธศาสนาท่ีเก่ียวกับโลกและชีวติ วา สิ่งท้งั หลายท่เี ราบัญญตั เิ รียกวา คน สัตว ส่ิงของตางๆ น้ัน ไมไ ดม ีอยู เปน อยู โดยตัวของมันเอง แต มีอยู เปนอยู เพราะมีปจ จยั ตางๆ มาประกอบกนั เขา หรอื กลาว อีกนัยหนึง่ กค็ ือ มอี ยูเ ปนอยู โดยองิ อาศยั สิ่งอื่น ไมใชด ว ยตวั ของมนั เอง ขอ นีแ้ ปลตอ ไปไดว า สง่ิ ทง้ั หลายนั้น เปนทั้งผลท่ี เกิดมาจากส่งิ อ่ืน และในขณะเดียวกันตวั มันเองกเ็ ปนเหตปุ จ จัยของสิ่งอื่นดว ย เพราะมีสภาพเชนนีเ้ อง ส่ิงท้งั หลาย ไมวา จะเปน คน สัตว หรือส่งิ ของ ลวนไมม ตี วั ตนของมนั อยา งเปนอิสระ นีเ่ ปน สจั ธรรมหรอื เปนกฎสากลท่ีเปน จริงกับทกุ สิง่ ใน โลกนี้ ทัศนะทวี่ า การมอี ยเู ปนอยขู องสง่ิ ทั้งหลาย เปน กระบวนการทเ่ี ก่ียวเนือ่ งแบบอิงอาศัยกนั เชนน้ี ตรงกับหลกั ธรรม ในพุทธศาสนา เรื่อง ปฏจิ จสมุปบาท4 (The Dependent Origination) ซ่ึงวาดวย การเกิดการดบั ของสง่ิ ทัง้ หลาย วา มี ปจจยั เปน เหตุ ทํานองวา “เพราะมีสง่ิ น้ี สงิ่ น้จี ึงเกดิ ข้ึน และเพราะสง่ิ นไ้ี มม ี สงิ่ นจี้ งึ ดับไป” ความหมายเดียวกันน้ีจะกลาว เสยี ใหมใ นทางกลบั กนั กไ็ ดว า “การทส่ี ่งิ นีเ้ กดิ กเ็ พราะมีส่งิ น้ี และการท่ีสง่ิ น้ดี ับไปก็เพราะไมม สี ่ิงน”ี้ สง่ิ นี้ ตัวแรกนน้ั ถา กลา วแบบวทิ ยาศาสตรก็คือ อะไรกไ็ ดท่เี ปนเหตเุ ปนปจจยั ใหสง่ิ อื่นเกิดขน้ึ หรือมีอยูเปน อยไู ด นัน่ เอง กลาวในแงข องชวี ิต การทช่ี วี ิตเกดิ ขึ้นและดาํ รงอยู กเ็ พราะอาศยั ปจจัยตางๆ ท่เี หมาะสมมารวมกัน ปจจัย เหลา นัน้ มีทงั้ ท่ีเปนปจจยั ภายใน (ท้ังรูปธรรมและนามธรรม) และปจ จัยภายนอก (คอื เรื่องของ รูป เสียง กล่นิ รส สมั ผัส และอารมณท ่เี กิดในใจ) ในทางปฏิบัติทัศนะเชนน้ขี องพุทธศาสนาเปน การปฏิเสธความเช่อื ทวี่ า ชีวิตเปนส่งิ ท่ถี ูกสรา งโดยอาํ นาจเหนือ ธรรมชาติ ในทัศนะของพทุ ธศาสนา ชวี ติ ไมไ ดถูกสรางแบบน้ัน แตชีวิตเกิดมาจากการมีปจจยั หลายอยา งประกอบกนั เขา 4 ในคําสอนของทาน พุทธทาสภิกขุ ทา นมักใชค าํ วา อทิ ัปปจจยตา (Conditionality) ซงึ่ เปน ช่ือหนงึ่ ของ ปฏิจจสมุปบาท โดยรูปคํา ปฏิจจสมปุ บาท แปลวา “การประชมุ ปจจยั ของส่งิ เหลาน้”ี สว น อิทัปปจจยตา แปลวา “ภาวะที่มีอนั นๆี้ เปนปจ จยั ”
5 อยางเหมาะสม ไมม อี ํานาจเหนอื ธรรมชาติทมี่ าสรางชีวติ ไมวาจะเรียกอาํ นาจนั้นวา พระผูเปน เจา พระพรหม หรอื เรียกช่อื เปน อยางอนื่ กต็ าม นอกจากอิงอาศัยส่ิงอน่ื และไมมีตัวตนเปนอสิ ระแลว สิง่ ทัง้ หลายไมว า จะเปนคน สัตว หรอื ส่ิงของก็ตาม ยังมีอยู เปนอยู ในรูปของ กระแส น่ันคือทกุ สงิ่ ทุกอยา งลวนดาํ รงอยู หรือเปน ไป ในรปู ของกระบวนการ ท่ีมี การเกิด และ การดับ สลับกนั ไปอยา งตอเนือ่ งไมข าดสาย การเกิดดับของสวนประกอบทงั้ หาของชวี ิต (ขันธ ๕) น้นั กเ็ ชนเดียวกัน แตนี่เปน กระบวนการที่ละเอียด ยากที่จะสังเกตไดท นั ในแตล ะขณะ จึงดเู สมอื นวา ชีวติ ในแตละขณะนั้น เปน สภาพท่ีคงที่ ไม เปล่ยี นแปลง แตค วามจริงแลว นคี่ อื กระแสการเกดิ ดบั ท่ีสลับกันไปไมข าดสาย ผรู ูบางทานอุปมากระบวนการเกิด-ดบั สลับกันไปเชนนใี้ นชีวติ วา เหมือนกับกระบวนการลกุ ไหมของตะเกียง แสง ตะเกยี งที่เรามองเหน็ ลกุ สวา ง(เสมอื นวา )คงที่อยูน้นั เปนผลมาจากปจ จยั หลายอยา งประกอบกัน กลาวคือ ในตัวมันเองก็มี น้าํ มันและไสตะเกยี ง นอกตัวมันออกไปก็มเี รื่องของกา ซออกซเิ จน และประกายไฟทมี่ าจุดใหติด เปลวไฟท่ตี ิดและลุกไหม อยนู ้ัน ปรากฏใหเ ห็นเสมอื นวา เปน สงิ่ ที่คงท่ี แตที่จริง ในเปลวไฟของตะเกยี งนั้น มกี าร เกดิ ดับ เกดิ ดับ เกดิ ดับ...ของไฟท่ี ไหมอณขู องนาํ้ มนั และไสต ะเกียงแตล ะอณู สลับและตอเนอื่ งกันไป ตราบเทา ท่ีนาํ้ มนั และไสตะเกยี งน้ันยงั มอี ยู เมอ่ื ไฟไหม ทอ่ี ณูหนงึ่ ก็จะเกิดเปลวไฟสวางอยู (ชว งนนี้ บั เปนการเกิดข้ึน และดาํ รงอยู) แตเ มื่ออณูนน้ั ถูกไฟไหมห มด แสงสวางจากการ ไหมอณนู ั้นก็หมดไป (ชวงน้ีเปน การดับ) ถา นํ้ามันและไสตะเกียงยังไมห มด (ยังคงมเี หตุปจจัยอย)ู กจ็ ะมเี ชื้อใหมถกู ไหม ตอไปอกี โดยนัยน้ี กระบวนการ เกิดดับ เกิดดับ เกดิ ดบั ... ก็จะตอ เนื่องกันไป กระบวนการน้ีเปน ไปไมขาดสายและรวดเร็ว จนยากทจี่ ะสังเกตเห็นความเปล่ียนแปลงในรูปของการเกดิ -ดบั ท่ีเกิดข้นึ ในแตล ะขณะได ภาพท่เี ราเหน็ จึงเปนอะไรที่คงท่ี อยา งนอยก็ชัว่ เวลาหนึ่ง การดาํ รงอยขู องชวี ติ ท่เี ราเหน็ ก็เปนเชนเดยี วกัน ชวี ติ เปนเชนน้ี สภาวะทม่ี คี วามเปล่ยี นแปลงเชนน้ี ทําใหส่งิ ท้ังหลายมีธรรมชาตไิ มเ ท่ยี งแท ความไมเ ทย่ี งแทน นั้ นาํ ไปสูสภาพที่ ขัดแยง กดดนั หรอื บีบคั้นในตัวเอง สภาพเชน น้ี สําหรับชีวิตถอื วาเปนสภาพท่ีทนไดย าก หรอื เปนสงิ่ ท่พี ทุ ธศาสนาเรยี กวา “ทุกข” น่ีนับวาเปนกฎธรรมชาติทเี่ ปนสากล ลกั ษณะสาํ คัญของกฎธรรมชาตทิ ก่ี ลาวมาขา งตน กค็ อื (๑) ความเปลีย่ นแปลง (๒) ความขัดแยงอันกอ ใหเกดิ สภาพที่ทนไดยาก และ (๓) ความปราศจากตัวตนอยางอสิ ระ พุทธศาสนาเรยี กส่ิงน้วี า สามัญลักษณะ (The Common Characteristics) ส่ิงทง้ั หลายรวมทง้ั ชีวิตมนุษยแ ละตกอยูภายใตก ฎธรรมชาตินี้ ไมมีขอ ยกเวน ชาวพุทธรจู ักกฎธรรมชาติ อันน้วี า เปนกฎแหง อนจิ จัง ทุกขงั และ อนตั ตา แตในคมั ภรี พทุ ธศาสนา ทานเรยี กวา อนจิ จตา ทกุ ขตา และ อนตั ตตา บางทีเราอางถงึ ลกั ษณะทง้ั ๓ ประการน้ีวา ไตรลักษณ คอื ลกั ษณะ หรอื สภาพ ที่สิ่งท้ังหลายมีเหมอื นๆ กัน พระธรรมปฎ ก (๒๕๔๔ : ๖๐) ใหความหมายของลักษณะท้ัง ๓ นี้ ไวดงั น้ี: อนิจจตา (Impermanence) คือ ความไมเท่ียง ความไมคงท่ี ความไมค งตวั ภาวะท่ีเกดิ ขึ้นแลวเส่ือมสลายไป ทกุ ขตา (Conflict) ความเปน ทุกข คือภาวะท่ถี กู บีบคน้ั ดวยการเกดิ ขึน้ แลว สลายไป ภาวะทกี่ ดดัน ฝน และ ขัดแยง อยใู นตัว อนั เนือ่ งจากการทปี่ จ จัยทีป่ รงุ แตงใหม สี ภาพอยางน้ันเปลี่ยนแปลงไป ไมส ามารถใหค งอยใู นสภาพเดมิ ได อนัตตตา (Soullessness หรอื Non-Self) ความเปน อนตั ตา คือความไมใชต วั ตน ความไมมตี ัวตนแทจ ริง ทจ่ี ะ ส่งั บงั คับใหเปนไปตามทีต่ องการได ทกี่ ลา วมาน้ี ถา ถามวา “ชวี ิต” ในทศั นะของพทุ ธศาสนาเปน อยางไร กต็ อบส้นั ๆ ไดว า ชีวิต เปน สง่ิ ทเี่ กิดจากเหตุ ปจ จยั อื่นมาประกอบกนั เขา ไมม ีตัวตนทเี่ ปนอสิ ระ ดําเนนิ ไปในลกั ษณะของกระแสการเปลีย่ นแปลง อันมีการเกิดดบั
6 สลบั กนั ไปเปนลักษณะสาํ คัญ ดว ยสภาพท่ีอิงอาศัยปจ จัยอนื่ และดวยลกั ษณะที่เปลย่ี นแปลงอยูตลอดเวลา ชีวิตจงึ มี สภาพที่ขดั แยง กดดนั และทนไดย าก กฎธรรมชาตขิ องชวี ิต จึงเปน กฎแหงความไมม ตี วั ตน ไมเที่ยงแท และเปนทุกข เพอ่ื เปน การสนับสนนุ สง่ิ ท่ีกลา วมาทัง้ หมดในหัวขอน้ี ขอยกเอาขอความบางสวนจากพระไตรปฎกมาแสดง ใน คัมภีรส งั ยุตตนิกาย ขันทวารวรรค (พระไตรปฎกฉบับภาษาบาลี เลม ท่ี ๑๗ ขอ ๑๒๗-๑๒๙ หนา ๘๒-๘๔) พระพุทธเจา ทรงแสดงสามัญลกั ษณะของขันธ ๕ (คือชวี ติ ) แกภ ิกษุสาวกดวยการสนทนา ความตอนหนึ่งวา : ภกิ ษุท้งั หลาย เธอท้งั หลายมคี วามเห็นเปนไฉน? รูป เทย่ี งหรอื ไมเที่ยง? “ไมเ ท่ยี ง พระเจา ขา” กส็ ่ิงใดไมเที่ยง สง่ิ น้ันเปนทุกขหรอื เปน สขุ ? “เปน ทกุ ข พระเจาขา ” ก็สงิ่ ใดไมเที่ยง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนไปเปน ธรรมดา ควรหรอื ที่จะเฝา เห็นส่ิงนั้นวา น่ันของเรา เราเปน น่ัน น่ันเปนตวั ตนของเรา? “ไมค วรเหน็ อยา งนน้ั พระเจา ขา ” (ตรัสถามเชน นี้ทลี ะอยา งๆ จนถึงขันธ ๕ ขอสดุ ทา ย คอื วญิ ญาณ แลวทรงสรุปวา ) ภกิ ษทุ งั้ หลาย เพราะเหตุนน้ั แล รูป... เวทนา...สัญญา...สงั ขาร...วญิ ญาณ อยางใดอยางหนึ่ง ทงั้ ที่ปน อดีต อนาคต และปจ จุบนั ทัง้ ภายในและภายนอก หยาบหรอื ละเอียด เลวหรือประณตี ทั้งท่ี ไกลและทีใ่ กล ทั้งหมดน้ัน เธอท้ังหลายพงึ เห็นดว ยปญญาอันถกู ตอ งตามท่มี นั เปนวา “นัน่ ไมใ ชข อง เรา เราไมใ ชน ัน่ นั่นไมใชต วั ตนของเรา” (ขอ ความจากพระไตรปฎ กทีย่ กมาขางตน คัดมาจากการแปลถอดความโดย พระธรรมปฎก, ๒๕๔๔: ๖๒) ความตายในทศั นะของพทุ ธศาสนา ถา เขา ใจชีวิตในทศั นะของพทุ ธศาสนาดงั ท่ีกลา วมาขา งตน เร่ืองความตายกเ็ ปนสง่ิ ท่เี ขาใจไดไมยาก โดยเฉพาะ ความตายในความหมายทเี่ กี่ยวโดยตรงกับชีวิต แตก ็มีความหมายอ่ืนของความตายท่คี วรทราบดว ยเหมือนกัน ดังนน้ั ใน ที่นี้จะพดู ถึงความตาย ๒ ประเภท คือ ความตายของชีวิต หรอื ตายทางรา งกาย กับความตายโดยท่ียงั ไมสิ้นลมหายใจ อาจ เรยี กวา เปนความตายทางจิตใจ ทานพทุ ธทาสภิกขุ มกั เรียกวาเปน การตายกอ นตาย ความตายในรปู ของการเปล่ียนแปลง พุทธศาสนาเช่อื วา ชีวิตมีอยู เปนอยู เพราะมีปจจัยตางๆ มาประกอบกันอยา งเหมาะสม และปจจยั สาํ คญั ก็คอื ขนั ธ ๕ ดังทีไ่ ดแสดงมาแลว ตามความเช่ือนี้ ความตายก็เปน อะไรอนื่ ไปไมไ ดน อกจากคือความส้ินไปแหงปจจัยเหลา นั้น หรอื มฉิ ะน้นั กเ็ ปนการประกอบสวนที่ผิดเพย้ี นไป อนั เกดิ จากความไมเ ท่ยี งและความไมมตี ัวตนของปจจยั เหลา น้ัน นี่เปน หลกั กวางๆ ทีอ่ ิงอยูกับหลักธรรมเร่ือง ไตรลักษณ และหลกั ธรรมเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท หรือ อทิ ัปปจจยตา ท่ีวาดว ยความ เปน เหตุเปน ผลแบบองิ อาศยั กนั ของส่ิงทัง้ หลาย ทํานองวา เมื่อสิ่งนีม้ ี สงิ่ นจ้ี ึงเกิดข้นึ , เม่ือส่งิ น้ไี มมี สิง่ นี้จงึ ดับไป ความสนิ้ ไปแหง เหตปุ จ จัยนนั้ อาจมองวา เปนเพยี งมิตหิ นึง่ ของความเปลยี่ นแปลงทเี่ กิดขึน้ อยูตลอดเวลา แม ในขณะทีช่ วี ติ ยงั มอี ยู ความเปลี่ยนแปลงนี้ คอื กระบวนการทท่ี ง้ั ความเกิดและความดับ เกดิ ตอเน่ืองสลับกันไป มองในแงน ้ี ในชีวติ กม็ ที ้งั การเกิดการดบั อยูตลอดเวลา การเกิดและการดับ ในลักษณะเชน นไี้ มไดท าํ ใหชวี ิตหมดไป คือ ไมตาย ใน ความหมายที่เขาใจกนั ทั่วไป แตก็แนนอนวา ยอมทําใหช วี ติ เปลยี่ นแปลงไปไดทงั้ ในดานรปู ธรรมและนามธรรม ดงั จะเห็นได
7 จากการท่ีหนา ตาและรา งกายของเราเปล่ียนไปตามกาลเวลา ถาถือวา เปนการตาย นกี่ ค็ อื การตายจากสภาวะหน่งึ แลวไป เกิดในอกี สภาวะหน่ึง เชน จากเดก็ เล็กเปน วยั รุน เปน ผใู หญ และเปน คนชรา เปนตน ในความตายแบบนเี้ หตุปจจยั แหง ชีวิตไมไดห มด และชวี ติ กไ็ มไดส ้ินไปจรงิ ๆ เพยี งแตเ ปล่ยี นแปลงสภาวะไปเทาน้ัน แตถ าเกดิ การเปลีย่ นแปลงชนิดที่ทาํ ใหส ิง่ ทเ่ี ปนเหตุปจ จัยของชีวิตหมดไป ก็ถือวาเปนความตาย ตามหลักความ เช่ือในพุทธศาสนา ความเปล่ียนแปลงของเหตุปจจัยท่ที าํ ใหชีวิตหมดไป (คอื ตาย) อาจเกดิ ไดใ นกรณตี อไปน้ี (พระมหาบญุ มี มาลาวชิโร, ๒๕๔๗; พระดุษฎี เมธงั กโุ ร, ๒๕๔๔) ๑. สน้ิ อายุขยั (อายกุ ขยมรณะ) คือ ตายเพราะสนิ้ อายุ ซึ่งเปน ไปตามกฎธรรมชาติของสรรพส่ิงท่เี กิดมา กลาวคือ ทกุ สง่ิ ตกอยูในกฎแหงการเกิดขึ้น ดํารงอยู และดบั ไป ชวี ิตของมนษุ ยท ่ีเกิดมานั้น แมจะไมม โี รคภยั หรอื เหตุอื่นใหเสยี ชีวิต ไปกอนวัยอนั ควร ก็ดํารงอยูไดชว่ั ระยะเวลาหนึ่งเทา นน้ั ถาจะเปรยี บกค็ งจะเหมอื นชน้ิ สวนอเี ลคโทรนิคช้ินหนง่ึ ซึง่ มีอายุ การใชงานจํากัดอยรู ะยะหนงึ่ เม่ือพน จากน้นั ไป ชนิ้ สวนนนั้ ก็หมดสภาพ คือไมสามารถทาํ หนา ท่ีของมนั ไดตอ ไป ชวี ติ ของ คนเราก็คลายกัน นัน่ คอื มอี ายุขัยทจ่ี าํ กดั นอกจากน้ี อายุขัยของคนเรายังไมเทากนั และเปล่ียนแปลงไปตามยุคสมัย 5 ข้ึนอยูก บั เหตุปจจยั ท่ีสนบั สนุนและเออื้ อํานวยหลายดาน เชน ความกา วหนา ทางเทคโนโลยดี านการแพทย สภาพแวดลอม ในการทาํ งาน และรูปแบบตลอดจนพฤตกิ รรมการดํารงชีวิตเปน ตน การตายเพราะส้ินอายขุ ัยนนั้ อาจเปรยี บไดก บั ตะเกียงทไ่ี สหมด แมนา้ํ มนั จะยังเหลอื อยู แตกไ็ มส ามารถจะให เปลวไฟที่มีแสงสวา งตอ ไปได ๒. สิน้ กรรม (กัมมักขยมรณะ) คือ ตายเพราะสนิ้ กรรม กรรมนั้นคอื การกระทาํ ซ่ึงมีผลสืบเนือ่ งตามมา (consequences) อาจเปนกรรมที่ทําในอดีต ซึ่งอาจไกลออกไปจนถงึ ในอดีตชาติ หรืออาจเปนกรรมทีท่ าํ ในปจจุบนั เชน การดแู ลอนามัยเปนตน และอาจเปน กุศลกรรมหรืออกุศลกรรม กไ็ ด ข้นึ อยูกบั วา การกระทําทีไ่ ดทําลงไปนน้ั เปน ฝา ยดี หรือไมด ี กรรมทท่ี ําไวน นั้ มีหนาที่ชว ยสนบั สนุนรูปและนาม (ชีวิต) ในภพทเี่ ราเกิดมา เมอื่ ผลกรรมส้ินไป ชีวติ ก็สิน้ ไป เปรยี บเหมือนตะเกยี งทีน่ าํ้ มนั หมด แมไสตะเกยี งจะยังเหลืออยู เปลวไฟและแสงสวางก็หมดไป ๓. สิ้นท้งั อายแุ ละกรรม (อภุ ยักขยมรณะ) คือ ทัง้ อายขุ ัยและกรรม สนิ้ ไปในเวลาเดียวกนั การตายในกรณเี ชนน้ี จะเห็นไดเ ชน การตายของผสู ูงอายทุ ่ีแกห งอ ม รูปและนาม (รางกายและจติ ใจ) หมดสภาพ อีกทัง้ กรรม คือ การกระทําทจ่ี ะ เปนแรงสนับสนุนใหรูปและนามทาํ หนา ที่ของมนั กห็ มดไป เปรยี บเหมือนตะเกียงทท่ี ้งั น้ํามันและไสหมดไปดวยกัน ๔. มเี หตหุ รือกรรมอยา งอน่ื มาตัดรอน (อปุ จเฉทมรณะ) ทําใหช วี ิตส้นิ ไปกะทนั หัน ทัง้ ทนี่ า จะอยูตอไปได ในกรณี น้ี ทง้ั อายุและกรรมยังไมหมด แตเ กิดเหตุทําใหเสียชีวติ กะทันหัน เชนการตายดว ยอบุ ตั ิเหตุ หรอื โรคระบาดเฉยี บพลนั รายแรง ทานเปรยี บการตายในกรณเี ชนน้ีเหมอื นกบั ตะเกยี งท่ีทั้งน้ํามนั และไสย ังคงมีอยู แตไ ฟดับไปเพราะเหตุอ่นื เชน มี ลมพัดมาแรง (เหตุภายนอก) จนทําใหเ ปลวไฟดับไป เปน ตน ไมวาความตายจะเกดิ ข้ึนในกรณีใด สง่ิ ที่เหมือนกนั กค็ อื ในทุกกรณีลวนมเี หตปุ จจยั ที่สามารถอธบิ ายได และ ความตายในทกุ กรณีเปนเร่ืองความเปล่ียนแปลง ความตายกบั เรอ่ื งของชาตหิ นา เร่อื งความตายกับชาตหิ นา เปนประเด็นทอ่ี ยูในความสนใจของคนจาํ นวนมาก และเปนขอ กังวลทคี่ นทัว่ ไปตดิ ใจ อยางไรก็ตาม แมว า พุทธศาสนาจะไมไดป ฏเิ สธเรอ่ื งของชาตหิ นา และเร่อื งการตายแลวเกิด แตก ไ็ มไดใ หความสําคญั แก เร่ืองนีม้ ากเหมือนกบั เรอ่ื งทเี่ กี่ยวโดยตรงกบั ชวี ิตในโลกน้ี ในหนงั สือ พทุ ธธรรม (ฉบับปรับปรงุ และขยายความ, ๒๕๒๙: 5 เชน ในปจจุบันคนไทยมีอายุขัยโดยเฉลี่ย ๗๐ ป (๖๘ สาํ หรับเพศชาย และ ๗๔ ปส ําหรบั เพศหญิง)
8 ๑๙๙) อนั เปนงานคน ควาหลักคําสอนในพระพุทธศาสนาทล่ี ุมลกึ ที่สดุ เทาที่มีอยูในประเทศไทยปจจุบัน พระราชวรมุนี (ปจ จบุ ันคือ พระพรหมคุณาภรณ) ผูรจนา กลา วไวว า : “บาลีชัน้ เดมิ (หมายถึงพระไตรปฎ ก – ผขู ียน) คอื พระสตู รทง้ั หลาย กลา วบรรยายเรือ่ งชาติกอน ชาตหิ นา นรก สวรรค ไวนอยนัก โดยมากทานเพยี งเอยถงึ หรือกลา วถึงเทา น้ัน แสดงถงึ อตั ราสวนของการใหความสนใจแกเ รื่องนว้ี า มี เพยี งเลก็ นอ ย ในเมอื่ เทียบกับคําสอนเกย่ี วกับการดาํ เนนิ ชีวติ ในโลก หรอื ขอ ปฏิบตั ิจาํ พวก ศีล สมาธิ ปญญา” หลกั ฐานในคัมภรี พ ทุ ธศาสนา ไมไดป ฏิเสธเร่ืองตายแลว เกดิ หรือเร่ืองชาติหนา ดงั จะเห็นไดจากคาํ สอนเร่ือง ปฏจิ จสมุปบาท ทสี่ ามารถสรุปเพือ่ ตอบคาํ ถามนไ้ี ดวา ถา ตราบใด ทย่ี งั มีเหตุปจ จัยอยู แมตายแลว ก็ยงั เกิดใหมไดอ กี เหตุปจ จยั ของการเกิดใหมนัน้ สวนหนึ่งเก่ยี วกับเร่อื งกรรมและผลของกรรมในรูปแบบตางๆ (รายละเอียดเรื่องน้อี ยู นอกเหนอื วัตถุประสงคข องบทความน้ี จึงขอเวน ไมกลา วถึงในท่ีนี้) ประเด็นท่ีตองการเนน ในทน่ี ้คี ือ ในทัศนะของพุทธศาสนา การใหความสนใจในเร่อื งของชาตหิ นา มปี ระโยชน นอย เพราะถึงคมั ภีรจะกลาวไวอ ยางไร เรื่องนกี้ ็ไมสามารถพิสจู นไดดวยประสบการณตรงของใคร เน่ืองจากคนทมี่ ี ประสบการณด วยการตายจริงๆ เขาก็ตายไปแลว ไมส ามารถกลับมาบอกเลา ประสบการณของเขาใหค นทย่ี งั มชี ีวติ อยรู ูไ ด วาตายไปแลว เกิดใหมหรอื ไม สิ่งทีค่ นที่ยังมชี วี ิตอยูทาํ ไดด ีท่ีสดุ กแ็ คเ ชือ่ หรือไมเชอื่ ตามทกี่ ลา วไวในคัมภีร หรือตามท่คี น อืน่ ชแี้ จงไวเ ทาน้นั แตการเชอื่ หรือไมเ ชอ่ื กเ็ ปนคนละเรือ่ งกบั ความจริง เพราะวาความเชอื่ นน้ั ถึงอยา งไรก็เปน เพยี งความ เชื่อเทา นน้ั ไมใชส ิ่งทจ่ี ะถอื วา เปน ความจรงิ ถาความจริงปรากฏวาตายแลว เกิด ถึงใครจะเชอื่ หรอื ไมเ ช่ือ ความจริงอนั นก้ี ็ ยังเปน ความจรงิ อยนู ่นั เอง สรุปวา การตายแลว เกดิ นนั้ ถึงแมจ ะเปน ไปได ก็ไมใชส่ิงท่เี ราจะสามารถพสิ จู นในเชิงประจักษไ ดในชวี ติ นี้ (นอกจากจะทดลองตายดเู อง แตนนั่ กย็ ิ่งเปนสิ่งทีเ่ ปนไปไมได ถึงเปน ไปไดพ ทุ ธศาสนาหรือศาสนาไหนๆ กไ็ มเคยสอนให ทํา) ตา งจากการทําความดีหรอื ความชวั่ ในชาตินี้ ซึ่งเราสามารถทดลองและประจักษผลไดแ มใ นชาตปิ จจบุ ัน ดงั นน้ั การ หมกมนุ ครุนคดิ และมงุ พิสูจนวาตายแลวเกดิ หรือไม จึงเปนส่ิงท่เี ปลา ประโยชนใ นทศั นะของพทุ ธศาสนา เพยี งคดิ จะทําก็ ผดิ แลว เน่ืองจากการตายแลวเกิด ไมใ ชส่ิงท่ีจะพิสจู นไดดวยการคิด หรือการหาเหตุผลเชิงตรรกะ หากไปมวั เสยี เวลาคดิ เพ่อื พสิ จู นเ รือ่ งตายแลวเกดิ หรือไม กจ็ ะไมต า งอะไรกบั การมงุ ใชตารอยตาเพื่อพิสจู นกลิน่ หรือใชหรู อ ยหเู พ่ือพสิ ูจนร ส จะ ทาํ สักกี่ครงั้ ก็เปลาประโยชน (พระราชวรมนุ ี, ๒๕๒๙) อยางไรก็ตาม การเชื่อในเรือ่ งชาตหิ นา หรือเรอ่ื งตายแลวเกดิ นั้น ในตัวของมันเองกไ็ มใ ชสง่ิ ท่เี สยี หาย ตราบเทาที่ ความเช่อื น้นั มีผลทาํ ใหเ กิดทา ทีและพฤติกรรมที่ถกู ตอง ถา เชื่อวา ตอ งทาํ ดใี นชวี ิตนเ้ี พื่ออานิสงสแ หง กรรมจะไดส งผลให เปนความดี ท้งั แกตนและคนอืน่ ทงั้ ในชวี ติ นีแ้ ละชีวิตในชาติหนา กย็ งั พอนับไดว าถกู ตอง แตถ าหมกมนุ แตใ นเร่ืองของชาติ หนา ถึงขนาดที่วา ทาํ ดีอะไรขึน้ มากม็ งุ ผลท่ีจะไดใ นชาติหนาอยางเดียวน้นั พุทธศาสนาไมส นับสนุน เพราะนน่ั เทา กบั เปน การมุง หากําไร หรอื ทําดเี พอ่ื หวังคา กาํ ไร การทําความดแี บบหวังคากาํ ไรนั้น ไมวาจะเพือ่ ชวี ติ ในชาติน้หี รือในชาติหนา ก็ไม ถูกท้ังนั้น โดยสรปุ จะเช่ือวาตายแลวเกดิ หรอื ตายแลวไมเกิด กไ็ มสําคัญ ที่สาํ คัญกวา กค็ ือ อยาใหความเชื่อเชนน้ัน มาเปน อุปสรรคตอ การทําชาติปจจุบันใหด ีทส่ี ดุ ในเรือ่ งนี้ ทา นพทุ ธทาสภิกขุ กลา วไวอยางแหลมคมและตรงประเด็นวา : “...ชาวพทุ ธเรา เขามัวถามวา ตายแลวเกดิ ใหมหรอื ไม อะไรไปเกดิ ไปเกิดอยา งไร ชว ยบอกที นนั่ คือเปนเรือ่ งทีไ่ มตอ งรู เรือ่ งคนโง เร่ืองบา มันไมตอ งรู รูแ ตวา ทีน่ ่จี ะตอ งทาํ อยางไรตางหากเลา จะตองรูวาท่นี ีเ่ ดี๋ยวนจี้ ะตองทาํ อยางไร แลวทําใหถกู เถอะกพ็ อแลว แลว มนั จะเกิดผลดี มนั จะไมเกดิ ก็เปน ผลดี มันจะเกิดดวยอะไรกย็ งั เปน ผลดอี ยู เพราะวา เราทําถูกตอ งทนี่ แ่ี ละเดย๋ี วนแ้ี ลว ....ก็
9 เปน อันวาทาํ ใหถ ูกตองท่ีน่แี ละเดย๋ี วนม้ี นั ก็เพียงพอ มันจะเกิดหรือไมเ กดิ ก็ตามใจมันเถอะ มันมีแต ผลดีท้งั น้ัน” (จากคาํ บรรยายเร่ือง การบําเพ็ญบารมที ถ่ี ูกแนวทาง ของ พุทธทาสภิกขุ อา งใน พระดษุ ฎี เมธังกุโร, ๒๕๔๔: ๗) ตายกอนตาย หวั ขอ นี้ก็บอกชัดอยแู ลว วา นไ่ี มใ ชการตายเพราะสนิ้ ชีวิตหรือเพราะหมดลมหายใจ แตเปนกลวธิ ีท่จี ะดาํ เนินชีวิต อยา งไมตองใหค วามตายมาเปนปญหารบกวน ไมตอ งหวาดกลัวความตาย และเปน การทําใหช ีวิตท่ยี งั ไมต ายนั้น เปน ชวี ติ ทม่ี คี ุณคา สามารถเขา ถงึ แกนของการมีชีวติ อยางแทจ รงิ ทานพทุ ธทาสภกิ ขุ ใชค ํานใ้ี นการสอนธรรมของทา น แตท านได เรมิ่ ใชม าต้งั แตเม่ือไรนนั้ ไมป รากฏหลักฐานชัดเจน การตายกอนตาย มีความหมาย ๒ อยา ง คือ หมายถงึ การตายจากความดีหรอื ความช่วั อยางหน่งึ และอีกอยาง หนึ่งคอื การพิจารณาเหน็ ความตายวาเปน สิ่งธรรมดาของชีวิต และตวั เราหรือใครๆ ก็ตามไมส ามารถจะไดร บั การยกเวน จากความตายไปได การพิจารณาเชนนเี้ ปนการเจริญ มรณสติ ผูท ่ีเจริณมรณสติถงึ ที่สกุ แลว จะเปน ผูทไี่ มว ิตกกังวลหรือ หวาดกลวั ตอความตาย ในทางจิตใจสามารถอยูเหนือความตาย หรอื เปรียบเสมอื นวา ไดต ายในทางจติ วิญญาณไปกอ น แลว กอ นที่ความตายจรงิ ๆ ของชีวติ จะมาถงึ ในระดบั จริยธรรมพน้ื ๆ การตายจากความดี คือ ไมม ีความดอี ะไรเหลอื อยเู ลย เปน การตายท้งั เปน รูปแบบหนง่ึ เปน ส่งิ ท่ไี มดี สว นการตายจากความชั่ว หมายถึง การละกรรมช่ัวได ชีวิตก็มีคา ย่งิ ละไดมากชีวิตก็ยิง่ มีคา มาก แมตายไป แลว กเ็ สมอื นวายงั ไมตาย ในระดบั ทส่ี ูงข้นึ ไปเหนือจริยธรรม การตายกอ นตาย หมายถึง การละกเิ ลสสว นท่ีเปนความยึดมนั่ ถอื มั่น จน เขาถงึ ภาวะที่ “ไมม ตี ัวตน” คือ วา ง (สญุ ญตา) ในความหมายทท่ี า นพุทธทาสภกิ ขุย้ําเสมอ ในขนั้ น้ี บคุ คลไดยกระดับจิต สูงขนึ้ จนขา มพนความยึดมั่นดวยอาํ นาจแหงกิเลสคอื โลภะ โทสะ และโมหะ และตัณหาท้ังปวง มองเหน็ และเขา ใจชวี ิต อยางทีม่ ันเปน ไมเ อาความรูส ึกอยาก หรอื ความยึดม่นั ใดๆ เขา ไปจับ ทา นพทุ ธทาสภกิ ขสุ อนวา การทจ่ี ะเขาถงึ ความตายกอนตาย ได ตอ งศกึ ษาและปฏบิ ตั ิตามหลัก อิทัปปจ จยตา (คอื ปฏจิ จสมปุ บาท) จนรูแจง ในความจรงิ ทวี่ า สง่ิ ทง้ั หลายตางองิ อาศยั กัน เกิดข้ึน ดํารงอยู และดบั ไป เพราะสิ่งนีม้ ี สิ่งน้ี จึงมไี ด ไมมอี ะไรที่เปนได มไี ด ดว ยตัวมนั เอง จึงไมควรยึดวาเปน ตวั ตน เพราะในสภาวะทเ่ี ปนจริงนัน้ ไมม ีสิ่งทเี่ รยี กวา ตวั ตน ส่งิ ทั้งหลายลว นวา งจากการมีตวั ตน ไมมี “ตัวกู” “ของก”ู ผทู ี่พจิ ารณาเหน็ และเขา ถงึ สภาวะเชน นี้ จะเปน ผทู ่ไี ม หวน่ั ไหวในความตาย มองความตายวา เปน เพียงการเปลย่ี นแปลง มองสรรพสิง่ วามันเปน เชน นัน้ ชวี ิตและความตายกเ็ ปน เชน น้ัน (ตถตา) สรุป เราจะเขาใจชีวิตและความตายในทัศนะของพุทธศาสนาไดชัดข้ึน ถา เริ่มตนจากเรอ่ื งของ อิทปั ปจจยตา (ปฏิจจสมปุ บาท) และ ไตรลกั ษณ อทิ ัปปจจยตา คือ กฎแหงการเกดิ และการดับของส่ิงท้ังหลายที่ขน้ึ อยกู ับเหตปุ จจยั เพราะมีเหตปุ จจัยใหเ กิด ชวี ิตจงึ มไี ด เพราะเหตุปจ จัยดบั ไป ชีวิตจึงดับ (ตาย) เหตปุ จ จยั ที่ใกลช ิดของชีวติ ก็คือ เรื่องของ ขนั ธ ๕ ซ่ึงกลาวโดยสรปุ ไดแ กเ รอื่ งของสง่ิ ที่เปนรปู ธรรม และส่ิงทเี่ ปนนามธรรม หรือท่ีเราเขา ใจกันงายๆ วา กายกบั จิต สวนประกอบเหลาน้เี อง แตล ะอยา งกม็ ีเหตปุ จจัยอนั เปนทมี่ าของมนั อีกทีหนึง่ ชวี ติ เปน กระบวนการทีส่ วนตางๆ มา
10 สัมพนั ธแ บบอิงอาศัยกนั ถาสวนหน่ึงหรอื หลายสว นที่มาประกอบกันเขา นนั้ หายไป สง่ิ ที่องิ อาศยั สว นเหลานน้ั เปนอยู ก็ หายไปดว ย (ในภาษาทางพุทธศาสนาคือ “ดับไป”) ชีวิตและความตายก็เปนเชน นัน้ กฎแหง ความสัมพนั ธแบบอิงอาศยั กันของกระบวนการชวี ติ นี้ มีคุณสมบตั ทิ ี่อาจถือวา เปนสัจธรรมอยู 3 ประการ เรียกวา ไตรลักษณ หรอื สามัญลกั ษณะ คือในเม่ือการมชี วี ิตอาศยั เหตุปจ จัยหลายอยาง ซง่ึ แตล ะอยางก็มีเหตปุ จ จัยมา จากสิง่ อื่นอีกทหี น่ึง ชวี ติ จงึ มธี รรมชาติไมเ ท่ยี งแท (อนิจจัง) คาํ วา “ไมเ ทยี่ ง” ในความหมายของพทุ ธศาสนา นอกจากจะ บงนัยวามีการเปลีย่ นแปลงอยูตลอดเวลาแลว ยงั หมายถึงการไมสามารถกําหนดหรอื บงั คับใหเ ปนไปตามอาํ นาจของผู เปนเจาของชีวติ นัน้ ดว ย (อนัตตา) และความเปล่ยี นแปลงก็ดี การไมสามารถบงั คับหรือควบคุมใหเ ปนไปไดต ามใจของผู เปน เจา ของกด็ ี (เชน ไมอ ยากใหแ ก มนั กแ็ ก, ไมอ ยากสญู เสีย มนั กส็ ูญเสยี , ไมอยากตาย มนั กต็ าย ฯลฯ) แมจะเปน กฎ ธรรมชาติ แตกเ็ ปน สงิ่ ทรี่ ับไดยาก ทนไดย าก บบี คัน้ ฯลฯ น่ันคอื เปน ทุกข (ทุกขัง) กฎสากลอนั นพี้ ระพุทธเจาทรงคนพบและ เปด เผยแกชาวโลก (พระพุทธเจาไมไ ดท รงสรางกฎนี้ แตทรงเปน ผูคน พบเทา นน้ั ) เราเรยี นรอู ะไรไดบ างจากส่งิ ท่ีกลา วมาขางตน? ประการแรก ไมวา เราจะชอบหรอื ไมชอบกต็ าม ธรรมชาตแิ ละกฎธรรมชาตขิ องชวี ิตท่ีกลา วมาน้ี กไ็ มม ที าง เปลย่ี นแปลงเปนอยางอืน่ ไปได เชน ไมมีใครที่เกดิ มาแลวไมแ กและไมตาย เปน ตน ดงั น้ัน ทางที่จะไมใหเปนทุกขก ับเรื่อง ของความตายมากเกนิ ไปก็คอื ตอ ง “ทําใจ” น่เี ปน การกลาวแบบทั่วไป ในทางพทุ ธศาสนาการ “ทําใจ” มีความหมายท่ี ลกึ ซงึ้ เรม่ิ ต้ังแตก ารทาํ ความเขา ใจและความเห็นในเรื่องธรรมชาตขิ องชวี ติ ใหถกู ตอง วา จริงๆ แลว มนั เปนอยางไร (สัมมาทิฏฐ)ิ ไปจนถงึ การละตณั หา (ความทะยานอยากทัง้ หลายท้งั ปวง) และอปุ าทาน (การยึดติดในตวั ตนและในสิ่งทนี่ า ใครน าปรารถนาทั้งหลาย) ทําไดเชนน้ี ชีวิตจะเปนทุกขนอยลง “ทาํ ใจ” ไดม ากเทาไร กท็ ุกขน อ ยเทานน้ั และมโี อกาสทจี่ ะ ถึงจุดทท่ี านพทุ ธทาสภกิ ขเุ รียกวา เปน“ตายกอนตาย” ไดดวย คือ ตายจากความยดึ ม่ันถอื มน่ั ใน ตัวกู ของกู แลว ตั้งแตย ัง ไมห มดลมหายใจ ในสภาพจิตเชน น้นั แมความตายจริงๆ จะเกดิ ขน้ึ กไ็ มไดมีความหมายอะไรมากไปกวามกี าร เปล่ยี นแปลงอยางหนึ่งเกิดขึน้ นั่นคือ มองความตายวา “มนั เปน เชน นั้น” (ตถตา) เทานั้น ประการทสี่ อง อิทปั ปจ จยตา และ ไตรลักษณ ซงึ่ เปนกฎสากลแหงชีวติ และธรรมชาตนิ ้ัน สามารถนาํ มาใชเพอื่ ปรับปรุงชวี ิตนใี้ หดยี ่ิงๆ ขน้ึ ไดในทกุ ทาง แมใ นเร่ืองทเี่ ก่ียวกบั คุณภาพของชีวิตและความมีอายยุ ืน (ยดื เวลาของชีวิตใหย าว ออกไป) อนั เปน เรอ่ื งที่นกั ประชากรศาสตรแ ละนักวทิ ยาศาสตรสุขภาพท่ัวไปใหความสนใจ กเ็ ปนไปได อิทัปปจ จยตา น้ันคือ กฎแหงการองิ อาศยั กันของเหตุปจจยั ตางๆ ทาํ นองวา เพราะสงิ่ นีม้ ี สิ่งนจี้ งึ มี ฯลฯ นกั วทิ ยาศาสตรสขุ ภาพ และนกั พฒั นาสงั คม เปน ตน อาจจะหยิบเอาขอนม้ี าเปน หลักในการทํางานเพอ่ื บรรลุจุดหมายวา จะตองสรา งเหตุปจจัยอะไร จึงจะนาํ ไปสูการมชี ีวติ ทมี่ คี ณุ ภาพ และความมีชีวติ ยนื ยาวของประชาชนท่ัวไปได (ตอ งทําสง่ิ น้ใี หม ี สง่ิ น้ีจึงจะมไี ด) สว นหลักแหง ไตรลักษณ ทีว่ าดวยความเปล่ียนแปลงนัน้ เราตองทาํ ความเขา ใจใหถูกตอง ประเด็นสาํ คัญอยทู ว่ี า การเปลี่ยนแปลงเปน ไปไดสองทางเสมอ คอื อาจจะเปลีย่ นไปในทางทด่ี ขี ้นึ หรือเสื่อมลงกไ็ ด ดังนน้ั ถา จะใชห ลักนใี้ หเปน ประโยชน ก็ตองมงุ สรา งเหตุปจจัยท่ีจะกอ ใหเกิดการเปลีย่ นแปลงไปในทางท่ีดขี ึ้น พูดแบบ อิทัปปจ จยตา ก็คือ ตอ งทําส่ิง น้ี (เหตุปจ จยั อันจะนาํ ไปสูความเจริญ) แลว สง่ิ นี้ (ความเจริญ) จงึ จะมี โดยนยั น้ี กฎแหง ไตรลักษณ จงึ ไมใ ชส่ิงท่จี ะทาํ ให เรางอมืองอเทา หรือรอใหความเปลย่ี นแปลงเปนฝา ยกระทาํ ตอเราแตฝายเดียว น่ันคือ ไมย อมจาํ นนตอ ความเปล่ียนแปลง ความจรงิ การทีส่ ิ่งทง้ั หลายมีการเปลย่ี นแปลงนน้ั กเ็ ปนส่ิงท่ีดี เพราะเปน การเปดโอกาสใหเ ราสามารถพลกิ ส่ิงท่ไี มด ใี ห กลบั ดไี ด ประเด็นหลกั อยทู ่ีตอ งสรา งปจ จัยและเงอื่ นไขทจี่ ะนาํ ไปสูสิ่งท่ีดีใหได
11 ประการทส่ี าม การมองใหท ะลวุ า ชีวิตมีการเปล่ยี นแปลง คอื มกี ารเกิดขึ้น ดํารงอยแู ละดับไปเปนธรรมดานั้น จะทาํ ใหเราตัง้ อยูใ นความไมประมาท ดวยความเขา ใจทีถ่ กู ตองในเร่อื งนี้ เราจะไดเ ตอื นตนใหเรง ทาํ ส่ิงทดี่ ที ่ีควรทาํ ไม ผดั ผอ นหรืออา งเหตุวายงั มเี วลาในชวี ิตอกี มาก ความตายยงั อยูอีกไกล ฯลฯ แลวไมลงมือทาํ กิจทค่ี วรทํา กลาวอีกนัยหนึ่งก็ คอื การมีทา ทีท่ีถกู ตองในเรอ่ื งชีวิตและความตายโดยนยั ท่กี ลาวมาน้ี จะชว ยใหเ ราพลิกวิกฤตเปนโอกาสได เร่ืองของชวี ติ และความตายในทัศนะของพทุ ธศาสนา มีสาระโดยสังเขปดังไดว ิสัชนามาฉะนแ้ี ล เอกสารอา งองิ พระดษุ ฎี เมธังกุโร. ๒๕๔๔. “ปาฐกถาเรอื่ ง ความตายในทศั นะของพุทธทาสภิกขุ,” ใน ความตายในทศั นะ ของพุทธทาสภิกขุ. เครือขา ยชาวพุทธเพอื่ พระพุทธศาสนาและสงั คมไทย (รวบรวม). กรุงเทพฯ: เคลด็ ไทย. พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยุตโต). ๒๕๔๔. พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ), (พมิ พค รัง้ ท่ี ๑๐). กรงุ เทพฯ: ธรรมสภา. พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยุตโต). ๒๕๔๖. พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลศัพท, (พิมพครั้งท่ี ๑๑). กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระมหาบุญมี มาลาวชิโร. ๒๕๔๗. พระพทุ ธศาสนากับความตาย. กรงุ เทพฯ: ดอกหญา วิชาการ จํากัด. พระราชวรมนุ ี (ประยทุ ธ ปยุตโต). ๒๕๒๙. พุทธธรรม ฉบบั ปรับปรงุ และขยายความ, (พิมพค รั้งท่ี ๓). กรงุ เทพฯ: มหาจฬุ า ลงกรณราชวทิ ยาลัย ในพระบรมราชูปถมั ภ.
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: