หลกั สตู รและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๔๖ เอกสารอ้างองิ ประจำบท การเรียนอยา่ งมีประสิทธภิ าพ.[ออนไลน์] http://www.moe.go.th/moe/th/blog/view- blog.php?memberid=158&blogid=148สืบคน้ เม่ือ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗. ทฤษฎกี ารเรียนรู้. [ออนไลน์] 6http://l-theory-g6.blogspot.com/.สบื ค้นเมอ่ื ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗. ทฤษฎพี ฒั นาการทางสติปญั ญาของเพียเจต์.[ออนไลน์] http://405404027.blogspot.com/2012/10/blog- post_5215.html. สบื คน้ เมอ่ื ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗. รงุ่ แกว้ แดง. ปฏิวตั กิ ารศกึ ษาไทย. กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพ์มติชน. ๒๕๔๓. รปู แบบการเรยี นทเ่ี นน้ ผ้เู รียนเป็นสำคัญ.[ออนไลน์] it.east.spu.ac.th/informatics/depart_new/Open_knowledge.php?id=321. สบื คน้ เม่ือ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗. สำนักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา. กระทรวงศึกษาธิการ.การจัดการเรียนรแู้ บบพฒั นากระบวนการคดิ ด้วยการใช้คำถาม หมวกความคดิ ๖ ใบ, กรุงเทพฯ : สกศ.,๒๕๕๐. ทฤษฎกี ารเรียนรู้อย่างมีความหมายของออซูเบล. [ออนไลน์] http://405404027.blogspot.com/2012/10/ausubel-david-1963.html/. สบื คน้ เม่ือ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗. ส่อื การเรียนรู้.[ออนไลน์] library.uru.ac.th/webdb/images/thing.pdf. สบื คน้ เมื่อ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗. แนวทางการจัดการเรียนรสู้ ูป่ ระชาคมอาเซียน. [ออนไลน์] School.esanpt.go.th/nites/asean/re_asean/ASEAN%๒๐section๔.pdf. สบื ค้นเม่ือ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗. Ausubel, David P. “Emotional Development.” Encyclopedia of Educational Research. 3rd ed. Edited by Chester W.Harris (1960) : 445 – 494 Bloom, Benjamin. 1956. Taxonomy of Educational Objectives Handbook I : Cognitive Domain.New York : David McKay Company, Inc. Bruner Lerome S. 1969. The Process of Education. Massachusette Haward University Process Cambridge. Dewey, J. (1922). Human nature and conduct. New York: Henry Holt & Co. Piaget, 1958. อา้ งใน .สรุ างค์ โควต้ ระกูล. (2553). จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั .
หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๔๗ บทท่ี ๔ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ วัตถปุ ระสงคป์ ระจำบท เมอ่ื ไดศ้ กึ ษาเน้ือหาในบทน้ีแล้ว ผูศ้ กึ ษาสามารถ ๑.บอกความหมายและจุดมงุ่ หมายของการจัดการผลการศึกษาได้ ๒.อธิบายหลกั และแบบประเมนิ ผลของการจัดการผลการศึกษาได้ ๓.อธบิ ายการสร้างแบบทดสอบและประโยชน์ของการวัดได้ ขอบข่ายเนอ้ื หา • ความหมายและจดุ มุง่ หมายของการจดั การผลการศึกษา • หลกั และแบบประเมนิ ผลของการจัดการผลการศกึ ษา • การสรา้ งแบบทดสอบและประโยชน์ของการวดั
หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๔๘ ๔.๑ ความนำ หลักสูตรไดร้ ะบสุ ิ่งที่คาดหวังจะให้เกิดขึน้ กับผ้เู รยี น กำหนดคุณลกั ษณะที่ต้องการของผู้เรยี น รวมท้งั แนวทางในการดำเนินใหบ้ รรลุเปา้ หมาย ในการนำหลกั สูตรไปใช้ ผู้ใชห้ ลักสตู ร จงึ ตอ้ งวเิ คราะห์จดุ หมายของ หลักสตู รใหเ้ ป็นจดุ ประสงค์การเรียนการสอนทชี่ ัดเจนเพ่อื จะไดจ้ ัด กจิ กรรมหรอื กระบวนการเรยี นการสอนให้ ผู้เรยี นเกดิ ประสบการณ์การเรยี นรตู้ ามทจ่ี ดุ ประสงค์ การเรยี นการสอนกำหนด และการทผ่ี ู้ใช้หลักสตู รจะ ตรวจสอบหรอื ทราบว่าผลเกดิ จากการเรียนการสอนเปน็ อย่างไร มีสิง่ ใดบา้ งต้องปรับปรุงแกไ้ ข และผู้เรียนได้ บรรลหุ รือพัฒนาความกา้ วหน้าตรงตามจดุ ประสงค์การเรียนการสอนท่ีต้ังไว้หรอื ไม่เพยี งใดนั้น กต็ อ้ งมกี ารวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ของผเู้ รยี น การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นจงึ เปน็ ส่ิงทจี่ ำเปน็ และขาดเสยี มิได้ ๔.๒ ความหมาย ในยคุ แรกของการใช้การประเมนิ ผล คือ ตั้งแต่ ค.ศ.๑๙๕๐ การประเมินผลจะเป็นการทดสอบไอคิว เปน็ หลัก ผลจากการวัดจะบอกความสามารถไดว้ า่ ความฉลาดอย่ใู นระดบั ใด ดงั น้ี ความหมายด้ังเดิมของการ ประเมินผลคือการวัดผล (Measurement) นัน่ เอง ซ่ึงในปัจจบุ นั ไมค่ ่อยมผี ู้ใดใชค้ ำนยิ ามนีแ้ ล้ว อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยงั มีนกั การศึกษาหลายท่านที่ มกั เขา้ ใจสบั สนเกย่ี วกับความหมายของคำว่าการวัดและการ ประเมินผลอยเู่ สมอ ๆ ความหมายของการวัดไดม้ ีผใู้ หค้ ำนิยามต่าง ๆ ดงั นี้ เคอรล์ นิ เจอร์ (Kerlinger)๓๒ ไดก้ ลา่ วไว้วา่ การวดั ผลการศึกษาคือการกำหนดวดั ตวั เลขแก่ส่ิงของ หรอื เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ตามกฎเกณฑ์ กลิ เฟริ ์ด (Guildford)๓๓ ให้ความหมายไว้อย่างกวา้ ง ๆ วา่ เปน็ การพจิ ารณาหรือตีคา่ ข้อมูลในรปู ของ ตวั เลข อีเบลและฟริสบาย (Ebel and Frisbie)๓๔ ให้ความหมายว่า การวัดเป็นกระบวนการกำหนด ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ท่ีมีความหมายแทนคุณลักษณะของส่ิงท่ีวัดโดยอาศัยกฎเกณฑ์อย่างใดอย่างหน่ึง (อ้าง จากบุญธรรม กจิ ปรดี าบรสิ ุทธ์ิ) ไพศาล หวงั พานชิ ๓๕ ไดก้ ลา่ ววา่ การวดั ผลการศกึ ษาคอื กระบวนการในการกำหนดหรือหาจำนวน ปริมาณ อันดับ หรือรายละเอียดของคุณลักษณะหรือพฤติกรรมความสามารถของบุคคลโดยใช้เคร่ืองมือเป็น หลกั ในการวดั และโดยทว่ั ไป การวดั ผลจะมอี ยู่ ๒ อย่างคือ การวดั ผล ทางกายภาพศาสตร์ (Physical Science) ซ่ึงเป็นการวัดเพ่ือหาจำนวนปริมาณของสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม เช่นน้ำหนัก มักมีเคร่ืองมือที่ ให้ผลเช่ือถือได้และมีหน่วยการวัดแน่นอน และการวัด ผลทางสังคมศาสตร์ (Social Science) ซึ่งเป็น การวัดเพ่ือหาจำนวนหรือคุณภาพของส่ิงท่ีเป็นนามธรรม ไม่มตี ัวตนแน่นอน เช่น ความรู้ และเครื่องมือท่ใี ช้ ในการวัดผลประเภทน้มี ักให้ผล เชอื่ ถือไดต้ ำ่ เนื่องจากไม่มีหน่วยการวัดท่ีแนน่ อนและสิ่งทว่ี ัดจะเปลี่ยนแปลง ได้ง่าย ผลการวดั อาจเกดิ ความผิดพลาด (errors) ได้มากกวา่ การวัดผลทางกายภาพศาสตร์ อทุ มุ พร ทองอุไทย๓๖ ให้ความหมายของการวัดวา่ เป็นกระบวนการท่นี ำตวั เลขหรือสัญลักษณ์มาเกยี่ ว ขอ้ งกับลกั ษณะหรือคุณสมบัติของวัตถุ คน หรือส่ิงของที่จะวัด การวัดจึงต้องมีลักษณะดังน้ี (๑) ต้องมีกลุ่ม ๓๒ Kerlinger, Fred N. and Pedhazur, Elazer J. 1973. Multiple Regression in Behavioral Research.New York : Holt, Rinchart and Winston ๓๓ Guilford, J.p. (1967). The nature of human intelligence. N.Y.; McGraw-Hill Book Company. ๓๔ Ebel and Frisbie. (1986). Essentials of Educational Measurement.4th ed. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall. ๓๕ ไพศาล หวงั พานชิ . การวัดเผลการศกึ ษา.กรุงเทพฯ : สำนกั พมิ พไ์ ทยวฒั นาพานชิ .๒๕๒๖. ๓๖ อุทมุ พร (ทองอไุ ทย) จามรมาน. การสร้างและพฒั นาเครอื่ งมอื วดั ลักษณะผเู้ รยี น. กรุงเทพฯ : ฟนั นพ่ี ลบั ลซิ ซ่ิง, ๒๕๓๒.
หลักสตู รและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๔๙ ของวตั ถุ คนหรอื สงิ่ ของ (๒) มีคุณสมบัติของลักษณะทจ่ี ะวัด (๓) มีการกระทำเป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์กับ ลักษณะของวัตถุ คน หรือส่ิงของน้ัน และ (๔) ต้องพิจารณาถึงธรรมชาติ ตลอดจนนำตังเลขหรือ สัญลักษณเ์ หล่านนั้ ไปใช้ “การประเมนิ ผล” (Evaluation) ได้มีผู้ให้คำนิยามหรือความหมายตา่ ง ๆ กนั ดงั นี้ เวิอรท์ ธิงและเซนเดอรส์ (Worthing and Sanders)๓๗ ไดน้ ยิ ามวา่ การประเมินผลคอื การช้ีบง่ ถึง คุณค่าหรือประสิทธิภาพของสิ่งใดสง่ิ หนงึ่ การประเมนิ ผลจะตอ้ งรวบรวมข้อมลู เพอื่ ใช้ในการตัดสนิ ใจคุณคา่ หรือประสิทธ์ภาพของแผนงาน/โครงการ (Program) ผลผลติ หรอื ผลงานทเี่ กดิ ข้นึ (product) วิธีดำเนนิ การ (procedure) วัตถุประสงค์ (objective) หรือประโยชน์ของทางเลอื ก ตา่ ง ๆ (utility of alternative approaches) เพ่ือใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายที่กำหนด ทัคแมน (Tuckman) ได้ใหค้ วามหมายของการประเมินผลวา่ เป็นวถิ ีทาง (means) ในการ พจิ ารณาตัดสินว่า แผนงาน/โครงการ (program) ได้บรรลุเป้าหมายหรือไม่ สตัฟเฟลิ บมี (Stufflebeam) กลา่ วถงึ นยิ ามของการประเมินผลวา่ คอื กระบวนการใน การเกบ็ รวบรวมและหาข้อมูลท่ีมีประโยชน์ เพอ่ื ใชใ้ นการตดั สนิ หาทางเลือกตา่ ง ๆ ทีเ่ หมาะสม สมหวงั พิธิยานุวฒั น์ ใหค้ วามหมายว่า การประเมนิ ผลหมายถงึ กระบวนการตดั สนิ คุณค่าของส่ิงของ หรือการกระทำใด ๆ โดยเปรียบเทียบกบั เกณฑม์ าตรฐาน จากความหมายและคำนิยามต่าง ๆ ข้างตน้ น้ี พอสรปุ ไดว้ ่า “การวัด” คือกระบวนการกำหนดค่า/ตี ค่าคณุ สมบัติของส่งิ ใดสงิ่ หนึง่ หรอื ของบุคคลเปน็ ตวั เลข โดยใชเ้ ครือ่ งมือเปน็ หลักในการวัดสว่ น “การ ประเมนิ ผล” คือกระบวนการพจิ ารณาตัดสนิ คณุ ค่าของวัตถุ คน สิ่งของ หรอื การดำเนินงาน/กิจกรรมวา่ บรรลุความสำเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงคท์ ่ีกำหนดไวม้ ากน้อยเพียงใด หรอื มดี หี รือเลวเพียงใด โดยอาศัยขอ้ มูลที่ได้ จากการวัดเป็นหลัก ในดา้ นการวดั และประเมนิ ผลทางการศึกษาน้นั บลมู (Bloom) และคณะ ได้แบง่ พฤติกรรมทีจ่ ะวดั ออกเปน็ ๓ ลกั ษณะ ๑.วดั พฤตกิ รรมดา้ นพทุ ธิพิสยั ไดแ้ ก่ การวัดเก่ียวกบั ความรู้ ความคิด (วัดด้านสมอง) ๒.วัดพฤตกิ รรมดา้ นจติ พิสัย ไดแ้ ก่ การวัดเกี่ยวกบั ความรู้สึกนกึ คดิ (วัดด้านจติ ใจ) ๓.วดั พฤติกรรมดา้ นทักษะพิสัย ไดแ้ ก่ การวดั เกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อ และประสาทสัมผสั ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย (วัดด้านการปฏิบัติ) ๔.๓ จุดมงุ่ หมายของการวัดผลการศกึ ษา ๑.วดั ผลเพอื่ และพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน หมายถงึ การวดั ผลเพ่ือดูว่านักเรียนบกพรอ่ งหรือไม่ เข้าใจในเรื่องใดอยา่ งไร แลว้ ครพู ยายามอบรมสง่ั สอนใหน้ ักเรียนเกิดการเรยี นรแู้ ละมีความเจรญิ งอกงามตาม ศกั ยภาพของนักเรยี น ๒.วัดผลเพือ่ วนิ ิจฉยั หมายถงึ การวัดผลเพื่อคน้ หาจดุ บกพร่องของนกั เรยี นท่ีมปี ัญหาว่า ยังไม่เกดิ การ เรยี นรตู้ รงจุดใด เพื่อหาทางชว่ ยเหลือ ๓.วัดผลเพื่อจัดอันดับหรือจัดตำแหน่ง หมายถึง การวัดผลเพอ่ื จดั อนั ดบั ความสามารถของนักเรียนใน กลมุ่ เดียวกันว่าใครเก่งกวา่ ใครควรได้อันท่ี ๑ ๒ ๓ ๔.วัดผลเพื่อเปรียบเทียบหรือเพ่ือทราบพัฒนาการของนักเรียน หมายถงึ การวัดผลเพื่อเปรียบเทยี บ ๓๗ Worthing and Sanders. อ้างใน วรัชยา พว่ งกลับ.การบริหารงานวชิ าการตามหลักอทิ ธิบาท ๔ ของผูบ้ ริหารสถานศกึ ษาในอาเภอไพศาลี จงั หวัดนครสวรรค.์ ๒๕๕๖.หน้า ๑๕.
หลักสตู รและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๕๐ ความสามารถของนักเรียนเอง เชน่ การทดสอบก่อนเรียน และหลังเรยี นแล้วนำผลมาเปรียบเทียบกัน ๕.วัดผลเพื่อพยากรณ์ หมายถึง การวัดเพื่อนำผลทไ่ี ด้ไปคาดคะเนหรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคต ๖.วัดผลเพอ่ื ประเมนิ ผล หมายถงึ การวดั เพ่ือนำผลท่ีได้มาตัดสนิ หรือสรุปคณุ ภาพของการจดั การศกึ ษาว่ามีประสิทธิภาพสูงหรอื ตำ่ ควรปรบั ปรุงแก้ไขอย่างไร ๔.๔ หลกั การวัดผลการศึกษา ๑. ตอ้ งวัดให้ตรงกับจดุ มุ่งหมายของการเรียนการสอน คือ การวดั ผลจะเปน็ สิ่งตรวจสอบผลจากการ สอนของครูว่า นกั เรียนเกิดพฤตกิ รรมตามทร่ี ะบุไว้ในจดุ ม่งุ หมายการสอนมากน้อยเพียงใด ๒. เลือกใช้เครือ่ งมอื วัดท่ีดีและเหมาะสม การวัดผลครตู ้องพยายามเลือกใช้เคร่ืองมอื วดั ทีม่ คี ณุ ภาพ ใช้เคร่อื งมือวดั หลาย ๆ อย่าง เพื่อชว่ ยใหก้ ารวดั ถูกต้องสมบูรณ์ ๓. ระวังความคลาดเคลื่อนหรือความผดิ พลาดของการวัด เมอ่ื จะใชเ้ ครอ่ื งมือชนิดใด ตอ้ งระวงั ความ บกพร่องของเคร่อื งมือหรือวิธกี ารวัดของครู ๔. ประเมนิ ผลการวดั ใหถ้ กู ต้อง เช่น คะแนนทเ่ี กดิ จาการสอนครตู ้องแปลผลใหถ้ ูกต้องสมเหตุสมผล และมคี วามยุตธิ รรม ๕. ใชผ้ ลการวดั ให้คมุ้ ค่า จุดประสงค์สำคญั ของการวัดกค็ ือ เพอื่ ค้นและพฒั นาสมรรถภาพของนักเรียน ต้องพยายามค้นหาผเู้ รียนแต่ละคนว่า เดน่ -ด้อยในเรอ่ื งใด และหาแนวทางปรับปรงุ แก้ไขแตล่ ะคนให้ดขี ้นึ ๔.๕ เครอื่ งมือท่ีใช้ในการวดั ผล ๑. การสงั เกต (Observation) การสังเกต คือ การพิจารณาปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ท่ีเกิดขึน้ เพ่อื คน้ หาความจรงิ บางประการ โดยอาศัยประสาท สมั ผัสของผูส้ ังเกตโดยตรง โดยมรี ปู แบบของการสงั เกต ๑. การสังเกตโดยผู้สังเกตเข้าไปร่วมในเหตกุ ารณ์หรอื กจิ กรรม หมายถึง การสงั เกตที่ผ้สู งั เกต เขา้ ไปมีส่วนรว่ ม หรอื คลกุ คลีในหมผู่ ถู้ กู สงั เกต และอาจร่มทำกจิ กรรมดว้ ยกัน ๒. การสังเกตโดยผูส้ งั เกตไมไ่ ด้เขา้ ไปรว่ มในเหตกุ ารณ์ หมายถึง การสังเกตทผี่ ถู้ ูกสังเกตอยู่ ภายนอกวงของผู้ถูกสงั เกต คือสงั เกตในฐานะเป็นบุคคลภายนอก การสังเกตแบบ น้ีแบง่ ออกเปน็ ๒ ชนดิ ๒.๑ การสงั เกตแบบไมม่ โี ครงสร้าง หมายถึง การสงั เกตที่ผู้สังเกตไม่ได้กำหนดหัว เร่อื งเฉพาะเอาไว้ ๒.๒ การสังเกตแบบมโี ครงสร้าง หมายถงึ การสังเกตทผี่ สู้ ังเกตกำหนดเร่ืองทีจ่ ะ สังเกตเฉพาะเอาไว้ ๒. การสมั ภาษณ์ (Interview) การสัมภาษณ์ คือ การสนทนาหรอื การพูดโตต้ อบกนั อย่างมีจดุ มงุ่ หมาย เพอ่ื คน้ หาความรู้ ความจริง ตามวัตถปุ ระสงค์ท่ีกำหนดไวล้ ว่ งหน้า โดยมรี ูปแบบของการสัมภาษณ์ ๑. การสมั ภาษณแ์ บบไมม่ โี ครงสรา้ ง หมายถึง การสมั ภาษณ์ท่ไี ม่ใช่แบบสัมภาษณ์ คือ ไม่ จำเปน็ ต้องใช้ คำถามท่เี หมือนกนั หมดกบั ผู้ถกู สมั ภาษณ์ทุกคน ๒. การสัมภาษณ์แบบมโี ครงสรา้ ง หมายถึง การสัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์จะใช้แบบสัมภาษณท์ ี่ สรา้ งข้ึนไวแ้ ล้ว
หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๕๑ ๓. แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบสอบถามเป็นเครอ่ื งมอื ชนิดหนึง่ ทน่ี ยิ มใชก้ ันมาก โดยเฉพาะการเกบ็ ข้อมูลทาง สังคมศาสตร์ ทัง้ นีเ้ พราะเปน็ วิธีการทีส่ ะดวก และสามารถใช้วัดไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง โดยมีรปู แบสอบถาม ๑. แบบสอบถามชนดิ ปลายเปิด (Open-ended Form) แบบสอบถามชนิดนี้ไม่ได้กำหนดคำตอบไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ตอบเขียนตอบอย่าง อิสระด้วยความคิดของตนเอง แบบสอบถามชนิดน้ีตอบยากและเสียเวลาในการตอบมาก เพราะผู้ตอบจะต้อง คดิ วเิ คราะหอ์ ย่างกว้างขวาง ๒. แบบสอบถามปลายปิด (Closed - ended Form) แบบสอบถามชนิดนี้ประกอบด้วย ข้อ คำถามและตัวเลือก (คำตอบ) ซึ่งตัวเลือกน้ีสร้างขึ้นโดยคาดว่าผู้ตอบ สามารถเลือกตอบ ได้ตามความต้องการ แบบสอบถามชนิดปลายปดิ แบง่ เปน็ ๔ แบบ ๒.๑ แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เป็นการสร้างรายการของข้อคำถามท่ีเกี่ยว หรือสัมพันธ์กับคุณลักษณะของพฤติกรรม แต่ละรายการจะถูกประเมิน หรือช้ีให้ตอบในแง่ใดแง่หนึ่ง เช่น มี - ไมม่ ี จรงิ – ไมจ่ รงิ ๒.๒ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในประเมินการ ปฏิบัติ กจิ กรรม ทกั ษะตา่ ง ๆ มีระดับความเข้มให้พจิ ารณาตั้งแต่ ๓ ระดบั ขนึ้ ไป เชน่ เห็นด้วยอย่างย่ิง เห็นด้วย ไม่แนใ่ จ ไมเ่ หน็ ด้วย ไม่เหน็ ด้วยอยา่ งย่งิ ๒.๓ แบบจัดอนั ดบั (Rank Order) มักจะให้ผู้ตอบจัดอันดับความสำคัญหรือคุณภาพ โดยใหผ้ ้ตู อบเรียงลำกับตามความเขม้ จากมากไปหาน้อย ตัวอย่าง - ท่านเลือกเรียนครูเพราะเหตุใด โปรดเรียงอันดับตามความสำคัญของเหตุผลจาก มากไปหาน้อย เหตุผล อันดับความสำคญั เรยี งจากมากท่สี ดุ ๑. มีใจรัก …………………….. ๒. หางานง่าย …………………….. ๓. คา่ ใช้จา่ ยถูก …………………….. ๔. ได้รับทนุ อดุ หนุน …………………….. ๒.๔ แบบเติมคำสน้ั ๆ ในช่องว่าง แบบสอบถามลักษณะนี้จะตอ้ งกำหนดขอบเขต จำเพาะเจาะจงลงไป เชน่ ปัจจบุ นั ท่านอายุ………………ปี ………….เดือน ๔.๖ การประเมนิ ผลจากสภาพจริง (Authentic Assessment) หมายถึง กระบวนการสังเกต การบันทึก และรวบรวมข้อมูลจากงานและวิธีการที่นักเรียนทำ การ ประเมินผลจากสภาพจริงจะเน้นให้นักเรียนสามารถแก้ปัญหา เป็นผู้ค้นพบและผู้ผลิตความรู้ นักเรียนได้ฝึก ปฏิบตั ิจริง รวมทัง้ เนน้ พฒั นาการเรยี นรูข้ องนกั เรยี นความสำคญั ของการประเมนิ ผลจากสภาพจริง ๑. เปน็ การเอ้ือให้นักเรยี นสามารถเรยี นรไู้ ด้อย่างเต็มศักยภาพของแต่ละบุคคล ๒. เป็นการเอือ้ ต่อการเรียนการสอนท่เี นน้ นักเรียนเปน็ ศูนย์กลาง ๓. เปน็ การเน้นใหน้ ักเรียนได้สรา้ งงาน ๔. เป็นการผสมผสานให้กิจกรรมการเรยี นร้แู ละการประเมินผล ๕. เปน็ การลดภาระงานซ่อมเสรมิ ของครู
หลักสตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๕๒ ๔.๗ แบบทดสอบ (Test) ประเภทของแบบทดสอบ สามารถแบง่ ประเภทออกได้หลายลกั ษณะ ขนึ้ อยกู่ ับเกณฑ์ทีจ่ ะใช้ ๑. แบง่ ตามสมรรถภาพทจ่ี ะวัด แบ่งเปน็ ๓ ประเภท ๑.๑ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ (Achievement Test) หมายถงึ แบบทดสอบท่วี ดั สมรรถภาพสมองด้านตา่ ง ๆ ทีน่ ักเรียนไดร้ บั การเรยี นรูผ้ ่านมาแลว้ วา่ มีอยเู่ ท่าใด แบบทดสอบแบ่งออกเป็น ๒ ชนดิ ๑.๑.๑ แบบทดสอบทคี่ รสู ร้างขึ้น หมายถงึ แบบทดสอบทม่ี ุ่งวดั ผลสมั ฤทธ์ิของผู้เรยี น เฉพาะกลุ่มทีค่ รูสอน ๑.๑.๒ แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบท่ีมุ่งวัดผลสมั ฤทธม์ิ จี ดุ มุ่งหมาย เพอื่ เปรยี บเทียบคุณภาพตา่ ง ๆ ของนักเรยี นท่ีตา่ งกล่มุ กนั เชน่ แบบทดสอบมาตรฐานระดบั ชาติ ๑.๒ แบบทดสอบวัดความถนัด (Aptitude Test) หมายถึง แบบทดสอบทีม่ ุ่งวดั สมรรถภาพสมองของ ผู้เรียน ๑.๒.๑ แบบทดสอบวัดความถนดั ทางการเรยี น หมายถึง แบบทดสอบที่ม่งุ วดั ความ ถนัดทางดา้ นวชิ าการตา่ ง ๆ เชน่ ดา้ นภาษา ๑.๒.๒ แบบทดสอบวดั ความถนัดเฉพาะ หมายถงึ แบบทดสอบท่ีมุ่งวดั ความถนดั เฉพาะทเ่ี กยี่ วกับงานอาชพี ต่าง ๆ หรือความสามารถพเิ ศษ เชน่ ความสามารถทางดนตรี ๑.๓ แบบทดสอบวัดบคุ ลกิ ภาพทางสังคม หมายถึง แบบทดสอบท่ีใช้วัดบคุ ลกิ ภาพและการ ปรับตัวใหเ้ ข้ากบั สงั คม ซึ่งเป็นเร่ืองท่วี ดั ได้ยาก ผลทไ่ี ด้ไม่คงท่ีแน่นอน ๑.๓.๑ แบบทดสอบวดั เจตคติทมี่ ีตอ่ บุคคล สิง่ ของ เรื่องราว ๑.๓.๒ แบบทดสอบวดั ความสนใจท่มี ตี ่ออาชีพ การศึกษา ๑.๓.๓ แบบทดสอบวัดการปรับตวั เช่น การปรับตัวเขา้ กบั เพ่ือน ๆ ๒. แบ่งตามลกั ษณะการตอบ ๒.๑ แบบทดสอบภาคปฏิบตั ิ หมายถงึ แบบทดสอบท่ใี หน้ กั เรยี นลงมือปฏบิ ัตจิ รงิ เชน่ การ ปรงุ อาหาร ๒.๒ แบบทดสอบข้อเขยี น หมายถงึ แบบทดสอบที่ใชก้ ารเขียนตอบ ๒.๓ แบบทดสอบปากเปล่า หมายถงึ แบบทดสอบทใี่ ชก้ ารพดู โต้ตอบแทนการเขยี น ๓. แบง่ ตามเวลาท่ีกำหนดให้ตอบ ๓.๑ แบบทดสอบท่จี ำกัดเวลาในการตอบ หมายถึง แบบทดสอบที่ใชเ้ วลาน้อย ๓.๒ แบบทดสอบท่ไี ม่จำกดั เวลาในการตอบ หมายถึง แบบทดสอบท่ีใช้เวลาตอบมาก ๔. แบ่งตามจำนวนผ้เู ขา้ สอบ ๔.๑ แบบทดสอบเปน็ รายบคุ คล หมายถึง การสอบทีละคนมกั เป็นการสอบภาคปฏบิ ตั ิ ๔.๒ แบบทดสอบเป็นช้ันหรือเป็นหมู่ หมายถงึ การสอบทีละหลาย ๆ คน ๕. แบง่ ตามสงิ่ เร้าของการถาม ๕.๑ แบบทดสอบทางภาษา หมายถงึ แบบทดสอบท่ตี อ้ งอาศยั ภาษาของสงั คมน้นั ๆ เป็นหลัก ใชก้ บั ผ้ทู ีอ่ ่านออกเขียนได้
หลักสตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๕๓ ๕.๒ แบบทดสอบที่ไม่ใชภ้ าษา หมายถงึ แบบทดสอบที่ใช้รูปภาพ สัญลกั ษณห์ รือตวั เลข ๖. แบ่งตามลักษณะของการใช้ประโยชน์ ๖.๑ แบบทดสอบยอ่ ย หมายถงึ แบบทดสอบประจำบท หรอื หน่วยการเรียน ๖.๒ แบบทดสอบรวม หมายถงึ แบบทดสอบสรุปรวมเนือ้ หาท่ีเรยี นผ่านมาตลอดภาคเรียน ๗. แบ่งตามเนอื้ หาของขอ้ สอบในฉบับ ๗.๑ แบบทดสอบอัตนยั หมายถงึ แบบทดสอบทมี่ ีเฉพาะคำถามนักเรียนตอ้ งคิดหาคำตอบเอง ๗.๒ แบบทดสอบปรนยั หมายถงึ แบบทดสอบท่ีมีท้งั คำถามและคำตอบเฉพาะคงท่ีแนน่ อน ๔.๘ การสร้างแบบทดสอบชนดิ ต่าง ๆ ๑. ขอ้ สอบอัตนัยหรอื ความเรียง (Subjective or Essay Test) ลักษณะท่วั ไป เปน็ ข้อสอบทมี่ ีเฉพาะ คำถาม แลว้ ใหเ้ ขยี นตอบอย่างเสรี หลักในการสร้าง ๑. เขียนคำชแ้ี จงเก่ียวกบั วธิ ีการตอบใหช้ ดั เจน ๒. ควรเขยี นคำถามให้ชดั เจน และควรใช้คำถามให้ใชค้ วามคดิ เชน่ จงอธบิ าย จงวิเคราะห์ ๓. กำหนดเวลาใหต้ อบนานพอสมควร ๔. เลือกถามเฉพาะจุดทสี่ ำคัญของเร่ือง ๕. คำถามแต่ละข้อมคี วามยากงา่ ยไม่เท่ากนั ๒. ขอ้ สอบแบบกาถกู -ผดิ (True - false Test) ลักษณะทั่วไป ข้อสอบเลือกตอบมี ๒ ตัวเลอื ก เชน่ ถูก-ผดิ ใช่-ไม่ใช่ หลักในการสร้าง ๑. เขียนคำถามให้รดั กมุ ส้ัน ๆ ๒. ควรเขยี นคำถามด้วยภาษางา่ ย ๆ ชัดเจนตรงไปตรงมา ๓. ควรออกข้อสอบใหม้ ีข้อถูกกบั ข้อผิดจำนวนใกล้เคียงกนั ๔. หลกั การให้คะแนนไม่ควรใช้วธิ หี กั คะแนนหรอื ตดิ ลบในข้อทีต่ อบผดิ ๓. ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion Test) ลักษณะทั่วไป เปน็ ข้อสอบท่ีประกอบด้วยประโยคหรือข้อความทยี่ ังไม่สมบูรณ์แลว้ ใหผ้ ตู้ อบ เตมิ คำ หรอื ประโยค หลักในการสรา้ ง ๑. ไม่ควรใช้ขอ้ ความหรอื ประโยคจากหนงั สือแลว้ ตัดคำบางคำ หรือบางข้อความออกมาใช้ เปน็ คำถาม ๒. คำตอบที่ต้องการให้เติมหรือทีถ่ ูก จะต้องเปน็ คำตอบที่เฉพาะเจาะจงไมต่ ีความได้หลายนัย ๓. แต่ละข้อความใหเ้ ติมแห่งเดยี วตอนท้ายของประโยคหรือข้อความ แต่ถา้ จำเปน็ อาจเว้นให้ เตมิ ส่วนอื่น ๔. ตำแหนง่ ทีเ่ ติมต้องเป็นจุดสำคัญจริง ๆ
หลกั สูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๕๔ ๔. ข้อทดสอบแบบตอบสนั้ ๆ (Short Answer Test) หลักในการสร้าง ๑. คำตอบที่ต้องการมกั จะส้นั เป็นคำเดยี ว วลีเดียว หรือประโยคสนั้ ๆ ๒. คำตอบทีไ่ ด้ตอ้ งเป็นประเภทตายตวั แน่นอน ๓. มักจะเป็นคำถามที่ถามเกี่ยวกับ ศพั ท์ กฎ นิยาม ทฤษฎี หลักการ ๕. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) ลักษณะท่ัวไป เป็นข้อสอบเลือกตอบชนดิ หนึง่ โดยมีคำหรือข้อความแยกออกจากกนั เป็น ๒ ชดุ แลว้ ใหผ้ ู้ตอบเลือกจับควู่ า่ มีความสมั พนั ธ์กันอยา่ งใดอย่างหน่งึ หลกั ในการสรา้ ง ๑. ตวั เลือกต้องมีจำนวนมากกว่าตวั ยนื ๒-๔ ขอ้ ๒. ตัวยนื ควรจะมี จำนวน ๕-๑๕ ข้อ ถา้ ตวั ยนื มีจำนวนน้อยเกินไปจะจับคู่หาคำตอบไดง้ ่าย ๓. ขอ้ ความในแตล่ ะชุดต้องเปน็ เอกพนั ธ์ ๔. ตวั ยนื ในแต่ละข้อมีโอกาสจบั คูก่ ับตวั เลือกทุกข้อ ๕. ข้อสอบในชุดตวั ยนื และตวั เลอื กทุกข้อต้องอยู่ในหน้าเดยี วกัน ๖. ต้องระบุความสัมพันธข์ องขอ้ ความทงั้ สองชดุ ให้ชัดเจน โดยเขียนคำชีแ้ จงว่าจะให้จับคู่โดย ยึดความสมั พนั ธ์แบบใด ๗. รปู แบบของข้อสอบจบั คู่ ส่วนใหญ่จะให้ผ้ตู อบนำอักษร หน้าขอ้ ความทางขวามอื ไปใส่ใน วงเลบ็ หนา้ ข้อความทาง ดา้ นซา้ ยมือที่คดิ ว่าสัมพนั ธก์ นั ๖. ข้อสอบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) ลกั ษณะท่ัวไป คำถามแบบเลือกตอบจะประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกและตัวเลือกท่ี เป็นตวั ลวง และคำถามแบบเลอื กตอบที่ดี นิยมใชต้ วั เลือกทีใ่ กล้เคยี งกันดเู ผนิ ๆ จะเห็นว่าทกุ ตวั เลือกถูกหมด หลกั ในการสรา้ ง ๑. เขียนตอนนำใหเ้ ป็นประโยคคำถามสมบูรณ์ อาจใส่เครื่องหมายปรศั นี (?) ๒. เน้นเร่ืองจะถามให้ชดั เจนและตรงจุดไมค่ ลมุ เครือ ๓. ควรถามในเรอ่ื งที่มคี ุณค่าตอ่ การวดั ๔. หลีกเล่ียงคำถามปฏเิ สธ ๕. อย่าใช้คำฟ่มุ เฟือย ๖. เขยี นตวั เลอื กใหเ้ ปน็ เอกพันธ์ ๗. ควรเรยี งลำดับตัวเลขในตวั เลอื กต่าง ๆ ๘. เขยี นตัวเลอื กใหอ้ สิ ระขาดจากกัน ๙. ควรมตี วั เลอื ก ๔-๕ ตวั ๑๐. อยา่ แนะคำตอบ
หลกั สตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๕๕ ๔.๙ ประโยชนข์ องการวัดและประเมนิ ผลการเรยี น การวัดและประเมินผลการเรียนของผูเ้ รียนมีประโยชน์อยา่ งมากทั้งแกผ่ ูเ้ รียน ครผู ู้สอน ผบู้ รหิ าร และบคุ คลที่เก่ียวข้องกบั การศกึ ษาซึ่งสรปุ ได้ดังนี้ • ประโยชน์ตอ่ ผู้เรียน ทำให้ผู้เรยี นรรู้ ะดับความสามรถในแตล่ ะด้านและภาพรวมของตน รูส้ ่งิ ที่ บกพร่องท่ีควรแก้ไขหรือซ่อมเสรมิ เป็นข้อมูลประกอบการตัดสนิ ใจในการเลือกวชิ าเอก โปรแกรม หรอื วชิ าต่าง ๆ ตอ่ ไป รวมทงั้ กระตุ้นใหต้ ่นื ตัวใน การเรียนยง่ิ ข้ึน • ประโยชน์ต่อครูผสู้ อน ทำให้รพู้ ื้นฐานความรคู้ วามสามรถของผู้เรยี น เปน็ ขอ้ มลู ในการพจิ ารณา สอนซอ่ มเสริมแก้ผ้เู รยี น ช่วยให้สามารถแก้ไขข้อบกพร่องของผ้เู รยี นไดต้ รงจดุ ชว่ ยในการจดั กลุม่ ผูเ้ รยี นเพอ่ื ทำกจิ กรรมการเรยี นการสอนอย่างเหมาะสม นอกจากน้ียงั ชว่ ยให้ครผู ูส้ อนทราบคุณภาพ การสอนของตนและสามารถปรบั ปรงุ แก้ไขวธิ ีการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนให้มีประสทิ ธิภาพ ยิ่งขึ้น • ประโยชนต์ อ่ ครแู นะแนว ชว่ ยให้รู้จุดเดน่ ขอ้ บกพร่องหรือปัญหา และรายละเอียดตา่ ง ๆ ของ ผู้เรยี นอันเป็นประโยชน์ตอ่ การให้คำแนะนำปรึกษาช่วยเหลือ ช่วยใน การสำรวจความถนัดและ ความสนใจของผเู้ รยี นชว่ ยในการแนะแนวทัง้ ด้านการเรยี นและอาชีพ • ประโยชน์ต่อผู้บริหาร ช่วยให้รู้สถานภาพทางการศึกษาท่ีแท้จริงของสถานศึกษา ช่วยทำให้เห็น ขอ้ บกพร่องต่างๆ ในด้านการเรียนการสอนที่ควรปรับปรุง ใช้เป็นขอ้ มลู ในการวางแผนการปฏิบัติงาน ในด้านต่าง ๆ ของสถานศึกษา ใช้เป็นข้อมูลในการรายงานผลการเรียนแก่ผู้ปกครองและผู้บริหารใน ระดับต่าง ๆ รวมท้ังยังเป็นข้อมูลช่วยในการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคลท้ังหลายใน สถานศึกษา สรปุ ทา้ ยบท การวดั และประเมินผลการเรียนของผ้เู รยี นมปี ระโยชน์อยา่ งมากทั้งแกผ่ เู้ รยี น ครูผสู้ อน ผู้บริหารและ บุคคลทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั การศกึ ษา ประโยชนต์ อ่ ผ้เู รียน ทำให้ผ้เู รียนรู้ระดับความสามรถในแตล่ ะดา้ นและภาพรวม ของตน รู้สิง่ ทบี่ กพร่องทค่ี วรแกไ้ ขหรอื ซ่อมเสริม ประโยชน์ต่อครผู ู้สอน ทำใหร้ ู้พืน้ ฐานความร้คู วามสามรถ ของผ้เู รยี น เป็นขอ้ มลู ในการพจิ ารณาสอนซ่อมเสริมแก้ผ้เู รียน ชว่ ยใหส้ ามารถแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งของผเู้ รียน ได้ตรงจุด นอกจากนยี้ งั ช่วยใหค้ รูผสู้ อนทราบคุณภาพการสอนของตนและสามารถปรับปรุง แก้ไขวธิ ีการจัด กิจกรรมการเรยี นการสอนให้มีประสทิ ธภิ าพยงิ่ ขึ้น ประโยชนต์ อ่ ครูแนะแนว ช่วยใหร้ จู้ ดุ เด่น ข้อบกพร่องหรือ ปัญหา และรายละเอยี ดตา่ ง ๆ ของผเู้ รียนอนั เป็นประโยชน์ตอ่ การให้คำแนะนำปรึกษาช่วยเหลอื ช่วยในการ สำรวจความถนัดและความสนใจของผูเ้ รียนช่วยในการแนะแนวทงั้ ด้านการเรียนและอาชีพ ประโยชนต์ ่อ ผ้บู ริหาร ช่วยให้รสู้ ถานภาพทางการศกึ ษาท่แี ท้จรงิ ของสถานศกึ ษา ชว่ ยทำใหเ้ หน็ ข้อบกพร่องตา่ งๆ ในด้าน การเรยี นการสอนท่ีควรปรับปรุง ใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ในการวางแผนการปฏบิ ตั ิงานในด้านต่าง ๆ
หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๕๖ เอกสารอ้างองิ ประจำบท การวดั และประเมินผลทางการศกึ ษา.[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://reg.ksu.ac.th/teacher/yahvaret/lession๓.html. สบื ค้นเม่อื ๒๓ มถิ นุ ายน ๒๕๕๗. ใจทพิ ย์ เชือ่ รัตนพงษ์. การพัฒนาหลักสตู ร : หลกั การและแนวปฏิบัติ. จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , อลนี เพรส, กรุงเทพฯ. ๒๕๓๙. ไพศาล หวังพานิช. วธิ ีการวิจยั . กรุงเทพมหานคร : งานสง่ เสรมิ วจิ ยั และตำรากองบริหารการศึกษา มหาวิทยาลยั ศรี นครินทรวิโรฒประสานมิตร.๒๕๓๖. อทุ ุมพร (ทองอุไทย) จามรมาน. การสร้างและพัฒนาเครอื่ งมือวดั ลักษณะผู้เรียน. กรุงเทพฯ : ฟนั นพี่ ลบั ลิซซง่ิ , ๒๕๓๒. Kerlinger, Fred N. and Pedhazur, Elazer J. 1973. Multiple Regression in Behavioral Research.New York : Holt, Rinchart and Winston Guilford, J.p. (1967). The nature of human intelligence. N.Y.; McGraw-Hill Book Company. Ebel and Frisbie. (1986). Essentials of Educational Measurement.4th ed. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall. Worthing and Sanders. อา้ งใน วรัชยา พ่วงกลบั .การบริหารงานวชิ าการตามหลกั อทิ ธิบาท ๔ ของผู้บรหิ ารสถานศึกษาในอาเภอไพศาลี จงั หวัดนครสวรรค์.๒๕๕๖.
หลักสตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๕๗ บทที่ ๕ การวิจยั เพอื่ พัฒนาคณุ ภาพการเรียนรู้ วตั ถปุ ระสงคป์ ระจำบท เมอื่ ไดศ้ กึ ษาเน้ือหาในบทนแ้ี ล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑.บอกความหมายและลกั ษณะสำคัญของการวิจัยปฏิบตั กิ ารในชั้นเรียนได้ ๒.อธิบายความสอดคลอ้ งของวงจรเชิงปฏิบัตกิ ารในช้ันเรียนกบั วงจรพฒั นา คุณภาพได้ ขอบขา่ ยเนือ้ หา • ความหมายและลกั ษณะสำคญั ของการวจิ ัยปฏบิ ตั กิ ารในชัน้ เรียน • ความสอดคล้องของวงจรเชิงปฏิบัติการในชั้นเรยี นกับวงจรพฒั นาคุณภาพ
หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๕๘ ๕.๑ ความนำ การวิจัยในกระบวนการเรียนรู้ มงุ่ ให้ผู้เรียนทำวจิ ัย เพือ่ ใช้กระบวนการวจิ ัยเป็นสว่ นหนง่ึ ของการเรียนรู้ ผู้เรยี นสามารถวิจยั ในเรอ่ื งท่สี นใจหรอื ต้องการหาความร้หู รือตอ้ งการแกไ้ ขปญั หาการเรียนรซู้ งึ่ กระบวนการวจิ ัย จะชว่ ยให้ผูเ้ รยี นไดฝ้ กึ การคดิ ฝึกการวางแผน ฝึกการดำเนินงานและฝึกหาเหตุผลในการตอบปัญหา โดย ผสมผสานองค์ความรู้แบบบูรณาการเพือ่ ใหเ้ กดิ ประสบการณ์การเรียนรจู้ ากสถานการณ์จริง การวจิ ัยพฒั นาการเรยี นรู้ มุง่ ใหผ้ สู้ อนสามารถทำวิจัย เพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู้ด้วยการศึกษาวิเคราะห์ ปญั หาการเรยี นรู้ วางแผนแก้ไขปญั หาการเรยี นรู้ เก็บรวบรวมขอ้ มูล และวิเคราะหข์ ้อมูลอย่างเป็นระบบ ผู้สอน สามารถทำวิจัยและพฒั นานวัตกรรมการศกึ ษาท่ีนำไปสคู่ ุณภาพการเรียนรู้ ด้วยการศกึ ษาวิเคราะห์ปัญหาการ เรยี นรู้ ออกแบบและพัฒนานวตั กรรมการเรียนรู้ ทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ เก็บรวบรวมขอ้ มลู และ วิเคราะห์ผลการใชน้ วัตกรรมนนั้ ๆและผูส้ อนสามารถนำกระบวนการวิจยั มาจดั กจิ กรรมใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ ด้วยการใช้เทคนิควธิ กี ารที่ช่วยให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนจากการวเิ คราะห์ปัญหา สรา้ งแนวทางเลือกในการแกไ้ ข ปัญหา ดำเนนิ การตามแนวทางทเี่ ลือก และสรปุ ผลการแก้ไขปัญหาอันเป็นการฝึกทกั ษะ ฝกึ กระบวนการคิด ฝึกการจดั การจากการเผชญิ สภาพการณ์จริง และปรบั ประยกุ ตม์ วลประสบการณ์มาใชแ้ ก้ไขปัญหา ๕.๒ ความหมาย การวิจัย (Research) อาจหมายถึง \"การหาแล้วหาอีก\" หรือหมายถึง การสอบสวน หรือตรวจตรา ความรู้ในแขนงใดแขนงหนึ่งอย่างขยันขันแข็งหรือหมายถึงการค้นหาความจริงอย่างต่อเนื่องและมีอุตสาหะ การวิจัย (Research) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๔๙๓ หมายถึง การสะสม การ รวบรวมการค้นการตรวจตราการสอบสวน การวิจัย หมายถึง การศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบแบบและแผนการเพื่อให้ได้มาซ่ึงความรู้ด้าน สังคมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร์ พจน์ สะเพียรชัย กล่าวว่า \"การวิจัย\" คือ วธิ ีแก้ปัญหาท่ีมีระบบแบบแผนเช่อื ถือได้ เพื่อให้เกิดความรู้ ทเี่ ชือ่ ถอื ได้ อนันต์ ศรโี สภา กลา่ วว่า \"การวิจัย\" เป็นกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้จากปัญหาที่ชดั เจนอยา่ งมี ระบบ โดยมีการทดสอบสมมติฐานที่แสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างเหตแุ ละผล ซึง่ สอดคล้องกับจุดมงุ่ หมายในเรือ่ ง นน้ั ๆ เพอ่ื นำไปพยากรณ์หรือสังเกตการเปลี่ยนแปลงเพ่ือควบคุมส่งิ หน่ึงสิง่ ใดให้คงท่ี เบสท์ (Best) ให้ความหมายไว้ว่า \"การวิจัย\" เป็นแบบแผนหรือกระบวนการวิเคราะห์อย่างเป็น ปรนัย มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ มีการจดบันทึกรายงาน และสรุปผลเป็นเกณฑ์หรือทฤษฎีข้ึน เพ่ือนำไป อธิบาย ทำนาย หรอื ควบคมุ ปรากฏการณต์ า่ งๆ เคอร์ลิงเจอร์ (Kerlinger) ให้ความหมายว่า \"การวจิ ัย\" เปน็ การใช้ข้อมลู ในการตรวจสอบสมมติฐาน เกย่ี วกบั ความสัมพนั ธ์ของปรากฏการณธ์ รรมชาติ โดยมกี ารควบคุมอยา่ งเปน็ ระบบสม่ำเสมอ การวจิ ัยเพือ่ พัฒนาคุณภาพผ้เู รียน คอื การวจิ ยั ท่ีทำโดยครูผ้สู อนในชั้นเรียน เพอื่ แก้ไขปัญหา ท่ี เกิดขนึ้ ในช้ันเรียนและนาผลมาใช้ในการปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนหรอื ส่งเสริมพัฒนาการเรยี นร้ขู องผเู้ รียนให้ดี ย่งิ ขน้ึ เป็นการวิจัยทต่ี ้องทำอยา่ งรวดเรว็ นำผลไปใชท้ นั ทีและมกี ารสะท้อนข้อมูลเก่ยี วกับการแก้ไขปัญหาต่างๆ กบั กลุม่ เพ่อื นรว่ มงานในโรงเรียนวิพากษ์ อภปิ ราย แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ในแนวทางที่ไดป้ ฏบิ ัตแิ ละผลท่เี กิดขึน้ เพอื่ พัฒนาการเรียนรู้ท้งั ครูและผ้เู รยี น การวจิ ยั เพื่อพฒั นาคุณภาพผู้เรียนสามารถทำได้ในลักษณะ การวิจัยเชิง ปฏิบตั กิ าร
หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๕๙ การวิจัยเชงิ ปฏบิ ัติ หมายถึง กระบวนการศึกษาค้นควา้ เพือ่ แกป้ ญั หาทเี่ กดิ ข้ึนจากการปฏิบัติงานหรือ เพือ่ ปรบั ปรุงและพัฒนาการปฏิบตั ิงานใหบ้ รรลผุ ลตามที่ต้องการโดยผู้ปฏบิ ัตงิ านเปน็ ผดู้ ำเนินการวจิ ยั ในสถานที่ ที่ตนเองปฏิบัติอยภู่ ายใต้สภาพแวดล้อมและบรรยากาศท่ีแทจ้ รงิ เมื่อนำการวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั ิมาใชก้ ับการเรยี น การสอนจงึ เรียกการวิจัยเชิงปฏิบัติวา่ การวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในช้ันเรยี น หรอื การวิจยั เพ่ือพัฒนาการเรยี นการสอน ซ่ึงเปน็ การศึกษาคน้ คว้าเพื่อแกป้ ัญหาท่ีเกิดขน้ึ จากการปฏิบัตกิ ารสอนของครหู รือเพอ่ื ปรับปรุงและพฒั นา การ ปฏบิ ัติการสอนใหบ้ รรลผุ ลตามทต่ี อ้ งการ โดยครผู ู้สอนเป็นผู้ดำเนินการวจิ ยั ในช้นั เรียนทีต่ นเองปฏิบัติการสอน อยู่ การวิจยั เชงิ ปฏิบตั ิเกิดขึน้ ตามแนวคดิ ของ Kurt Lewin นกั จิตวทิ ยาสงั คม ชาวอเมริกัน เมอ่ื ประมาณปี ค.ศ. ๑๙๔๖ ไดร้ ับการยอมรับและนำไปใช้อยา่ งกว้างขวางในการพัฒนาและปรบั ปรุงกาปฏบิ ัติงานในองค์กรและ ชุมชนต่าง ๆ โดยเฉพาะในวงการศึกษาได้มกี ารนำการวิจยั เชิงปฏิบตั ไิ ปใชไ้ ด้ผลเป็นท่ีนา่ พอใจในเร่ืองของการ พัฒนาหลักสูตรท้องถ่นิ การพัฒนาวชิ าชพี ครู การพฒั นาและเสริมสรา้ งคุณลักษณะท่พี ึงประสงค์ของนักเรียน และครู ๕.๓ ลกั ษณะสำคญั ของการวิจยั ปฏิบตั ิการในชน้ั เรียน การปฏิบัตกิ ารในชนั้ เรยี น คือ การวิจยั ทมี่ ีลกั ษณะดังน้ี๓๘ (สุวมิ ล ว่องวาณิช, ๒๕๔๗ : ๒๒) ใคร? = ครผู ู้สอนในหอ้ งเรียน ทำอะไร? = ทำการแสวงหาวธิ กี ารแก้ไขปญั หา ทีไ่ หน? = ทเี่ กดิ ขนึ้ ในห้องเรยี น เมอื่ ไร? = ในขณะท่ีการเรียนการสอนกำลังเกดิ ขึน้ อยา่ งไร? = ด้วยวธิ กี ารวิจัยท่ีมวี งจรการทำงานตอ่ เนื่องและสะท้อนกลบั การทำงานของ ตนเอง (self-refection) โดยข้ันตอนหลกั คอื การทำงานตามวงจร PAOR (Plan, Act, Observe, Reflect & Revise) เพอื่ จดุ ม่งุ หมายใด? = มจี ดุ ม่งุ หมายเพ่ือพัฒนาการเรยี นการสอนใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุดตอ่ ผูเ้ รียน ลกั ษณะเดน่ การวิจัย = เปน็ กระบวนการวจิ ยั ที่ทำอยา่ งรวดเรว็ โดยครผู ู้สอนนำวธิ ีการแก้ปญั หาท่ี ตนเองคิดข้ึน ไปทดลองใช้กบั ผูเ้ รยี นทันทีและสงั เกตผลการแกป้ ัญหานั้นมีการสะท้อนผลและแลกเปลย่ี น ประสบการณ์กบั เพ่อื นครใู นโรงเรยี น เปน็ การวิจัยแบบร่วมมือ (collaborative research) ๖.๓.๑ ขั้นตอนทวั่ ไปของการวิจยั เชิงปฏบิ ัติ การวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั มิ ีขน้ั ตอนสำคัญ ๔ข้ันตอน ได้แก่ ขนั้ วางแผน (plan) ขนั้ ปฏบิ ตั ติ ามแผน (act) ขน้ั สงั เกตผล (observe) และขั้นสะท้อนผล วงจรการปฏบิ ัตกิ ารในช้นั เรียน ๓๙ ๓๘ สวุ มิ ล วอ่ งวาณิช. การวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชนั้ เรียน. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พ์จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ๒๕๔๗ หนา้ ๒๓. ๓๙ สวุ ิมล วอ่ งวาณชิ . อ้างแล้ว.เรือ่ งเดียวกนั .
หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๖๐ ๖.๓.๒ ความสำคญั และความจาเปน็ ของการวิจัยปฏบิ ัติการในชน้ั เรียน ๑. ให้โอกาสครใู นการสรา้ งองคค์ วามรู้ ทักษะการทาวิจัย การประยกุ ต์ใช้ การตระหนักถึง ทางเลอื กทีเ่ ป็นไปได้ที่จะเปล่ียนแปลงการเรยี นการสอนให้ดขี ้นึ ๒. เปน็ การสรา้ งชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ของครู (Community of practice) ๓. เป็นประโยชน์ต่อผปู้ ฏบิ ตั ิโดยตรง เน่อื งจากชว่ ยพฒั นาตนเองดา้ นวชิ าชีพ ๔. ช่วยทำให้เกิดการพัฒนาท่ีต่อเนื่องและเกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการวิจัยใน โรงเรียน ซึ่งเปน็ ประโยชนต์ อ่ องค์การ เนอื่ งจากนำไปส่กู ารปรับปรุง เปล่ียนแปลงการปฏบิ ัติและการแกป้ ญั หา ๕. เปน็ การวิจัยท่เี กีย่ วข้องกบั การมสี ่วนร่วมของผปู้ ฏิบตั ิในการวจิ ยั ทำใหก้ ระบวนการวิจยั ทำให้เกดิ ยอมรับในความรขู้ องผปู้ ฏิบัติ ๖. เป็นการตรวจสอบวธิ กี ารทำงานของครทู ี่มีประสิทธิผล ๗. ครูมีการเรยี นรจู้ ากงานของตนและทำให้ครเู ป็นผูน้ ำการเปลี่ยนแปลง ๖.๓.๔ ประโยชนข์ องการปฏบิ ัติการในชัน้ เรียน ๑. การวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการในชน้ั เรียนเป็นเครื่องมือสำคัญทชี่ ่วยในการพัฒนาวิชาชพี ครู ๒. ผเู้ รยี นมกี ารพัฒนาการเรยี นรู้ และครูมีการพัฒนาการจัดการเรยี นการสอน ๓. ทำใหเ้ กดิ การพัฒนาชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ของผูป้ ฏิบตั ิ(Community of practice) ๔. ส่งเสริมบรรยากาศของการทำงานแบบประชาธิปไตยที่ทกุ ฝ่ายเกิดการแลกเปล่ียน ประสบการณ์และยอมรบั ในการขอ้ คน้ พบรว่ มกนั ๕.๔ ความสอดคล้องของวงจรเชงิ ปฏิบตั กิ ารในชั้นเรยี นกบั วงจรพัฒนาคุณภาพ นงลักษณ์ วริ ชั ชัย๔๐ ได้กลา่ วถงึ ข้ันตอนของ การวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารในช้นั เรียน โดยนาเอาขั้นตอนของ การวจิ ยั ปฏิบัตกิ าร (Action Research) ไปเปรียบเทยี บกับวงจรพฒั นาคณุ ภาพงานพบว่ามีความสอดคล้องกัน ดงั นี้ PDCA เป็นวงจรพัฒนาคณุ ภาพงาน เป็นวงจรพฒั นาพื้นฐานหลักของการพฒั นาคณุ ภาพทั้งระบบ (Total Quality Management : TQM) ผูท้ ี่คิดค้นกระบวนการหรือวงจรพฒั นาคุณภาพ (PDCA) คือ Shewhart นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวอเมรกิ ัน แต่ Deming ได้เผยแพร่ทปี่ ระเทศญี่ปุ่นจนประสบผลสำเรจ็ จน ผลกั ดันใหญ้ ี่ปุ่นเป็นประเทศมหาอำนาจโลก คนทั่วไปจงึ รจู้ ักวงจร PDCA จากการเผยแพรข่ อง Deming จึง เรยี กว่าวงจร (Deming) วงจร PDCA ประกอบด้วย ข้ันตอนดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. วางแผน (Plan-P) คือ การทำงานใด ๆ ต้องมีขน้ั การวางแผน เพราะทำใหม้ ีความมั่นใจวา่ ทำงานได้ สำเร็จ เชน่ วางแผนการสอน วางแผนการวจิ ัย หัวขอ้ ท่ีใช้ในการวางแผนคือ วางแผนในหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี ๑) ทำทำไม ๒) ทำอะไร ๓) ใครทำ ทำกับกลุ่มเปา้ หมายใด ๔) ทำเวลาใด ๔๐ พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์. วิจยั ในช้ันเรียน ทกั ษะวิชาชพี ครูปฏิรูปการศกึ ษา. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://comcenter.rimc.a.th/~comcenter/Nc๑.html. ๒๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๖.
หลกั สตู รและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๖๑ ๕) ทำท่ีไหน ๖) ทำอย่างไร ๗) ใช้งบประมาณเท่าไร การวางแผนในชน้ั เรยี นเปน็ การวางแผนตามคำถามต่อไปนี้ Why, What และ How ๒. การปฏบิ ัติ (Do-D) เปน็ ข้นั ตอนการลงมือปฏิบตั ติ ามแผนทีว่ างไว้ การวจิ ยั ในช้ันเรียนตามแผนการ วิจัย คอื การลงมือเก็บรวบรวมข้อมลู เพื่อตอบปัญหาการวิจัยในแผน ๓. ตรวจสอบ (Check-C) เป็นขนั้ ตอนของการประเมนิ การทำงานวา่ เป็นไปตามท่ีวางไวห้ รือไม่ มเี รอื่ ง อะไร ปฏบิ ัตไิ ด้ตามแผน มเี รื่องอะไรท่ีไม่สามารถปฏบิ ตั ิได้ตามหรือปฏบิ ัติแลว้ ไม่ไดผ้ ล การตรวจสอบนีจ้ ะได้ส่ิง ท่ีสำเรจ็ ตามแผนและสง่ิ ทีเ่ ป็นขอ้ บกพร่องทต่ี ้องแกไ้ ข ๔. การปรบั ปรุงแก้ไข (Action-A) เปน็ ข้ันของการนำข้อบกพร่องมาวางแผนการปฏิบตั ิการแก้ไข ขอ้ บกพร่องแลว้ ลงมือแก้ไข ซ่ึงในขั้นนี้อาจพบวา่ ประสบความสำเร็จหรืออาจพบวา่ มขี ้อบกพร่องอีก ผ้วู จิ ยั หรือ ผูท้ ำงานก็ต้องตรวจสอบเน้ือหาเพื่อแก้ไข แล้วไปแก้ไขอีกตอ่ ไป งานของการวิจยั ในชน้ั เรยี นจงึ เป็นการทำไป เรื่อย ๆ ไม่มกี ารหยดุ วิจัยไปเร่ือย ๆ เปน็ การพฒั นาให้ดีขนึ้ เรือ่ ย ๆ เปน็ การพฒั นาอย่างย่ังยนื ดังน้ันอาจกลา่ วได้ว่าวงจร PDCA ก็เปน็ กระบวนการพฒั นางานวิจยั ในช้นั เรยี น หรือการพฒั นาการ เรียนการสอนทเ่ี ร่ิมทลี ะข้นั P-D-C-A และเคล่ือนหมนุ ไปเรอื่ ย ๆ โดยในแต่ละขน้ั หรือแตล่ ะตัวของวงจร ก็ จะตอ้ งมีวงจรของ PDCA ด้วย ดังภาพ แผนภาพ ๒ วงจรการวิจยั ในช้นั เรยี นควบคไู่ ปกับการจดั การเรียนการสอน๔๑ ๔๑ พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์. วจิ ยั ในชนั้ เรียน ทกั ษะวชิ าชพี ครูปฏิรปู การศกึ ษา. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ได้จาก : http://comcenter.rimc.a.th/~comcenter/Nc๑.html. สืบคน้ เมื่อ ๒๖ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๖. หนา้ ๔.
หลักสตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๖๒ ดงั นั้นกระบวนการวิจัยของครูจึงสามารถดำเนินการตามแผนภมู ขิ า้ งลา่ งน้ี ๑.การรู้จกั ผเู้ รียน ๑.๑ การศกึ ษาข้อมลู พืน้ ฐานของผเู้ รียน เพราะจะทำใหค้ รูทราบวา่ ผู้เรียนแต่ละคนมีสงิ่ ที่ ควรแกไ้ ขปรับปรุงหรือพฒั นาในด้านในบา้ ง โดยครูอาจจะทราบจากระเบียนสะสม แบบบันทึกพฤติกรรม การ พูดคุยกับครู เพ่ือน หรอื ผูป้ กครอง บนั ทึกผลหลังสอน หรือ การทดสอบ ฯลฯ ๑.๒ การวเิ คราะห์สภาพปัญหา เมือ่ ศกึ ษาข้อมลู พน้ื ฐานของผูเ้ รียนแลว้ ครอู าจพบปญั หา มากมาย ท้งั ที่เปน็ ปัญหารายบุคคล เป็นกลุ่ม หรือทง้ั ชนั้ เรียน การวิเคราะหส์ ภาพปัญหาคือการหาสาเหตขุ อง ปัญหา ทเ่ี กิดข้ึน โดยครูอาจใชว้ ธิ ีเขียนผงั ความคดิ (Mind Mapping) เพื่อชว่ ยจดั ระบบรวบรวมความคิดของครู ให้เห็นสภาพของปัญหาท่ีชดั เจนยิ่งขน้ึ ดงั ตวั อยา่ ง
หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๖๓ ๑.๓ การเลือกและสำรวจปัญหาท่ตี อ้ งการแก้ไขหรอื พัฒนา ในข้นั น้ีครตู ้องตดั สนิ ใจเลือก ปญั หา ท่ตี อ้ งการแกไ้ ขปญั หาพัฒนา จัดลาดับความจาเป็นและความสำคญั ของปัญหา โดยพิจารณาจากความ รนุ แรงของปัญหาวา่ ปญั หาใดควรได้รบั การแกไ้ ขหรือพฒั นาก่อน เป็นปัญหาท่ชี ัดเจน มขี ้อมลู หลักฐานช้ีชัดวา่ จาเปน็ ต้องหาคาตอบทีจ่ ะเกิดประโยชน์ตอ่ การนาไปพฒั นาผ้เู รียน ๒. การออกแบบการเรียนรู้/การออกแบบการวิจัย ประกอบด้วย การกำหนดเปา้ หมายในการ พฒั นาการเรียนรู้ การสำรวจและเลือกนวัตกรรมท่ีสอดคล้องกับปัญหาท่ีต้องการแก้ไข การสร้างและพฒั นา วิธีการหรอื นวัตกรรม และการจดั ทาแผนการเรียนรู้ ๒.๑ การกำหนดเปา้ หมายในการพัฒนาการเรียนรู้ เปน็ การกำหนดเป้าหมายของการพัฒนา ทตี่ อ้ งการหรอื กำหนดสภาวะทีเ่ รยี กวา่ พัฒนาแล้วให้ชัดเจน ๒.๒ การสำรวจและเลอื กนวัตกรรม เพ่ือทจ่ี ะให้ได้แนวทางในการแก้ปัญหา ในขน้ั นี้ครตู อ้ ง ศกึ ษาเอกสารทเ่ี ก่ยี วข้อง เชน่ วารสาร บทความ หลักสตู ร ผลงานวจิ ยั หนงั สอื ตารา คู่มือ แนวคดิ ทฤษฎตี า่ ง ๆ ตลอดจนประสบการณ์ของครเู อง ทำให้ครทู ราบวา่ ปัญหาท่คี ล้ายกับปัญหาของเราเองมผี ใู้ ดศึกษาไว้บ้าง ใช้ วิธใี ดในการแก้ปัญหา ผลการแกป้ ัญหาเป็นอยา่ งไร จะทำให้ครเู ห็นแนวทางในการแก้ปัญหาไดช้ ัดเจนขึ้น เช่น บทเรยี นสำเรจ็ รูป ชดุ การสอน ชุดกจิ กรรม คู่มอื การสอน บทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) การเรียนแบบ ร่วมมือ การเรยี นแบบ jigsaw การเรยี นแบบ CIPPA การเรียนแบบ e- learning เปน็ ตน้ ๒.๓ การสร้างและพัฒนาวิธกี ารหรอื นวัตกรรม หลงั จากครูจะไดท้ างเลอื กในการแก้ปัญหา หรอื พัฒนา ซ่ึงอาจเป็นวธิ กี ารหรือนวัตกรรมท่เี ปน็ ไปได้ ในขนั้ น้ีครตู ้องกำหนดวิธกี ารหรือสรา้ งนวัตกรรมท่ใี ชใ้ น การแกป้ ัญหาหรอื พัฒนา แล้วดำเนินการหาคุณภาพของวธิ ีการหรอื นวัตกรรม นำไปใหเ้ พื่อนครศู ึกษานเิ ทศก์ หรือนักวชิ าการที่เก่ยี วข้องกับเร่ืองที่ศึกษา ใหค้ วามคิดเห็น พจิ ารณาความเหมาะสมเพื่อนำขอ้ คิดเหน็ ท่ีไดม้ า ปรับปรงุ แก้ไขเตรยี มนำไปใช้แกป้ ญั หาหรือพฒั นาต่อไป
หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๖๔ ๒.๔ การจดั ทำแผนจดั การเรยี นรู้ ครูจะต้องมีการวางแผนและเขียนแผนการเรียนรทู้ ่ี สอดคล้องกับปัญหาและนวัตกรรม สง่ิ ที่ครูควรคำนึงในการเขียนแผนการเรยี นรู้ ๓. การจดั กระบวนการเรยี นรู้ เป็นการจดั กจิ กรรมตามแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยครนู ำเอานวตั กรรม ทีไ่ ดส้ รา้ งหรือพฒั นาข้ึน มาสู่การปฏิบัติการ เกบ็ รวบรวมข้อมลู ไปด้วยหรือเก็บหลังจากจัดกิจกรรม ซึ่งขอ้ มลู ท่ี เกีย่ วขอ้ งกบั การเรียนการสอน อาจจัดเปน็ ๔ กลมุ่ ใหญ่ ๆ คอื ๓.๑ ความรูค้ วามสามารถได้แก่ ข้อมูลดา้ นความรู้ ความคิด และข้อมูลด้านทักษะการ ปฏิบตั ิงาน และผลงาน ๓.๒ ความร้สู ึก ไดแ้ ก่ ความคิดเห็น อารมณ์ เจตคติ บคุ ลิกภาพและค่านิยม ๓.๓ พฤตกิ รรม ได้แก่ พฤติกรรมขณะเรียน นสิ ยั ในการเรียน พฤติกรรมการทางาน และกิจ นิสยั ในการทางาน ๓.๔ ปฏิสัมพนั ธใ์ นชน้ั เรยี น ไดแ้ ก่ ปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างผ้เู รยี นกับผ้เู รยี น และปฏสิ ัมพนั ธ์ ระหว่างครกู ับผูเ้ รียน ข้อมูลด้านตา่ ง ๆ ครจู ะได้มาจากวิธีการเกบ็ ข้อมลู ซ่งึ มีอยูห่ ลายวธิ ี ดงั นี้ ประเภทของข้อมูล ตัวอย่างวธิ กี ารเก็บข้อมลู เคร่ืองมือ - แบบทดสอบ ๑.ขอ้ มลู ด้านความรู้ ความสามารถ ๑. การสอบความรู้เชงิ ทฤษฎี - แบบสอบปฏบิ ตั ิ - แบบประเมินผลงาน ๒. การสอบความรู้เชิงปฏิบตั ิ - แบบสอบถาม ๓. การประเมินทักษะและ - แบบวดั ทัศนคติ - แบบบรรยายความรสู้ ึก พฤติกรรมการปฏิบัติงาน - แบบสัมภาษณ์ - แบบบันทึกการสงั เกต ๔. การประเมินผลงาน - แบบบันทึกการสังเกต - แบบตรวจสอบรายการ ๒. ขอ้ มูลดา้ นความรูส้ กึ ๑. การใช้แบบสอบถาม - แบบสอบถาม - แบบสมั ภาษณ์ ๒. การใชแ้ บบวดั - แบบสงั คมมติ ิ - แบบบันทกึ การสังเกต ๓. การบรรยายความรสู้ กึ - แบบวเิ คราะห์ ๔. การสัมภาษณห์ รือสนทนากลุม่ ๕. การสังเกต ๓. ขอ้ มลู ด้านพฤติกรรม ๑. การสงั เกต ๒. การตรวจสอบประวัติ ๓. การสอบถาม ๔. การสมั ภาษณ์ ๔. ข้อมูลดา้ นปฏสิ มั พนั ธ์ ๑. การทาสงั คมมิติ ๒. การสังเกต ๓. การวเิ คราะหป์ ฏสิ มั พันธ์ ในการเกบ็ รวมรวมผลการใช้นวัตกรรมนั้น นอกจากจะเก็บรวมรวมผลในข้ันตอนสดุ ท้าย หลังจาก ใช้ นวตั กรรมจบส้ินลงแลว้ ครูควรจะเกบ็ ข้อมูลในระหวา่ งการใชน้ วัตกรรมด้วย ข้อมลู นีค้ วรจะเป็นข้อมูลด้าน พฤติกรรมของผเู้ รียน ซ่ึงได้จากการสังเกตในขณะท่ีครูนำนวัตกรรมที่พัฒนาขึน้ มาใช้กับผู้เรียนโดยครูควรทำ การบันทกึ ผลระหวา่ งหรือหลังการเรียนการสอนในแต่ละครง้ั เช่น ผเู้ รยี นแสดงความสนใจในการเรยี น ผเู้ รยี น แสดงความกระตือรอื รน้ ในการเรียน หรอื ผเู้ รียนแสดงสีหน้าเบอ่ื หน่าย ไมช่ อบ เป็นต้น ในการบนั ทกึ ผล ระหว่างหรอื หลงั จากเรียนรใู้ นแตล่ ะครงั้ จะทำให้ครูได้ขอ้ มูลมาพิจารณาประกอบ การตัดสินใจ แก้ไข ปรบั ปรุง หรือพฒั นานวัตกรรมนัน้ เพื่อพฒั นาการเรียนรู้ มีคุณค่า และเปน็ ประโยชน์ต่อผเู้ รียนอย่างแทจ้ รงิ
หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๖๕ ๔.การไตร่ตรองและปรับปรุง เป็นการนำเอาข้อมูลที่รวบรวมได้มาวิเคราะห์เพื่อจะได้ทราบว่าครู สามารถแก้ไขปัญหา/พัฒนาการเรียนได้ตามเป้าหมายท่ีวางไวห้ รือไม่ เพียงใด ซ่ึงข้อมูลท่ีเก่ียวกับการเรียนการ สอนอาจจัดเปน็ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ขอ้ มูลเชิงปริมาณและขอ้ มูลเชงิ คุณภาพ ๔.๑ การวเิ คราะหข์ ้อมูลเชงิ ปรมิ าณ การวิเคราะห์ขอ้ มูลเชงิ ปริมาณในการวิจยั ในชั้นเรยี นนัน้ การวิเคราะหข์ ้อมูลท่ีได้นีจ้ ะตอ้ ง สอดคล้อง กับจุดประสงค์ หรอื จุดมุ่งหมายของคำถามวิจัย ซึ่งการวจิ ัยในชัน้ เรียน สว่ นใหญจ่ ะมจี ุดประสงค์ ของการวิจยั ท่ตี อ้ งการคาตอบในลักษณะต่อไปน้ี คอื ๑. เพ่ือการบรรยายขอ้ มูลเบือ้ งต้น ๒. เพ่อื เปรยี บเทียบความแตกตา่ ง ๓. เพอ่ื หาความสัมพนั ธ์ ดังนั้นเมอ่ื ครูเก็บรวบรวมข้อมูลไดแ้ ล้ว ครูจะต้องดำเนนิ การกับข้อมลู ในเบ้ืองตน้ กอ่ น เช่น จดั กลุ่ม ข้อมลู ลดทอนข้อมลู และสรปุ ข้อมลู ด้วยวิธกี ารตา่ ง ๆ จากน้ันจงึ ทำการวิเคราะห์ โดยเลอื กใชค้ ่าสถิติท่ี เหมาะสมกับลกั ษณะของข้อมูลนน้ั ๆ ซึง่ การวจิ ัยในชัน้ เรียนนีค้ รูยังไมจ่ ำเป็นตอ้ งใชค้ า่ สถติ ิทีซ่ ับซ้อน เพราะ ค่าสถติ ิทใ่ี ช้ในการวจิ ัยในช้นั เรียนน้ัน ควรจะใช้ในการสรุป และให้ความหมายต่อข้อมูล โดยมุ่งเน้นให้ครูได้ นำไปใช้ในการพัฒนา การเรยี นการสอนของครไู ดโ้ ดยตรง คา่ สถิติทค่ี รสู ามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ให้ เหมาะสมกับชนดิ ของข้อมูลและจุดประสงค์ของการวิเคราะห์แสดงไดด้ ังตาราง ตอ่ ไปน้ี จดุ ประสงค์ ลักษณะข้อมูล ค่าสถติ ิทใ่ี ช้ ๑. เพอ่ื การบรรยายขอ้ มูล เบือ้ งต้น ๑. ข้อมลู แบบกลมุ่ (เชน่ เพศ ๑. การแจกแจงความถ่ี ค่าร้อยละ ๒. เพอ่ื การเปรียบเทียบความ หอ้ งเรยี น) ๒. คา่ เฉลีย่ คา่ พสิ ัย ส่วน แตกตา่ ง ๒. ข้อมูลต่อเนื่อง (เช่น อายุ เบย่ี งเบนมาตรฐาน ๓. เพอ่ื หาความสมั พันธ์ ส่วนสงู คะแนนผลสมั ฤทธ์ิ) ใช้ขอ้ มลู ๒ ชุด ที่นามา ใชค้ ่าสถิตพิ น้ื ฐานบรรยาย เช่น เปรยี บเทียบควรเปน็ ข้อมลู ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบ่ียงเบน ต่อเนื่อง มาตรฐาน การทดสอบที (t-test) ใช้ขอ้ มลู ๒ ชดุ จากกลมุ่ ตัวอย่าง ใช้ค่าสถติ พิ น้ื ฐานบรรยาย เช่น เดยี วกัน ในข้นั ตอนนีค้ วรใช้ข้อมลู ค่าเฉลี่ย และสว่ นเบ่ียงเบน ตอ่ เน่ืองจาพวกคะแนน มาตรฐาน และคา่ สัมประสิทธิ์ สหสมั พนั ธ์ เชน่ สมั ประสิทธิ์ สหสัมพนั ธ์ ของเพียร์สัน ๕. การวิเคราะห์ขอ้ มลู เชิงคุณภาพ โดยธรรมชาตลิ ักษณะของขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพทวี่ เิ คราะห์แลว้ จะอย่ใู นลักษณะคำบรรยาย จากข้อมูลที่ ครูรวบรวมมาในรปู ของคำบอกเล่า การสัมภาษณ์ บันทึกจากการสงั เกตของครู หรือบันทกึ ของผู้เรียน เปน็ ต้น การใช้ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพเปน็ ข้อมลู ประกอบในงานวิจยั ของครู โดยปกตจิ ะเป็นการนำข้อมลู ท่ีครูเกบ็ รวบรวม ไดม้ าใช้เสรมิ และยืนยนั ข้อมลู การวเิ คราะห์ขอ้ มูลกระทำได้ไมย่ ุง่ ยากซับซ้อนมากนัก ท้งั น้คี รูอาจจะเลือก ข้อมูลในส่วนที่เกยี่ วขอ้ งมาบรรยาย ซงึ่ อาจจะใชค้ ำพูด (quotes) ของผู้เรียน หรือผใู้ ห้ข้อมลู จากแหลง่ ข้อมูลอื่น ๆ มาเสรมิ การบรรยายผลการวจิ ยั ของครเู พ่ิมเติม
หลกั สตู รและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๖๖ การนำเสนอและการแปลผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู คือการนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลทไี่ ด้มานำเสนอใน รูปแบบท่ที าใหเ้ ขา้ ใจง่าย เช่น นำเสนอในรปู ของการบรรยายความเปน็ รอ้ ยแกว้ ธรรมดาหรอื นำเสนอในรูปของ ตาราง ถา้ หากข้อมูลนั้นมีตัวเลขมากหรือนำเสนอในรูปแบบของแผนภูมิแท่ง วงกลม หรือเสน้ ตรง จะเลือกใช้ แบบไหนก็ขน้ึ อยู่กบั ข้อมลู นัน้ ๆ การเผยแพรผ่ ลงาน รปู แบบการรายงานผลการวิจยั เพอ่ื นำเสนอผลการพัฒนามี ๒ รูปแบบ คือ รปู แบบการรายงาน ผลการวิจยั อย่างไม่เป็นทางการ และรูปแบบการรายงานผลการวิจยั อย่างเป็นทางการ ๕.๑ การรายงานผลการวิจัยอยา่ งไม่เป็นทางการ การเขียนรายงานแบบไมเ่ ป็นทางการมักจะนำเสนออย่างส้ัน ๆ แตม่ สี าระสำคัญแสดงถึงความ เป็นเหตุเปน็ ผลของกระบวนการวจิ ัย ใหผ้ ้อู า่ นเขา้ ใจถึงสิ่งทีค่ รูศึกษาและส่งิ ท่ีคน้ พบ โดยอาจจะนำเสนอเป็น ความเรยี ง หรือกำหนดประเด็นการเขียน และควรแสดงถึงหลักฐานเก่ยี วกับกระบวนการดาเนนิ งานและผล การศึกษาประกอบ เพ่ือยืนยันขอ้ สรุปตา่ ง ๆ ที่ได้จากการวิจัย ดังนี้ - เสนอให้เหน็ วา่ ปัญหาทีต่ ้องการแก้ไขคอื อะไรหรือคุณภาพทีต่ ้องการเพ่มิ พูนคืออะไร - สำคญั เพียงใด - แนวทางท่ีคาดว่าจะได้ผลดีหรอื นวตั กรรมคืออะไร - ทำไมจงึ คิดว่าจะไดผ้ ลดี - ลงมอื ปฏบิ ัตจิ รงิ เม่ือไร กบั เด็กกลุม่ ใด - ปฏบิ ตั ิได้อย่างไรบ้าง - มอี ะไรเกิดขน้ึ ในระหว่างการปฏบิ ัตจิ รงิ บ้าง ดหี รือไมด่ ีอย่างไร - เมอ่ื ปฏิบัติสน้ิ สดุ แล้ว ผลปลายทางทเ่ี กดิ ข้ึนคอื อะไร เป็นจานวนเทา่ ใด มีคุณภาพอยา่ งไร ตรงกบั ที่คาดหวังไว้มากเพียงใด - ครรู ู้สึกอย่างไรต่อผลงาน คิดว่านา่ จะปรบั ปรงุ เพม่ิ เติมอย่างไรอีก ๕.๒ การเขียนรายงานการวจิ ัยแบบเป็นทางการ รูปแบบการรายงานการวิจัยแบบเปน็ ทางการนี้ มีโครงสรา้ งของเนื้อหาสาระทน่ี ำเสนอ ใน ลักษณะของการวจิ ัยเชงิ วิชาการที่ส่วนใหญม่ ักมีการนำเสนอทม่ี รี ปู แบบตายตวั ดงั ตวั อย่างรายงานวจิ ัยแบบเปน็ ทางการมีลักษณะเหมอื นรายงานวจิ ยั เชงิ วชิ าการทวั่ ๆ ไป ทีใ่ ช้กนั ในหม่นู ักวิจัย มักนาเสนอในรูป ๕ บท คือ บทที่ ๑ บทนำ -ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจยั -วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจัย -ขอบเขตการวจิ ัย -กลุม่ ประชากร/กลุ่มตวั อยา่ ง -เน้ือหา -ตัวแปร -ระยะเวลา -ประโยชนท์ ่ไี ดร้ บั จากการวิจยั
หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๖๗ บทที่ ๒ เอกสารที่เก่ียวข้องกับการวิจัย -แนวคดิ ทฤษฎที ่เี กย่ี วข้อง -กรอบแนวคดิ ในการวิจัย บทท่ี ๓ วิธีดำเนนิ การวิจยั -รปู แบบการวิจัย -ขนั้ ตอนการดำเนินการ -เครือ่ งมือการวจิ ยั -การเกบ็ รวบรวมข้อมูล -วธิ วี ิเคราะห์ขอ้ มูล บทท่ี ๔ ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล บทท่ี ๕ สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ -สรปุ ผลการวิจัย -อภปิ รายผลการวิจยั -ขอ้ เสนอแนะ -บรรณานกุ รม -ภาคผนวก สรปุ ท้ายบท การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิเปน็ การวจิ ัยทเ่ี หมาะสมกบั การพัฒนาการเรยี นการสอนของครูหรอื พัฒนาผเู้ รยี นใน ทกุ ระดับ ครผู สู้ อนสามารถดาเนินการวจิ ัยได้พรอ้ มๆ กับการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีในชนั้ เรยี น ไม่ตอ้ งใช้เงินงบประมาณ มากมาย ไม่ต้องเสียเวลามากนกั แต่ประโยชน์ทีไ่ ด้คมุ้ ค่า เปน็ การพัฒนาครูไปสคู่ รวู ชิ าชพี ชน้ั สูงอยา่ งแทจ้ รงิ การวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการในช้นั เรยี นก็คือ การแกป้ ญั หาและปรับปรุงพัฒนาการเรยี นการสอนในช้นั เรยี นนั่นเอง และมี ความยืดหยนุ่ สงู มากนช้ันเรยี นนนั่ เอง และมคี วามยืดหยุ่นสูงมาก
หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๖๘ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท กติ ติพร ปัญญาภิญโญผล. (๒๕๔๑). รปู แบบของวิธกี ารวิจัยเชิงปฏิบัตกิ ารในชน้ั เรียน :กรณีศกึ ษาสาหรบั ครู มธั ยมศกึ ษา. เชยี งใหม่ : คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. กระทรวงศึกษาธิการ กองวจิ ยั ทางการศึกษา . (๒๕๔๒) วจิ ัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ . กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์การศาสนา กรมศาสนา. จรยิ า เสถบุตร. (๒๕๒๖). ระเบียบวธิ วี ิจัยทางการศึกษา.ขอนแกน่ :มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น คณะศึกษาศาสตร์. ทิศนา แขมมณ.ี (๒๕๔๐). การวิจยั ทางการศึกษา ในทิศนา แขมมณี และสร้อยสน สกลรักษ์ (บรรณาธิการ). แบบแผนและเครอื่ งมือการวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. นงลกั ษณ์ วิรชั ชัย. (๒๕๔๕). การวิจยั และพัฒนาการเรยี นการสอน : การวจิ ัยปฏิบตั กิ ารของครู. เอกสาร ประกอบการบรรยาย ระหว่างวนั ที่ ๖-๘ สงิ หาคม ๒๕๔๕ ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขมุ วิท กรุงเทพมหานคร. เอกสารอัดสาเนา. พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์. (๒๕๔๖). วจิ ัยในช้ันเรยี น ทกั ษะวิชาชพี ครปู ฏิรปู การศึกษา. [ระบบออนไลน์]. แหลง่ ทมี่ า: http://comcenter.rimc.a.th/~comcenter/Nc๑.html.(๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖). ยาใจ พงษ์บริบูรณ.์ (๒๕๓๗) . การวจิ ัยเชิงปฏิบัติการ . วารสารศกึ ษาศาสตร์, ๑๔(๒),๑๓. สุวัฒนา สวุ รรณเขตนคิ ม. (๒๕๔๐) การวิจัยในชน้ั เรยี น (Classroom Action Research) ในทิศนา แขมมณี และสร้อยสน สกลรกั ษ์ (บรรณาธกิ าร). แบบแผนและเครอ่ื งมือการวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . สุวิมล วอ่ งวาณชิ . (๒๕๔๗). การวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในช้ันเรียน. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พ์จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . สานักนิเทศและพฒั นามาตรฐานการศึกษา สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ กระทรวงศกึ ษาธิการ. (๒๕๔๔). การวจิ ัยในชน้ั เรยี นเพอื่ พฒั นาการเรียนรู้. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์การศาสนา กรมศาสนา. Freeman, Donald. (๑๙๙๘). Doing Teacher-Research : From Inquiry To Underst anding. Canada : Heinle & Heinle. Kerlinger,Fred N. 1964. Foundations of Behaviral Research New York : Holt, Rinehart and Winston. Lewin, Kurt. (1951). “Field. Theory and Leaning” Ind. Cartwright Field Theory in Social Science : Selected Theoretical. New York : Harper and Row.
หลกั สตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๖๙ บทท่ี ๖ บทบาทของครูในการจดั การเรยี นรู้ วตั ถุประสงค์ประจำบท เมื่อได้ศกึ ษาเนื้อหาในบทนแี้ ลว้ ผู้ศกึ ษาสามารถ ๑.บอกความหมายและบทบาทของครไู ด้ ๒.อธิบายรูปแบบการจดั ช้ันเรียนได้ ขอบข่ายเนอื้ หา • ความหมายและบทบาทของครู • รปู แบบการจัดช้นั เรียน
หลักสตู รและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๗๐ ๖.๑ ความนำ ผ้ทู ม่ี บี ทบาทสำคัญที่สุดในการจัดการเรยี นการสอน คอื ครูผู้สอน ดงั นั้นครผู ูส้ อนจำเป็นทจ่ี ะต้องเข้าใจ เรือ่ งที่เก่ียวกับการจัดการเรยี นการสอน โดยเฉพาะเรือ่ งของความสำคญั ความจำเป็น ท้ังนี้เพราะจะช่วยในการ ปรับเปลีย่ นแนวคิดในการจดั การเรยี นการสอน เม่ือแนวคิดเปล่ียน การกระทำยอ่ มเปลี่ยนตามไปด้วย การ กระทำหรือบทบาทของครผู ู้สอนมีอทิ ธิพลต่อเปน็ เรียนเป็นอย่างมาก ครู คือ ผทู้ ่ีมคี วามสามารถให้คำแนะนำ เพื่อใหเ้ กิดประโยชน์ทางการเรยี น สำหรบั นักเรียน หรือ นักศึกษาในสถาบันการศกึ ษาตา่ ง ๆ ท้ังของรฐั และ เอกชน มีหนา้ ที่ หรือมีอาชีพในการสอนนักเรยี น เก่ียวกับวิชาความรู้ หลักการคดิ การอ่าน รวมถงึ การปฏบิ ตั ิ และแนวทางในการทำงาน โดยวิธใี นการสอนจะแตกต่างกันออกไปโดยคำนึงถงึ พนื้ ฐานความรู้ ความสามารถ และเป้าหมายของนักเรียนแต่ละคน การทำท่าตามบท การทำตามหน้าท่ีทก่ี ำหนดไว้ เชน่ บทบาทของพ่อแม่ บทบาทของครู ๖.๒ ความหมาย นกั สังคมวทิ ยา นักจิตวทิ ยาและนกั การศกึ ษา ได้ใหค้ วามหมายของคาว่า บทบาท ไว้อย่างหลากหลาย ดงั นี้ ๖.๒.๑ บทบาท ศักด์ิไทย สุรกิจบวร๔๒ กล่าวว่า บทบาท คือ การกระทำหรือพฤติกรรมของสมาชิกในกลุ่มที่ อยู่ในสถานภาพนน้ั ๆ ดังนน้ั บทบาทจึงเป็นการกระทำหรอื พฤตกิ รรมตามตำแหน่งหรือสถานภาพซ่งึ เป็นไปตาม ความคาดหวังของสงั คมหรือตามลกั ษณะของการรับร้บู ทบาทเป็นผลรวมของการแสดงออกตามสทิ ธิและหน้าที่ สนธยา พลศรี๔๓ ให้ความหมายว่า บทบาท (Role) หมายถึง หน้าที่ของบุคคลตามสถาน ภาพหรือตำแหน่งฐานะที่ตนดำรงอยู่ บทบาทจึงเป็นกลไกอย่างหน่ึงของสังคมท่ีทำให้คนที่อยู่ร่วมกันสามารถ สร้างระบบความสมั พนั ธ์ต่อกนั ได้อย่างเปน็ ระเบยี บเรียบร้อย ประเสริฐ แย้มกล่ินฟุ้ง และคณะ๔๔ ได้อธิบายไว้วา่ บทบาท คือ พฤติกรรมที่คาดหวังสาหรับ ผู้ท่ีอยู่ในสถานภาพต่าง ๆ ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร (Role Expectation) เป็นบทบาทที่คาดหวังโดยกลุ่มคน หรือสังคมเพื่อทำให้คู่สัมพันธ์มีการกระทำระหว่างกันทางสังคมได้ รวมทั้งสามารถคาดการณ์พฤติกรรมที่จะ เกิดขน้ึ ได้ สมใจ ลักษณะ๔๕ กล่าวถึง บทบาท คือ พฤติกรรมของผู้ดารงตำแหน่งหน้าที่ หรือสถานะใด ๆ ในกลุ่มซ่ึงจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งและหน้าท่ี บทบาทน้ีอาจมีลักษณะเป็นทางการตาม กฎระเบียบของกลุ่มรูปนัยท่ีจะกำหนดส่ิงที่บุคคลแต่ละบุคคลท่ีครองตำแหน่งหน้าที่ใด ๆ จะต้องคิด ตัดสินใจ ปฏิบัติกิจกรรมท้ังในส่วนของตนและส่วนที่จะต้องติดต่อสัมพันธ์กับผู้มีตำแหน่งหน้าที่อ่ืน ๆ ในกลุ่ม และอาจมี ลักษณะไม่เป็นทางการที่เป็นความคาดหวังของสมาชิกในกลุ่มท่ีต้องการให้ผู้มีหน้าท่ีหนึ่ง ๆ ต้องมีพฤติกรรม ใดบา้ ง ๔๒ ศกั ด์ไิ ทย สรุ กจิ บวร..จิตวิทยาสังคม.กรุงเทพ ฯ : สุวีรยิ าสาสน์ .๒๕๔๕ ๔๓ สนธยา พลศร.ี ทฤษฎแี ละหลกั การพฒั นาชมุ ชน. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร.์ ๒๕๔๕. ๔๔ ประเสริฐ แยม้ กลิ่นฟุ้ง และคณะ. สงั คมและวัฒนธรรม. พมิ พค์ ร้ังท่ี ๗. กรุงเทพฯ: สานักพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .๒๕๔๔. ๔๕ สมใจ ลกั ษณะ. ๒๕๔๒. พฤติกรรมองค์การ. กรุงเทพฯ: ศนู ยก์ ารพิมพ์สถาบันราชภัฏสวนสนุ นั ทา.
หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๗๑ ยนต์ ชุ่มจิต๔๖ ได้อธิบายไว้ว่าบทบาท คือ ภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบสถานภาพของแต่ละ บุคคล หมายความว่า บุคคลใดมีสถานภาพหรือตำแหน่งอย่างใดก็ต้องรับผิดชอบตามสถานภาพหรือตำแหน่ง ของตนท่ไี ด้มา ปราโมทย์ คล้ายศิริ๔๗ ให้ความหมายว่า บทบาท คือ พฤติกรรมของบุคคลท่ีแสดงออกตาม หน้าที่ หรือตำแหนง่ ท่ีมีอยู่ใหเ้ ป็นทีร่ ู้เห็นของบคุ คลอนื่ ซ่ึงพฤตกิ รรมทแี่ สดงออกมานนั้ อาจตรงกับความต้องการ ของผทู้ ่ีเก่ียวข้องหรอื ไม่ก็ได้ จารุพร เพง็ สกลุ ๔๘ กล่าวถงึ บทบาท หมายถงึ พฤติกรรมของบคุ คลที่แสดงตามตำแหน่งหรือ สถานะทางสังคมท่บี ุคคลนั้น ๆ ดารงตำแหนง่ อยู่ ซ่งึ มีท้ังบทบาททีป่ ฏิบัติจรงิ (Role Behavior) กับบทบาท ตามความคาดหวงั ของบุคคลอ่ืน (Role Expectation) ซง่ึ บางครง้ั อาจสอดคล้องหรือไม่สอดคลอ้ งกบั ความ คาดหมายของสมาชิกในชุมชน ณรงค์ เส็งประชา๔๙ ไดก้ ล่าววา่ บทบาท คือ พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ตั ิตามสถานภาพ บทบาทเป็น พฤติกรรมทส่ี ังคมกำหนดและ คาดหมายใหบ้ คุ คลต้องกระทาตามหนา้ ที่ เชน่ เป็นครตู องสอนนักเรยี น เป็น ตำรวจต้อง พิทกั ษส์ นั ติราษฎร์ ทหารตอ้ งเปน็ รว้ั ของชาติ บตุ รตองเช่อื ฟังบิดามารดา เปน็ ตน้ เม่ือคนเราติดต่อ สมั พันธ์กับผูอ้ ื่นมากข้นึ ย่อมจะตอ้ งแสดงบทบาทหลายบทบาท มากขึน้ ตามค่บู ท หรือตามสถานภาพอนั เกิด จากความสัมพันธอ์ ่นื ๆ และบางคร้ังบทบาท ที่เกิดขึ้นอาจเกิดการขดั แยง้ กนั ได้ เชน่ ขณะทเี่ ขาจะแสดงบทบาท เป็นผู้บังคับบญั ชา แตผ่ ู้อยู่ใต้บังกบั บญั ชาในหน่วยราชการที่เขารบั ผดิ ชอบเปน็ บิดาของเขา ในสถานภาพนที้ ี่ เป็นบตุ รเขาจะต้องเชื่อฟังบิดา ต้องเคารพบิดา ดังนนั้ ในกรณีเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความอดึ อัดใจและจำเป็นต้อง หาทางเลือกในการปฏบิ ตั ิ ลกั ษณะเชน่ น้ีจะเปน็ ปัญหาท่ีเกิดจากบทบาท ขัดแย้งกัน เม่ือบคุ คลได้ดำรงตำแหนง่ ในสงั คม ย่อมจะตอ้ งแสดงบทบาทตามตำแหนง่ น้ัน ๆ ตำแหน่งเดียวกัน แต่ผูด้ ำรงตำแหน่งคนละคนอาจมี บทบาทต่างกนั ไป เพราะต่างคนตางมนี สิ ยั ความคดิ ความสามารถ การอบรม กาลงั ใจ มูลเหตจุ ูงใจ ความ พอใจในสทิ ธหิ นา้ ท่ี สภาพของจิตใจ ๖.๒.๒ ประเภทของบทบาท ในการศึกษาประเภทของบทบาท ไดม้ ผี จู้ ำแนกประเภทของบทบาทไวอ้ ยา่ งหลากหลาย ดงั นี้ Broom และ Selznick (๑๙๗๓ : ๓๖ อ้างถึงใน จารุพร เพง็ สกลุ , ๒๕๔๕ : ๑๓)๕๐ ได้ จำแนกบทบาทออกเป็น ๑. บทบาทตามอุดมคติ (Ideal Role) เป็นบทบาทในอุดมคตทิ ม่ี ีการกำหนดสิทธหิ น้าที่ ระบุ เป็นลายลักษณ์อกั ษรหรือมีตวั บทกฎหมาย ระเบียบ กำหนดใหก้ ระทากิจกรรมในตำแหนง่ หนา้ ที่นนั้ ๆ ๒. บทบาทท่เี ปน็ จรงิ (Performed Role) เป็นบทบาทท่บี ุคคลได้กระทำจริงซึ่งจะขึ้นกับ การ สังเคราะห์จาก ความเชื่อ ความหวังการรับรู้ และประสบการณข์ องผูท้ ี่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ท้งั ยังต้องพิจารณา ถึงความกดดนั ขดี จากดั และโอกาสในแต่ละสงั คม ในระยะเวลานนั้ ๆ ดว้ ย ๓. บทบาทท่คี วรปฏิบัติ (Perceived Role) เป็นบทบาทท่ีผดู้ ารงตำแหน่ง เชื่อหรอื หวังว่าควร กระทาตามตำแหน่งที่ได้รับ แต่ยังไม่ได้กระทำ ซ่ึงอาจจะไม่เหมือนกับบทบาทในอุดมคติ(ไม่มีอยู่ในระเบียบ, ๔๖ ยนต์ ชมุ่ จิต..ความเปน็ ครู. พมิ พค์ รั้งที่ ๓ . กรงุ เทพ ฯ : โอเดยี นสโตร์.๒๕๔๑ ๔๗ ปราโมทย์ คล้ายศริ .ิ การปฏบิ ตั ติ ามบทบาทคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ตาม ระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธกิ ารวา่ ดว้ ยคณะกรรมการ สถานศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน สงั กดั สานกั งานการประถมศกึ ษาจงั หวดั สมทุ รสงคราม. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาครศุ าสตรมหาบัณฑติ สาขาการบรหิ ารการศกึ ษา สถาบนั ราชภัฏหมบู่ า้ นจอมบงึ . (สาเนา).๒๕๔๕. ๔๘ จารุพร เพ็งสกลุ .. ความคาดหวังของผนู้ าชมุ ชนต่อบทบาทนกั พัฒนาในการสร้างเสริมความเขม้ แขง็ แก่ชมุ ชนพื้นทกี่ ารดาเนนิ งานตาม แผนปฏบิ ตั กิ ารสร้างเสริมความเข้มแข็งของชุมชนเพอื่ เผชญิ ปญั หาวกิ ฤตภาคใต้. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาพฒั นาชุมชนมหาบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์ (สาเนา) ๒๕๔๕. ๔๙ ณรงค์ เส็งประชา. มนษุ ย์กับสงั คม. พิมพค์ รงั้ ท่ี ๔. กรุงเทพฯ : โอ.เอส. พรน้ิ ต้งิ เฮาส.์ ๒๕๔๑. ๕๐ จารุพร เพง็ สกุล. อ้างแล้ว. เรื่องเดยี วกนั . หนา้ ๑๓.
หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๗๒ กฎหมาย) และบทบาทที่กระทำจริง นอกจากน้ีบทบาทท่ีควรกระทำยังขึ้นกับความแตกต่างขององค์กร ความคดิ นึก ประสบการณ์ และการรบั รูข้ องผ้ดู ำรงตำแหนง่ แตล่ ะคนดว้ ย จกั รรชั ธีระกลุ ๕๑ ไดก้ ลา่ วถึง ประเภทของบทบาทมีองคป์ ระกอบ ดังต่อไปน้ี ๑. ขอ้ บญั ญตั ขิ องสงั คม (Prescribed Role) หรอื บทบาทอดุ มคติ บทบาทอุดมคติ จะกำหนดสิทธแิ ละหนา้ ที่ให้กับตำแหนง่ ทางสังคม เช่น จะบอกให้ทราบถงึ ความคาดหวงั ตอ่ ผเู้ ป็นพ่อและแม่วา่ สังคมมีไวอ้ ยา่ งไร เข้ามีพนั ธะตอ่ ใครอย่างไร และจะเรียกร้องจากใครไดแ้ ค่ไหนเพียงไร ๒. บทบาททีบ่ คุ คลเข้าใจ (Perceived Role) ซึง่ จะขน้ึ อยู่กับความเช่ือท่ีบุคคลเข้าใจ วา่ จะต้องทำในตำแหน่งเฉพาะของเขา รวมทง้ั การตคี วามสถานการณ์ของบคุ คลเองซึ่งไมจ่ าเปน็ จะต้องตรงกับ บทบาทอุดมคติ ในทำนองเดยี วกัน บคุ คลซึ่งเราจะต้องติดต่อด้วยนัน้ ก็อาจแตกตา่ งกนั ในดา้ นแนวความคิด ดงั น้ันในการพจิ ารณาบทบาทท่ีบุคคลกระทำต่อกันนน้ั ไม่พึงสรุปเอาว่าบรรทดั ฐานต่าง ๆ ของสังคมนั้นจะไดร้ บั การยอมรบั หรือเข้าใจจากบุคคลตา่ ง ๆ ไปในแนวเดียวกนั ๓. บทบาทที่เป็นจริง (Actual Role) เป็นบทบาททบี่ ุคคลลงมือกระทำจรงิ ๆ ซงึ่ สิ่งที่ บุคคลปฏบิ ัตจิ ริงน้นั อาจเกินเลยไปกวา่ ความเชื่อทางสังคม ความคาดหมายของคนอน่ื หรือ ความเข้าใจของ บคุ คลเอง แต่ข้นึ กบั เงื่อนไขของบุคลิกภาพเฉพาะตัว และประสบการณ์ของเขาเองดว้ ย ดเิ รก พละเลศิ ไดแ้ บ่งประเภทของบทบาทตามภารกจิ และความรบั ผดิ ชอบของผู้บรหิ ารไว้ เป็น ๒ ประเภท คือ ๑.บทบาทที่จำเป็นต้องกระทำหรือบทบาทตามกฎหมาย เป็นบทบาทท่ีเขียนไว้เป็นลาย ลักษณ์อกั ษร จะมีปรากฏอยู่ตามระเบียบ ข้อบังคับ คาสั่งต่างๆทีก่ ำหนดให้ผดู้ ำรงตำแหน่งนั้นๆ จาเป็นจะต้อง กระทำหรอื งดเวน้ กระทา ถา้ ไม่กระทำหรืองดเว้นการกระทำจะต้องมีความผดิ ๒.บทบาทอันควรกระทำหรือบทบาทอนั ควรจะเปน็ เป็นบทบาททก่ี ำหนดไว้ตามกฎหมาย แต่ องค์กรหรือสงั คมมงุ่ หวังให้ผูด้ ำรงตำแหน่งนั้นๆ ควรปฏิบตั ิหรือควรกระทาแม้ว่าจะมิได้กำหนดไวเ้ ป็นกฎหมาย กต็ าม พวงเพชร สุรัตนกวีกล ไดใ้ ห้แนวคดิ เกย่ี วกบั บทบาทว่า บทบาทเปน็ รปู ธรรม เห็นไดจ้ ากการ กระทำท่แี สดงออกมา บทบาท มี ๓ ดา้ น คอื ๑.บทบาทในอดุ มคติ (Ideal Role) ไดแ้ ก่ บทบาทอันกำหนดไว้ตามความคาดหวัง ของบุคคล ทวั่ ไปในสงั คมเพื่อเปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติ เป็นแบบฉบับทีส่ มบรู ณ์ ซง่ึ ผทู้ ี่มีสถานภาพนัน้ ๆ ควรกระทำ แต่ อาจมีใครที่ทำหรือไม่มีใครทำตามน้นั กเ็ ป็นได้ ๒.บทบาทที่บุคคลเข้าใจหรือรับรู้ (Perceived Role) เป็นบทบาทอนั บคุ คลคาดคิด ดว้ ย ตนเองว่าควรเปน็ อย่างไร ทัง้ นี้จะข้นึ อยูก่ บั ทัศนคติ คา่ นยิ ม บุคลิกภาพและประสบการณข์ องแต่ละบุคคลดว้ ย ๓.บทบาททแี่ สดงออกจริง (Actual Role) เป็นการกระทำทีบ่ คุ คลปฏิบตั จิ ริง ขึ้นอยู่ กบั เหตุการณเ์ ฉพาะหนา้ ในขณะน้ันด้วย ทำใหก้ ารแสดงบทบาทแตกตา่ งกนั ไป โดยสรุปบทบาทเป็นพฤตกิ รรมของบคุ คลท่ีแสดงตามตำแหนง่ หรอื สถานะทางสงั คมทีบ่ ุคคลนนั้ ๆ ดำรง ตำแหนง่ อยู่ ซึ่งสรปุ ประเภทของบทบาทได้ ๓ ลกั ษณะ ดงั นี้ ๑.บทบาทท่ีตนเองหรอื บุคคลที่ดำรงตำแหนง่ นั้นคาดหวัง ว่าตนเองควรจะมีบทบาทอยา่ งไรคาดหวงั ว่า ตนเองควรจะปฏิบตั ิอย่างไรในตำแหนง่ นน้ั ๆ เรยี กวา่ บทบาททค่ี าดหวัง ๒.บทบาทคาดหวังจากผู้อ่ืน หรือจากสังคมตอ้ งการใหบ้ ุคคลที่อย่ใู นตำแหนง่ นั้นๆ แสดงพฤติกรรมหรอื ปฏบิ ัติตามตำแหนง่ หนา้ ทีท่ ่ีทางสงั คมครอบครองอยู่ เรยี กว่า บทบาทท่ีสังคมกำหนด ๕๑ จักรรชั ธรี ะกุล. สงั คมวทิ ยาเบอ้ื งต้น. นครศรธี รรมราช: สถาบนั ราชภฏั นครศรธี รรมราช.๒๕๔๒.
หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๗๓ ๓.บทบาทที่เปน็ จริง หรือพฤติกรรมทบ่ี คุ คลน้ัน หรอื บุคคลที่ดำรงตำแหนง่ ไดก้ ระทำจรงิ เรยี กวา่ บทบาท ที่เปน็ จริง ๖.๒.๓ ครู ครูคือใคร คำว่า “ครู” มีความหมายลึกซ้ึงกว้างขวางมาก แต่ถ้าดูจากรากศัพท์ภาษาบาลีว่า “ครุ” หรือ ภาษาสันสกฤตว่า “คุรุ” นั้น มีความหมายว่า “ผู้สั่งสอนศิษย์ หรือผู้ควรได้รับการเคารพ”ได้มีผู้ให้ ความหมายของคำว่า “ครู” ไว้หลายอย่าง เช่น“ครู” คือ ผู้ทำ หน้าที่สอนและให้ความรู้แก่ศิษย์ เพ่ือให้ศิษย์ เกดิ ความรู้ความก้าวหน้าในสาขาวิชาน้ัน ๆ ยนต์ ช่มุ จติ ๕๒ ได้อธบิ ายคำว่า “คร”ู ดงั น้ี ๑. ครู เปน็ ผนู้ ำทางศษิ ย์ไปสู่คุณธรรมช้ันสงู ๒. ครู คือ ผู้อบรมส่ังสอนถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์ เป็นผู้มีความหนักแน่นควรแก่การ เคารพของลกู ศิษย์ ๓. ครู คือผู้ประกอบอาชีพอย่างหน่ึงที่ทำหน้าที่สอน มักใช้กับผู้สอนในระดับต่ำกว่าวิทยาลัย และมหาวิทยาลยั หรือสถาบนั อดุ มศึกษา รังสรรค์ แสงสขุ อดตี อธกิ ารบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ใหค้ วามเหน็ วา่ ครู คอื ผู้ให้ ผเู้ ติมเต็ม และผมู้ ีเมตตา ครู คือ ผู้ที่ให้ความรู้ไม่จำกัดทุกที่ทุกเมื่อ ครูต้องเต็มไปด้วยความรู้ และรู้จักขวนขวายหาองค์ความรู้ ใหม่ ๆ สะสมความดี มีบารมีมาก และครทู ่ีดีจะต้องไม่ปิดบังความรู้ ควรมจี ิตและวญิ ญาณของความเป็นครู ครู คือ ผู้เติมเต็ม การท่ีครูจะเป็นผู้เติมเต็มได้ ครูควรจะเป็นผู้แสวงหาความรู้ ต้องวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ และมาบูรณาการความรู้ตา่ ง ๆ เขา้ ด้วยกนั ครู คือ ผู้ที่มีเมตตา จะตอ้ งสอนเต็มท่โี ดยไมม่ ีการขเ้ี กียจหรอื ปิดบงั ไมใ่ ห้ความรเู้ ต็มที่ ครูต้องไมล่ ำเอียง ไม่เบียดเบียนศิษย์ ในหนังสือ พจนะ - สารานุกรมไทย เปลื้อง ณ นคร๕๓ ได้ให้ความหมายของคำว่า“ครู” ไว้ ดังนี้ ๑. ผู้มคี วามหนกั แน่น ๒. ผูค้ วรแกก่ ารเคารพของศิษย์ ๓. ผูส้ ่งั สอน คาร์เตอร์ วี กดู๊ (Carter V. Good. 1973: 586)๕๔ ได้ใหค้ วามหมายของคำว่า “ครู” (teacher) ไวด้ งั นี้ ๑. person employed in an official capacity for the purpose of guiding and directing the learning experience of pupils or students in an educational institution whether public or private. ๒. person who becomes of rich or unusual experiencing or education or both in given field is able to contribute to the growth or development of other person who comes to contact with him. ๓. person who has completed a professional curriculum in a teacher education institution and whose training has been officially recognized by the award of an appropriate teaching certificate. ๕๒ ยนต์ ชมุ่ จติ . การศกึ ษาและความเปน็ ครไู ทย. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์โอเดยี นสโตร์. ๒๕๔๑ หนา้ ๒๙. ๕๓ เปลื้อง ณ นคร. ปญั หาภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : บณั ฑติ การพมิ พ.์ ๒๕๑๖. หนา้ ๘๙. ๕๔ Good, Carter V. Dictionary of Education. 3rd Edition. New York: McGraw – Hill Book Company. 1973: 586.
หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๗๔ ๔. person who instructs the other. จากคำ ภาษาองั กฤษขา้ งบนน้ัน จะเห็นไดว้ ่า ความหมายของคำวา่ “คร”ู (Teacher) คือ ๑. ครู คือ ผู้ที่มีความสามารถให้คำแนะนำ เพ่ือให้เกิดประโยชน์ทางการเรียนสำหรับนักเรียน หรือ นักศกึ ษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทงั้ ของรัฐและเอกชน ๒. ครู คือ ผู้ที่มีความรู้ประสบการณ์และมีการศึกษามากหรือดีเป็นพิเศษ หรือมีทั้งประสบการณ์และ การศกึ ษาดเี ปน็ พเิ ศษในสาขาใดสาขาหน่งึ ทีส่ ามารถช่วยให้ผอู้ น่ื เกิดความเจรญิ กา้ วหนา้ ได้ ๓. ครู คอื ผูท้ ีเ่ รียนสำเร็จหลกั สูตรวชิ าชีพจากสถาบนั การฝึกหดั ครู และได้ใบรับรองทางการสอนดว้ ย ๔.ครู คอื ผ้ทู ท่ี ำหน้าทสี่ อนให้ความรูแ้ ก่ศิษย์ นอกจากนี้ คำว่า “ครู” ยงั มีความหมายอื่น ๆ ไดอ้ ีก เช่น ๑.“ครู คอื ปูชนียบุคคล” หมายถึง ครูทีเ่ สียสละ เอาใจใสเ่ พื่อความเจริญของศิษย์ ซง่ึ เปน็ บคุ คลทคี่ วรเคารพเทดิ ทนู ๒.“ครู คือ แม่พิมพ์ของชาติ” หมายถงึ การเปน็ แบบอยา่ งทีด่ ีของลูกศิษย์ทีจ่ ะปฏบิ ตั ติ ัวตาม อย่างครู ๓.“ครู คือ ผู้แจวเรือจา้ ง” หมายถงึ อาชพี ครเู ป็นอาชีพทไ่ี ม่ก่อให้เกิดความรำ่ รวย ครูตอ้ งมี ความพอใจในความเปน็ อยูอ่ ย่างสงบเรยี บร้อย อย่าหวน่ั ไหวตอ่ ลาภ ยศ ความสะดวกสบาย โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า บทบาทและครู ทั้งสองคำนี้ คือ ผู้ที่ทำหน้าท่ีสอนให้ศิษย์เกิดความรู้ และมี คุณธรรม จริยธรรมที่ดี นำประโยชน์ให้แก่สังคมได้ในอนาคต ตามบทบาทหน้าท่ีหรือการกระทำของบุคคลที่มี ผลตอ่ บุคคล ๖.๒.๔ การจดั การชนั้ เรยี น การจดั การช้นั เรียน หมายถึง การจัดสภาพแวดล้อมท้ังภายในและภายนอกห้องเรยี น เพื่อ สนบั สนนุ ให้เดก็ เกิดการเรียนรู้อยา่ งมีความสุข โบรฟี (Jere Brophy)๕๕ กล่าวถึงการจดั การช้ันเรยี นไวว้ า่ หมายถึง การท่ีครสู รา้ งและคง สภาพส่ิงแวดล้อมในการเรยี นร้ทู ่นี ำไปสู่การจัดการเรียนการสอนทปี่ ระสบความสำเรจ็ ทั้งในดา้ นส่งิ แวดลอ้ ม การสร้างกฎระเบยี บและการดำเนินการท่ีทำใหบ้ ทเรยี นมคี วามนา่ สนใจอย่างต่อเนื่อง รวมทง้ั การมสี ่วนรว่ มใน กจิ กรรมทางวชิ าการในช้นั เรียน เบอรเ์ ดน (Paul Burden)๕๖ ใหค้ ำจำกัดความของการจดั การชัน้ เรยี นไวว้ า่ เปน็ ยุทธศาสตร์ และการปฏบิ ตั ิทีค่ รูใชเ้ พื่อคงสภาพความเปน็ ระเบียบเรียบร้อย สุรางค์ โค้วตระกูล๕๗ ได้อธิบายความหมายของการจัดการห้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ วา่ หมายถึงการสร้างและการรักษาสิ่งแวดล้อมของห้องเรียนเพ่ือเอ้ือต่อการเรียนรู้ของนักเรียน หรือหมายถึง กิจกรรมทุกอย่างท่ีครูทำเพ่ือจะช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพและนักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิในการเรียนรู้ตาม วตั ถปุ ระสงคท์ ่ีต้งั ไว้ อาจสรุปได้ว่า การจัดการช้ันเรียน คือการจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพในห้องเรียน การจัดการกับ พฤติกรรมทเ่ี ปน็ ปัญหาของนักเรียน การสรา้ งวินัยในชั้นเรยี นตลอดจนการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนของครู ๕๕ Alleman, Janet;Brophy, Jere Introduction Children to democratic Government. Social Studies and the Young Learner. Vol. 19 (2006). : 17-19. ๕๖ Paul Burden.R. Classroom Management.2nd ed. New York. : Willey & Sons,2003. ๕๗ สุรางค์ โคว้ ตระกูล. จิตวทิ ยาการศกึ ษา. จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. กรุงเทพฯ: บริษัท ดา่ นสทุ ธาการพิมพ์ จากดั .๒๕๔๘ หนา้ ๔๓๖.
หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๗๕ และการพัฒนาทักษะการสอนของครูให้สามารถกระตุ้นพร้อมท้ังสร้างแรงจูงใจในการเรียน เพื่อให้นักเรียน สามารถเรยี นรู้ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ๖.๓ บทบาทของครู สำนกั นโยบายและแผนการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ๕๘ ไดร้ ะบุถงึ บทบาทครู ในการจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ท่ีพิจารณ าจากกระบวนการสอนไว้ ๓ ประการ คือ ๑. บทบาทในการเตรียมการสอน ได้แก่ การเตรียมสาระการเรียนรู้ การจดั หาแหล่งเรียนรู้และการวาง แผนการสอน ๒. บทบาทในการสอน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างบรรยากาศ การจัดสภาพแวดล้อม การกระตุ้นเร้า ผูเ้ รียน การอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ และการจดั กิจกรรมการเรยี นรูต้ ามทไี่ ด้ออกแบบไว้ ๓. บทบาทในการประเมินผลการเรียนรูท้ ีอ่ อกแบบไว้ให้สอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์ท่ีตอ้ งการ จากแนวคดิ ในการจัดการเรยี นรดู้ งั กล่าว สามารถนำมาสูก่ ารจัดการเรยี นรูใ้ นระดบั ปฐมวยั ศึกษาท่ีมี องคป์ ระกอบ ๓ ประการดงั น้ี ๑. การเตรยี มผสู้ อนใหพ้ ร้อม ๒. การวางแผนการเรียนรู้ ๓. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ซึ่งในแตล่ ะองค์ประกอบมรี ายละเอียดดังต่อไปนี้ ๑. การเตรียมผสู้ อนให้พร้อม ซงึ่ ความหมายของการเตรียมผู้สอนให้พร้อม หมายถึงการที่ผู้สอนจะต้อง มีความพร้อมในด้านความรู้ท่ีจะนำไปสู่การจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียน ท้ังน้ีองค์ประกอบด้านความพร้อมที่ เก่ียวข้องกบั ความรู้มีดังน้ี ๑.๑ การมีความพร้อมด้านความรู้ท่ีตรงตามที่หลักสูตรกำหนด ท้ังนี้ผู้สอนจะต้องวิเคราะห์ จากหลักสูตรการศึกษาปฐมวยั พ.ศ. ๒๕๔๖ ท่กี ำหนดสาระที่ควรเรียนรไู้ ว้ ๔ เรอ่ื งด้วยกันคือ เร่ืองราวเก่ยี วกับ ตวั เด็ก เรื่องราวเก่ียวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก ธรรมชาติรอบตัว และสิ่งต่าง ๆ รอบตัว จากน้ันจึงหา ความรู้ในเร่ืองดังกล่าวในขอบเขตท่ีจะนำมาสู่การสร้างกรอบความรู้ท่ีพอเหมาะและพอเพียงกับผู้เรียน ๑.๒ การกำหนดความรู้ ท้ังน้ีผู้สอนจะนำหัวข้อเนื้อหาที่ได้จากการวิเคราะห์หลักสูตรมา กำหนดขอบเขตของเน้ือหาสาระท่ีเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ท้ังน้ีต้องคำนึงถึงความยากง่ายของเน้ือหาสาระ ความพอเพียงกับความสามารถท่ีจะเรียนรู้ในแต่ละวัย และความสอดคล้องกับความต้องการและความสนใจ ของผู้เรียน ๑.๓ การศึกษาความรู้ท่ีมีความถูกต้อง สมบูรณ์ การกล่ันกรองสาระให้มีความเหมาะสมกับ ธรรมชาติในการเรียนรู้ของผู้เรียน และศึกษาถึงธรรมชาติ ลักษณะของสาระความรู้นั้น ๆ เพ่ือเข้าใจถึงคุณค่า ของความรูท้ จ่ี ะก่อใหเ้ ป็นความรทู้ ม่ี คี วามหมายต่อผเู้ รียน ๑.๔ จัดลำดับความรู้จากง่ายไปหายาก ทำความเข้าใจและจัดความรู้ท่ีซับซ้อนให้มีความง่าย เหมาะกบั การทำความเข้าใจ และเชื่อมโยงความรไู้ ปสู่สาระท่มี อี ยู่ในสภาพชวี ิตจรงิ ที่ ผู้เรียนประสบ ท้ังน้เี พ่ือให้ เกดิ ประโยชนใ์ นแง่ของการนำความรูไ้ ปใช้ ๕๘ สำนักนโยบายและแผนการศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรมสำนักงานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ,การติดตามประเมนิ ผลการดำเนนิ งาน โครงการ อาหารกลางวัน. กรุงเทพฯ;ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๒ หนา้ ๓๗-๓๘.
หลกั สูตรและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๗๖ ๑.๕ มีความรู้ท่ีพร้อมท่ีจะให้คำอธิบาย คำแนะนำ หรือให้คำปรึกษา ให้ความรู้ท่ี ชัดเจน ตรงไปตรงมาและเป็นความร้ทู ถ่ี ูกต้องสมบูรณ์ ๑.๖ การเตรียมแหล่งความรู้เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ประกอบการเรียนรู้ ท้ังจากการปฏิบัติ การ ทดลอง การสืบเสาะ การสืบค้น ซึ่งแหล่งความรู้น้ีจะต้องเป็นแหล่งความรู้ท่ีใช้ประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ใน แบบแผนต่าง ๆ ที่มีความเหมาะสมสอดคล้องกันกับลักษณะของความรู้ ลักษณะของกิจกรรม และธรรมชาติ ของผู้เรียน แหลง่ ความรู้ท่จี ัดเตรยี มหรือจัดหา ได้แก่ แหล่งความร้ปู ระเภทสอื่ การเรยี นรู้ วสั ดอุ ุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ี จะใช้ประกอบกิจกรรมหรือการปฏิบัติการ หรือการทดลอง แหล่งความรู้ประเภทห้องสนับสนุนกิจกรรม เช่น หอ้ งสมุด ห้องปฏิบัติการ ห้องสืบค้น รวมท้ังแหล่งความรใู้ นชุมชน แหล่งความรู้ประเภทบุคคล ได้แก่ วิทยากร ผู้รู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ฯลฯ ท้ังน้ีจะต้องมีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งความรู้เหล่านี้และจัดเก็บไว้อย่างเป็น ระบบเพ่ือการนำมาใช้ และขณะเดยี วกันจะตอ้ งมีการกล่ันกรองจดั นำเสนอแหล่งความรูใ้ หม้ ีความเหมาะสมกับ ธรรมชาตขิ องผู้เรียนดว้ ย ๑.๗ การเข้าใจผู้เรียน ได้แก่ การทำความเข้าใจถึงลักษณะธรรมชาติของผู้เรียนระดับปฐมวัย ศึกษา เกี่ยวกับธรรมชาติของการเรียนรู้ประจำวัย และคุณลักษณะตามวัยของผู้เรียน ทั้งนี้เพื่อนำมาสู่การจัด สาระความรูท้ ่พี อเหมาะกบั ผเู้ รยี น ๑.๘ การพัฒนาความรู้ท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยู่เสมอให้มีความพอเหมาะ มีความเป็นปัจจุบัน และนำมาใช้พฒั นาความรู้เดิมให้สมบรู ณ์ยิ่งขึน้ ๒. การวางแผนการเรียนรู้ เป็นการกำหนดวิธีการจัดประสบการณ์ที่จะนำผู้เรียนไปสู่ จุดประสงค์การ เรียนรู้ โดยใช้ความรู้เก่ียวกับวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน ความสามารถและคุณลักษณะตามวยั ของผู้เรยี น วิธีการ จดั ประสบการณ์ที่เหมาะกับธรรมชาตผิ ู้เรียน ท้งั น้ีโดยมีเป้าหมายเพื่อให้ ผเู้ รียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ไปในทางท่ีดีขึ้น สำหรับการวางแผนการเรียนรู้นั้น จะเกี่ยวเนื่องกับกระบวนการจัดประสบการณ์ใน ๔ เร่ือง ดงั นี้ ๒.๑ การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นการคาดหวังของกระบวนการจัดประสบการณ์ที่ ต้องการให้ผู้เรียนพัฒนาไปสู่เป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ในแต่ละครั้งว่าต้องการพัฒนาผู้เรียนไปในลักษณะ ใด ทั้งนี้การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้จะเกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมายทางการศึกษาในลักษณะ คือจุดมุ่งหมาย ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ขณะเดียวกันการกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้น้ีจะต้องคำนึงถึง ประสบการณ์สำคัญว่า ในการจัดประสบการณ์คร้ังน้ีต้องการให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์สำคัญอย่างไรบ้าง การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้จะช่วยเป็นแนวทางท่ีจะนำไปสู่การกำหนดวิธีการจัดประสบการณ์ท่ีสอด คลอ้ งกนั ต่อไป ๒.๒ การกำหนดสาระการเรียนรู้ เป็นการนำความรู้ที่ได้กล่ันกรองและกำหนดขอบเขตท่ี เหมาะสมกับผู้เรียนมากำหนดไว้ ทั้งน้ีต้องเป็นสาระท่ีมีความหมายต่อผู้เรียน เชื่อมโยงกับชีวิตจริง มีความยาก ง่ายที่เหมาะกับวัย และสามารถนำไปสู่การให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้จากการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ด้วย วธิ กี ารที่เหมาะสม ๒.๓ การกำหนดวิธีการจัดประสบการณ์ เป็นการจัดประสบการณ์ที่ยึดหลักการเรียนรู้จาก การกระทำ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ ได้เคลื่อนไหว สำรวจ สังเกต สืบค้น ทดลอง และเรียนรู้ ร่วมกับกลุ่ม การกำหนดวิธีการจัดประสบการณ์นี้ จะต้องสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ๒.๔ กำหนดวิธีการประเมินผล เป็นการประเมินผู้เรียนว่ามีการเปล่ียนแปลงพัฒนาไปสู่ จุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้หรือไม่ ซ่ึงจะต้องมีการกำหนดวิธีการและเคร่ืองมือประเมินผลการเรียนรู้ที่ เกิดข้ึนกบั ผูเ้ รียน โดยนำจุดประสงคก์ ารเรยี นรมู้ าเปน็ หลกั และกำหนดการประเมินผลตามจุดประสงค์น้ัน ทง้ั นี้
หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๗๗ จะต้องเป็นการประเมินผลที่ครอบคลุมทั้งด้านกระบวนการและผลงาน มกี ารออกแบบเครอื่ งมอื การประเมินผล ที่เหมาะสมและใชป้ ระเมินได้ตรงกบั สิ่งทีต่ ้องการ ๓. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นการออกแบบกิจกรรมสำหรับผู้เรียน โดยยึดหลักการเรียนรู้ที่ให้ ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ และรับรู้ผ่านอวัยวะรับสัมผัส ท้ังน้ีการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้จะต้องพิจารณาจาก จุดประสงค์การเรียนรู้ว่าต้องการให้ผู้เรียนพัฒนาในเรื่องใด ต้องการให้ได้รับประสบการณ์สำคัญด้านใด สาระ การเรยี นร้ทู ่กี ำหนดไว้นั้นมีธรรมชาตขิ องความรู้ในลักษณะใด จากนัน้ จงึ เลือกแบบกจิ กรรมทีเ่ หมาะสม เมื่อออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยเลือกรูปแบบ หรือวิธีการที่ตรงกับทักษะ หรือพฤติกรรมการ เรียนรู้ท่ีต้องการจึงเข้าสู่การจัดกระบวนการเรียนรู้ ตามที่คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้ของกระทรวง ศึกษาธิการ ไดเ้ สนอวิธีไวด้ ังตอ่ ไปนี้๕๙ ๓.๑ การสำรวจความต้องการ เป็นการศึกษาถึงความต้องการและความสนใจที่จะเรียนรู้เรื่อง ต่าง ๆ โดยการซักถาม หรือการจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและสรุปเป็นความต้องการท่ีจะเรียนรู้ ร่วมกัน จากน้ันจึงสำรวจความรู้หรือประสบการณ์เดิมของผู้เรียนท่ีมีต่อเร่ืองเหล่าน้ัน การสำรวจพื้นฐานของ ผูเ้ รยี น ทำใหเ้ กดิ การกำหนดถึงประเดน็ หวั ข้อเร่ืองต่าง ๆ ที่ผู้เรียนแต่ละคนมคี วามต้องการที่จะรู้คำตอบ ซ่ึงจะ เป็นแนวทางของการจดั กิจกรรมการเรียนรตู้ ่อไป ๓.๒. การเตรียมการ เม่ือไดเ้ รอื่ งและหัวข้อเรอื่ งแล้ว ครูกบั เด็กรว่ มกันเตรียมการ โดยเริม่ จาก ครูต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงของเรื่องกบั สาระการเรียนรู้ในหลักสูตร การกำหนดประสบการณ์สำคัญ ทีต่ ้องการใหผ้ ู้เรียนได้รบั และการกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ นำเร่อื งท่ี ผู้เรียนต้องการเรียนบูรณาการสาระ ความรู้เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ และครูร่วมแสดงความ คิดเห็นออกแบบกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติและเรียนรู้จากประสบการณ์ พร้อมทั้งจัดเตรียมแหล่งความรู้ สื่อ อปุ กรณ์ ทีส่ อดคล้องกบั กจิ กรรมทอ่ี อกแบบร่วมกนั ไว้ ๔.การดำเนินกิจกรรมการเรียนรูต้ ามท่อี อกแบบไว้ตามขนั้ ตอนดังน้ี ๔.๑ นำเข้าสู่บทเรียน เป็นการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนต่อเร่ืองท่ีจะเรียน ผู้สอนควรใช้ คำถาม กิจกรรม หรือสถานการณ์ที่กระตุ้น หรือท้าทายให้ผู้เรียนเกิดความสงสัยอยากรู้ในประเด็นต่าง ๆ ผู้เรียนมสี ่วนรว่ มในการตั้งปญั หาและตอบคำถามจากประสบการณ์หรือการคาดคะเน ๔.๒ ข้ันการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ดำเนินการตามกิจกรรมท่ีได้เตรียมการไว้ ท้ังน้ี ผู้เรียน จะต้องมีส่วนร่วมเสนอกิจกรรมและลงมือปฏิบัติทุกขั้นตอนของกิจกรรม มีการปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่มและ สมาชิกระหว่างกลุ่ม ครูจะคอยให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาและอำนวยความสะดวก คอยสนับสนุนและสร้าง บรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกันอย่างมีความสุข ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และสร้างความรู้ด้วยตนเอง เกิดการพัฒนาท้ัง ปัญญาวชิ าการและปญั ญาทางอารมณ์ควบคกู่ นั ไป ๔.๓ ขั้นวิเคราะห์ อภิปรายผล เป็นการสรุปผลจากการทำกิจกรรม โดยครูจะร่วมกับผู้เรียน อภิปรายถึงผลงานหรือประสบการณ์ท่ีผู้เรียนได้ค้นพบจากกิจกรรม และครูจะสนับสนุนเพื่อให้ข้อมูลที่ได้น้ัน ชัดเจนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพ่ือให้ผู้เรียนมีความม่ันใจต่อความรู้ และวิธีการแสวงหาความรู้ เกิดเป็นแนวทางท่ีจะใช้ ในการแสวงหาความร้ตู ่อไป ๕. การประเมินผล เปน็ การประเมนิ ผลเก่ยี วกบั การจดั การเรียนรู้ ว่าเป็นไปตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ หรือไม่ ตามวิธีการและเคร่ืองมือที่ได้ออกแบบไว้ การประเมินผลนี้ต้องครอบคลุมท้ังด้านความรู้ทักษะการ ๕๙ สำนกั นโยบายและแผนการศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.หวั ใจของการปฏิรูปการศึกษาตามแนว พ.ร.บ. การศึกษา แหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พก์ ารศาสนา.๒๕๔๓.หน้า ๒๒-๒๘.
หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๗๘ แสดงออกและความรู้สึกของผู้เรียนและต้องประเมินถึงกระบวนกรที่ผู้เรียนได้ใช้ในการสร้างความรู้ รวมท้ังผล การเรยี นรทู้ งั้ นก้ี ารประเมนิ จะประเมินทัง้ ในขณะทด่ี ำเนินกจิ กรรมและประเมินหลงั กจิ กรรม ๖. การสรุปและนำไปประยุกต์ใช้ หลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนจะเกิดประสบการณ์และ รวบรวมเป็นความร้ทู ีไ่ ด้สร้างข้ึนด้วยตนเอง ทำให้เกดิ ความร้คู วามเข้าใจในส่ิงต่าง ๆ เกดิ เปน็ ข้อสรุปจากสาระที่ ได้เรียนรู้ ครูจะแนะนำให้ผู้เรียนได้แสดงออกถึงผลการเรียนรู้ โดยการสะท้อนความคิด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กบั กลุ่มเพื่อน การแสดงผลงานในรูปต่าง ๆ เช่น การจัดการแสดง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมท้ังการแสดง แนวทางในการนำไปใช้ประโยชน์ท่ีเชื่อมโยงกับการดำเนินชีวิตประจำวันในลักษณะต่าง ๆ และการแสวงหา ความร้ตู ่อไป ๖.๔ รปู แบบการจดั ชั้นเรียน การจดั ชั้นเรียนจัดได้หลายรูปแบบ โดยจดั ใหเ้ หมาะสมกับบทเรยี นกิจกรรมการเรียนการสอน จำนวน นกั เรียน สภาพแวดล้อมในชั้นเรียน ขนาดของหอ้ งเรยี นเป็นตน้ ครคู วรไดป้ รับเปล่ยี นรปู แบบของการจดั โต๊ะ เกา้ อี้ มุมวิชาการ และมุมตา่ ง ๆในหอ้ งเรยี น เพ่ือสรา้ งบรรยากาศของห้องเรียนใหน้ า่ สนใจไมซ่ ้ำซากจำเจ ไมน่ ่า เบือ่ หน่ายนักเรยี นจะเกิดความกระตือรือร้นและกระฉบั กระเฉงในการเรยี นดีข้นึ การจัดชั้นเรียนถ้าแบง่ ตาม วธิ ีการสอนจะได้ ๒ แบบ คอื ๑. ชนั้ เรยี นแบบธรรมดา ชั้นเรียนแบบธรรมดาเปน็ ช้นั เรียนท่มี ีครเู ปน็ ศูนยก์ ลาง เป็นผนู้ ำการเรียนรู้โดยมผี ู้เรยี นเป็น ผูร้ บั ความรู้จากครูการจัดชนั้ เรยี นแบบนีจ้ ะมโี ต๊ะครูอยู่หน้าชัน้ เรยี นและมโี ต๊ะเรียนวางเรียงกันเปน็ แถว โดยหัน หน้าเข้าหาครู ๑.๑ ลักษณะการจดั ชั้นเรยี น การจัดช้นั เรียนแบบธรรมดาน้ีโต๊ะเรียนของนักเรยี น อาจเปน็ โต๊ะเด่ยี วหรอื โต๊ะคกู่ ็ได้ ผนังหอ้ งเรียนอาจจะมีกระดานปา้ ยนิเทศ หรือส่ือการสอน เชน่ แผนภูมิ รปู ภาพ แผนทีต่ ดิ ไว้ ซ่งึ ส่ือการสอน เหล่าน้ีจะไมเ่ ปล่ยี นบ่อยนกั การตกแตง่ ผนังห้องเรยี นจะแตกตา่ งกันออกไปตามแตส่ ถานท่ีต้งั ของโรงเรยี น โรงเรยี นทอ่ี ยู่ในตวั เมืองอาจจะมีการตกแต่งมากกวา่ โรงเรยี นทอ่ี ย่หู ่างไกลออกไปตมชนบท เพราะหาส่ือการ สอนได้ยากกว่าบางห้องเรยี นอาจจะมีมุมความสนใจแต่กไ็ ม่ไดถ้ ือเปน็ ส่วนหน่ึงของกระบวน การเรียนการสอน ๑.๒ บทบาทของครูและนักเรียน บทบาทของครแู ละนักเรยี นในช้นั เรียนแบบธรรมดานี้ครจู ะเป็นผ้รู อบรู้ในด้านตา่ งๆ ใชว้ ธิ ีการสอนแบบป้อนความรูใ้ หแ้ กน่ กั เรยี นโดยการบรรยาย และอธบิ ายใหน้ กั เรยี นฝงั อย่ตู ลอดเวลา ครจู ะ เป็นผ้แู สดงกจิ กรรมต่างๆเอง แม้กระทง่ั การทดลองอย่างงา่ ยๆ ไม่เปิดโอกาสให้นักเรยี นได้ยบิ จับหรอื แตะตอ้ ง สอื่ การสอนทคี่ รูนำมาแสดง นักเรยี นจึงตอ้ งฟงั ครู มมี โี อกาสได้พูดหรือทำงานเปน็ กลุ่ม เพื่อค้นหาคำตอบใดๆ สอ่ื การสอนทใ่ี ชส้ ว่ นมาก ไดแ้ ก่ ชอล์กกระดานดำ และแบบเรียนการจัดชน้ั เรียนแบบนีไ้ ม่เอ้อื ต่อการสอนตาม หลักสตู รใหม่ นกั การศกึ ษาจงึ ไมแ่ นะนำใหใ้ ชม้ ากนกั อาจใช้ได้เปน็ บางครั้งเทา่ นั้นถ้าจำเป็นต่อวิธกี ารสอนวธิ ีใด วิธีหนงึ่ แต่ไม่ควรยดึ ถือเปน็ แบบอยา่ งตลอดไป ๒. ชั้นเรียนแบบนวตั กรรม ชนั้ เรียนแบบนวัตกรรม เป็นช้ันเรียนที่เอ้ืออำนวยต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ เทคนิควิธีสอนใหม่ๆ เช่น การเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบโฟร์แมท แบบสตอร่ีไลน์ แบบโครงงาน เป็นต้นซึ่ง นักเรียนจะมีอิสระในการเรียน อาจเรียนเป็นกลุ่ม หรือเป็นรายบุคคล โดยมีครูเป็นผู้ให้คำปรึกษาการจัดช้ัน
หลกั สูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๗๙ เรียนจึงมีรูปแบบการจัดโต๊ะเก้าอ้ีในลักษณะต่างๆไม่จำเป็นต้องเรียงแถวหันหน้าเข้าหาครู เช่น จัดเป็นรูปตัวที ตวั ยู วงกลมหรอื จัดเปน็ กลุม่ ๒.๑ ลกั ษณะการจดั ช้นั เรยี น การจดั ชั้นเรยี นแบบนวตั กรรมน้ี โตะ๊ ครไู ม่จำเป็นตอ้ งอย่หู นา้ ชัน้ อาจเคลื่อนยา้ ยไปตามมมุ ต่างๆการจดั โต๊ะนักเรยี นจะเปล่ียนรูปแบบไปตามลักษณะการจัดกจิ กรรมการเรยี น การสอน ของครูสว่ นใหญ่นิยมจดั โตะ๊ เป็นกลุ่ม เพื่อให้นักเรยี นปฏบิ ัตกิ ิจกรรมร่วมกันมีการจัดศนู ย์สนใจ มสี ื่อ การสอนในรปู ของชุดการสอน หรือเครื่องช่วยสอนต่างๆไว้ใหน้ ักเรียนศึกษาด้วยตนเอง หรือศกึ ษาร่วมกบั เพ่ือน มกี ารตกแตง่ ผนังห้องและเปลย่ี นแปลงสภาพแวดลอ้ มใหเ้ หมาะสมกบั เร่ืองทีน่ ักเรียนกำลังเรียน ๒.๒ บทบาทของครูและนักเรียน การจัดชั้นเรียนแบบนี้ครูจะเป็นผู้กำกับและแนะแนว นักเรียนเป็นผู้แสดงบทบาทครูจะพูดน้อยลง ให้นักเรียนได้คิด ได้ถาม ได้แก้ปัญหา และได้ทำกิจกรรมด้วย ตนเอง นักเรียนอาจจะเรียนด้วยตนเองจากส่ือประสม เช่น บทเรียนแบบโปรแกรม ชุดการสอนคอมพิวเตอร์ ชว่ ยสอน ครูจะเป็นผู้ใหค้ ำแนะนำ และช่วยเหลือเม่ือจำเปน็ ดังน้นั การจดั ชนั้ เรียนแบบนีจ้ ึงเป็นการจัดช้นั เรียน ทส่ี อดคล้องกับเจตนารมณ์ของหลกั สูตรที่ต้องการให้ผู้เรียนได้คิดค้นคว้า วิเคราะห์วิจารณ์และลงมือปฏิบตั ิจริง ทกุ ขน้ั ตอน จนสามารถเรยี นรไู้ ดต้ นเอง กล่าวได้ว่าในการจัดช้นั เรียนผู้สอนสามารถจดั ได้ ๒ แบบทง้ั แบบธรรมดาและแบบนวตั กรรม แต่เพอื่ ให้ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของหลักสูตรการจัดชั้นเรยี นแบบนวัตกรรมจะเป็นแบบท่ีเหมาะสม เพราะสะดวกแก่ การท่ีผู้เรียนจะค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองสะดวกแก่การทำงานกลุ่มกับเพื่อน สะดวกแก่การทดลองหรือทำ กิจกรรมตา่ งๆผู้สอนจงึ ควรจัดช้ันเรียนแบบนวตั กรรมเพ่อื ให้สอดคล้องกับกจิ กรรมการเรยี น การสอน สรุปท้ายบท บทบาทครูในด้านการจดั การเรยี นรดู้ งั กล่าว จึงเปน็ ลักษณะท่ีสอดคล้องกับแนวทางการจดั การศึกษาท่ี เนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคัญ คือการใหผ้ เู้ รยี นมสี ่วนร่วมในการจดั การเรียนรู้ และได้สร้างความรดู้ ้วยตนเองในขณะ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม โดยมคี รเู ป็นผู้ช่วยเหลอื และอำนวยความสะดวก รวมท้ังการใหเ้ วลาสำหรับผู้เรียนที่จะเรียนรู้ ดว้ ยวธิ ที เ่ี หมาะสมกบั ตนเอง ซึ่งในท่ีสดุ ผ้เู รียนจะได้ คำตอบหรือแก้ปญั หาดว้ ยตนเอง เกิดเป็นความร้ทู มี่ ี ความหมายและนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้
หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๘๐ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท คณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ, สำนักงาน. ๒๕๔๔. แนวคดิ และประสบการณ์การจัดการศกึ ษาที่ ผูเ้ รียนสำคัญที่สดุ ในสหรัฐอเมรกิ า. กรุงเทพฯ : บริษัท พมิ พด์ ี จำกัด. จารพุ ร เพง็ สกุล. ๒๕๔๕. ความคาดหวงั ของผูน้ าชมุ ชนตอ่ บทบาทนกั พัฒนาในการสร้างเสรมิ ความเข้มแข็ง แกช่ มุ ชนพน้ื ทีก่ ารดาเนินงานตามแผนปฏิบัตกิ ารสรา้ งเสริมความเข้มแขง็ ของชุมชนเพ่อื เผชญิ ปัญหาวิกฤตภาคใต.้ วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาพฒั นาชุมชนมหาบณั ฑติ คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ (สาเนา) ณรงค์ เสง็ ประชา. ๒๕๔๑. มนุษย์กับสังคม. พิมพ์ครง้ั ท่ี ๔. กรงุ เทพฯ : โอ.เอส. พริ้นตง้ิ เฮาส์. ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง และคณะ. ๒๕๔๔. สงั คมและวฒั นธรรม. พิมพ์คร้งั ที่ ๗. กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พ์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ปราโมทย์ คลา้ ยศิร.ิ ๒๕๔๕. การปฏิบัตติ ามบทบาทคณะกรรมการสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน ตาม ระเบียบ กระทรวงศกึ ษาธิการวา่ ด้วยคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน สังกดั สานักงานการ ประถมศกึ ษาจังหวัดสมุทรสงคราม. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาครุศาสตรมหาบัณฑติ สาขาการบริหาร การศึกษา สถาบันราชภฏั หมู่บา้ นจอมบงึ . (สาเนา) ยนต์ ชมุ่ จิต. ๒๕๔๑. ความเป็นครู. พมิ พ์ครั้งที่ ๓ . กรุงเทพ ฯ : โอเดยี นสโตร์. วัฒนา ปญุ ญฤทธ์ิ. ๒๕๔๘. ประมวลสาระชดุ วิชาการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัย หน่วยที่ ๕. นนทบุรี : โรงพมิ พม์ หาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช. วชิ าการ, กรม. ๒๕๔๓. การปฏริ ูปการเรยี นร้ทู ีเ่ น้นผู้เรยี นสำคญั ทีส่ ดุ : แนวทางสู่การปฏิบัติ. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพร้าว. (๒๕๔๔). . การสงั เคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบการจดั การเรยี นรู้ท่เี น้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั . กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพร้าว. ศักดิ์ไทย สุรกจิ บวร.๒๕๔๕.จติ วทิ ยาสังคม.กรุงเทพ ฯ : สุวรี ิยาสาส์น สนธยา พลศรี. ๒๕๔๕. ทฤษฎแี ละหลกั การพฒั นาชุมชน. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์ สมใจ ลกั ษณะ. ๒๕๔๒. พฤติกรรมองค์การ. กรุงเทพฯ: ศูนยก์ ารพิมพ์สถาบนั ราชภฏั สวนสนุ นั ทา. สำนกั นโยบายและแผนการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธกิ าร.๒๕๔๓. หัวใจของการปฏิรูปการศึกษาตามแนว พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา.
หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๘๑ บทที่ ๗ การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรตู้ ามหลกั สตู ข้นั พื้นฐาน วตั ถปุ ระสงคป์ ระจำบท เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนีแ้ ลว้ ผศู้ ึกษาสามารถ ๑.อธิบายกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี นและการเรยี นรแู้ บบบูรณาการได้ ๒.อธิบายนวตั กรรมการพัฒนาคณุ ลกั ษณ์ทด่ี ไี ด้ ๓.บอกลักษณะการจดั การเรยี นรู้แบบบูรณาได้ ๔.อธิบายหลักการออกแบบกิจกรรมการเรยี นการสอนแบบบรู ณาการได้ ๕.จดั ลำดับการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ไู ด้ ขอบขา่ ยเน้ือหา • กิจกรรมพฒั นาผูเ้ รยี นและการเรียนรู้แบบบรู ณาการ • นวตั กรรมการพัฒนาคุณลักษณท์ ด่ี ี • ลกั ษณะการจัดการเรียนรู้แบบบูรณา • หลักการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการ • ลำดบั การจดั กิจกรรมการเรียนร้ไู ด้
หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๘๒ ๗.๑ ความนำ คำว่า บูรณาการ แปลว่าการกระทำ ให้สมบูรณ์ ภาษาอังกฤษใช้ว่า integration ในที่นี้ต้องใช้ ภาษาอังกฤษด้วย ก็เพราะว่าในปัจจุบันทรรศนะแบบน้ีไปเฟ่ืองฟูขึ้นในเมืองฝร่ัง และเราก็บัญญัติคำขึน้ ใหม่ จากศัพทฝ์ รั่ง กเ็ ลยต้องอา้ งศัพท์ฝรง่ั มา พูดถงึ ความหมายของศัพท์ว่า บูรณาการ หรอื integration กนั นิด หน่อย จะลองให้ความหมายอย่างง่ายท่ีสุดว่า บูรณาการ คือการทำ ให้สมบูรณ์ แต่พูดแค่น้ีมันอาจจะไม่ สมบูรณ์ ถ้าจะพูดให้สมบูรณ์ก็คงจะต้องให้ความหมายที่ละเอียด ให้เกิดภาพที่ชัดยิ่งข้ึน ขอพูดขยายความ ออกไปหน่อยว่า การนำหน่วยย่อยอันหนึ่งเข้ารวม กับหน่วยย่อยอ่ืน ๆ ภายในองค์รวมเพ่ือให้เกิดความ สมบูรณ์ อย่างน้ีก็ได้ หรือขยายความออกไปอีกก็บอกว่า การประมวลหน่วยย่อยท่ีแยก ๆ กันให้รวมเข้าเป็น องค์รวมที่ครบถ้วนสมบูรณ์ การทำให้หน่วยย่อยทั้งหลายเข้าร่วมเป็นองค์ประกอบซ่ึงทำหน้าที่ ประสานซ่ึงกัน และกัน กลมกลืนเขา้ เป็นองค์รวมอนั เดยี วอันทำใหเ้ กิดความสมดุลทอ่ี งคร์ วมน้ัน สามารถดำรงอยแู่ ละดำเนินไป ไดใ้ นภาวะทคี่ รบถ้วนสมบูรณ์ ไปๆ มาๆ กว็ นเวียนอย่ทู คี่ ำวา่ สมบูรณ์นเ่ี อง สำหรบั ความหมายของคำว่า บูรณาการ นั้น อาจพิจารณาได้ ๒ ลักษณะ คือ ความหมายทั่วไป คือ การทำให้สมบูรณ์ หรือการทำให้หน่วยย่อยๆ ท่ีสัมพันธ์ ซ่ึงอาศัยกันอยู่เข้ามาร่วมทำหน้าท่ีอย่างประสาน กลมกลืนเป็นองค์รวมส่วนอีก ความหมายหนึ่งเป็นความหมายในสาขาวิชาทางศึกษาศาสตร์หรือคุรุศาสตร์ บูรณาการ หมายถึง การนำเอาศาสตร์สาขาวิชาต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้เรียน การจัดการ เรียนการสอน จึงจำเป็นต้องใช้วิธีบูรณาการ คือ เน้นที่องค์ รวมของความรู้มากกว่าเนื้อหาย่อยของแต่ละวิชา และเน้นที่กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนสำคัญยิ่งกว่าการ บอก เน้ือหาของครูการเรียนการสอนแบบบูรณาการจะประสบผลสำเร็จได้น้ัน จำเป็นจะต้องได้ผู้สอนที่ดีเพื่อ ทำหน้าที่ ให้ผู้เรียน เกิด ความซาบซ้ึงและส่งเสริมการพัฒนาความสามารถเต็มตามศักยภาพของตนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองตามศักยภาพ พัฒนาอย่างรอบด้านเพ่ือความเป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม เสริมสร้างให้เป็นผู้มีศีลธรรม จริยธรรม มีระเบียบ วินัย ปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกของการทำประโยชน์เพ่ือสังคม สามารถจัดการตนเองได้ และอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน อย่างมีความสุข ๗.๒ กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น กิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น แบ่งเป็น ๓ ลกั ษณะ ดงั น้ี ๗.๒.๑ กจิ กรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาผูเ้ รียนให้รู้จักตนเอง รู้รักษ์สง่ิ แวดล้อม สามารถคิดตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา กำหนดเป้าหมาย วางแผนชีวิตทั้งด้านการเรียน และอาชีพ สามารถปรับตนได้อย่างเหมาะสม นอกจากน้ียังช่วยให้ครูรู้จักและเข้าใจผู้เรียน ทั้งยังเป็นกิจกรรมท่ีช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองใน การมีสว่ นรว่ มพฒั นาผู้เรยี น ๗.๒.๒ กิจกรรมนักเรียน เป็นกิจกรรมท่ีมุ่งพัฒนาความมีระเบียบวินัย ความเป็นผู้นำผู้ตามท่ีดี ความรับผิดชอบการ ทำงานร่วมกัน การรู้จักแก้ปัญหา การตัดสินใจท่ีเหมาะสม ความมีเหตุผล การช่วยเหลือแบ่งปันกันเอื้ออาทร
หลกั สูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๘๓ และสมานฉันท์ โดยจัดให้สอดคล้องกับความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียนให้ได้ปฏิบัติด้วย ตนเองในทุกขั้นตอน ไดแ้ ก่ การศึกษาวิเคราะห์วางแผน ปฏิบัติตามแผน ประเมินและปรับปรงุ การทำงาน เน้น การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับวุฒิภาวะของผู้เรียน บริบทของสถานศึกษา และท้องถ่ิน กิจกรรมนักเรียนประกอบด้วยกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ และ นักศึกษาวชิ าทหารกจิ กรรมชุมนุม ชมรม ๗.๒.๓ กิจกรรมเพือ่ สงั คมและสาธารณประโยชน์ เป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และท้องถ่ินตาม ความสนใจในลักษณะอาสาสมัคร เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบ ความดีงาม ความเสียสละต่อสังคมมีจิต สาธารณะ เช่น กจิ กรรมอาสาพัฒนาตา่ ง ๆ กจิ กรรมสร้างสรรค์สังคม ๗.๓ การจดั กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบบูรณาการ พระราชบัญญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ หมวดที่ ๔ มาตรา ๒๓ กำหนดไว้ว่า การจดั การ ศึกษา ท้ังการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมในแต่ละระดับการศึกษาและใน มาตรา ๒๔ (๔) ได้กำหนดไว้ว่า “ การจัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างไดส้ ัดส่วนสมดุลกัน รวมทง้ั ปลกู ฝังคณุ ธรรมค่านยิ มทดี่ ีงามและคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ในทุกวชิ า” จอห์น ดิวอี้ ปราชญ์ทางการศกึ ษาชาวอเมริกา ได้อธิบายถึงความจำเป็นที่โรงเรียนต้องจัดให้มีการ สอนแบบ “บูรณาการ” ( Integrate curriculum) หรือการเช่ือมโยงเนื้อหาวิชาการต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยไม่ เน้นการเรียนเป็นรายวิชา ว่า ปัญหาอุปสรรค รวมทั้งประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของมนุษย์นั้น จะผสมผสาน กัน มิได้แยกออกเป็นส่วน ๆ ทั้งน้ี มนุษย์จำเป็นต้องใช้ทักษะหลายประการในการเรียนรู้จากประสบการณ์ รวมทัง้ ในการแก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ ท่ีเกิดข้นึ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปัญหางา่ ย ๆ หรอื ซับซ้อนเพียงใดก็ตาม แต่การท่ี โรงเรียนเน้นการสอนแยกเน้ือหาวิชา จะทำให้การเรียนนั้นไม่สอดคลอ้ งกับชีวติ จรงิ ของนักเรียน เพราะเด็กมอง ไม่เห็นความเช่ือมโยงของส่ิงที่เรียน กับส่ิงที่เป็นไปในชีวิตจริงนอกโรงเรียน ดังนั้น หลักสูตที่เน้นการสอนแบบ บูรณาการจะสอดคล้องกับชีวิตจริงของเด็กมากกว่า โดยจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจและมองเห็นความสัมพันธ์ เช่ือมโยงของเน้ือหาวิชาต่าง ๆ ทั้งยังกระตุ้นให้เด็กใฝ่เรียนรู้ เนื่องจากเขาสามารถนำเนื้อหาและทักษะท่ีเรียน ไปใช้ในชีวิตจรงิ นอกจากนี้ การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการยังช่วยลดความซ้ำซ้อนของเน้ือหาวิชา ลดจำนวนเวลา เรยี นเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้สอน รวมท้ังส่งเสรมิ ผู้เรยี นให้มีโอกาสใช้ความคิดประสบการณ์ ความสามารถ ตลอดจนทักษะต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ก่อให้เกิดการเรียนรู้ทักษะกระบวนการและเน้ือหาสาระไปพร้อมกัน การสอนแบบบูรณาการ (Integrated Instruction) คือ การสอนโดยใช้เรื่องใดเร่ืองหนึ่งหรือวิชาใด วิชาหนึ่งเป็นแกนหลักแล้วสอนเช่ือมโยงให้สัมพันธ์กับเรื่องหรือวิชาอ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวข้องอย่างกลมกลืน เพื่อให้ เหมาะสมกับการประยุกต์ใชแ้ กป้ ญั หาในชีวติ จรงิ การสอนแบบบูรณาการ หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยการเช่ือมโยงเน้ือหาความรู้ท่ีเก่ียวข้องจาก ศาสตร์ต่างๆ ของรายวิชาเดียวกันหรือรายวิชาต่างๆ มาใช้ในการจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถนำ ความคิดรวบยอดของศาสตร์ตา่ งๆมาใชใ้ นชวี ิตจริงได้ สำห รับ การจัด การเรียน รู้แบ บ บู รณ าการ (Integrated Learning Management) ห ม ายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามความสนใจ ความสามารถ โดยเชื่อมโยงเน้ือหาสาระของศาสตร์
หลักสตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๘๔ ต่างๆ ทีเ่ ก่ียวข้องสัมพนั ธ์กันให้ผู้เรยี นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สามารถนำความรู้ ทักษะและ เจตคตไิ ปสรา้ งงาน แกป้ ญั หาและใช้ในชีวติ ประจำวันได้ด้วยตนเอง ๗.๓.๑ เหตผุ ลในการจดั การเรียนร้แู บบบรู ณาการ ๑. ส่ิงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวติ ประจำวันนั้นจะเป็นส่ิงที่เกี่ยวเน่ืองสัมพันธ์กันกับศาสตร์ในสาขา ต่างๆ ผสมผสานกันทำให้ผู้เรียนท่ีเรียนรู้ศาสตร์เดี่ยวๆ มาไม่สามารถนำความรู้มาใช้ในการ แก้ปัญหาได้ ดังน้ัน การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการจะช่วยให้สามารถนำความรู้ ทักษะจากหลายๆ ศาสตร์มาแก้ปัญหาได้กับชีวิต จริง ๒. การจัดการเรียนรู้แบบบรู ณาการ ทำให้เกดิ ความสัมพันธ์เชื่อมโยงความคดิ รวบยอด ของ ศาสตร์ต่างๆ เข้าดว้ ยกนั ทำให้เกดิ การถา่ ยโอนการเรียนรู้ (Transfer of learning) ของศาสตร์ต่างๆ เขา้ ด้วย กันทำให้ผเู้ รียนมองเหน็ ประโยชนข์ องสิ่งท่ีเรียนและนำไปใช้จรงิ ได้ ๓.การจัดการเรียนร้แู บบบูรณาการช่วยลดความซ้ำซ้อนของเน้อื หารายวชิ าต่างๆในหลักสูตร จึงทำใหล้ ดเวลาในการเรยี นรู้เน้ือหาบางอยา่ งลงได้ แล้วไปเพม่ิ เวลาใหเ้ นื้อหาใหมๆ่ เพ่มิ ขึ้น ๔. การจดั การเรยี นรแู้ บบบูรณาการจะตอบสนองต่อความสามารถในหลายๆ ดา้ นของ ผู้เรียน ชว่ ยสร้างความรู้ ทกั ษะและเจตคติ “แบบพหุปญั ญา” (Multiple intelligence) ๕. การจัดการเรียนรแู้ บบบูรณาการจะสอดคล้องกบั ทฤษฎีการสรา้ งความร้โู ดยผเู้ รียน (Constructivism) ทกี่ ำลงั แพรห่ ลายในปจั จบุ ัน ๗.๓.๒ รูปแบบของการบูรณาการ (Model of integration) การจัดการเรียนรแู้ บบบรู ณาการท่ีพบโดยท่ัวไปมีอยู่ ๔ แบบ ๑. การบรู ณาการแบบสอดแทรก (Infusion) การเรียนรู้แบบนค้ี รูจะนำเนื้อหาของวชิ าต่างๆ มาสอดแทรกในรายวชิ าของตนเองเปน็ การ วางแผนการสอนและทำการสอนโดยครเู พยี งคนเดยี ว ขอ้ ดี ขอ้ จำกัด ๑. ครคู นเดยี วบรหิ ารทงั้ เนือ้ หาวชิ า กิจกรรมการ ๑. ครคู นเดยี วอาจไม่มคี วามชำนาญในเน้ือหาวิชา เรียนรู้และเวลาที่ใช้โดยสะดวก บางเรอ่ื ง ๒. ไมม่ ีผลกระทบกบั ครผู ู้อืน่ และการจัดตารางสอน ๒. เนอ้ื หาวิชาและกิจกรรมการเรยี นรู้ทจ่ี ัดอาจซำ้ ซ้อน กบั ของวชิ าอนื่ ๓. ผ้เู รียนจะมีภาระงานมากเพราะทุกรายวชิ าจะต้อง มอบหมายงานให้ ๒. การบรู ณาการแบบขนาน (Parallel) การเรยี นรแู้ บบนีค้ รตู งั้ แต่ ๒ คนข้นึ ไปต่างคนตา่ งสอน วชิ าของ ตนเองแต่จะมาวางแผน ตดั สนิ ใจร่วมกนั ว่าจะจดั แผนการเรยี นร้แู ละจัดกจิ กรรมการเรยี นร้โู ดยมุ่งสอนในหวั เรอื่ ง (Theme) ความคิดรวบยอด (Concept) และปญั หา (Problem) เดยี วกนั ในสว่ นหนง่ึ ขอ้ ดี ข้อจำกดั ๑. ครูผู้สอนแต่ละคนยงั คงบริหารทงั้ เนือ้ หาวิชา ๑. ครูยังคงตอ้ งรับภาระเน้อื หาวชิ าทไี่ มช่ ำนาญ กิจกรรมการเรยี นรเู้ วลาโดยสะดวก ๒. ผู้เรียนยังมภี าระงานมากเพราะทกุ รายวชิ าจะต้อง ๒. ไม่มผี ลกระทบกบั ครูผู้อ่นื และการจัดตารางสอน มอบหมายงานให้ ๓. เน้ือหาวิชา กิจกรรมการเรียนลดการซำ้ ซ้อนลง ๓. การบูรณาการแบบสหวทิ ยาการ (Multidiscipline)
หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๘๕ ช่วยให้เกดิ การทำงานร่วมกัน ๓.การเรยี นรแู้ บบน้คี ลา้ ยกับแบบค่ขู นาน ครูต้ังแต่ ๒ คนขึน้ ไปตา่ งคนตา่ งสอนวิชาของตน จัดกิจกรรม การเรียนร้ขู องตนเองเปน็ ส่วนใหญ่ มาวางแผนการสอนรว่ มกนั ในการให้งานหรือโครงการท่มี หี ัวเรื่อง แนวคิด หรือความคิดรวบยอดและปญั หาเดยี วกนั ข้อดี ขอ้ จำกดั ๑. สนับสนนุ การทำงานร่วมกันของทั้งผูส้ อนและ ๑. มผี ลกระทบตอ่ การจัดตารางสอนและการจดั ผู้เรยี น ลดความซำ้ ซ้อนของกิจกรรม แผนการเรียน ๒. ผู้สอนทุกคนและผู้เรียนมีเปา้ หมายรว่ มกันที่ ชดั เจน ๓. ผเู้ รียนเห็นความสำคัญของการนำความรู้ไปใช้กบั งานอาชีพจริง ๔. การบูรณาการแบบข้ามวชิ า (Transdisciplinary) การเรียนรูแ้ บบนผี้ ูส้ อนในรายวิชาต่างๆจะมารว่ ม กันสอนเปน็ คณะ ร่วมกันวางแผน กำหนดหัวเร่อื ง ความคิดรวบยอดและปัญหาเดียวกัน ขอ้ ดี ข้อจำกัด ๑. สนับสนนุ การทำงานร่วมกันของทงั้ ผสู้ อนและ ๑. มผี ลกระทบต่อการจดั ตารางสอนและการจดั ผู้เรียน ลดความซำ้ ซ้อนของกจิ กรรม แผนการเรยี น ๒. ผูส้ อนทุกคนและผเู้ รยี นมเี ปา้ หมายร่วมกนั ที่ ๒. ผสู้ อนต้องควบคุมการเรียนใหท้ นั ตามกำหนด ชดั เจน ๓. ผเู้ รียนเห็นความสำคญั ของการนำความรู้ไปใชก้ ับ งานอาชพี จรงิ ๗.๔ นวตั กรรมการพัฒนาคุณลักษณ์ทดี่ ี การพัฒนานวัตกรรมคุณลักษณศ์ กึ ษาซึง่ สามารถจำแนกเป็นประเภทตา่ งๆไดด้ ังน้ี ๑. นวัตกรรมหลักสูตรแบบบูรณาการ (Integrated Curriculum Innovation) การจดั กิจกรรมบูรณา การแบบเน้นคุณธรรม (moral-focused activity) โดยการสอดแทรกการพัฒนาคุณธรรมระหว่างการพัฒนา ทักษะความสมารถของนกั เรยี นตามจุดมุ่งหมายท่ีกำหนดในหลักสตู ร ๒. นวัตกรรมกระแสนิยม (In Trend Innovation) การจัดกิจกรรมใช้การสร้างกระแสหรือการนำ ค่านิยมที่เกิดข้ึนตามกระแสในช่วงนั้นมาใช้เปน็ สื่อในการออกแบบกจิ กรรมเพอ่ื ดึงความสนใจของนักเรยี น หรือ ก า ร ก ำ ห น ด กิ จ ก ร ร ม ที่ มี ลั ก ษ ณ ะ ก า ร แ ข่ ง ขั น เพื่ อ ล ด ช่ อ ง ว่ า ง ร ะ ห ว่ า ง ส ถ า น ภ า พ ข อ ง บุ ค ค ล ห รื อ ช น ชั้ น ๓.นวัตกรรมขบวนการบูรณ าการ (Integrated Process Innovation) การจัดกิจกรรมที่มี การบูรณาการกระบวนการดำเนินงานของนักเรียนในกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเน่ืองเป็นระยะๆ มิใช่จัดกิจกรรม ใดกิจกรรมหนึง่ แลว้ หยุดแลว้ เรม่ิ ทำกจิ กรรมอ่นื ต่อไปไม่สัมพนั ธ์กับกจิ กรรมเดิม
หลักสตู รและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๘๖ ๔. นวัตกรรมเร่ิมจากนักเรียนร้อยแปดแบบ (๑๐๘ Student Initiations Innovation) การจัด กิจกรรมท่ีให้นักเรียนเป็นผู้คิดริเริ่มและออกแบบกิจกรรม เพื่อให้ได้กิจกรรมและการขยายผลที่นำไปสู่การ พฒั นาคณุ ลกั ษณ์ ๕ .นวัตกรรมที่ ทำให้เข้าระบ บสถาบัน (Institutionalized Innovation) การจัดกิจกรรมที่ กำหนดเป้าหมายของการดำเนินงานในระดับสูง และทำให้เป็นภารกิจปกติของโรงเรียนโดยกำหนดเป็น แผนงานหลัก ๖.นวัตกรรมอิงการเรียนรู้จากการบริหาร (Service Learning-Based Innovation) การจัด กิจกรรมท่จี ดั โอกาสใหน้ ักเรยี นเกิดการเรียนรจู้ ากการทำงานทเ่ี ป็นการให้บรกิ ารแกส่ งั คม ๗.นวัตกรรมการประชุม (Forum Innovation) การจดั กิจกรรมที่ทำให้นักเรยี นเกิดการเรยี นรู้ผา่ นการ ประชุมในรูปแบบของสมัชชาหรือการเสวนา เพ่ือให้มีการแลกเปล่ียนประสบการณ์การเรียนรู้ร่วมกัน ๘ .นวัตกรรมคุณ ค่าเพ่ื อชีวิต (Living Values Innovation) การจัดกิจกรรมโดยใช้แนว คิด “คุณค่าเพ่ือชีวิต” ซ่งึ พัฒนาโดยนักวิชาการชาวตะวันตก บนพื้นฐานแนวคิดของการพฒั นาจิตใจของนักเรยี นให้ มคี วามสงบและเรยี นรู้ที่จะพฒั นาตนเองให้ดำรงชวี ติ อยา่ งมีคุณค่า ๙ .นวัตกรรมท่ีเป็ นนิสัยประจำ (Routine Habit Innovation) การจัดกิจกรรมโดยครูเป็ น ผู้กำหนดคุณ ลักษณ์ ที่จำเป็นต้องพัฒ นาในตัวนักเรียนและฝึกปฏิบัติเป็นนิสัยในชีวิตประจำวัน ๑๐.นวัตกรรมการพัฒนาตนเอง (Self-Development Innovation) การจัดกิจกรรมโดยการ ฝึกให้นักเรียนรู้จักประเมินตนเอง และมีการพัฒนาตนเองในรูปแบบต่างๆ เช่น กิจกรรมการเผากิเลส ให้ นกั เรยี นเขยี นพฤตกิ รรมที่ไม่เหมาะสมที่ตนเองได้ปฏบิ ัตบิ นกระดาษ ๑๑.นวัตกรรมการประยุกต์ในโลกแห่งความเป็นจริง (Real World Application Innovation) การจัดกิจกรรมโดยการนำพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงมาใช้กับการแสดงพฤติกรรมในโรงเรียน ๗.๕ ลักษณะการจัดการเรียนรูแ้ บบบรู ณาการ นักการศึกษาหลายท่านไดก้ ล่าวถึงลักษณะของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการไวว้ ่าเป็นการเช่ือมโยง วิชาหรือศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งมีลักษณะใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากขึ้น ได้แก่ ๑.บูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้ ปัจจุบันเนื้อหาความรู้มีมากมายท่ีจะต้องเรียนรู้ หากไม่ใช้วิธีการเรียนรู้ที่ทันสมัยมาใช้จะทำให้เรียนรู้ไม่ทันตามเวลาที่กำหนดได้จึงต้องมีการนำวิธีการจัดการ เรียนรู้ใหม่ๆ มาใช้ เช่น การสอนโดยวิธีการบอกเล่า ท่องจำจะทำให้ได้ปริมาณความรู้หรือเน้ือหาส าระไม่ เพียงพอกับสงิ่ ท่ตี ้องเรยี นรจู้ งึ ตอ้ งเลอื กใชก้ ระบวนการเรียนรูใ้ หม่ๆทเ่ี หมาะสม ๒.บูรณาการระหว่างพัฒนาการความรู้และทางจิตใจ การเรียนรู้ท่ีดีน้ันผู้เรียนต้องมีความอยากรู้อยาก เรียนด้วย ดังน้ันการให้ความสำคัญแก่เจตคติ ค่านิยม ความสนใจและสุนทรียภาพแก่ผู้เรียนในการแสวงหา ความรู้ก่อให้เกิดความซาบซ้ึงก่อนลงมือศึกษาซึ่งเป็นการจูใจให้เกิดการเรียนรู้ได้เป็ นอย่างดี ๓.บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำการเรียนรู้ท่ีสามารถนำความรู้สู่การปฏิบัติได้นั้น ถือเป็น การดมี ากดงั นน้ั การให้ความสำคัญระหว่างองค์ความรู้ทศ่ี ึกษากับการนำไปปฏิบัติจริงโดยนำความรู้ไปแก้ปัญหา ในสถานการณจ์ ริง ๔.บูรณาการระหวา่ งส่ิงทเี่ รียนรูใ้ นโรงเรียนและชวี ิตประจำวนั การตระหนกั ถงึ ความสำคัญแหง่ คุณภาพ ชีวติ เม่อื ผ่านการเรียนร้แู ล้วต้องมีความหมายและคุณค่าตอ่ ชวี ติ ของผเู้ รยี นอย่างแท้จริง ๕.บูรณาการระหว่างวิชาต่างๆ เพ่ือให้เกิดความรู้ เจตคติและการกระทำท่ีเหมาะสมกับความต้องการ ความสนใจของผู้เรยี นอยา่ งแท้จรงิ ตอบสนองตอ่ คุณค่าในการดำรงชีวติ ของผูเ้ รยี น
หลักสตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๘๗ ๗.๖ หลักการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบรู ณาการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยการบูรณาการ เป็นส่วนที่สำคัญของหลักสูตรแบบบูรณาการ การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนจะต้องคำนึงถึงหลักของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนซึ่งมีผู้เสนอ แนวคิดไว้ ดังต่อไปนี้ สำลี รักสุทธิ และคณะ๖๐ ได้เสนอหลกั การออกแบบกจิ กรรมการเรียนการสอนในหลักสตู รแบบบูรณา การ ดงั น้ี ๑. จดั กจิ กรรมทใี่ ช้ให้ผู้เรียนมีสว่ นรว่ มทุกด้าน ไดแ้ ก่ รา่ งกาย สตปิ ญั ญา สังคม และ อารมณ์ ๒. ยดึ การบูรณาการวชิ าเปน็ สำคญั โดยการบูรณาการท้ังภายในวชิ าเดียวกนั หรอื ระหว่าง วชิ า เชอื่ มโยงหรอื บรู ณาการเข้าด้วยกนั ใหเ้ ปน็ ความรู้แบบองค์รวม ๓. ยดึ กล่มุ เป็นแหล่งเรยี นรู้ท่ีสำคัญ โดยให้ผเู้ รยี นมีโอกาสไดป้ ฏสิ ัมพนั ธ์กนั ในกลุ่ม ปรกึ ษาหารือ และ แลกเปลยี่ นความคิดเหน็ ประสบการณซ์ ่งึ กนั และกนั ๔. ยึดการค้นพบดว้ ยตนเองเป็นสำคัญ ๕. เนน้ กระบวนการควบคู่ไปกบั ผลงานโดยการสง่ เสริมให้ผู้เรยี นวเิ คราะห์ถงึ กระบวนการตา่ งๆ ทที่ ำ ใหเ้ กดิ ผลงาน โดยคำนึงถงึ ประสิทธผิ ลของงานด้วย ๖. เน้นการนำความรู้ไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำวนั สง่ เสริมให้เกดิ การปฏิบตั ิจรงิ และ การตดิ ตามผล การปฏิบตั ิของผเู้ รยี น ๗. เน้นการเรยี นรู้อยา่ งมีความสุขและมคี วามหมาย ๘. เน้นการเปน็ คนดแี ละมีคณุ คา่ ต่อสังคม ประเทศชาติ เห็นคุณค่าของสรรพส่งิ หรือส่วนรวมมากกวา่ สว่ นตน ส่วนอรทัย มูลคำและคณะ๖๑ ได้เสนอหลักในการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรบูรณาการ ได้แก่ ๑.จัดการเรียนการสอนโดยเน้นนักเรียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอน อย่างกระตอื รือร้น ๒.ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ร่วมกันทำงานกลุ่มด้วยตนเอง โดยส่งเสริมให้มีกิจกรรมกลุ่ม ลักษณะต่างๆ หลากหลายในการเรียนการสอนและส่งเสริมใหผ้ ูเ้ รยี นมโี อกาสได้ลงมือทำ ๓.จัดประสบการณ์ตรงให้แก่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ส่ิงที่เป็นรูปธรรมเข้าใจง่ายตรง กับความจริง สามารถนำไปใช้ในชวี ิตประจำวนั ไดอ้ ยา่ งมีเหตุผล ๔.จัดบรรยากาศในช้ันเรียนท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกกล้าคิดกล้าทำ ส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้ แสดงออกซึ่งความรู้สกึ นกึ คดิ ของตนเองต่อสาธารณะชนหรอื เพื่อนรว่ มชนั้ เรยี น ๕.เน้นการปลูกฝังจิตสำนึก ค่านิยม และจริยธรรมที่ถูกต้องดีงาม ให้ผู้เรียนสามารถ วางแผนแยกแยะ ความถูกต้องดีงามและความเหมาะสมได้ สามารถขจัดความขัดแย้งได้ด้วยเหตุผล มีความกล้าหาญทาง จรยิ ธรรมและแกไ้ ขปัญหาดว้ ยปญั ญาและสามัคคี แนวคิดเดยี วกนั น้ี วลัย พาณิช ไดเ้ สนอแนวทางการออกแบบการเรยี นการสอนแบบบรู ณาการออกเป็น ๒ ลกั ษณะ ๖๐ สำลี รกั สุทธิ และคณะ. เทคนิควธิ ีการจัดการเรยี นการสอนและเขยี นแผนการสอนโดยยึดผูเ้ รียนเป็นสำคัญ. กรงุ เทพฯ: พฒั นาศึกษา,๒๕๔๔. ๖๑ อรทัย มลู คำและคณะ CHILD CENTRED: STORYLINE METHOD: การบูรณาการหลกั สูตรและการเรียนการสอนโดยเนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคัญ. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ ภาพพมิ พ,์ ๒๕๔๔.
หลักสตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๘๘ ๑. ลักษณะทเ่ี ปน็ หัวเรื่อง (Theme) แบง่ ออกเปน็ ๒ ลักษณะ คือ ๑.๑ การจัดการเรียนการสอนแบบจัดหน่วยบูรณาการ (Integrated Unit) ซึ่งจะต้องมี เนื้อหาและกระบวนการ วธิ ีการ และเนอื้ หาวชิ าทจ่ี ะบูรณาการต้งั แต่ ๒ วชิ าขน้ึ ไป ๑.๒ การจัดการเรียนการสอนแบบมีหัวเร่ือง (Theme) จะไม่มีการบูรณาการเชิง เน้ือหาวิชา เรยี กว่า เป็นการบรู ณาการแบบหนว่ ยการเรยี นหรือหนว่ ยรายวชิ า ๒. ลกั ษณะท่ีเป็นโครงการ เป็นการสอนตั้งแต่ ๒ วิชาข้นึ ไป ให้ผเู้ รียนสามารถจดั ในรปู ของโครงการท่ี บูรณาการเชื่อมโยงเนื้อหา ความรจู้ ากหลายหลากวิชาในเรื่องเดียวกัน มอบหมายให้ผู้เรยี นทำโครงการร่วมกัน ครูวางแผนการสอนรว่ มกนั และกำหนดงานหรอื โครงการร่วมกนั กระบวนการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรบูรณาการนั้น จะต้องมีการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นการสอนที่เป็นบูรณาการ (Integrative Teaching Styles) ซึ่งต้องมีวิธีการที่ หลากหลายให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ใช้เทคนิคการเรียนการสอนท่ีผสมผสานกัน ฝึกให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบด้วยวิธีสืบ สอบ (Inquiry) หรือใช้วิธีการแก้ปัญหา (Problem Solving) เน้นการทำงานร่วมกัน มีงานกลุ่มหรืองานเด่ียว ผสมผสานกันไป เน้นการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในประสบการณ์จริง ประสบการณ์การเรียนรู้ควรอยู่ในขอบเขต สมรรถภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียน จึงต้องพิจารณาขอบเขตการเรียงลำดับของเนื้อหาของลักษณะวิชารวมท้ัง ลกั ษณะของผู้เรียนดว้ ย และให้ผเู้ รยี นฝกึ ปฏบิ ัตใิ นสถานการณจ์ รงิ ๗.๗ ลำดับการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ การจัดกจิ กรรมการเรียนรูเ้ พือ่ ใหบ้ รรลุวัตถุประสงคห์ รือใหน้ ักเรยี นเกดิ องค์ความรู้ ครสู ามารถใช้ เทคนิคการสอนแบบต่าง ๆ ได้มากมาย ขึน้ อยู่กับลักษณะของวชิ าน้นั ๆ อยา่ งไรก็ตาม การจดั กิจกรรมการ เรียนร้คู วรจะมีลำดับขัน้ ตอนดงั นี้ ๑.ข้ันนำเขา้ สู่บทเรียน เพื่อกระตุน้ ให้นกั เรยี นเกิดความสนใจในเน้ือหาทก่ี ำลังจะเรียน ส่ือท่ีใชใ้ นขนั้ น้ี จงึ เปน็ ส่ือท่แี สดงเนื้อหากว้าง ๆ หรอื เนอื้ หาท่ีเกย่ี วข้องกับการเรียนในครง้ั กอ่ น ยงั มิใช่สื่อท่เี นน้ เนื้อหาเจาะลกึ อย่างแทจ้ ริง อาจเป็นส่ือทเี่ ปน็ แนวปัญหาเพ่ือกระตุ้นใหผ้ ู้เรียนเกิดความตระหนกั หรือความอยากรู้ และควร เปน็ สื่อทีง่ ่ายต่อการนำเสนอในระยะเวลาอนั สั้น ๒.ขั้นดำเนินการสอนหรอื ประกอบกจิ กรรมการเรยี น เปน็ ขัน้ สำคัญในการเรียน เพราะเปน็ ข้นั ที่จะให้ ความรเู้ น้ือหาอยา่ งละเอยี ดเพื่อสนองวัตถปุ ระสงค์ท่วี างไว้ ผูส้ อนตอ้ งเลือกสื่อให้ตรงกับเนอื้ หาและวธิ ีการสอน หรืออาจจะใช้สือ่ หลายแบบก็ได้ ต้องมกี ารจัดลำดบั ข้นั ตอนการใชส้ อ่ื ใหเ้ หมาะสมและสอดคลอ้ งกบั กิจกรรม การเรยี นการใชส้ ื่อในข้ันนี้จะต้องเปน็ สื่อทเ่ี สนอความรอู้ ย่างละเอียดถูกต้องและชดั เจนแก่ผเู้ รียน ๓.ข้ันวิเคราะห์และฝึกปฏิบัติ เป็นการเพ่ิมพนู ประสบการณ์ตรงแก่ผู้เรยี นเพื่อใหผ้ ้เู รียนได้ทดลองนำ ความรูด้ ้านทฤษฎี หรอื หลักการทเ่ี รียนมาแลว้ ไปใช้แก้ปัญหาในข้ันฝึกหดั โดยการลงมือฝกึ ปฏบิ ัตเิ อง ส่ือในข้นั นี้จึงเปน็ สือ่ ทีเ่ ป็นประเดน็ ปญั หาให้ผเู้ รียนไดข้ บคิดโดยผเู้ รยี นเปน็ ผู้ใชส้ ื่อเองมากที่สดุ ๔.ขั้นสรุปบทเรยี น เป็นข้ันของการเรียนการสอน เพื่อการย้ำเนือ้ หาบทเรียนให้ผเู้ รยี นมีความเข้าใจท่ี ถกู ต้องและตรงตามวตั ถุประสงค์ท่ีตั้งไว้ด้วย ข้นั สรปุ น้คี วรใชเ้ พียงระยะสนั้ ๆ เชน่ เดยี วกบั ข้ันนำเข้าสู่บทเรียน สื่อใชส้ รุปน้ีจึงควรครอบคลมุ เนื้อหาสำคญั ทัง้ หมดโดยย่อและใช้เวลาน้อย ๕.ขั้นประเมนิ ผู้เรยี น เปน็ การทดสอบว่าผู้เรยี นสามารถเรยี นรหู้ รือเขา้ ใจในส่งิ ทเ่ี รยี นไปถูกต้องมาก นอ้ ยเพียงได และบรรลุตามวตั ถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมท่ตี ั้งไวห้ รือไม่ ส่อื ในขัน้ การประเมินนี้มกั จะเป็นคำถาม
หลกั สูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๘๙ จากเนื้อหาบทเรียนโดยจะมีภาพประกอบดว้ ยก็ได้ หรืออาจนำสอ่ื ท่ใี ชใ้ นขนั้ กิจกรรมการเรียนมาถามอีกคร้งั และอาจเปน็ การทดสอบโดยการปฏบิ ตั ิจากสอื่ หรอื การกระทำของผเู้ รียน เพ่ือทดสอบดูวา่ ผู้เรียนสามารถมี ทกั ษะจากการฝกึ ปฏิบตั ิอยา่ งถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ สรปุ ทา้ ยบท การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผเู้ รียนต้องได้ฝึกทักษะจากการปฏบิ ัติจรงิ และเรียนรูเ้ น้ือหาต่าง ๆ เช่ือมโยงสัมพันธ์กัน ทำให้การเรียนรู้มีความหมายสอดคล้องกับชีวิตจริงท่ีต้องดำรงอยู่อย่างประสานกลมกลืน เป็นองค์รวม ดังนั้นการเรียนรู้แบบบูรณาการจะช่วยลดความซ้ำซ้อนของเน้ือหาวิชา แบ่งเบาภาระของครู และลดเวลาเรียนของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสใช้ความคิด ประสบการณ์ ความสามารถ และทักษะต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ก่อใหเ้ กิดการเรียนรู้ ทักษะ กระบวนการ และเน้อื หาสาระไปพรอ้ ม ๆ กันการเรียนรใู้ น สาระการเรียนรู้ต่าง ๆ มีกระบวนการและวิธีการท่ีหลากหลาย ผู้สอนต้องคำนึงถึงพัฒนาการทางด้านร่างกาย และสติปัญญา วิธีการเรียนรู้ ความสนใจ และความสามารถของผู้เรียนเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การ จัดการเรียนรู้ในแต่ละช่วงช้ัน ควรใช้รูปแบบ/วิธีการที่หลากหลาย เน้นการจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริง การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง การเรียนรรู้ ว่ มกัน การเรยี นรูจ้ ากธรรมชาติ การเรียนรูจ้ ากการปฏิบตั ิจรงิ และการเรยี นรู้ แบบบูรณาการ การใช้การวจิ ยั เป็นสว่ นหนงึ่ ของกระบวนการเรียนรู้ การเรียนร้คู คู่ ณุ ธรรม ท้ังนี้ ต้องพยายามนำ กระบวนการการจัดการ กระบวนการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม กระบวนการคิดและกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ไปสอดแทรกในการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ เน้ือหาและกระบวนการ ต่าง ๆ ข้าม กลุ่มสาระการเรียนรู้ ซ่ึงการเรียนรู้ในลักษณะองค์กรรวม การบูรณาการ เป็นการกำหนดเป้าหมายการเรียน ร่วมกัน ยึดผู้เรยี นเป็นสำคัญ โดยนำกระบวนการเรียนรู้จากกล่มุ สาระเดียวกัน หรือต่างกลุ่มสาระการเรียนรู้มา บูรณาการในการจัดการเรยี นการสอน
หลกั สตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๙๐ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้. [ออนไลน์] http://www.kroobannok.com/blog/๓๗๓๕. สบื คน้ เม่อื ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗ การจดั กจิ กรรมการเรียนร้แู บบบรู ณาการ.[ออนไลน์] www.montfort.ac.th/private- school/combined. สบื ค้นเม่อื ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗. บูรชยั ศริ มิ หาสาคร. แผนการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง. กรงุ เทพฯ : บ๊คุ พอยท์. ๒๔๕๔. สุนันทา สนุ ทรประเสรฐิ . หลากหลายการเรยี นร้แู บบบรู ณาการ. จงั หวัดนครสวรรค์: ริมปิงการพิมพ์. มปพ. สำลี รักสทุ ธิ และคณะ. เทคนิควิธีการจดั การเรียนการสอนและเขยี นแผนการสอนโดยยึดผ้เู รียนเป็นสำคัญ. กรุงเทพฯ: พฒั นาศกึ ษา,๒๕๔๔. วลัย พาณิชวลยั พาณชิ .แนวทาง Storyline Approach กับการเรียนการสอนแบบบูรณาการ. คณะครศุ าสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ๒๕๔๔. ลำดับการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้. [ออนไลน์] http://www.pramot.com/main/index.php/education- corner/๑๐๔-sequence-learning.สบื ค้นเมื่อ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗. อรทัย มลู คำและคณะ CHILD CENTRED: STORYLINE METHOD: การบรู ณาการหลกั สตู รและการเรียน การสอนโดยเนน้ ผู้เรียนเป็นสำคญั . กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ ภาพพิมพ์, ๒๕๔๔.
หลกั สตู รและสาระการเรยี นรูพ้ ระพุทธศาสนา ๙๐ บรรณานกุ รม การด์ เนอร์ (Gardner) อา้ งในทิศนาแขมมณี, (๒๕๔๕). ศาสตร์การสอน : องค์ความรูเ้ พ่ือการจดั กระบวนการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ, พิมพ์ครงั้ ท่ี ๕, กรงุ เทพมหานคร : สำนักพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. การวัดและประเมินผลทางการศกึ ษา.http://reg.ksu.ac.th/teacher/yahvaret/lession๓.html.[ออนไลน์] สบื ค้นเมอ่ื ๒๓ มถิ นุ ายน ๒๕๕๗. กระทรวงศกึ ษาธิการ กองวจิ ัยทางการศึกษา . (๒๕๔๒) วจิ ยั เพ่ือพัฒนาการเรยี นรู้ . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การ ศาสนา กรมศาสนา. กติ ตพิ ร ปญั ญาภญิ โญผล. (๒๕๔๑). รูปแบบของวิธกี ารวจิ ัยเชิงปฏิบัตกิ ารในชนั้ เรียน :กรณศี ึกษาสาหรับ ครมู ธั ยมศกึ ษา. เชยี งใหม่ : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. จริยา เสถบุตร. (๒๕๒๖). ระเบยี บวธิ วี จิ ยั ทางการศกึ ษา.ขอนแกน่ :มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น คณะศึกษาศาสตร์. ใจทพิ ย์ เชื่อรตั นพงษ์. (๒๕๓๙).การพฒั นาหลักสตู ร : หลักการและแนวปฏิบัต.ิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , อลีน เพรส, กรงุ เทพฯ. ทศิ นา แขมมณี. (๒๕๔๕),ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพ่อื การจัดกระบวนการเรยี นรู้ที่มีประสทิ ธิภาพ. พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๕, กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . . (๒๕๔๕).ศาสตรก์ ารสอน องคค์ วามร้เู พ่ือการจัดกระบวนการเรียนรทู้ ีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ ,(กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . เบญจพร ปัญญายง, (๒๕๔๓). คมู่ ือช่วยเหลือเด็กบกพร่องดา้ นการเรียนรู้, กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . นงลักษณ์ วิรชั ชยั . (๒๕๔๕). การวจิ ัยและพัฒนาการเรียนการสอน : การวจิ ยั ปฏิบตั กิ ารของครู. เอกสารประกอบการบรรยาย ระหว่างวนั ที่ ๖-๘ สงิ หาคม ๒๕๔๕ ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขมุ วทิ กรงุ เทพมหานคร. เอกสารอดั สาเนา. ปราชญา กล้าผจญ และสมศักด์ิ คงเที่ยง, (๒๕๔๕).หลักและทฤษฎกี ารบรหิ ารการศึกษา, พิมพ์คร้ังท่ี ๒, กรุงเทพมหานคร : สำนกั พิมพ์มหาวิทยาลยั รามคำแหง, ผดงุ อารยะวิญญู, (๒๕๔๒). การศกึ ษาสำหรบั เดก็ ทม่ี คี วามต้องการพเิ ศษ, กรงุ เทพมหานคร : สำนักพมิ พ์ แว่นแกว้ . พมิ พันธ์ เดชะคุปต์. (๒๕๔๖). วจิ ยั ในชน้ั เรียน ทักษะวิชาชีพครปู ฏิรปู การศกึ ษา. [ระบบออนไลน์]. แหล่งทีม่ า: http://comcenter.rimc.a.th/~comcenter/Nc๑.html.(๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖). ไพศาล หวงั พานิช. (๒๕๓๖).วธิ กี ารวิจัย. กรงุ เทพมหานคร : งานสง่ เสรมิ วิจัยและตำรากองบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. ยาใจ พงษ์บริบรู ณ.์ (๒๕๓๗) . การวจิ ยั เชิงปฏิบัติการ . วารสารศึกษาศาสตร์, ๑๔(๒),๑๓. วัลลภา เทพหัสดิน ณ อยุธยา, (๒๕๔๓).การพัฒนาการเรียนการสอนทางอุดมศึกษา, กรงุ เทพมหานคร : ภาควิชาอุดมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , สุวทิ ย์ มลู คำ และอรทัย มูลคำ, (๒๕๔๕).๒๐ วธิ ีจดั การเรยี นรู้, กรุงเทพมหานคร : ภาพพิมพ์. ศนั สนยี ์ ฉัตรคุปต,์ (๒๕๔๔).การเรยี นร้อู ย่างมีความสขุ : สารเคมีในสมองกับความสุขและการเรียนรู้,
หลกั สตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๙๑ ปทมุ ธานี : สกาย บ๊คุ ส์. สพุ ศิ บญุ ชวู งศ,์ (๒๕๓๖).หลักการสอน, กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าหลักสูตรและการสอน คณะวชิ าครศุ าสตร์ สถาบนั ราชภฏั เพชรบรุ วี ิทยาลงกรณ์ ในพระบรมราชุปถมั ภ์. สมุ ิตร คุณานุกร, (๒๕๒๘). หลักสตู รและการสอน, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชวนพิมพ.์ สมุ าลี จันทรช์ ลอ, (๒๕๔๒). การวดั ผลและประเมนิ ผล, กรงุ เทพมหานคร : ศูนยส์ อ่ื เสริมกรงุ เทพ. สุวัฒนา สวุ รรณเขตนคิ ม. (๒๕๔๐) การวจิ ยั ในชั้นเรียน (Classroom Action Research) ในทิศนา แขมมณี และสร้อยสน สกลรกั ษ์ (บรรณาธิการ). แบบแผนและเครื่องมือการวจิ ัยทางการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สวุ ิมล ว่องวาณิช. (๒๕๔๗). การวิจัยปฏิบตั กิ ารในช้นั เรียน. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน, แนวทางการจดั การเรียนรู้ตามหลกั สตู รแกนกลาง การศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑, พิมพ์ครง้ั ที่ ๒, กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั . สานกั นิเทศและพฒั นามาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ กระทรวงศกึ ษาธิการ. (๒๕๔๔). การวจิ ยั ในชน้ั เรียนเพือ่ พัฒนาการเรยี นรู้. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์การ ศาสนา กรมศาสนา. อทุ มุ พร (ทองอุไทย) จามรมาน. การสรา้ งและพัฒนาเครอื่ งมือวดั ลกั ษณะผเู้ รยี น. กรงุ เทพฯ : ฟนั น่พี ลับลซิ ซ่งิ , ๒๕๓๒. Freeman, Donald. (๑๙๙๘). Doing Teacher-Research : From Inquiry To Underst anding. Canada : Heinle & Heinle. Kerlinger,Fred N. 1964. Foundations of Behaviral Research New York : Holt, Rinehart and Winston. Lewin, Kurt. (1951). “Field. Theory and Leaning” Ind. Cartwright Field Theory in Social Science : Selected Theoretical. New York : Harper and Row.
Search