Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร

การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร

Description: ภาษาเป็นเครื่องมือที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการสื่อสารของมนุษย์ ไม่ว่าในฐานะของผู้ส่งสารหรือผู้รับสาร การสื่อสารที่สัมฤทธิ์ผล ผู้ใช้ภาษาจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถเลือกใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

Keywords: การใช้ภาษา การสื่อสาร

Search

Read the Text Version

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๔๖ ๗. การเรียงลำดบั คำที่เปน็ นามย่อย พจนานุกรมฉบบั นี้จัดเรยี งไว้ต่างหาก เชน่ กระจอกเปน็ นามยอ่ ยของนก จะไม่จัดไวใ้ นกลมุ่ ของคำ นก แต่จัดไว้ต่างหากในหมวด ก ในทำนอง เดยี วกนั คำแมลงภู่ ที่เป็นนามย่อยของปลาและหอย จะไม่จดั ไว้ในกลมุ่ ของคำ ปลา หรอื หอย แตว่ ัดไว้ ต่างหากในหมวด ม ส่วน ภู่ ซงึ่ เปน็ นามย่อยของแมลงก็จะจัดไว้ตา่ งหากอีกในหมวด ภ ๘. คำที่เป็นอนุพจน์(ลูกคำ. ของคำต้ัง (แม่คำ. จัดไว้ใต้คำต้ัง เชน่ รุ่ง เปน็ แม่คำ มลี กู คำคือ ร่งุ เชา้ รงุ่ เรือง รุ่งโรจน์ ถ้ามีความรู้ในเรือ่ งการเรียงลำดับคำดังกลา่ วมาน้ี และใช้ประโยชน์จากที่พจนานุกรมได้แสดง คำแรกและคำสดุ ทา้ ยของหน้านน้ั ๆ ไว้ท่มี มุ บนสุดของแตล่ ะหนา้ จะค้นหาคำท่ีต้องการไดร้ วดเรว็ ขน้ึ มาก ๔.๘.๒ วิธีใชเ้ ครือ่ งหมายในพจนานุกรม นอกจากวิธเี รียงลำดับคำในพจนานุกรมแลว้ นักเรยี นควรเขา้ ใจวธิ ีใชเ้ ครอื่ งหมาย วรรคตอนตา่ ง ๆ ท่ีใชใ้ นพจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน ดว้ ย เครอ่ื งหมายทนี่ ักเรยี นควรทราบมี ดังน้ี ๔.๘.๒.๑ เครือ่ งหมายจุลภาค (,) ๑. ใชค้ ั่นบทนยิ ามแตล่ ะบทที่มีความหมายคลา้ ย ๆ กนั หรือทำนองเดยี วกนั เช่น เรว็ ว.ไว, รีบ, ดว่ น. ๒. ใชค้ ัน่ บทนยิ ามก่อนหนา้ บอกคำไวพจน์ เช่น เข้าโกศ ก. บรรจุลงในโกศ, ลงโกศ ก็ วา่ . ๓. ใชค้ ั่นหลงั บทนยิ ามสดุ ทา้ ยกอ่ นหนา้ ตัวอยา่ งที่ยกมาประกอบ เพือ่ แสดง วา่ ตัวอย่างทยี่ กมาประกอบน้ันเปน็ ตัวอย่างของบทนยิ ามทุกบทท่ีอย่ขู ้างหน้า เชน่ คลำ้ ว. คอ่ นขา้ งดำ, ไม่ผ่องใส, หมน่ หมอง, เช่น ผวิ คล้ำ หนา้ คล้ำ ๔. ใชค้ ัน่ คำบอกท่ีมาของคำที่มาจากภาษาบาลีและสนั สกฤตซึ่งมรี ูปคำตรง กับคำตัง้ เชน่ ทวิ บอกที่มาของคำท้ายบทนยิ ามว่า (ป., ส.. หมายความวา่ ทวี มรี ูปคำตรงกนั ท้ังใน ภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ๔.๘.๒.๒ เครอ่ื งหมายอัฒภาค (;) ใช้คั่นบทนิยามทม่ี คี วามหมายแตกต่างกนั แต่ยังมีนยั เนื่องกับความหมายเดิม เชน่ กรา้ น ว. มีผิวด้าน, มผี วิ ไม่สดใส; กระดา้ ง, แขง็ , หยาบ. ๔.๘.๒.๓ เครอ่ื งหมายมหพั ภาค (.) ๑. ใช้เม่อื จบบทนยิ าม เชน่ ไหว ก. สั่น, สะเทือน, กระดิก. ว. สามารถทำได้ เชน่ เดินไหว. ๒. ใชห้ ลงั อกั ษรยอ่ หนา้ บทนยิ ามเพื่อบอกชนดิ ของคำตามหลักไวยากรณ์ เช่น ว. แสดงวา่ บทนยิ ามนน้ั เป็นคำวเิ คราะห์ หรือใช้หลงั อักษรยอ่ ทแี่ สดงไว้ในวงเล็บซ่งึ บอกที่มาของ คำ เชน่ (ม... แสดงว่าคำนัน้ มาจากคำในภาษามลายู ๔.๘.๒.๔ เครอ่ื งหมายยัติภงั ค์ (-) ๑. ใชแ้ ทนส่วนหน้าของคำท่ีเขา้ ค่กู นั ซ่ึงละไว้ เชน่ –กระตาก ละคำ กระโตก ซ่ึงใชเ้ ข้าคู่กบั กระตาก เป็น กระโตกกระตาก

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๔๗ ๒. ใช้หลังคำภาษาบาลหี รอื สันสฤตท่เี ปน็ คำต้ังเพ่ือแสดงว่ามีคำอื่นมาสมาส หรือสนธิได้ เช่น เบญจม- ๓. ใชแ้ ทนคำอ่านที่ไม่มีปัญหาในการอ่าน เช่น กำจร (-จอน. หรอื แทนคำ อ่านท่ีไดบ้ อกไว้กอ่ นหนา้ แลว้ เชน่ สตั - (สดั ตะ-. สัตสดก (-สะดก. ๔. ใชแ้ ยกพยางค์ของคำอา่ นทีอ่ าจอ่านเปน็ อยา่ งอน่ื ได้ เช่น เพลา (เพ-ลา. เท่าทก่ี ล่าวมาทง้ั หมดนี้เป็นเพียงข้อแนะนำใหส้ ังเกต และร้จู ักวิธีใช้พจนานกุ รมเทา่ น้นั ผทู้ ่จี ะใช้ พจนานุกรมใหเ้ ปน็ ประโยชน์แก่ตน้ ได้อย่างแทจ้ ริงน้ันต้องฝึกฝนเปดิ พจนานุกรมอยู่เปน็ ประจำ จงึ จะ เกิดความชำนาญ

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๔๘ บทท่ี ๕ ความรูเ้ กีย่ วกบั ประโยค วตั ถปุ ระสงค์การเรียนประจำบท เม่อื ศึกษาเนอื้ หาในบทเรียนน้ีแลว้ ผศู้ ึกษาสามารถ o ๑.อธบิ ายคำนามและคำกริยาไดอ้ ย่างถูกต้อง o ๒.อธิบายประโยคทีส่ มบรู ณแ์ ละไมส่ มบรู ณ์ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง o ๓.อธิบายความสัมพนั ธแ์ ละคำในประโยคได้อยา่ งถกู ต้อง o ๔.อธิบายความหมาย “ประธานและคำบุพบท”ไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้อง o ๕.อธิบายการใช้คำสรรพนามแทนคำนานไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง ขอบขา่ ยเนอื้ หา ๑. คำนามและคำกริยา ๒. ประโยคทสี่ มบรู ณแ์ ละไมส่ มบรู ณ์ ๓.ความสัมพนั ธ์และคำในประโยค ๔.ความหมาย “ประธานและคำบพุ บท” ๕.การใชค้ ำสรรพนามแทนคำนาน

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๔๙ ๕.๑ บทนำ แมพ่ าลูกชายวัย ๕ ขวบ ไปเทีย่ วสวนสัตว์ เด็กนอ้ ยฉดุ มือแม่ไปท่ีกรงสตั ว์กรงหน่ึง ชม้ี ือไปที่ สตั วใ์ นกรง พลางพดู วา่ “เสือ เสือ” แล้วพดู ต่อไปว่า “เสอื นอนแน่ะ คณุ แม่”เด็กชายผู้นี้เคยเรียนรู้ มาแลว้ ว่า สตั วท์ ม่ี สี ่ีเทา้ หางยาว ตวั ใหญ่ทา่ ทางดุร้ายท่ีเห็นอยใู่ นกรงน้ันคนไทยเรยี กว่า “เสอื ” รู้วา่ อาการทเี่ สอื ทอดตัวตามสบายอยูก่ บั พืน้ กรงเรยี กวา่ “นอน” และรู้วา่ ถา้ ต้องการจะบอกว่าเสือทำกริ ิยา นอน ต้องพดู ว่า “เสือนอน” ไมใ่ ช่“นอนเสือ”คำพดู ของเดก็ ชายว่า “เสอื นอน” ประกอบดว้ ยคำ๒ คำ คือ เสอื กบั นอน เสอื นกั ไวยากรณ์เรียกว่า คำนาม นอน นกั ไวยากรณ์เรียกวา่ คำกริยา เมือพดู ถงึ คำวา่ เสือ ต่อดว้ ยคำวา่ นอน เปน็ เสอื นอน นักไวยากรณเ์ รยี กวา่ ประโยค คำนาม และคำกริยาถือไดว้ า่ เปน็ คำสำคัญในประโยค ๕.๒ คำนามและคำกรยิ า คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกส่งิ ต่าง ๆ คำนามในภาษาไทยมมี ากมาย เชน่ คน สตั ว์ ส่ิงของ และ นามธรรมทงั้ หลาย เช่น จรัล ครู มา้ นาฬิกา บ้านเมือง ความงาม พษิ ณุโลก มหกรรม เสือ เก้าอี้ วัด สะพาน อินโด จีน คนงาน ปาก ห้อง บริษทั บาป จันทรา ชา่ ง ไข่ กระเปา๋ โรงเรียน ปัญญา คำกริยา คือ คำทใี่ ช้แสดงอาการ สภาพ หรือความรู้สกึ คำกรยิ าในภาษาไทยกม็ ีมากมาย เชน่ ต่อย อยู่ โกรธ ทำ นอน มี เสียใจ ประชมุ บริหาร ไหล ตง้ั เป็น เหน็ คุ้มครอง โลเล เขา้ ใจ วเิ คราะห์ เรียง รักษา ๕.๓ คำนามและคำกรยิ าประกอบกันเปน็ ประโยค ประโยค คอื ถ้อยคำทมี่ ีเนือ้ ความครบบริบูรณ์ เมื่อคำนามประกอบกับคำกรยิ า มักจะทำใหร้ ู้ ว่าใครทำอะไร หรือใครมีสภาพอยา่ งไร หรอื ใครรู้สกึ อยา่ งไร ถอื ไดว้ า่ มเี นื้อความครบบริบูรณ์ ผพู้ ูดใช้ สอื่ ความหมายกบั ผูฟ้ ังได้ คำนามกับคำกริยาที่ประกอบกนั น้ีจึงเรียกไดว้ ่า ประโยค ๕.๓.๑ ประโยคบางประโยคมีคำนามและคำกริยาอย่างละ ๑ คำ เช่น เสอื นอน เด็กง่วง นอ้ งหวิ ๕.๓.๒ ประโยคบางประโยคมีคำนาม ๒ คำ และคำกรยิ า ๑ คำ เช่น บุรษุ ไปรษณยี ์ส่งจดหมาย

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๕๐ ตำรวจจับผู้ร้าย นกหาเหยอื่ ๕.๓.๓ ประโยคบางประโยคมีคำนาม ๓ คำ หรือมากกว่าน้ัน และมีคำกรยิ า ๑ คำ เชน่ วนั เกิดคณุ ยาย คณุ ยายแจกสตางคห์ ลาน ๆ นักเรียนยมื หนังสอื ห้องสมดุ ครูบอกเลขนักศกึ ษา ๕.๔ ประโยคสมบรู ณแ์ ละประโยคไมส่ มบูรณ์ ประโยคท่มี เี นื้อความครบบริบูรณ์ อาจเรียกสนั้ ๆ วา่ ประโยคสมบูรณ์ ประโยคสมบูรณ์ จะตอ้ งประกอบด้วยคำนามและคำกรยิ าอยา่ งน้อย ๑ คำ ดงั ตวั อย่างข้างตน้ เสอื นอน เดก็ ง่วง นอ้ งหวิ ถ้าคำนามหน้าคำกริยาขาดไปกจ็ ะไม่ร้วู า่ ใครนอน ใครง่วง ใครหิว ประโยคจะไม่สมบูรณ์ คำนามหลงั คำกรยิ านน้ั ในบางกรณถี ้าขาดไป ประโยคกย็ ังคงเปน็ ประโยคที่สมบูรณ์ แต่บาง กรณถี า้ ขาดไป ประโยคกจ็ ะไม่สมบูรณ์ ทั้งนีย้ ่อมแล้วแต่คำกริยา เช่น ไฟไหมบ้ ้าน แม่รกั ลกู ประโยคแรก มีคำกรยิ า ไหม้ แมจ้ ะตัดคำนาม บ้าน หลังคำกรยิ าออก ประโยคก็ยังคงสมบูรณ์ ส่วนประโยคหลงั มีคำกริยา รัก หากตัดคำนาม ลกู หลังคำกรยิ าออก ประโยคจะไมส่ มบูรณ์ คำกริยาในภาษาไทยนัน้ บางคำจะมีคำนามตามหรือไม่มีก็ได้ เชน่ มีคำนามตาม ไมม่ ีคำนามตาม นอ้ งหิวข้าว น้องหิว คนเจ็บกระหายนำ้ คนเจ็บกระหาย นดิ โกรธน้อย นิดโกรธ คนงานเบ่อื งาน คนงานเบอื่ ประโยคข้างตน้ แม้ไม่มีคำนามตามหลงั คำกริยาก็สื่อความหมายไดบ้ รบิ ูรณ์ คำนามทีต่ ามหลงั คำกรยิ าเปน็ แตเ่ พยี งบอกรายละเอยี ดเพิ่มเติม จะปรากฏในประโยคหรือไม่ก็ได้ คำกรยิ าบางคำจำเป็นต้องมคี ำนามตาม เช่น นายกฯ เยือนสงิ คโปร์ นกจบั กง่ิ ไม้ แม่ครัวลา้ งจาน เรอื เทยี บท่า ตำรวจดบั เพลงิ ผจญเพลงิ ประโยคขา้ งต้น ถ้าไม่มคี ำนามตามหลังคำกริยา จะรสู้ ึกว่าพูดไมจ่ บความ ในการพูดจาสนทนากนั นน้ั ประโยคที่ใช้สื่อสารมีท้ังประโยคสมบูรณ์และประโยคไม่สมบูรณ์ ผู้ฟงั จะรวู้ า่ ประโยคใดไม่สมบูรณ์ มคี ำใดขาดหายไป โดยอาศัยการพจิ ารณาจากข้อความแวดลอ้ มหรือ

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู ๕๑ สถานการณ์แวดลอ้ ม หรอื ทเี่ รียกเปน็ ศัพทว์ ชิ าการวา่ บริบท ๕.๕ ความสมั พนั ธข์ องคำในประโยค ผชู้ าย ๒ คน คุยกัน คนหนงึ่ พูดวา่ “คุณสุวิทยข์ ายรถเพื่อน” ประโยคทีผ่ ชู้ ายคนน้ีพูดเปน็ ประโยคกำกวม มี ๒ ความหมาย ความหมายหนง่ึ คอื คุณสวุ ทิ ย์ ขายรถของตนใหเ้ พ่ือน คำวา่ รถ และเพื่อน สมั พนั ธ์กบั คำวา่ ขาย คอื เพ่ือนเปน็ ผ้ซู ื้อรถ อีกความ หมาย หนงึ่ คอื คุณสวุ ทิ ยข์ ายรถของเพื่อน คำว่า รถ และ เพ่ือน สัมพนั ธ์กบั คำวา่ ขาย คือ รถถูกขาย และ เพอ่ื นเปน็ เจ้าของรถ ประโยคตา่ ง ๆ ประกอบดว้ ยคำท่เี ก่ยี วข้องสมั พันธ์กัน คำกริยาในประโยคจะเก่ียวข้อง สมั พันธก์ บั คำนาม และถา้ คำนามในประโยคมหี ลายคำเรียงตดิ ต่อกนั คำนามเหล่าน้ีอาจจะสมั พนั ธ์กัน ดว้ ยกไ็ ด้ ๕.๕.๑ ความสมั พันธข์ องคำกริยากบั คำนาม -งกู ดั หมา -หมากัดงู ประโยคทง้ั สองประกอบด้วยคำเหมือนกัน ต่างกันที่การลำดับคำ ลำดบั ของคำในประโยคทำ ให้ความสัมพันธ์ของคำในประโยคแตกตา่ งกัน และความหมายของประโยคก็แตกต่างกนั ไปดว้ ย ประโยคแรก งู เปน็ ผูท้ ำกริยา กัด ส่วน หมา เปน็ ผ้ถู ูกกัด ประโยคหลัง หมา เปน็ ผูท้ ำกริยา กัด สว่ น งู เป็นผ้ถู ูกกัด จะเห็นได้วา่ คำนามที่อยู่หนา้ คำกรยิ ามีความสมั พันธ์กบั คำกริยาแบบเปน็ ผ้กู ระทำ คำนาม งู ในประโยคแรก และ หมา ในประโยคหลัง อย่หู น้าคำกรยิ า กัด จึงถอื ว่าเปน็ ผู้กระทำ นกั ไวยากรณ์เรียกคำนามท่อี ยหู่ น้าคำกริยา ซงึ่ มีความสมั พันธ์กบั คำกริยาแบบเปน็ ผกู้ ระทำนี้ วา่ ๕.๖ ประธาน สว่ นคำนามทอี่ ยู่หลงั คำกรยิ ามีความสัมพันธ์กบั คำกรยิ าแบบเป็นผู้ถูกกระทำ คำนาม หมา ในประโยคแรก และ งู ในประโยคหลงั อยู่หลังคำกริยา กดั จึงถอื ว่าเปน็ ผูถ้ ูกกระทำ นักไวยากรณเ์ รียกคำนามท่ีอยู่หลังคำกริยา ซ่งึ มคี วามสัมพันธ์กบั คำกริยาแบบเปน็ ผถู้ ูกกระทำ นวี้ า่ กรรม โดยทว่ั ไป คำนามที่อยหู่ น้าคำกรยิ ามักสัมพันธก์ ับคำกรยิ าแบบเปน็ ผกู้ ระทำแต่ในบางประโยค คำนามท่ีอย่หู นา้ คำกริยาสัมพันธก์ ับคำกริยาแบบอ่นื เชน่ -เดก็ หลบั -ผูช้ นะดีใจ เดก็ มิไดท้ ำกริ ยิ าหลับ แตเ่ ปน็ ผมู้ ีสภาพหลับ ผชู้ นะมไิ ด้ทำกรยิ าดีใจ แต่เปน็ ผ้รู ูส้ กึ ดีใจ คำนามท้ัง ๒ คำ มิใชผ่ กู้ ระทำกิรยิ าอาการ แต่ก็มีความสัมพนั ธ์กับคำกรยิ าอยา่ งใกล้ชดิ ถา้ ขาดไปประโยคจะไม่

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๕๒ สมบูรณ์ คำนามท้ัง ๒ คำน้ี ในทางไวยากรณ์จึงเรียกว่า ประธาน ดว้ ย สว่ นคำนามทีอ่ ยูห่ ลงั คำกริยา โดยท่วั ไปก็มกั สมั พนั ธ์กบั คำกริยาแบบเป็นผูถ้ ูกกระทำ แตใ่ น บางประโยค คำนามท่ีอยู่หลังคำกริยาสัมพนั ธ์กับคำกรยิ าแบบอื่น เช่น -แม่ตัดเสอื้ -คนงานสร้างบา้ น เส้อื และ บ้าน ไม่ได้ถกู กระทำ แต่เปน็ ผลท่ีเกิดขน้ึ จากการกระทำ คำนามทงั้ ๒ คำ ไม่ใช่ผู้ถกู กระทำ แตก่ ม็ ีความสมั พนั ธก์ บั คำกริยาอย่างใกลช้ ดิ ถ้าขาดไปประโยคจะไมส่ มบรู ณ์ คำนามทั้ง ๒ คำนี้ ในทาง ไวยากรณจ์ งึ เรียกวา่ กรรม ด้วย เราอาจสรุปวา่ ประธาน มกั สัมพนั ธ์กบั กริยา โดยเป็น ผกู้ ระทำ ผู้มีสภาพ ผ้รู ูส้ กึ และ กรรม มักสัมพนั ธก์ บั กรยิ า โดยเปน็ ผู้ถกู กระทำ ผลจากการกระทำ กล่าวโดยสรปุ ประโยคทสี่ มบรู ณ์ในภาษาไทยประกอบด้วย ประธานและกรยิ า และบาง ประโยคตอ้ งมที งั้ ประธาน กริยา และกรรม ๕.๗ คำบพุ บท คำในประโยคมไิ ด้มแี ต่คำนามและคำกรยิ าเท่าน้นั ในบางประโยคอาจมีคำชนิดอ่ืนอีกด้วย คำ ชนดิ หนึ่งท่ีมกั ปรากฏในประโยคคือ คำบพุ บท คำบพุ บท คอื คำท่ีใช้นำหนา้ คำนาม แสดงความสมั พันธ์ของคำนามคำนนั้ กับคำกริยาใน ประโยค หรือกับคำนามอน่ื ในประโยค เชน่ นิดคยุ กบั เพอื่ น นดิ คยุ ในห้องเรียน คำนาม เพ่ือน และ ห้องเรียน ในประโยคข้างต้นมคี ำบพุ บท กับ และ ใน อยู่ข้างหนา้ ตามลำดับ คำบุพบทท้งั สองแสดงความสมั พันธ์ของคำนามกับคำกรยิ า ดังนี้ กบั ในประโยคแรก แสดงว่า เพอ่ื นรว่ มทำกิรยิ า คยุ ใน ในประโยคหลงั แสดงว่า ห้องเรียนเปน็ สถานที่ทม่ี ีผู้ทำกิริยา คุย คำบพุ บททแี่ สดงความสัมพนั ธ์ของคำนามกับคำกรยิ าในภาษาไทยมอี ยู่มาก บางประโยค อาจ มีคำบุพบทได้หลายคำ เช่น นดิ คุยกับเพอื่ นในหอ้ งเรียน คณะสำรวจออกจากที่พักตั้งแตย่ ่ำรงุ่ คำนามและคำกริยาในตัวอย่างขา้ งต้นมีคำบุพบทชว่ ยแสดงความสมั พันธ์ ได้แก่ กบั ในประโยคแรก ใชแ้ สดงว่า คำนามท่ีอยขู่ ้างหลงั บอกผรู้ ว่ มกระทำ ใน ในประโยคแรก ใช้แสดงว่า คำนามท่ีอยขู่ า้ งหลงั บอกสถานท่ที ่ีกระทำ จาก ในประโยคหลัง ใช้แสดงวา่ คำนามท่ีอยู่ขา้ งหลงั บอกสถานที่ท่ีเร่ิมกระทำ ตั้งแต่ ในประโยคหลัง ใชแ้ สดงวา่ คำนามที่อยูข่ า้ งหลงั บอกเวลาทเ่ี ริม่ กระทำ คำบุพบทใชแ้ สดงความสมั พนั ธ์ของคำนามกับคำนามก็ได้ ดังตัวอย่างต่อไปน้ี ๑. เสื้อของพ่ี

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๕๓ ๒. โรงละครแห่งชาติ ๓. หนงั สือในตู้ ๔. แจกนั บนโต๊ะ ๕. เวลาก่อนเทยี่ ง ๖. เวลาตง้ั แต่เที่ยงคนื คำบุพบทในตวั อยา่ งขา้ งตน้ ช่วยแสดงความสมั พนั ธข์ องคำนาม ดังนี้ ของ และ แห่ง ในประโยคที่๑ และ ๒ ใช้แสดงวา่ คำนามท่ีอย่ขู า้ งหลงั บอกความ เป็นเจ้าของ ใน และ บน ในประโยคท๓่ี และ ๔ ใชแ้ สดงวา่ คำนามที่อยู่ขา้ งหลงั บอกสถานท่ี กอ่ น และ ตง้ั แต่ ในประโยคที่๕ และ ๖ ใชแ้ สดงวา่ คำนามท่ีอยู่ข้างหลังบอกเวลา จะเหน็ ไดว้ ่า คำบุพบทชว่ ยแสดงความสัมพนั ธ์ของคำนามกับคำกริยา และของคำนามกับ คำนามในบางประโยคคำบุพบทอาจไมป่ รากฏ ผฟู้ ังหรอื ผ้อู ่านก็ตอ้ งพจิ ารณาจากขอ้ ความแวดลอ้ มหรอื สถานการณ์แวดลอ้ มวา่ คำนามในประโยคสัมพนั ธก์ บั คำกริยาหรือสมั พนั ธ์กบั คำนามอน่ื อยา่ งไร เชน่ นายจ้างบอกปญั หาคนงาน คณุ สริ ิใหเ้ ส้ือน้อง ตยุ้ คืนหนงั สอื อาจารย์สวสั ด์ิ ประโยคขา้ งตน้ หากเตมิ คำบุพบท แก่ หรือ ของ คำบุพบทจะช่วยแสดงความสัมพันธข์ อง คำนามกับคำกรยิ า และของคำนามกับคำนามให้ชดั เจนขึน้ ดงั นี้ ๑. ก. นายจ้างบอกปัญหาแก่คนงาน ข. นายจา้ งบอกปัญหาของคนงาน ๒. ก. คณุ สิริให้เส้ือแก่น้อง ข. คณุ สริ ิให้เส้อื ของน้อง ๓. ก. ต้ยุ คืนหนงั สือแก่อาจารยส์ วัสดิ์ ข. ต้ยุ คืนหนงั สือของอาจารย์สวัสดิ์ ๕.๘ การใชค้ ำสรรพนามแทนคำนาม ในการเลา่ เรอ่ื งผู้เล่าอาจจะตอ้ งใช้คำนามซำ้ ๆ เลน่ “วันนี้ลนิ ลาไม่มา เมื่อวานนลี้ ินลาเหยียบหางหมา หมาตกใจ หมากัดลินลาเป็นแผล” เพอ่ื หลกี เล่ียงการพดู ซำ้ ๆ ผ้เู ลา่ อาจละคำนาม หรือใช้คำอ่ืนแทนคำนามท่ีซ้ำ เชน่ “วนั นีล้ ินลาไมม่ า เมื่อวานนเ้ี ขาเหยียบหางหมา มนั ตกใจ กดั เขาเปน็ แผล” คำวา่ เขา ใช้แทนคำนาม ลินลา คำว่า มัน ใชแ้ ทนคำนาม หมา คำทใ่ี ช้แทนคำนามนี้นักไวยากรณ์ เรียกวา่ คำสรรพนาม ๕.๘.๑ คำสรรพนามแทนผู้พดู ผู้ฟัง และผูท้ กี่ ล่าวถึง คำสรรพนามบางประเภทใชแ้ ทนคำนามที่เก่ยี วข้องในการสนทนา ใชห้ มายถงึ ผู้พูด บ้าง ผู้ฟงั บา้ ง ผทู้ ผี่ ้พู ูดกล่าวถึงบา้ ง เชน่ ภรรยาพดู กบั สามีวา่ “เมอ่ื เช้านี้ น้อยโทรศพั ทย์ า เขาเชญิ ไปงานเลยี้ งทบี่ ้านอาทติ ย์หน้า ฉัน

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๕๔ รับปากแลว้ แต่ไม่อยากไปคนเดียว คณุ จะไปกับฉนั ไหม” สามสี ัน่ ศรี ษะ ไม่แสดงวา่ สนใจ ภรรยาจงึ ถาม ลกู ชายว่า “อาทิตยห์ น้า ลกู ไม่ต้องซ้อมกีฬา ลูกจะไปกบั แม่ไหม” ภรรยาใชท้ ัง้ คำนามและคำสรรพนามเพ่ือหมายถงึ บุคคลที่เก่ียวขอ้ งในการสนทนา คำนาม แม่ และคำสรรพนาม ฉัน หมายถึงผพู้ ดู คำนาม ลกู และคำสรรพนาม คณุ หมายถึงผู้ฟังทเ่ี ปน็ ลูก และที่เป็นสามี ตามลำดับ คำนาม น้อย และคำสรรพนาม เขา หมายถึงผูท้ ่ผี ู้พดู กล่าวถึง คำสรรพนามที่ใชแ้ ทนผเู้ ก่ยี วข้องในการสนทนานี้มีอยมู่ าก เชน่ ฉนั ข้าพเจ้า ผม เจ้า แก ทา่ น เธอ คณุ พระองค์ เขา มนั คำเหล่านี้ผ้พู ูดจะเลือกใช้ตามความเหมาะสม เช่น ผม ใชเ้ มอื่ ผู้พูดเป็นบรุ ษุ หล่อน ใชเ้ มอื่ ผู้ที่กลา่ วถึงเปน็ สตรี ใต้ฝา่ ละอองธุลีพระบาท ใชเ้ ม่ือผฟู้ ังเป็นพระเจ้าแผ่นดิน หรือสมเด็จพระบรมราชินี อาตมภาพ ใชเ้ มอื่ ผู้พดู เปน็ ภกิ ษุ คำสรรพนามที่ใชแ้ ทนผู้พดู มักใช้กบั คำสรรพนามที่ใช้แทนผฟู้ ังเป็นคู่ ๆ เช่น ผม-คณุ ฉนั -เธอ กนั -แก เรา-นาย อั๊ว-ลอื้ ข้า-เอ็ง ถา้ ใชผ้ ิดคจู่ ะฟังแปลก คำสรรพนามบางคำทำใหเ้ กิดปญั หาบ้าง เพราะใชไ้ ดห้ ลายกรณี บางคำใชแ้ ทนผู้พดู หรอื ผฟู้ ังก็ ไดบ้ างคำใชแ้ ทนผู้พดู หรือผทู้ ี่กลา่ วถงึ ก็ได้ และบางคำใชแ้ ทนผ้ฟู งั หรอื ผทู้ ผี่ ู้พูดกล่าวถึงก็ได้ ทำให้ ประโยคท่ีพดู ไมช่ ัดเจน มหี ลายความหมาย เช่น พรุ่งน้ีเราต้องไปนครปฐม (เรา หมายถึงผพู้ ูดคนเดยี ว ผู้พูดหลายคน หรอื ผ้ฟู งั . วนั น้เี ขาไปไมไ่ ด้ (เขา หมายถึงผูพ้ ดู หรอื ผทู้ ่ีกลา่ วถึง. แกทำงานทีน่ ที่ ุกวันใช่ไหม (แก หมายถึงผู้ฟงั หรอื ผทู้ ่ีกลา่ วถงึ . ทา่ นสมควรไดร้ บั การสรรเสริญ (ท่าน หมายถึงผูฟ้ งั หรือผู้ท่ีกล่าวถงึ . ๕.๘.๒ คำสรรพนามชีร้ ะยะ คำสรรพนามบางประเภทใชห้ มายถงึ สง่ิ ที่อยูใ่ กล้ ส่ิงท่ีอยู่ไกลออกไป และสงิ่ ทีอยู่ไกล ออกไปมากเชน่ คุณสริ เิ ดนิ ไปหาคุณจงกล ถามว่า “กระเป๋าคุณใบไหน” แล้วชี้ไปทก่ี ระเป๋าท่ีวางอยู่ใกลเ้ ท้า คุณจงกล และถามตอ่ วา่ “น่ีใช่ไหม” คณุ จงกลส่ันศรี ษะ คุณสริ ิจึงช้ีไปทกี่ ระเป๋าอกี ใบหน่งึ ซง่ึ วางอยู่ ใกลส้ ามคี ุณจงกล แลว้ ถามอีกวา่ “น่ันใชไ่ หม” คุณจงกลยมิ้ ปฏิเสธวา่ “ไม่ใชโ่ น่นตา่ งหก” พลางชี้ไปท่ี กระเป๋าซึ่งลูกชายกำลงั ยกไปวางบนรถเขน็ คำสรรพนาม นี่ นน่ั โน่น ในบทสนทนานี้ หมายถึงกระเป๋าที่อยู่ในระยะหา่ งกับผู้พูดแตกต่าง กัน นี่ ใช้หมายถึงกระเป๋าที่อยูใ่ กล้ นน่ั ใชห้ มายถงึ กระเป๋าทอ่ี ยู่ไกลออกไป โน่น ใชห้ มายถึงกระเป๋าที่อยู่ไกลออกไปมาก

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๕๕ ๕.๘.๓ คำสรรพนามบอกความไม่เจาะจง คำสรรพนามบางประเภทใช้หมายถึงส่งิ ใดสิ่งหนึ่งไมเ่ ฉพาะเจาะจง เช่น ภรรยาถามสามวี า่ “หนา้ ร้อนปีน้ี เราไปเทีย่ วท่ีไหนดี” สามีตอบส้ัน ๆ ว่า “ท่ไี หนก็ได้” ภรรยาเห็นวา่ สามีไม่สนใจเร่ืองเท่ยี วจงึ เปลย่ี นเรอื่ งถามใหม่ว่า “เย็นนี้คณุ จะทานอะไร” สามตี อบสัน้ ๆ วา่ “อะไรก็ได้” ภรรยาหมดความอดทนจึงเลิกถามตอ่ คำว่า ท่ีไหน ใช้หมายถงึ สถานทีแ่ หง่ ใดแห่งหน่ึงไม่เฉพาะเจาะจง คำว่า อะไร ใชห้ มายถึงสิ่งใด สิง่ หนึ่งไมเ่ ฉพาะเจาะจง ทงั้ คำวา่ ทไ่ี หน และ อะไร ใชถ้ ามคำถามกไ็ ด้ ใช้ตอบคำถามก็ได้ นอกจากน้นั ยังใชบ้ อกเล่าเรื่องราวทัว่ ไปกไ็ ด้ เช่น ท่ไี หนก็ไมส่ บายเทา่ บ้าน เขาไม่พดู อะไรเลย คำที่ใช้แทนนามและมีความหมายไม่เจาะจงเชน่ เดยี วกบั คำ ทไ่ี หน และคำ อะไร ยังมีอีกได้แก่ คำ ใคร และ เมอื่ ไร เช่น ๑. ก. ใครมา ข. ใครมาก็ไม่ทราบ ๒. ก. เขาจะกลบั เม่ือไร ข. เขาจะกลับเมอ่ื ไรฉันไมส่ นใจ ประโยค ก. ใช้ถาม สว่ นประโยค ข. ใช้ตอบ ๕.๘.๔ คำสรรพนามบอกความรวมและแยก คำสรรพนามบางประเภทใช้หมายถึงส่งิ หลายสง่ิ ท่ีรวมกันอยู่บ้าง แยกกนั ไปบ้าง เช่น ในงานเขียนทเี่ ลา่ ถึงรายการวิทยารายการหนึง่ มขี ้อความว่า “ผฟู้ งั รายการนีส้ ่งความเห็นมามากมาย บา้ งก็ท้วงตงิ บา้ งก็ชมเชย ผู้จัดรายการอ่านความเหน็ แล้ว ตา่ งกด็ ใี จทผี่ ู้ฟังรายการสนใจ และสัญญาวา่ จะชว่ ยกันปรับปรุงรายการใหด้ ีย่งิ ข้ึน” บ้าง ตา่ ง และ กนั เปน็ คำสรรพนาม บา้ ง ใชห้ มายถึงผูฟ้ ังรายการสว่ นหนง่ึ ไมใ่ ช่ทั้งหมด ตา่ ง ใช้หมายถงึ ผูจ้ ัดรายการแตล่ ะคน กนั ใช้หมายถึงผู้จัดรายการทุกคนกระทำกิรยิ ารว่ มกัน ๕.๘.๕ การขยายคำนาม น้องเดนิ มาบอกพีว่ า่ “คณุ แม่ให้หยบิ แจกนั ใหใ้ บหน่ึง” พีห่ ยบิ แจกันซึ่งวางอยูบ่ นโต๊ะ ส่งให้ นอ้ งไมย่ อมรับ พดู ว่า “ไม่ใช่ คุณแมใ่ หห้ ยิบแจกันทใ่ี นตู้” พี่หยบิ แจกนั ใบหนึ่งจากในตูส้ ง่ ให้ สักครู่น้องเดนิ มาบอกว่า “คุณแม่จะเอาใบใหญ่ ใบนีเ้ ล็กไป” พีห่ ยิบแจกนั ใบใหญ่ใบหนึง่ ส่งให้นอ้ ง สกั ครูน่ อ้ งกลับมาบอกว่า “ไม่ใช่ใบนี้ คุณแม่อยากได้ใบท่ีคุณแม่เพงิ่ ซื้อเม่ืออาทติ ย์ก่อนนะ” พี่พยักหน้า ว่าเข้าใจ และหยบิ แจกันใบที่คณุ แม่ต้องการส่งใหน้ ้องถือไปให้คุณแมอ่ ีกคร้งั หนงึ่ น้องบอกรายละเอียดเกี่ยวกับแจกันแก่พ่ตี ามลำดับดงั น้ี แจกนั ใบหนงึ่ แจกนั ในตู้

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๕๖ แจกันใบใหญ่ แจกันใบที่คณุ แม่เพ่ิงซอื้ เมือ่ อาทิตย์ก่อน ใบหน่ึง ในตู้ ใบใหญ่ และ ใบทคี่ ุณแม่เพง่ิ ซ้ือเมื่ออาทิตยก์ อ่ น ชว่ ยขยายความหมายของ คำนามแจกัน ให้ชัดเจนขน้ึ แทนท่นี ้องจะค่อย ๆ บอกรายละเอยี ดเก่ยี วกับแจกนั น้องอาจจะบอก รายละเอียดอยา่ งชดั เจนตั้งแต่แรกก็ไดว้ า่ แจกนั ใบใหญ่ในตู้ใบท่คี ณุ แมเ่ พิ่งซ้ือเมื่ออาทิตย์กอ่ น ข้อความ ใบใหญ่ในตู้ ใบทคี่ ุณแม่เพงิ่ ซ้ือเมื่ออาทติ ยก์ ่อน ให้รายละเอียดเก่ียวกับแจกันทช่ี ัด เจนทส่ี ดุ ตัวอย่างแต่ละตวั อยา่ งขา้ งต้นประกอบดว้ ยคำหลายคำ อาจเรยี กไดว้ า่ กลุ่มคำ แตล่ ะกลุ่มคำ เราแยกได้เปน็ ๒ สว่ น สว่ นแรกถือเป็นสว่ นหลัก คอื คำนาม แจกนั สว่ นท่ี๒ ถอื เปน็ ส่วนขยาย ขยาย คำนามซึ่งเปน็ ส่วนหลกั ให้ชดั เจนขน้ึ สว่ นขยายในตัวอย่างข้างต้นมีสว่ นประกอบดงั นี้ ใบหนงึ่ ใบ นักไวยากรณเ์ รียกวา่ คำลกั ษณนาม หนงึ่ นักไวยากรณ์เรียกวา่ คำวเิ ศษณ์ ในตู้ ใน ดังทที่ ราบแล้วเรียกว่า คำบพุ บท ตู้ ดงั ท่ีทราบแลว้ เรียกว่า คำนาม ใบใหญ่ ใบ นกั ไวยากรณ์เรียกวา่ คำลกั ษณนาม ใหญ่ นกั ไวยากรณ์เรียกว่า คำวิเศษณ์ ใบที่คณุ แม่เพ่งิ ซื้อเมื่ออาทิตย์ก่อน ใบ นกั ไวยากรณเ์ รยี กว่า คำลักษณนาม ทคี่ ุณแม่เพ่ิงซ้ือ เมอ่ื อาทิตย์กอ่ น นักไวยากรณ์เรยี กวา่ ประโยคย่อย คำและประโยคท่ีกล่าวชื่อข้างตน้ ล้วนช่วยขยายคำนาม ทำให้คำนามมีความหมายชดั เจนย่ิงขึ้น ๕.๘.๖ คำวเิ ศษณข์ ยายนาม คำวิเศษณ์ คือ คำที่มีความหมายบอกลักษณะ คุณสมบัติ จำนวน หรือปรมิ าณ เปน็ ตน้ คำวิเศษณ์ในภาษาไทยมีมาก คำวิเศษณ์บางคำบอกลกั ษณ์หรือคณุ สมบัติ เช่น มมุ หอ้ งมเี กา้ อต้ี ัวใหญ่ ดเิ รกขายรถคันเก่า คำวิเศษณ์บางคำบอกจำนวนหรอื ปรมิ าณ เช่น วนิ ยั ทำงาน ๕ วนั ใน ๑ สัปดาห์ เขามีพน่ี ้องหลายคน การบอกจำนวนน้ี ในบางกรณีบอกวา่ เปน็ จำนวนท้ังหมดหรือมใิ ชท่ ้ังหมด เชน่ แมท่ กุ คนรกั ลกู นักศึกษาท้ังห้องสอบได้ คำวิเศษณ์บางคำช่วยแสดงว่าเป็นสิ่งทอี่ ยใู่ กลห้ รอื ไกลออกไป เชน่ ขอแสดงความขอบคุณไว้ ณ ท่ีนี้ เสยี งเพลงดังมาจากบ้านโนน้ คำวิเศษณ์บางคำช่วยแสดงลำดับของบางสง่ิ โดยเปรียบเทียบกบั สงิ่ อ่ืน เชน่ เขาอยบู่ ้านหลงั ที่๔ จากปากซอย คณุ น้าเพ่ิงมีลกู คนแรก คำวิเศษณ์บางคำบอกความหมายกวา้ ง ๆ ไมเ่ จาะจงชัดเจน เช่น ท่านจะบริจาคเงนิ เท่าไรก็ได้ ดอกไมด้ อกไหนเหีย่ ว เราก็ท้ิงไป

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๕๗ คำวเิ ศษณ์ที่ไมเ่ จาะจงชดั เจนนี้ นอกจากจะใช้บอกเล่าเร่ืองราวดงั เชน่ ประโยคข้างตน้ แลว้ ยงั ใชถ้ ามหรือปรารภกไ็ ด้ เชน่ ขอ้ ใดเป็นคำตอบท่ีถูกต้อง (ถาม. คนอะไรไม่รับผดิ ชอบ (ปรารภ. อนึ่ง คำวิเศษณน์ ้นี อกจากจะขยายคำนามแลว้ ยังใชข้ ยายคำวิเศษณ์ด้วยกนั เองใหช้ ดั เจน ยิ่งขึ้นก็ได้ เชน่ สม้ โอนครชัยศรีรสหวานแหลม ดอกราตรสี ง่ กลิ่นหอมฟุง้ คำวิเศษณ์ แหลม ฟุ้ง กุด เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกลักษณะ หรือ คุณสมบัติ ใช้ขยายคำวเิ ศษณ์ หวาน หอม สนั้ ในประโยคข้างตน้ ตามลำดับ ๕.๘.๗ คำลกั ษณนาม ลกั ษณะเด่นอย่างหนงึ่ ของภาษาไทยคือมคี ำลักษณนาม เมื่อบอกจำนวนของคำนาม จะต้องมคี ำลักษณนามปรากฏร่วมกับคำบอกจำนวนดว้ ย เช่น บ้าน ๒ หลัง หนังสือ ๕ เลม่ หากบอกรายละเอยี ดเกย่ี วกับคำนามในแง่อ่ืน ๆ เช่น บอกลักษณะ บอกระยะไกลใกลก้ บั ผูพ้ ดู ก็มักจะมีคำลกั ษณนามปรากฏรว่ มดว้ ย เชน่ เดก็ คนนน้ั หนงั สือเล่มไหน คำลักษณนามนม้ี ักจะช่วยเนน้ ความหมายใหเ้ ฉพาะเจาะจงยิ่งขนึ้ ลองเปรียบเทียบตวั อยา่ ง ตอ่ ไปนี้ ๑. ก. เส้อื ตัวสีแดงแพงกวา่ เสื้อตวั อ่นื ๆ ในร้าน ข. เสอื้ สีแดงแพงกวา่ เส้ืออื่น ๆ ในรา้ น ๒. ก. อรุ าชอบใชก้ ระเป๋าใบใหญ่ ข. อรุ าชอบใช้กระเปา๋ ใหญ่ ตวั อยา่ ง ๑ ก. แบะ ๒ ก. มีคำลกั ษณนามปรากฏรว่ มกบั คำวิเศษณ์บอกลกั ษณ์ ชว่ ยเนน้ ว่า เปน็ เสื้อตัวหนง่ึ ซงึ่ สีแดงและกระเป๋าใบหนึง่ ซึ่งขนาดใหญ่ ส่วนตัวอยา่ ง ๑ ข. และ๒ ข.ไม่มีคำลกั ษณ นามปรากฏร่วมกบั คำวิเศษณ์บอกลักษณะ ความหมายของคำนาม เสื้อ และกระเป๋า ใน ๒ ตัวอยา่ งนี้ จงึ กวา้ งกวา่ คือหมายถึงเสือ้ สีแดงท่ัว ๆ ไป และกระเป๋าขนาดใหญ่ท่ัว ๆ ไป ในภาษาไทย คำลกั ษณนามมีจำนวนมาก คำลกั ษณนามสว่ นใหญม่ าจากคำนาม เชน่ ใบ ลูก ตน้ ดวง แตบ่ างคำก็มาจากคำกรยิ า เช่น จีบ ขด วง มว้ น คำลกั ษณนามบางคำมรี ูปตรงกบั คำนามที่ใช้ร่วม เชน่ ประเทศ ๒ ประเทศ จังหวัด ๕ จงั หวัด บางคำมีรูปต่างกบั คำนามทใ่ี ช้ร่วม แต่กจ็ ำกดั จำเพาะใช้กบั คำนามเพียงบางคำ เชน่ เรอื น ใช้กับ นาฬิกา เข็มทศิ เลา ใชก้ บั ปี ขล่ยุ

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยีสำหรับครู ๕๘ ป้ืน ใช้กบั เล่ือย อยา่ งไรกต็ าม คำลกั ษณนามส่วนใหญใ่ ช้กับคำนามไดจ้ ำนวนมาก หน้าท่ีของคำลกั ษณนาม คอื แยกคำนามเปน็ พวก ๆ คำนามตา่ งพวกใชก้ ับคำลกั ษณนามต่างกัน เป็นต้นวา่ คำนามท่ีหมายถงึ บุคคลทัว่ ไป ใชค้ ำลักษณนาม คน เช่น เด็ก ๒ คน พ่อคา้ ๒ คน คำนามที่หมายถงึ บุคคลที่มสี ถานภาพพิเศษ ใช้คำลักษณนาม พระองค์ องค์ รูป เชน่ กษัตริย์ พระองคน์ ี้ ภกิ ษุ๒ รปู คำนามที่หมายถงึ อมนุษย์ ใชค้ ำลกั ษณนาม ตน เชน่ ยักษ์๕ ตน รากษลตนหนึง่ คำนามทห่ี มายถึงสัตว์ทัว่ ๆ ไป ใช้คำลักษณนาม ตวั เชน่ หมา ๓ ตวั จระเขต้ วั หนง่ึ ช้าง ๒ ตัว แต่ ชา้ งบา้ นใชค้ ำลักษณนาม เช่อื ชา้ งขน้ึ ระวางใช้คำลักษณนาม ชา้ ง คำนามทห่ี มายถึงนามธรรม ใชค้ ำลกั ษณนาม ข้อ ประการ อยา่ ง ฯลฯ เชน่ คำถาม ๒ ข้อ อปุ สรรค คำนามที่หมายถงึ เหตุการณ์หรือการกระทำ ใชค้ ำลักษณนาม รอบ ครั้ง ช่วง ฯลฯ เชน่ การ ประกวด ๒ รอบ สงครามครงั้ น้ี คำนามทีห่ มายถึงสงิ่ ต่าง ๆ อาจใชค้ ำลกั ษณนามทจ่ี ำแนกคำนามตามลกั ษณะ หรอื จำแนก ๕.๘.๘ นามวลี เม่อื นำคำหรือประโยคย่อยมาขยายคำนาม คำนามและสว่ นขยายน้ันจะประกอบกัน เปน็ กล่มุ คำนักไวยากรณ์มักเรียกกล่มุ คำนี้ว่า นามวลี นามวลีอาจมีคำขยายหลายคำกไ็ ด้ คำขยายนี้อาจเป็นชนิดเดียวกันหรอื ต่างชนดิ กันก็ได้ มี ประโยคย่อยขยายหลายประโยคก็ได้ มที ัง้ คำและประโยคย่อยขยายก็ได้ เชน่ ๑. พีห่ ยบิ ดินสอในกล่องบนโต๊ะ ๒. สถาปตั ยกรรม วัดเป็นสถาปตั ยกรรมตน้ กำเนิดของศิลปกรรมไทย ๓. เขาสวมเส้อื ขาดปปุ ะ ๔. เรานั่งในห้องทเี่ จา้ ของบ้านจดั ไว้สำหรบั แขกทเี่ ดินทางมาไกล ๕. คณุ แม่ต้องการแจกนั ใบใหญท่ ีเ่ พิง่ ซอื้ เมอ่ื อาทติ ย์ก่อน นามวลใี นประโยคที่๑ – ๓ มีคำขยาย ไดแ้ ก่ คำท่ีพมิ พต์ วั เอนทั้งหมด นามวลีในประโยคที่๔ มีประโยคยอ่ ยขยาย ได้แก่ ประโยคท่ีพิมพ์ตัวเอนทัง้ หมด นามวลใี นประโยคท่ี๕ มีทง้ั คำและประโยคย่อยขยาย คือคำ ใบ และใหญ่ ที่พมิ พ์ตัวเอนและ

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๕๙ บทที่ ๖ วลีและประโยค วตั ถุประสงคก์ ารเรยี นประจำบท เม่ือศึกษาเน้อื หาในบทเรียนนีแ้ ลว้ ผศู้ ึกษาสามารถ o ๑.อธิบายความหมายและชนดิ ของวลไี ด้ o ๒.อธบิ ายวลใี นทศั นะของนกั ไวยากรณโ์ ครงสรา้ งได้ o ๓.อธิบายความหมายและชนิดของประโยคได้ o ๔.ระบปุ ระเภทของประโยคในภาษาไทยได้ o ๕.อธิบายส่วนประกอบของประโยคได้ o ๖.อธบิ ายประโยคท่ีซับซ้อนได้ ขอบขา่ ยเน้ือหา ๑. ความหมายและชนดิ ของวลี ๒. วลีในทศั นะของนักไวยากรณโ์ ครงสร้าง ๓.ความหมายและชนิดของประโยค ๔.ประเภทของประโยคในภาษาไทย ๕.ส่วนประกอบของประโยค ๖.ประโยคท่ีซับซอ้ น

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๖๐ ๖.๑ บทนำ ตามตำราหลักภาษาไทยของพระยาอปุ กิตศลิ ปสาร วลแี ละประโยคจดั อยู่ในสว่ นทเ่ี รยี กวา่ วากยสัมพันธซ์ ง่ึ เป็นไวยากรณ์ในส่วนท่กี ล่าวถงึ ความเกีย่ วข้องสมั พันธก์ ันของคำพูดตา่ ง ๆแล้วทำให้ เกดิ ข้อความข้ึนมา ข้อความท่ีเกิดข้นึ น้ีมีอยู๒่ ลักษณะคือเป็นเน้อื ความท่ีเกดิ จากกล่มุ คำท่ีมีความหมาย ยงั ไม่สมบรู ณค์ รบถว้ น เรียกวา่ วลี และเกดิ จากกลุ่มคำที่มคี วามหมายสมบูรณค์ รบถ้วนเรียกวา่ ประโยค ๖.๒ ความหมายและชนิดของวลี ตำราหลกั ภาษาไทยทวั่ ๆ ไป รวมทง้ั หนงั สอื เรียนวิชาหลกั ภาษาไทย เลม่ ๓ ที่ใช้อยูใ่ น ปจั จบุ ันของกระทรวงศึกษาธกิ าร (๒๕๓๔ : ๑๐. ตา่ งให้นิยามของวลีหรือกลมุ่ คำตามแนวทางทพ่ี ระยา อปุ กติ ศิลปสาร ได้วางไว(้ ๒๕๓๓ : ๑๙๙. กล่าวโดยสรุปคอื การนำคำตัง้ แต่ ๒ คำข้นึ ไปมาเรียงตดิ ต่อ กนั ทำให้เกิดความหมายเพิ่มข้ึน และความหมายนั้นพอเปน็ ทีเ่ ขา้ ใจได้แต่เป็นเพียงสว่ นหน่งึ ของ ประโยค มีเน้ือความยังไม่สมบูรณท์ จี่ ะเป็นประโยคได้ เชน่ แก้วใบนี้ ฉลาดแกมโกง ผา้ ผอ่ นท่อนสไบ เปน็ ตน้ วลีหรือกล่มุ คำในภาษาไทยจำแนกไดเ้ ปน็ ๗ ชนดิ ตามชนิดของคำที่ปรากฏในตำแหน่ง ตน้ ของวลี ดงั นี้ ๑. นามวลี เช่น นกขนุ ทอง ผ้าทอพืน้ บา้ นหนองขาว พนักงานโรงงานผลติ หน่อไม้กระป๋อง ๒. สรรพนามวลี เช่น เราทกุ คน ท่านคณะกรรมการสภาประจำสถาบนั ราชภฏั กาญจนบุรี ข้า เบอื้ งยคุ ลบาท ๓. กรยิ าวลี เชน่ โตแ้ ย้งท่มุ เถียง เหนด็ เหนอ่ื ยเม่ือยลา้ อิดหนาระอาใจ กำลงั โคง้ คารวะ ๔. วเิ ศษณว์ ลี เชน่ ก้องกงั วาน ทใ่ี ช้ขยายคำนามในคำวา่ เสียงกอ้ งกังวาน สุดทจ่ี ะพรรณนา ขยายคำกริยาว่า สวย ในคำว่า สวยสดุ ทจ่ี ะพรรณนา ๕. บุพบทวลี เชน่ ท่ามกลางฝูงชน จากคนบา้ นไกล ตามคำสัง่ สอน ๖. สันธานวลี เช่น ถงึ อย่างไรกต็ าม ในระหวา่ งท่ี ถา้ หากว่า ๗. อุทานวลี เชน่ พทุ โธ่เอ๋ย! ตาเถรตกนำ้ ! อกอีแปน้ แตก! ในปัจจบุ นั หนงั สอื เรียนวิชาหลักภาษาไทย ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร(๒๕๓๖ : ๑๒ - ๑๕. จำแนกวลี หรอื กลมุ่ คำตามหน้าท่ตี ่าง ๆ ในประโยค ซง่ึ แบง่ ได้เปน็ ๗ ชนิดเชน่ กัน ดังนี้ ๑. กลมุ่ คำทท่ี ำหนา้ ท่เี หมือนคำนาม ได้แก่ เศษไม้เลก็ ๆ ภาพยนตรส์ ารคดี ตอนเช้าวัน อาทิตย์ นางสาวสมศรี ๒. กลมุ่ คำทีท่ ำหน้าทีเ่ หมือนคำสรรพนาม ไดแ้ ก่ ท่านทั้งหลาย พวกเขาเหลา่ นนั้ ท่านผู้ชม ๓. กลุม่ คำทท่ี ำหน้าทีเ่ หมือนคำกรยิ า ได้แก่ โคง้ คำนับ กนิ จุบกินจิบ วิ่งกระโดด-โลดเตน้ ๔. กลุ่มคำทท่ี ำหนา้ ท่ีเหมือนคำวิเศษณ์ ไดแ้ ก่ ขาวทว้ มบนเวที ดังประโยคว่า ผหู้ ญงิ ขาวท้วม บนเวทีคอื ใครนะ เฉพาะบางคร้ังบางคราว ดังประโยคว่า เขาต้อนรับเราเต็มที่เฉพาะบางครัง้ บางคราว

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๖๑ ๕. กลุ่มคำทีใ่ ช้เหมือนคำบุพบท ได้แก่ ทางดา้ นหลัง เฉพาะแค่ ใตฟ้ ากฟ้าสุราลัย ๖. กลุม่ คำท่ใี ช้เหมือนคำสนั ธาน ได้แก่ จนกระท่ัง ในระหว่างที่ เพราะฉะนั้น…จึงถา้ หากว่า ถงึ กระน้นั ก็ดี ๗. กลมุ่ คำที่ทำหนา้ ที่เหมือนคำอทุ าน ได้แก่ โอ๊ยตายแล้ว! โอโ้ ฮ! อะไรกันน!่ี ตายละวา ! กลมุ่ คำทั้ง ๗ ชนดิ ดงั กลา่ ว เมื่อนำไปประกอบเปน็ สว่ นหน่งึ ของประโยคจะทำหนา้ ที่เหมอื นคำ ชนิดตา่ ง ๆ ได้แก่ เป็นประธาน เปน็ กริยา เปน็ กรรม เปน็ สว่ นเตมิ เต็ม เปน็ สว่ นขยาย เป็นคำเช่ือม เป็น คำเรียกขานจะเห็นวา่ วิธีการจำแนกชนิดของวลีหรือกลุม่ คำในหนังสือเรยี น ของกรมวิชาการยึดแนวคดิ และวธิ ีการจำแนกตามตำราไวยากรณไ์ ทยของพระยาอปุ กิตศลิ ปสาร เพียงแตแ่ ปลศัพท์เฉพาะทเ่ี ปน็ ภาษาสนั สกฤตมาเป็นคำไทยเท่านัน้ ๖.๓ วลใี นทศั นะของนกั ไวยากรณ์โครงสร้าง ตามแนวความคิดของนกั ภาษาศาสตร์กลุ่มโครงสร้าง ให้คำจำกดั ความของวลแี ตกตา่ งไปจาก นักไวยากรณ์ดั้งเดิมที่ใช้ตำราของพระยาอปุ กิตศิลปสารเป็นหลกั เชน่ ปรีชา ทชิ นิ พงศ์ กลา่ วไว้ดงั น้ี วลี หมายถงึ คำคำเดยี วหรือหลายคำก็ได้ ซึ่งจะทำหนา้ ทเี่ ปน็ โครงสร้างหนว่ ยใดหน่วยหนง่ึ ของประโยคใน ๑๐ หนว่ ย คอื ป, ต, ร, ด, อ, ส, ท, พ, ถ และ ว ป หมายถงึ หน่วยประธาน ต ” หน่วยกรรมตรง ร ” หนว่ ยกรรมรอง ด ” หน่วยนามเดย่ี ว อ ” หนว่ ยกริยาอกรรม ส ” หน่วยกรยิ าสกรรม ท ” หนว่ ยกรยิ าทวิกรรม พ ” หน่วยเสริมพิเศษ ถ ” หน่วยเสริมบอกสถานท่ี ว ” หน่วยเสริมบอกเวลา วลตี ามสถานะใหมน่ ้ีแบ่งออกเป็น ๕ ชนดิ คือ ๑. นามวลี ๒. กรยิ าวลี ๓. พิเศษวลี ๔. สถานวลี ๕. กาลวลี

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๖๒ รายละเอยี ดของวลชี นดิ ตา่ งๆ ดังกลา่ ว ผูส้ นใจสามารถศึกษาได้จากหนังสือ “ลักษณะ ภาษาไทย” ของ ปรชี า ทชิ ินพงศ์(๒๕๒๓ : ๑๑๑ – ๑๑๘). และวิจนิ ต์ ภาณุพงศ์ เรื่อง โครงสร้าง ภาษาไทย : ระบบไวยากรณ์ (๒๕๒๔ : ๗๙–๙๖). สมชาย ลำดวน (๒๕๒๖ : ๑๕๖. ได้กล่าวถงึ ความแตกต่างของวลใี นทศั นะเก่ากบั ทัศนะใหม่ สรุปได้ว่า มีความแตกต่างเรม่ิ ตงั้ แตค่ ำนยิ าม ทงั้ นี้ เพราะการใชเ้ กณฑ์ทีแ่ ตกต่างกัน กลา่ วคือทัศนะเก่า ยึดเอาความหมายและจำนวนคำมากกวา่ หน่ึงคำเป็นเกณฑ์ ส่วนทัศนะใหมย่ ึดเอา “หน้าที่”ซ่ึงต้องทำ ในประโยคมาเป็นเคร่ืองกำหนด แม้วา่ จะมีเพียงคำเดียวโดด ๆ ก็ตาม ดังนัน้ ทศั นะของนักไวยากรณร์ ุน่ ใหม-่ คำ-หรอื -วลี-จะไม่มคี วามแตกต่างกันเลย ๖.๔-ความหมายและชนิดของประโยค พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๓๓ : ๑๖๒. ใหค้ วามหมายของประโยคว่า “ถ้อยคำท่ีมี เนื้อความครบบรบิ รู ณ์” กำชัย ทองหล่อ (๒๕๓๓ : ๔๐๗. ให้ความหมายว่า “ประโยค คือ กลุ่มคำที่มคี วามเกีย่ วข้อง กนั เป็นระเบยี บและมเี นื้อความครบบรบิ รู ณ์ โดยปรกตปิ ระโยคจะตอ้ งมีบทประธานและบทกริยาเปน็ หลักสำคัญ” อัครา บุญทิพย(์ ๒๕๓๔ : ๘๗. ใหค้ วามหมายว่า “ประโยค คือ ชว่ งของข้อความท่ีบรรจุ ความคดิ ทส่ี มบูรณ์ หรอื ความอนั บริบูรณช์ ่วงหนึ่ง” จากความหมายต่าง ๆ ดังกลา่ ว สรปุ ไดว้ ่า ประโยค คอื ถ้อยคำหรือกลุ่มคำที่บรรจุเนอื้ ความ หรือความคิดทส่ี มบูรณช์ ่วงหนง่ึ ๆ จะประกอบด้วยสว่ นสำคัญอย่างน้อย ๒ ส่วน คือ ภาคประธาน และภาคแสดง ภาคประธาน หมายถึง ส่วนสำคญั ของข้อความเปน็ ผูก้ ระทำ กำชยั ทองหล่อ (๒๕๓๓ : ๔๐๗. เรียกวา่ “บททีเ่ ป็นหวั หนา้ ของประโยค” สว่ นใหญ่เปน็ คำนาม หรอื สรรพนาม ภาคประธาน ประกอบดว้ ย บทประธาน และ/หรือ บทขยายประธานหรือความเป็นไป ส่วนภาคแสดง หมายถึง ส่วนท่ีแสดงกริ ยิ าอาการหรือความเปน็ ไปของภาคประธาน ประกอบด้วย บทกรยิ า บทขยายกรยิ า บทกรรม และบทขยายกรรม (ถา้ มี. ดังตัวอยา่ ง ต่อไปน้ี แผนภูมแิ สดงการวเิ คราะหป์ ระโยค ภาคประธาน ภาคแสดง ขยายกรยิ า ประธาน ขยายประธาน คำช่วย กริยา กรรม ขยายกรรม ทกุ เชา้ หนงั สือ - ทุกเชา้ พ่อ - - อ่าน หนังสอื ธรรมะ - พอ่ ของผม - อา่ น เสยี งดัง เด็ก - - หวั เราะ -- เด็ก มกั หัวเราะ --

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๖๓ ๖.๕ การจำแนกประโยคในภาษาไทย การจำแนกประโยคในภาษาไทยมีวิธกี ารจำแนกไดห้ ลายแบบแตกตา่ งกันไป การจำแนกตาม ประโยค เป็นการจำแนกโดยเนน้ ความสำคัญที่คำขนึ้ ต้นประโยค มี ๕ ชนดิ ๑. ประโยคกรรตุ คือ ประโยคท่ีมีกรรตุการก (ผกู้ ระทำ. เป็นประธานอยู่ข้างหน้าประโยค เช่น - ครูสอนหนงั สอื - พอ่ รักลกู - รถแล่นเรว็ ๒. ประโยคกรรม คือ ประโยคทนี่ ำเอากรรมการก (ผถู้ กู กระทำ. ข้ึนมาไวข้ า้ งหนา้ ประโยค เชน่ - นักเรยี นถกู ครตู ี - ขนมน้กี ินอร่อย - เสอ้ื ตวั สแี ดงของฉันถูกลกั ไปแลว้ ๓. ประโยคกริยา คอื ประโยคท่ีผพู้ ดู ต้องการเนน้ คำกริยา จึงเอาคำกรยิ าขึ้นมากล่าวไวก้ อ่ น บทประธาน คำกรยิ าน้นี ยิ มนำมาเรยี งไวต้ ้นประโยค มีเฉพาะกรยิ าทมี่ คี วามหมายว่า เกิด มี ปรากฏ เช่น - เกิดอทุ ุกภยั ข้นึ ทที่ างจังหวดั ภาคใต้ - มพี ิธกี รรมหลายอย่างในงานวันน้ี - ปรากฏเหตกุ ารณ์อันน่าเศรา้ สลดข้นึ แลว้ ในโลก ขอ้ สงั เกต ประโยคท่ลี ะประธานไวใ้ นฐานทีเ่ ขา้ ใจ ถือวา่ เป็นประโยคกรรตุ เชน่ หา้ มผ่าน บรเิ วณน้ี โปรด ระมัดระวงั ในการเดินขา้ มถนน เป็นต้น ๔. ประโยคการิต คือ ประโยคกรรตุ หรือประโยคกรรม ท่ีมีผู้รบั ใชแ้ ทรกเข้ามาโดยมีกริยา “ให้” เป็นกรยิ าสำคญั เช่น - แม่ให้นอ้ งทำอาหารเช้า - นกั ศึกษาถูกอาจารยส์ งั่ ให้ทำรายงาน - คุณพ่อบอกให้แม่รีบกลับบา้ นทนั ที ๕. ประโยคกรยิ าสภาวมาลา คอื ประโยคที่มีกริยาสภาวมาลาขน้ึ ต้นประโยค (กริยาสภาว มาลา เป็นคำกริยาที่นำมาใช้เป็นคำนามปรากฏในตำแหน่งประธานของประโยค. เชน่ - วิง่ ออกกำลังเวลาเชา้ ทำให้ร่างกายแขง็ แรง - ทำงานอย่างสมำ่ เสมอมผี ลต่อสขุ ภาพจิตท่ดี ี

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู ๖๔ ๖.๖ จำแนกตามเน้ือความในประโยค จำแนกตามเน้ือความในประโยคหรอื ตามเจตนาของผู้ส่งสาร มี๕ ชนิด คอื ๑. ประโยคบอกเลา่ คือ ประโยคที่มีใจความทีเ่ ป็นกลาง ๆ เพ่ือบอกเลา่ เรื่องราวทวั่ ไป ไม่เปน็ คำถาม ไมเ่ ปน็ ปฏเิ สธ ไม่เป็นคำสงั่ หรือคำขอรอ้ ง เชน่ ประโยคตัวอย่างในข้อ ๑– ๕ ทงั้ หมด ๒. ประโยคคำถาม คือ ประโยคท่มี ีใจความเปน็ คำถามและต้องการ คำตอบ เชน่ - ใครเห็นเป้ของผมบา้ ง - เธอกำลังคิดถึงอะไรอยู่ - เธอจะไปเท่ียวกบั ฉนั ไหม ๓. ประโยคปฏิเสธ คอื ประโยคที่มีใจความปฏิเสธหรือไม่ตอบรับ ซง่ึ จะมีคำวิเศษณ์ที่แสดง ความปฏิเสธประกอบอย่ดู ้วย เชน่ - ฉันไม่ชอบที่นเ่ี ลย - พอ่ มิไดม้ าเย่ยี มนานแล้ว ๔. ประโยคคำสัง่ คอื ประโยคที่สง่ สารเพ่ือสง่ั ใหท้ ำตาม หรอื ห้ามมิให้ทำตาม มกั ละภาค ประธาน เช่น - (เธอ. เดนิ ดีๆนะ - ( เธอ. ห้ามท้ิงขยะบรเิ วณน้ี - (นกั เรียน. จงทำการบา้ นเด๋ียวน้ี ๕. ประโยคขอร้อง คอื ประโยคท่ีผู้ส่งสารเพ่ือขอรอ้ งวิงวอนหรือชักชวนใหผ้ รู้ บั สารกระทำ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ เชน่ - ชว่ ยหยบิ ปากกาใหผ้ มด้วยครบั - โปรดยืนเข้าแถวหน้าห้องเรียนทุกเช้า - กรุณาเอ้ือเฟื้อแกเ่ ด็ก สตรี และคนชรา อนงึ่ ประโยคขอร้องบางตำราจดั เปน็ กลุม่ เดียวกับประโยคคำส่ัง เพราะมลี ักษณะของการส่ัง ให้ผอู้ ื่นกระทำในสิ่งท่ตี นเองต้องการ แตเ่ ปน็ การสง่ั อย่างสภุ าพ ๖.๗ จำแนกตามส่วนประกอบของประโยค จำแนกตามเนื้อความในประโยค พระยาอุปกิตศิลปสารได้ยึดแนวการจำแนกประโยค ตามส่วนประกอบของประโยคนี้โดย จำแนกออกเป็น ๓ ชนดิ ใหญ่ ๆ คอื ๑. เอกรรถประโยค (ประโยคความเดยี ว. คือ ประโยคสามัญท่ีมใี จความเพียงอย่างเดยี ว กล่าวคือ มภี าคประธานและภาคแสดงเพยี งอย่างเดยี ว เชน่ - ฟา้ แลบ (ฟา้ เป็นประธาน แลบ เปน็ ภาคแสดง. - นกั ศึกษาไปห้องสมดุ ทุกวนั (นักศึกษาเป็นภาคประธาน ไปหอ้ งสมดุ ทุกวนั เป็นภาคแสดง.

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยีสำหรับครู ๖๕ ๒. อเนกรรถประโยค หรือประโยคความรวม เปน็ ประโยคท่ีมเี อกรรถประโยคต้งั แต่๒ ประโยค ขน้ึ ไปมารวมกัน โดยมีสันธานตวั ใดตวั หนงึ่ เป็นบทเชื่อมต่อ อเนกรรถประโยคแบ่งเปน็ ชนิดยอ่ ย ตาม ชนดิ ของสันธานทีท่ ำให้เนื้อความแตกต่างกัน ๔ ชนิด คือ ๒.๑ อนั วยาเนกรรถประโยค ไดแ้ ก่ อเนกรรถประโยค ท่ีมีเนอ้ื ความคล้อยตามกัน อาจจะคลอ้ ยตามกันตามเวลา ตามการกระทำหรือตามสัญญานกไ็ ด้ มกั มสี ันธานต่อไปน้ี และ…..ก็ แลว้ …..จงึ ครนั้ …..จงึ เป็นตน้ ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี - ผมมาถงึ เขาก็ไปพอดี - ครนั้ รถไฟออกจากสถานี เขาจึงเดนิ ทางมาถึง - พ่อกับแมไ่ ปตลาดนัด ๒.๒ พยตเิ รกาเนกรรถประโยค ไดแ้ ก่ อเนกรรถประโยคทม่ี ีเน้ือความขดั แย้งกนั สนั ธานท่ใี ชเ้ ช่ือมมีดังน้ี แต่ แตท่ ว่า ถึง…..ก็ กว่า….ก็ เป็นตน้ ดังตวั อยา่ ง - ฉันมีวชิ า แต่เขามที รัพย์ - กว่าเธอจะมาถงึ เขากลบั ไปเสยี แล้ว - ถงึ หล่อนจะเป็นคนปากร้ายฉนั ก็ชอบหลอ่ น ๒.๓ วกิ ัลปาเนกรรถประโยค ได้แก่ อเนกรรถประโยคทีม่ ีเนือ้ ความใหเ้ ลือกเอาอย่าง ใดอย่างหนึง่ สันธานท่ีใช้เช่ือมมดี ังนี้ หรอื มิฉะนน้ั ไมเ่ ช่นนนั้ เป็นต้น ดงั ตวั อยา่ ง -คุณจะกลบั บา้ นหรอื ไปดูภาพยนตร์ - คุณตอ้ งมาสอบปลายภาคไม่เช่นนน้ั จะหมดสิทธิไ์ ดร้ บั ทุนการศึกษา ๒.๔ เหตวาเนกรรถประโยค ได้แก่ อเนกรรถประโยคท่ีมีเนือ้ ความเป็นเหตุเปน็ ผล (เหตตุ อ้ งมาก่อนผล. สันธานทใี่ ช้เช่อื มมีดงั น้ี จึง ฉะน้ัน ฉะนั้น….จึง ดงั นน้ั เพราะเหตนุ ้นั เป็นตน้ - เขาไม่ขยันอ่านหนังสือจึงสอบตก - เขาต้ังใจทำงานฉะนน้ั เขาจงึ ประสบความก้าวหนา้ - เขาประพฤตดิ ีเพราะฉะน้ันเพือ่ นบ้านจึงรักเขา ๓. สงั กรประโยค หรอื ประโยคความซ้อน ในหนังสือเรียนหลักภาษาไทย เล่ม ๓ ของกรม วิชาการ (๒๕๓๔: ๕๐. อธบิ ายว่า หมายถงึ ประโยคซึ่งประกอบดว้ ยประโยคหลกั หรือประโยคสำคญั และมีประโยคย่อยซึ่งเปน็ ประโยคความเดยี วซ้อนอยู่ ประโยคยอ่ ยที่ซอ้ นอยูอ่ าจทำหนา้ ทเี่ ป็นประธาน บทขยายประธาน กรรม หรอื บทขยายกรรมของประโยคหลักนัน้ เองตำราหลักภาษาไทยของพระยาอุป กติ ศิลปสาร (๒๕๓๓ : ๒๖๒. เรยี กประโยคหลักซึ่งเปน็ ประโยคสำคัญวา่ มุขยประโยค และประโยค ย่อยทซ่ี ้อนเข้ามาว่า อนุประโยค สงั กรประโยค แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ตามชนดิ ของอนุประโยค คือ ๓.๑ สังกรประโยคท่ีมีนามานุประโยคเป็นส่วนประกอบ นามานปุ ระโยค คือ อนุ ประโยคท่ที ำหน้าทีแ่ ทนคำนาม คำสรรพนาม หรือกรยิ าสภาวมาลา เชน่ - ครสู อนวชิ าภาษาไทยเป็นคนเลน่ ดนตรเี กง่ - คนโบราณมกั สอนกนั วา่ ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง - กจิ การของพ่อคา้ ขายของเก่ากำลังเจรญิ รงุ่ เรือง

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยีสำหรับครู ๖๖ ๓.๒ สังกรประโยคที่มีคุณานุประโยคเปน็ ส่วนประกอบ คุณานุประโยค หมายถึง อนุ ประโยคทีท่ ำหน้าทแ่ี ทนคำวิเศษณส์ ำหรับประกอบนามหรือสรรพนาม มีประพันธสรรพนาม ได้แก่ ผู้ ที่ ซ่ึง อัน เป็นบทเช่ือม เช่น - สุนัขทีเ่ หา่ มาก ๆ มักไม่กดั คน - อาหารท่มี ีสีสวย ๆ อาจเป็นอันตรายได้ - ฉันชอบบา้ นที่ตัง้ อยู่บนเนินเขา ๓.๓-สังกรประโยคทีม่ วี ิเศษณานุประโยคเป็นส่วนประกอบ วิเศษณานปุ ระโยค หมายถึง อนุประโยคท่ที ำหนา้ ท่ีเปน็ วิเศษณ์ประกอบกริยา หรอื วเิ ศษณ์ด้วยกนั เอง มบี ทเช่อื มเช่น เม่อื จน เพราะ เพราะวา่ เปน็ ตน้ ดงั ตัวอยา่ ง - เขาเดนิ เรว็ จนฉันเดินตามไม่ทนั - เขามคี วามร้เู พราะเขาอา่ นหนงั สอื มาก - หล่อนจะมาทนั ทเี ม่ือผมคิดถึงหลอ่ น ๖.๘ ประโยคท่ซี ับซ้อนยิ่งข้ึน ประโยคท่ซี ับซ้อนยงิ่ ขึ้น หนงั สือเรียนหลักภาษาไทย เล่ม ๓ (๒๕๓๓ : ๕๓. ให้ความหมายไว้ ๑. ประโยคความเดยี วทต่ี วั ประธานหรอื ตวั แสดงของประโยคถูกขยายดว้ ยคำหรือ กลมุ่ คำทย่ี ืดยาว ๒. ประโยคทเี่ ป็นประโยคความรวมอนั ประกอบข้นึ ดว้ ยประโยคยอ่ ยหรือประโยคเล็ก หลายๆ ประโยคเกาะเกยี่ วกันอยู่อย่างสลับซับซ้อน ๓. ประโยคความซอ้ นซ่ึงประกอบด้วยประโยคหลักและประโยคย่อยท่ี ซบั ซ้อน กล่าวโดยสรปุ ประโยคท่ซี ับซอ้ นยิ่งขึ้นจึงหมายถึง ประโยคความเดียวหรือประโยคความรวม หรอื ประโยคความซ้อนทมี่ สี ่วนขยายเป็นคำหรือกลมุ่ คำหรือเป็นประโยคย่อยทีเ่ กาะเก่ยี วกันอยอู่ ย่าง ยืดยาวสลับซับซ้อน ประโยคทซ่ี ับซ้อนย่ิงขนึ้ นี้อาจทำให้ผรู้ บั สาร คอื ผ้ทู ่ีได้อ่านหรือฟังเกดิ ความสบั สนได้ ถา้ ไม่ พิจารณาให้ดี ดังจะแสดงใหเ้ ห็นตอ่ ไปนี้ ๑. ประโยคความเดียวทีซ่ บั ซ้อนยิง่ ข้ึน ๑.๑ ความซับซ้อนในภาคประธาน - ความเมตตาของพระมหากษตั ริยไ์ ทยและพระบรมวงศานุวงศ์ต่อพสกนกิ ร ชาวไทย เปน็ คุณปู การอันหาท่ีสดุ มิได้ - เมื่อถงึ สนามบินดอนเมืองหวั หนา้ กลมุ่ คนงานไทยตามหลักฐานในบัญชี ของกระทรวงการตา่ งประเทศไดห้ ายตัวไปแลว้ ๑.๒ ความซับซ้อนในภาคแสดง - ทุกคนมีความพยายามอย่างยิง่ ยวดในการต่อสูว้ ิกฤตเศรษฐกิจในคร้งั น้ี - เครอ่ื งบินจโู่ จมเขา้ ไปทง้ิ ระเบิดติดขีปนาวุธยังจดุ ยุทธศาสตร์ทางด้านทหาร ๒. ประโยคความรวมท่ีมีความซับซอ้ นย่ิงข้ึน

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๖๗ - การอ่านหนังสือมิได้ใหป้ ระโยชนเ์ ฉพาะด้านความรเู้ ทา่ นน้ั แตย่ ังเป็นเครื่องมือ สำหรบั แสวงหาความรตู้ ลอดชีวิตอกี ด้วย ประโยคนเี้ ป็นประโยคความรวมทเี่ กิดจากประโยคความเดียวท่มี คี วามซับซ้อน ๒ ประโยคมา รวมกัน โดยมสี นั ธาน แต่เป็นตวั เชอ่ื ม - เขาเป็นนักเรียนทเี่ ก่งท้ังดา้ นการเรียนและการกีฬาหากแต่วา่ เพ่ือน ๆ ในห้องจำนวนมากไม่ ชอบเขา เพราะเขาไม่มคี วามเออื้ อาทรต่อคนอน่ื ตวั อย่างการวิเคราะห์ประโยคความรวมท่มี ีความซับซ้อนยง่ิ ข้นึ ประโยคความซอ้ น ตวั เชื่อม ประโยคความรวม เขาเป็นนกั เรียนที่เก่งท้ังด้านการเรียนและ หากแตว่ ่า เพือ่ นๆ ในห้องจำนวนมากไม่ชอบเขา การกีฬา เพราะเขาไม่มีความเอ้ืออาทรต่อคนอื่น ประโยคหลัก ตัวเชอ่ื ม ประโยคยอ่ ย ประโยค ตัวเช่ือม ประโยค ความเดยี ว ความเดยี ว เขาเป็น ท่ี (นกั เรยี น. เพื่อนๆในหอ้ ง เพราะ เขาไม่มคี วาม นักเรียน เกง่ ทั้งด้าน การเรียน จำนวนมาก เออื้ อาทร และการกีฬา ไม่ชอบเขา ตอ่ คนอ่ืน ๓. ประโยคความซอ้ นท่ีมีความซบั ซ้อนยิ่งข้ึน - นักบริหารทขี่ าดความมั่นใจในตัวเองย่อมประสบความสำเรจ็ ได้ยาก เพราะการ ตดั สินใจซึ่งมีพ้นื ฐานจากความไม่ม่ันใจมักผิดพลาดได้ง่าย ตวั อยา่ งการวิเคราะห์ประโยคความซ้อนทม่ี คี วามซับซ้อนยิง่ ขึน้ ประโยคหลัก (เปน็ ประโยคความซ้อน) ตัวเช่ือม ประโยคหลกั (เปน็ ประโยคความซ้อน) นักบรหิ ารทีข่ าดความมั่นใจในตวั เอง เพราะ ย่อมประสบความสำเร็จได้ยาก การตัดสินใจทีม่ ีพื้นฐานจากความไมม่ ่ันใจ ประโยคหลกั ตัวเชื่อม ประโยคย่อย ยอ่ มผดิ พลาดได้ง่าย ประโยค ตัวเชื่อม ประโยค ความเดียว ความเดียว นักบรหิ าร ที่ (นักบริหาร. การตดั สินใจ ซง่ึ การตัดสนิ ใจ ย่อมประสบ ขาดความ ความสำเร็จ มนั่ ใจ มกั ผดิ พลาด มีพืน้ ฐานจาก ได้ยาก ในตัวเอง ไดง้ ่าย ความไม่ม่ันใจ ๔.-ประโยคแสดงเงื่อนไขที่ซับซ้อนยิง่ ขึ้น-หมายถึง-ประโยคท่มี ีเน้ือความส่วนหนึง่ เปน็ ตวั เง่อื นไข และอีกสว่ นหนงึ่ เปน็ ผลที่ตามมา ดังตวั อย่าง

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๖๘ - หากวา่ ฝนไมต่ กในชว่ งบา่ ยวันน้ี ฉันจะพยายามมาหาเธอที่บ้านใหไ้ ด้อยา่ งแนน่ อน ประโยคดังกล่าวมเี น้ือความแสดงเงื่อนไข กลา่ วคือ การทีฝ่ นไม่ตกในชว่ งบ่ายวนั น้ีเปน็ เง่ือนไข ของการทจ่ี ะไปหาเธอท่บี า้ น หรืออีกนยั หน่ึงการทฉี่ นั ไปหาเธอทีบ่ ้านเป็นผลอันเน่ืองมาจากเง่ือนไขวา่ ฝนไม่ตกในชว่ งบ่ายวันนี้ เปน็ ต้น เร่ืองประโยคเป็นเรื่องทมี่ ีความละเอียดอ่อน เข้าใจได้ยากอย่พู อสมควร ดงั นั้น การศึกษาจงึ ต้องใช้การพินจิ พิเคราะหแ์ ละใครค่ รวญอย่างมาก โดยเฉพาะการนำตวั อยา่ งต่าง ๆ ทใ่ี ช้อย่จู รงิ ในการ สือ่ สารทง้ั การพูดและการเขียนจงึ จะเกิดความเข้าใจอยา่ งถ่องแท้

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๖๙ บทท่ี ๗ การฟงั วัตถุประสงค์การเรยี นประจำบท เมอื่ ศกึ ษาเนื้อหาในบทเรียนนี้แลว้ ผศู้ กึ ษาสามารถ o ๑.อธบิ ายความหมายและจุดมงุ่ หมายของการฟังได้ o ๒.อธิบายประโยชนแ์ ละลักษณะการฟงั ทมี่ ปี ระสิทธภิ าพได้ o ๓.ระบกุ ระบวนการฟงั และทกั ษะการฟงั ทด่ี ี o ๔.อธบิ ายการใช้คำให้เหมาะสมและการเขยี นสะกดการนั ต์ได้ ถกู ตอ้ ง ขอบขา่ ยเนอ้ื หา ๑. ความหมายและจดุ มงุ่ หมายของการฟัง ๒. ประโยชนแ์ ละลักษณะการฟงั ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ ๓.กระบวนการฟังและทกั ษะการฟังทีด่ ี ๔.การใช้คำใหเ้ หมาะสมและการเขยี นสะกดการนั ตท์ ี่ถกู ตอ้ ง

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๗๐ ๗.๑ บทนำ การฟังเปน็ กระบวนการหนง่ึ ในการส่ือสาร เพ่ือรบั ทราบเรื่องราวตา่ งๆอันจะทำให้เกิดความรู้ ความคิดและความเข้าใจ การฟังจึงเป็นพฤตกิ รรมท่จี ะต้องฝกึ ฝนให้เกิดการเรียนรู้ มีการพฒั นา เปลีย่ นแปลง ปรบั ปรุงและจะตอ้ งรู้จกั ฝึกฝนตวั เองใหเ้ ป็นผู้มีมารยาทในการฟงั ด้วย๒ ๗.๒ ความหมาย ฟัง หมายถึง ตงั้ ใจสลับ คอยรับเสยี งด้วยหู ได้ยนิ เชื่อทำตามถอ้ ยคำ เช่น ฟังออก คือ เข้าใจ รู้ เรื่อง๓ การฟัง หมายถึง การใส่ใจในส่ิงท่ีได้ยิน รวมท้ังใช้ความคิด ความรู้สึก หรือวิจารณญาณ ประกอบไปด้วย เพื่อให้แนวทางของการสื่อสารน้ัน เปิดเผยและมีประสิทธิภาพ ซ่ึงย่อมจะเอ้ืออำนวย ใหเ้ กิดความเขา้ ใจอันดรี ะหว่างกันและกนั ไดอ้ ยา่ งมากทีเดยี ว๔ การฟัง คือ การรับรู้ความหมายจากเสียงที่ได้ยินเป็นการรบั สารทางหูการได้ยนิ เป็นการเริ่มต้น ของการฟังและเปน็ เพยี งการกระทบ กันของเสียงกับประสาทตามปกติ จึงเปน็ การใช้ความ สามารถ ทางร่างกายโดยตรง สว่ นการฟงั เปน็ กระบวนการทำงานของสมองอกี หลายขนั้ ตอนต่อเนื่อง จากการได้ ยิน เป็นความสามารถทจ่ี ะได้รับรู้สิ่งที่ได้ยนิ ตีความและจบั ความส่ิงทรี่ ับรนู้ ั้นเขา้ ใจและจดจำไว้ ซึง่ เป็น ความสามารถทางสตปิ ญั ญา จากหมายความดังกลา่ วสรุปไดว้ า่ การฟงั คือ การรบั รเู้ รื่องราวท่เี กิดขึน้ รอบตวั ในแตล่ ะวนั ดว้ ยการไดย้ ินเสยี ง คือ โสตวิญญาณ ทเี่ ปน็ ตัวรบั เสียง ผา่ นทางช่องหู หรือ โสตทวาร เกดิ ความเข้าใจ แล้วนำไปปฏิบัติหรอื ถ่ายทอดระหว่างกนั และกนั เป็นอยา่ งดี๕ ๗.๓ ความสำคญั ในวนั หน่งึ ๆ เราจะได้ยนิ ได้ฟังสิง่ ต่างๆ และเรื่องราวมากมาย จากการวเิ คราะห์พบว่าคนเรา ใช้เวลาในการเขยี น ๙ % การอา่ น ๑๖ % การพดู ๓๐ % การฟงั ๔๕ % และพบวา่ เด็กประถมศึกษา ใช้เวลาในการฟังร้อยละ ๕๗.๕ ของเวลาเรยี นทัง้ หมด นอกจากนกี้ ็พบว่านกั เรียนมธั ยมศึกษาตอน ๒ รศ.อดุ ม พรประเสรฐิ . การส่ือสารดว้ ยภาษาไทย. (กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนดุสติ , ๒๕๔๙), หน้า ๒๘. ๓ ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานกุ รมราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒. (กรุงเทพฯ : นานมบี ุ๊คส,์ ๒๕๔๖), หนา้ ๑๑๘. ๔ พรรณราย ทรพั ยะประภา. จติ วทิ ยาประยตุ ก์ในชวี ติ และในการทำงาน. (กรุงเทพฯ : พรนเรศว์ ๒๕๔๘), หนา้ ๑๒๙. ๕ http://e-learning.mfu.ac.th/mflu/๑๐๐๑๑๐๓/chapter๓_๑.htm.

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๗๑ ปลายใชภ้ าษาในเวลา ๑ วัน คดิ เป็นทกั ษะการฟังถงึ ร้อยละ ๔๕ สำหรับคนทว่ั ไป ก็ใชเ้ วลาในการฟัง ถึงรอ้ ยละ ๔๕ เชน่ กนั ๖ ๗.๔ จดุ มุง่ หมาย การฟังจะประสบผลสำเร็จได้ ต้องมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนชัดเจน เวลาฟังมักไม่ทันคิดว่า ฟัง เพื่อความมุ่งหมายอะไรแต่รู้ว่า เม่ือไปฟังดนตรี ฟังเพ่ือความเพลิดเพลินและความสุขใจเป็นสำคัญเม่ือ ไปฟังปาฐกถาอาจฟังเพื่อให้ได้รับความรู้และได้รับความเพลิดเพลิน ด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ดีหากเรา กำหนดจุดมงุ่ หมายในการฟังแต่ละครั้งแต่ละเรอ่ื งไว้ ก็จะทำให้เราต้งั ใจฟังทำให้เกดิ ความเข้าใจเน้ือหา สาระของเร่ืองที่ฟังและได้ รับประโยชน์จากการฟังอย่างเต็มที่ พอจะแบ่งจุดมุ่งหมายของการฟังออก ไดด้ ังนี้ ๑. การฟงั เพ่ือติดต่อส่ือสารในชีวิตประจำวนั ๒. การฟงั เพ่ือความเพลิดเพลนิ ๓. การฟังเพ่ือรับความรู้ ๔. การฟงั เพื่อได้คติชีวิตและความจรรโลงใจ ๗.๕ ประโยชน์ของการฟัง สามารถแบง่ ออกเป็น ๒ ประการใหญ่ ๆ ๗.๕.๑ ประโยชนต์ อ่ ตนเอง ๑.การฟังท่ดี เี ปน็ พฤตกิ รรมของผมู้ มี ารยาทในการเข้าสงั คม ในวงสนทนาหรือใน สถานที่และโอกาสตา่ งๆ ไมม่ ีผพู้ ูดคนใดทช่ี อบให้คนอนื่ แย่งพูดหรือไม่ยอมฟังคำพูดของตนเอง การฟงั จงึ เป็นพฤติกรรมที่ชว่ ยสร้างบรรยากาศของความเปน็ มติ รทำให้เกดิ ความเข้าใจ การยอมรบั และความ เหน็ อกเห็นใจซึ่งกันและกัน ๒.การฟังทีด่ ีทำให้เราได้รเู้ รอ่ื งราวท่ฟี ังโดยตลอด สามารถเข้าใจข้อความสำคัญของ เร่อื งที่ฟังและจุดมุง่ หมายของผู้พดู ๓.การฟงั ที่ดีช่วยสามารถพฒั นาสมรรถภาพการใชภ้ าษาในทักษะด้านอืน่ ๆ กล่าวคอื การฟงั ช่วยใหผ้ ฟู้ ังเรยี นร้กู ระบวนการพูดท่ีดีของคนอนื่ นบั ต้งั แต่การเลือกหวั ข้อหรือประเดน็ ในการ พดู การปรับปรุงบุคลิกภาพในการพดู และวธิ กี ารเสนอสารทม่ี ปี ระสทิ ธผิ ล ๔.การฟังทดี่ เี ปน็ พน้ื ฐานที่ทำใหเ้ กดิ สมรรถภาพทางความคดิ ผฟู้ งั ได้พัฒนาพน้ื ฐาน ความรู้ และสตปิ ญั ญาจากการรวบรวมข้อมลู และขอ้ คิดต่างๆ จากการฟัง ๖ วิจิตร อาวะกลุ . เพอื่ การพูด การฟัง และการประชมุ ทดี่ .ี (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนา, ๒๕๔๓),หน้า ๕๗.

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู ๗๒ ๕.การฟังท่ดี ีทำใหเ้ ราได้เพ่ิมศัพท์ และเพิม่ พนู การใช้ถอ้ ยคำภาษาได้อย่างรดั กุมและ เหมาะสม ผู้ฟังจะสงั เกตการใช้ศพั ท์และถ้อยคำของผูพ้ ูด ศกึ ษาวิธกี ารใช้ถ้อยคำหรือสำนวนโวหาร จากผพู้ ูดแล้วจดจำ ไปเป็นแบบอยา่ งในการพูดและการเขยี น ๗.๕.๒ ประโยชนต์ ่อสังคม การฟังท่ีดีเป็นกระบวนการส่อื สารทก่ี ่อ ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาตใิ นแงท่ ่ีผู้ฟัง นำความรู้แง่คิดต่างๆไป ใช้ โดยผู้ฟังเองได้รับผลดีจากการปฏิบัติ และสังคมได้ประโยชน์ทางอ้อม ตัวอยา่ งเช่น การฟังการอภิปรายเร่ือง การรักษาสุขภาพ ส่วนบคุ คล ผู้ฟงั ได้รับความรู้แนวคิดต่างๆ ใน การรกั ษาสุขภาพจากการฟัง ถา้ ผู้ฟงั นำไปปฏิบตั ิตาม ผู้ฟงั ย่อมมีสุขภาพ พลานามัยแข็งแรงสมบรู ณใ์ น ขณะเดียวกันสังคมน้ันจะมีสมาชิกของสังคมที่มี สุขภาพท่ีแข็งแรง สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ ๗.๖ หลักสำคัญในการฟัง ๗.๖.๑ ฟงั ให้ตรงความหมาย ๗.๖.๒ ฟงั เพื่อจบั ใจความสำคัญ ๗.๖.๓ ฟงั เพอ่ื หาข้อโตแ้ ย้ง หรือคล้อยตาม ๗.๖.๔ ฟงั เพ่ือความรู้ ในการฟังแตล่ ะคร้งั อาจมจี ุดมุ่งหมายในการฟังสองหรือสามประการในการฟังแต่ละ ครง้ั ดงั นั้น เราจะสงั เกตเหน็ ในการฟังแตล่ ะครั้งน้ัน บางทเี ราฟงั การอภิปรายเราต้องใชเ้ หตุผลในการฟงั คอื เราต้องใช้การฟังเพ่ือหาข้อโตแ้ ย้งหรือคลอ้ ยตาม หรอื การฟังสารเพื่อความจรรโลงใจเราตอ้ งใช้เหตุ ผลในการฟงั แตกต่างกันออกไป ๗.๗ ลกั ษณะการฟงั ทม่ี ปี ระสิทธิภาพ๗ ในทางวชิ าการแลว้ ลักษณะการฟงั ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพมีดงั น้ี ๑. ฟังดว้ ยความสนใจ ไมว่ ่าเรื่องท่ีฟังจะเปน็ เร่อื งยาก สลบั ซบั ซ้อนอยา่ งไรก็ตาม ๒. ฟงั ผู้พูดทุกคน โดยไม่เลือกว่าผพู้ ดู คนน้นั เปน็ คนพดู ดี หรือพูดเก่ง ใหเ้ ข้าใจความหมายทผ่ี ู้ พูดส่ือสารออกมา ๓. ฟังโดยจับใจความ เรอื่ งท่ีฟงั รูค้ วามหมายของคำพดู และความหมายที่ผ้พู ดู แสดงออกมา ทางอากัปกิรยิ า ท่าทาง สีหน้าหรอื นัยนต์ า ๗ http://portal.in.th/learninghome/pages/๑๒๑๐๓/

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๗๓ ๔. ฟังดว้ ยความอดทน ๕. ฟงั โดยสงั เกตอยา่ งถี่ถ้วน ๖. ฟงั โดยไม่คิดตอบโต้ในขณะท่ีฟงั ผฟู้ ังต้องฟงั อยา่ งมสี มาธิ ๗. ฟังโดยการไม่ถือการเล่นสำนวนเป็นใหญ่ ๘. ฟงั โดยไมข่ ดั คอ ๙. ฟังเพื่อพยายามหาข้อตกลงร่วมกบั ผพู้ ูด ๑๐. ฟังโดยทำความเข้าใจให้ตรงกนั กับผู้พูด ฟงั ดว้ ยจติ ว่าง ปราศจากอคติต่อผ้พู ูด ฟงั อย่าง เข้าซง้ึ ถึงจิตผพู้ ดู และพยายามเขา้ ใจสารของผู้พดู อยา่ งชัดเจน ๗.๘ กระบวนการฟัง การฟังทด่ี ีต้องมีกระบวนการฟังซ่งึ แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ กระบวนการ ๑.กระบวนการฟังเพ่ือวิเคราะห์ฟังอย่างละเอียด ต้ังแต่ต้นจนจบแยกข้อเท็จจริงกับ ขอ้ คิดเหน็ ออกจากกนั ใชค้ วามรู้ และประสบการณแ์ ยกแยะส่วนท่ีดี และส่วนทบี่ กพร่องอย่างมเี หตุผล เมือ่ ฟังจบต้องบอกได้วา่ เร่ืองท่ีฟงั มีคุณค่าอย่างไร ๒.กระบวนการฟังเพื่อวิจารณ์แยกแยะข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็นจากเร่ืองท่ีฟัง ประเมินค่า ความเช่ือถือได้ของข้อมูลวา่ เป็นความจริงแสดงปฏิกิรยิ าต่อเรื่องท่ีฟัง เช่น ความประทับใจ ตอ่ เรือ่ งทฟี่ งั การนำไปใช้ เชน่ นำความรทู้ ไ่ี ดไ้ ปประยุกตใ์ ชห้ รือพฒั นา ๗.๙ ทกั ษะการฟงั ทดี่ ี ๑.ฝกึ ฝนความอดทนในการเป็นผู้ฟังทด่ี ี ผ้ฟู ังจำนวนมากอาจเกดิ อาการ \"ใจลอย\" เน่ืองจาก เบ่ือหน่ายกับสงิ่ ท่ฟี ังและมีสิง่ อืน่ ทนี่ ่าสนใจให้ชวนคดิ มากกว่า หรอื \"พูดแทรก\" เน่ืองจากรสู้ กึ ว่าผู้พูด น้นั พูดช้าไม่ทันใจโดยอาจใชว้ ธิ ี \"ด่วนสรุป\" จากความคดิ ของตนแทนการฟงั อยา่ งต้ังใจจนจบ ซง่ึ อาจ สง่ ผลกระทบต่อการทำงานท่ีผดิ พลาด เขา้ ใจผดิ อนั เนือ่ งมาจากการฟังที่ขาดประสทิ ธิภาพ ๒.ฝกึ ฝนการมีมารยาทของผูฟ้ ังทดี่ ี เปน็ หลักการสำคญั ในการเรยี นรูท้ ีจ่ ะให้เกียรติผพู้ ดู ไม่เป็น คนทเี่ ย่อหยิ่งหรือเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง คดิ วา่ ความคิดของตนดีกว่าจนไมย่ อมรบั ฟังผใู้ ดจนเปน็ เหตุ ใหเ้ ราปิดกน้ั การเรียนรู้จากแหล่งตา่ ง ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย ๓. ฝึกฝนการฟังอย่างกระตือรอื ร้น ไม่เพยี งแตม่ มี ารยาทในการเปน็ ผู้ฟงั ทีด่ ดี ว้ ยท่าทีตั้งใจฟงั อยา่ งจดจ่อ แตก่ ารเปน็ ผู้ฟังที่มปี ระสทิ ธภิ าพน้นั ต้องมีลักษะแหง่ ความกระตอื รือรน้ อยู่ ด้วย ๔. ฝกึ ฝนการจับประเดน็ ดว้ ยการต้งั คำถาม ความสามารถในการจับประเด็น เป็นตวั ช้ีว่าการ ส่อื สารท่เี กดิ ข้นึ น้นั เปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพหรือไม่ ผสู้ ง่ สารสามารถบรรลุเปา้ หมายในการส่ือสารที่ ต้องการไปยังผูร้ ับสารหรอื ไม่ เช่น ในรูปแบบของ ใคร ทำอะไร ท่ีไหน อยา่ งไร เมือ่ ไร เวลาใด และเรา

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๗๔ จะตอ้ งทำอะไรต่อไป เป็นต้น รวมทัง้ สามารถต้งั คำถามปลายเปดิ ต่าง ๆ เพื่อการคิดต่อยอด อนั ก่อใหเ้ กิดประโยชนใ์ นการฝกึ ฝนทกั ษะการคิดใหก้ ับตนเองได้ในอีกทาง ๕. ฝกึ ฝนทกั ษะการฟังในสถานการณท์ ่ียากลำบาก โดยใช้สถานการณ์จริงตา่ ง ๆ ท่ีทำให้การ ฟงั เปน็ ไปอยา่ งยากลำบาก๘ ๗.๑๐ การใช้คำให้เหมาะสม การใช้คำในภาษาไทยใชต้ า่ งกันตามความเหมาะสม ประกอบดว้ ยเสยี งและความหมาย การ ร้จู กั เลือกคำมาใช้ให้ถูกต้องควรคำนึงถงึ เร่ืองต่อไปน้ี ๗.๑๐.๑ การใชค้ ำใหถ้ ูกต้องตามความหมาย ความหมายของคำ ทจี่ ะกล่าวถึงมีดงั นี้คือ ๗.๑๐.๑.๑ คำท่ีมีความหมายตรงและความหมายโดยนยั - ความหมายตรง คือ ความหมายทเี่ ปน็ ทรี่ ับรู้ เข้าใจตรงกันในหมู่ผใู้ ช้ภาษา ไมต่ ้องตีความเปน็ อย่างอืน่ - ความหมายแฝง คือ ความหมายที่ซ่อนเรน้ อยใู่ นความหมายของคำน้นั ๆ เปน็ ความหมายท่ีเพิม่ ข้ึนจากความหมายตรง จะเขา้ ใจตรงกันหรอื ไมข่ นึ้ อยูก่ ับพน้ื ฐานความรู้ ประสบการณ์ของแตล่ ะบคุ คล ตลอดจนคำแวดลอ้ ม ๗.๑๐.๑.๒ คำบางคำอาจมีไดห้ ลายความหมาย คือ เมื่ออยใู่ นประโยคหนึง่ คำบาง คำอาจมคี วามแตกตา่ งไปจากเม่อื อยู่ในอีกประโยคหนึ่ง ๗.๑๐.๑.๓ คำบางคำมคี วามหมายใกล้เคียงกัน อาจทำให้ผใู้ ช้ภาษาเกดิ ความสับสน ได้ ๗.๑๐.๒ การใชค้ ำให้ถูกต้องตามไวยากรณ์ ไวยากรณห์ มายถงึ หลกั วา่ ด้วยรูปและระเบยี บวธิ ีการประกอบรปู คำให้เปน็ ประโยคชนิดของ คำแบง่ ออกเป็น ๗ ชนิด ไดแ้ ก่ ๑.คำนาม ๒.คำสรรพนาม ๓.คำกรยิ า ๔.คำวิเศษณ์ ๕.คำบพุ บท ๖.คำสันธาน ๗.คำอทุ าน ๘ http://portal.in.th/learninghome/pages/๑๒๑๐๓/

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๗๕ ๗.๑๑ การเขยี นสะกดการันตใ์ หถ้ ูกตอ้ ง การเขียนสะกดคำในเรอื่ งสำคญั เพราะถา้ เขียนสะกดบกพรอ่ งหรือผิดความหมายกอ็ าจจะ เปลีย่ นแปลงไปได้ ดงั น้นั ในการเขยี นจงึ ต้องอาศยั การสงั เกตและการจดจำหลักการเขยี นคำประเภท ต่างๆ ดงั นี้ ๑. คำสมาส ๒. คำพอ้ งเสยี ง ๓. คำทใ่ี ช้ ซ, ทร ๔. คำทใี่ ช้ ใ-, ไ- ๕. คำที่ออกเสียง อะ ๖. การใช้วรรณยุกต์ ๗. คำทีม่ ีตวั การันต์ ๘. คำทับศัพทภ์ าษาตา่ งประเทศ

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๗๖ บทท่ี ๘ การอา่ นและการเขียน วัตถปุ ระสงคก์ ารเรยี นประจำบท เมอ่ื ศึกษาเนอื้ หาในบทเรยี นนีแ้ ลว้ ผศู้ ึกษาสามารถ o ๑.อธิบายความหมายและจุดมงุ่ หมายของการอ่านและการ เขียนได้ o ๒.อธิบายประโยชนแ์ ละลกั ษณะการอ่านและการเขียนได้ o ๓.นำความรู้ทไ่ี ด้ ไปเป็นแนวทางในการสรา้ งสรรค์การอา่ น และการเขยี นได้ ขอบขา่ ยเนอ้ื หา ๑. ความหมายและจดุ มงุ่ หมายของการอา่ นและการเขียน ๒. ประโยชนแ์ ละลักษณะของการอา่ นและการเขียน

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๗๗ ๘.๑ บทนำ การอา่ นเปน็ หนึ่งในสี่ทักษะทางภาษาทจ่ี ำเปน็ ต้องฝึกฝนอยู่เสมอ และไม่มวี นั สิน้ สดุ สามารถฝกึ ได้เรือ่ ย ๆ ตามวัยและประสบการณ์ของผู้อ่าน เพราะการอ่านนนั้ จะเกยี่ วข้องกับชีวติ ประจำวนั ของ มนุษย์ เปน็ เครื่องมือสำคัญท่ีจะช่วยให้มนุษย์ไดร้ บั ความรู้ ความคิด และความบันเทิงใจ ชว่ ยปรบั ปรงุ ชีวติ ให้สดใสสมบูรณ์ ดังคำกล่าวของ เซอร์ ฟรานซิส เบคอน นกั ปรชั ญาเมธีชาวองั กฤษทวี่ า่ “การอา่ น ทำคนให้เป็นคนโดยสมบรู ณ์” แมรี่ เวริธเลย์ มองตากู๙ กวีชาวอังกฤษ ไดก้ ล่าวไว้ว่า “ไม่มีความบนั เทงิ ชนดิ ใดจะเสยี ค่าใช้จ่ายถูก เท่ากับการอา่ นหนังสือ และไม่มีความเพลิดเพลินอันใด ทจ่ี ะอยู่ได้ยาวนาน เทา่ กบั การอ่านหนังสือ” ๘.๒ ความหมายของการอ่าน การอา่ นเป็นพฤตกิ รรมการรบั สารทสี่ ำคัญไมย่ ิง่ หย่อนไปกว่าการฟงั ปัจจบุ นั มผี ู้ร้นู กั วชิ าการ และนกั เขียนนำเสนอความรู้ ขอ้ มลู ข่าวสารและงานสรา้ งสรรค์ ตพี มิ พ์ ในหนังสอื และส่ิงพมิ พ์อ่นื ๆ มาก นอกจากน้แี ลว้ ขา่ วสารสำคัญ ๆ หลังจากนำเสนอด้วยการพูด หรืออ่านให้ฟังผ่านสอ่ื ตา่ ง ๆ สว่ น ใหญ่จะตีพมิ พ์รกั ษาไวเ้ ปน็ หลักฐานแก่ผอู้ ่านในชนั้ หลัง ๆความสามารถในการอา่ นจึงสำคญั และจำเปน็ ยง่ิ ต่อการเป็นพลเมืองทม่ี ีคุณภาพในสังคมปัจจบุ นั การอา่ น คือ การรบั รู้ข้อความในการเขียนของตนเองหรอื ของผอู้ ื่น รวมถึงการการรับรู้ ความหมายจากเครื่องหมายและสัญลกั ษณ์ต่างๆ เช่น สัญลกั ษณ์จราจร เครือ่ งหมายทแ่ี สดงบนแผนท่ี เป็นต้น๑๐ การอ่าน คือ การรับรู้ในรูปของตัวอักษรมาแปลเป็นความรู้ ความเข้าใจของผู้อ่าน โดยผ่าน การคดิ ประสบการณ์ และความเช่อื ของตน๑๑ การอ่าน เป็นการแปลความหมายของตัวอักษรออกมาเป็นความคิด นำความคิดนั้นไปใช้ ประโยชน์และหวั ใจของการอา่ นอยทู่ ี่การเขา้ ใจความหมายของคำ๑๒ การอ่าน หมายถึง การทำความเข้าใจถ้อยคำ สำนวนในงานเขียน ตามที่ผู้เขียนต้องการจะ ส่ือสารในงานเขยี น ซึ่งผอู้ า่ นจะได้รับทงั้ ความรู้ ความคิด ประสบการณ์ท่ีผู้เขยี นถ่ายทอดเปน็ ตวั อักษร การรับรขู้ ้อความ เขา้ ใจเรอื่ งราว หรอื ไดร้ ับรสความบนั เทิงใจตรงตามจดุ ประสงค์ของผูเ้ ขียน เป็นการอ่านทด่ี แี ละไดป้ ระโยชน์อยา่ งแท้จริง ๙ วทิ ยากร เชยี งกลู .คำคมคนรกั หนังสือ. (กรงุ เทพฯ : ชนนยิ ม, ๒๕๔๔), หน้า ๘๑. ๑๐ http://e-learning.mfu.ac.th/mflu/๑๐๐๑๑๐๓/chapter๕/chapter๕_๑.htm. ๑๑ ภาควชิ าภาษาไทย คณะอกั ษรศาสตร.์ ภาษาเพื่อการสอื่ สาร. (นครปฐม : มหาวทิ ยาลยั ศิลปกร วทิ ยาเขตสนามจนั ทร์, ๒๕๔๐), หน้า ๘๓. ๑๒ ศรรี ตั น์ เจิงกลน่ิ จนั ทร์.การอ่านและการสรา้ งนสิ ัยรกั การอ่าน. (กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๔๔), หน้า ๒.

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๗๘ ๘.๓ ความสำคัญของการอ่าน ในสมยั โบราณที่ยังไม่มีตัวหนงั สือใช้ มนษุ ย์ได้ใช้วิธเี ขยี นบนั ทึกความทรงจำและเรอื่ งราว ตา่ ง ๆ เป็นรูปภาพไวต้ ามฝาผนังในถ้ำ เพื่อเป็นทางออกของอารมณ์ เพื่อเตือนความจำหรือเพ่ือบอก เลา่ ใหผ้ อู้ ่นื ไดร้ ับร้ดู ้วย แสดงถงึ ความพยายามและความปรารถนาอันแรงกล้าของมนุษย์ ท่จี ะถ่ายทอด ประสบการณ์ของตนเป็นสญั ลกั ษณ์ที่คงทนต่อกาลเวลาจากภาพเขยี นตาม ผนงั ถ้ำ ได้วิวฒั นาการมา เป็นภาษาเขยี นและหนังสอื ปจั จุบันน้ีหนงั สอื กลายเป็นสง่ิ ที่สำคัญยิง่ ต่อมนุษย์จนอาจกล่าวได้ว่าเปน็ ปจั จัยอนั หนงึ่ ในการดำรงชีวติ คนที่ไม่รู้หนังสือแมจ้ ะดำรงชีวติ อยไู่ ด้ก็ เป็นชวี ิตทไ่ี มส่ มบรู ณ์ ไมม่ ีความ เจริญ ไมส่ ามารถประสบความสำเร็จใด ๆ ในสงั คมได้หนังสือและการอา่ นหนังสือจงึ มีความสำคญั อยา่ ง ย่งิ ความสำคัญของการอ่านสรปุ ว่า การอา่ นหนงั สอื มีประโยชนส์ ำคัญในการพฒั นาคุณภาพชีวิต ไปสชู่ วี ติ ท่ดี กี วา่ เพราะสามารถเรยี นรเู้ รอ่ื งราวต่างๆ ไดจ้ ากหนงั สอื นอกจากนหี้ นงั สือยังเปน็ ส่ือ สนั ติภาพสำคญั ของมนุษย์ การทีผ่ ้อู ่านจะไดร้ ับประโยชน์จากหนังสอื มากน้อยเพยี งใด ผอู้ า่ นจะต้อง รู้จักเลอื กสรร และค้นคดิ สิง่ ทเ่ี ป็นสาระสำคัญของหนังสือมาใช้ในชีวติ และการดำรงชวี ิตของตนเอง อย่างเหมาะสม๑๓ ๘.๔ จุดประสงคข์ องการอ่าน ในการอา่ นบคุ คลแต่ละคนจะมีจุดประสงค์ของตนเอง คนท่ีอ่านขอ้ ความเดยี วกันอาจมี จดุ ประสงคห์ รือความคดิ ต่างกัน โดยทว่ั ไปจุดประสงค์ของการอา่ นมี ๔ ประการ คือ ๘.๔.๑ การอา่ นเพ่ือความรู้ ได้แก่ การอา่ นหนังสือประเภทตำรา สารคดี วารสาร หนงั สอื พมิ พ์ และข้อความต่าง ๆ เพื่อใหท้ ราบเรื่องราวอนั เป็นขอ้ ความรู้ หรือเหตุการณ์บา้ นเมอื ง การ อา่ นเพ่ือความรอบรเู้ ปน็ การอ่านท่จี ำเป็นท่ีสดุ สำหรบั ครู เพราะความรตู้ ่าง ๆ มกี ารเปล่ยี นแปลง เพมิ่ เติมอยทู่ ุกขณะ แม้จะได้ศกึ ษามามากจากสถาบนั การศกึ ษาระดบั สงู กย็ งั มีส่ิงที่ยงั ไมร่ ้แู ละต้อง คน้ ควา้ เพิ่มเตมิ ให้ทนั ตอ่ ความก้าวหนา้ ของโลกขอ้ ความรตู้ ่าง ๆ อาจมิไดป้ รากฏชดั เจนในตำรา แต่ แทรกอยใู่ นหนงั สอื ประเภทต่าง ๆแมใ้ นหนังสอื ประเภทบนั เทิงคดีกจ็ ะให้เกรด็ ความรู้ควบคูก่ บั ความ บันเทงิ เสมอ ๘.๔.๒ การอ่านเพ่ือความคิดแนวความคิดทางปรชั ญา วัฒนธรรม จริยธรรม และ ความคดิ เหน็ ทว่ั ไป มักแทรกอยใู่ นหนงั สือแทบทุกประเภท มิใชห่ นังสือประเภทปรชั ญา หรือจรยิ ธรรม โดยตรงเท่าน้นั การศึกษาแนวคิดของผู้อ่นื เป็นแนวทางความคิดของตนเองและอาจนำมาเปน็ แนว ปฏบิ ตั ิในการดำเนินชีวติ หรือแก้ ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตผู้อ่านจะต้องใช้วจิ ารณญาณในการเลอื กนำ ความคิดท่ีได้อา่ นมาใช้ให้ เปน็ ประโยชนใ์ นบางเรอื่ งผู้อา่ นอาจเสนอความคิดโดยยกตวั อยา่ งคนท่ีมี ความคดิ ผดิ พลาดเพ่อื เปน็ อุทาหรณ์ให้ผอู้ ่านไดค้ วามย้ังคิด เชน่ เรอื่ งพระลอแสดงความรกั อันฝนื ๑๓ สมพร มนั ตะสตู ร แพง่ พพิ ัฒน์, การอ่านทวั่ ไป. (กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร์, ๒๕๓๔), หน้า ๓.

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู ๗๙ ทำนองคลองธรรมจึงต้องประสบเคราะหก์ รรมในที่สดุ ผู้อ่านที่ขาดวิจารณญาณมีความคดิ เป็นเรอ่ื งจูง ใจใหค้ นทำความผิดนบั ว่าขาด ประโยชนท์ างความคดิ ท่ีควรได้ไปอยา่ งน่าเสยี ดายการอ่านประเภทนจ้ี งึ ตอ้ งอาศัย การศึกษาและการชแี้ นะทถ่ี ูกต้องจากผ้มู ีประสบการณใ์ นการอ่านมากกวา่ ครจู ึง ตอ้ งใช้ วิจารณญาณในการอ่านเพ่ือความคิดของตนเองและเพ่ือช้แี นะหรือสนับสนุน นกั เรยี นใหพ้ ฒั นาการ อ่านประเภทน้ี ๘.๔.๓ การอ่านเพอ่ื ความบันเทิงเปน็ การอา่ นเพ่อื ฆ่าเวลา เช่น ระหว่างที่คอยบคุ คลท่ี นัดหมาย คอยเวลารถไฟออก เปน็ ต้น หรอื อา่ นหนังสอื ประเภทบันเทงิ คดใี นเวลาวา่ ง บางคนท่ีมนี ิสัย รกั การอ่านหากรู้สกึ เครยี ดจากการอ่านหนงั สอื เพ่ือความรู้ อาจอา่ นหนังสือประเภทเบาสมองเพือ่ การ พักผอ่ น หนังสอื ประเภททส่ี นองจุดประสงค์ของการอ่านประเภทน้มี จี ำนวนมากเชน่ เรือ่ งส้ัน นวนยิ าย การ์ตนู วรรณคดีประเทอื งอารมณ์เปน็ ตน้ จุดประสงค์ในการอา่ นทงั้ ๓ ประการดงั กล่าว อาจรวมอย่ใู น การอา่ นครง้ั เดยี วกันก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องแยกจากกันอย่าง ชัดเจน ๘.๔.๔ คุณค่าของการอา่ น ในการส่งเสรมิ การอ่าน ครูควรช้ใี หน้ กั เรียนเห็นคุณคา่ ของการอ่าน ซึ่งจะเป็นแนวทางในการเลือกหนังสือดว้ ย คุณคา่ ดังกลา่ วมามีดังน้ี ๘.๔.๔.๑ คณุ คา่ ทางอารมณห์ นงั สอื ท่ใี ห้คุณค่าทางอารมณ์ ได้แก่ วรรณคดีท่ี มคี วามงามทงั้ ถ้อยคำ น้ำเสียง ลลี าในการประพันธ์ ตลอดจนความงามในเนอ้ื หา อาจเรียกไดว้ ่ามี “รส” วรรณคดซี ึง่ ตำราสันสกฤต กลา่ วว่า มรี ส ๙ รส คอื ๑. รสแห่งความรักหรือความยินดี ๒. รสแหง่ ความรื่นเรงิ ๓. รสแห่งความสงสาร ๔. รสแห่งความเกร้ยี วกราด ๕. รสแหง่ ความกล้าหาญ ๖. รสแหง่ ความน่ากลัวหรอื ทุกขเวทนา ๗. รสแห่งความเกลยี ดชัง ๘. รสแห่งความประหลาดใจ ๙. รสแหง่ ความสงบสนั ตใิ นวรรณคดีไทยก็แบง่ เปน็ ๔ รส คอื ๙.๑ เสาวจนี การชมความงาม ๙.๒ นารีปราโมทย์ การแสดงความรัก ๙.๓ พโิ รธวาทัง การแสดงความโกธรแค้น ๙.๔ สลั ลาปังคพิไสย การคร่ำครวญ คงเคยได้ศึกษามาแลว้ หนงั สอื ที่มิใชต่ ำราวิชาการโดยตรง มกั แทรกอารมณ์ไวด้ ว้ ยไมม่ ากก็น้อย ทั้งน้ี เพ่อื ให้นา่ อา่ นและสนองอารมณข์ องผู้อ่านในด้านตา่ ง ๆ ๘.๔.๔.๒ คุณคา่ ทางสตปิ ัญญาหนงั สือดีย่อมใหค้ ุณคา่ ทางด้านสติปัญญา อัน ไดแ้ ก่ ความร้แู ละความคิดเชิงสรา้ งสรรค์ มิใช่ความคิดในเชงิ ทำลายความร้ใู นท่นี ้ีนอกจากความรู้ทาง วิชาการแลว้ ยงั รวม ถึงความรู้ทางการเมอื ง สังคม ภาษา และสง่ิ ตา่ ง ๆ อนั เป็นประโยชน์แก่ผ้อู า่ นเสมอ แมจ้ ะหยบิ หนงั สือมาอ่านเพียง ๒-๓ นาทีผูอ้ า่ นกจ็ ะได้รับคุณคา่ ทางสติปญั ญาไม่ด้านใดกด็ า้ นหน่งึ หนงั สืออาจจะ ปรากฏในรปู ของเศษกระดาษถุงกระดาษ แต่กจ็ ะ “ให้ ” บางสิง่ บางอยา่ งแกผ่ ู้อ่าน

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๘๐ บางครัง้ อาจชว่ ยแกป้ ัญหาที่คิดไม่ตกมาเป็นเวลานาน ท้ังนย้ี อ่ มสดุ แตว่ ิจารณญาณและพนื้ ฐานของ ผอู้ า่ นดว้ ยบางคนอาจมองผ่านไปโดย ไม่สนใจแต่บางคนอาจมองลึกลงไปเห็นคุณค่าของหนังสอื น้นั เป็น อย่างยง่ิ คุณค่า ทางสตปิ ญั ญาจึงมใิ ช่ขึ้นอยู่กับหนังสือเท่าน้ัน หากขึ้นอยู่กบั ผู้อา่ นด้วย ๘.๔.๔.๓ คณุ คา่ ทางสงั คม การอา่ นเปน็ มรดกทางวัฒนธรรมที่สบื ตอ่ กันมา แตเ่ ปน็ โบราณกาล หากมนุษย์ ไม่มีนสิ ยั ในการอ่าน วัฒนธรรมคงสูญสน้ิ ไป ไมส่ บื ทอดมาจนบดั นี้ วัฒนธรรมทางภาษา การเมือง การประกอบอาชพี การศกึ ษา กฎหมาย ฯลฯ เหล่านี้อาศยั หนังสือและ การอา่ นเปน็ เครอ่ื งมือในการเผยแพร่และพัฒนาให้คณุ ค่าแกส่ งั คมนานปั การ หนงั สืออาจทำให้ การเมืองเปลย่ี น แปลงไปได้หากมคี นอา่ นเปน็ จำนวนมาก หนงั สือและผูอ้ ่าน จงึ อาศัยกนั และกันเปน็ เครือ่ งสืบทอดวัฒนธรรมของมนุษย์ในสังคมทีเ่ จรญิ แลว้ จะเหน็ ไดว้ ่า ในกลุ่มคนท่ีไม่มีภาษาเขียน ไมม่ ี หนังสือไม่มกี ารอา่ นวัฒนธรรมของสงั คมนน้ั มักล้าหลงั ปราศจากการพัฒนา การอ่านจึงให้คุณค่าทาง สังคมในทุกด้าน ๘.๕ การเขียน ความรพู้ นื้ ฐานทางการเขียน หาความรู้เร่งให้ แม่นยำ ลืมย่อมแกด้ ้วยจำ จดไว้ จำมากนักจักทำ ตนดุจ ห้องสมุด การจดจ่ึงตอ้ งให้ ชอบใช้ชาญเขยี น จากโครงสสี่ ุภาพขา้ ง ต้นแสดงให้ทราบถงึ ความสำคัญของการเขียนได้เป็นอย่างดี การเขยี นจงึ เปน็ อีกทกั ษะหนงึ่ ทางภาษาที่ต้องอาศัยการฝกึ ฝนบอ่ ย ๆ จนเกดิ ความเช่ียวชาญ การมีความรู้เบอ้ื งตน้ เก่ียวกับการเขียนก็จะทำใหเ้ กิดความเขา้ ใจและลงมอื เขียนไดง้ ่ายข้ึน เพราะได้ทราบแนวทางการเขียน กอ่ นทจ่ี ะลงมือปฏบิ ัตจิ รงิ ๘.๕.๑ ความหมาย การเขียน หมายถงึ การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคดิ และความต้องการของบคุ คลออกมาเปน็ สญั ลกั ษณ์ คือ ตัวอักษร เพ่ือส่อื ความหมายใหผ้ ู้อน่ื เขา้ ใจจากความข้างตน้ ทำให้มองเหน็ ความหมาย ของการเขยี นวา่ มีความจำเป็นอยา่ งย่ิงต่อการส่ือสารในชีวิตประจำวัน เชน่ นักเรียน ใชก้ ารเขยี น บันทึกความรู้ ทำแบบฝกึ หัดและตอบข้อสอบบุคคลทัว่ ไป ใชก้ ารเขียนจดหมาย ทำสญั ญา พินยั กรรม และคำ้ ประกนั เป็นตน้ พอ่ ค้า ใชก้ ารเขียนเพ่ือโฆษณาสนิ ค้า ทำบัญชี ใบสง่ั ของ ทำใบเสรจ็ รบั เงิน แพทย์ ใชบ้ ันทึกประวตั ิคนไข้เขยี นใบสัง่ ยาและอืน่ ๆ เปน็ ตน้ ๑๔ ๑๔ http://e-learning.mfu.ac.th/mflu/๑๐๐๑๑๐๓/chapter๔/chapter๔_๑.htm

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๘๑ การเขยี น หมายถึง การแสดงความรู้ ความคิด และความต้องการของผสู้ ่งสารออกไปเป็นลาย ลักษณ์อักษร เพื่อใหผ้ ู้รับสารสามารถอา่ นเขา้ ใจ ได้รบั ทราบความรู้ ความคิด ความรสู้ ึก และความ ต้องการเหลา่ นั้น๑๕ การเขยี น หมายถึง การถา่ ยทอดความรสู้ ึก ความคดิ ความรู้ ประสบการณ์ จินตนาการ ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรไปสูผ่ ู้อา่ น๑๖ การเขยี น หมายถึง การถา่ ยทอดความรู้ ความคดิ ความรู้สกึ ตา่ งๆ เปน็ ตัวหนงั สืออย่างมี จุดมุง่ หมาย เพื่อให้ผอู้ ่านได้รับความรู้ และความรสู้ กึ ตามท่ผี ู้เขยี นต้องการ เป็นการสอ่ื สารดว้ ยการใช้ ภาษาทางการแสดงออกทางหนงึ่ ๑๗ การเขียน หมายถงึ เป็นวธิ ีการถ่ายทอดความคิด โดยใชภ้ าษาเป็นเครื่องมือ ภาษาเขียนจะชัก นำความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ความร้สู กึ และอารมณ์ของคนหนง่ึ ไปสคู่ นอีกคนหนึ่ง หรือไปสู่คน อกี จำนวนมาก๑๘ จากความหมายดงั กล่าวข้างต้นสรปุ ไดว้ ่า การเขยี น หมายถงึ การถ่ายทอดความรู้ ความคดิ ประสบการณ์และความรสู้ กึ ต่างๆตลอดจน ความต้องการของผู้สง่ สารไปยังผรู้ ับสารโดยผ่านเครื่องมือ คือภาษาเป็นลายลักษณอ์ ักษรเพื่อใหเ้ กิดความรู้ ความเข้าใจท่ีตรงกนั ๘.๕.๒ ความสำคญั ของการเขยี นและประโยชน์ทไ่ี ดร้ บั นอกจากมีความจำเปน็ ดงั กล่าวแลว้ อาจกล่าวถึงความสำคัญของการเขียนโดยสรุปไดด้ งั น้ี ๑. เป็นเครือ่ งมือสอ่ื สารอย่างหนงึ่ ของมนษุ ย์ ที่ต้องการถา่ ยทอดความคดิ ความเขา้ ใจ และ ประสบการณ์ของตนเองออกเสนอผู้อา่ น ๒. เป็นการเก็บบันทกึ รวบรวมข้อมลู ท่ีตนไดม้ ีประสบการณ์มากอ่ น ๓. เปน็ การระบายอารมณ์อยา่ งหนึ่ง ในเรอื่ งที่ผู้เขยี นเกดิ ความร้สู ึกประทับใจหรือมีประสบการณ์ ๔. เป็นเครอ่ื งถา่ ยทอดมรดกวัฒนธรรม เชน่ ถา่ ยทอดสมยั หน่ึงไปสูอ่ ีกสมัยหนึ่ง เป็นต้น ๕. เป็นเครือ่ งมือพัฒนาสติปัญญา เนอื่ งจากการเรยี นรทู้ กุ อย่างต้องอาศัยการเขยี นเป็นเครอ่ื งมือ สำหรบั บนั ทกึ สงิ่ ท่ไี ด้ฟงั และได้อ่านและนำไปสู่การพัฒนาสืบไป ๖. เปน็ การสนองความต้องการของมนษุ ยต์ ามจุดประสงค์ท่แี ตล่ ะคนปรารถนา เชน่ เพื่อต้องการ ทำให้ร้เู ร่ืองราว ทำให้รกั ทำใหโ้ กรธและสรา้ งหรือทำลายความสามคั คขี องคนในชาติ ๗. เป็นการแสดงออกซึง่ ภูมปิ ญั ญาของผ้เู ขียน ๑๕ กรมวชิ าการ . หนังสอื เรยี นภาษาไทยชุดทกั ษพัฒนา เลม่ ๑. (กรุงเทพฯ : สทุ ธสิ ารการพิพม,์ ๒๕๔๓), หนา้ ๔๒. ๑๖จารึก สงวนพงศ์ .ภาษาไทยในชวี ติ ประจำวนั . (อัดสำเนา), หนา้ ๕๙. ๑๗ พงษจ์ ันทร์ คล้ายสบุ รรณ.์ การเขยี นสรา้ งสรรค.์ (กรงุ เทพฯ : ครุ สุ ภาลาดพร้าว, ๒๕๓๒), หนา้ ๑. ๑๗มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. เอกสารการสอนชุดวชิ าไทยศกึ ษา : การใช้ภาษา. (กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์สหมติ ร, ๒๕๒๗), หน้า ๑๐๖.

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๘๒ ๘. เป็นอาชีพอย่างหนึ่ง ๙. เปน็ การพัฒนาความสามารถและบุคลกิ ภาพ ทำให้บคุ คลมคี วามเชื่อมนั่ ในตัวเองในการแสดง ความรูส้ กึ และแนวคดิ ๑๐. เป็นการพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ และใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ตอ่ ตนเองและสังคม

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๘๓ บทที่ ๙ คอมพวิ เตอร์ วัตถปุ ระสงคก์ ารเรยี นประจำบท เมื่อศกึ ษาเนอ้ื หาในบทเรยี นนี้แลว้ ผศู้ ึกษาสามารถ o ๑.อธิบายความหมายและประเภทของคอมพวิ เตอร์ ได้อย่าง ถกู ต้อง o ๒.อธิบายหนา้ ท่คี อมพิวเตอร์และฮารด์ แวร์ไดอ้ ย่างถกู ต้อง o ๓.อธบิ ายยคุ และววิ ัฒนาการคอมพวิ เตอรไ์ ด้อยา่ งถูกตอ้ ง ขอบข่ายเนือ้ หา ๑. ความหมายและประเภทคอมพวิ เตอร์ ๒. หน้าทค่ี อมพวิ เตอรแ์ ละฮาร์ดแวร์ ๓. ยุคและววิ ัฒนาการคอมพวิ เตอร์

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๘๔ ๙.๑ บทนำ เมื่อพจิ ารณาศัพท์คำวา่ คอมพิวเตอร์ ถ้าแปลกันตรงตัวตามคำภาษาอังกฤษ จะหมายถึง เคร่ืองคำนวณ ดงั น้ันถา้ กล่าวอย่างกว้าง ๆ เครื่องคำนวณทมี่ ีส่วนประกอบเปน็ เคร่ืองกลไกหรอื เครอื่ ง ไฟฟ้า ตา่ งก็จดั เป็นคอมพวิ เตอรไ์ ด้ทงั้ ส้ิน ลูกคดิ ทเ่ี คยใชก้ นั ในร้านค้า ไม้บรรทัด คำนวณ (slide rule. ซึง่ ถือเปน็ เคร่ืองมือประจำตวั วศิ วกรในยคุ ย่สี บิ ปกี ่อนหรอื เครือ่ งคิดเลข ล้วนเป็นคอมพวิ เตอรไ์ ด้ท้งั หมด ในปัจจบุ นั ความหมายของคอมพวิ เตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึง เคร่ืองคำนวณ อิเล็กทรอนกิ สท์ ่สี ามารถทำงานคำนวณผล และเปรียบเทยี บคา่ ตามชดุ คำส่งั ดว้ ยความเรว็ สูงอย่าง ต่อเนือ่ งและอตั โนมตั ิ พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ไดใ้ ห้คำจำกดั ความของ คอมพวิ เตอร์ไวค้ ่อนขา้ งกะทัดรัดว่า เครอ่ื งอเิ ลก็ ทรอนิกสแ์ บบอัตโนมัติ ทำหน้าทีเ่ สมือนสมองกล ใช้ สำหรับแกป้ ญั หาตา่ ง ๆ ท้ังทีง่ ่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์ ๙.๒ ประเภทคอมพิวเตอร์ การจำแนกคอมพวิ เตอรต์ ามลักษณะวิธีการทำงานภายในเคร่ืองคอมพิวเตอร์อาจแบง่ ได้เปน็ สองประเภทใหญ่ ๆ คือ ๙.๒.๑-แอนะลอ็ กคอมพวิ เตอร์ (analog computer) เปน็ เคร่ืองคำนวณ อิเล็กทรอนิกสท์ ี่ไม่ได้ใชค้ ่าตวั เลขเป็นหลักของการคำนวณ แต่จะใช้คา่ ระดับแรงดนั ไฟฟ้าแทน ไม้ บรรทดั คำนวณ อาจถือเป็นตัวอย่างหนึง่ ของแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ ทีใ่ ช้คา่ ตัวเลขตามแนวความยาว ไม้บรรทดั เป็นหลักของการคำนวณ โดยไม้บรรทดั คำนวณจะมขี ดี ตัวเลขกำกับอยู่ เมื่อไม้บรรทัดหลาย อันมรประกบรวมกัน การคำนวณผล เช่น การคณู จะเป็นการเลอ่ื นไมบ้ รรทัดหน่งึ ไปตรงตามตัวเลข ของตัวตั้งและตัวคูณของขีดตัวเลขชดุ หนง่ึ แลว้ ไปอา่ นผลคณู ของขดี ตัวเลขอกี ชดุ หน่งึ แอนะลอ็ ก คอมพิวเตอร์แบบอเิ ล็กทรอนิกสจ์ ะใช้หลกั การทำนองเดียวกัน โดยแรงดนั ไฟฟา้ จะแทนขดี ตวั เลขตาม แนวยาวของไมบ้ รรทัด แอนะล็อกคอมพิวเตอร์จะมีลกั ษณะเปน็ วงจรอิเล็กทรอนกิ สท์ ีแ่ ยกส่วนทำหน้าท่ีเป็นตวั กระทำ และเป็นฟังก์ชนั ทางคณติ ศาสตร์ จึงเหมาะสำหรับงานคำนวณทางวทิ ยาศาสตร์และวิศวกรรมทีอ่ ยู่ใน รปู ของสมการคณิตศาสตร์ เช่น การจำลองการบิน การศึกษาการสง่ั สะเทือนของตึกเน่ืองจาก แผ่นดินไหว ขอ้ มูลตัวแปรนำเขา้ อาจเปน็ อณุ หภมู ิความเร็วหรอื ความดนั อากาศ ซงึ่ จะต้องแปลงให้เปน็ ค่าแรงดนั ไฟฟ้า เพื่อนำเขา้ แอนะล็อกคอมพวิ เตอร์ผลลพั ธ์ทไ่ี ด้ออกมาเปน็ แรงดันไฟฟ้าแปรกับเวลาซ่ึง ต้องแปลงกลบั ไปเปน็ คา่ ของตัวแปรทีก่ ำลงั ศึกษา

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๘๕ ในปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นแอนะลอ็ กคอมพิวเตอรเ์ ทา่ ไรนกั เพราะผลการคำนวณมีความ ละเอยี ดน้อย ทำให้มีขีดจำกัดใชไ้ ดก้ ับงานเฉพาะบางอยา่ งเทา่ นัน้ ๙.๒.๒-ดิจทิ ัลคอมพวิ เตอร์ (digital computer. คอมพวิ เตอรท์ ี่พบเห็นท่ัวไปใน ปจั จบุ ัน จดั เปน็ ดจิ ิทลั คอมพิวเตอร์แทบทั้งหมด ดจิ ิทลั คอมพิวเตอรเ์ ป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกสท์ ี่ ใชง้ านเกย่ี วกับตวั เลข มหี ลักการคำนวณท่ีไม่ใช่แบบไมบ้ รรทัดคำนวณ แต่เป็นแบบลกู คดิ โดยแต่และ หลกั ของลูกคดิ คอื หลักหน่วย หลักร้อย และสูงขนึ้ ไปเร่อื ย ๆ เปน็ ระบบเลขฐานสนิ ที่แทนตัวเลขจาก ศูนยถ์ า้ เก้าไปสบิ ตัวตามระบบตัวเลขทีใ่ ช้ในชวี ิตประจำวัน ค่าตวั เลขของการคำนวณในดิจิทลั คอมพวิ เตอรจ์ ะแสดงเปน็ หลักเชน่ เดยี วกัน แตจ่ ะเป็นระบบ เลขฐานสองทมี่ ีสัญลักษณ์ตัวเลขเพยี งสองตัว คอื เลขศูนย์กับเลขหน่ึงเทา่ น้ัน โดยสญั ลักษณ์ตัวเลขท้ัง สองตวั น้ี จะแทนลักษณะการทำงานภายในซึ่งเปน็ สญั ญาณไฟฟ้าที่ตา่ งกนั การคำนวณภายในดจิ ทิ ัล คอมพวิ เตอร์จะเปน็ การประมวลผลดว้ ยระบบเลขฐานสองท้ังหมด ดังนนั้ เลขฐานสิบที่เราใช้และค้นุ เคย จะถกู แปลงไปเป็นระบบเลขฐานสองเพื่อการคำนวณภายในคอมพวิ เตอร์ ผลลพั ธ์ท่ีได้กย็ ังเปน็ เลขฐาน สองอยู่ ซึง่ คอมพวิ เตอรจ์ ะแปลงเป็นเลขฐานสิบเพอื่ แสดงผลให้ผ้ใู ช้เข้าใจ ๙.๓ ยุคของคอมพิวเตอร์ ๙.๓.๑-ยุคแรก อยรู่ ะหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ถงึ พ.ศ. ๒๕๐๑ เปน็ คอมพิวเตอรท์ ่ีใช้หลอดสุญญากาศซงึ่ ใช้กำลงั ไฟฟ้าสงู จงึ มปี ญั หาเรอ่ื งความร้อนและไส้หลอดขาดบอ่ ย ถึงแม้จะมีระบบระบายความรอ้ นทีด่ ี มาก การสัง่ งานใชภ้ าษาเครือ่ งซึง่ เปน็ รหสั ตัวเลขทย่ี ุ่งยากซับซอ้ น เครื่องคอมพิวเตอร์ของยคุ น้มี ขี นาด ใหญโ่ ต เชน่ มาร์ค วนั (MARK I., อนี แิ อค (ENIAC., ยนู แิ วค (UNIVAC) ๙.๓.๒-ยุคทสี่ อง คอมพิวเตอร์ยุคทส่ี อง อยรู่ ะหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นคอมพวิ เตอรท์ ี่ ใชท้ รานซสิ เตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรทเ์ ป็นหนว่ ยความจำ มีอุปกรณ์เกบ็ ข้อมลู สำรองในรูปของสื่อบนั ทึก แม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟตแ์ วร์ก็มีการพัฒนาดีขนึ้ โดยสามารถเขียนโปรแกรมดว้ ย ภาษาระดบั สูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเปน็ ประโยคทค่ี นสามารถเขา้ ใจได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโค บอล เป็นตน้ ภาษาระดับสงู น้ีไดม้ ีการพัฒนาและใชง้ านมาจนถงึ ปัจจุบัน ๙.๓.๓-ยคุ ที่สาม คอมพิวเตอร์ยุคท่ีสาม อยู่ระหยา่ งปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นคอมพวิ เตอร์ ท่ใี ช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC. โดยวงจรรวมแต่ละตวั จะมีทรานซสิ เตอรบ์ รรจุอยู่ภายใน

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยีสำหรับครู ๘๖ มากมายทำใหเ้ ครอ่ื งคอมพิวเตอร์จะออกแบบซบั ซ้อนมากข้นึ และสามารถสรา้ งเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกำหนดชดุ คำสั่งตา่ ง ๆ ทางด้านซอฟต์แวรก์ ็มีระบบควบคุมท่ีมีความสามารถสงู ทงั้ ในรปู ระบบ แบ่งเวลาการทำงานให้กบั งานหลาย ๆ อยา่ ง ๙.๓.๔-ยคุ ท่ีสี่ คอมพิวเตอรย์ ุคท่สี ี่ ต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ จนถงึ ปัจจุบนั เป็นยุคของคอมพิวเตอรท์ ี่ใช้ วงจรรวมความจสุ ูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI. เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ท่บี รรจุ ทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตวั ทำใหข้ นาดเคร่ืองคอมพวิ เตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตัง้ บนโต๊ะใน สำนักงานหรอื พกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในท่ีตา่ ง ๆ ได้ ขณะเดยี วกนั ระบบซอฟต์แวร์กไ็ ด้พัฒนาขดี ความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำเร็จใหเ้ ลือกใช้กนั มากทำใหเ้ กิดความสะดวกในการใช้งานอย่าง กว้างขวาง ๙.๓.๕-ยคุ ท่หี ้า คอมพวิ เตอรย์ ุคทห่ี ้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนษุ ย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตดั สินใจ และแก้ปัญหาให้ดยี ง่ิ ขนึ้ โดยจะมีการเกบ็ ความรอบรู้ต่าง ๆ เขา้ ไวใ้ นเคร่ือง สามารถเรียกคน้ และดึง ความรู้ที่สะสมไวม้ าใช้งานใหเ้ ป็นประโยชน์ คอมพิวเตอรย์ ุคนเี้ ปน็ ผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI. ประเทศตา่ งๆ ทวั่ โลกไม่วา่ จะเป็นสหรฐั อเมริกา ญ่ีปุน่ และประเทศใน ทวีปยุโรปกำลงั สนใจคน้ ควา้ และพัฒนาทางดา้ นน้ีกันอย่างจริงจงั ๙.๔ กำเนดิ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ ๙.๔.๑-มนุษย์พยายามสร้างเครอ่ื งมือ เพื่อช่วยการคำนวณมาตงั้ แต่สมัยโบราณแลว้ จึงได้พยายามพฒั นาเคร่ืองมือต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานได้งา่ ยเพ่มิ ขึน้ ตามลำดับ ซ่งึ พอทจี่ ะลำดบั เครอ่ื งมอื ท่ีถกู ประดิษฐข์ ึน้ มามีดงั น้ี ในระยะ ๕,๐๐๐ ปี ทีผ่ า่ นมา มนุษยเ์ รม่ิ รจู้ ักการใช้นวิ้ มือและ น้ิวเท้าของตนเพ่ือชว่ ยในการคำนวณ และพฒั นาเป็นอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ลูกหนิ ๙.๔.๒-ประมาณ ๒,๖๐๐ ปกี ่อนคริสตกาล ชาวจีนได้ประดิษฐเ์ ครื่องมอื เพ่ือใช้ในการ คำนวณขน้ึ มาชนิดหนึง่ เรยี กวา่ ลกู คดิ (Abacus. ซ่ึงถือได้ว่าเป็นอปุ กรณ์ช่วยการคำนวณทเ่ี กา่ แกท่ ี่สดุ ในโลกและยังคงใช้งานมาจนถึงปัจจุบนั ๙.๔.๓ พ.ศ. ๒๑๕๘ นักคณติ ศาสตร์ชาวสกอ็ ตแลนด์ช่ือ John Napier ไดป้ ระดิษฐ์ อุปกรณ์ที่ใช้ชว่ ยในการคำนวณขน้ึ มาเรียกว่า Napier's Bones เป็นอปุ กรณท์ ่ีมลี ักษณะคลา้ ยกับตาราง สูตรคณู ในปจั จุบัน ๙.๔.๔ พ.ศ. ๒๑๘๕ นกั คณิตศาสตรช์ าวฝร่งั เศส ชอ่ื Blaise Pascal ได้ออกแบบ เครอ่ื งมอื ช่วยในการคำนวณโดยใช้หลกั การหมุนของฟนั เฟืองหนง่ึ อนั ถกู หมุนครบ ๑ รอบ ฟนั เฟอื งอีก อนั หนง่ึ ทางด้านซา้ ยจะถูกหมุนไปดว้ ยในเศษ ๑ ส่วน ๑๐ รอบ เช่นเดยี วกับการทดเลขสำหรบั ผลการ

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๘๗ คำนวณจะดูไดท้ ชี่ ่องบน และได้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณชนเม่อื พ.ศ. ๒๑๘๘ แตไ่ มป่ ระสบผลสำเรจ็ เท่าทค่ี วร เครอ่ื งมอื น้ีสามารถใชไ้ ด้ดใี นการคำนวณบวกและลบ เทา่ นนั้ ส่วนการคณู และหารยังไม่ดี เท่าไร ๙.๔.๕-ในปีพ.ศ.๒๒๑๖ นักปรชั ญาชาวเยอรมันช่ือ Gottfried Wilhelm Baronvon Leibnitz ได้ปรับปรุงเคร่ืองคำนวณของปาสคาล ซึ่งใช้การบวกซ้ำ ๆ กันแทนการคูณเลข จงึ ทำให้ สามารถทำการคูณและหารได้โดยตรง ซึง่ อาศัยการหมนุ วงลอ้ ของเคร่ืองเอง เครื่องคิดเลขที่ไลบนซิ สรา้ งข้ึนเรยี กว่า Leibniz's Stepped และยังคน้ พบเลขฐานสอง (Binary Number. คือ เลข ๐ และ เลข ๑ ซงึ่ เป็นระบบเลขทเ่ี หมาะในการคำนวณ ๙.๔.๖-พ.ศ.๒๓๔๔ นักประดิษฐช์ าวฝร่ังเศสชอ่ื Joseph Marie Jacquard ได้ พยายามพัฒนาเครื่องทอผ้าโดยใชบ้ ัตรเจาะรูในการบนั ทึกคำสัง่ ควบคุมเครื่องทอผา้ ใหท้ ำตามแบบท่ี กำหนดไวซ้ งึ่ เปน็ แนวทางที่ทำให้เกิดการประดิษฐเ์ คร่อื งเจาะบตั ร (Punched Card Machine. ใน เวลาต่อมา และถอื ว่าเป็นเครื่องจกั รท่ีใชช้ ดุ คำสงั่ (Program. สงั่ ทำงานเป็นเคร่ืองแรก ๙.๔.๗-พ.ศ.๒๓๗๓ Charles Babbage ศาสตราจารยท์ างคณิตศาสตรแ์ หง่ มหาวิทยาลยั แคมบริดจข์ องอังกฤษ ได้สร้างเคร่ืองหาผลตา่ ง (Difference Engine. ซึง่ เป็นเครอ่ื งท่ีใช้ คำนวณและพมิ พ์ตารางทางคณติ ศาสตร์อยา่ งอตั โนมัติ แตก่ ็ไมส่ ำเร็จตามแนวคดิ ด้วยข้อจำกัด ทางดา้ นวิศวกรรมในสมยั นัน้ แตไ่ ด้พัฒนาเครื่องมือหนึง่ เรยี กวา่ เคร่ืองวิเคราะห์ (Analytical Engine. เครื่องน้ีประกอบดว้ ยส่วนสำคัญ ๔ สว่ น คือ ๑. ส่วนเกบ็ ขอ้ มูล เป็นสว่ นท่ใี ชใ้ นการเก็บข้อมลู นำเขา้ และผลลัพธท์ ่ไี ดจ้ าก การคำนวณ ๒. สว่ นประมวลผล เปน็ สว่ นที่ใช้ในการประมวลผลทางคณติ ศาสตร์ ๓. ส่วนควบคมุ เปน็ ส่วนทใ่ี ช้ในการเคล่อื นย้ายข้อมลู ระหวา่ งส่วนเก็บขอ้ มลู และส่วนประมวลผล ๔. ส่วนรับข้อมูลเขา้ และแสดงผลลัพธ์ เป็นสว่ นทีใ่ ช้รบั ขอ้ มูลจากภายนอก เครือ่ งเขา้ สูส่ ว่ นเก็บข้อมลู และแสดงผลลัพธท์ ี่ได้จากการคำนวณด้วยเคร่ืองวิเคราะห์นี้มีลักษณะ ใกล้เคยี งกบั ส่วนประกอบของระบบคอมพิวเตอรใ์ นปัจจุบนั จงึ ทำให้ Charles Babbage ได้รบั การยก ยอ่ งใหเ้ ป็น \"บิดาแห่งคอมพวิ เตอร์\" ๙.๔.๘ พ.ศ. ๒๓๘๕ สุภาพสตรชี าวอังกฤษชอื่ Lady Augusta Ada Byron ไดท้ ำ การแปลเรือ่ งราวเกีย่ วกับเคร่ือง Analytical Engine และได้เขยี นขั้นตอนของคำส่งั วธิ ีใชเ้ ครอ่ื งน้ีให้ทำ การคำนวณทีย่ ุ่งยากซับซอ้ นไว้ในหนังสือ Taylor's Scientific Memories จงึ นับได้วา่ ออกสุ ต้า เปน็ โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก และยังค้นพบอกี ว่าชดุ บตั รเจาะรทู ่ีบรรจุชดุ คำสงั่ ไว้สามารถนำกลับมา ทำงานซ้ำใหมไ่ ด้ถา้ ต้องการ น่ันคอื หลักการทำงานวนซ้ำ หรือทเ่ี รยี กวา่ Loop เครื่องมือคำนวณทถ่ี ูก พัฒนาข้นึ ในศตวรรษท่ี ๑๙ น้ัน ทำงานกบั เลขฐานสิบ (Decimal Number. แตเ่ มอ่ื เร่มิ ตน้ ของ ศตวรรษท่ี ๒๐ ระบบคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาขึน้ เป็นลำดับ จึงทำใหม้ ีการเปลี่ยนแปลงมาใช้ เลขฐานสอง (Binary Number.กับระบบคอมพิวเตอร์ ท่ีเป็นผลสืบเนอ่ื งมาจากหลักของพชี คณิต

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๘๘ ๙.๔.๙ พ.ศ. ๒๓๙๗ นักคณติ ศาสตรช์ าวองั กฤษ George Boole ไดส้ ร้างระบบ พชี คณติ แบบใหม่ เรยี กวา่ พชี คณิตบลู ลนี (Boolean Algebra.ซง่ึ มีประโยชนม์ ากต่อการออกแบบ วงจรไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์และการออกแบบทางตรรกวิทยาของเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ในปัจจบุ นั ด้วย ๙.๔.๑๐ พ.ศ. ๒๔๒๓ Dr. Herman Hollerith นักสถิตชิ าวอเมรกิ ันไดป้ ระดษิ ฐ์ เครอ่ื ง ประมวลผลทางสถิติเครื่องแรก ซึ่งใช้กับบตั รเจาะรู ซงึ่ ได้ถูกนำมาใช้ในงานสำรวจสำมะโน ประชากรของสหรฐั อเมริกา เรยี กบัตรเจาะรูน้วี า่ บตั รฮอลเลอรทิ หรือบัตรไอบเี อ็ม เพราะผู้ผลิตคือ บรษิ ัท ไอบีเอ็ม ๙.๔.๑๑ พ.ศ. ๒๔๘๐ ศาสตราจารย์ Howard Aiken ได้พฒั นาเคร่ืองคำนวณตาม แนวคดิ ของแบบเบจ รว่ มกับวิศวกรของบริษทั ไอบีเอ็มได้สำเร็จโดยเคร่ืองจะทำงานแบบเครอ่ื งจักรกล ปนไฟฟา้ และใชบ้ ัตรเจาะรเู ป็นสอ่ื ในการนำข้อมูลเข้าสเู่ ครื่องเพื่อทำการประมวลผล เคร่อื งมือนมี้ ีชือ่ วา่ MARK I หรอื มีอกี ช่ือหนง่ึ ว่า IBM Automatic Sequence Controlled Calculator และนับเป็น เคร่อื งคำนวณแบบอัตโนมตั ิเคร่อื งแรกของโลก ๙.๔.๑๒ พ.ศ. ๒๔๘๖ เปน็ ช่วงสงครามโลกครั้งท่ี ๒ ศนู ยว์ ิจยั ของกองทัพบก สหรฐั อเมริกา ต้องการเครือ่ งคำนวณหาทิศทางและระยะทางในการสง่ ขปี นาวธุ ซ่ึงถา้ ใช้เครอ่ื งคำนวณ สมัยนั้นจะต้องใช้เวลาถงึ ๑๒ ชม.ตอ่ การยิง ๑ ครง้ั ดังนน้ั จึงใหท้ นุ อดุ หนนุ แก่ John W. Mauchly และ Persper Eckert สรา้ งคอมพวิ เตอร์อเิ ลก็ ทรอนิกส์ขนึ้ มา มชี ่ือวา่ ENIAC (Electronic Numerical Intergrater and Calculator. สำเร็จในปี ๒๔๘๙ โดยนำหลอดสญุ ญากาศจำนวน ๑๘,๐๐๐ หลอดมาใชใ้ นการสรา้ ง ซึง่ มีข้อดีคือ ทำใหเ้ ครอื่ งมีความเร็วและมคี วามถกู ต้องแม่นยำในการ คำนวณมากขนึ้ ๙.๔.๑๓ พ.ศ. ๒๔๙๒ Dr. John Von Neumann ไดพ้ บวธิ กี ารเกบ็ โปรแกรมไว้ใน หน่วย ความจำของเครื่องได้สำเรจ็ เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ที่ถฏุ พัฒนาขึ้นตามแนวคิดนไ้ี ด้แก่ EDVAC (Electronic Discrete Variable Automatic Computer. และนำมาใช้งานจริงในปี ๒๔๙๔ และใน เวลาเดยี วกนั มหาวิทยาลัยเคมบรดิ จก์ ็ไดม้ ีการสรา้ งคอมพวิ เตอรใ์ นลกั ษณะคลา้ ยกับเครื่อง EDVAC น้ี และให้ชื่อวา่ EDSAC (Electronic Delay Strorage Automatic Calculator. มีลกั ษณะการทำงาน เหมือนกับ EDVAC คือเกบ็ โปรแกรมไว้ในหน่วยความจำ แตม่ ีลักษณะพเิ ศษท่ีแตกต่างออกไปคือ ใช้ เทปแมเ่ หลก็ ในการบนั ทึกข้อมูลต่อมา ศาสตราจารยแ์ อคเคิทและมอชลี ได้ร่วมมือกนั สรา้ งเครื่อง คอมพวิ เตอร์อีก ชอื่ ว่า UNIVAC I (Universal Automatic Calculator. ซ่ึงผลติ ข้ึนมาเพ่ือขายหรือเช่า เป็นเครือ่ งแรกที่ออกสตู่ ลาดซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์ขยายตวั ออกไปในภาคเอกชน และเร่ิมมกี ารซื้อขาย คอมพิวเตอร์เพ่ือใช้งานกันอย่างแพรห่ ลาย และววิ ัฒนาการเรื่อยมาจนถึงปัจจบุ นั ๙.๕ การใชอ้ นิ เตอรเ์ นต็ อินเทอร์เนต Internet. คอื เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ทีใ่ หญ่ทสี่ ุดในโลก เกิดข้นึ จากระบบ เครือข่ายคอมพวิ เตอรเ์ ลก็ ๆ รวมกนั เปน็ ระบบเครือขา่ ยใหญ่ เพ่ือใช้ในการติดต่อส่ือสาร แลกเปล่ียน ขอ้ มลู กนั ทัว่ โลก

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๘๙ ๙.๕.๑ อินเทอร์เนตเกดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร รากฐานของอินเทอร์เนต เกดิ ขึน้ เมือ่ ประมาณ ๒๐ ปมี าแล้ว โดยเร่ิมจากเครอื ข่าย ARPANET ของกระทรวงกลาโหมของสหรฐั อเมริกา ซง่ึ มีความประสงค์ทีจ่ ะแลกเปลี่ยนข้อมูลวจิ ยั ทาง การทหาร หลังจากน้นั ระบบเครือขา่ ยย่อยอนื่ ๆ ก็ได้ทำการต่อเชอ่ื มและขยายแวดวงออกไปทว่ั โลก ดังนั้นอนิ เทอรเ์ นตจงึ ไม่ได้เป็นของใครหรอื ของกลมุ่ ใดโดยเฉพาะ ๙.๕.๒ อนิ เทอร์เนตทำอะไรไดบ้ ้าง เดิมทกี ารใชบ้ รกิ ารจำกัดใหใ้ ช้ในดา้ นการศึกษาวจิ ัยและอยู่ในแวดวงการศึกษา เท่านน้ั ต่อมาได้มกี ารขยายในเชงิ ธรุ กิจมากขึ้น ทำให้ขอบข่ายการใช้ Internet มีมากมาย เชน่ ๑. สามารถตดิ ตอ่ กับคนได้ท่ัวโลก ๒. สามารถใช้เพือ่ แลกเปลีย่ นขอ้ มลู , ความคดิ เห็น ๓. สามารถใชช้ ว่ ยในการคน้ หาและโอนยา้ ย Software ตา่ ง ๆ มาได้ฟรี ๔. สามารถคน้ ควา้ วิจัย เปรยี บเหมือนคุณเขา้ ห้องสมุดไปศึกษาคน้ คว้าหนงั สือตา่ ง ๆ โดยท่ีตัวคนเองไมต่ ้องไปยังห้องสมดุ น้นั ๕. สามารถอ่านข่าวสารของกลมุ่ สนทนาต่าง ๆ ๖. สามารถทอ่ งเทยี่ วไปยังสถานทีต่ ่างๆ ได้ท่วั โลก เช่น พพิ ิธภัณฑ์, สวนสัตว์ เป็นต้น ๙.๖ บรกิ ารตา่ ง ๆ ของอินเทอร์เนต็ ๙.๖.๑ ไปรษณีย์อิเลคทรอนิคส์ (Electronic Mail หรือ E-Mail) เป็นบริการหน่ึงบนอนิ เทอร์เนต ทีค่ นนิยมใชก้ ันมากคือส่งจดหมายโดยทาง คอมพิวเตอร์ถงึ ผู้ทมี่ ีบญั ชอี ินเทอรเ์ นตด้วยกันไม่วา่ จะอยใู่ กล้หรือไกลคนละซีกโลกจดหมายกจ็ ะไปถงึ อย่างสะดวกรวดเรว็ และงา่ ยดายโปรแกรมที่ใช้ ในการรบั -ส่งจดหมายอเิ ลคทรอนิคส์น้นั มี หลาย โปรแกรมด้วยกนั แลว้ แตจ่ ะเลือก ใชต้ าม ความ ชอบหรือความถนดั โปรแกรมที่พดู ถงึ กเ็ ช่น Eudora, Pine, Netscape Mail, Micorsoft Explorer และอ่ืน ๆ อกี มากมาย เปน็ ต้น ๙.๖.๒ World Wide Web (WWW) เปน็ การเขา้ สู่ระบบข้อมูลอย่างหนง่ึ ท่กี ำลงั เป็นทฮ่ี ติ สดุ บนอินเทอร์เนต ข้อมูลนจ้ี ะอยู่ในรูปของ Interactive Multimedia คือ มีท้ังรปู ภาพ ข้อความ ภาพเคล่ือนไหว เสยี ง และวดี ีโอ อีกทัง้ ข้อมลู เหลา่ นย้ี ังใช้ระบบท่ีเรียกวา่ hypertext กล่าวคอื จะมีคำ สำคัญหรอื รปู ภาพในข้อมลู น้ันทีจ่ ะชว่ ยให้ท่านเข้าส่รู ายละเอยี ดที่ลกึ และกว้างขวางยิง่ ขน้ึ คำสำคัญ ดงั กลา่ วจะเป็นคำที่เป็นตัวหนา หรือขดี เสน้ ใต้ เพยี งแตท่ ่านเลือกกดทคี่ ำทเ่ี ปน็ ตัวหนาหรอื ขีดเส้นใต้ นน้ั ๆ ท่านก็สามารถเข้าสู่ข้อมูลเพ่ิมเตมิ ได้ (ข้อมูลเหล่านจี้ ะมีผ้สู รา้ งข้ึนมาและเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ ต่าง ๆ ทวั่ โลก. Uniform Resource Locator (URL. คือท่ีอยขู่ องข้อมลู บน WWW ซ่งึ ถ้าเราจะหา ขอ้ มูลเราต้องทราบท่ีอย่ขู อง homepage หรือ URL กอ่ น ตัวอย่างท่ีอยู่ของ homepage ของกล่มุ เซนต์จอหน์ คือ ttp://www.stjohn.ac.th สว่ นโปรแกรมทีช่ ่วยใหเ้ ข้าส่ขู อ้ มลู ทอ่ี ย่บู น WWW ได้ คอื Netscape และ Microsoft Explorer เปน็ ต้น

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรับครู ๙๐ ๙.๖.๓ FTP (File Transfer Protocol) คอื บรกิ ารที่ใช้ในการโอนยา้ ย file หรือขอ้ มลู จากคอมพิวเตอรห์ นงึ่ ไปยงั อีกคอมพวิ เตอร์หนง่ึ ในเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นตถา้ เคร่ืองนัน้ ๆต่อเข้ากับระบบ ที่เปน็ อินเทอรเ์ นตก็ สามารถโอนย้ายข้อมูลกันไดเ้ ครื่อง คอมพวิ เตอร์บางท่ีนั้นจะทำหน้าท่ี เปน็ ศูนย์ รวมของข้อมูลต่าง ๆ เชน่ รปู ภาพ , ข้อความ , บทความ , คมู่ อื และโปรแกรมตา่ ง ๆ ทเ่ี ปน็ Freeware หรือ Shareware เและเปดิ ให้เข้าไปโอนย้านมาได้ฟรี โปรแกรมทีจ่ ะช่วยในการโอนยา้ ย ข้อมลู ก็เช่น Netscape, Telnet WSFTP เป็นตน้ ๙.๖.๔ Telnet เป็น บริการทช่ี ว่ ยให้เราสามารถเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อน่ื เสมือนหนง่ึ ไปนัง่ ใช้ เครื่องคอมพวิ เตอร์ของที่นั่น โปรแกรมที่ชว่ ยใหท้ า่ นใช้บรกิ ารนี้ได้คือ โปรแกรม NCSA Telnet เมื่อเปิดโปรแกรมแลว้ ใหพ้ ิมพ์คำส่ัง Telnet ดงั ในรปู ภาพขา้ งล่างเมื่อทา่ นใชค้ ำส่ัง Telnet แลว้ ให้ พิมพ์ทีอ่ ยู๋ของแหลง่ ข้อมลู นน้ั ท่านกจ็ ะสามารถเขา้ ส่รู ะบบข้อมลู น้ัน ๆ ไดเ้ สมือนท่านไปนั่งอยู่หนา้ จอ คอมพิวเตอร์ของเครื่อง ๆ นั้นเลยทีเดยี ว ระบบ Telnet ๙.๖.๕ Usenet / News groups เป็นบริการทชี่ ่วยให้ท่านเข้าสูข่ ่าวสารข้อมลู ของกลมุ่ สนทนาแลกเปล่ยี นปญั หา ข้อสงสัยขา่ วสารต่าง ๆ กลุ่มเหล่าน้จี ะมีสารพัดกล่มุ ตามความสนใจ โปรแกรมทช่ี ว่ ยให้ทา่ นใช้บรกิ ารนี้ คือ โปรแกรม Netscape News ท่อี ยูใ่ น โปรแกรม Netscape Navigator Gold ๓.๐ เมอื เปดิ โปรแกรมดงั กลา่ ว จากนัน้ รายช่อื ของกลมุ่ สนทนาจะปรากฎขน้ึ ให้ท่าน เลือกอ่านตามใจชอบ ๙.๗ การใช้ Internet ๙.๗.๑ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ที่ต่อเช่อื มอยใู่ นเครือข่ายอินเทอรเ์ นต การตอ่ เครอื่ งเคร่อื ง คอมพวิ เตอร์เข้ากับระบบเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ นตนน้ั ลักษณะการต่อจะขึน้ อยู่กับความเรว็ ของสายที่ ตอ่ เชอ่ื ม ๙.๗.๒ หากท่านต้องการใช้บรกิ ารอนิ เทอร์เนตจากที่บา้ น โดยการตอ่ คอมพิวเตอร์ที่บ้านให้ เขา้ สู่ ระบบเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เนต ท่านต้องมี Modem (โมเด็ม. หรือตัวแปลงสัญญาณ โมเด็มจะเป็น ตวั ช่วยใหเ้ ครือ่ งคอมพวิ เตอร์ของท่านรบั ข้อมูลจากอนิ เทอรเ์ นต ได้ความเรว็ ของ Modem ควรจะเป็น อย่างตำ่ ๑๔.๑ kbps หรอื มากกวา่ นนั้ (kilobyte per second = อตั ราความเร็วในการสง่ ขอ้ มลู . ๙.๗.๓ หากท่านใชบ้ ริการอินเทอร์เนตจากท่ีทำงาน มหาวทิ ยาลยั หรือโรงเรียน สำหรบั หนว่ ยงานใหญ่ ๆ มักจะมีการต่อเชื่อมเข้ากับระบบอนิ เทอร์เนตดว้ ยการใชส้ ายเชา่ ซึ่งมีความเร็วในการ ส่งสญั ญาณสูงแทนโมเดม็ และจะต้องมีโปรแกรมท่ชี ่วยให้ท่านเขา้ สรู่ ะบบอินเทอรเ์ นต ขน้ึ อยกู่ บั ว่า ทา่ นจะเลือกใชบ้ รกิ ารอะไร ตัวอยา่ งเช่น หารกจะใช้ E-Mail (Electronic Mail. หรือจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ โปแกรมที่จะใช้ได้ เช่น Pine , Eudora , Netscape Mail, Microsoft Explorer แต่ ถ้าจะใช้ WWW ก็ต้องใช้โปรแกรม Netscape เป็นตน้

การใช้ภาษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๙๑ ๙.๗.๔ Internet Account ท่านตอ้ งเปิดบญั ชีอนิ เทอรเ์ นต เหมือนกบั ต้องจดทะเบียนมีช่ือ และท่ีอยบู่ นอนิ เทอร์เนต เพื่อที่ว่าเวลาตดิ ตอ่ สื่อสารกบั ใครบนอนิ เทอรเ์ นต จะได้มีข้อมูลส่งกลบั มาหา ทา่ นได้ถกู ที่๑๙ ๑๙ http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet๑/hardware/index๐.htm

การใช้ภาษาและเทคโนโลยสี ำหรบั ครู ๙๒ บรรณานุกรม กรมวิชาการ. หนงั สือเรียนภาษาไทยชดุ ทักษพัฒนา เลม่ ๑. กรงุ เทพฯ : สทุ ธิสารการพิพม์, ๒๕๔๓. กำชยั ทองหล่อ. หลักภาษาไทย. พิมพ์ครง้ั ท๘่ี . กรงุ เทพฯ : บำรงุ สาสน์ , ๒๕๓๓. จารึก สงวนพงศ์. ภาษาไทยในชีวติ ประจำวัน. มปท. (เอกสารอัดสำเนา). ประสิทธ์ิ กาพย์กลอน. การศกึ ษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์. พระนคร : ไทยวัฒนาพานชิ ,๒๕๑๖. ปรีชา ทชิ นิ พงศ์. ลักษณะภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๓. พงษ์จันทร์ คล้ายสุบรรณ์. การเขยี นสร้างสรรค์. กรงุ เทพฯ : ครุ ุสภาลาดพรา้ ว, ๒๕๓๒. พรรณราย ทรัพยะประภา. จติ วิทยาประยตุ กใ์ นชีวติ และในการทำงาน. กรงุ เทพฯ : พรนเรศว์ ๒๕๔๘. ภาควิชาภาษาไทย คณะอกั ษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปกร. ภาษากับการสื่อสาร. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศลิ ปกร วิทยาเขตสนามจนั ทร.์ ๒๕๔๐. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. เอกสารการสอนชุดวิชาไทยศกึ ษา : การใชภ้ าษา. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พส์ หมติ ร, ๒๕๒๗. วนั ชนะ จติ อารีย.์ หลักการใช้ภาษาไทย. (ออนไลน)์ เข้าถึงได้จาก http://gms.cru.in.th/course_gram.html. (วันที่สืบคน้ ขอ้ มลู : ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๔). วิจติ ร อาวะกุล. เพอ่ื การพูด การฟงั และการประชมุ ท่ีดี. พมิ พ์คร้ังที่ ๓. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นา, ๒๕๔๓. วิจินต์ ภาณพุ งศ์. “หน่วยท่ี ๙ ไวยากรณโ์ ครงสร้าง : หมวดคำ.” ใน เอกสารการสอนชุดวิชา ภาษาไทย๓ หนว่ ยท่๗ี - ๑๕. หนา้ ๘๙–๑๗๑. พิมพ์คร้งั ท๕่ี .นนทบรุ :ี สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๓๔. .วิจินต์ ภาณุพงศ์. โครงสรา้ งภาษาไทย : ระบบไวยากรณ์. พระนคร : มหาวทิ ยาลัย รามคำแหง,๒๕๒๔. วิทยากร เชยี งกลู . คำคมคนรักหนังสอื . กรงุ เทพฯ : ชนนยิ ม, ๒๕๔๔. ศกึ ษาธิการ, กระทรวง. กรมวิชาการ. หนังสอื เรียนภาษาไทย ท ๑๐๑ ท ๑๐๒ หลักภาษาไทย เล่ม ๑.พมิ พ์คร้งั ท่๙ี . กรงุ เทพมหานคร : ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๐. .หนงั สอื เรยี นภาษาไทย ท ๒๐๓ ท ๒๐๔ หลักภาษาไทย เล่ม ๒. พิมพ์ครั้งที๘่ . กรงุ เทพมหานคร : คุรสุ ภาลาดพรา้ ว, ๒๕๓๙. .หนงั สือเรยี นภาษาไทย ท ๓๐๕ ท ๓๐๖ หลักภาษาไทย เลม่ ๓. พิมพ์ครง้ั ท๑่ี ๐. กรงุ เทพมหานคร: คุรสุ ภาลาดพร้าว, ๒๕๓๔. ศรีรตั น์ เจงิ กล่ินจนั ทร์.การอ่านและการสรา้ งนสิ ยั รกั การอ่าน. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๔๔. สมชาย ลำดวน. ไวยากรณไ์ ทย. กรงุ เทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๖. สมพร มันตะสูตร แพง่ พิพัฒน์. การอา่ นทัว่ ไป. พมิ พ์คร้ังที่ ๒.กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๔.

การใชภ้ าษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ๙๓ อัครา บญุ ทิพย์. หลกั ภาษาไทยสำหรับครูมัธยมศึกษาตอนตน้ . กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์,๒๕๓๔. อุดม พรประเสรฐิ . รศ. การสื่อสารดว้ ยภาษาไทย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนดุสิต, ๒๕๔๙, อปุ กิตศลิ ปสาร, พระยา. หลกั ภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๓๓.