45 การเขยี นอ้างองิ ในรายงาน ความหมายของการอา้ งอิง การอ้างอิง หมายถงึ การแสดงแหลง่ ที่มาของหลักฐานทีใ่ ช้ ประกอบการเขยี นรายงานซ่งึ จะชว่ ยให้ผ้อู า่ นสามารถกลบั ไปสอบ หลกั ฐานด้ังเดมิ ได้ ประโยชน์ของการอ้างอิง การอา้ งอิงในรายงานมีประโยชนต์ ่อผ้อู า่ นและเขยี นรายงานดังนี้ 1. ชว่ ยใหผ้ ู้อา่ นได้ทราบถงึ หลักฐานที่มาของข้อความที่ยกมา ประกอบการเขยี นรายงาน 2. ช่วยให้ผู้อา่ นติดตามเร่ืองท่แี นะนาใหอ้ ่านสามารถตดิ ตามอ่าน เพมิ่ เตมิ ไดอ้ ย่างสะดวก 3. เปน็ การแสดงว่าผลงานทเ่ี ขยี นข้ึนมคี วามนา่ เชอ่ื ถือสงู เพราะได้มี การค้นคว้าเปน็ อยา่ งดีมไิ ดเ้ ขียนขึ้นจากความคดิ ของผเู้ ขยี นเพียงอย่างเดียว 4. ใหเ้ กียรตเิ จ้าของความรคู้ วามคดิ อนั เป็นมารยาทของนกั วชิ าการ การเขยี นรายงานวชิ าการและบรรณานุกรม
46 องคป์ ระกอบของการเขยี นอ้างองิ การอ้างอิงที่สมบูรณ์และชัดเจนจะต้องให้ผู้อ่านทราบว่า จะอา้ งองิ เรอื่ งอะไร ของผู้ใด มีใจความว่าอย่างไรฉะนั้นองค์ประกอบ ของการเขยี นอา้ งองิ จึงควรประกอบดว้ ย 3 ส่วนคือ 1. การกล่าวนาการอ้างอิงเร่ืองอะไรของผ้ใู ด 2. ข้อความที่นามาอ้างอิงอาจจะยกมาอ้างอย่างสรุป หรือยัง คัดลอกทาอญั ประกาศกไ็ ด้ 3. แหล่งอา้ งองิ ได้แก่ รายละเอยี ดบางสว่ นของบรรณานุกรม นามาแจง้ ไวด้ ว้ ยวธิ ีใดวิธีหนงึ่ ตามวิธีอ้างอิงเพ่ือให้ผู้อ่านสามารถติดตาม อา่ นหรอื ตรวจสอบได้อย่างสะดวก ตัง้ ใจเรยี นนะคะ
47 การเขยี นอา้ งองิ ในรายงาน รปู แบบการอ้างอิง การเขยี นรายงานวชิ าการและบรรณานกุ รม
48 ตวั อยา่ งการวางไวห้ น้าขอ้ ความ ธาดาศักด์ิ วชิรปรีชาพงษ์ (2534: 34) ได้กล่าวไว้ว่า ความหมายของห้องสมุด เป็นสถาบันที่ทาหน้าที่คัดเลือก จัดหา รวบรวม วิเคราะห์ จัดเก็บสารนเิ ทศในรูปแบบต่าง ๆ ทุกรูปแบบท้ัง ที่เป็นวัสดุส่ิงพิมพ์ วัสดุโสตทัศน์และวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ มีการจัด องค์กรบริหารและดาเนินการตามระบบสากล ในฐานะที่เป็น สถาบันสาคัญของสังคมท่ีทาหน้าที่สร้างสม สืบทอดและเผยแพร่ มรดกทางความคิด ภูมิปัญญา ประสบการณ์ กิจกรรมการค้นคิด ตลอดจนวิชาการใหม่ ๆ เพ่ือเป็นรากฐานในการสร้างสรรค์ พัฒนา และความเจรญิ ก้าวหนา้ ของสังคมต่อไป
49 การเขยี นอา้ งอิงในรายงาน ตวั อยา่ งการวางไวท้ ้ายข้อความ ห้องสมุดมีความสาคัญย่ิงต่อการพัฒนาการเรียนการสอน ของครู อาจารย์ และนักเรียน เพราะเป็นแหล่งจัดเก็บ รวบรวม และให้บริการวัสดุสารนิเทศ ความรู้ ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ห้องสมุดเป็นศูนย์การเรียนรู้สาคัญ เพราะเปิดโอกาสให้ทุกคน ได้มาศึกษาหาความรู้ เรียนรู้วิทยาการต่างๆ ด้วยตนเอง นอกจากนีห้ อ้ งสมุดยงั เป็นแหล่งพัฒนาลกั ษณะนสิ ัยที่พึงประสงค์ อันสาคัญยิ่ง คือ นิสัยการสนใจใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง ซ่ึงเป็นนิสัย สาคัญท่ีต้องสร้างให้เกิดขึ้นกับนักเรียนการมีห้องสมุดที่ดี มีบรกิ ารที่ดี ย่อมมโี อกาสท่จี ะสรา้ งลักษณะนิสัยท่ีพึงประสงค์ให้ เกดิ ขึ้นกับนกั เรยี นได้ (พวา พนั ธ์เมฆา. 2551 : 22 ) การเขยี นรายงานวชิ าการและบรรณานกุ รม
50 การเขยี นบรรณานกุ รม ความหมายของบรรณานุกรม บรรณานุกรม (Bibliography) หมายถึง รายช่ือส่ิงพิมพ์ หรอื วัสดุอา้ งอิงต่างๆ ท่ผี เู้ ขยี นใช้ประกอบการศึกษาค้นคว้า เรียบ เรยี ง เขียนรายงาน หรือบทนิพนธ์อื่นๆบรรณานุกรมจะจัดไว้ท้าย เล่มของรายงาน และเรียงตามลาดับตัวอักษร ประโยชน์ของบรรณานกุ รม 1. มปี ระโยชนต์ อ่ การตรวจสอบหลกั ฐานดัง้ เดิมที่ผู้เขียน นามาอา้ งอิงในรายงาน 2. มีประโยชน์ต่อผู้สนใจที่อยากทราบเน้ือหาโดย ละเอียด สามารถคน้ หาเพ่ิมเติมไดจ้ ากรายการบรรณนกุ รม 3. ความนา่ เช่ือถือของรายงาน 4. เป็นการให้เกียรติเจ้าของความรู้ ความคิด อันเป็น มารยาทของนกั วิชาการ
51 การเขียนอ้างอิงในรายงาน หลกั เกณฑ์ในการเขยี นบรรณานุกรม 1. ชอื่ ผู้แต่ง เป็นไดท้ ัง้ ชอื่ คน นามปากกา ชื่อหน่วยงาน องคก์ รตา่ งๆ 2. ในการเขยี นชอื่ ผ้แู ตง่ จะไม่เขยี นคานาหนา้ เชน่ นาย, นาง, ดร. , อาจารย,์ รองศาสตาจารย์ เป็นต้น 3. หากไม่ปรากฏปีทพี่ มิ พ์ ใหใ้ ช้อกั ษรย่อ (ม.ป.ป.) 4. หากครงั้ ทพี่ ิมพ์หลายคร้ัง ให้เขยี นคร้งั ที่พมิ พ์ล่าสดุ 5. หากพมิ พ์ครั้งท่ี 1 ไม่ต้องเขียน เขียนพมิ พค์ รัง้ ท่ี 2 เป็น ต้นไป 6. สถานท่พี มิ พ์ คอื จังหวดั ท่จี ดั พมิ พ์หนงั สอื เลม่ นั้น 7. สานักพมิ พ์ คือ สถานที่จดั พมิ พ์หรือสถานทีพ่ ิมพ์ หนงั สอื เลม่ นนั้ 8. ในการย่อหนา้ จะย่อหน้า 7 ตวั อักษร แลว้ เขียนตวั ที่ 8 การเขียนรายงานวชิ าการและบรรณานกุ รม
52 รูปแบบการเขียนบรรณานกุ รมจากหนงั สอื ชื่อผแู้ ต่ง.//(ปีทพ่ี ิมพ์).//ชือ่ หนงั สอื .//ครัง้ ทีพ่ มิ พ.์ //สถานท่ี พมิ พ์/:/สานักพมิ พ์. 1. ผแู้ ตง่ 1 คน ตัวอย่าง แรคา ประโดยคา. (2547). ในเวลา. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 6. กรงุ เทพฯ : รปู จนั ทร์. สงวน สทุ ธิเลิศอรุณ. (2524). ปรัชญาและคณุ ธรรม สาหรบั ครู. พมิ พ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพ ฯ : วทิ ยาลัยครูสวนสุนนั ทา. 2. ผแู้ ต่ง 2 คน : ใชค้ าเชอื่ ม “และ” เชอื่ มระหวา่ งผู้แตง่ คนท่ี 1และ คนที่ 2 ตัวอยา่ ง ทวี ทองสว่าง และกนษิ ฐา ทยานุกลู . (ม.ป.ป.). คู่มือ สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ภูมศิ าสตร์ ม.4-5-6. กรุงเทพฯ : ไฮเอด็ พบั ลิชช่งิ .
53 การเขยี นอา้ งอิงในรายงาน 3. ผแู้ ต่ง 3 คน : ใช้เครอื่ งหมายจุลภาค (,) เช่อื มระหว่างผู้แต่งคนที่ 1 และผู้แตง่ คนท่ี 2 ใช้คาเชือ่ มคาวา่ “และ” ระหว่างผู้แตง่ คนท่ี 2 และ ผแู้ ต่งคนที่ 3 ตัวอยา่ ง หริ ัญ หริ ัญประดิษฐ์, สขุ วัฒน์ จันทรปรณกิ และเสรมิ สุข สลกั เพ็ชร. (2540). เทคโนโลยกี ารผลติ ทุเรียน. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. 4. ผแู้ ต่งมากกว่า 3 คน : ให้เขยี นชื่อผแู้ ต่งคนแรกและใช้คาว่า “และ คนอน่ื ๆ” ตัวอย่าง จรวย บญุ ยุบล และคนอ่ืนๆ. (2536). พลังงาน. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . การเขยี นรายงานวิชาการและบรรณานุกรม
54 การเขียนบรรณานกุ รมออนไลน์ ชือ่ ผ้แู ต่ง.//(ปที ค่ี น้ ).// “ชื่อเรื่อง.”//[ออนไลน์]./เข้าถึงไดจ้ าก/:/ ชื่อเวบ็ ไซต์./สืบคน้ ว/ด/ป. ตัวอย่าง 1. กรณมี ีช่อื ผ้แู ต่ง จรวย บุญคง. (2562). “หอ้ งสมดุ .” [ออนไลน]์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก :: https://www.polsci.chula.ac.th. สืบคน้ 14 สิงหาคม 2562. 2. กรณีไม่มชี ื่อผแู้ ตง่ “การถา่ ยภาพบุคคล.” (2562). [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : https://www.photoschoolthailand.com. สบื คน้ 14 สงิ หาคม 2562.
56 การรวบรวมข้อมลู ความหมายของการรวบรวมข้อมูล การรวบรวมข้อมูล หมายถึง การเสาะหาหรือการรับ ข้อมูลมารวมกันเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ข้ันตอน ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล และเป็นการนาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ มารวมกันไว้ใน รปู แบบทเ่ี หมาะสม ดว้ ยวิธตี ่างๆ ความสาคญั ของการรวบรวมข้อมลู การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นข้ันตอนหน่ึงของกระบวนการ ทางสถิติ ท่ีมีความสาคัญ เพื่อให้ได้มาซ่ึงข้อมูลที่ตอบสนอง วตั ถุประสงค์ และสอดคลอ้ งกับกรอบแนวความคิด สมมุติฐาน เทคนิค การวัด และการวิเคราะห์ข้อมูล ซ่ึงหมายรวมท้ัง การเก็บข้อมูล ( Data Collection) คือ การเก็บข้อมูลข้ึนมาใหม่ และการรวบรวม ข้อมูล ( Data Compilation) ซ่ึงหมายถึง การนาเอาข้อมูลต่างๆท่ี ผู้อ่ืนได้เก็บไว้แล้ว หรือรายงานไว้ในเอกสารต่างๆ มาทาการศึกษา วิเคราะหต์ ่อ
57 การเขยี นอา้ งองิ ในรายงาน ประเภทของข้อมูล ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวแปรท่ีสารวจโดย ใช้วิธีการวัดแบบใดแบบหนึ่ง โดยท่ัวไปจาแนกตามลักษณะของ ข้อมลู ไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื 1. ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) คือ ข้อมูลท่ี เป็นตัวเลขหรือนามาให้รหัสเป็นตัวเลข ซ่ึงสามารถนาไปใช้ วเิ คราะหท์ างสถิติได้ 2. ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) คือ ข้อมูลที่ ไมใ่ ช่ตัวเลข ไมไ่ ดม้ กี ารใหร้ หัสตัวเลขทจี่ ะนาไปวิเคราะห์ทางสถิติ แต่เป็นขอ้ ความหรอื ขอ้ สนเทศ การวิเคราะห์ สงั เคราะหข์ อ้ มูล และสรุปองคค์ วามรู้
58 วธิ กี ารเก็บรวบรวมขอ้ มูล แบ่งเปน็ วิธกี ารใหญ่ๆ ได้ 3 วิธี ดังน้ี 1. การสังเกตการณ์ ท้ังการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม หรืออาจจะแบ่งเป็น การสังเกตการณ์แบบมีโครงสร้าง และการสังเกตการณ์แบบไม่มี โครงสรา้ ง 2. การสัมภาษณ์ นิยมมากในทางสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะ การสัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก หรืออาจจะจาแนกเป็นการสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล และการสัมภาษณ์ เป็นกลุ่ม เช่น เทคนิคการสนทนากลุ่ม ซ่ึงนิยมใช้กันมาก 3. การรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร เช่น หนังสือ รายงานวิจัย วิทยานพิ นธ์ บทความ ส่ิงพมิ พต์ า่ งๆ เป็นต้น
59 การเขียนอ้างอิงในรายงาน ขั้นตอนการรวบรวมขอ้ มูล 1. กาหนดหัวข้อว่าข้อมูลที่ต้องการมีอะไรบ้างโดย การศกึ ษาและวเิ คราะหจ์ ากวตั ถุประสงค์หรอื ปัญหา 2. กาหนดแหล่งข้อมูล เป็นการกาหนดว่าแหล่งข้อมูลมี ขอบเขตอะไร และเป็นแหล่งข้อมูลปฐมภูมิหรือ ทุติยภูมิ แล้ว จะต้องพจิ ารณาวา่ แหล่งขอ้ มลู น้ัน ๆ สามารถที่จะให้ข้อมูลได้อย่าง ครบถ้วนหรือไม่ 3. เลือกวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล จะต้องเลือกใช้วิธีการ เกบ็ รวบรวมข้อมูลท่ีเหมาะสม ประหยัด ได้ข้อมูลอย่างครบถ้วนมี มากเพยี งพอและเปน็ ข้อมูลท่เี ช่ือถือได้ 4. วิเคราะห์ข้อมูล นาข้อมูลมาวิเคราะห์ตรวจสอบ และเรยี บเรียงให้เหมาะสม การวิเคราะห์ สังเคราะหข์ อ้ มลู และสรุปองคค์ วามรู้
60 การตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อเป็นการตรวจสอบความน่าเชื่อของแหล่งข้อมูล สารสนเทศท่ีสืบค้นมาได้ผู้สืบค้นสามารถประเมินความน่าเช่ือถือ ของแหลง่ ขอ้ มูลไดด้ งั นี้ 1. บอกวัตถุประสงค์ในการสร้างหรือเผยแพร่ข้อมูลไว้ ชดั เจน 2. การเสนอเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์ในการสร้างหรือ เผยแพร่ข้อมูล 3. เน้ือหาหรือบทความไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรม และ จริยธรรม 4. มีการระบุช่ือผู้เขียนบทความหรือผู้ให้ข้อมูลอย่าง ชดั เจน 5. มีการให้ที่อยู่ (E-mail address) หรือที่อยู่ที่ติดต่อได้ ทผ่ี ู้อ่านสามารถตดิ ตอ่ ไดห้ ากมีขอ้ สงสยั 6. มกี ารอ้างองิ หรือระบุแหล่งที่มาของข้อมลู ของเนือ้ หา
61 การเขียนอ้างองิ ในรายงาน 7. สามารถเชื่อมโยงไปแหลง่ ข้อมลู อน่ื ที่อ้างถึงได้ 8. มีการระบุวันเวลาในการเผยแพรข่ อ้ มูล 9. มีการระบุวันเวลาในการปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด (ถา้ ม)ี 10. มชี อ่ งทางใหผ้ ูอ้ ่านแสดงความคดิ เหน็ 11. มีข้อความเตือนผู้อ่านให้ใช้วิจารณญาณในการ ตดั สินใจใช้ขอ้ มูล การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ขอ้ มูล และสรปุ องคค์ วามรู้
62 การเรียบเรียงข้อมลู ความหมายของการเรียบเรียงขอ้ มูล การเรยี บเรียงข้อมูลเป็นกระบวนการท่ีสาคัญและต้องทา เป็นประจาในการประมวลผลข้อมูล เนื่องจากข้อมูลที่เรียงลาดับ อย่างมีระเบียบ มักทาให้การตีความ การหาความสัมพันธ์ของ ข้อมูลต่าง ๆ กระทาได้ง่ายขึ้น การศึกษาขั้นตอนวิธีการเรียงลาดับ ข้อมูลซ่ึงมีอยู่มากมายหลากหลายวิธีจึงเป็นเร่ืองสาคัญ เพื่อให้ เข้าใจแนวคิดและประสิทธิภาพการทางาน รวมถึงจุดเด่นจุดด้อย ของขั้นตอนวธิ ดี ังกลา่ ว ความสาคัญของการเรยี บเรยี งขอ้ มูล การเรียบเรียงข้อมูล เป็นการจัดการข้อมูลท่ีกระทากัน มากในงานประยุกต์ต่างๆ การได้มาซึ่งข้อมูลหลายๆแหล่ง จึงเป็น ความจาเปน็ ทีจ่ ะตอ้ งเรยี บเรียงขอ้ มูลที่ได้มาจากการอ่าน วิเคราะห์ สังเคราะห์จนเกดิ เป็นขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการศึกษาค้นควา้
63 การเขียนอ้างอิงในรายงาน ข้ันตอนในการเรียบเรยี งข้อมลู ขั้นตอนในการเรียบเรียงข้อมูล ได้มาจากส่วนประกอบ ของรายงาน ดงั นี้ 1. ส่วนประกอบตอนต้น คือ ส่วนที่อยู่ต้นเล่มของ รายงานก่อนถงึ เนื้อเรอื่ งประกอบด้วย 1.1 ปกนอก (หน้าปก) เป็นส่วนที่หุ้มรายงานท้ังหมด มีทง้ั ปกหน้าและปกหลงั ควรใชก้ ระดาษที่ หนากว่ากระดาษในตัวเล่ม สสี ภุ าพ 1.2 ใบรองปก เป็นกระดาษเปล่า 1 แผ่นค่ันอยู่ ระหว่างปกนอกและปกใน 1.3 ปกใน หน้าปกในจะมีรายละเอียดเหมือนปก นอกทุกประการ แตอ่ าจจะเพม่ิ รายละเอียดตอนกลาง การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ขอ้ มลู และสรุปองคค์ วามรู้
64 1.4 คานา เป็นการกล่าวถึงเน้ือหาโดยสรุปของรายงาน เพือ่ ใหผ้ ู้อ่านเขา้ ใจภาพรวมของรายงานเบอ้ื งตน้ 1.5 สารบัญ เป็นการเรียงลาดับบทต่างๆของรายงาน เรียง ตามลาดับเนอื้ หาพร้อมระบุเลขหนา้ กากับวา่ แตล่ ะบทเรม่ิ จากหนา้ ใด 1.7 สารบัญตาราง ในกรณีที่รายงานมีตารางประกอบ จานวนมาก จะทาบัญชีตารางต่อจากสารบัญประกอบด้วย รายการ ตารางพร้อมระบุเลขหน้ากากับ เรียงตามลาดับเลขที่ตารางท่ีปรากฏ ในรายงาน 1.8 สารบัญภาพ ในกรณีที่รายงานมีภาพประกอบจานวน มากจะจดั ทาบญั ชภี าพประกอบเช่นเดยี วกับบญั ชตี าราง
65 การเขยี นอ้างอิงในรายงาน 2. สว่ นประกอบตอนกลาง (เน้ือเรือ่ ง) เปน็ สว่ นสาคัญที่สุด ของรายงาน แบง่ แยกเนอ้ื หาท่ีเขยี นเปน็ บทอยา่ งมรี ะบบระเบยี บ ตามลาดับรายงานทางวชิ าการมีโครงสร้างมาตรฐาน 5 บท คือ บทที่ 1 บทนา บทท่ี 2 เอกสารท่ีเกี่ยวข้อง บทที่ 3 วธิ ีดาเนนิ การศกึ ษา บทท่ี 4 ผลการศกึ ษา บทที่ 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 3. ส่วนประกอบท้าย ประกอบดว้ ย 3.1 บรรณานุกรม คอื รายการสารสนเทศทัง้ หมดทผี่ ู้ทา รายงานไดศ้ ึกษาคน้ คว้านามาอ้างอิงประกอบการเรยี บเรียงทา รายงาน จดั เรยี งตามลาดบั ตวั อักษรและเขียนรายงานตา่ งๆตามแบบ แผนเขยี นบรรณานุกรม การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ขอ้ มูล และสรปุ องค์ความรู้
66 การวเิ คราะห์ข้อมูล ความหมายของการวเิ คราะหข์ อ้ มูล การวิเคราะห์ หมายถึง การแยกแยะทางความคิด หรือทางวัตถุของส่ิงใดส่ิงหน่ึงหรือเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง เพื่อให้เห็น องค์ประกอบ เพ่ือศึกษาแต่ละองค์ประกอบหรือว่าแยกแยะเพื่อให้ เหน็ เพือ่ ใหเ้ ห็นความสัมพนั ธ์ ขององค์ประกอบต่างๆ ท่ีทาให้เกิดส่ิง นัน้ หรอื เรอื่ งนน้ั เวลาวเิ คราะหต์ ้องพยายามหาคาตอบว่า ข้อความ บทความ เนือ้ เร่อื งน้ันให้ความรูอ้ ะไรบ้าง ผู้เขียนแสดงความคิดเห็น อะไรใหท้ ราบบา้ ง มีความรูส้ ึกอยา่ งไร ข้ันตอนในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ข้ันที่ 1 การใช้แนวคิดทฤษฎีและการสร้างกรอบแนวคิด สาหรบั การวเิ คราะห์ - จะใช้แนวคดิ ทฤษฎี - ก่อนเก็บรวบรวมข้อมลู - ระหวา่ งการเกบ็ ข้อมลู - ขนั้ วเิ คราะหข์ ้อมูลและสร้างบทสรุป
67 การเขยี นอ้างองิ ในรายงาน ข้นั ที่ 2 การตรวจสอบขอ้ มูล - การตรวจสอบเพอ่ื หาความเชอ่ื ถอื ได้ของขอ้ มลู - การตรวจสอบเพือ่ ดูความครบถว้ นและคุณภาพของ ขอ้ มลู - ขอ้ มลู ทไ่ี ดเ้ พยี งพอและมีคุณภาพ ขั้นท่ี 3 การจดบนั ทกึ และดชั นีขอ้ มูลหรือการลงรหัสขอ้ มูล - การจดบันทกึ ข้อมูล (Note taking) - การบันทกึ ยอ่ และการบันทกึ ฉบบั สมบูรณ์ - แยกขอ้ มลู กบั ส่วนที่เปน็ ความคิดเหน็ ออกจากกัน ข้ันท่ี 4 การทาสรุปช่วั คราวและการลดข้อมูล Fighting !! การวิเคราะห์ สังเคราะห์ขอ้ มลู และสรปุ องคค์ วามรู้
68 ขน้ั ที่ 5 การสรา้ งบทสรุปและการพสิ จู นบ์ ทสรปุ - การตรวจสอบความเปน็ ตวั แทนของขอ้ มูล - ตรวจสอบผลข้างเคียงทอี่ าจเกดิ - ประเมนิ คณุ ภาพของข้อมลู ที่ได้ - พยายามเปรยี บเทียบความแตกต่างของข้อมูล - หาคาอธบิ ายอืน่ ทม่ี นี า้ หนกั การตรวจสอบขอ้ มูล การตรวจสอบข้อมูลควรทาทันทีหลังจากเก็บรวบรวม ขอ้ มูลเสรจ็ เรียบร้อยแลว้ วตั ถุประสงคข์ องการตรวจสอบขอ้ มูลคือ 1. ตรวจสอบความสมบรู ณข์ องข้อมูลขาดหาย 2. ตรวจความเป็นไปได้ของขอ้ มูล 3. สภาพความเปน็ เอกภาพของการได้รบั ขอ้ มลู
69 การเขียนอ้างองิ ในรายงาน การจัดทาข้อมลู ทาข้อมูลคือการจัดเตรียมข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบ เรียบร้อยแล้วจัดให้เป็นระบบสะดวกแก่การวิเคราะห์ข้อมูลในขั้น ต่อไปแบ่งออกเป็น 2 กรณี 1. ใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่การนา ข้อมลู ทไ่ี ด้มาสรา้ งตารางแจกแจงความถห่ี รือสรา้ งแผนภูมติ ่างๆ 2. ใช้คอมพิวเตอร์ในการวเิ คราะห์ข้อมูลคอื การนาข้อมูลที่ ไดม้ าจดั เตรียมในลกั ษณะทพี่ รอ้ มจะปอ้ นสู่คอมพวิ เตอร์ การวเิ คราะห์ข้อมูล จะ ต้ อ ง เ ลือ ก ใ ช้ ส ถิ ติ ใ ห้ เ ห มา ะ ส ม ส อด ค ล้ อ ง กั บ วัตถุประสงค์ในการเขียนวิจัยและลักษณะข้อมูลสถิติท่ีได้รับความ นยิ มในการนาไปใช้ไดแ้ ก่ 1. ร้อยละ 2. การวัดแนวโน้มเข้าสสู่ ่วนกลาง 3. การวัดการกระจาย การวิเคราะห์ สังเคราะห์ขอ้ มูล และสรปุ องคค์ วามรู้
70 การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู 1. การเสนอผลวิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะของการ บรรยาย 2. การเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ในลักษณะต่างๆเป็น การนาเสนอข้อมูลท่ีเป็นตัวเลขอย่างมีระบบโดยจัดเป็นแถวตั้ง และแถวนอนทีม่ ีความสมั พันธก์ ันหรือตาราง 3. การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะแผนภูมิ แผนภาพ แผนภูมิแท่ง แผนภูมิเส้น กราฟความถี่สะสม แผนภูมิ วงกลม
71 การเขยี นอ้างองิ ในรายงาน การแปลความหมายของขอ้ มลู การแปลความหมายของข้อมูล หมายถึง การอธิบายผล ของการวิเคราะห์ข้อมูลสรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูล ให้เก่ียวโยงกับวัตถุประสงค์ของการทารายงาน ข้อผิดพลาดในการ แปลความหมายของข้อมลู ทีผ่ จู้ ัดทารายงานมักจะปฏิบัติบ่อยๆก็คือ แปลความหมายข้อมูลโดยการอ่านค่าจากตารางที่เป็นผลวิเคราะห์ ข้อมูลเท่านั้นโดยไม่อธิบายความหมายว่า ถ้าท่ีได้น้ันหมายถึงอะไร ซ่ึงผู้วิจัยควรจะนาตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลและการแปล ความหมายของข้อมูลจากตารางนน้ั ไว้ในตารางทันที การวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล และสรปุ องคค์ วามรู้
72 การสังเคราะห์ข้อมลู การคดิ สังเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการคิดท่ีดึง องค์ประกอบต่าง ๆ มาหลอมรวมกันภายใต้โครงร่างใหม่อย่าง เหมาะสม เพื่อให้เกิดส่ิงใหมท่ ี่มีลกั ษณะเฉพาะแตกตา่ งไปจากเดิม การคิดสงั เคราะหค์ รอบคลุมถงึ การค้นคว้า รวบรวมข้อมูลท่ี เก่ียวข้องกับเรื่องท่ีจะคิดซ่ึงมีมากหรือกระจายกันอยู่มาหลอม รวมกัน คนที่คิดสังเคราะห์ได้เร็วกว่าย่อมได้เปรียบกว่าคนท่ี สังเคราะห์ไม่ได้ ซึ่งจะทาให้เข้าใจและเห็นภาพรวมของสิ่งน้ันได้ มากกว่า ความสาคญั ของการคดิ สังเคราะห์ การคิดสังเคราะหม์ ีความสาคัญอย่างมากในกระบวนการคิด เนื่องจากช่วยจัดระบบข้อมูลให้มีความชัดเจนในประเด็นและเป็น ระเบียบมากขึ้น ทาให้มีข้อมูลท่ีจาเป็นครบถ้วน ซ่ึงมีความสาคัญ ดังน้ี
73 การเขียนอา้ งอิงในรายงาน 1. ช่วยให้หาทางออกของปัญหาโดยไม่ต้องเร่ิมจากศูนย์ เราสามารถนาส่ิงท่ีคนอน่ื คิดหรือปฏิบัติมาแล้วมาใช้ประโยชน์ได้ท้ังที่ เกี่ยวข้องโดยตรงและโดยอ้อม นามาผสมผสานกันเป็นทางออกใน การแก้ปญั หา 2. ช่วยให้มีความเข้าใจที่คมชัดและครบถ้วนเกี่ยวกับเรื่อง ตา่ ง ๆ แต่เดมิ เรามกั จะหาทางออกของปัญหาโดยการเลียนแบบหรือ ลองผิดลองถูก ทางท่ีดีกว่าและปลอดภัยกว่าคือการใช้การคิด สังเคราะห์เข้ามาช่วยสรุปความรู้ท่ีกระจัดกระจาย ให้เข้าใจเร่ืองได้ คมชัดและครบถ้วน 3. ช่วยขยายขอบเขตความสามารถของสมองในการ พยายามสืบเสาะแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งต่าง ๆ ภายนอก นามาสังเคราะห์เข้าด้วยกันเพ่ือได้แนวทางแก้ปัญหาท่ีมีความ สมบรู ณค์ รบถว้ น สามารถนามาใชไ้ ด้จริง และประสบความสาเรจ็ การวิเคราะห์ สงั เคราะห์ขอ้ มลู และสรปุ องค์ความรู้
74 4. ขอ้ มลู ทีส่ งั เคราะหจ์ ะเป็นประโยชน์ในการคดิ ต่อยอด ความรู้ ทาให้ไม่เสียเวลาเริ่มตน้ ใหม่ คดิ ตอ่ ยอดไดท้ นั ที นาไปสูก่ าร พฒั นาสิง่ ใหม่ ๆ ท่ีมปี ระโยชน์ 5. ชว่ ยใหเ้ กดิ การสรา้ งสรรค์ส่ิงใหม่ เพราะมสี ว่ นสาคัญท่ี ทาให้เกดิ สง่ิ ใหม่ ๆ อยา่ งต่อเนอื่ งจากการสร้างสรรคท์ ไ่ี ม่หยดุ ย้ังของ มนุษย์ ประเภทการคดิ สงั เคราะห์ การคิดสังเคราะห์แบ่งเป็น 2 ลกั ษณะ คอื - การคดิ สังเคราะห์เพือ่ สร้างสงิ่ ใหม่ เช่น ประดษิ ฐ์สิง่ ของ เครื่องใช้ อปุ กรณต์ า่ ง ๆ ตามต้องการ - การคิดสังเคราะห์เพอื่ สรา้ งแนวคดิ ใหม่ เป็นการพฒั นาและ คดิ คน้ แนวคิดใหม่ ถ้าเราสามารถคิดสงั เคราะห์ไดด้ ี จะทาใหพ้ ัฒนา ความคดิ หรือสงิ่ ใหม่ ๆ ทีเ่ ป็นประโยชน์ตอ่ สังคม
75 การเขยี นอา้ งองิ ในรายงาน ขนั้ ตอนการคดิ สงั เคราะห์ 1. กาหนดวัตถุประสงค์ของสิ่งใหม่ท่ีต้องการสร้างหรือ สงั เคราะหข์ น้ึ 2. ศึกษาส่วนประกอบหรือวิเคราะห์ข้อมูลท่ีสอดคล้องกับ วตั ถปุ ระสงค์ 3. เลือกและนาข้อมูลท่ีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์มาจัดทา กรอบแนวคิดสาหรับสร้างสิง่ ใหม่ 4. สร้างสิ่งใหม่ตามวัตถุประสงค์และกรอบแนวคิดท่ีกาหนด โดยการผสมผสานส่วนประกอบ/ข้อมูลที่เลือกรวมท้ังข้อมูลอ่ืน ๆ ตาม ความเหมาะสมและความจาเป็น 5. ตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม ปรับปรุงแก้ไข และนาไปใชป้ ระโยชน์ การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ข้อมูล และสรุปองคค์ วามรู้
76 ตัวบง่ ชี้การคดิ สังเคราะห์ 1. สามารถกาหนดวตั ถุประสงคข์ องส่งิ ใหมท่ ต่ี อ้ งการ สังเคราะห์ 2. สามารถวเิ คราะห์ส่วนประกอบหรอื ข้อมลู ทตี่ อ้ งการ สังเคราะห์ 3. สามารถเลอื กข้อมูลทีเ่ หมาะสมกับวตั ถปุ ระสงคท์ ่ี ต้องการสงั เคราะห์ 4. สามารถสรา้ งกรอบแนวคดิ ตามวัตถุประสงคท์ ก่ี าหนด 5. สามารถสรา้ งส่งิ ใหมไ่ ด้ตามวัตถปุ ระสงค์และกรอบ แนวคดิ ทกี่ าหนด 6. สามารถตรวจสอบความถกู ต้องตามหลักเกณฑไ์ ดอ้ ยา่ ง ตรงประเด็น 7. สามารถนาสงิ่ ทีส่ ังเคราะหไ์ ปใช้ประโยชนไ์ ด้
77 การเขยี นอ้างองิ ในรายงาน การพฒั นานักคิดสงั เคราะห์ การคิดสังเคราะห์เป็นส่ิงท่ีมีอยู่ในตัวมนุษย์ และสามารถ ส่งเสรมิ ได้โดยฝกึ ดงั น้ี 1. ไม่พอใจส่ิงเดิม ชอบถามหาสิ่งใหม่ ชอบแสวงหา ชอบการเปลยี่ นแปลง 2. ไม่นงิ่ เฉย ชอบสะสมขอ้ มูล ทาใหม้ ีวัตถุดิบทางความคิด มากเพียงพอทจ่ี ะนาไปใชใ้ นการสงั เคราะหส์ ิ่งต่าง ๆ 3. มีความเข้าใจและมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงต่าง ๆ นามาเชือ่ มโยงอย่างสมเหตุและสมผล 4. ไม่แปลกแยก ชอบผสมผสาน การผสมผสาน อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ห รื อ ค ว า ม คิ ด ที่ ดู เ ห มื อ น ขั ด แ ย้ ง กั น เ ข้ า ด้ ว ย กั น โดยผสมผสานอยา่ งกลมเกลียว และเช่อื มโยงอยา่ งสมเหตสุ มผล การวิเคราะห์ สังเคราะหข์ อ้ มลู และสรุปองคค์ วามรู้
78 5. ไม่คลุมเครือ ชอบความคมชัดในประเด็น เข้าใจว่า แนวความคิดหนึ่งประกอบด้วยประเด็นหลักหรือประเด็นรอง อะไรบ้าง ฝกึ จบั ประเด็นบทความ หนังสอื หนังสอื พมิ พ์ 6. ไม่ลาเอียง ชอบวางตนเป็นกลาง ไม่อคติต่อข้อมูลที่ได้ ตอ้ งแยกความรู้สึกออกจากขอ้ เท็จจรงิ 7. ไม่ย่งุ เหยิง ชอบระบบระเบียบ 8. ไม่ทอ้ ถอย มคี วามมานะพากเพยี ร
79 การสการรุปเขผียลนกอาา้ งรอศิงกึ ในษราาคยง้นาคนว้า การสรุปผลการศึกษาคน้ คว้า เพือ่ ใหผ้ อู้ ืน่ ไดศ้ กึ ษาโดยใช้เวลาไม่มากนัก ซึ่งประกอบด้วย จุดมุ่งหมาย วิธีการดาเนินงาน และผลการศึกษาค้นคว้า มีวิธีการ สรปุ ผลดงั นี้ 1. กล่าวถึงปัญหา จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า วิธี ดาเนินงาน และสรุปผล โดยใช้ข้อความท่ีกระชับ อ่านเข้าใจง่าย หลีกเลีย่ งการกลา่ วถึงเร่อื งทไ่ี มเ่ ก่ียวขอ้ ง 2. สรุปผลการศึกษาค้นคว้าภายในขอบเขตจุดมุ่งหมาย ของการศกึ ษาค้นคว้า อ้างอิงเหตผุ ลตามขอ้ มลู และผลการวิเคราะห์ 3. ไม่ลาเอียง หรือไม่มีอคติส่วนตัว เพื่อให้ผู้อื่นศึกษาทา ความเขา้ ใจ และสามารถตรวจสอบได้ การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ข้อมลู และสรปุ องคค์ วามรู้
80 การสรปุ องคค์ วามรู้ องค์ความรู้ หมายถึง ความรู้ที่เกิดข้ึนต่อเรื่องใดเรื่องหน่ึง ซ่ึงอาจเกิดขึ้นจากการถ่ายทอด จากประสบการณ หรือ จากการ วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล โดยความรูเกิดข้ึนน้ันผู้รับสามารถ นาไปใช้ไดโดยตรง หรือสามารถนามาปรับใช้ได้ เพ่ือให้เหมาะกับ สถานการณหรอื งานที่กระทาอยู่ ประเภทขององคค์ วามรู้ 1. องค์ความรูท่ีสามารถอธิบายได เป็นองค์ความรูท่ี สามารถทาความเข้าใจได จากการฟัง การอธิบาย การอ่าน และนาไปใช้ปฏิบตั ิ 2. องค์ความรูที่ไมสามารถอธิบายไดหรืออธิบายไดยาก เปน็ องค์ความรูท่ีไมมีแบบแผน โครงสรางแน่ชัด มักเกิด ขึ้นกับตัว บคุ คล ผลของการถายทอดขึ้นอย่กู บั ผ้ถู า่ ยทอดและผู้รบั เปนสาคญั
81 การเขยี นอ้างอิงในรายงาน การวิเคราะห์ สังเคราะห์ขอ้ มลู และสรุปองค์ความรู้
82 การจัดการองคค์ วามรู้ การจัดการองค์ความรู้ คอื การรวบรวมองค์ความรู้ท่ีมีอยู่ ซึ่ง กระจดั กระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร โดยความรู้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน เป็นความรู้ท่ีได้รับจาก ประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสญั ชาตญาณของแตล่ ะบุคคล 2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอด ไดโ้ ดยผา่ นวิธีตา่ งๆ เช่น การบนั ทึกเปน็ ลายลกั ษณ์อักษร เป็นต้น
83 การอภกกาปิ รารเราขเยขี ผยีนนลออ้าแง้าลองะอิงขใงิ น้อในรเาสรยานยงอางนแานนะ อภิปรายผลการศกึ ษาคน้ ควา้ การแปลผลการศึกษาค้นคว้าจาการสังเคราะห์ข้อมูลหลาย ด้าน โดยการกล่าวถึง ผลการศึกษาค้นคว้าเป็นไปตามสมมติฐาน หรือไม่ เชื่อมโยงถึงทฤษฎีท่ีเป็นพ้ืนฐาน โดยมีหลักการอภิปรายผล ดังนี้ 1. อภิปรายผลท่ีได้จากการวเิ คราะหข์ อ้ มลู อยา่ งสมเหตุสมผล และน่าเชื่อถอื 2. แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของการศึกษาค้นคว้า กบั ผลงานท่ีเกย่ี วข้องอย่างชดั เจน 3. อภิปรายจดุ อ่อนของข้อมลู และวิธกี ารวิเคราะหข์ อ้ มูล 4. กล่าวถึงขอบเขต และข้อควรระวังในผลการศึกษาค้นคว้า เช่น ความขัดแย้ง ความไม่คงเส้นคงวา ความเข้าใจผิดในผลการศึกษา คน้ ควา้ เปน็ ต้น การวิเคราะห์ สังเคราะห์ขอ้ มูล และสรุปองค์ความรู้
84 ข้อเสนอแนะ ข้ อ เ ส น อ แ น ะ อ า จ เ ส น อ แ น ะ เ กี่ ย ว กั บ ก า ร น า ผ ล จ า ก การศึกษาค้นคว้าไปปฏิบัติ เพื่อใช้ประโยชน์ และเสนอแนะเพ่ือ การศึกษาค้นคว้าครง้ั ต่อไป ดงั นี้ 1. กรณีผลการศึกษาค้นคว้าสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย ควร เสนอแนะใหน้ าผลการศึกษาค้นควา้ ไปใชป้ ระโยชน์ใน การแกป้ ัญหา 2. ข้อเสนอแนะ เพ่ือการพัฒนา หรือปรับปรุงข้อค้นพบให้ มลี ักษณะท่พี งึ ประสงค์ 3. มีข้อเสนอแนะสาหรับการศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติม เสนอแนวทาง หรือประเด็นปัญหาที่ควรศึกษาค้นคว้าครั้งต่อไปอย่าง สมเหตสุ มผล กวา้ งขวาง และปฏิบตั ไิ ดจ้ รงิ Fighting!!
86 แนวกคาิดรเบเขอ้ื ียงนตอ้น้าเงกอีย่ ิงวใกนบั รกายารงสานอื่ สาร และการนาเสนอ ความหมายของการสอื่ สารและการนาเสนอ การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผ่านส่ือต่าง ๆที่อาจเป็นการพูด การเขยี น สัญลกั ษณอ์ ่นื ใด การนาเสนอ หมายถึง วิธีการนาเสนองาน หรือผลงาน หรือขอ้ มูล เพอ่ื ให้ผ่านการพิจารณาแก่ผู้รับฟัง ผู้รับข่าวสารข้อมูล เพื่อให้บรรลุตามวตั ถุประสงค์ ทผี่ นู้ าเสนอกาหนดไว้ ดังนั้น การสื่อสารและการนาเสนอ จึงเป็นกระบวนการ ถา่ ยทอดขา่ วสาร ความรสู้ ึกนกึ คดิ ความคดิ เห็นหรอื ประสบการณ์ ต่างๆ ด้วยการนาเสนอด้วยวิธีการใดวิธีการหน่ึงแก่ผู้ฟัง เพ่ือเป็น การถ่ายทอดความรูไ้ ปยงั ผฟู้ ัง การนาเสนอผลการศึกษาคน้ คว้า
87 ความสาคัญของการสื่อสารและการนาเสนอ 1. ความสาคญั ของการสื่อสาร การสอื่ สารมคี วามสาคัญ ดังน้ี 1.1 การส่ือสารเป็นปัจจัยสาคัญในการดารงชีวิตของ มนุษย์ทุกเพศ ทุกวัย ไม่มีใครที่จะดารงชีวิตได้ โดยปราศจากการ สือ่ สาร ทุกสาขา อาชพี ก็ตอ้ งใชก้ ารส่ือสารในการทจี่ ะตดิ ต่อกนั 1.2 การส่ือสารก่อให้เกิดการประสานสัมพันธ์กัน ระหว่างบุคคลและสังคม ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่าง คนในสังคม 1.3 การส่ือสารเป็นปัจจัยสาคัญในการพัฒนาความ เจริญก้าวหน้าทั้งตัวบุคคลและสังคม การพัฒนาทางสังคมในด้าน คุณธรรม จริยธรรม วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฯลฯ
88 การเขยี นอ้างอิงในรายงาน 2. ความสาคญั ของการนาเสนอ 2.1 ทาให้ความคิดความเห็นของผู้นาเสนอ ได้มีการ ถา่ ยทอดไปยงั ผรู้ ับการนาเสนอหรือผู้ฟัง 2.2 หากผู้เสนอมีเทคนิคการนาเสนอท่ีดี ก็จะทาให้ น่าสนใจ หากการนาเสนอขาดเทคนิคที่ดีก็จะให้ความคิดความเห็น และรายงาน ก็จะไม่น่าสนใจ การเตรียมการ และการใช้เวลาการ นาเสนออยา่ งมากมายก็จะไม่เปน็ ผล ทาใหเ้ กดิ การสูญเปล่า ประเภทของการนาเสนอ 1. การนาเสนอเฉพาะกลุ่ม เป็นการนาเสนอข้อมูลต่าง ๆ ต่อผู้ท่ีมีหน้าที่เก่ียวข้องหรือผู้ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมรับทราบข้อมูล ในการนาเสนอ 2. การนาเสนอท่ัวไปในที่สาธารณะ เป็นการนาเสนอ ขอ้ มูลตา่ ง ๆ ทเี่ ปิดโอกาสให้บุคคลทัว่ ไปเขา้ ร่วมฟงั การนาเสนอได้ มีการเปิดโอกาสให้ผ้ฟู งั ไดซ้ กั ถามเพม่ิ เตมิ หรอื แสดงความคดิ เห็นได้อกี ด้วย การนาเสนอผลการศกึ ษาค้นคว้า
89 รูปแบบการนาเสนอผลการศึกษาคน้ คว้า 1. ผู้นาเสนอใช้เอกสารเป็นส่วนร่วมในการนาเสนอ เช่น การเขียนสรุปผลงานของตนเองเพ่ือประกอบการพิจารณาเล่ือนข้ัน เงินเดือน จัดทาเอกสารเสนอขออนุมัติ เสนอขายสินค้า และแสดง ความคดิ เห็นต่างๆ 2. ผู้นาเสนอใช้วัสดุอุปกรณ์-เครื่องฉาย เป็นส่ือและใช้ เอกสารประกอบ เช่น การการจัดอบรมสัมมนา การนาเสนอเพื่อ ความบนั เทิงตา่ งๆ 3. นาเสนอในรูปของนิทรรศการ อาจมีเอกสารเป็น ส่วนประกอบ เช่น การจัดบอร์ดแสดงผลงานภาพถ่าย ผลงานทาง วชิ าการ หรอื การจัดนิทรรศการอืน่ ๆ ดังน้ัน ผู้นาเสนอท่ีต้องการประสบความสาเร็จ นอกจาก จะต้องมีความรู้ความชานาญมีทักษะในการนาเสนอแล้ว การเลือก รูปแบบการนาเสนอหรือวิธีการนาเสนอก็มีผลต่อความสาเร็จด้วย เช่นเดยี วกนั
90 การเขยี นอ้างอิงในรายงาน องค์ประกอบของการนาเสนอผลการศึกษาค้นคว้า ผนู้ าเสนอ โพรโตคอล ผรู้ ับขอ้ มูล ส่ือ งาน การนาเสนอผลการศกึ ษาค้นควา้
91 1. ผนู้ าเสนอ เป็นผูท้ ีม่ บี ทบาทสาคัญที่สดุ ในการ 2. ผ้รู ับขอ้ มลู เป็นผู้รับข้อมูลจากผนู้ าเสนอ 3. งาน เป็นสิ่งทผี่ ู้นาเสนอต้องการถ่ายทอดให้แก่ผรู้ ับข้อมูล ผ่านส่ือและโพรโตคอลต่าง ๆ 4. ส่ือ เป็นเครื่องมือสาคัญท่ีจะนาข้อมูลต่าง ๆ ไปยังผู้รับ ขอ้ มูล 5. โพรโตคอล เป็นวิธีการท่ีผู้นาเสนอใช้ถ่ายทอดงานให้แก่ ผูร้ บั ข้อมลู
92 กสา่อืรเปขรียะนกออา้ งบอกิงาในรรนาายเงสานนอ สื่อประกอบการนาเสนอ 1. เอกสารสิ่งพมิ พ์ การนาเสนองานที่มีผู้นิยมใช้มากท่ีสุด คือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ เน่ืองจากทาง่าย สัมผัสได้และใช้เป็นหลักฐานในการ นาเสนอข้อมลู ได้ 2. มลั ตมิ เี ดยี การนาเสนอข้อมูลหลาย ๆ รูปแบบพร้อม ๆกัน เพอื่ ส่งเสริมการรับรแู้ ละความเข้าใจของผูร้ ับขอ้ มลู 3. เว็บไซต์ การนาเสนอข้อมูลผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมต่อ กับอินเตอร์เน็ต ทาให้สามารถนาเสนอข้อมูลได้ครอบคลุมท่ัวโลก การสร้างานนาเสนอเว็บไซต์ผู้สร้างงานจะต้องสร้างเว็บเพจหลายๆ หน้าเพื่อนามาเช่ือมโยงให้เป็นเว็บไซตเ์ ดียวกนั การนาเสนอผลการศกึ ษาค้นคว้า
93 การเลอื กใช้ส่ือประกอบการนาเสนอผลงาน 1. ช่วยดึงดูดความสนใจ การพูด การเคล่ือนไหวร่างกาย การแสดงทา่ ทางตา่ ง ๆ เข้ามาใช้เพื่อดงึ ดดู ความสนใจของผูฟ้ ัง 2. ช่วยให้เข้าใจเรื่องท่ีนาเสนอได้ง่ายข้ึน การนาเสนอท่ีดี ต้องอธิบายให้ผู้ฟังได้เห็นภาพ ซึ่งอาจอธิบายด้วยการพูดให้ผู้ฟัง เขา้ ใจไดย้ าก ก็จะใชส้ อื่ เชน่ วดี โี อ รูปภาพ เป็นตน้ 3. ช่วยรักษาระดับความสนใจและสร้างความพึงพอใจให้ ผู้ฟัง การใช้เวลาในการนาเสนอนาน ๆ อาจจะทาให้ผู้เสนอรู้สึก เมอื่ ยลา้ และเบ่อื หน่ายได้ การเลอื กข้อมูลในการนาเสนอ ในการนาเสนอแต่ละคร้ังน้ัน สามารถนาข้อมูลที่มี ลกั ษณะแตกตา่ งกนั มาร่วม นาเสนอด้วยกนั ได้ ขึ้นอยกู่ ับจดุ ประสงค์ ของผู้นาเสนอ ข้อมูลท่ีจะนาเสนอแบ่งออกตามลักษณะของข้อมูล ได้แก่
Search