โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปรียบเทียบประสทิ ธภิ าพกระถางจากขยุ มะพร้าวเเละ กากกาแฟอาราบิก้าผสมขยุ มะพรา้ ว โดย นายภาณุภัทร อนิ สองใจ เลขท่ี 9 นายสรวชิ ญ์ ทองทิพย์ เลขท่ี 11 นายเศรษฐพงศ์ รงั สนิ านนั ท์เจริญ เลขท่ี 31 นายภมู ิธรรม พรานฟาน เลขที่ 33 นางสาวธญั ญารตั น์ สันติธัญโรจน์ เลขที่ 35 นางสาวกัญญาภัทร อุตรชน เลขที่ 36 ครูที่ปรกึ ษา ครดู ารง คันธะเรศย์ โรงเรียนปัว อาเภอปัว จังหวัดนา่ น สานักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษาเขต 37
เรื่อง การเปรยี บเทียบประสิทธิภาพกระถางจากขุยมะพร้าวเเละ กากกาแฟอาราบิก้าผสมขุยมะพรา้ ว โดย นายภาณภุ ัทร อนิ สองใจ เลขที่ 9 นายสรวชิ ญ์ ทองทพิ ย์ เลขท่ี 11 นายเศรษฐพงศ์ รงั สนิ านนั ท์เจรญิ เลขที่ 31 นายภูมิธรรม พรานฟาน เลขท่ี 33 นางสาวธัญญารัตน์ สนั ตธิ ัญโรจน์ เลขท่ี 35 นางสาวกญั ญาภัทร อุตรชน เลขท่ี 36 ครูทปี่ รกึ ษา ครูดารง คันธะเรศย์ โรงเรยี นปวั อาเภอปวั จังหวัดน่าน สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษาเขต 3 ภาคเรยี นท่ี 1 ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ปกี ารศกึ ษา 2564 รายงานนเ้ี ป็นส่วนหนงึ่ ของรายวชิ า IS 1 รหัสวิชา I30201 กลมุ่ สาระการเรียนรูค้ อมพวิ เตอร์
ก โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภททดลอง ชอ่ื โครงงาน การเปรียบเทยี บประสทิ ธิภาพกระถางจากขุยมะพร้าวและกากกาแฟอารา บกิ า้ ผสมขยุ มะพรา้ ว ผจู้ ัดทา นายภาณุภทั ร อนิ สองใจ นายสรวิชญ์ ทองทิพย์ นายเศรษฐพงศ์ รงั สินานันท์เจรญิ นายภมู ธิ รรม พรานฟาน นางสาวธัญญารัตน์ สนั ตธิ ัญโรจน์ นางสาวกัญญาภัทร อตุ รชน อาจารย์ทปี่ รึกษา ดารง คันธะเรศย์ บทคัดย่อ โครงงานการเปรียบเทียบประสิทธิภาพกระถางจากขุยมะพร้าวเเละกากกาแฟอาราบิก้า ผสมขุยมะพร้าวน้ี มีจุดประสงค์เพื่อนาสิ่งที่ไม่ได้ใช้มาทาให้เกิดประโยชน์ กลายเป็นกระถางบรรจุ ภัณฑ์ท่ีสามารถใช้งานและย่อยสลายได้ เพื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติของกระถางจากจากขุยมะพร้าว เเละกากกาแฟอาราบิก้าผสมขุยมะพร้าว รวมถึงศึกษาคุณสมบัติท่ีมีความเหมาะสมต่อการนาไปผลิต เป็นกระถางเพาะชา โดยวดั จากการดูดซบั น้า การพองตวั ของกระถางเพาะชา โดยมีวิธีการทากระถาง จากเส้นใยพืช ดังน้ี เตรียมวัตถุดิบและวัสดุประสาน ได้แก่ 1. กากกาแฟอาราบิก้ารวบรวมจาก อ.ท่า วังผา จ.น่าน 2. กากมะพร้าวจากหมู่บ้าน ปรางค์ ต.ปัว อ.ปัว และ 3. กาวแป้งเปียกจากแป้งมัน สาปะหลัง กาวแป้งเปียก เตรียมโดยนาแป้งมันสาปะหลังผสมกับน้าที่อัตราส่วนของ แป้งมัน สาปะหลัง:น้าเปล่า เท่ากับ 1:10 แล้วนามากวนต้ังบนไฟอ่อน ๆ ประมาณ 15 นาที จะได้ กาวแป้ง เปยี กสใี ส มีลกั ษณะเหนียว คนจนกวาแป้งเปยี กมีความเย็นตวั ลงก็จะสามารถนามาใชง้ านได้ ในการผสมวตั ถดุ บิ กบั วัสดุประสาน ผสมกาวเเป้งเปียกท่ไี ดก้ ับขุยมะพรา้ วในอตั ราสว่ น 1:50 จากนั้นผสมกาวเเป้งเปียกท่ีได้กับกากกาแฟเเละขุยมะพร้าว 1:1:60 ตามลาดับ อัดเป็นกระถางเพาะ ชาตามชนิดของเส้นใยพืชอย่างละ 2 กระถาง โดยกระถางจากขุยมะพร้าว 2 กระถาง และกระถาง
ข จากกากกาแฟอาราบกิ ้าผสมขยุ มะพร้าว 2 กระถาง นากระถางไปตากเเดดให้เเข็ง ไม่ท้ิงไว้ในท่ีอับช้ืน เมื่อกระถางแห้งสนิท จึงนามาทดสอบคุณภาพของกระถางจากขุยมะพร้าว และกระถางจากกาก กาแฟอาราบิก้าผสมขุยมะพร้าว การศึกษาคุณสมบัติบางประการของกระถางเพาะชา งานวิจัยน้ีจะ ทาการศกึ ษาคุณสมบัติของกระถาง คือ ค่าเฉลยี่ การดูดซับน้าของกระถางเพาะชา โดยกระถางจากขุย มะพร้าว และกากกาแฟอาราบิก้าผสมขุยมะพร้าว ค่าเฉล่ียอยู่ท่ี 12.5 และ 75 ตามลาดับ ส่วน ค่าเฉล่ียการพองตัวของกระถางเพาะชาของกระถางขุยมะพร้าว และกากกาแฟอาราบิก้าผสมขุย มะพร้าว คา่ เฉลี่ยอยทู่ ี่ 20 และ 80 เปอร์เซ็นต์ ตามลาดบั การศึกษาสมบัติเฉพาะของกระถางเพาะชา สองชนิดกระถางจากกากกาแฟอาราบิก้าผสมขุยมะพร้าวมีค่าเฉล่ียท่ีมากกว่ากระถางจากขุยมะพร้าว เพียงอย่างเดียว จึงสรุปได้ว่ากระถางเพาะชาสองชนิดกระถางจากกากกาแฟอาราบิก้าผสมขุย มะพร้าวนัน้ มปี ระสิทธิภาพที่ดกี ว่า Abstract A project comparing the efficiency of pots from coconut flakes and arabica coffee waste with coconut flakes. The purpose is to bring the unused to good use and become a biodegradable and biodegradable packaging pot. To compare the properties of pots from coconut flakes and arabica coffee with coconut flakes. As well as study the qualities suitable for production as a nursery pot. Measured by water absorption. Inflating by means of making pots from plant fibers Prepare raw materials and soldering materials as follows: 1. Arabica coffee waste collected from Tha Wang Pha, Nan 2. Coconut residue from Prang Village, Pua, Pua, and 3. Wet dough glue from tapioca starch, wet dough glue. Prepare by mixing tapioca starch with water at the ratio of tapioca starch:Water equal to 1:10 and stirring on a soft fire
ค for about 15 minutes. The powder is clear and sticky. Until the wet dough is cooled, it can be used. In mixing raw materials with soldering materials, mix the wet glue obtained with coconut flakes in a ratio of 1:50. Then mix the wet glue obtained with coffee waste and coconut flakes 1:1:60 respectively. It is a nursery pot based on two types of plant fibers, two coconut flake pots and two pots of Arabica coffee with coconut flakes. Put the pots in a drying pot. Do not leave it in a damp place. When the pots are completely dry, they test the quality of the pots from coconut flakes. Studying some features of nursery pots This research will study the properties of pots. The average water absorption of nursery pots by coconut flakes and Arabica coffee waste with coconut flakes. Averages are 12.5 and 75, respectively. Average Section Inflation of coffee pots and arabica coffee waste with coconut flakes The average is 20 and 80 percent, respectively. Studying the specific properties of two types of nursery pots, pots from Arabica coffee waste, coconut flake mixtures are on average greater than pots from coconut flakes alone. It concluded that two types of nursery pots from Arabica coffee waste with coconut flakes had better performance.
ง กติ ติกรรมประกาศ โครงงานนส้ี าเร็จลลุ ว่ งไปไดด้ ้วยความกรณุ าของคณุ ครดู ารงค์ คนั ธะเรศย์ คุณครู่ทป่ี รึกษา โครงงานท่ีได้ใหค้ าเเนะนา เเนวคิด ตลอดจนเเก้ไขขอ้ บกพรอ่ งตา่ งๆมาโดยตลอด จนโครงงานเลม่ น้ี เสรจ็ สมบรู ณ์ คณะผจู้ ัดทาโครงงานจงึ ขอกราบขอบพระคุณเป็นอยา่ งสงู ขอกราบขอบพระคุณ นางสาวเอ้อื งทิพย์ ภมรพรมท่ีชว่ ยเเบ่งปันกากกาเเฟเพ่ือนามาใชใ้ น การทากระถางตน้ ไมใ้ นคร้ังน้ีดว้ ย คณะผ้จู ดั ทาโครงงาน
สารบญั จ สารบัญ หนา้ สารบญั ภาพ สารบัญตาราง จ บทท่ี 1 บทนา ช ซ 1.1 ที่มาและความสาคัญ 1.2 วัตถุประสงค์ 1 1.3 สมมตฐิ าน 1 1.4 ขอบเขตของโครงงาน 2 1.5 ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รบั 2 1.6 ตวั แปรทศี่ ึกษา 2 1.7 นิยามศพั ท์เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร 2 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกย่ี วข้อง 2.1 กาแฟ 5 2.1.1 ลกั ษณะทสี่ าคญั ของกาแฟ 5 2.1.2 อาราบิก้า 6 2.1.3 กระบวนการผลติ กาแฟสาเร็จรูป 7 2.1.4 กากกาแฟ 7 2.1.5 ประโยชนแ์ ละโทษของกาแฟต่อร่างกาย 7 2.2 มะพร้าว 9 2.3 วธิ ีการทากระถาง 9 2.4งานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวข้อง 10
สารบญั (ต่อ) ฉ บทที่ 3 วธิ ดี าเนนิ การทดลอง หน้า 3.1 วสั ดุอปุ กรณแ์ ละเครื่องมือพเิ ศษ 3.2 ขน้ั ตอนการดาเนินงาน 12 12 บทที่ 4 ผลการดาเดนิ งาน 14 บทท่ี 5 สรุปผลการดาเนนิ การโครงงาน 15 บรรณานุกรม 16 ภาคผนวก 18 19 ก วัสดอุ ุปกรณ์ ข ขน้ั ตอนการทากระถาง
สารบญั รปู ภาพ ช ภาพที่ หน้า ภาพท่ี 1.1 กระถาง 18 ภาพท่ี 1.2 ขยุ มะพร้าว 18 ภาพที่ 1.3 หมอ้ เเละไม้คน 18 ภาพท่ี 1.4 แปง้ มนั สาปะหลัง 18 ภาพที่ 1.5 กากกาแฟอาราบิกา้ 18 ภาพท่ี 2.1 ผสมนา้ กบั แป้งมันสาปะหลงั 19 ภาพที่ 2.2 ตม้ น้าแป้งมันสาปะหลงั 19 ภาพที่ 2.3 กาวแปง้ เปียกทหี่ นืด 19 ภาพท่ี 2.4 ผสมกากกาแฟอาราบกิ า้ กับขยุ มะพรา้ วในกาวแปง้ เปียก 20 ภาพที่ 2.5 ผสมขยุ มะพร้าวในกาวแปง้ เปยี ก 20 ภาพท่ี 2.6 กระถางจากขุยมะพร้าว 21 ภาพท่ี 2.7 กระถางจากกากกาแฟอาราบิก้าผสมขุยมะพรา้ ว 21
สารบัญตาราง ซ ตาราง หน้า ตารางท่ี1 คา่ เฉลี่ยการดูดซบั นา้ ของกระถางเพาะชา 14 ตารางท่ี2 ค่าเฉลี่ยการพองตัวของกระถางเพาะชา 14
1 บทที่ 1 บทนา 1.1 ทีม่ าและความสาคัญของโครงงาน ปัจจุบันการดูแลส่ิงแวดล้อมและการลดมลภาวะโลกร้อนเป็นส่ิงที่สาคัญ การนาวัสดุท่ีเหลือใช้ หรือการนาขยะมาทาประโยชน์จึงได้รับความสนใจจากทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม รวมถึง ส่วนใหญ่ประชากรของประเทศไทยนั้นจะประกอบอาชีพเกษตรกร การปลูกพืชให้ได้ผลผลิตท่ีสูงนั้น นอกจากจะต้องดูแลรักษา รดน้า พรวนดิน ใส่ปุ๋ย พืชบางชนิดจะต้องเพาะกล้าไม้ในถุงเพาะชา หรือ ในกระถางเพาะชาพลาสติกเพ่ือให้ต้นกล้ามีความแข็งแรงพอ ก่อนท่ีจะปลูก ทุกวันนี้การผลิตกล้าไม้ ของเกษตรกรก็มักจะมีการใช้กระถางหรือถุงเพาะชาพลาสติก เนื่องจากมีราคาถูก หาซื้อได้ง่าย แต่ กลบั กันกระถางหรือถุงเพาะชาพลาสติกน้ันไม่ให้สารอาหารแก่พืชที่ปลูก รวมถึงมีความลาบากในการ นาตน้ กลา้ ออก ซงึ่ อาจจะทาใหก้ ระทบกระเทือนต่อระบบของรากต้นกลา้ นอกจากนี้ถุงเพาะชายังเป็น ขยะย่อยสลายยาก ส่วนกระถางพลาสติกน้ัน เมื่อมีการชารุด เสียหายก็ไม่สามารถนาไปใช้เพื่อการ เพาะชาได้ใหม่อีกทั้งยังไม่มีการรับซื้อคืน เนื่องจากกระถางพลาสติกเก่า มีราคาถูก ไม่คุ้มกับท่ีจะนา กลับมาใช้ใหมจ่ ึงต้องถูกทิง้ เปน็ ขยะย่อยสลายได้ยากเช่นกนั จากปัญหาขา้ งตน้ เรื่องการจัดการขยะมลู ฝอยจากกิจกรรมการเพาะปลูกพืชในพ้ืนท่ีเกษตรกรรม เป็นสาเหตทุ ก่ี อ่ ให้เกิดปัญหาทางสิ่งแวดล้อม และหากมีการทาลายโดยการเผาจะก่อให้เกิดมลพิษทาง อากาศตามมา ทั้งยังเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของมนุษย์และสัตว์ รวมถึงเป็นสาเหตุหน่ึง ของการเกดิ ภาวะโลกรอ้ น ดงั นน้ั จงึ มีความสนใจนาเส้นใยจากธรรมชาติคือ กากกาแฟ และขุยมะพร้าว ซึ่งเป็นวัตถุดิบจาก ธรรมชาติมาใชท้ าเปน็ กระถางเพาะชา โดยกระถางใบแรกทาจากขุยมะพร้าวและขุยมะพร้าวผสมกาก กาแฟอาราบิกา้ มาทากระถางจากน้ันนามาทาการเปรียบเทียบหาประสิทธิภาพของเส้นใยทั้ง 2 ชนิด ทีม่ ีความเหมาะสมในการจะนามาผลิตเปน็ กระถางเพาะชาต่อไป 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ของการทาโครงงาน 1. เพื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติของกระถางจากกระถางจากจากขุยมะพร้าวเเละกากกาแฟอาราบิก้า ผสมขุยมะพรา้ ว 2. เพือ่ ศกึ ษาคณุ สมบตั ทิ ี่มีความเหมาะสมต่อการนาไปผลิตเป็นกระถางเพาะชา โดยวัดจากการดูดซับ น้า การพองตัวของกระถาง
2 1.3 สมมตฐิ าน กระถางที่ผสมกากกาแฟอาราบิก้ากับขุยมะพร้าวมีคุณสมบัติเหมาะสมในการนาไปผลิตเป็น กระถางเพาะชา 1.4 ขอบเขตของการทาโครงงาน 1. การศึกษาคุณสมบัติของกระถางเพาะชาจากกระถางจากจากขุยมะพร้าวเเละกากกาแฟอาราบิก้า ผสมขยุ มะพรา้ วได้กาหนดขอบเขตการศกึ ษามีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 วัตถดุ บิ และวสั ดปุ ระสาน ก) กากกาแฟอาราบกิ า้ รวบรวมจาก อ.ทา่ วังผา จ.นา่ น ข) กากมะพร้าวจากหมู่บ้าน ปรางค์ ต.ปวั อ.ปัว ค) กาวแป้งเปยี กจากแปง้ มนั สาปะหลงั 2. การศกึ ษาคณุ สมบัติของกระถางเพาะชาจากกากกาแฟอาราบิก้า และกากมะพร้าว ซ่ึงงานวิจัยน้ีจะ ทาการศึกษาองคป์ ระกอบ โดยศึกษาเร่ืองการดูดซบั น้า การพองตัวของกระถางเพาะชา 3. เปรยี บเทียบคุณสมบตั ิท่ีศึกษาได้ของกระถางเพาะชาจากกากกาแฟอาราบิกา้ และกากมะพรา้ ว 1.5 ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รับ 1. ทราบชนิดของกระถางท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสมทส่ี ุดในการนามาทาเป็นกระถาง 2. ผลของการทดสอบสามารถนาไปประกอบกบั การตดั สนิ ใจตอ่ การนาไปพัฒนาเป็นกระถางเพาะชา 1.6 ตัวแปรทศี่ กึ ษา ตัวแปรต้น ขุยมะพรา้ ว กากกาแฟอาราบกิ า้ ตัวแปรตาม คณุ ภาพของกระถางเพาะชา ตวั แปรควบคุม ชนดิ กากกาแฟ ชนิดขุยมะพรา้ ว ระยะเวลาการทดลอง ปรมิ าณนา้
3 1.7 นยิ ามศัพท์เฉพาะ 1. กระถางจากกากกาแฟอาราบิก้าผสมขุยมะพร้าว หมายถึง กากกาแฟที่นามาผสมกับขุยมะพร้าว ผสมให้เข้ากันจากนั้นนาไปผสมกับกาวเเปง้ เปยี ก 2. กระถางจากขุยมะพรา้ ว หมายถงึ ขุยมะพร้าวท่ีนามาผสมกบั กาวแปง้ เปยี ก 3. กาวแป้งเปียก หมายถึง แปง้ มันสาปะหลงั กวนกับนา้ บนเตาไฟใหเ้ หนยี ว 4. คณุ สมบัติต่อการนาไปทากระถาง หมายถึง มีการดูดซับน้า การพองตัวของกระถางเพาะชาท่ีดีเม่ือ เปรียบเทียบระหว่างกระถางจากกระถางจากขุยมะพร้าวและกากกาแฟอาราบิก้าผสมขุยมะพร้าว
4 บทท่ี 2 เอกสารและโครงงานท่ีเกย่ี วขอ้ ง 2.1 กาแฟ (Coffee) กาแฟ (Coffee) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coffeaarabica L. กาแฟมีหลาย ชนิดกาแฟชนิดสาคัญ ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ กาแฟอาราบิก้า (C.arabica Linn) กาแฟแคนิโฟรา (C.canephora Pierer ex Frochrer, C.robusta linden) กาแฟไลเบริก้า (C.liberica Bull ex Hiern) และกาแฟเอกเซลล่า (C.excels) กาแฟจัดเป็นไม้พุ่มขนาดกลางสูงประมาณ 3-5 เมตร ลาต้น ของกาแฟมีลักษณะตั้งตรง กง่ิ จะขนานไปกับระดบั พื้นดินหรอื หอ้ ยตา่ ลงดิน ซ่ึงเป็นที่เกิดของดอกและผลต่อไป ดอกของกาแฟมีสี ขาวบริสุทธ์ิ กล่ินหอมคล้ายมะลิอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ส่วนใหญ่ดอกของ กาแฟจะออกจากข้อของก้าน กาแฟ แมว้ ่ากาแฟจะออกดอกเป็นจานวนมาก แต่จะมีการติดผลเพียง 16-26 เปอร์เซน็ ตเ์ ท่านัน้ ตามเอกสารของกรมส่งเสริมการเกษตรเรียบเรียงโดย ศุภนารถ เกตุเจริญ ระบุว่า กาแฟถูก ค้นพบในราว 850 ปี ก่อนคริสต์ศักราช โดยพบว่าชาวแอฟริกันพื้นเมืองบริโภคกาแฟเป็น อาหารมา นานแล้ว ทั้งน้ีสันนิษฐานว่าคนในยุคนั้นอาจเรียนรู้จากการสังเกต สัตว์ว่ากินอะไร แล้วนามาทดลอง กนิ บ้าง เลยร้วู ่าผลกาแฟมรี สหวาน เปน็ ทีช่ ื่นชอบของนกและสัตว์ต่างๆ เริ่มแรกจะกินผลสุก ต่อมานา ผลิตมาแปรรูป ไวน์ เรียกวา่ ควาฮ์เวย์ (Quahwehi) ต่อมาเปลี่ยนสาเนียง เป็นดาวา (Kawha) คาฟฟี (Kaffe) และ คอฟฟ่ี (Coffee) ตามลาดับ ส่วนคนไทยสมัยก่อนเรียก โก หรือ ข้าวนะ ปัจจุบัน เรียก \"กาแฟ\" ชาวแอฟริกัน ลองเคี้ยวเมล็ดกาแฟแล้วรู้สึกกระปร้ีกระเปร่า สบายหายเหน็ดเหน่ือยจาก อากาศร้อน หรอื เดนิ ทางไกล เพราะในเมลด็ กาแฟมสี ารชว่ ยกระตนุ้ รา่ งกาย จากสรรพคุณดังกล่าวทา ให้กาแฟได้รับ ความนิยม เริ่มเป็นที่รู้จักของคนท่ัวไป ต่อมามีการพัฒนาเมล็ดกาแฟมาป่น ผสมกับ ไขมนั สตั ว์ปั้นเป็นก้อนติดตัวไว้กินเป็นอาหารระหว่าง เดินทาง ชาวพ้ืนเมืองบางเผ่าในแอฟริกาใช้เซ่น ไหวเ้ ทพเจ้า ทน่ี บั ถือ บ้างใชเ้ มล็ดกาแฟจม่ เลอื ดใหก้ ินในพธิ รี ว่ มสาบาน บ้างใชก้ าแฟเป็นของขวัญมอบ ให้แขกที่มาเยี่ยมเยือนเค้ียวก่อนเลี้ยงอาหาร ต่อมากาแฟถูกนามาใช้เป็นเคร่ืองดื่ม โดยระยะแรกใช้ เมล็ดกาแฟใส่น้าต้มจนน้าออกเป็นสีเหลือง จากน้ันได้พัฒนาการมาเรื่อย ๆ จนมีกรรมวิธีหรือ กระบวนการในการบริโภคกาแฟเช่นปัจจุบัน ในราว ค.ศ. 1000 พ่อค้าทาสนาทางนิโกรจากประเทศ ด้านในแอฟริกาไปยังซาอุดิอาระเบีย ในตะวันออกกลาง โดยพ่อค้าทาง และทาสได้นาผลและเมล็ด กาแฟติดตวั ไปด้วย ชาวอาหรับกาแฟไปปลกู และเก็บเปน็ ความลับ เมลด็ กาแฟ กาแฟจัดเป็นเครื่องดื่มท่ีได้รับความนิยมมากท่ีสุดอย่างหน่ึงของโลก จากประวัติศาสตร์อัน ยาวนาน ต้นกาเนิดในทวีปแอฟริกาไปสู่ยุโรป และได้แพร่หลายไปยังทุกมุมโลก ผ่านเส้นทางการค้า ประวัตศิ าสตร์ของโลกยคุ อาณานิคม ผลจากการเดินทางอันยาวนานได้บ่มเพาะสายพันธ์ุและกรรมวิธี การผลิต พัฒนาด้านการคั่วและการปรุงกาแฟในสูตรต่าง ๆ ตามรากฐานทางวัฒนธรรมที่กาแฟได้
5 แทรกตวั เขา้ ไป กาแฟเป็นผลผลิตท่ีได้จาก ต้นกาแฟ (Coffee Tree: Coffea) ผลกาแฟมีลักษณะเป็น ผลกลมรี เมื่อสุกจะมีสีแดงสดเหมือนลูกเชอร์ร่ี (แต่มีบางสายพันธ์ุที่สุกแล้วมีสีเหลือง) ภายในจะมี เมล็ด 2 เมล็ดประกบกันโดยท่ัวไปแล้ว จะนิยมเรียกผลดิบนี้ว่าเชอร์รี่ (Cherry) ส่วนที่นามา รับประทานคือ เมล็ด ซึ่งต้องนามาผ่านกระบวนการแยกเน้ือออกก่อน หลังจากนั้นจึงนาเมล็ดมาตาก แห้ง เมอ่ื ไดเ้ มลด็ แหง้ (Green beans) แล้ว เกษตรกรจึงนาไปขายให้แก่พ่อค้าโรงงานค่ัว เป็นที่ทราบ กนั ดีว่ากาแฟในโลกใบน้ีแบ่งออกเป็น 2 พันธใ์ุ หญ่ ๆ นั่นคอื อาราบิก้า และ โรบัสต้า โดยอาราบิก้าจะ สามารถเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตท่มี ีคณุ ภาพดไี ดต้ ้องปลกู ในทีส่ ูง สภาพอากาศ เยน็ เพราะหากปลูกในที่ ต่าและอากาศร้อนเกินไปจะทาให้ผลกาแฟเชอร์ร่ีสุกเร็ว ซึ่งนั่นเป็นผลร้าย เพราะเมล็ดกาแฟจะไม่มี ปริมาณคาเฟอีนมากพอ จึงไร้คุณภาพ ในส่วนของกาแฟโรบัสต้าสามารถ ปลูกได้ในสภาพแวดล้อม ทั่วไป คือ อากาศร้อนช้ืน ต้องการน้าจานวนมาก โดยในตัวโรบัสต้านั้นจะมี สารคาเฟอีนมากพออยู่ แล้วจึงทาให้มีความทนมากกว่าอาราบิก้าที่ต้องใช้เวลาบ่มสะสม นอกจากนี้ พ้ืนที่ในการเพาะปลูกก็ สามารถปลูกได้ในท่ี ๆ ต่ากว่าได้ เน่ืองจากกาแฟที่รับประทานกันในปัจจุบันนิยมให้อยู่ในรูปแบบ กระบวนการสดุ ท้ายนัน่ คอื การนาเมล็ดกาแฟสารมาค่ัวตามความต้องการ เช่น คั่วอ่อน ค่ัวกลาง ค่ัว แก่ เมือ่ เป็นผลกาแฟ เชอร์รี่ทีย่ งั ไม่ได้ทาการแปรรปู นน้ั จะไมค่ ่อยได้รับความนิยมมากนัก แต่กลุ่มคนท่ี นิยมนากาแฟไปให้ตัวชะมดกินเพ่ือเป็นการหมักกาแฟกลับได้รับความนิยมมากกว่าการท่ีคนท่ัวไปจะ กินเน้ือเชอร์ร่ีน้ีเอง กาแฟเชอร์ร่ีจะถูกนาไปผ่าน 6 กระบวนการแปรรูป โดยแบ่งออก เป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ นั่นคือการหมักเอาเน้ือเชอร์ร่ีออก และ การตาก แห้งกาแฟเชอร์ร่ี ซ่ึงการหมักก็จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ โดยท่ีกล่าวไปข้างต้นคือการให้ ชะมดรับประทานกาแฟและขับถ่ายออกมา หรือการ แช่หมักเอาไว้ในบอ่ ซีเมนต์ และการกะเทาะออก ด้วยเคร่ืองกะเทาะกาแฟเชอร์รี่เปียก โดยวิธีน้ีจะช่วย ให้กาแฟมีรสชาติที่แปลกใหม่ไปจากเดิม เน่ืองจากเป็นวิธีใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย (ภาควิชากาย วิภาคศาสตร์ คณะทนั ตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, 2552) 2.1.1 ลักษณะทสี่ าคัญของกาแฟ ก) ลาต้น โดยธรรมชาติแล้วกาแฟมีลักษณะลาต้นตรงในระยะแรกของ การเจริญเติบโตจะ ไม่แตกก่ิง แต่มีใบแตกออกตรงข้ออยู่ตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ ต่อมาเมื่อมี การเจริญเติบโตขึ้นเร่ือย ๆ ก็มี การแตกก่ิงออกจากลาต้นในลักษณะที่แยกออกจากกัน และอยู่ตรงข้ามกัน ก่ิงท่ีแตกออกมาใหม่จะมี ใบแตกออกเปน็ คู่ๆ อยตู่ รงข้อเช่นเดียวกับลาต้น ก่ิงจะขนานไปกับระดับ พ้ืนดินหรือห้อยต่าลงดิน ซึ่ง เป็นที่เกิดของดอกและผลต่อไป นอกจากการแตกก่ิงออกจากตาของลาต้น อีกเป็นจานวนมาก ทาให้ หนอ่ เกดิ ข้ึนใหม่นี้เบียดกบั ลาต้น ซึ่งถา้ หากปลอ่ ยไวใ้ ห้เจรญิ เตบิ โตเรื่อย ๆ โดยไม่มีการปลิดทิ้งหรือตัด จะทาให้กาแฟมีทรงพุ่มท่ีแนบแน่นเป็นท่ีสะสมของโรค แมลง และให้ผลผลิตลดต่าลง (กรมวิชาการ เกษตร, 2560) ข) ดอก ดอกกาแฟมีสีขาวบริสุทธ์ิ กลิ่นหอมคล้ายมะลิป่า รูปคล้ายดาว มีก้านส้ันอยู่รวมกัน เป็นกลุ่มจะเกิดตามข้อของต้นกาแฟบ้างเป็นส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่ดอกกาแฟจะ ออกจากข้อของก่ิง กาแฟ โดยเริ่มไปจากข้อที่อยู่ใกล้ลาต้นออกไปหาปลายกิ่ง กาแฟมีลักษณะพิเศษ คือ ข้อของกิ่งจะสั้น สามารถที่จะเกิดดอกและติดผลไดม้ าก ดอกกาแฟเป็นดอกสมบรู ณเ์ พศมที ัง้ เกสร ตัวผู้และเกสรตัวเมีย รวมอยู่ในดอกเดียวกัน เกสรตัวเมียจะมีอยู่สองส่วน เกสรตัวผู้มีอยู่จานวนเท่ากับ กลีบดอกคือ
6 ประมาณ 2-4 อัน กาแฟบางพันธ์ุอาจจะมีการผสมพันธ์ุข้ามสายพันธุ์กันง่ายหากอยู่ใกล้ กันซึ่งการ ออกดอกของกาแฟขึ้นอยู่กับปริมาณน้า เม่ือถึงฤดูฝน ดอกจะออกหลังจากฝนตกประมาณ 1 เดือน แต่ถ้าหากอากาศชุ่มช้ืนอยู่ตลอดปี หรือมีการชลประทานเพียงพอ กาแฟจะออกดอกสม่าเสมอตลอด ท้งั ป(ี กรมวิชาการเกษตร, 2560) ค) ผล แม้ว่าดอกกาแฟจะออกเป็นจานวนมากแต่การติดผลจะมีเพียง 16- 26 เปอร์เซ็นต์ เมื่อกลีบดอกร่วงแล้ว ผลกาแฟจะติดเป็นผลมีลักษณะคล้ายลูกหว้า ซ่ึงภายในผลกาแฟ 8 แบ่ง ออกเป็นสองส่วน ส่วนหน่ึงมีเมล็ดกาแฟ 1 เมล็ด ซ่ึงมีลักษณะแบนยาวไปตามรูปของเปลือกหุ้ม ถ้า หากเมล็ดหนึ่งเมล็ดใดลีบเพราะการผสมพันธุ์ไม่ดี เมล็ดที่เหลืออยู่จะมีรูปกลม ส่วนยาวจะมีรูปโค้ง เปน็ รปู กระบอกตดั เมล็ดท่สี กุ จะมีสีน้าตาลปนแดง (จารุพัชร์ และคณะ, 2556) ง) เมล็ดของกาแฟ ลักษณะของผลกาแฟจะคล้ายลูกหว้าภายในผลจะแบ่งออกเป็น สองส่วน ส่วนหน่ึง มีเมล็ดกาแฟ 1 เมล็ด เมล็ดกาแฟเป็นส่วนท่ีอยู่ในกะลาซ่ึงห่อหุ้มด้วยเย่ือบางๆ อีก ช้ันหน่ึง ส่วนเน้ือกาแฟท่ีหุ้มกะลาเมื่อสุกเต็มที่จะมีรสหวานเล็กน้อย ลักษณะเป็นยางเหนียว ๆ เม่ือ ปลอก เปลือกและเน้ือทิ้งไปแล้วนาเมล็ดกาแฟทั้งกะลาไปตากแห้งจะเสียน้าหนักไปประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ และเม่อื กะเทาะเอาเปลือกและเนื้อท้ิงแล้ว นาเมล็ดกาแฟท้ังกะลาไปตากแห้งอีกคร้ังจะเสียน้าหนักไป อีกประมาณ 14.78 เปอร์เซ็นต์ หรือกล่าวได้ว่าผลกาแฟสดที่เก็บมาทาเป็นกาแฟแห้งจะสูญเสีย น้าหนักไปประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะหากนาไปค่ัวทาเป็นกาแฟสาหรับชงรับประทานก็จะมี เน้ือกาแฟแท้เพียงร้อยละ 13.60 ของน้าหนักสดของท่ีเก็บมาจากต้นใหม่ ๆ องค์ประกอบของสารใน เมล็ดกาแฟท่ีสาคัญคือ คาเฟอีน 0.3-3.5 เปอร์เซ็นต์กรดคลอโรเจนิก 3-10 เปอร์เซ็นต์ และกรดแทน นกิ เป็นต้น (มาลัยพร, 2552) ส่วนประกอบของเมลด็ กาแฟแสดงดงั ภาพที่ 2-1 2.1.2 อาราบิกา้ (Arabica: Coffea Arabica) เปน็ สายพนั ธทุ์ ่ผี ูค้ นนิยมมากทสี่ ุด มีลักษณะเด่นที่กล่ินและรสท่ีหอมหวนเป็นที่ ถูกใจคนท่ัว โลก มีคาเฟอีนประมาณ 1-1.6% ต่อเมล็ด แต่มีข้อจากัดในเร่ืองพ้ืนท่ีปลูก มักจะไม่ทนต่อโรคและ ความผันผวนทางสภาพอากาศ (กลัวน้าค้างแข็ง) ในประเทศไทยมีการปลูกมากในจังหวัดภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮอ่ งสอน ตาก น่าน ลกั ษณะของเมล็ดจะเปน็ เมลด็ ท่คี ่อนข้างเรียวและส่วน ผ่าตรงกลางน้ันจะเปน็ เหมือนรูปตัว S พื้นที่ท่ีใช้ปลูกอาราบิก้าให้ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพควรจะเป็นท่ี สูง อากาศเย็น เพราะสายพันธ์ุน้ีจะเจริญเติบโตได้ดีจึงจาเป็นต้องปลูกบนพื้นท่ีท่ีอยู่เหนือขึ้นไปจาก ระดับของน้าทะเลประมาณ 800 – 1,000 เมตร หรอื 1,000 เมตร ข้ึน และด้วยเอกลักษณ์ของกล่ินท่ี หอมอย่างพอดีพร้อมกับรสชาติท่ีออกไปทางกลมกล่อมนุ่มนวล อีกท้ังยังมีปริมาณของคาเฟอีนท่ีต่า มากไม่ถึง 2% ท่ี ส่งผลให้สายพันธุ์กาแฟอาราบิก้าเป็นที่นิยมและขายได้มากท่ีสุดในโลก เฉลี่ยถึง 80% อาราบกิ า้ มีสายพนั ธุย์ อ่ ยอีกหลายสายพนั ธุ์ เชน่ ทริปปิก้า , เบอร์เบิ้ล , คาทูร่า , คาติมอร์ (เกิดจากการผสมลูกครงึ่ คาทูรา่ -โรบัสต้า เขา้ กบั คาทรู า่ จนได้ลูกผสม 75% คาทรู า่ – 25% โรบสั ต้า มีรสชาติใกลเ้ คียงกบั สายพนั ธุ์บริสทุ ธ์อิ าราบกิ า้ แต่มคี วามทนทานตอ่ สภาพ ภูมอิ ากาศและโรคราสนิม เหมอื นโรบัสตา้ ) (พชั นี สวุ รรณวิศลกจิ , 2552)
7 การให้ผลผลิต ต้นกาแฟจะเร่ิมให้ผลผลิตประมาณเดือนเมษายนจะผลิตตาดอกในซอกใบท่ี ข้อของก่งิ นอนดอกกาแฟมีสีขาวเกิดเป็นกลุ่ม แต่ละช่อดอกในแต่ละข้ออาจมี 2-20 ดอกบานต่อเนื่อง ในช่วง 8-12 วัน ดอกท่ีออกในแต่ละครั้งจะมีการติดผลจนถึงการเก็บเกี่ยว ผิวผลจะมีสีเขียวและ คอ่ นข้างแขง็ ต่อเมอ่ื มกี ารเจริญพฒั นาและสะสมสารอาหารมากข้ึน จนกระทั่งมีขนาดผลโตเต็มที่ ผลที่ สุกแก่เต็มท่ี (Coffee cherries) ดังแสดงในภาพท่ี 2.1 ผิวผลจะมีการ 7 เปลี่ยนจากสีเขียวไปเป็นสี ตามลกั ษณะประจาพนั ธ์ุ เชน่ สีแดงสดแบบเลอื ดนก สแี ดงเข้ม แบบสีเลือดหมู สีส้มหรือสีเหลือง เป็น ต้น ผิวผลจะมีความอ่อนนุ่มข้ึน ระยะเวลาต้ังแต่การออกดอกจนถึงการเก็บเกี่ยวสาหรับอาราบิก้าคือ 6-8 เดอื น (พชั นี สวุ รรณวิศลกิจ, 2549) 2.1.3 กระบวนการผลติ กาแฟสาเร็จรปู นอกจากเปลือกกาแฟแลว้ กากกาแฟกเ็ ปน็ ของเสยี อีกชนิดหนง่ึ ทเ่ี กดิ ขึน้ จากกระบวนการ สกดั เมลด็ กาแฟดิบในอุตสาหกรรมการผลติ ผงก่ึงสาเร็จรูป โดยเมล็ดกาแฟทผ่ี า่ นการ 10 ค่วั แลว้ จะถูก นาเขา้ ส่เู ครื่องบด ต่อมากาแฟผงที่บดแลว้ จะเข้าสู่เครือ่ ง Percolator เพือ่ ทาการสกัด กาแฟด้วยไอ น้า จะทาให้ได้กาแฟออกมาอย่ใู นรปู ของเหลว จากน้ันจะถูกสเปรยด์ ว้ ยอากาศรอ้ นทาให้ ได้กาแฟผง กงึ่ สาเร็จรูปออกมา ซ่ึงในรา้ นกาแฟที่มีการค่วั เมล็ดกาแฟเองกจ็ ะมีข้ันตอนคลา้ ยกนั เพียงแต่จะไม่มี การผา่ นน้ากาแฟไปยังเครื่อง Spray dryer ขนั้ ตอนต่าง ๆ (ศรันย์, 2554) 2.1.4 กากกาแฟ กากกาแฟเป็นของเสยี ที่เกดิ จากการผลติ ผงกาแฟสาเรจ็ รปู ในปี ค.ศ. 1970 ประเทศบราซิล ไดก้ ลายเป็นผผู้ ลติ กาแฟผงก่งึ สาเรจ็ รปู รายใหญท่ ส่ี าคัญ ในช่วงแรกนนั้ มผี งกาแฟท่ผี ่านการใช้แลว้ ซง่ึ เปน็ ของเสยี เกิดขน้ึ 1.86 กิโลกรมั ตอ่ การผลติ ผงกาแฟกึ่งสาเรจ็ รูป 1 กิโลกรมั แต่หลังจากมีการ พัฒนาทางด้านอตุ สาหกรรม ทาให้อัตราสว่ นการเกดิ ของเสียสว่ นน้ีคงเหลอื 1.27 กโิ ลกรมั ต่อการผลติ ผงกาแฟก่งึ สาเร็จรปู 1 กิโลกรมั จนกระท่ังในปัจจบุ นั อัตราส่วนน้เี หลือเพียง 0.91 กิโลกรมั ต่อผง กาแฟกึ่งสาเรจ็ รปู 1 กิโลกรัมเทา่ นั้น (Silva et al., 1998) แมว้ า่ อัตราการเกดิ ของเสียนีจ้ ะลดลง แตป่ ริมาณการผลิตกาแฟท่ีเพม่ิ สูงขึ้นมากกว่าในอดีต ก็ ทาให้ของเสียจากกระบวนการผลิตกาแฟยงั คงมีผลกระทบตอ่ ส่งิ แวดลอ้ มอยู่ เน่ืองจากของเสียเหลา่ นี้ มีองค์ประกอบของสารอินทรีย์อยู่เปน็ จานวนมาก จึงไมส่ ามารถท้งิ ได้โดยไม่ผา่ นกระบวนการบาบัด กอ่ น ดว้ ยเหตนุ ้ีในปัจจุบันจึงมแี นวคดิ ที่จะนาของเสียเหลา่ นีไ้ ปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ในด้านตา่ ง ๆ (Tokimoto et al., 2005) 2.1.5 ประโยชนแ์ ละโทษของกาแฟต่อร่างกาย อดิศร (2551) กล่าวถงึ ประโยชนแ์ ละโทษของกาแฟ ทมี่ ีผลต่อรา่ งกายของมนุษย์ไว้ ดังนี้ ก) ประโยชน์ 1. ป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี มีผู้วิจัยพิสูจน์แล้วว่า กาแฟมีประโยชน์ในการป้องกัน โรคดังกลา่ ว
8 2. ป้องกันโรคหอบ คาเฟอีนในกาแฟสามารถระงับความตึงเครียดของประสาทสัมผัส สารอง ลดการเกิดโรคหอบได้ 3. ป้องกันมะเร็งตับ มะเร็งลาไส้ และมะเร็งช่องปาก จากผลการทดลองจริงพบว่า กาแฟมีประสิทธภิ าพป้องกนั โรคขา้ งต้น โดยเฉพาะคาเฟอีนมกี รดอะซิติกที่ช่วยป้องกนั โรค 4. ขับไล่ความชรา ออกซิเจน เป็นสารท่ีร่างกายต้องการมากจริง แต่ถ้ามากเกินไป โอกาสจะเป็นมะเร็งสูง ทาให้แก่เร็วโดยเฉพาะกาแฟที่เข้มข้นจะทาให้ออกไซด์แตกตัว ลดการเกิด มะเร็งไดก้ ระตุ้นการเผลาผลาญอาหารในร่างกาย 5. กาแฟสามารถลดอตั ราคลอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจเพราะในกาแฟมีนิโคตินแต่ ไมใ่ ช่ชนิดเดียวกับบุหรี่ แต่เป็นวิตามินบรี วมชนิดหนึ่งที่รา่ งกายต้องการชว่ ยลด คลอเลสเตอรอลในเส้น เลอื ด จึงป้องกนั โรคหวั ใจ 6. การศึกษาการใชก้ ากกาแฟเป็นวัสดสุ าหรบั การผลิตปุย๋ หมัก พบวา่ กากกาแฟสามารถ ใช้เป็นวัสดุหมักปุ๋ยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีแร่ธาตุท่ีเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืช อีกท้ัง ต้นไม้ที่ปลูกด้วยดินท่ีมีส่วนผสมของกากกาแฟจะช่วยป้องกันไม่ให้พวกหอย ทากหรือตัวบุ้งมากัดกิน ใบไม้ (Pushpa et al., 2012) 7. การศึกษาเพื่อนากากกาแฟมาใช้ในทางด้านพลังงานทางเลือก เช่น การศึกษาความ เป็นไปได้ในการใช้กากกาแฟสาหรับการผลิตไบโอดีเซล (Nidia et al., 2012) การใช้ประโยชน์จาก กากกาแฟ เพื่อใชเ้ ป็นเช้อื เพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมเนอื่ งจากกากกาแฟมีค่าความร้อนสูง คือ 5,000 กโิ ลแคลลอรี่ต่อกิโลกรัม (Silva et al., 1998) เปน็ ต้น 8. การนากากกาแฟมาประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้าน เช่น การออกแบบโคมไฟจาก กากกาแฟ ไดแ้ ก่ โคมไฟต้งั พน้ื โคมไฟตง้ั โตะ๊ และโคมไฟระยา้ (พิจยั สขุ , 2555) ข) โทษจากประโยชน์ที่กล่าวมาหากด่ืมในปริมาณมากเกินไปอาจทาให้เกิดโทษแก่ร่างกายได้ เช่น 1. ดื่มกาแฟตอนเย็นทาให้นอนไม่หลับ เพราะกาแฟมีผลต่อร่างกาย คนเราไม่เหมือนกัน ควรด่ืมใหน้ อ้ ยลง 2. สตรีมคี รรภไ์ มค่ วรด่มื เพราะคาเฟอนี มีผลตอ่ อวยั วะของทารกในครรภท์ ่ียังอ่อนแออยู่ 3. เดก็ ไม่ควรดื่มกาแฟ โดยเฉพาะเด็กท่มี ีอายุต่ากว่า 10 ขวบ 12 ขวบ 4. คนท่ีเป็นโรคกระเพาะอาหารควรงดดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีนช่วยหลั่งน้าย่อยใน กระเพาะจะยิ่งเพ่ิมกรดในกระเพาะอาหาร 5. คนเปน็ โรคหวั ใจไมค่ วรดื่มกาแฟเพราะคาเฟอนี ชว่ ยกระต้นุ โรคหัวใจ 6. เพิ่มอัตราเส่ียงในการเป็นโรคกระดูกพรุนสาหรับผู้หญิงหมดประจาเดือน เน่ืองจาก คาเฟอนี มผี ลต่อการดดู ซึมยับยั้งแคลเซียม 2.1.6 การใชป้ ระโยชนจ์ ากเศษเหลือของกาแฟจากอตุ สาหกรรมการเกษตร เศษเหลือกาแฟจากอุตสาหกรรมการเกษตร สามารถสร้างมูลค่าเพ่ิมให้กับผลผลิตโดยการ ใช้ประโยชน์จากส่ิงเหลือใช้เป็นแนวทางหน่ึงในการทาการเกษตรได้อย่างย่ังยืน ซึ่งในแต่ละปีมีของ เหลือใช้ทางการเกษตรเป็นจานวนมากที่ไม่ได้นามาใช้ให้เกิดประโยชน์และบางครั้งอาจทาให้เกิด
9 ปัญหาตอ่ สง่ิ แวดล้อมอีกด้วย ซึ่งในกระบวนการผลิตเมล็ดกาแฟนอกเหนือจากจะได้เมล็ด กาแฟ สาร ที่เป็นผลผลิตโดยตรงแล้ว ยังมีสิ่งเหลือใช้ที่เป็นผลพลอยได้จากการผลิตอีกหลายชนิดที่ เกษตรกร สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้ และยังสามารถผลิตเป็นการค้าเพ่ือเพ่ิมรายได้ให้กับเกษตรกรได้อีกด้วย (พรพรรณ และคณะ, 2557) 2.2 มะพร้าว กากมะพร้าว ณรงค์ โฉมเฉลา (2559:หน้า 6) ได้กล่าวถึงรายละเอียดของกากมะพร้าวและใย มะพร้าว ดังน้ี มะพร้าวเป็นพืชตระกูลปาล์ม ซ่ึงเส้นใยแข็งท่ีได้มาจากกาบมะพร้าวจะเรียกว่า “ใย มะพรา้ ว” ด้วยเสน้ ใยทีม่ ีลักษณะเฉพาะทางธรรมชาติเป็นเส้นใยที่หยุ่นเหนียวแข็งแรง ทนทาน มีอายุ การใช้งานท่ียาวนาน และเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อมเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงสามารถ ย่อยสลายได้ง่าย ดังนั้นใยมะพร้าวจึงถูกนามาใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมรวมท้ังเป็นวัตถุดิบ สาหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ใน ชีวิตประจาวันส่วนใหญ่ กากมะพร้าวและใยมะพร้าวน้ี สามารถใช้ใน อุตสาหกรรมการเกษตรได้ เช่น การใช้เป็นฐานรองเพื่อการยึดเกาะของต้นกล้า และต้นกล้วยไม้ หรือ ใช้แทนหญ้าและฟางคลุมพ้ืนดินรอบๆ ต้นไม้ เพ่ือรักษาความชื้น และยังใช้ปกคลุมที่โล่งเพ่ือเก็บกัก ความชนื้ รักษาพ้ืนหญ้าให้เขียวชอุม่ (บณุ ยภู มาโต และธนชั ชา สาราญ, 2561: หนา้ 5) เนือ่ งจากมะพรา้ ว มีเส้นใยแข็งท่ีได้มาจากกาบมะพร้าว เรียกว่า “ใยมะพร้าว” ด้วยเส้นใยท่ีมี ลักษณะเฉพาะทางธรรมชาติเป็นเส้นใยที่ยืดหยุ่นเหนียวแข็งแรง ทนทาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงสามารถย่อยสลายได้ ง่าย สามารถใช้ในอุตสาหกรรมการเกษตรได้ ใช้ปกคลุม และช่วยรักษาความชื้น รวมทั้งยังใช้เป็น ฐานรองเพ่ือการยึดเกาะของต้นกล้า เหมาะแก่การที่จะน้ามาศึกษาอีกด้วยเช่นกัน ดังน้ันจึงเลือกส่วน ของกากมะพรา้ วท่เี หลอื ทงิ้ จากการบรโิ ภคมาใชป้ ระโยชน์ 2.3 วธิ ีการทากระถาง 1. กระถาง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณยสถาน พ.ศ.2525 หมายถึง\"ภาชนะที่มีปากกว้าง รูปแบบต่างๆ ใชส้ าหรับปลูกต้นไมห้ รือใสน่ า้ \" ทามาจากดิน หรือ พลาสติกหรือ เซรามิก มีรูระบายน้า ท่ีก้น และมี ถาดรองรับน้าเข้าชุดกัน ขนาดรูปทรงและสีสันแตกต่างกันไปตามความนิยมใช้สาหรับ ตกแต่งสภาพภายในอาคารใหส้ วยงามเพิ่มข้ึน 2. วธิ ีทากระถาง บุณยภู มาโต และธนัชชา สาราญ (2561: หน้า 9) ได้กล่าวว่า วิธีการทากระถางจากขุย มะพร้าววา่ มีวัสดุ และขั้นตอน ดงั น้ี วสั ดุทใ่ี ชใ้ นการทากระถางจากเสน้ ใยพืช 1) กากมะพรา้ ว 2) กาวแปง้ เปยี ก
10 3) กระถางต้นไม้ขนาดต่างกัน ขัน้ ตอนการทากระถางต้นไม้ 1) นากากมะพร้าวและกาวแปง้ เปียกมาผสมให้เข้ากัน 2) ใชม้ ือนวดแปง้ เปยี กกบั กากมะพรา้ วใหเ้ ข้ากนั 3) นากากมะพร้าวทผ่ี สมแล้วอัดใสก่ ระถางให้แนน่ 4) นากระถางอีกใบมากดตรงกลางกระถางใหเ้ ป็นหลุมตรงกลางแลว้ ทิง้ ให้แหง้ 5) คอ่ ย ๆ แกะแบบออกแล้วท้งิ ไวจ้ นแหง้ สนิท พงศธร หนูเล็ก จิราณุวัฒน์ แสงมุกด์ และชินพันธ์ุ แซ่ซิ้ม (2559:หน้า 7) กล่าวว่าวิธีการผลิต กระถางจากขุยมะพร้าวจะประกอบด้วยส่วนผสม ดังนี้ ขุยมะพร้าว 100 กรัม ,ใยมะพร้าว 150 กรัม และกาวแป้งเปียก 50 กรัม ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากน้ันนาไปอัดด้วยเคร่ืองอัดไฮโดรลิก อัดด้วย แรงที่ 10 ตัน ซ่ึงจะทาให้กระถางที่ได้ออกมามีรูปทรงและลักษณะตามท่ีต้องการ และเม่ือนาไปตาก แดดจะไม่เกิดรอยร้าว รวมท้ังไม่แตกที่ปากขอบกระถางด้วย ท้ังนี้ ส่วนผสมดังกล่าวจะผลิตกระถาง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 น้ิวได้จานวน 1 กระถาง และหลังจากนากระถางท่ีได้ไปตากท้ิงไว้ ประมาณ 10 นาที เมื่อกระถางแห้งดแี ลว้ กส็ ามารถนาไปใชง้ านได้ทนั ที 1. นากากกาแฟไปตากแดดใหแ้ ห้ง 2. นากากกาแฟใส่กะละมัง 3. เทกาวแป้งเปียกทีต่ งั้ ไฟเคี่ยวจนเหนียวมาเทลงในกะละมงั 4.ผสมกาวแปง้ เปยี กกบั กากากาแฟให้เข้ากนั 5. นากากกาแฟทผ่ี สมแล้วมาอดั ใสก่ ระถางแม่พมิ พ์ 6. นากระถางไปตากแดดให้แหง้ แล้วฉีดสเปรยเ์ คลอื บเงา 7. ได้กระถางท่เี สรจ็ สมบรู ณพ์ รอ้ มใช้ ( วธิ ีทากระถางจากกากกาแฟ ,2559: หนา้ 1) 2.3 งานวิจัยท่เี ก่ยี วข้อง ปัญญา และพิทยา (2553) ทดสอบคุณสมบัติความแข็งแรงของวัสดุ และอัตราส่วนท่ี 34 เหมาะสมในการพิจารณาเลือกวัสดุความชื้นของวัสดุการดูดซับน้าการพองตัวของกระถาง ผ ล การศึกษาพิจารณาเลือกวัสดุ พบ่ว่าการทดสอบหาความช้ืนของวัสดุ หมาก ใบไม้ผักตบชวา กาบ มะพร้าว ชานอ้อย พบว่า ผักตบชวามีความช้ืนท่ีสูงกว่าวัสดุประเภทชนิดต่าง ๆท่ี 56.77 เปอร์เซ็นต์ และมีความหนาแน่นเท่ากับ 0.41 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร โดยได้นาช้ินส่วนที่ผ่านการอัดโดย เคร่ืองอัดไฮโดรคลอลิกแล้ว มาหาค่าความแข็งแรงของวัสดุโดยใช้เครื่องทดสอบคุณสมบัติทาง กายภาพ โดยใช้การทดสอบแรงกดกดลงในชิ้นส่วนเป็นระยะ 20 มิลลิเมตร การทดสอบอัตราส่วนท่ี เหมาะสม พบว่าในอัตราส่วนที่ 100:100 ผักตบชวากับปุ๋ยคอกใช้แรงกดอัดท่ี 1 ตัน มีการรับแรงกด ได้มากท่ีสุด ที่ 16.72 ตัน การทดสอบการดูดซับน้า พบว่าอัตราส่วนผสมที่ 3:0 มีการดูดซับน้าใน ปรมิ าณมากท่ี แรงกด 15 ตัน ในการดูดซับน้าของกระถางในปริมาณท่ีมากจะมีผลดีต่อการกักเก็บน้า
11 ทาให้ประหยัด น้าท่ีใช้ในการรดน้าของกระถางต้นไม้การทดสอบการพองตัว พบว่าอัตราส่วนผสม มี ผลตอ่ ความแขง็ แรงของกระถางเปน็ ค่าชี้วัดในการพิจารณาเลือกแรงกดอัดของกระถางที่เหมาะสมกับ การใช้งาน ในอัตราส่วนท่ี 3:0 มีค่าการพองตัวของเปอร์เซ็นต์ท่ีสูงกว่าอัตราส่วนอื่น ๆ เนื่องจาก ชนิ้ สว่ นของ กระถางทน่ี ามาทดสอบมปี ริมาณของช่องว่างวัสดุมากทาให้น้าแทรกเข้าไปในวัสดุท่ีอยู่ใน เนื้อช้ินส่วน วัสดุได้มาก ทาให้น้าเกิดการดันตัวของช้ินส่วนวัสดุออกมามากทาให้เกิดการพองตัวได้ มากและการทดสอบความแขง็ แรงของกระถาง พบว่าที่อัตราส่วนผสม 1:1 ใช้แรงกดอัดของวัสดุที่ 15 ตัน และมี การดูดซับน้าท่ีน้อยและการพองตัวของกระถางท่ีน้อยมีการรับแรงกดที่สูงสุด และ เหมาะสมสาหรับ การนาไปใช้งานโดยได้วิเคราะหผ์ ลการทดสอบจากอตั ราสว่ นผสม 3:0 และ 2:1 ทดสอบการพองตัวของกระถาง ต้นไม้ตามความหนาโดยตัดชิ้นตัวอย่างทดสอบขนาด 5×5 เซนติเมตร ตัดจากด้านบนของกระถางต้นไม้ชุดการทดลองละ 3 ตัวอย่างโดยทุกชุดการทดลอง ทง้ั หมด 18 ตวั อย่างจากนั้นทาเครื่องหมายตาแหน่งท่ีวัดความหนา และวัดความหนาของชิ้นตัวอย่าง เป็นความหนา กอ่ นแชน่ ้า และแชช่ นิ้ ตวั อย่างในนา้ สะอาดที่อุณหภูมิ20 ± 2องศาเซลเซียส เม่ือแช่ชิ้น ตัวอย่าง 1 ชั่วโมง รีบนาช้ินตัวอย่างข้ึนมาซับบนน้าที่ผิว ออกให้หมดด้วยผ้าหมาดแล้วปล่อยไว้ที่ อุณหภูมิห้องโดยวางให้ขอบด้านใดด้านหนึ่งอยู่บนแผ่น วัสดุที่ไม่ดูดซึมน้าปล่อยชิ้นทดสอบไว้อีก1 ชว่ั โมง นาช้ินตัวอย่างข้ึนมาวัดความหนาตามตาแหน่งเดิมเป็นความหนาหลังแช่น้า การวัดความพรุน ของกระถางต้นไม้ ซ่ึงต้องมาทาการทดลองเพ่ือหาความพรุนของกระถางต้นไม้ การทดสอบการ เปล่ียนแปลงของ การเส่ือมทางชีวภาพกระถาง โดยทาการทดลองปลูกต้นดาวเรืองกบกระถางต้นไม้ จากกากตะกอน นา้ มนั ปาลม์ และตะกอนเช้ือเหด็ เกา่ วัสดเุ หลือท้ิงจาก ( มอก:876-2547 )
12 บทท่ี 3 วธิ ีดาเนินการทดลอง ในการศกึ ษาครั้งน้ีมวี ตั ถุประสงค์ คือ เพ่ือเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างกระถางจากกาก มะพรา้ วและกระถางจากกากกาแฟผสมขุยมะพรา้ วถงึ ความเเเตกต่างของประสิทธิภาพในการนามาใช้ ประโยชน์ 3.1 วสั ดอุ ุปกรณ์และเคร่ืองมอื พิเศษ 3.1.1 วัสดอุ ปุ กรณ์ (1) กากกาแฟ (2) ขุยมะพรา้ ว (3) แป้งมนั สาปะหลัง (4) หม้อ (5) ไม้คน (6) กระถาง 6 ใบ (7) นา้ (8) กะละมัง 2 ใบ (9) ตาชง่ั 3.2 ขนั้ ตอนการดาเนินงาน 3.2.1 การรวบรวม การเตรียมวตั ถุดิบ และวัสดปุ ระสาน 3.2.1.1 กากกาแฟอาราบิกา้ จะทาการรวบรวมมาจากร้านกาแฟสด กากกาแฟท่ีรวบรวมได้ และทาการลดความชืน้ โดยนากากกาแฟไปตากที่อณุ หภมู ิห้อง ประมาณ 2-3 วนั หลงั จากนั้นนามา รอ่ นเพ่ือคดั แยกขนาดใหม้ ีขนาด 2 มิลลิเมตร 3.2.1.2 กากมะพรา้ วจากในหมบู่ ้านทุ่งผึ้ง อ.ทุง่ ชา้ ง จ.นา่ น 3.2.1.3 กาวแปง้ เปยี ก เตรียมโดยนาแปง้ มนั สาปะหลงั ผสมกับนา้ แป้งมันสาปะหลัง:นา้ เปล่า เทา่ กับ 1:10 แลว้ นามากวนตั้งบนไฟอ่อน ๆ ประมาณ 15 นาที จะได้ กาวแปง้ เปยี กสีใส มีลักษณะ เหนียว คนจนกว่าแปง้ เปยี กมีความเยน็ ตวั ลงก็จะสามารถนามาใชง้ านได้ 3.2.2 การผสมวตั ถุดบิ กับวัสดุประสาน 3.2.2.1 ผสมกาวเเป้งเปยี กทไ่ี ดก้ บั ขยุ มะพร้าวในอัตราส่วน 1:50 3.2.2.1 ผสมกาวเเป้งเปียกที่ได้กบั กากกาแฟเเละขุยมะพรา้ ว 1:1:60 ตามลาดับ
13 3.2.3 อดั เป็นกระถางเพาะชาตามชนดิ ของเสน้ ใยพชื อยา่ งละ 2 กระถาง โดยกระถางจากขุย มะพรา้ ว 2 กระถาง และกระถางจากกากกาแฟอาราบิก้าผสมขุยมะพร้าว 2 กระถาง 3.2.4 นากระถางไปตากเเดดใหเ้ เขง็ ไมท่ ิ้งไว้ในท่ีอบั ชื้น 3.2.5 ทดสอบคุณภาพของกระถางจากขยุ มะพร้าว และกระถางจากกากกาแฟอาราบกิ า้ ผสมขุย มะพรา้ ว 3.2.5.1 การศกึ ษาคุณสมบตั ิบางประการของกระถางเพาะชา งานวจิ ยั นจี้ ะทาการศึกษา คุณสมบัติของกระถางเฉพาะ โดยมรี ายละเอียดดังน้ี (1) การดูดซบั น้าของกระถางเพาะชา อตั ราส่วนทข่ี น้ึ รปู ได้เทา่ น้ัน การทดสอบการพอง ตัวตามความหนา (มอก. 876-2547) โดยอ้างอิงวิธีการ ทดสอบจาก อานาจ (2554) โดยตัดชิ้น ทดสอบขนาด 50 x 50 มิลลิเมตร อัตราส่วนละ 3 ชิ้นทดสอบ แล้วนาไปชั่งมวลก่อนการแช่น้า จากนัน้ วางชน้ิ ทดสอบในระนาบเดียวกับระดับผิวน้า โดยให้ขอบบน อยู่ใต้ผิวน้า ชิ้นทดสอบแต่ละชิ้น ควรวางห่างกันและห่างผนังของภาชนะพอสมควร เม่ือแช่ช้ินทดสอบ ครบ 2 ช่ัวโมง แล้วจึงนาชิ้น ทดสอบขน้ึ จากน้า โดยไม่มีการดูดซบั น้า ทาเชน่ นีท้ กุ ชนิ้ ทดสอบ จากน้ัน นาไปชั่งหาน้าหนักท่ีแน่นอน แล้วหาคา่ เฉลย่ี แสดงสตู รดงั ต่อไปนี้ การดดู ซับน้าของกระถางเพาะชา (เปอรเ์ ซ็นต์) = มวลของกระถางเพาะหลงั แชน่ ้า มวลของกระถางเพาะชากอ่ นแชน่ า้ มวลของกระถางเพาะชาก่อนแชน่ า้ (2) การทดสอบการพองตวั ของกระถางเพาะชา ตัดช้นิ ทดสอบขนาด 4 x 4 เซนติเมตร วัดความหนาขึน้ ทดลองทัง้ 4 มมุ หาคา่ เฉลี่ยเปน็ ความหนาก่อนแช่นา้ นาช้นิ ทดสอบไปแชน่ ้าใน ภาชนะที่อุณหภูมิห้อง เมื่อแช่ครบ 2 ช่วั โมง แลว้ จงึ นาขนึ้ จากนา้ และนาไปวัดความหนาตามตาแหนง่ เดมิ หาคา่ เฉล่ียเป็นความหนาหลังแช่น้า ใชข้ ้ันทดสอบ 3 ช้นิ ต่อหนึ่งอัตราสว่ น แล้วหาค่าเฉลยี่ (อา่ นาง, 2554) แสดงสูตรดงั ตอ่ ไปนี้ การทดสอบการพองตวั ของกระถางเพาะชา (เปอร์เซน็ ต)์ = ความหนาของกระถางเพาะหลงั แช่นา้ ความหนาของกระถางเพาะชากอ่ นแช่น้า ความหนาของกระถางเพาะชาก่อนแช่นา้
14 บทที่ 4 ผลการดาเนนิ งาน จาการศกึ ษาคุณสมบตั ิบางประการของกระถางเพาะจากกากกาแฟและกระถางจากกาก กาแฟผสมขุยมะพร้าว โดยคุณสมบัตทิ ่ีศึกษา ได้แก่ การดูดซบั นา้ เและการพองตวั ของกระถาง ผล การศึกษามีรายละเอยี ดดังน้ี 4.1 ผลการศกึ ษาการดดู ซับนา้ ผลการศึกษาการดูดซับนา้ แสดงดังตารางท่ี 1 คา่ เฉลี่ยการดดู ซบั น้า ตารางที่ 1 คา่ เฉลยี่ การดูดซับนา้ ของกระถางเพาะชา (เปอรเ์ ซ็นต์) ลาดบั ชนิดกระถาง 12.5 1 กากกาแฟ 2 กากกาแฟอาราบิกา้ ผสมขยุ มะพรา้ ว 75 4.2 ผลการศึกษาการพองตัว ผลการศกึ ษาการพองตวั แสดงดงั ตารางท่ี 2 คา่ เฉลีย่ การพองตวั ตารางท่ี 2 คา่ เฉล่ียการพองตัวของกระถางเพาะชา (เปอร์เซน็ ต์) ลาดับ ชนดิ กระถาง 20 80 1 กากกาแฟ 2 กากกาแฟอาราบิกา้ ผสมขยุ มะพร้าว
15 บทท่ี 5 สรุปผลการดาเนินโครงงาน 5.1 สรปุ ผลการทดลอง 5.1.1 คา่ เฉล่ยี การดดู ซับน้าของกระถางเพาะชาจากขุยมะพร้าวและกากกาแฟอาราบิกา้ ผสมขยุ มะพรา้ ว 12.5% 75% ตามลาดบั 5.1.2 คา่ เฉลย่ี การดูดซบั นา้ ของกระถางเพาะชาจากขยุ มะพร้าวและกากกาแฟอาราบกิ ้า ผสมขยุ มะพรา้ ว 20% 80% ตามลาดับ 5.2 อภปิ รายผลการทดลอง 5.2.1 การศึกษาสมบัติในการดดู ซบั น้าของกระถางเพาะชาทั้งสองชนิดกระถางจากกากกาแฟ อาราบกิ ้าผสมขยุ มะพร้าวมีคา่ เฉลย่ี ที่มากกว่ากระถางจากขุยมะพรา้ วเพยี งอย่างเดยี ว ซ่ึงเม่อื พจิ ารณา ตามลกั ษณะของกระถางเเล้วจะพบว่าเส้นใยมะพร้าวมีความเป็นเสน้ ใยแนน่ เหนยี วแตย่ ังไม่มีความ ละเอยี ดเท่ากับกากกาแฟ 5.2.2 การศกึ ษาสมบัติในการดดู ซบั น้าของกระถางเพาะชางสองชนิดกระถางจากกากกาแฟอา ราบิก้าผสมขยุ มะพรา้ วมีค่าเฉล่ียท่มี ากกวา่ กระถางจากขุยมะพร้าวเพยี งอย่างเดยี ว ซึ่งเมอื่ พจิ ารณาจากการพองของแผ่นกระถางทถ่ี ูกตดั จะพบว่าขุยมะพร้าวมคี วามแข็งเนื่องจากเส้นใยจบั กับ แนน่ หนาทาใหน้ ้าถกู ดดู ซึมเข้าไปไดย้ าก 5.3 ขอ้ เสนอแนะ 5.3.1 ในการทดสอบครัง้ ต่อไปควรควบคมุ ปริมาณของกาวแปง้ เปียกให้เทา่ กนั มากท่ีสดุ เพ่ือความ เที่ยงตรงของค่าเฉลี่ยทว่ี ดั ได้ 5.3.2 ศึกษาคณุ สมบัติอ่นื ๆท่ีเกย่ี วข้องกบั ประสทิ ธภิ าพของกระถางเชน่ ค่าความเปน็ กรด-เบส ค่า ความแข็งแรง คา่ ความช้นื
16 บรรณานกุ รม บุณยภู มาโต เเละธนัชชา สาราญ . (2561). รายงานการปฏิบตั ิงานสหกจิ ศึกษา เรื่อง กระถางตน้ ไม้ จากกากมะพร้าว. วชิ าสหกจิ ศึกษา ภาควชิ าการโรงแรมและการทองเที่ยว ่ คณะศิลป ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม. วรรณวิภา ไชยชาญ,วีระศักดิ์ ไชยชาญ เเละเอนก สาวะอินทร. (2560). รายงานการวิจัยกระถาง เพาะชา คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคล ศรีวชิ ัย. ณรงค์ โฉมเฉลา. (2559). ขุยมะพรา้ วและใยมะพร้าว. (ออนไลน์). แหลง่ ที่มา: http://www.jfkfeed.com. 12 กรกฎาคม 2564 พิมพเ์ พ็ญ พรเฉลิมพงศ์. (2544). แป้งมนั สาปะหลัง. (ออนไลน)์ . แหล่งท่ีมา: http://www.foodnetworksolution.com. 15 กรกฎาคม 2564 วิธีทากระถางต้นไม้. (2541). (ออนไลน)์ . แหล่งที่มา: http://transformerscmp.blogspot .com/2011/10/blogpost.html.15 กรกฎาคม 2564 กรมวิชาการเกษตร. มปป. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และพนั ธุก์ าแฟ. (ออนไลน)์ . แหล่งทมี่ า: http://www.doa.go.th/hortold/images/stories/academy/coffee/botan yandcultivar.pdf, 18 กรกฎาคม 2564
ภาคผนวก
รูปประกอบการทากระถาง ก.วสั ดอุ ปุ กรณ์ ภาพที่1.1 กระถาง ภาพท1่ี .2 ขยุ มะพร้าว ภาพที่1.3 หม้อเเละไม้คน ภาพที่1.4 แหง้ มนั สาปะหลงั ภาพที่1.5 กากกาแฟอาราบิกา้
ข. ขั้นตอนการทากระถาง ภาพท่ี2.1 ผสมน้ากบั แปง้ มนั สาปะหลัง ภาพท2่ี .2 ต้มน้าแป้งมันสาปะหลัง ภาพท่ี2.3 กาวแป้งเปียกท่หี นดื
ภาพที2.4 ผสมกากกาแฟอาราบกิ า้ กับขุยมะพรา้ วในกาวแป้งเปยี ก ภาพที่2.5 ผสมขยุ มะพร้าวในกาวแป้งเปยี ก
ภาพท่ี2.6 กระถางจากขยุ มะพรา้ ว ภ ภาพที่2.7 กระถางจากกากกาแฟอาราบิกา้ ผสมขยุ มะพรา้ ว
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: