Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็ก LD

การจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็ก LD

Published by The nextgen evaluation, 2022-03-28 02:59:58

Description: การจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็ก LD

Search

Read the Text Version

การจดั การเรียนการสอนสำหรับเด็ก LD สิรลิ ักษณ์ โปร่งสนั เทียะ ความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ มีผลกระทบต่อความสามารถในการเรยี นร้ขู องเดก็ ในหลายทาง และทำให้ เด็กมีจดุ แข็งและข้อจำกัดในการเรียนรดู้ า้ นวชิ าการแตกตา่ งกันซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตวั ของเดก็ ท่มี ีความบกพรอ่ ง ทางการเรยี นรูแ้ ต่ละคน ทำให้ครูมคี วามจำเปน็ ในการจัดการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสมความจำเป็นพเิ ศษเป็น รายบคุ คล รวมทัง้ การจัดการเรียนการสอนในชน้ั เรยี นรวมท่ีใชร้ ูปแบบของ Response to Intervention (RtI) ท่ีใชห้ ลกั การจดั การเรยี นรู้ทีเ่ ปน็ สากลและเปน็ ธรรม (Universal Design for Learning: UDL) เพ่ือสามารถจัด การเรยี นรสู้ ำหรับเดก็ ที่มีความแตกตา่ งกนั ในชนั้ เรียน และการใช้กลยทุ ธก์ ารสอนสำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่อง ทางการเรยี นรตู้ ามแนวคิดของการประมวลผลข้อมูล (Information Processing) ท่ีคำนึงถงึ ปัญหาของการนำเข้า (Input) การประมวลผล (Process) การส่งออก (Output) และการบริหารจดั การ (Executive Function) การจัดการเรยี นรู้ท่ีเป็นสากลและเปน็ ธรรม (Universal Design for Learning: UDL) การออกแบบการเรยี นรสู้ ำหรับผู้เรยี นทุกคน (Universal Design for Learning: UDL) เปน็ การออกแบบ การเรียนการสอนทลี่ ดอปุ สรรคในการเรียนรู้ของผูเ้ รียน และการปรับสภาพแวดลอ้ มในการเรยี นรู้ ให้ผู้เรยี นท่ี ความสามารถแตกตา่ งกันสามารถเข้าถึงการจัดการเรียนร้ขู องโรงเรียนได้อยา่ งเท่าเทียมกัน โดยทวั่ ไปโรงเรยี นมัก จดั การเรียนรทู้ ตี่ อบสนองเฉพาะผเู้ รียนท่ีมีความสามารถอยู่ในระดับกลางๆ (average) ซึ่งเปน็ สิง่ ที่โรงเรยี นคิดวา่ เป็นระดับความสามารถของนักเรียนสว่ นใหญ่ แต่การรบั รเู้ ช่นนนั้ ยังไม่สะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ ความแตกตา่ งของนักเรยี น ในชัน้ เรยี น การจัดการเรยี นรู้จึงยังมิไดเ้ ปิดโอกาสใหก้ ับนกั เรียนความสามารถแตกตา่ งจากเพ่ือน ไดแ้ ก่ นกั เรยี นท่ีมี ความบกพร่อง นักเรียนดอ้ ยโอกาสหรอื แมแ้ ต่นักเรียนทีป่ ัญญาเลศิ หรอื มีความสามารถพิเศษ เพราะนกั เรียน เหลา่ น้สี ามารถเรียนรูไ้ ด้ต่ำหรอื สงู กวา่ เกณฑ์ท่ีตัง้ ไวส้ ำหรับนกั เรียนระดับกลางๆ การใชห้ ลักการ UDL สามารถช่วยเหลือนักเรียนท่มี ีความแตกตา่ งกนั ได้ด้วย การทำให้จุดประสงค์การเรยี นรู้ วธิ ีสอน ส่อื การเรียนการสอนและการประเมนิ ผลมี ความยดื หยนุ่ ส่งเสรมิ ใหโ้ รงเรยี นและครสู ามารถตอบสนองความตอ้ งการที่แตกต่างกนั ของนักเรียนได้ โดยการออกแบบหลักสูตรและการจัดการเรียนรทู้ ม่ี ปี ระสิทธิภาพ 1

สำหรบั นกั เรยี นทกุ คน และทำใหน้ ักเรียนมีพฒั นาการจากความสามารถปัจจบุ นั ของนักเรยี นที่แท้จริง มากกวา่ การ ตั้งความคาดหวังท่ีไม่สอดคล้องกับลักษณะการเรยี นรู้ของนกั เรยี น UDL มหี ลักการสำคัญ 3 ประการ ดังนี้ 1. ใช้การนำเสนอข้อมูลหลากหลายทาง (Provide Multiple Means of Representation) นักเรยี น ใชว้ ธิ กี ารเรียนรู้ แตกต่างกัน การนำเสนอข้อมลู จึงต้องใช้กลวิธกี ารนำเสนอทห่ี ลากหลาย ท้ังการฟัง การได้ยิน การสัมผสั การชิมรส และการดมกล่นิ 2. ใช้การปฏิบัตแิ ละการการแสดงออกหลากหลายทาง (Provide Multiple Means of Action and Expression) นกั เรียนมีความแตกตา่ งกันในด้านการปฏิบัติและการแสดงออกถึงสิง่ ที่ไดเ้ รียนรู้ จงึ ควรจัดให้มี ทางเลอื กในการแสดงออกของนกั เรยี นหลายวธิ ีการ เช่น การเขียน การพูด การวาด หรือแผนผงั ความคดิ ใน การตอบคำถาม 3. สง่ เสรมิ การมีส่วนร่วมของผู้เรียน (Provide Multiple Means Engagement) จดั ให้นกั เรียนมีสว่ น ร่วมในการเรียนรูห้ ลากหลายรปู แบบ ทั้งการเรยี นเดี่ยว การเรียนเป็นกลุม่ การกำหนดบทบาทหน้าท่ีที่เหมาะสม กบั การปฏบิ ตั ิงานกล่มุ หลักการทัง้ สามประการมีรายละเอียด ดังน้ี การนำเสนอขอ้ มูลที่หลากหลาย (Provide Multiple Means of Representation) ผู้เรียนมีความแตกตา่ งกันในเรอื่ งการรบั รแู้ ละการทำความเข้าใจกับข้อมลู หรอื เน้ือหาท่ีได้เรียนยกตวั อยา่ ง เชน่ นักเรยี นท่ีความบกพร่องทางการเห็น หรือนกั เรียนท่ีมีความบกพร่องทางการได้ยิน นักเรียนทม่ี ีความบกพร่อง ทางการเรยี นรู้ หรอื นักเรียนที่เปน็ ชนกลมุ่ นอ้ ยท่ีใช้ภาษของตนเอง ตา่ งต้องการวธิ กี ารที่แตกตา่ งกันในการนำเสนอ ขอ้ มูลเน้ือหาของการเรียน นักเรยี นบางคนอาจรบั รู้ข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วจากการเหน็ หรอื การฟังเสยี งมากกวา่ การอ่านในหนังสอื การจัดการเรยี นรู้จึงตอ้ งคำนงึ วธิ ีการทน่ี ักเรียนใชเ้ ชื่อมโยงการเรยี นรู้ และใชก้ ารนำเสนอหลาย วิธีการและช่องทาง เพ่ือเป็นทางเลอื กสำหรับนักเรยี น 2

1. ให้ทางเลือกสำหรับการรับรู้ (Provide options for perception) การเรยี นรู้จะเกดิ ข้นึ ไม่ได้ หากผ้เู รียนไมส่ ามารถรับรู้ข้อมลู ทค่ี รนู ำเสนอ หรอื ต้องใช้ความพยายามอยา่ งมากในการทำความเข้าใจ ทำให้เกดิ อปุ สรรคในการการเรียนรู้ ดังนั้น สง่ิ สำคญั คือวิธกี ารนำเสนอข้อมูลของครูต้องทำใหผ้ ู้เรียนทุกคนสามารถรับรไู้ ด้โดย 1) นำเสนอเน้ือหาเดยี วกนั ผ่านประสาทสมั ผสั ท่ีตา่ งกนั เชน่ นำเสนอผา่ นการเหน็ การได้ยิน หรอื การสมั ผัส 2) นำเสนอข้อมลู ในรูปแบบท่ีสามารถปรับเปลยี่ นตามผเู้ รยี นได้ เช่น หากทำเปน็ เอกสารใน Word กส็ ามารถขยายเปน็ ตวั ใหญส่ ำหรบั ผูท้ มี สี ายตาเลือนรางได้ การนำเสนอขอ้ มูลหลากหลายรูปแบบเชน่ น้จี ะทำให้ รับประกันได้ว่าผเู้ รียนท่มี ีการรบั รู้ตา่ งกัน สามารถเข้าถึงข้อมลู หรือเน้อื หาท่เี รียนได้ รวมท้ังผทู้ ี่มีการรบั ร้ปู กติก็ สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายข้ึนอีกด้วย 2. ใหท้ างเลอื กสำหรบั ภาษา คณติ ศาสตร์ และสญั ลักษณ์ (Provide options for language mathematical and symbols) ผูเ้ รยี นมีการรบั รู้รูปแบบของข้อมูลแตกตา่ งกนั ท้งั ทางแบบทใี่ ช้ภาษาหรอื ไม่ใชภ้ าษา การนิยาม ศัพท์อาจทำใหผ้ เู้ รียนคนหนึ่งเขา้ ใจในความคิดรวบยอดของเร่อื งนัน้ ในขณะทอ่ี ีกคนไม่เข้าใจในส่งิ ทีเ่ ขยี นไว้เลย การใช้เคร่ืองหมายเท่ากบั (=) อาจทำใหผ้ ้เู รยี นรู้ว่าทง้ั สองด้านของเครื่องหมายเท่ากนั แต่ผูเ้ รยี นท่ไี ม่สามารถ ตีความเคร่ืองหมายเทา่ กบั ได้คงรูส้ กึ สับสนและไม่เข้าใจความหมาย แผนภมู ิทแี่ สดงความสัมพนั ธ์ระหว่างสอง ตวั แปร อาจทำใหผ้ ู้เรียนท่ีไม่เข้าใจการอา่ นแผนภูมริ บั ร้ขู ้อมลู ทีแ่ สดงไว้ได้เลย รปู ภาพที่นำมาใช้ก็อาจตคี วามได้อยา่ งหลากหลายหากผเู้ รียนมภี ูมิหลงั หรือ วัฒนธรรมที่ตา่ งกัน ดังนน้ั จึงควรหลกี เล่ียงการนำเสนอข้อมูลเพียงรูปแบบเดยี ว และสิ่งสำคัญทต่ี อ้ งคำนึงถงึ นอกเหนือจากการนำเสนอขอ้ มูลหลากหลาย รูปแบบแล้ว คอื ข้อมูลทน่ี ำเสนอน้นั ตอ้ งมคี วามชดั เจนและทำความเข้าใจได้งา่ ยอีกดว้ ย การปฏบิ ัติและการแสดงออกหลากหลายทาง (Provide Multiple Means of Action and Expression) ผ้เู รยี นมคี วามแตกตา่ งกันในการแสดงออกในสิ่งท่เี รยี นรู้ ยกตัวอย่างเชน่ บุคคลท่ีความบกพรอ่ งด้าน ร่างกายและการเคลอ่ื นไหว บคุ คลทีม่ ีความบกพร่องในเรื่องของการจัดการวางแผนหรือเรียงลำดบั ขนั้ ตอน หรือผทู้ ่ี มีอุปสรรคด้านการใชภ้ าษา ทำใหเ้ กดิ ปญั หาในเรอ่ื งของการปฏิบัติงานทีไ่ ด้รบั มอบหมายในชนั้ เรยี น หรอื การทำ การบ้าน ผ้เู รียนบางคนสามารถเขยี นได้ดแี ต่ไมส่ ามารถนำเสนอด้วยการพูด จงึ ควรคำนงึ ไว้ว่าการปฏิบตั หิ รอื การ 3

แสดงออกของผู้เรียนต้องการลำดบั ขัน้ ตอน การฝึกฝน และการจดั การอย่างเป็นระบบ ดงั น้ันการให้ทางเลือกใน การแสดงออกจงึ เปน็ สิง่ ท่ีจำเปน็ 1. ให้ทางเลือกในการปฏิบัติ (Provide options for physical actions) หนงั สอื เรียนหรอื สมดุ แบบฝึกหัดมีช่องทางทใี่ ห้ผู้เรียนปฏบิ ัตอิ ยา่ งจำกดั คือการ เขยี นหรืออ่านดว้ ยตนเองเทา่ นั้น จึงทำให้เกดิ อปุ สรรคสำหรบั ผเู้ รยี นได้ เชน่ นักเรยี นทีม่ ีความ บกพร่องทางการเหน็ ไมส่ ามารถเปดิ หนา้ หนังสือหรือเขียนลงในสมดุ แบบฝกึ หดั นักเรยี นทม่ี ี ความบกพรอ่ งทางการเขยี น (dysgraphia) ไมส่ ามารถเขยี นคำตอบลงในชอ่ งวา่ งท่ีจำกัดใน แบบฝึกหดั ได้ ดังนนั้ จึงจำเป็นตอ้ งใชส้ ื่อและเทคโนโลยีทเ่ี หมาะสมกับผูเ้ รยี น เช่น การมหี นงั สือเสียง หรอื การปรับ แบบฝึกหัดใหม้ ชี ่องวา่ งหรือพื้นทใ่ี นการเขียนมากขึน้ 2. ใหท้ างเลอื กในการแสดงออกและการสือ่ สาร (Provide options for expression and communication) การใหท้ างเลือกในการแสดงออก และการส่ือสารความรทู้ ่เี หมาะสม ทำใหผ้ ้เู รียนสามารถ แสดงความรู้ ความคิดรวบยอด หรือแนวคดิ ของตนเองได้ เชน่ นักเรียนที่มคี วามบกพร่องทางการอ่าน (dyslexia) หรือนักเรยี นท่ัวไปทม่ี ีทกั ษะการอา่ นการเขยี นไมค่ ล่องแคล่ว อาจไมส่ ามารถทำแบบฝึกหัด หรอื การอา่ นจาก หนงั สือแล้วตอบคำถามได้ จึงควรจดั ใหม้ วี ิธีการแสดงออกทหี่ ลากหลายเพื่อให้ผูเ้ รียนสามารถแสดงออกถึงการ เรียนรู้ของตนเอง เชน่ การมีส่ือ การเรยี นรูท้ ี่สามารถพิมพ์ตอบ หรอื มีโปรแกรมเดาคำศัพท์เพือ่ ใหน้ ักเรยี นสามารถ เลอื กคำทใี่ ชต้ อบได้ การมหี นังสือเสียงทผี่ ้เู รียนสามารถใชก้ ารฟงั เพอ่ื เก็บเร่ืองราว หรือการตอบคำถามโดยใชก้ าร ตอบปากเปล่า การสง่ เสริมการมสี ่วนร่วมของผ้เู รยี น (Provide Multiple Means of Engagement) การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของผู้เรียนส่งผลโดยตรงตอ่ แรงจงู ใจในการเรยี น แหล่งปัจจัยทส่ี ง่ ผลต่อความ แตกต่างของแรงจงู ใจในการเรยี น ไดแ้ ก่ ลักษณะการเรียนรู้ของผเู้ รียน วฒั นธรรม ความชอบสว่ นบุคคล ภมู ิหลัง ทางการศกึ ษา และปัจจยั อน่ื ๆอีกมากมาย ผเู้ รยี นบางคนชอบประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีแปลกใหม่ตลอดเวลา แต่ ผเู้ รียนบางคนอาจชอบ การเรียนรู้ทเ่ี ปน็ ระบบสม่ำเสมอ บางคนชอบการเรียนรูเ้ พียงลำพัง บางคน ชอบทำงาน 4

เป็นกล่มุ ในความเป็นจริงแล้วไมม่ ีการมสี ว่ นร่วมแบบใดแบบหนึ่ง ท่ีเหมาะสมสำหรบั ทุกคน จึงควรสง่ เสริมวิธกี าร ทท่ี ำใหผ้ เู้ รียนมีสว่ นรว่ มอย่างหลากหลายวธิ ี 1. ให้ทางเลอื กในการมสี ่วนรว่ มในรปู แบบท่ีผ้เู รยี นสนใจ (Provide options for recruiting interest) หากผ้เู รียนไมม่ สี ่วนร่วมในการเรียนรู้ ความรู้นัน้ ย่อมไม่สามารถเขา้ สพู่ ทุ ธิปัญญาของ ผเู้ รยี น กลา่ วคือหากไม่มีความต้งั ใจหรอื มีความสนใจในเนื้อหาทีค่ รูสอน ก็ไมเ่ กิดกระบวนการการเรยี นรู้ในตวั ผู้เรียน ซง่ึ ทำใหค้ รูจำเปน็ ต้องหาวธิ ีการดงึ ดดู ความสนใจหรือทำใหผ้ ู้เรียนมีสว่ นรว่ มในการเรยี นรู้ แตค่ วามสนใจ หรอื ความต้ังใจของผเู้ รยี นแต่ละคนมีความแตกต่างกนั แม้แต่ผเู้ รียนคนเดยี วกันถ้าอยู่ในสถานการณ์ทีต่ ่างกัน ความสนใจก็แตกตา่ งกันและเมือ่ เวลาผ่านไปความสนใจกเ็ ปล่ยี นแปลงไปเช่นกัน เพราะผ้เู รยี นไดร้ ับประสบการณ์ ความรู้หรือข้อมลู ใหม่ทำใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงในสว่ นของความรู้ ทศั นคติ หรอื แม้แต่การเปล่ยี นชว่ งวยั กต็ าม สง่ิ สำคัญคือครูต้องรวู้ ่าผู้เรยี นมคี วามสนใจแบบใดและสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียนโดยวธิ กี ารใด 2. ใหท้ างเลือกในการใชค้ วามพยายามและอดทน (Provide options for sustaining effort and persistence) การเรียนรทู้ ักษะจำเป็นตอ้ งใชค้ วามสนใจและความเพยี รพยามในการเรียนรู้และฝกึ ฝน หากผ้เู รยี นมแี รงจงู ใจในการเรียนกจ็ ะมีความอดทน ความเพียรพยายามและสามารถกำกบั หรอื กำหนดตนเอง ให้ เรียนร้ไู ด้ แตผ่ เู้ รียนสว่ นหนง่ึ นอกจากขาดแรงจูงใจในการเรยี นแล้ว ยงั ไม่สามารถกำกบั หรอื ต้ังใจจดจ่อกบั การเรยี นรไู้ ด้อกี ดว้ ย เป้าหมายท่สี ำคัญในการจัดการเรยี นรู้คอื การทำให้ผเู้ รยี นสามารถกำกบั ตนเอง หรือสามารถ สรา้ งเปา้ หมายการเรียนดว้ ยตนเอง ซงึ่ สามารถไดโ้ ดยการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ทเ่ี ท่าเทียมกัน ซงึ่ ทำให้ผเู้ รียน เกดิ การเชื่อมโยงภายในระหว่างความรสู้ กึ ประสบความสำเรจ็ จากการเรยี นรกู้ ับแรงจูงใจในการเรียน ดังน้ัน การสรา้ งโอกาสให้นักเรียนประสบความสำเรจ็ (Successful Approach) ในการทำงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย การมสี ว่ นร่วมในฐานะสมาชิกของกลมุ่ กับเพื่อนในช้ันเรยี นจึงเป็นส่ิงสำคญั โดยการช่วยเหลอื สนับสนุน หรอื การปรับเปล่ยี นงานที่ไดร้ บั มอบหมายใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียน คอื การสรา้ งโอกาสให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จ น่นั เอง 5

รปู แบบการประมวลผลข้อมูล (Information Processing Model) ลกั ษณะของเดก็ ที่มีความบกพร่องทางการเรยี นรู้ สามารถอธิบายได้โดยใช้ลกั ษณะของความบกพร่องใน กระบวนการทางจติ วิทยา ในรูปแบบการประมวลผลขอ้ มลู ซึ่งแบ่งเปน็ 4 ข้ันตอน ดังน้ี 1. การนำเขา้ (Input) ปัญหาสำคัญของขั้นตอนการนำเข้าประการแรก คือความบกพร่องของการรับรู้ทางสายตา เด็กจะมี ความยากลำบากในการจำแนกตำแหน่ง หรือ รูปร่างของสิ่งที่เห็น ตัวอักษรอาจกลับด้านหรือหมุน เช่น เด็กอาจ สบั สนเกย่ี วกับตัวอักษร ด ค หรอื ช ซ เด็กอาจจำแนกภาพออกจากฉากหลังได้ยาก ความบกพร่องในขั้นตอนนี้ทำ ให้เดก็ มีความบกพร่องในการอ่าน โดยการอ่านขา้ มคำ อา่ นบรรทัดเดยี วกนั ซำ้ สองครงั้ อา่ นขา้ มบรรทดั เด็กทม่ี ีการ รับรู้เกยี่ วกบั ความลกึ หรือการคะเนระยะทางไม่ดี จะทำใหช้ นข้าวของ หรอื ตกเก้าอ้ี ปัญหาประการที่สองคือ การรับรู้ทางการได้ยิน เด็กจะมีความยากลำบากในเรื่องความเข้าใจ เนื่องจาก ไมส่ ามารถแยกแยะความแตกต่างรายละเอยี ดของเสียง มคี วามสบั สนเกย่ี วกบั คำหรือวลีทม่ี ีเสียงคล้ายคลึงกัน เช่น คำว่า ขอ กับ คอ หรือ แบะ กับ แบ บางคนไม่สามารถจับเสียงที่ต้องการฟังจากเสียงสิ่งแวดล้อมได้ ทำให้ไม่ตอบ รับเมื่อครูหรือพ่อแม่เรียก จึงดูเหมือนไม่ใส่ใจที่จะฟังหรือไม่มีสมาธิ หรือกระบวนการรับรู้เสียงเป็นไปอย่างช้าๆ จึงทำให้ไม่สามารถเก็บข้อมูลที่บอกอย่างต่อเนื่องได้ เช่นเมื่อแม่สั่งว่า “ตอนนี้ดึกมากแล้ว ขึ้นไปข้างบน ล้างหน้า ลา้ งตา เปล่ียนชดุ นอน แล้วลงมาดม่ื นมนะลูก” เดก็ อาจได้ยินเพยี ง ดกึ แล้ว และขนึ้ ไปข้างบน 2. การประมวลผลหรอื การคิด (Processing or Thinking) ความบกพร่องของการประมวลผลข้อมูลแสดงออกได้ 4 ลักษณะตามขั้นตอนย่อยของการประมวลผล ได้แก่ การจัดลำดับข้อมูล (Sequencing) ความเป็นนามธรรมของข้อมูล (Abstraction) และการจัดหมวดหมู่ ข้อมลู (organization) และความจำ (Memory) ความบกพร่องของการจัดลำดับข้อมูลแสดงออกโดยการที่เด็กอาจเล่าเรื่องราวโดยการเริ่มต้นที่ ตอนกลางของเรื่อง ไปที่ตอนต้นของเรื่อง แล้วจึงเล่าตอนจบของเรื่อง นอกจากนี้เด็กอาจกลับตัวอักษรในคำ เช่น คำว่า บวช อ่านว่า ชอบ เด็กที่มีลักษณะนี้ส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้หน่วยของความจำที่จัดลำดับไว้อย่างถูกต้อง 6

ถ้าถามว่า วันอะไรมาหลังวันพุธ เด็กจะเริ่มต้นท่องที่วันอาทิตย์จนกว่าจะได้คำตอบ หรือ การหาคำศัพท์ใช้ พจนานุกรมก็ตอ้ งเร่ิมตน้ ดว้ ยอักษร ก เสมอ ลักษณะทส่ี อง คอื ความเปน็ นามธรรมของข้อมูล เด็กจะมีปญั หาในการอนุมานความหมาย เด็กสามารถ อ่านเรื่องได้แต่ไม่สามารถสรุปใจความสำคัญได้ มีความสับสนเกี่ยวกับความหมายของคำเมื่อใช้ในหน้าที่ต่างกัน และไมเ่ ขา้ ใจมุขตลกหรอื ศัพท์แสลง การจดั หมวดหมขู่ อ้ มลู เป็นการบูรณาการและเช่ือมโยงสิ่งที่ได้เรยี นรู้แลว้ กบั ส่ิงที่ได้เรยี นรู้ใหม่ ดังนั้นเด็ก ทมี่ คี วามบกพร่องในการจัดหมวดหมู่ข้อมลู จะมีความยากลำบากในการเช่ือมโยงและสร้างความคิดรวบยอด เมื่อได้ เรียนรู้ข้อเท็จจริงแล้วไม่สามารถนำสิ่งที่เรียนมาใช้เพื่อการตอบคำถามหรือแก้ปัญหาได้ จะพบว่าการใช้ ชวี ติ ประจำวนั ของเดก็ ก็จะขาดการจัดระบบหมวดหม่นู ี้ด้วย ความบกพร่องสามารถเกิดขน้ึ ในเรื่องของการจำ การจำระยะสนั้ คือการที่เราสามารถจำข้อมูลในขณะท่ี เราตั้งใจหรอื จดจอ่ กับข้อมูลน้ัน เช่นเราสามารถจำหมายเลขโทรศัพท์สิบหลักได้ในขณะที่เรากำลังจะโทรศพั ท์ แต่ ถ้ามีสงิ่ ใดมาขดั จังหวะเรากจ็ ะลืม แตถ่ า้ เราท่องข้อมูลนนั้ บ่อยๆข้อมูลจะเขา้ สู่ความจำระยะยาว ซงึ่ เป็นท่ีเก็บข้อมูล สำหรับการนำออกมาใช้เมื่อต้องการ ความบกพร่องทางการจำส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ความจำระยะสั้น ดังนั้นเด็กจึง ตอ้ งการการทบทวนที่มากขน้ึ เพื่อให้ข้อมูลถกู เกบ็ ในความจำระยะยาว 3. การสง่ ออก (Output) ความบกพร่องของการนำข้อมูลออกมาใช้แสดงออกทางความบกพร่องทางภาษาและความบกพร่อง ทางการเคลื่อนไหว ส่วนใหญ่ความบกพร่องทางภาษาในการส่งออกนีจ้ ะเก่ียวข้องกับภาษาท่ีถูกร้องขอ (demand language) มากกว่าภาษาที่เร่ิมจากตนเอง (spontaneous language) ภาษาที่เริ่มจากตนเอง เป็นกระบวนการท่ี เกิดขึ้นเมื่อเราเริ่มต้นสนทนา โดยเราเลือกหัวขอ้ ที่จะพูด จัดระบบความคิด และหาคำพูดที่เหมาะสมก่อนที่เราจะ เปดิ ปากแล้วพูดออกไป ภาษาทถ่ี กู รอ้ งขอเกิดข้ึนเม่ือผู้อนื่ เริ่มต้นการสนทนาทำให้เราต้องสื่อสาร เมื่อผู้อ่ืนถามเรา เราต้องคิดคำตอบพร้อมกับการจัดระบบความคิด หาคำตอบและพูดตอบ เด็กที่มีความบกพร่องทางภาษาอาจพูด เป็นปกติเมื่อเป็นผู้เริ่มต้นการสนทนา แต่เมื่อต้องเป็นผู้ตอบ เด็กจะหยุดและบอกให้ทวนคำถาม แล้วให้คำตอบที่ สับสน หรือไมส่ ามารถหาคำตอบท่ีเหมาะสม 7

4. การบรหิ ารจัดการตนเอง (Executive Function) การบริหารจัดการตนเอง หรอื เมตาคอคนชิ ั่น (Metacognition) เปน็ องค์ประกอบของการตัดสนิ ใจ ว่าควรเก็บขอ้ มลู หรอื ไมค่ วรเกบ็ ข้อมลู ระดบั ความสำคัญของข้อมูล และวิธกี ารแสดงออกต่อข้อมลู ทีร่ บั เขา้ มา นอกจากนย้ี ังเก่ยี วข้องกบั ทักษะการกำกับตนเอง (Self – Regulated) ซ่งึ มีความสำคญั ต่อความเขา้ ใจ เช่น การ อ่านสรปุ ใจความสำคัญ เด็กท่ีมคี วามบกพร่องทางการเรยี นรู้จะอา่ นโดยไมต่ ระหนกั ถึงความหมายของส่งิ ท่ีอ่าน และเม่ือตอ้ งการรู้ความหมายกลับไม่มวี ธิ กี ารทใี่ ช้ในการหาความหมายได้ หรือเม่ือครูสาธิตวธิ กี ารคำนวณโดยใช้ ตัวอยา่ ง เด็กท่ีมคี วามบกพร่องทางการเรียนรู้อาจไม่สามารถเลยี นแบบวิธกี ารทค่ี รูใชใ้ นการคำนวณมาใชเ้ พอื่ การ คำนวณเลขด้วยตนเองได้ กลยทุ ธ์การสอน (Instructional Strategies) จากลักษณะความบกพร่องทางการเรยี นรู้ท่ีอธิบายโดยแนวคดิ การประมวลผลข้อมูล บอกถึงลักษณะของ ความผิดพลาดท่ีเกดิ ข้ึนกบั การเรียนรู้ โดยเฉพาะการอา่ น การเขยี น การคำนวณ ซง่ึ สามารถใช้กลยุทธ์การสอน ดังนี้ ลักษณะ กลยุทธ์ทั่วไป กลยทุ ธก์ ารอา่ น กลยุทธ์ กลยุทธ์ เทคโนโลยี ความ บกพรอ่ ง การเขียน การคำนวณ ส่งิ อำนวยความ การนำเขา้ สะดวก 1. บอกลำดับ 1. SQ3R 1. เตรียม 1. ใชส้ ่อื ท่ี 1. เครือ่ งคดิ เลข ของเน้ือหา (Survey สำรวจ โครงรา่ งก่อน สามารถจับตอ้ ง 2. software 2. ใช้วิธีสอนผ่าน question ถาม เขียน ได้ อ่านหน้าจอ ประสาทสัมผัส read อ่าน 2. การใช้บตั รคำ (manipulative) ทั้งห้า recite ท่อง 2. ใชว้ ิธีการแก้ 3. จดั ทน่ี ่ังที่ review โจทย์ที่ เหมาะสม ทบทวน) หลากหลาย 2. ตรวจสอบ ตนเองวา่ ไม่รู้ อะไรบ้าง 8

ลกั ษณะ กลยุทธท์ ่ัวไป กลยทุ ธ์การอ่าน กลยทุ ธ์ กลยทุ ธ์ เทคโนโลยี ความ การเขียน การคำนวณ ส่งิ อำนวยความ บกพรอ่ ง 1. การใชส้ เี ป็น 1. อ่านออกเสยี ง การรับรู้ทาง รหสั 2. ฟงั จากเทป 1. จัดทนี่ ัง่ ให้ 1. ใช้สมุดกราฟ สะดวก สายตา 2.ใชป้ ากกาเน้น ใกลก้ ระดาน ในการคำนวณ 1. ขยาย ขอ้ ความ 1. การใชภ้ าพ หากต้องคัดลอก 2. กลบั สมุดใน ตัวอักษร การรบั รู้ ช่วยในการทำ จากกระดาน แนวนอนเพ่ือให้ 2. ลดแสงจาก ทางการฟงั 1. บันทึกคำ ความเข้าใจ จอคอมพวิ เตอร์ บรรยายเพอ่ื ฟงั 2. การสอนอา่ น มชี อ่ งในแยกตวั การ ในภายหลังอีก เป็นคำ เลขตามหลกั 1. เทป ประมวลผล ครัง้ 1. ลดการเขยี น 1.ใชภ้ าพในการ บนั ทึกเสยี ง 1. เน้นคำสำคัญ ตามคำบอก อธบิ ายการแก้ 1. นงั่ ใกลเ้ พ่ือน และใจความ โจทย์ปัญหา สนิท สำคญั 2. ลำดับขั้นใน 2. แบง่ งาน 2. เขียนสรปุ การแก้ปัญหา ออกเปน็ ส่วนๆ ใจความสำคญั ชัดเจน เพอ่ื ใหม้ กี ารพกั หลงั การอ่าน 1. พดู ก่อนลงมอื 1.โจทย์ปัญหา ระหวา่ งการ เขยี น สอดคลอ้ งกับ ทำงาน 2. ตรวจสอบ ชวี ิตจรงิ 3.ใช้สถานการณ์ หลังการเขยี น จำลองหรอื เกม เพือ่ ความ ในการเรียนรู้ ถูกต้องครบถ้วน 9

ลกั ษณะ กลยทุ ธ์ทั่วไป กลยุทธก์ ารอา่ น กลยทุ ธ์ กลยทุ ธ์ เทคโนโลยี ความ การเขยี น การคำนวณ สิง่ อำนวยความ บกพร่อง ความจำ 1. ลดการจำ สะดวก สตู รเนน้ วิธีการ 1. ใชส้ ง่ิ ชว่ ยจำ 1. บนั ทกึ สน้ั ๆ 1. เขยี นโครง แก้ปัญหา เชน่ การทำเปน็ หลงั การอา่ น เรอ่ื งก่อนเขยี น เพลง คำคล้อง 2. บนั ทกึ แนว จอง เรื่อง หรอื โครง 2. ทำปา้ ยหรือ เร่อื ง บตั รคำติดไวใ้ นที่ 3. อภปิ รายหรอื ท่ีมองเห็น คยุ กับเพอื่ นใน เรอ่ื งที่อ่าน การบริหาร 1. ใชส้ มดุ จด 1. หาประโยคที่ 1. คดิ วา่ ใครเปน็ 1. ใช้สมุดกราฟ 1. ขยาย ผฟู้ ังในเรือ่ งท่ีจะ ในการคำนวณ ตัวอกั ษร จัดการตนเอง การบา้ น เป็นใจความ เขยี นและเขา 2. กลับสมดุ ใน 2. ลดแสงจาก ต้องการรหู้ รือ แนวนอนเพื่อให้ จอคอมพวิ เตอร์ 2. ทำตาราง สำคัญและสรุป เขา้ ใจอะไร มชี ่องในแยกตัว 2. ใหเ้ พอื่ นชว่ ย เลขตามหลกั การเรยี นหรือ 2. มคี วามเข้าใจ อา่ นงานเขยี น เพ่อื ให้ การสง่ งาน วา่ การอา่ นสือ่ ข้อเสนอแนะใน การปรับปรุง 3. กำหนด แตล่ ะประเภท สถานทใ่ี นการทำ ใช้วธิ กี ารอา่ นที่ การบา้ นทเี่ งยี บ แตกตา่ งกัน สงบและมี อปุ กรณ์ในการ เรยี นครบถ้วน 4. หาวิธีการ เฉพาะตนท่ีทำให้ เรยี นรไู้ ด้ดที ส่ี ดุ เชน่ การเนน้ ขอ้ ความ การ บันทึกสิ่งทตี่ ้อง ทำ 10

การประเมินเพื่อการจดั การช่วยเหลือ การประเมินความสามารถของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อหมายถึงเก็บ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถของเด็ก โดยข้อมูลที่ได้จากการวัดและประเมินผลต้องมีความแม่นยำ ความ เทย่ี งตรง และน่าเชอื่ ถือ ทำใหท้ ราบถึงระดับความสามารถหรือสัมฤทธผิ ลทางการเรียน ในทางการศึกษาพิเศษการ วัดและประเมินผลเป็นกลไกที่ทำให้เด็กได้รับบริการทางการศึกษาที่เหมาะสม คือ การกำหนดจุดเริ่มต้นและ แผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (Placement and IEP Development) การวางแผนการสอน (Instructional Program Planning) และการตรวจสอบความก้าวหน้า (Instructional Program Evaluation) เหมาะสมกับการ ชว่ ยเหลือ (intervention) ที่มีประสทิ ธิภาพ โดยทั่วไปการคัดแยกหรือวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน (Standardized Achievement Tests) ควบคู่กับการวัดระดับสติปัญญา (IQ) โดยใช้คะแนน ผลสัมฤทธิ์ที่ระดับเปอร์เซ็นไทล์ท่ี 20 หรือ 25 และใช้ระดับสติปัญญาปานกลางถึงสูง นอกจากนี้ยังใช้ข้อมูลจาก การประเมินดว้ ยรปู แบบต่างๆ เพ่ือระบกุ ารช่วยเหลือ ดงั น้ี 1. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) แบบทดสอบมาตรฐานเป็นแบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม แบ่งออกเป็นสองประเภทคือ แบบทดสอบ ผลสัมฤทธ์ิ (Acheivement) และแบบทดสอบวินิจฉัย (Diagnostic) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์จะให้ภาพรวมของ ความสามารถจงึ เหมาะกับการคัดแยก ส่วนแบบทดสอบวินจิ ฉยั สามารถบอกจุดเด่นและจุดอ่อนของความสามารถ ได้ดีกวา่ 2. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion – Referenced Tests) แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดเนื้อหาหรือทักษะเฉพาะของเด็กโดยไม่ได้ เปรียบเทียบกับเพื่อน แต่เปรียบเทียบกับเกณฑ์ของแต่ละทักษะ จึงเหมาะกับการประเมินความบกพร่องเฉพาะ ด้าน เชน่ ทักษะการอา่ น ทักษะการเขยี น ทักษะการคำนวณ 11

3. การวัดและประเมนิ ผลโดยยึดหลกั สตู รเป็นพืน้ ฐาน (Curriculum - Based Measurement: CBM) CBM เป็นการวัดผลที่ยึดการวัดเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง โดยนำความสามารถของนักเรียน เปรียบเทียบกับผลลัพธ์การเรียนรู้ตามหลักสูตรของโรงเรียน สามารถให้ข้อมูลความก้าวหน้าของเด็กอย่างเป็น ระบบ CBM ยังมีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Educational Program: IEP) ดังจะเห็นได้จากขั้นตอนของ CBM คือ การกำหนดจุดประสงค์ระยะยาว กำหนดจุดประสงค์เชิง พฤติกรรม ทดสอบเด็กโดยใช้แบบทดสอบมาตรฐาน กำหนดการประเมินผล และปรับกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี เหมาะสมเปน็ รายบุคคล ซ่งึ ทุกขนั้ ตอนเปน็ องค์ประกอบหลกั ของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบคุ คล 4. การวเิ คราะหข์ อ้ ผดิ พลาด (Error Analysis) การวิเคราะห์ข้อผิดพลาดเป็นสิ่งจำเป็นในการวิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อการช่วยเหลือที่เหมาะสม เนอ่ื งจากข้อผดิ พลาดทเี่ กิดข้ึนทำใหเ้ กิดคำตอบที่ไมส่ มบรู ณ์ ไมใ่ ช่คำตอบท่ีผดิ การวเิ คราะหข์ ้อผิดพลาดคอื การ วิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหา เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้จะมีรูปแบบความผิดพลาดที่แตกต่างกัน ข้อ สำคญั คือข้อผดิ พลาดน้ันต้องไม่ได้เกิดจากความไม่ระมดั ระวัง แต่ตอ้ งเปน็ ขอ้ ผดิ พลาดตอ่ เนื่องจนเปน็ รปู แบบ 5. การสังเกตและการสัมภาษณ์ (Observation and Interview) การสงั เกตและการสัมภาษณ์เปน็ เครื่องมือวนิ ิจฉัยท่ีสำคัญของครู การสังเกตให้ข้อมูลท่ีเก่ียวเน่ืองกับ การประเมินโดยรูปแบบอื่น โดยครูต้องมีทักษะการสังเกตอย่างเป็นระบบและระมัดระวังและมีการบันทึกเพื่อใช้ เป็นข้อมูลส่วนตัวของเด็ก มีจุดประสงค์สองประการคือเพื่อศึกษาเจตคติต่อ และเพื่อประเมินทักษะวิชาการ โดย ผลจากการสัมภาษณ์จะใช้เพื่อการจัดการเรียนการสอนและการจัดที่เหมาะสม กับความสนใจและทักษะทาง วชิ าการของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล 6. แฟ้มสะสมงานและการวิเคราะหต์ ัวอย่างงาน (Portfolio and Analyzing samples of student’s works) แฟ้มสะสมงานและการวิเคราะห์ตัวอย่างงานเป็นรูปแบบที่ครูสามารถใช้เพื่อการประเมินเพื่อวัด ความกา้ วหน้าของเด็กหลังจากท่ีครดู ำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ หรือชว่ ยเหลือตามโปรแกรมการชว่ ยเหลือ โดยมีข้อ ควรคำนึงในการเก็บสะสมผลงานของนักเรียนว่าควรจะเป็นงานแสดงผลตามหลักสูตร และเก็บในช่วงเวลาท่ี 12

กำหนด และงานทีเ่ ก็บน้ันต้องมาจากวิธีสอนและสภาพการณ์ทีห่ ลากหลายแตกตา่ งกัน สว่ นการวเิ คราะห์ตัวอย่าง งานทำให้ครูทราบถึงประเมินส่วนที่เด็กเกิดความบกพร่อง และส่วนที่เด็กทำได้ดีเป็นการวิเคราะห์ถึงข้อเด่นและ ข้อจำกดั เพอื่ การกำหนดวิธีสอนหรือวธิ ีซ่อมเสรมิ ทเ่ี หมาะสม ตัวอยา่ งแผนการจดั การเรยี นรตู้ ามหลกั การ UDL วชิ า วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 1 หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 1 สิ่งมีชีวิตกบั สิ่งไม่มีชีวิต เวลา 12 ช่ัวโมง มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชี้วัด มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหนว่ ยพืน้ ฐานของส่งิ มีชวี ิต ความสมั พนั ธ์ของโครงสรา้ ง และหนา้ ทขี่ องระบบ ต่างๆ ของสงิ่ มชี ีวิตท่ที ำงานสมั พันธ์กัน มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ส่ือสารส่งิ ที่เรียนรู้ และนำความรู้ไปใช้ใน การดำรงชวี ิตของตนเองและดูแลสง่ิ มีชีวติ ตัวชว้ี ดั ว 1.1 ป.1/1 เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหวา่ งสิง่ มชี ีวติ และสง่ิ ไม่มชี วี ิต ว 1.1 ป.1/2 สังเกตและอธบิ ายลักษณะและหนา้ ทข่ี องโครงสร้างภายนอกของพชื และสัตว์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละจิตวทิ ยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การ แก้ปญั หา รูว้ ่าปรากฏการณ์ธรรมชาตทิ ี่เกดิ ขึน้ ส่วนใหญม่ ีรูปแบบท่แี น่นอน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ขอ้ มลู และเครื่องมือทีม่ ีอย่ใู นชว่ งเวลาน้ันๆ เขา้ ใจวา่ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม มีความ เก่ียวขอ้ งสัมพนั ธก์ ัน ตัวชว้ี ดั ว 8.1 ป.1/1 ตงั้ คำถามเก่ียวกับเรอ่ื งท่ีจะศึกษาที่กำหนดใหห้ รือตามความสนใจ ว 8.1 ป.1/2 วางแผนการสังเกต สำรวจตรวจสอบ ศึกษาค้นควา้ โดยใชค้ วามคดิ ของตนเองและ ของครู 13

ว 8.1 ป.1/3 ใชว้ ัสดุ อุปกรณใ์ นการสำรวจตรวจสอบ และบนั ทึกผลโดยวธิ งี า่ ยๆ ว 8.1 ป.1/4 จดั กลมุ่ ข้อมูลท่ีไดจ้ ากการสำรวจตรวจสอบ และนำเสนอผล ว 8.1 ป.1/5 แสดงความคิดเหน็ ในการสำรวจตรวจสอบ ว 8.1 ป.1/6 บันทึกและอธบิ ายผลการสงั เกต สำรวจตรวจสอบ โดยเขยี นภาพหรอื ข้อความสัน้ ๆ ว 8.1 ป.1/7 นำเสนอผลงานดว้ ยวาจาให้ผู้อืน่ เขา้ ใจ สาระการเรียนรู้ ความแตกตา่ งระหว่างสิ่งมีชีวติ และสงิ่ ไม่มีชวี ติ /โครงสร้างภายนอกของพืชและสตั ว์ สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด สิ่งมีชีวติ แตกต่างจากสง่ิ ไมม่ ีชีวติ โดยส่งิ มีชวี ิตและมกี ารเคลื่อนที่ กินอาหาร ขบั ถา่ ย หายใจ เจรญิ เติบโต สืบพนั ธุ์ และตอบสนองต่อส่ิงเร้า แตส่ ่ิงไม่มชี ีวิตไมม่ ีลักษณะดังกลา่ ว จดุ ประสงค์ (แผนท่ี 1 : 45 นาท)ี 1. ทบทวนความร้เู ดิมเกยี่ วกับเมล็ดพืชของนักเรยี น 2. ฝึกการเป็นผอู้ ่านโดยใชก้ จิ กรรมการเลือกหนังสอื 3. สอนให้นักเรยี นหาหัวเร่อื งจากหนังสอื ท่ีอา่ นได้ การเตรยี มการ 1. ก่อนช่ัวโมงเรียนให้นกั เรยี นนำผลไมม้ าจากบา้ นและผา่ เพ่ือนำเมลด็ ออกมา แล้วปลูกไว้ในกระถาง (ควรเลือกที่สามารถงอกได้ง่าย) 2. เลือกหนงั สือทเ่ี กี่ยวกับการงอกของเมลด็ พชื ทมี่ รี ะดับการอ่านงา่ ยและยากตา่ งกัน อย่างละ 4 – 5 เลม่ และควรเป็นหนังสือท่สี ามารถอ่านไดจ้ ากคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถใช้โปรแกรมการอา่ น หน้าจอได้ 14

กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. นักเรียนพดู คุยหรืออภิปรายสิ่งทีน่ ักเรียนรู้เก่ียวกับเมลด็ พืช 2. ครนู ำเสนอหนงั สือทเี่ ตรยี มมา บอกนักเรยี นวา่ ทุกคนตอ้ งเลือกอ่านคนละ 1 เลม่ โดยเลม่ ทีเ่ ลอื กอา่ น อาจเปน็ เลม่ ทน่ี ักเรยี นชอบ แต่นักเรียนต้องรจู้ ักวิธีเลอื กหนังสอื ทเี่ หมาะสมกบั นักเรยี นดว้ ย 3. ครูบอกนักเรียนวา่ สามารถอ่านหนงั สือท่ีเลอื กไดโ้ ดยใชค้ อมพิวเตอร์ได้ เพราะมโี ปรแกรมทีอ่ อกเสยี ง ใหก้ บั นกั เรยี น 4. ครูอธบิ ายวิธกี ารเลือกหนังสือท่ีเหมาะกบั ตนเอง โดยเลอื กหนงั สอื ที่นักเรยี นเขา้ ใจคำจำนวนมากทีส่ ุด และเม่ืออ่านนักเรยี นจะรสู้ ึกวา่ ง่ายและเข้าใจเร่ืองทง้ั หมด แตถ่ ้าอา่ นแลว้ ไม่เขา้ ใจหรอื ต้องสะกดคำ เปน็ เวลานาน ถือว่าหนังสือเล่มนนั้ ยากเกนิ ไปสำหรบั นกั เรียน 5. ครวู างหนังสือที่เตรียมไว้ ตามมมุ หอ้ งตามฐาน เพื่อให้นักเรียนเดนิ ไปสำรวจหนังสือแต่ละฐาน 6. นักเรยี นแบ่งกลุ่ม กล่มุ ละ 4 – 5 คน สำรวจหนงั สอื ตามฐาน โดยใชเ้ วลาฐานละ 5 นาที จงึ เปลยี่ น ฐาน สรปุ กิจกรรม 1. ครถู ามนักเรียนแต่ละคนวา่ เลือกหนงั สือเลม่ ใด เมื่อเลือกแล้วใหเ้ ขียนชอื่ ลงในกระดาษทม่ี ีรปู ปกของ หนังสอื เล่มนนั้ 2. ครถู ามนักเรยี นวา่ มีใครต้องการใชส้ ื่อในการอา่ น เชน่ อ่านโดยใช้โปรแกรมออกเสียงจากคอมพิวเตอร์ หรือต้องการอ่านเปน็ คู่ 3. ใหน้ ักเรยี นใหค้ วามคิดเห็นเกี่ยวกับความแตกต่างของหนังสอื ประเมินผล 1. ระหว่างกจิ กรรมการสำรวจหนังสือ ถามนักเรียนเกีย่ วกับการเลือกหนงั สือ โดยใช้วธิ ีการเลอื กตาม เกณฑ์การเลอื กหนงั สอื ทีเ่ หมาะสมกบั ตนเองทีค่ รูได้อธบิ ายไวใ้ นตอนต้น 15

จดุ ประสงค์ (แผนที่ 2 : 45 นาที) 1. สามารถอา่ นจบั ใจความ 2. หาคำตอบจากสิ่งที่อา่ นได้ 3. แบ่งปนั ความรูโ้ ดยใชก้ ารพดู ได้ กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ครูนำเสนอหนังสือทนี่ ักเรยี นเลอื กไว้ พร้อมท้ังอธบิ ายว่าวันน้นี กั เรยี นจะไดอ้ า่ นหนังสือที่เลือกไว้ โดย ตอ้ งหาข้อมลู เพอ่ื ตอบคำถามครู 2 ขอ้ คือ คำถามที่ 1 ส่ิงใดท่ีมีความจำเป็นสำหรับการงอกของเมล็ดพืช คำถามที่ 2 เมล็ดพืชจะงอกได้ท่ไี หนบา้ ง 2. ใหน้ กั เรียนลองทายคำตอบกอ่ นการอ่าน ครเู ขียนคำตอบของนักเรียนไวบ้ นกระดาน 3. ครสู อนวิธกี ารหาคำตอบจากหนังสอื โดยคำตอบของนักเรียนอาจเป็น คำ หรอื ภาพ หรือเป็นทัง้ คำ และภาพในหนังสือก็ได้ 4. ครูให้นกั เรียนอ่าน โดยนกั เรียนท่ตี อ้ งการใช้สอื่ สามารถใชส้ ือ่ ได้ และนักเรียนที่ตอ้ งการอ่านเป็นคู่ สามารถอา่ นด้วยกนั ได้ 5. นักเรียนตอบคำถาม ดว้ ยการเขียนตอบ ชภี้ าพหรือคำในหนังสอื สำหรบั นกั เรยี นท่ีใชส้ ื่อสามารถใช้ โปรแกรมอ่านหน้าจอให้อ่านคำตอบใหไ้ ด้ 6. หลังการตอบคำถามใหน้ กั เรยี นบนั ทกึ คำตอบ โดยการเขยี น การลอกจากหนงั สือ หรือการวาด สรุปกจิ กรรม 1. ใหน้ กั เรียนแบ่งกลมุ่ แล้วเขยี นคำตอบบนกระดาน โดยมีนกั เรียนชว่ ยนำเสนอว่าคำตอบอยู่ทีส่ ่วนใด ของหนังสือ 2. ให้นักเรียนอภิปรายความยากง่ายของกิจกรรมท่ที ำในวันนี้ การประเมนิ ผล 1. สังเกตนกั เรียนขณะทำกิจกรรมหาคำตอบ บันทกึ ในแบบสังเกตเก่ยี วกับวธิ ีการหาคำตอบทถ่ี กู ต้องของ นักเรียน ว่าสามารถกำหนดเปา้ หมายในการหาคำตอบในหนงั สอื ไดห้ รือไม่ 16

2. ความถูกต้องของคำตอบของนกั เรยี น ส่อื และอุปกรณ์ 1. หนังสอื ท่ีเกีย่ วกบั การงอกของเมล็ดพืชทม่ี ีระดบั ความยากง่ายของการอ่านแตกตา่ งกัน ได้แก่ How A Seed Grows, Growing Vegetable Soup, Diary of A Sunflower และ I’m A Seed 2. หนังสอื ดจิ ิตลั ของท้ัง 4 เล่ม 3. โปรแกรมการอา่ นหนา้ จอ 4. หนงั สอื เสียง การสนบั สนนุ การเรียนรู้ท่ีแตกต่างกนั การนำเสนอข้อมลู ท่หี ลากหลาย 1. มหี นงั สอื ใหเ้ ลือกหลายระดบั 2. นักเรียนไดส้ ำรวจหนงั สือกอ่ นการเลอื กอา่ น เน้นการเรียนรู้ทีส่ ำคญั 1. ตัง้ คำถามเพื่อการหาคำตอบ 2. วิธกี ารหาคำตอบทหี่ ลากหลาย เทคโนโลยอี ำนวยความสะดวก 1. หนังสือดิจิตัล ของท้ัง 4 เล่ม 2. โปรแกรมการอา่ นหน้าจอ 3. หนังสือเสียง เชอ่ื มโยงความรูเ้ ดิม 1. ก่อนช่ัวโมงเรยี นให้นกั เรียนนำผลไม้มาจากบ้านและผ่าเพ่ือนำเมล็ดออกมา แล้วปลูกไว้ในกระถาง (ควรเลือกที่สามารถงอกได้ง่าย) 2. นกั เรยี นลองทายคำตอบก่อนการอ่าน ครเู ขยี นคำตอบของนักเรียนไวบ้ นกระดาน 17

เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2555). แนวทางการพฒั นาและประเมนิ การอา่ น คดิ วิเคราะห์ เขียน ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั . ศรียา นยิ มธรรม.(2542). การวัดและประเมินผลทางการศึกษาพเิ ศษ. พิมพ์ครง้ั ที่ 3. กรุงเทพฯ: P.A.ART & PRINTING. สริ ลิ กั ษณ์ โปร่งสันเทยี ะ. (2550). การพฒั นาโปรแกรมซ่อมเสริมคณิตศาสตรส์ ำหรบั เด็กทม่ี ปี ญั หาทางการเรียนรู้. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ด. (การศกึ ษาพิเศษ). กรงุ เทพฯ: บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร. Kirk, Samuel.; Gallagher, James.J.; Coleman, Ruth.Mary.; & Anastasiow, Nick. (2009). Educating Exceptional Children. Belmont : Wadworth. แหลง่ เรียนรู้เพ่มิ เติม www.cast.org/udl 18


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook