Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Ioternet of things

Description: Ioternet of things

Search

Read the Text Version

Internet of things \"อินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่ง (IOT)\" WRITTEN BY Thitirat Sakwaruwan

Smart Home ปี 2003 Housing Learning & Improvement Network ได้ตีพิมพ์คำจำกัดความ ของ smart home ซึ่งถูกนำเสนอโดย Intertek ว่าหมายถึง การรวมโครงข่ายการ สื่อสาร (communication network) ของที่อยู่อาศัยรวมเข้าด้วยกัน เพื่อเชื่อมต่อ เครื่องใช้ไฟฟ้า การบริการ การตรวจตราดูแล รวมทั้งสามารถเข้าถึงการควบคุม อุปกรณ์ต่างๆได้ (โดยการควบคุมอาจ หมายถึง การควบคุมทั้งที่เกิดจากทั้งภายในที่ อยู่อาศัยเอง หรือถูกควบคุมจากภายนอกก็ได้) นั่นคือบ้าน หรือที่อยู่อาศัยที่จะเรียกว่า บ้านอัจฉริยะ หรือ smart home จะต้องมีคุณสมบัติ 3 ประการคือ งานวิจัยของ smart home ในปัจจุบันจะเป็นการวิจัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน สามารถแบ่งกลุ่มได้เป็น 4 กลุ่ม ตามความต้องการคือ 1. เพื่อความสะดวกสบาย งานวิจัยพวกนี้จะเป็นระบบอัตโนมัตต่าง ๆ เช่นประตู อัตโนมัติ, รีโมทอัจฉริยะ ซึ่งสินค้าที่มีในท้องตลาดส่วนใหญ่ก็จะเป็นในกลุ่มนี้ 2. เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จะเป็นงานวิจัยในการเพิ่มความสามารถ ให้กับกล้องวงจรปิดคือนอกจากจะทำการบันทึกภาพอย่างเดียวแล้ว แต่ยังรวม เซนเซอร์ต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ในการตรวจตราเช่นเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และเพิ่มระบบการขับไล่ผู้ร้ายด้วยการเชื่อมต่อกับ alarm หรือแจ้งไปยังสถานีตำรวจ นั่นคือเพิ่มความสามารถในการช่วยระงับเหตุเข้ามาด้วย ซึ่งสินค้าในท้องตลาดในกลุ่ม นี้ก็มีเช่นกัน 3. เพื่อประหยัดพลังงาน เช่นการเปิดปิดไฟอัตโนมัติตามแสงอาทิตย์ หรือปิดไฟ อัตโนมัติเมื่อไม่มีคนอยู่ รวมไปถึงการบริหารจัดการพลังงานในกรณีที่ติดตั้งแผง วงจรโซลาร์เซลล์ 4. เพื่อดูแลสุขภาพของผู้อาศัยภายในบ้าน เช่นจะติดตั้งเซนเซอร์ตรวจคลื่นหัวใจ ตรวจจับไฟไหม้ โดยส่งสัญญาณ เมื่อเวลาเกิดเหตุการณ์ที่ผิดปกติ

1. มี SMART HOME NETWORK คือระบบพื้นฐานของ SMART HOME อาจ เป็นการเดินสายหรือไร้สายก็ได้ ประกอบด้วย 1.1 POWER LINE SYSTEM(X10) เป็น PROTOCOL ที่ใช้สื่อสารระหว่างอุปกรณ์ ต่าง ๆ ในระบบ HOME AUTOMATION ถูกพัฒนาการอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อ เข้ากับแหล่งจ่ายไฟหลักได้โดยตรง เป็นระบบที่ง่ายในการ CONFIG ทำงานได้เร็วและ ราคาถูก โดยข้อเสียหลัก ๆ ของระบบนี้คือการรบกวนค่อนข้างมาก 1.2 BUS LINE(EIB,CEBUS) ใช้สาย 12VOLT แยกออกมา(ตีเกลียว) เพื่อรับส่ง ข้อมูลกับอุปกรณ์ เป็นอิสระจากแหล่งจ่ายไฟ เพื่อป้องกันการรบกวน 1.3 RADIO FREQUENCY(RF) และ INFRARED(IR) SYSTEM เป็นระบบที่ใช้ กันมาก ผู้ผลิตส่วนใหญ่มักใช้ระบบนี้ในอุปกรณ์ SMART HOME แต่ระบนี้ก็ยังมี ปัญหาอันเกิดจากการรบกวนสัญญาณและระยะทางในการส่งสัญญาณ 2. มี INTELLIGENT CONTROL SYSTEM คือ ระบบการควบคุมระบบอัจฉริยะที่มี ความชาญฉลาด 2.1 เป็นเสมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่างเทคโนโลยีที่แตกต่างกันของุปกรณ์ภายใน บ้าน 2.2 เป็นเสมือน GATEWAY เพื่อเชื่อมต่อกับบริการที่อยู่ภายนอกบ้าน 3. มี HOME AUTOMATION DEVICE คือ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่ สามารถเชื่อมโยงกันได้ เช่น 3.1 SMART REFRIGERATOR คือ ตู้เย็นอัจฉริยะสามารถบอกได้ว่ามีอาหารอะไร กี่อย่างอยู่ภายในตู้เย็น อีกทั้งยังบอกได้ว่าอาหารจะหมดอายุเมื่อไหร่ 3.2 SMART SOFA คือโซฟาที่สามารถปรับความอ่อนแข็งได้ตามสรีระและความ พอใจของแต่ล่ะคน 3.3 SMART BATHROOM คือห้องน้ำอัจฉริยะ ที่สามารถควบคุมอุณภูมิ เสียง แสง และกลิ่นภายในห้องน้ำได้ 3.4 SMART DOOR คือประตูอัตโนมัติ ที่สามารถตรวจจับใบหน้าของสมาชิก ภายในบ้ายแล้วทำการเปิดปิดเองโดยอัตโนมัติ 3.5 SMART REMOTE คือรีโมทที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ภายในบ้านทั้งหมด 3.6 SECURITY SYSTEM คือระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่ใช่เป็นเพียงกล้องที่ บันทึกเหตุเท่านั้น แต่ยังมีเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และไซเรนเพื่อส่งเสียงใน การระงับเหตุ 3.7 ROBOT ปัจจุบันได้มีการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ภายในบ้านเช่น หุ่นยนต์ดูดฝุ่น หุ่น ยนต์ให้อาหารสัตว์เลี้ยง

Smart City เมืองอัจฉริยะ คือ เมืองที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยและชาญฉลาด เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการให้บริการและการบริหารจัดการเมือง เมืองอัจฉริยะมีการกำหนดกรอบการพัฒนาเมืองอัจฉริยะขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. เมืองอัจฉริยะน่าอยู่ คือ การฟื้นฟูเมืองเดิม พัฒนาให้เป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยีและ โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง พลังงานและดิจิทัล ในการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมเมืองที่มีอยู่เดิมให้น่า อยู่ยิ่งขึ้น 2. เมืองอัจฉริยะทันสมัย คือ การพัฒนาเมืองใหม่โดยก่อสร้างพื้นที่เมืองขึ้นใหม่ทั้งหมด รวมถึงพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานของเมือง สาธารณูปโภค ที่อยู่อาศัย แหล่งงาน พาณิชยกรรม พื้นที่พักผ่อน ให้เป็น เมืองที่ทันสมัยระดับโลก เป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคม การค้า การลงทุน การวิจัยพัฒนา ไปจนถึง การพัฒนานวัตกรรม ขั้นตอนในการสมัครขอรับพิจารณาความเป็นเมืองอัจฉริยะประเทศไทย 4 ขั้นตอน คือ 1.ส่งข้อเสนอโครงการ ที่ scp@depa.or.th หรือ สำนักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย Smart City Thailand Office ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจ ดิจิทัล 2.รับรองสถานะเป็นเขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ 3.เข้าสู่กระบวนการพิจารณาเป็นเมืองอัจฉริยะ 4.ประกาศเป็นเมืองอัจฉริยะ หน่วยงานที่ขอรับการพิจารณาความเป็นเมืองอัจฉริยะประเทศไทย ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ 1. เป็นนิติบุคคล ได้แก่ ส่วนราชการ รัฐ ที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการพัฒนาและขับเคลื่อน เมืองอัจฉริยะที่ยื่นข้อเสนอที่มีความร่วมมือกับ หน่วยงานเอกชนที่จดทะเบียนในประเทศไทย ในการพัฒนาและขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะที่ยื่นข้อเสนอในรูปแบบ การร่วมลงทุนระหว่าง ภาครัฐและเอกชน 2.เป็นนิติบุคคลภาคเอกชนที่จดทะเบียนในประเทศไทยและมีเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่เมือง อัจฉริยะ ที่ยื่นข้อเสนอ และประสงค์จะขอรับการพิจารณาการเป็นเมืองอัจฉริยะ โดยจะต้อง ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานทางปกครองในระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค หรือ ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น และได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องแล้ว

เมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City เป็นรูปแบบการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัล หรือข้อมูล สารสนเทศและการสื่อสารในการเพิ่มประสิทธิและคุณภาพของบริการชุมชน เพื่อช่วย ในการลดต้นทุน และลดการบริโภคของประชากร โดยยังคงเพิ่มประสิทธิภาพให้ ประชาชนสามารถอยู่อาศัยได้ในคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น Smart City เป็นโครงการที่หลาย ๆ เมืองทั่วโลก พยายามพัฒนาให้เข้ากับยุค 4.0 โดยการเอาเทคโนโลยีมาผสานกับ การใช้ชีวิตของประชาชน เมืองอัจฉริยะแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้ 1.เศรษฐกิจอัจฉริยะ (SMART ECONOMY) เมืองที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพและความ คล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ สร้างให้เกิดความเชื่อมโยงและความร่วมมือทางธุรกิจ และประยุกต์ใช้นวัตกรรมในการพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนธุรกิจ โดยจะผลักดันเมือง เป้าหมายเป็นศูนย์กลางธุรกิจด้านใดด้านหนึ่งบนฐานนวัตกรรม 2.ระบบขนส่งและการสื่อสารอัจฉริยะ (SMART MOBILITY) เมืองที่มุ่งเน้นการ เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชน การเดินทางสะดวกปลอดภัย เพิ่ม ประสิทธิภาพการจัดการระบบโลจิสติกส์ และการใช้ยานพาหนะประหยัดพลังงาน 3.พลังงานอัจฉริยะ (SMART ENERGY) เมืองที่มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ พลังงานของเมือง หรือใช้พลังงานทางเลือกเป็นพลังงานสะอาด (RENEWABLE ENERGY) 4.สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (SMART ENVIRONMENT) เมืองที่มุ่งเน้นปรับปรุง คุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผลการบริหารจัดการ และติดตามเฝ้าระวัง สิ่งแวดล้อมและสภาวะแวดล้อมอย่างเป็นระบบ 5.ระบบบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (SMART GOVERNANCE) เมืองที่มุ่งเน้นการ พัฒนาระบบบริการเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐ เช่น SMART PORTAL เพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงการเปิดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล ทำให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ 6.พลเมืองอัจฉริยะ (SMART PEOPLE) เมืองที่มุ่งเน้นการพัฒนาผู้บริหารเมือง หรือผู้นำท้องถิ่นที่สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาเมืองสร้าง พลเมืองที่มีความรู้และความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสร้างสภาพ แวดล้อมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้นอกระบบรวมถึงการส่ง เสริมการอยู่ร่วมกันด้วยความหลากหลายทางสังคม 7.การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (SMART LIVING) เมืองที่มุ่งเน้นการสนับสนุนให้มี ระบบบริการที่อำนวยความสะดวกต่อการดำรงชีวิต เช่น บริการด้านสุขภาพให้ ประชาชนมีสุขภาพและสุขภาวะที่ดี การเพิ่มความปลอดภัยของประชาชนด้วยการ เฝ้าระวังภัยจากอาชญากรรมไปจนถึงการส่งเสริมให้เกิดสิ่งอำนวยความสะดวก สำหรับการดำรงชีวิตที่เหมาะสม

Smart Grid สมาร์ทกริด (Smart Grid) คือ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยี หลากหลายประเภทเข้ามาทำงานร่วมกัน โดยครอบคลุมตั้งแต่การประยุกต์ใช้ งานเทคโนโลยีเหล่านั้นตลอดทั้งห่วงโซ่ของระบบไฟฟ้าตั้งแต่การผลิตไฟฟ้า การ ส่งไฟฟ้า การจำหน่ายไฟฟ้า ไปจนถึงภาคส่วนของผู้บริโภค ได้อย่างชาญฉลาด การสื่อสารในการเก็บข้อมูลและทำการสั่งการควบคุมโครงข่ายไฟฟ้าโดยใช้ ข้อมูลดังกล่าวในการตัดสินใจ เช่น เก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าจากผู้ใช้ งานและการผลิตไฟฟ้าจากผู้ผลิต การควบคุมอัตโนมัติของระบบโครงข่ายไฟฟ้า เพื่อทำการปรับปรุงประสิทธิภาพความเชื่อถือได้ ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ และความยั่งยืนในการผลิตและจ่ายไฟฟ้าในระบบโครงข่ายไฟฟ้า นั่นคือผู้ใช้ ไฟฟ้าทั่วไปตั้งแต่ภาคบ้านเรือน ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจและการพาณิชย์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังครอบคลุมไปถึงการเชื่อมต่อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนเข้า ระบบโครงข่ายไฟฟ้าและเตรียมพร้อมรองรับการนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้งาน ในอนาคต เป็นต้น

ประโยชน์ของ Smart Grid 1.ด้านระบบไฟฟ้า - ระบบส่งจ่ายไฟฟ้ามีความมั่นคง เชื่อถือได้และมีคุณภาพสูงขึ้นมาก - ระบบส่งจ่ายไฟฟ้าจะสื่อสารกันได้อย่างทั่วถึง ทําให้เพิ่มประสิทธิภาพสูงขึ้น - ในกรณีที่เกิดปัญหาไฟฟ้าดับขึ้น ผู้ใช้ไฟฟ้าจะสามารถกลับมาใช้ไฟฟ้าได้ใหม่ ภายในระยะเวลาอันสั้น 2.ด้านบริการ - ผู้ใช้ไฟฟ้าตรวจสอบลักษณะการใช้ไฟฟ้าและลดค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนได้ - มีระบบแจ้งเตือนไฟฟ้าขัดข้องแบบอัตโนมัติ - มีบริการใหม่ ๆ 3.ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม - สนับสนุนให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประหยัดการใช้พลังงาน และผลิตพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่ง แวดล้อม - สนับสนุนนโยบายภาครัฐในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ - สร้างความปลอดภัยให้ชุมชน SMART GRID (สมาร์ทกริด) คือ ระบบบริหารการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพด้วย เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร (Information Technology) ความอัจฉริยะของ SMART GRID จะช่วยคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้า จากเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงาน ทดแทนให้เหมือนโรงไฟฟ้าโรงเดียวกันและสอดคล้องกับปริมาณการใช้งานจริง เนื่องจากไฟฟ้าผลิตแล้วต้องใช้ทันที หากจัดเก็บจะมีต้นทุนสูง สรุปแบบเข้าใจง่ายๆ ก็ คือ ลดความสูญเปล่าของการสำรองการผลิตไฟฟ้าในช่วงที่ไม่มีการนำมาใช้นั่นเอง

Smart Farming สมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) กำลังเติบโตเป็นอย่างมากทั่วโลก เป็นการบริหาร จัดการฟาร์มด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย เช่น IoT (Internet of Things), หุ่นยนต์, โดรน และโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตและคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์ และยังช่วยให้เกิดการใช้แรงงานคนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย Smart Farming คือ การทำการเกษตรอัจฉริยะที่นำเทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการ ระบบการเพาะปลูกในทุก ๆ ขั้นตอน และสามารถควบคุมทุกอย่างได้ด้วยเทคโนโลยี เพื่อ ทำการตรวจสอบ เก็บข้อมูล วิเคราะห์ และแก้ปัญหาการเพาะปลูกได้แบบ Real-Time พร้อมกับสามารถแสดงผลข้อมูลการเจริญเติบโต และคาดการณ์ผลผลิตได้อย่าง แม่นยำ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยของเรายังคงอยู่ในจุดเริ่มต้นของการทำ เท่านั้น เนื่องจากการทำ Smart Farming จำเป็นต้องมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญ และได้รับ การสนับสนุนจากหลายภาคส่วน อีกทั้งตัวเกษตรกรเองก็จำเป็นต้องมีการเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงจากวิถีเดิมที่เคยทำมา

ประโยชน์ของ IoT ต่อการเลี้ยงกุ้งในระบบ สมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) 1.ลดความเสี่ยง เกษตรกรเช็คข้อมูลค่าออกซิเจน (DO) ค่าพีเอช (pH) อุณหภูมิ และกระแสไฟฟ้าได้แบบเรียลไทม์ (Real-time data) หรือตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงมี ระบบการแจ้งเตือนทันทีเมื่อค่าต่างๆ ต่ำกว่าค่าที่ตั้งไว้ ให้เกษตรกรสามารถแก้ไข ปัญหาได้ทันทีก่อนจะสายเกินไป 2.ความสะดวกสบาย สั่งการต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชั่นอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจากที่ไหน ก็ตาม พร้อมระบบแจ้งเตือนตลอด 24 ชม และยังต่อเข้ากับปั๊ มน้ำดีและน้ำเสีย รวมถึง เครื่องให้อาหาร และสั่งการเครื่องตีน้ำได้ผ่านแอปพลิเคชั่น 3.ประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น สามารถตั้งค่าออกซิเจนไว้ได้ หากค่าออกซิเจนต่ำกว่าที่ตั้ง ไว้ เครื่องตีน้ำจะทำงานอัตโนมัติ และหากค่าออกซิเจนกลับมาที่ค่าที่ตั้งไว้ เครื่องตีน้ำ ก็หยุดทำงานอัตโนมัติ ช่วยลดค่าไฟ และยังช่วยลดการจ้างแรงงานคนเพิ่ม โดย เจ้าของฟาร์มสามารถดูค่าคุณภาพน้ำต่างๆ ได้เองผ่านแอป ตลอด 24 ชั่วโมง 4.เพิ่มผลผลิต ใช้ข้อมูลค่าออกซิเจนมาบริหารจัดการ เช่น การพาเชียลกุ้ง การลด หรือเพิ่มการใช้เครื่องตีน้ำ เป็นต้น ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เกษตรกรไทยไม่สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มรูปแบบนั้น สามารถจำแนกปัญหาออกมาได้ดังนี้ 1.การลงทุนในนวัตกรรมทำให้เข้าถึงปลายทางได้ยาก เช่น หากเราต้องการทำระบบให้ น้ำอัตโนมัติ เพื่อควบคุมการให้น้ำในฟาร์มผ่านสมาร์ทโฟนได้ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือ ฟาร์ม ส่วนใหญ่ของเกษตรกรไทยจะใช้ระบบไฟบ้าน ซึ้งไม่สามารถตอบสนองกับปริมาณการใช้ ไฟฟ้าของระบบได้อย่างเพียงพอ จำเป็นต้องมีการจ้างวิศวกรเพื่อออกแบบระบบไฟใหม่ ให้เป็นระบบอุตสาหกรรม เสียทั้งเวลาและเงินทองจำนวนมาก กว่าที่ระบบการให้น้ำจะ สามารถใช้งานได้จริง และยังต้องมีอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องวางแผน เช่น ระบบ ชลประทาน การวางผังไร่ การวางระบบท่อน้ำ ฯลฯ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความรู้หลากหลาย ในการออกแบบและสร้างระบบเหล่านี้ 2.UX – UI ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เคยใช้มา ผู้ที่ใช้งานกลับเกิดความยุ่งยากในการเรียนรู้ ที่จะใช้ รวมไปถึงความซับซ้อนของเทคโนโลยีก็มีสูงเกินกว่าผู้ที่ไม่เคยได้ศึกษาจะเข้ามา ทำความเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นการออกแบบระบบ Smart Farming จำเป็นต้องมองลงไป ถึงความคุ้นชินเดิมของผู้ที่ใช้งานจริง เพื่อให้ความยุ่งยากในการเรียนรู้ไม่สูงเกินไป 3.นวัตกรรมถูกสร้างจากหลายคน เนื่องด้วยกระบวนการและขั้นตอนในการทำการ เกษตรนั้นมีความหลากหลาย และผู้ผลิตเทคโนโลยีเองก็อาจไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในทุก จุดของการทำการเกษตร ทำให้ในแต่ละขั้นตอนของการปลูก จำเป็นต้องนำเทคโนโลยี ของผู้ผลิตหลายๆ เจ้าเข้ามาใช้งานร่วมกัน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคือผู้ผลิตแต่ละเจ้าต่างก็มี มาตรฐานที่แตกต่างกัน ทำให้การเชื่อมโยงมีความยากลำบาก และอาจทำให้ไม่สามารถ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยก็เป็นได้ 4.ความคุ้มค่าในการลงทุนที่ไม่ชัดเจน โดยส่วนใหญ่แล้ว เกษตรกรรายย่อยที่ทำอาชีพ เกษตรกรรมเป็นหลัก มักมีภาระในการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว หากเขาจำเป็นต้องลงทุนใน การทำระบบ Smart Farming ที่มีต้นทุนเริ่มต้นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีต้นทุนแฝงใน อนาคตที่ตามมาอีกจำนวนมาก อาจทำให้เกษตรกรรายย่อยไม่สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้ จริงเนื่องจากไม่สามารถลงทุนกับเทคโนโลยีได้

Connected Car Connected Car เป็นการประยุกต์ใช้งานอย่างหนึ่งของ Internet of Things (IoT) โดยเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับยานยนต์และการคมนาคม ขนส่ง ทำให้รถยนต์สามารถสื่อสารกับสิ่งต่างๆ หรือเป็นเหมือน “สมาร์ทโฟนติด ล้อ (Smartphone on wheels)” ตามคำกล่าวของ Akio Toyoda ประธานบริษัท Toyota Motor Corporation

Connected Car จะทำให้เกิดบริการแอพพลิเคชันและรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ที่ช่วยให้การ คมนาคมขนส่งมีความปลอดภัยมากขึ้น มีประสิทธิภาพคล่องตัวมากขึ้น ช่วยอำนวย ความสะดวกสบายให้แก่ผู้เดินทาง ดังนี้ 1. บริการด้านข่าวสารและความบันเทิง (Infotainment) โดยผู้โดยสารรถยนต์สามารถ ดูหนังฟังเพลงจากในรถที่ sync ข้อมูลกับโทรศัพท์มือถือ ทำให้ประสบการณ์ในการใช้งาน ระหว่างอุปกรณ์เป็นไปอย่างลื่นไหล ตัวอย่างเช่น Apple Carplay 2. บริการประกันภัยที่คิดเงินตามการขับจริง (Usage-based Insurance) โดยจาก ข้อมูลลักษณะการขับขี่จะทำให้บริษัทประกันภัยสามารถประเมินความเสี่ยงของผู้ขับขี่ได้ ดีขึ้น และนำมาคิดค่าเบี้ยประกันตามพฤติกรรมในการขับรถได้ เช่น ผู้ขับขี่เป็นระยะทาง สั้นๆ และใช้ความเร็วต่ำ ก็จะจ่ายค่าเบี้ยประกันต่ำกว่าผู้ขับขี่ระยะทางไกลๆ และใช้ ความเร็วสูง 3. บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ในกรณีที่ผู้ขับขี่ประสบอุบัติเหตุ หน่วยงานให้ความช่วยเหลือ ฉุกเฉินสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที เช่น ในยุโรปได้มีบริการที่เรียกว่า eCall กำหนดให้รถยนต์ใหม่ทุกคันต้องติดตั้งอุปกรณ์ที่จะโทรเรียกหมายเลขฉุกเฉิน 112 โดยอัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุการชนรุนแรง และส่งข้อมูลการทำงานของถุงลมนิรภัย และพิกัดของรถยนต์ให้หน่วยงานให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินทราบ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลา การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุได้ถึง 40-50% 4. บริการตรวจเช็ครถยนต์จากระยะไกล (Remote Diagnostic and Maintenance) โดยเซนเซอร์ที่อยู่บนรถยนต์จะตรวจวัดสภาพรถและส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการโดย อัตโนมัติ ทำให้ศูนย์บริการสามารถวิเคราะห์สภาพรถและพยากรณ์การเสียของรถได้ ล่วงหน้าแล้วแจ้งให้ผู้ขับขี่นำรถมาซ่อมได้ก่อนที่จะเกิดการเสียจริง 5. การสื่อสารของรถยนต์กับสิ่งรอบตัว (Vehicle-to-Everything Communications: V2X) โดยมีทั้งการสื่อสารระหว่างรถยนต์ (Vehicle-to-vehicle: V2V) เช่น รถยนต์คัน หน้าแจ้งเตือนรถยนต์ที่ตามมาเมื่อมีการเบรกเพื่อความปลอดภัย การสื่อสารระหว่างรถ และโครงสร้างพื้นฐาน (Vehicle-to-infrastructure: V2I) เช่น สัญญาณไฟจราจรอาจ แจ้งให้รถหลีกเลี่ยงเส้นทางรถติด ช่วยให้การคมนาคมคล่องตัวขึ้น ซึ่งการสื่อสารของ รถยนต์ในลักษณะนี้จะเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในการเข้ามามีบทบาทใน อุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น การจัดตั้งสมาคม 5G Automotive Association ซึ่งเป็น ความร่วมมือกันระหว่างผู้เล่นในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ 6. การประยุกต์ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยสามารถนำข้อมูลจากเซนเซอร์ ต่างๆ ที่ติดตั้งในรถยนต์มาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อปรับปรุงระบบการคมนาคมขนส่ง และ การพัฒนาเมือง ตามแนวคิดของเมืองอัจฉริยะได้ เช่น หากเซนเซอร์ตรวจพบการเบรก ของรถยนต์บนถนนเส้นหนึ่งอย่างผิดปกติ เนื่องจากถนน ดังกล่าวเกิดการทรุดตัว ข้อมูล ดังกล่าวสามารถนำมาใช้ในการแจ้งผู้เกี่ยวข้องเพื่อซ่อมแซมถนนได้ 7. การขับขี่โดยอัตโนมัติ (Automated Driving) โดยนำการสื่อสารมาใช้ร่วมกับ เซนเซอร์ต่างๆ ซึ่งใช้ในการตรวจจับสิ่งที่อยู่รอบตัว

Smart Retail JD.com ร่วมมือกับอินเทล ตั้งศูนย์วิจัยพัฒนาเทคโนโลยี “smart retail” ทิศทางโดยรวมก็คือจะนำ IoT มาใช้ในการค้าปลีก เช่นพัฒนาตู้ขายสินค้า อัตโนมัติให้ฉลาดขึ้น และจุดเช็คเอาท์อัจฉริยะ ฯลฯ ทั้งนี้หน้าที่อินเทลคือเทคโนโลยี การคำนวณ ส่วนหน้าที่ของ JD.com คือการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ บริษัท เอ็นเทคฯ จึงขอแนะนำโซลูชั่นเกี่ยวกับ ร้านค้าปลีกอัจฉริยะ (Smart retail solution) ผลิตภัณฑ์ Eocortex จากประเทศรัสเซีย โดยระบบร้านค้าปลีก อัจฉริยะนี้จะทำงานร่วมกับกล้องวงจรปิด (CCTV) ภายในร้านที่มีอยู่แล้ว เพื่อนำ ภาพที่บันทึกมาวิเคราะห์ วางแผน และเก็บข้อมูลทางสถิติ เพิ่มประสิทธิภาพของ ร้านค้า ซึ่งมีจุดเด่นหลักดังต่อไปนี้ 1. ติดตั้งง่าย (Easy installation) เพราะสามารถทำงานร่วมกับกล้องวงจรปิด ที่มีอยู่แล้วในร้านได้ ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องลงทุนระบบโครงสร้างหรือเดิน สายเคเบิ้ลในการติดตั้งกล้องวงจรปิดใหม่ ช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการและ ใช้เวลาน้อยกว่าในการติดตั้งระบบ 2. ใช้งานง่าย ด้วยระบบหน้าจอที่ใช้งานง่าย (friendly user interface) จึง เหมาะกับพนักงาน ผู้ควบคุม หรือผู้ประกอบการทุกเพศทุกวัย ไม่จำเป็นต้องมี ความรู้ด้านไอทีก็สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ 3. ราคาถูกกว่า ด้วยระบบที่ไม่จำเป็นต้องติดตั้งกล้องเพิ่มและไม่จำเป็นต้องวาง ระบบโครงสร้างใหม่ (infrastructure) จึงมีค่าใช้จ่ายเพียงแค่ค่าลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์ต่อกล้อง (camera license) 4. น่าเชื่อถือ ด้วยโครงการมากกว่า 27,000 โครงการ ใน 40 ประเทศทั่วโลก ทำให้มั่นใจในประสิทธิภาพของโซลูชันนี้ได้อย่างเต็มที่

ผลิตภัณฑ์ Eocortex มี module ที่น่าสนใจมากมายสำหรับร้านค้าปลีกอัจฉริยะ หรือช็อปปิ้ งมอลล์ในห้างสรรพสินค้า อันประกอบด้วย 1. ระบบป้องกันบุคคลต้องสงสัยจากใบหน้า (Face recognition) เพื่อป้องกันการสูญเสีย ที่เกิดขึ้นจากการโจรกรรม โดยบุคคลผู้ต้อง สงสัยเดิม ผู้ประกอบการสามารถนำใบหน้า ของผู้ต้องสงสัยจากการโจรกรรมในร้านค้า มาบันทึกในระบบ เพื่อป้องกันการกระทำผิด ซ้ำหากผู้ต้องสงสัยย้อนกลับมาที่ร้าน 2. ระบบนับจำนวนบุคคลด้วยกล้อง (People counting camera) สามารถนับ จำนวนของลูกค้าในจุดเข้า-ออก แล้วทำ รายงานทางสถิติเพื่อวางแผนการใช้ ทรัพยากรบุคคลในแต่ละช่วงเวลาและ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการ 3. ระบบภาพแสดงความหนาแน่นของผู้ใช้ บริการ (heatmap) ระบบเก็บข้อมูลความ หนาแน่นของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ สามารถทำ รายงานกำหนดช่วงเวลาต่างๆ เพื่อนำมา วิเคราะห์พื้นที่หรือ สินค้าที่ได้รับความนิยม บริหารจัดการพื้นที่ให้เกิดความสะดวกสบาย และวางแผนการขายให้มีประสิทธิภาพ 4. ระบบนับคนในขณะเข้าคิว (People counting in queue) เป็นระบบแจ้ง เตือนเมื่อมีลูกค้ารอคิวมากกว่าที่กำหนดไว้ ใน ชุดเช็คอิน หรือจุดชำระสินค้า เพื่อแจ้งเตือน ไปยังผู้ประกอบการให้ทราบโดยทันที 5. ระบบตรวจจับความหนาแน่นของชั้น วางสินค้า (shelf fullness check) ระบบจับ ภาพชั้นวางสินค้าและ แจ้งเตือนปริมาณ ของสินค้าที่เหลืออยู่ไปยังพนักงาน ให้มา เติมสินค้าให้เต็มอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้าง โอกาสการขายสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการเสียโอกาสจากชั้นวางสินค้าที่ไม่เต็ม

Smart wearable Smart Wearable ถูกนำมาใช้ในหลายมิติของวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์การ กีฬา อุปกรณ์อัจฉริยะเหล่านี้ สามารถยกระดับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการบางประเภท ซึ่งทำให้ต้องเร่งปรับตัว รูปแบบที่หลากหลายของ Smart Wearable จะเห็นได้จากความพยายามคิดค้นรูป แบบอุปกรณ์ที่แตกต่าง นอกเหนือจาก Smart Watch/Smart band เช่น Smart footwear รองเท้าจากบริษัท Under Armour ที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหว ตั้งแต่การลงน้ำหนัก ปริมาณการเผาผลาญแคลอรี รวมถึงสามารถจัดเก็บข้อมูลได้ ในตัวเอง หรือ Smart bra จากบริษัท Microsoft ที่สามารถตรวจคลื่นหัวใจ และรับรู้ ถึงความเครียดของผู้สวมใส่ ซึ่งอุปกรณ์แต่ละชิ้นที่เกิดขึ้นจะทำหน้าที่แตกต่างกัน ออกไปขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เก็บได้จากแต่ละส่วนของร่างกาย คุณสมบัติ และความสามารถสูงขึ้น ของ Smart Wearable พบว่าอนาคต Smart Wearable จะเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีการเจาะ/ฝังเข้าไปในชั้นผิวหนัง (Non-invasive) ไม่ รบกวนการใช้ในชีวิตประจำวันของผู้สวมใส่มากเกินไป (Minimal attention) ข้อมูล ที่ได้มีการบันทึกอย่างต่อเนื่อง (Continuous data) และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ใน หลายระบบ (Interoperability) ปัจจุบันบริษัทต่างๆ พยายามมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพ ของ Smart wearable

Smart Supply Chain Supply Chain หรือในชื่อไทยคือห่วงโซ่อุปทาน คือกระบวนการที่ทำให้เกิดสินค้าใด สินค้าหนึ่งขึ้นมา หรือบริการใดบริการหนึ่งขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการ (Demand) ของเหล่าลูกค้าต่างๆ โดยกระบวนการดังกล่าวจะมีรูปแบบและการ จัดการแยกย่อยออกไป แล้วแต่ว่าเรากำลังผลิต Supply ใดขึ้นมาเพื่อตอบสนองผู้ซื้อ การจัดการ Supply Chain มี 5 ส่วนหลักๆ ซึ่งก็คือ 1.Suppliers : ผู้สนับสนุนด้านวัตถุดิบ 2.Manufacturers : ผู้ผลิต 3.Wholesalers : ผู้กระจายสินค้า 4.Retailers : ผู้ค้าปลีก 5.Customer : ผู้บริโภค

การพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Supply Chain 1.เทคโนโลยีด้านการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นรถขนส่งรูปแบบใหม่ การเข้ามาของเครื่องบิน ขนส่งสินค้า ทุกอย่างล้วนทำให้การสั่งสินค้าจากในและต่างประเทศเป็นไปได้ง่ายขึ้น หาก เราสามารถใช้งานเทคโนโลยีนี้ได้ดี เราอาจไม่จำเป็นต้องขยับออกจากบ้านเพื่อสั่งสินค้า เข้ามาขายในประเทศ หรือส่งออกไปต่างประเทศด้วยซ้ำไป อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้สินค้า บางประเภทที่เน่าเสียง่าย สามารถออกขายที่อื่นมากขึ้นในเวลาอันสั้นด้วย 2.แพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์ อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนโลกของการสื่อสารไปโดยปริยาย และได้เปลี่ยนเกี่ยวกับการค้าขายด้วย การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์ทำให้ เราต้องจัดการ Supply Chain ให้ดียิ่งขึ้น ไวยิ่งขึ้น แทนที่จะเป็นการสต๊อกของเผื่อแบบ สมัยก่อน เราจำเป็นต้องมีการจัดการเป็นเดือน ไตรมาส หรือบางทีก็วันต่อวัน เพื่อตอบ สนองความต้องการของลูกค้าให้ดีที่สุด 3.เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลสมัยใหม่ Big Data และ Cloud Storage มีบทบาทมากใน ส่วนนี้ การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการทำให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลจากที่ไหนก็ได้ ช่วยให้ เราสามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้าที่กำลังผลิต รวมถึงการจัดซื้อวัสดุที่ทำให้เราสามารถ ทำได้ รวดเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก 4.เทคโนโลยีภายในโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อัตโนมัติ Automation หรือเทคโนโลยี การจัดการและการตรวจสอบในโรงงาน ก็ล้วนแต่เพิ่มความว่องไวและประสิทธิภาพใน การจัดการ ซึ่งส่งเสริมการผลิตด้วยกันแทบทั้งสิ้น 5.เทคโนโลยีเกี่ยวกับการจัดการลูกค้ารูปแบบต่างๆ การเก็บข้อมูลของลูกค้าและนำมา ประยุกต์ใช้เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อย ทั้งการนำเสนอโปรดักต์ใหม่ๆ และการจัดแคมเปญ ต่างๆ เทคโนโลยีอย่าง CRM E-mail ไปจนถึงการเก็บข้อมูลลูกค้าแบบตรงๆ ผ่าน เว็บไซต์ ช่วยให้เราสามารถคาดเดาความต้องการ ปริมาณ รวมถึงคอมเมนต์ต่างๆ ได้ ทำให้การทำงานของเราง่ายขึ้นมาก และลงแรงน้อยลงไปเยอะ

การประยุกต์ใช้ Supply Chain ในอุตสาหกรรม 1.การจัดการจัดซื้อ จัดจ้าง และการผลิต ตรวจสอบว่าปัจจุบันมีการจัดซื้อจัดจ้าง เพียงพอหรือไม่ คุ้มค่า มาก หรือน้อยเกินไปอย่างไร ถ้าเราไม่รู้และไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ ให้ กลับไปดูว่า ‘เพราะอะไร’ เราถึงไม่มีข้อมูล ไม่มีการเก็บข้อมุลหรือเปล่า หรือขาดการ บริหารจัดการข้อมูลที่ดี หรือแค่ฝ่ายบริหารไม่ให้ได้ความสนใจด้านนี้แต่ต้น 2.ความยืดหยุ่นในองค์กร หากเกิดปัญหาขึ้นมา องค์กรของเรามีความยืดหยุ่นและ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างไร เช่น ถ้าหากลูกค้ารายหนึ่งแคนเซิล สินค้า จะมีวิธีใดบ้างที่สามารถลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด 3.การจัดการข้อมูล ข้อมูลคือพระเจ้า และยังเป็นพระเจ้าสำหรับเรื่องนี้ การจัดการ Supply Chain ในองก์กรปัจจุบันจะก้าวต่อไปไม่ได้เลยหากเราไม่ได้มีการรวมศูนย์หรือ จัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ เราจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่รองรับข้อมูลต่างๆ ที่จะช่วย ให้การตัดสินใจของทุกฝ่ายเป็นไปได้รวดเร็ว ว่องไวมากขึ้น 4.การสร้างฐานลูกค้า CRM (Custormer Relationship Management)เป็นตัวอย่างที่ ดี การจัดการลูกค้าสำหรับผู้ประกอบการแต่ละรายไม่ได้เป็นการจัดการเกี่ยวกับบุคคลที่ จะซื้อของเพียงอย่างเดียว แต่ต้องบริหารจัดการไปพร้อมๆ กับการนำเสนอสิ่งที่เรามี ยิ่งเราผสาน CRM ของตัวเองเข้ากับข้อมูลของสิ่งที่มีได้เท่าไหร่ การนำเสนอสิ่งต่างๆ ให้ ลูกค้า และการเก็บข้อมูลความชอบของลูกค้าก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น Supply Chain แท้จริงแล้วไม่ใช่วิธีการแต่เป็นองค์ความรู้ที่ฝ่ายบริหารองค์กรควรนำมาประยุกต์ ใช้เสียมากกว่า ซึ่งการใช้งาน Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพเองก็มีวิธีการที่หลากหลาย แต่ต้อง มองให้ออกว่าองค์กรของเราต้องการอะไร ลูกค้าของเราต้องการอะไร และเราจะทำอะไรที่จะ serve ลูกค้าเหล่านั้นให้ได้พอดี ไม่มีติดขัด ซึ่งอีกหนึ่งทางเลือกคือการใช้ ERP เพราะระบบ ERP สามารถช่วยคุณบริหารจัดการทรัพยากรในส่วนนี้ได้อย่างลงตัว แม้ว่าองค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ของ Supply Chain จะแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลง จากความ ยืดหยุ่นในตัวมันเอง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน Supply Chain ต่างๆ ให้เป็นอุตสาหกรรม 4.0 มากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการทุกคนจำเป็นต้องมีการศึกษาหาความรู้ใน สายงานตนเองอยู่เรื่อยๆ เพื่อที่จะให้เราก้าวทันยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป