มหาวิทยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเด็จเจา้ พระยา Bansomdejchaopraya Rajabhat Universityพชื เศรษกิจใน ประเทศไทย นางสาว วิสดุ า แกว้ เอก สาขาเทคโนโลยแี ละสอื่ สารการศึกษา
บทนำด้ ว ย ค ว ำ ม ท่ี ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย คื อ ป ร ะ เ ท ศ ท่ี มี ค ว ำ ม อุ ด ม ส ม บู ร ณ์ ใ น ด้ ำ น ข อ งทรัพยำกรธรรมชำติ เพรำะฉะน้ันส่ิงท่ีทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยสำมำรถเจริญเติบโตก้ำวไปข้ำงหน้ำได้มำจนถึงปัจจุบันนี้ก็คือ พืชต่ำง ๆ เรำจะเห็นได้ว่ำพืชของประเทศไทยนับว่ำเป็นสินค้ำส่งออกท่ีค่อนข้ำงมีชื่อเสียงในระดับโลกอย่ำงมำก หลำยๆ ชำติต่ำงให้กำรยอมรับว่ำหำกต้องกำรพืชท่ีมีคุณภำพดีต้องนึกถึงประเทศไทย ลองมำทำควำมร้จู ักกับพืชเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบนัวำ่ มีพชื นดิ ไหนกันบำ้ งขอบเขต 1. พืชเศรษฐกจิ ของประเทศไทย ข้ำว ยำงพำรำ มันสำปะหลัง อ้อย ปำลม์ น้ำมนัผลทค่ี ำดวำ่ จะไดร้ บั 1. ไดร้ บั ควำมรู้เก่ียวกบั เรอื่ งพืชเศรษกิจในประเทศไทย 2. ได้รบั ควำมร้เู กี่ยวกับสำยพันธ์ขุ องพืชแต่ละชนดิวัตถปุ ระสงค์ 1. นกั เรียนสำมำรถบอกไดว้ ำ่ พชื เศรษฐกจิ ของประเทศไทยมีอะไรบ้ำง 2. นักเรียนสำมำรถอธบิ ำยถึงสำยพนั ธ์ุของพชื แตล่ ะชนิดได้
ขำ้ ว
ขำ้ ว ประเทศไทยมีประเพณีกำรปลูกข้ำวมำช้ำนำน มีท่ีดินปลูกข้ำวมำกท่ีสุดเป็นอันดับที่ห้ำของโลกและเป็นผู้ส่งออกข้ำวอันดับหนึ่งของโลกประเทศไทยวำงแผนที่จะเพ่ิมท่ีดินเพื่อผลิตข้ำวให้ได้มำกยิ่งข้ึน โดยมีเป้ำหมำยท่ีจะเพ่ิมพื้นท่ี 500,000 เฮกตำร์ จำกพ้ืนท่ีปลูกข้ำวที่มีอยู่แล้วเดิม 9.2 ล้ำนเฮกตำร์ กระทรวงเกษตรของไทย คำดว่ำกำรผลิตข้ำวจะให้ผลผลิตรำว 30 ล้ำนตันในปี พ.ศ. 2551 ข้ำวสำยพันธุ์ที่ปลกูมำกท่ีสุดในประเทศคือ ข้ำวหอมมะลิ ซึ่งเป็นข้ำวประเภทที่มีคุณภำพสูงอย่ำงไรก็ตำม ข้ำวหอมมะลิให้ผลผลิตน้อยกว่ำข้ำวประเภทอื่นอย่ำงมำก แต่โดยปกติแล้วสำมำรถขำยได้รำคำมำกกว่ำสองเท่ำของข้ำวสำยพันธ์อุ ืน่ ในตลำดโลก
ควำมสำคญั ของขำ้ ว ข้ำวมีบทบำทสำคัญหลำยอย่ำงต่อสังคมไทยต้ังแต่เป็นอำหำรไปจนถึงงำนพ้ืนท่ีปลูกข้ำวคิดเป็นมำกกว่ำคร่ึงหน่ึงของพื้นที่เพำะปลูกทั้งประเทศและใช้แรงงำนมำกกว่ำครึ่งของแรงงำนทั้งประเทศ ข้ำวเปน็ หนึ่งในอำหำรหลกั และเปน็ แหล่งโภชนำกำรสำหรับพลเมอื งไทยส่วนใหญ่ ข้ำวยังเป็นส่วนสำคัญในกำรส่งออกของไทย อุตสำหกรรมข้ำวของไทยเผชิญกับภัยคุกคำมใหญ่ไม่ก่ีข้อ สุทัศน์ เศรษฐบุญสร้ำง ภัยคุกคำมใหญส่ ำมประกำรประกอบดว้ ย (1) กำรแขง่ ขันในตลำดระหวำ่ งประเทศทีเ่ พ่ิมมำกขึน้ (2) กำรแข่งขันกับกิจกรรมทำงเศรษฐกิจอนื่ ที่เพ่ิมมูลค่ำกำรผลิตโดยเฉพำะอยำ่ งย่ิงต้นทนุ คำ่ แรงงำน และ (3) กำรเส่อื มคุณภำพของสภำพระบบนเิ วศ เมื่อกำรผลิตข้ำวทั่วโลกแข่งขันกันมำกข้ึน จึงทำให้เป็นกำรยำกย่ิงขึ้นสำหรับประเทศไทยที่จะรักษำข้อได้เปรียบในกำรแข่งขันและขอบท่ีผู้ผลิตข้ำวไทยเคยชิน สำหรับภัยคุกคำมท่ีสอง กำรพัฒนำประเทศให้ทันสมัยนำไปสู่กำรเพิ่มควำมม่ังคั่งและตน้ ทนุ ค่ำแรงงำน ทำให้ชำวนำซ่ึงใช้แรงงำนมนุษย์รำคำถูกมีต้นทุนสูงขึ้น อย่ำงท่ีสำม ท่ีดินขนำดใหญ่ซึ่งใช้ปลูกข้ำวสำมำรถมีผลกระทบในทำงที่ไม่ดีระยะยำวต่อผลผลิตต่อพื้นท่ีได้
ประเพณี ประเพณีกำรแห่ขอฝนเป็นส่ิงปกติสำหรับชำวนำในประเทศไทยประเพณีทำนองน้ีมีจัดขึ้นในกรุงเทพมหำนครเช่นกัน (พระรำชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนำขวัญ) อีกประเพณีหน่ึงท่ีจัดข้ึนบ่อยครั้งในภำคกลำง คือ กำรแห่นำงแมว ซ่ึงชำวบำ้ นจะแบกแมวไปยังสถำนที่ต่ำงๆ และสำดน้ำใส่มัน เน่ืองจำกควำมเชื่อท่ีว่ำ แมวท่ี \"กำลังร้องไห้\" จะนำมำสผู่ ลผลิตข้ำวที่อดุ มสมบูรณ์
ยำงพำรำ
ยำงพำรำ ในอดีตยำงพำรำอำจจะยังไม่ใช่พืชเศรษฐกิจอย่ำงท่ีควรจะเป็นทว่ำในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่ำนี่คือพืชเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของประเทศไทยท่ีสร้ำงรำยได้ให้กับประเทศในช่วงระยะเวลำหลำยสิบปีทผ่ี ำ่ นมำได้อย่ำงน่ำทึ่ง ด้วยควำมท่ียำงคือสิ่งท่ีตลำดโลกต้องกรอย่ำงหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนไทยเองจึงพยำยำมท่ีจะพัฒนำกำรปลูกยำงจำกในอดีตสำมำรถปลูกได้แต่ทำงภำคใต้ ปัจจุบันสำมำรถปลูกได้ทั่วประเทศไทยจงึ ทำใหก้ ลำยเปน็ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญอย่ำงมำก
กำรปลูกยำงพำรำในประเทศไทยไม่มหี ลักฐำนบันทึกแน่นอน แต่คำดวำ่ น่ำจะเร่ิมมีกำรปลกู ในชว่ งประมำณปี พ.ศ. 2442-2444 ซึง่ พระยำรษั ฏำนุประดิษฐ์ มหิศรภกั ดี (คอซมิ บ้ี ณ ระนอง) เจ้ำเมอื งตรังในขณะน้ัน นำเมล็ดยำงพำรำมำปลกู ทอี่ ำเภอกันตัง จังหวดั ตรัง เปน็ ครัง้แรก เนอ่ื งจำกพริกไทยรำคำตกต่ำ ซ่ึงชำวบ้ำนเรยี กต้นยำงชุดแรกนวี้ ่ำ\"ต้นยำงเทศำ\"และต่อมำไดม้ ีกำรขยำยพนั ธย์ ำงมำปลกู ในบรเิ วณจังหวัดตรังและนรำธิวำส ในปี พ.ศ. 2454 ไดม้ กี ำรนำพนั ธ์ุยำงมำปลกู ในจังหวดั จันทบุรซี ง่ึ อยู่ทำงภำคตะวนั ออกของประเทศไทย โดยหลวงรำชไมตรี (ปูม ปุณศรี) เป็นผ้นู ำพันธุ์ยำงมำปลกู และนบั จำกนั้นเปน็ ตน้ มำไดม้ กี ำรขยำยพันธป์ุ ลกู ยำงพำรำใน 14 จงั หวัดภำคใต้ และ 3 จังหวัดภำคตะวันออก นอกจำกน้ียงั มีกำรขยำยพันธุ์ยำงมำปลูกในภำคกลำงภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภำคเหนือ โรคและแมลงศตั รูยำงพำรำ 1. โรคใบร่วงและฝักเนำ่ : โรคเกดิ จำกเชือ้ รำ โดยมอี ำกำรใบยำง ร่วงในขณะทใ่ี บยังสด 2. โรครำแป้ง : โรคเกิดจำกเชื้อรำ โดยมีอำกำรปลำยใบออ่ นบิดงอ เปลย่ี นเป็นสดี ำและร่วง ใบแก่มปี ุยสีขำวเทำใตใ้ บ เปน็ แผลสี เหลืองกอ่ นทจ่ี ะเปน็ เปน็ ร
มนั สำปะหลงั
มันสำปะหลัง มนั สำปะหลังได้รับกำรขนำนนำมวำ่ เป็น \"พืชมหัศจรรย\"์ เพรำะนำไปใช้ประโยชนใ์ นหลำยอุตสำหกรรมและสำมำรถสรำ้ งรำยได้จำกผลิตภณั ฑ์ที่หลำกหลำยโดยแบง่ ออกเปน็ แปง้ มนั ซงึ่ ใช้ในอุตสำหกรรมอำหำรและดำ้ นอ่ืน ๆ เช่น เสอื้ ผำ้ กระดำษ อำหำรและเครอ่ื งดื่ม ไมอ้ ัดผงชูรส สำรควำมหวำน กำว กรดมะนำว และยำรักษำโรค สว่ นผลติ ภัณฑท์ ่ีเปน็ มันเส้นและอดั เม็ดนนั้ ใช้ในได้ 3 อย่ำง คือ อุตสำหกรรมอำหำรสตั ว์ แอลกอฮอล์ และพลงั งำนทำงเลือก คือ เอทำนอล
สำหรบั ไทยแล้วมันสำปะหลงั มีควำมสำคญั ทำงเศรษฐกิจอยำ่ งมำก เพรำะสำมำรถสร้ำงรำยไดใ้ ห้กบั ประเทศปีละ 7.5 หมื่นล้ำนบำท (ปี2557) ซงึ่ มีมูลค่ำกำรสง่ ออกเพม่ิ ขึ้นทุกปี มีครวั เรอื นท่ีปลูก 5 แสนครัวเรอื น จำกจำนวนครวั เรอื นเกษตรทั้งหมด 5.7 ลำ้ นครวั เรือน ในจำนวนมูลค่ำกำรสง่ ออกมนั สำปะหลงั ทง้ั หมดน้นั เปน็ กำรสง่ ออกมนั เส้นและมันอัดเม็ด มูลคำ่ 48,864 ล้ำนบำท อีก 2 หม่ืนกวำ่ ล้ำนบำท เปน็กำรส่งออกแปง้ มัน ในจำนวนของมันเสน้ และอดั เมด็ น้ันเป็นกำรสง่ ออกมันเส้นเกือบ 100% โดยประเทศท่มี ีกำรซื้อมันเส้นจำกไทยมำกที่สุดคือจีน คดิ เปน็ 99% ส่วนแปง้ มันกย็ งั เป็นจีนท่มี กี ำรนำเขำ้ จำกไทยคดิ เปน็50% ท่เี หลอื เป็นกำรนำเขำ้ จำกไต้หวัน ญปี่ ุ่น และอินโดนีเซีย กำรนำเข้ำมนั เส้นของจีนน้ันเพื่อนำไปใชท้ ำเอทำนอล สดั ส่วนกำรทำเอทำนอลของจีน คือ 73% มำจำกขำ้ วโพด สว่ นมันสำปะหลังทำเอทำนอล 24%
ในอนำคตคิดวำ่ มนั สำปะหลงั เปน็ พืชท่มี ีอนำคตมำก เพรำะหนึ่งเป็นสนิ ค้ำทีป่ ้อนให้กับอุตสำหกรรมทั้งอำหำรและอุตสำหกรรมอนื่ ๆ และพลงั งำนทำงเลือกหนึง่ ในปัจจยั หลกั ทท่ี ำใหม้ นั สำปะหลงั มคี วำมสำคญัมำก เนื่องจำกจำนวนประชำกรทีเ่ พ่ิมข้ึน เม่อื ประชำกรเพม่ิ ข้นึ ทำให้ควำมตอ้ งกำรอำหำรประเภทตำ่ ง ๆ ที่ตอ้ งใชจ้ ำกผลิตภัณฑ์มนัสำปะหลงั ในขณะที่ปริมำณนำ้ มันดิบของโลกจะคอ่ ย ๆ หมดไปตำมระยะเวลำ พชื พลงั งำนทำงเลอื กอยำ่ งมันสำปะหลังจงึ เป็นพชื ทม่ี ีอนำคตเพือ่ นำมำทดแทนพลังงำนจำกนำ้ มันดิบ ไทยควรถือโอกำสนปี้ ระกำศวำ่เรำคือ \"ศูนย์กลำงเอทำนอลของอำเซยี น\" ในขณะทมี่ ำเลเซยี กบัอินโดนีเซียจะเป็นศูนยก์ ลำงของไบโอดีเซล อำเซียนก็จะเปน็ ศูนย์กลำงพลงั งำนทำงเลอื ก
ออ้ ย
ออ้ ย พืชเศรษฐกิจท่ีสำคัญ ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสำหกรรมกำรผลิตน้ำตำลและพลังงำนทดแทน ปัจจุบันประเทศไทยมีพ้ืนที่ปลูกอ้อยประมำณ 9 ลำ้ นไร่ ให้ผลผลิตออ้ ยรวมกวำ่ 100 ล้ำนตัน ค่ำเฉลี่ยของผลผลิตอ้อยประมำณ 11 ตันต่อไร่ แต่ละปีให้มูลค่ำทำงเศรษฐกิจของอุตสำหกรรมทง้ั ระบบ ไม่น้อยกว่ำ 7 หมื่นล้ำนบำท
กำรปรับปรุงพันธ์ุอ้อยที่ให้ผลผลิตอ้อยและควำมหวำนสูง จึงเป็นหนทำงหน่ึงท่ีช่วยลดต้นทุนกำรผลิตของชำวไร่อ้อยสนับสนุนอุตสำหกรรมอ้อยและน้ำตำลทรำยในประเทศให้แข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกรำยใหญ่ของโลกได้ โดยพันธ์ุอ้อยท่ีดีต้องให้ผลผลิตสูงและควำมหวำนสูง ต้ำนทำนต่อโรคและแมลง มีลักษณะทำงกำรเกษตรท่ีดี เช่น ไว้ตอได้หลำยครั้ง ทนทำนต่อกำรหักล้ม เป็นต้นและปรับตัวได้ดีในแหล่งปลูกอ้อยที่สำคัญในแต่ละภูมิภำค เพ่ือให้มีอ้อยพันธ์ุดสี ่งเสรมิ ชำวไรอ่ อ้ ยอยำ่ งต่อเนอ่ื ง
พันธุอ์ อ้ ย ปัจจุบันมีพันธุ์อ้อยมำกกว่ำ 200 สำยพันธ์ุ แต่ท่ีนิยมปลูกันประมำณ 30 สำยพันธ์ุ โดยมี 2 ลักษณะใหญ่ๆ ได้แก่ อ้อยเคี้ยว และอ้อยทำนำ้ ตำล ออ้ ยเค้ียว คือ มีเปลือกน่ิม ชำนน่ิม มีควำมหวำนปำนกลำงถึงค่อข้ำงสูง ใช้บริโภคสด ที่นิยมปลูกคือ พันธ์ุออ้ ยสิงคโปร์ หรืออ้อยสำลี มีชำนิ่มมำก ลำต้นสีเหลืองอมเขียว เมื่อหีบแล้วได้น้ำอ้อยสีสวยน่ำรบั ประทำน อ้อยทำน้ำตำล เป็นพันธุ์อ้อยลูกผสม ท่ีทำนกรมวิชำกำรเกษตรแนะนำได้แก่ พันธุ์อู่ทอง 1,2,3,4,5 และ 6 พันธุ์ขอนแก่น พันธ์ุชัยนำทและพันธ์ุมุกดำหำร ปจั จุบันนิยมใช้พันธุ์ K84-200 ในพ้ืนที่ภำคเหนือและภำคกลำง พันธุ์ฟีล 6607 ในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ และพันธ์ุอู่ทอง 1 ในภำคตะวันออก
ปำลม์ นำ้ มนั
ปำลม์ นำ้ มัน ปำล์มน้ำมันเป็นพืชท่ีมีศักยภำพในกำรผลิตน้ำมันต่อหน่วยพื้นที่สูงสุดเมือเทียบกับพืชน้ำมันอ่ืนๆ ในกำรผลิตปำล์มน้ำมัน ซ่ึงเป็นพืชยืนต้นมีควำมทนทำนต่อผลกระทบจำกภัยธรรมชำติมำกกว่ำพืชอำยุสั้นต่ำงๆ มกี ำรลงทนุ คร้ังเดยี วก็สำมำรถเก็บเกยี วผลผลติ ได้ มำกกว่ำ 25ปี ประเทศไทยอยู่ในสภำพภูมิอำกำศท่ีสำมำรถปลูกปำล์มได้ดี และมีโอกำสขยำยพ้ืนท่ีปลูกได้ โดยเฉพำะอย่ำงย่ิง ในพ้ืนท่ีไม่ได้ใช้ประโยชน์พ้ืนที่นำร้ำง พ้ืนท่ีรกร้ำงว่ำงเปล่ำ เมือปลูกเป็นระยะเวลำนำน จะทำให้ระบบนิเวศน์อขี น้ึ เปน็ ลำดบั และเป็นพืชทีป่ ลอดภัยต่อผู้บรโิ ภค เนอื่ งจำกไม่มีกำรตัดต่อพันธุกรรม และน้ำปำล์มสำมำรถใช้ทำไบโอดีเซลทดแทนพลงั งำนเชือ้ เพลงิ ได้
ประวัติปำลม์ นำ้ มัน ปำล์มน้ำมันเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกำ เป็นพืชใบเลี้ยงเดีย่ ว ยืนต้น อำยยุ ืนยำวกว่ำ 100 ปี แต่ทป่ี ลกู เปน็ กำรค้ำอำยปุ ระมำณ25-30 ปี ก็จะถูกโค่นท้ิง เนื่องจำกให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่ำ พระยำประดิพัทธ์ภบู ำล ไดน้ ำปำลม์ นำ้ มนั เข้ำมำปลูกในประเทศไทยเปน็ ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2472 โดยปลูกเป็นไม้ประดับที่สถำนีทดลองยำงคอหงส์จังหวัดสงขลำ และสถำนีกสิกรรมพลิ้ว จังหวัดจันทบุรี แต่เร่ิมมีกำรส่งเสรมิ ให้ปลกู ในพ้นื ทจ่ี รงิ ๆ ในปี พ.ศ. 2511 ทนี่ ิคมสร้ำงตนเองพัฒนำภำคใต้จังหวัดสตูล พ้ืนที่ประมำณ 20,000 ไร่ จำกน้ัน มีกำรขยำยพ้ืนท่ีปลูกปำล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยมมีพ้ืนท่ีปลูกปำล์มน้ำมันท้ังสิ้น 2.74ล้ำนไร่ ผลผลิตปำล์มสดทั้งทะลำย 5.03 ลำ้ นต้น
พันธุ์ พันธุ์ที่แนะนำให้ปลูกเป็นกำรค้ำในปัจจุบัน คือ พันธ์ุเทเนอร่ำ(Tenera) เป็นพันธุ์ผสมระหว่ำงพันธ์ุดูร่ำกับพันธุ์พิสิเฟอร่ำ ใช้พันธ์ุดูรำ่ เปน็ พันธ์แุ ม่ และพันธุพ์ ิสเิ ฟอร่ำเป็นพันธุพ์ อ่ พนั ธเุ์ ทเนอรำ่ มีกะลำบำง(0.5-4 มิลลิเมตร) และมีน้ำมันต่อน้ำหนักทะลำยประมำณร้อยละ 22-25 มีทะลำยดกกว่ำพันธ์ุดูร่ำ เนื่องจำกพันธุ์เทเนอร่ำมีคุณสมบัติดี คือมะกะลำบำง ได้น้ำมันจำกส่วนเปลือกนอกมำกกว่ำพันธุ์ดูร่ำประมำณร้อยละ 25 จึงมักนยิ มปลกู เป็นกำรคำ้ ลักษณะผลดิบสดี ำเมื่อสุกเปลือกนอกสสี ้มแดง กะลำบำงใหน้ ำ้ มันสูง ปำล์มน้ำมันพันธุ์ดี จะให้ผลผลิตสูง มีคุณภำพดี ให้ผลผลิตสมำ่ เสมอตลอดปี ขำยไดร้ ำคำดี เปน็ ทต่ี ้องกำรของโรงำน พันธุ์ปำล์มน้ำมันคุณภำพต่ำ (พันธุ์ไม่ดี) เมล็ดพันธ์ุหรือต้นกล้ำปำล์มน้ำมันคุณภำพต่ำได้จำกกำรผสมระหว่ำงพ่อและแม่พันธ์ุท่ีไม่ได้ผ่ำนกระบวนกำรคัดเลือกสำยพันธ์ุ หรือได้จำกกำรผสมพันธ์ุแบบไม่มีกำรควบคุมกำรผสมพันธ์ุ เช่น ตน้ กล้ำท่ีงอกบริเวณใต้โคนต้น
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: