มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา Bansomdejchaopraya Rajabhat Universityคอมพิวเตอร์ นายวัชรพงศ์ การสมบัติ สาขาเทคโนโลยีและส่ือสารการศึกษา
คำนำ รำยงำนฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชำ เทคโนโลยีเพ่ือกำรพัฒนำท่ีย่ังยืน รหัสวิชำ 9132203 กำรค้นคว้ำและเขียนรำยงำนโดยมรจุดประสงค์เพ่ือให้ทรำบถึงควำมสำคัญของเทคโนโลยีและควำมสำคัญของกฎหมำย และทรำบถึงช่องทำงในกำรค้นหำ หรือช่องทำงในกำรรับขอ้ มูลเก่ียวกับกฎหมำย กำรจัดทำรำยงำนไดท้ ำกำรคน้ ควำ้ สืบหำข้อมูลจำกจำกเวบ็ ไซต์ และบทควำมตำ่ งๆ คณะผจู้ ัดทำหวังวำ่ รำยงำนฉบบั นจี้ ะเปน็ ประโยชนแ์ กผ่ ทู้ ส่ี นใจบำ้ งตำมสมควร นำยวชั รพงศ์ กำรสมบตั ิ 14 พฤศจิกำยน 2561
บทนำแนวคิด ที่มำ และควำมสำคัญ ปัจจุบนั เทคโนโลยีสำรสนเทศและอนิ เทอร์เน็ตได้เข้ำมำมบี ทบำทต่อกำรดำเนินชีวิตของเรำมำกขึ้น ซ่ึงเรำอำจไม่รู้ตัวว่ำอินเทอร์เน็ตกลำยเป็นปัจจัยท่ีสำคัญต่อกำรดำเนินชีวิตในยุคข้อมูล ข่ำวสำรน้ันมีควำมสำคัญ คนหันมำบริโภคข่ำวสำรกันมำกขึ้น นอกจำกเทคโนโลยีอนิ เทอร์เน็ตทเี่ ปรียบเหมือนถนนสำหรับกำรเข้ำไปถงึ ข้อมลู ทีต่ ้องกำร เรำยงั ต้องกำรเครอื่ งมือท่ีจะสำมำรถสร้ำงเน้ือหำและข้อมูลต่ำง ๆ ไว้รองรับกำรเข้ำถึง นั่นก็คือเทคโนโลยีท่ีอยู่ในโทรศัพท์มือถือ (แอพพลิเคช่ัน) ซ่ึงจะเป็นตัวกลำงคอยให้ข้อมูลข่ำวสำรต่ำง ๆ แก่ผู้ใช้ ซ่ึงเทคโนโลยอี ินเทอร์เนต็ และเทคโนโลยแี อพพลเิ คชน่ั ในมอื ถือได้ถูกเปลี่ยนแปลงจำกเดิมไปมำก จุดกำเนิดของคอมพิวเตอร์ ควำมนิยมของ Social Media มีกำรเจริญเติมโตอย่ำงไม่หยุดย้ังและมีแนวโน้มของผู้ใช้บริกำรทั่วโลก เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีกำรพัฒนำจำกอดีตจนถึงปัจจุบนั และยงั คงพัฒนำต่อไปไมส่ ้ินสุด วัตถุประสงค์ 1. เพอ่ื ให้ทรำบถงึ เทคโนโลยีทำงกำรศึกษำเก่ียวกับสำขำนิติศำสตร์ 2. เพ่อื ควำมสะดวกรวดเร็วในกำรศกึ ษำหำควำมรู้ 3. เพอื่ เปน็ กำรพัฒนำกำรศกึ ษำทำงด้ำนกฎหมำยดว้ ยส่ืออเิ ล็กทรอนิกส์ ขอบเขตของรำยงำน 1. ควำมเปน็ มำของเทคโนโลยี 1.1 ควำมเปน็ มำของคอมพวิ เตอร์ 1.2 ควำมเป็นมำของอินเทอรเ์ น็ต 1.3 ควำมเป็นมำของโทรศัพท์ 2. ควำมเปน็ มำของกฎหมำย 3. เทคโนโลยีทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับกฎหมำย ผลที่คำดว่ำจะได้รับ 1. ไดร้ ับควำมรู้เก่ียวกบั ควำมเป็นมำของเทคโนโลยี 2. ได้รบั ควำมร้เู ก่ยี วกบั ควำมเป็นมำของกฎหมำย 3. ได้ทรำบชอ่ งทำงในกำรรับรู้ขอ้ มูลเกย่ี วกบั กฎหมำย
ความเป็นมาของ เทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ คอื เครื่องคานวณอิเล็กทรอนิกสท์ ่มี กี ารทางานแบบอตั โนมัติทาหนา้ ทเ่ี หมอื นสมองกล สามารถแก้ปญั หาต่างๆ ท้งั ทีง่ ่ายและซับซอ้ นตามคาส่งัของโปรแกรม มาจากภาษาละตินว่า Computare ซง่ึ หมายถงี การนบั หรือการคานวณ ในระยะ... 5,000 ปีทีผ่ ่านมา มนษุ ย์เริม่ รจู้ กั การใชน้ ้วิ มอื และนิ้วเท้าของตนเพื่อชว่ ยในการคานวณ และพฒั นา มาใชอ้ ปุ กรณอ์ นื่ ๆ เช่น ลกู หนิ ใชเ้ ชอื กรอ้ ยลูกหินคลา้ ยลกู คดิ ตอ่ มาประมาณ 2,600 ปกี ่อนครสิ ตกาล ชาวจนี ได้ประดษิ ฐ์เครื่องมอื เพ่อื ใชใ้ นการ คานวณ ขน้ึ มาชนดิ หน่งึ เรยี กวา่ ลูกคดิ ซงึ่ ถอื ไดว้ า่ เปน็อปุ กรณใ์ ชช้ ว่ ยการคานวณที่เกา่ แกท่ ส่ี ุดในโลกและคงยังใชง้ านมาจนถึง ปจั จุบนัลกู คิดของชาวจนี ประกอบดว้ ยลกู ปดั ร้อยอยใู่ นราวเปน็ แถวตามแนวตง้ั โดยแตล่ ะแถวแบง่ เป็นคร่ึงบนและล่าง ครงึ่ บนมีลกู ปดั 2 ลูก ครง่ึ ล่างมีลกู ปดั 5 ลูก แตล่ ะแถวแทนหลกั ของตัวเลขพ.ศ. 2158 โดยมนี ักคณติ ศาสตร์ชื่อดงั มากมายหลายคน ได้ทาการคดิ คน้ เครอื่ งมอื ต่างๆ ในการใช้คดิ คานวณ เพ่ือให้สะดวกรวดเรว็ ขนึ้ และในทส่ี ดุ
มีนักคณิตศาสตร์เชื้อสายฮังกาเรียนช่ือ Dr.John Von Neumann ได้พบวธิ กี ารเก็บโปรแกรมไว้ ในหนว่ ยความจาของเครอ่ื งเช่นเดยี วกบั การเกบ็ ขอ้ มลู และตอ่วงจรไฟฟ้า สาหรับการคานวณ และการปฏิบัติการพ้ืนฐาน ไว้ให้เรียบร้อยภายในเคร่ือง แล้วเรียกวงจรเหล่านี้ด้วยรหัสตัวเลขท่ีกาหนดไว้ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาข้ึนตามแนวความคิดน้ีได้แก่ EDVAC (Electronic Discrete VariableAutomatic Computer)ซึ่งสรา้ งเสรจ็ ใน พ.ศ. 2492แ ล ะ น า ม า ใ ช้ ง า น จ ริ ง ใ น ปีพ.ศ. 2494 ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรมไว้ใน เครื่องได้ และในเวลาใ ก ล้ เ คี ย ง กั น ท่ีมหาวิทยาลัยเคมบริดส์ ประเทศอังกฤษ ได้มีการสร้างคอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้ายกั บ เ ค รื่ อ ง EDVAC แ ล ะ ใ ห้ ชื่ อ ว่ า EDSAC (Electronic Delay StorageAutomatic Calculator)ในปี พ.ศ. 2497 Mauchly และ Eckert ได้ร่วมกนั สรา้ งคอมพิวเตอรข์ นึ้ มาใหม่ ชื่อ ยูนแิ วก (UNIVAC) ย่อมาจาก Universal AutomaticComputer ซึ่งนับว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในท้องตลาด สามารถใช้เทปแมเ่ หลก็ สื่อเก็บข้อมลู ได้ สาหรับในปัจจุบันนจ้ี ะเห็นไดว้ า่ คอมพวิ เตอร์ได้รับความสนใจในการทางานคอ่ นข้างมาก จงึ ทาใหม้ ผี ู้คิดพัฒนาใหค้ อมพิวเตอรม์ ขี นาดเลก็ ลงมาจากเดิม อกี ทั้งยังเพ่ิมความเร็วในการทางานให้สามารถทางานได้รวดเร็วขึ้น มีข้อบกพร่องในการทางานนอ้ ย และทีส่ าคญั คือราคาตอ้ งถกู ดว้ ย ประเภทของ...คอมพิวเตอร์ถ้าจาแนกตามลักษณะ วิธีการทางานภายในเคร่ืองคอมพิวเตอร์แบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ คือ แอนะล็อกคอมพิวเตอร์(Analog Computer) และดิจิทัลคอมพวิ เตอร์ (Digital Computer)
Analog Computer (แอนะล็อกคอมพิวเตอร์) แอนะล็อกคอมพิวเตอรเ์ ป็นเครอื่ งคานวณอเิ ล็กทรอนกิ สท์ ไี่ ม่ได้ใชค้ ่าตวั เลขเปน็ หลกั ของการคานวณ ไม้บรรทดั คานวณถอื เปน็ ตวั อยา่ งหนง่ึ ของแอนะลอ็ กคอมพวิ เตอร์ โดยใช้ไมบ้ รรทดั ทม่ี ขี ดี แสดงตาแหน่งของตัวเลขการคานวณจะใช้ไม้บรรทดั หลายอนั มาประกอบเพอ่ื หาผลลัพธ์ เช่น การคณู ซงึ่ จะเป็นการเลอื่ นไม้บรรทดั หนง่ึ ใหไ้ ปตรงตามขดี ตัวเลขทเี่ ปน็ ตวั ตงั้ และ ตัวคณู ในไมบ้ รรทัดหนึ่ง แลว้ ไปอ่านผลคูณทข่ี ีดตัวเลขซึ่งอย่บู นอกี ไมบ้ รรทดั หนงึ่ แอนะลอ็ กคอมพวิ เตอร์แบบอิเลก็ ทรอนกิ ส์จะใช้หลักการทานองเดียวกนั โดยใช้แรงดนั ไฟฟา้ แทนขดี ตวั เลขตามแนวยาวของไมบ้ รรทดั แอนะลอ็ ก...คอมพิวเตอรจ์ ะมีลกั ษณะเป็นวงจรอเิ ลก็ ทรอนิกสท์ แ่ี ยกสว่ นทาหนา้ ที่ เป็นตัวกระทาและเป็นฟงั กช์ นั ทางคณติ ศาสตร์ จึงเหมาะสาหรับงานคานวณทางวทิ ยาศาสตร์ และวศิ วกรรมทอี่ ยูใ่ นรปู ของสมการทางคณิตศาสตร์ เชน่ การจาลองการบิน การศึกษาการสัน่ สะเทอื นของตกึ เนอื่ งจากแผน่ ดนิ ไหว เปน็ ต้น ใน ปัจจบุ ัน...ไม่คอ่ ยพบเหน็ แอนะลอ็ กคอมพวิ เตอร์ เพราะผลการคานวณมีความละเอียดนอ้ ย ทาใหม้ ขี ดี จากดั ใช้ไดก้ บั งานเฉพาะบางอย่างเทา่ นนั้ ปจั จบุ นั ไม่คอ่ ยพบเหน็ แอนะลอ็ กคอมพวิ เตอรเ์ ทา่ ไรนัก เพราะผลการคานวณมคี วามละเอียดนอ้ ย ทาใหม้ ขี ดี จากดั ใช้ไดเ้ ฉพาะงานบางอยา่ งเท่านนั้
Digital Computer (ดิจิทัลคอมพิวเตอร์) ดิจิทัลคอมพิวเตอรเ์ ป็นเครอื่ งคานวณอิเลก็ ทรอนกิ ส์ทีใ่ ชง้ านเกย่ี วกบั ตัวเลขคา่ ตัวเลขของการคานวณในดิจิทัลคอมพวิ เตอร์จะแสดงเปน็ หลกั แต่จะเป็นระบบเลขฐานสองทมี่ สี ญั ลักษณต์ ัวเลขเพยี งสองตัว คือ 0 และ 1 เทา่ นั้น โดยสญั ลกั ษณ์ทง้ั สองตวั น้ี จะแทนลกั ษณะการทางานภายในซง่ึ เปน็ สัญญาณไฟฟ้าที่ต่างกนั การคานวณภายในดจิ ิทัลคอมพวิ เตอร์จะเปน็ การประมวลผลดว้ ยระบบเลขฐานสองทั้งหมด เคร่ืองดิจิทลั คอมพวิ เตอรห์ รอื นยิ มเรยี กสน้ั ๆ ว่า คอมพิวเตอร์ กาลังไดร้ บัความนยิ มกนั มากในขณะนี้ และพบเหน็ อยทู่ ่ัวไปในปจั จบุ ัน
วิวัฒนาการของ คอมพิวเตอร์
วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ จุดเริ่มต้นในการคิดค้นเคร่ืองคอมพิวเตอร์นั้นเกิดจากความต้องการในการนบั และคดิ คานวณของมนุษยโ์ ดยในยุคแรกคอื ชว่ งคริสต์ศักราช 1200 การคิดคานวณยังไม่ซับซ้อน ในประเทศจีนมีการใช้อุปกรณ์ช่วยในการนับท่ีเรียกว่าลูกคิด(abacus) ต่อมาเม่ือมนุษย์ต้องการการคิดคานวณที่ซับซ้อน และต้องอาศัยเครือ่ งมอื ช่วยงานที่มีความสมารถหลากหลาย จงึ ได้มีการพัฒนาเคร่ืองชว่ ยคานวณท่ซี บั ซ้อนแลว้ ก้าวหนา้ ข้นึ ตามลาดบั จนกระท่งั ในยุคปัจจบุ นั เรามีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการคานวณ งานและประยุกต์ใช้งานได้หลายประเภท เช่น การสื่อสาร การประมวลผลข้อมูลหรือแม้แต่ให้ความบันเทิง นอกจากนั้นรูปลักษณ์ของคอมพวิ เตอรย์ งั พฒั นาจนมขี นาดเลก็ ง่ายตอ่ การพกพา การพัฒนา...เครื่องคานวณเป็นไปอย่างตอ่ เนอื่ งและนา่ สนใจ เราสามารถแบ่งลักษณะของเครื่องคานวณท่ีสร้างสร้างขึ้นได้เป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกท่ีเคร่ืองคานวณมีการทางานเป็นกลไกแบบเครื่องจักรกลและค่อยๆ พัฒนาถึงปัจจุบันคือชว่ งทีเ่ คร่ืองคานวณหรือเคร่ืองคอมพวิ เตอร์มีการทางาน โดยใชไ้ ฟฟา้ ทัง้ หมด ในชว่ งแรก...ทม่ี กี ารพฒั นาเคร่ืองคานวณทที่ างานแบบเคร่อื งจักรกล เคร่ืองคานวณที่มีช่ือเสียงใช้คานวณการบวกลบเลขที่แท้จริง ชื่อว่า เครื่องคานวณปาสคาล (Pascal calculator) ทีประดิษฐ์ขึ้นโดยนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อเบลส ปาสคาล (Blaise Pascal) และต่อมานักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันช่ือ กอดฟริด ฟอน ไลบ์นิช ( Gottfried Von Leibnitz) ได้ประดิษฐ์เครื่องคานวณที่มีความสามารถในการคูณ หาร และหารากท่ีสองได้ ชื่อว่าเครื่องคานวณสเต็ปเรคคอนเนอร์ (Stepped Reckconer)
เมื่อความร.ู้ ..ดา้ นคณิตศาสตร์พัฒนาต่อไป นักคณิตศาสตร์ต้องการเครื่องมอืที่มีความสามารถมากขึ้นเพื่อช่วยในการคานวณ ในปี พ.ศ. 2343 นักคณิตศาสตร์ชาวองั กฤษช่ือวา่ ชารล์ ส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ซึง่ ไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เปน็บิดาแห่งคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาเคร่ืองคานวณท่ี เรียกว่าดิฟเฟอร์เรนซ์เอนจิน(difference engine) ท่ีสามารถคานวณตัวเลขของตารางคณิตศาสตร์ เช่นตรีโกณมิติและลอการิทึมได้และต่อมาได้พัฒนาเป็นเคร่ืองคาน วณท่ีมีหลักการทางานใกล้เคียงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน โดยนาบัตรเจาะรูเข้ามาช่วยในการทางาน ตั้งแตค่ วบคมุ กระบวนการทางาน จนกระท่งั ...ใชเ้ ปน็ หนว่ ยความจา และมวี งลอ้ หมนุ เรียกวา่ มิล (mill) เป็นหนว่ ยคานวณเพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลลัพธ์ เคร่อื งคานวณแบบน้ถี ือไดว้ า่ เปน็ เคร่ืองคอมพวิ เตอร์เครอ่ื งแรกของโลกและมี ชอ่ื ว่าแอนาไลติคอลเอนจนิ (analytical engine) จากนน้ัมา การพัฒนาเครอื่ งคานวณยงั คงมีต่อมาเรื่อยๆ จนมกี ารพฒั นาเครอ่ื งคอมพวิ เตอรท์ ี่ใช้ไฟฟา้ ในการทางาน โดยเรมิ่ ตน้ ใชห้ ลอดสญู ญากาศเป็นองค์ประกอบของวงจรไฟฟา้ และจุดน้เี องนับเป็นจดุ เรมิ่ ตน้ ในการนบั แบง่ ยคุ ของคอมพวิ เตอร์ เปน็ คอมพวิ เตอร์สมัยใหมท่ เ่ี ป็นวงจรอิเลก็ ทรอนกิ ส์ล้วนๆ
ยุคของคอมพิวเตอร์
1.ยุคหลอดสุญญากาศ
1.ยุคหลอดสุญญากาศ ยุคนี้อยู่ระหว่าง พ.ศ.2488 – 2501 เคร่ืองคอมพิวเตอร์ยุคน้ีใช้ หลอดสุญญากาศ (vacuum tube) ซึ่งเป็นอุปกรณ์เล็กทรอนิกส์ขนาดเท่าหลอดไฟฟ้าตามบ้านเป็นองค์ประกอบหลัก ของวงจรไฟฟ้า และใช้บัตรเจาะรูในการเก็บข้อมูลและคาสั่งท่ีให้คอมพิวเตอร์ทางาน และใช้ดรัมแม่เหล็ก ( magnetic drum) เป็นหน่วยความจาหลัก ดรัมแม่เหล็กทาด้วย วงแหวนแม่เหล็กขนาดเล็ก ๆ เท่าหัวเข็มหมุดจานวนมากมาย วงแหวนเหล่าน้ีถูกร้อยด้วยเส้นลวดเล็ก ๆ เหมือนการร้อยลูกปัด หรือ หน้าต่างมุ้งลวดท่ีมีวงแหวนคล้องอยู่ที่จุดตัดของเส้นลวดห น่ ว ย ค ว า ม จ า ห ลั ก น้ี จ ะ เ ก็ บ ข้ อ มู ลเฉพาะใ นขณะท่ีมีการประมวลผลเทา่ นน้ั คอมพิวเตอร์ในยุคนมี้ ีความเรว็ใ นการทาง านอยู่ใ นห น่วยห นึ่ง ใ นพันวินาที (millisecond) ในระยะแรก...จุดประสงค์ของการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้เพ่ือช่วยในงานวิจัยด้าน วิทยาศาสตร์ และเครื่องอมพิวเตอร์ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกมีชื่อว่า อินิแอค ( Electronic Number Integrator and Calculator : ENIAC)ได้รับการพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2486 เป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วยหลอดสุญญากาศประมาณ 18,000 หลอดท า ใ ห้ มี ข น า ด ใ ห ญ่ แ ล ะ น้ า ห นั ก ม า กต่อมาในปี 18,000 หลอด ทาให้มีขนาดใหญ่และน้าหนักมาก ต่อมาในปี2491 ได้มีการพัฒนาเคร่ืองอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถใช้งานทางธุรกิจ ช่ือว่า ยูนิแวค (UniversalAutomatic Company : UNIVAC)ท้ังนี้เพื่อใช้ช่วยในการสารวจสามะโนประชากร
2. ยุคทรานซิสเตอร์
2. ยุคทรานซิสเตอร์ ยุคน้ีอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2502 - 2506 เคร่ืองคอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ทรานซิสเตอร์ (transistor) เป็นองค์ประกอบหลักของวงจรไฟฟ้าแทนหลอดสุญญากาศ โดยผู้ที่คิดค้นทรานซิสเตอร์คือนักวิทยาศาสตร์สามคนของห้องปฏิบัติการเบลล์ (Bell Laboratories) แห่งสหรัฐอเมริกา ได้แก่ บาร์ดีน(J.Bardeen) แบรทเทน (H.W.Brattain) และชอคเลย์ (W.Shockley) การใช้ทรานซสิ เตอรใ์ นการผลิต คอมพิวเตอร์แทนหลอดสูญญกาศทาให้ตวั คอมพวิ เตอรม์ ีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก โดยทรานซิสเตอร์ที่พัฒนาข้ึนเป็นครั้งแรกมีขนาด 1 ใน100 ของหลอดสูญญากาศเท่าน้ัน นอกจากขนาดเล็กแล้วยังมีคุณสมบัติที่ดีอีกหลายประการคือ ไม่เปลืองกระแสไฟฟ้า ไม่ต้องใช้เวลาอุ่นเคร่ืองเม่ือแรกเปิดเครือ่ งทาให้เคร่อื งคอมพิวเตอรม์ ีประสิทธภิ าพและความเร็วเพ่ิมขน้ึ จนกระทงั่ สามารถบวกจานวน 2 จานวนได้ในเวลาประมาณหน่ึงในล้านวินาที ( microsecond) โดยที่ทรานซิสเตอร์เป็นปัจจยั ในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ท่ี สาคัญย่ิง จึงทาให้นักวิทยาศาสตรท์ ั้งสามคนไดร้ ับรางวลั โนเบล
3. ยุควงจรรวม
3. ยุควงจรรวม ยุคน้ีอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2507 – 2512 เป็นยุคท่ีมีการพัฒนาวงจรไอซี(Integrated Circuit : IC) ซึ่งเป็นการบรรจุวงจรอิเล็กทรอนิกส์จานวนมากลงบนแผ่นซิลิคอนเล็ก ๆ เช่น แผ่นซิลิคอนขนาดเล็กกว่า 1/8 ตารางนิ้ว สามารถบรรจุชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้หลายร้อยวงจร ไอซีจึงเข้ามาทา หน้าที่แทนทรานซิสเตอร์เนือ่ งจากมคี ณุ สมบตั เิ ด่น 4 ประการคอื 3.1 มีความเชื่อถือได้ หมายความ ว่า ไม่ว่าจะใช้งานกี่ครั้งก่ีหน ก็จะได้ผล ออกมาเหมือนเดิม คอมพิวเตอร์ท่ีใช้หลอด สูญญากาศจะเกิดการขัดข้องโดยเฉล่ีย แล้วทุกๆ 15 วินาที ส่วนไอซีมีปัญหาเช่นน้ี นอ้ ยมาก คือ 1 ครงั้ ใน 23 ลา้ นช่วั โมง 3.2 มีความกระชับ เนื่องจากวงจร ได้ถูกย่อส่วนให้เล็กทาให้อุปกรณ์มีขนาดเล็กกระทดั รดั มคี วามเรว็ ในการทางานเพม่ิ มากขนึ้เพราะวงจรอยใู่ กลก้ ันมากระยะเวลาในการเดนิ ทางของกระแสไฟฟา้ จะน้อยลง 3.3 ราคาถูก เนอื่ งจากมกี ารผลติ เปน็ ปรมิ าณมาก ๆ ทาให้ต้นทุนถูกลง 3.4 ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ทาให้ประหยัด
4. ยุควีแอลเอสไอ
4. ยุควีแอลเอสไอ จากวงจรไอซีได้มีการพัฒนาวงจรรวมความจุสูงหรือแอลเอสไอ ( LargeScale Integrated Circuit : LSI) ขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2513 ทาให้สามารถบรรจุวงจรทรานซิสเตอร์จานวนหลายพันตัวลงบนแผ่นซิลิคอนขนาด 1/6 ตารางนิ้วนับเป็นการเริ่มยุคท่ีสี่ของคอมพิวเตอร์ซ่ึงอยู่ระหว่าง พ.ศ.2513 – 2532 และในปีพ.ศ. 2518 สามารถเพิ่มปริมาณวงจรหลายหมื่นวงจรลงบนซิลิคอนขนาดเท่าเดิมเรียกว่า วงจรรวมความจุสูงมากหรือวีแ อลเอสไ อ ( Very Large ScaleIntegrated Circuit : VLSI) จากการประดิษฐ์วีแอลเอสไอสามารถนามาสร้างเป็นไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่งทาหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู ( CentralProcessing Unit : CPU) ข อ ง ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ แ ล ะ ส า ม า ร ถ ล ด ข น า ด ข อ งคอมพิวเตอร์ให้เล็กลงจนสามารถต้ังบนโต๊ะทางานในสานักงาน หรือพกพาไปในท่ีต่างๆ เหมือนกระเป๋าห้ิวได้ เรียกเคร่ืองค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ที่ เ กิ ด ใ น ยุ ค นี้ ว่ าไ ม โ ค ร ค อ ม พิว เ ตอ ร์( microcomputer)น อ ก จ า ก นี้ ยั ง ส า ม า ร ถ น า ว ง จ ร วีแอลเอสไอมาสรา้ งเป็นหน่วยความจารองที่สามารถเก็บข้อมูลใ น ระหว่างที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทางานได้ ทาใ ห้ได้หน่วยความจาท่ีมีความจุมากขึ้น ประสิทธิภาพในการทางานของคอมพิวเตอร์ยุคนี้จะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนคอมพิวเตอร์นอกจากช่วยงานคานวณแล้วยังสามารถทางานเฉพาะทางอื่นๆ ได้มากกวา่ ช่วยงานคานวณ เช่น การนาเสนอข้อมูลแบบส่อื ประสม
5. ยุคเครือข่าย
5. ยุคเครือข่าย หลังจากที่มีการคิดค้นวงจรวีแอลเอสไอข้ึนแล้วใช้หน่วยประมวลผลกลางและหน่วย ความจาหลักในคอมพิวเตอร์แล้ว การพัฒนาวงจรวีแอลเอสไอก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จนในปัจจุบันสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ลงบนแผ่นซิลิคอนขนาดเล็กเพ่ิมข้ึนเป็น 2 เท่า ทุกๆ 18 เดือน เป็นผลให้คอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถเพิ่มข้ึนอยา่ งรวดเรว็ เม่ือคอมพิวเตอรใ์ น ปั จ จุ บั น ส า ม า ร ถ ท า ง า น ไ ด้ เ ร็ ว ข้ึ นประมวลผลขอ้ มลู ไดท้ ี ละมากๆ ทางานได้หลายงานพร้อมกัน รวมท้ังสามารถแสดงผลในรูปของส่ือประสมได้ ความนิยมนาคอมพิวเตอรม์ าช่วยงานจึงขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วและในทุกวงการ ยคุ น้ีจะมคี วามพยายามในการ ประยุกต์ใช้...คอมพิวเตอร์กับงานหลายประเภท เช่น มีความพยายามนาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาใหด้ ยี ิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเคร่ือง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ท่ีสะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์คอมพวิ เตอรย์ คุ น้ีเป็นผลจากวชิ าการในแขนงท่ีเรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ ประเทศตา่ งๆ ท่ัวโลกไมว่ ่าจะเปน็ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวปี ยโุ รปกาลังสนใจคน้ ควา้และพฒั นาทางดา้ นนีก้ นั อยา่ งจริงจัง
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: