Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 7 เขียนเค้าโครงงานวิทยาศาสตร์

หน่วยที่ 7 เขียนเค้าโครงงานวิทยาศาสตร์

Published by neeno_ict, 2021-11-02 09:02:42

Description: หน่วยที่ 7 เขียนเค้าโครงงานวิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

เขยี นเคา้ โครงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ | หน้า 1 แนวทางการศึกษาชุดการเรยี นรู้ การศึกษาเนือ้ หาสาระของหนว่ ยนใี้ ห้นกั เรยี นปฏบิ ตั ดิ ังนี้ 1. ศึกษาขอบขา่ ยเน้ือหา สาระสำคญั และจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 2. ทำแบบทดสอบก่อนเรียน 3. ศึกษาเน้ือหาสาระโดยละเอยี ดในแตล่ ะเรื่องและทำกิจกรรม 4. ทำแบบทดสอบหลงั เรยี น เพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู้ ถ้าได้คะแนนตำ่ กวา่ ร้อยละ 80 ใหก้ ลับไปศกึ ษาใหม่ จนกว่าจะได้คะแนนไม่ต่ำกว่ารอ้ ยละ 80 5. ไม่ควรเปิดดเู ฉลยก่อนทำแบบทดสอบ

เขียนเค้าโครงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ | หน้า 2 ขอบขา่ ยของเน้ือหา สาระสำคญั และจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ➢ ขอบขา่ ยของเนือ้ หา เรื่องที่ 1 ส่วนประกอบการเขียนเคา้ โครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ เร่ืองท่ี 2 การเขยี นเค้า โครงงานวิทยาศาสตร์ ➢ สาระสำคัญ 1. การเขียนเค้าโครงของโครงงานประกอบด้วยชื่อโครงงาน ชื่อผู้ทำโครงงานที่มา ความสำคัญ จุดมุ่งหมายการศึกษา สมมติฐาน (ถ้ามี) วิธีดำเนินการ ผลที่คาดว่าจะ ไดร้ ับเอกสารอา้ งองิ 2. การเขียนเค้าโครงงานเป็นแนวทางในการดำเนินการทำโครงงานที่กำหนดไว้ถ่วงหนา้ โดยมจี ดุ ม่งุ หมาย เพื่อให้ทราบวา่ มวี ัตถุประสงค์อะไร ศกึ ษาอะไร มวี ิธีการดำเนินการ อย่างไร และมปี ระโยชน์อย่างไร ➢ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เมอื่ ศึกษากิจกรรมการเรยี นร้โู ครงงานวิทยาศาสตรแ์ ล้วผู้เรียนสามารถ 1. อธิบายส่วนประกอบของโครงงานวิทยาศาสตร์ 2. เขียนเคา้ โครงโครงงานวิทยาศาสตร์

เขียนเคา้ โครงโครงงานวิทยาศาสตร์ | หนา้ 3 เรือ่ งที่ 1 สว่ นประกอบของเค้าโครงงานวทิ ยาศาสตร์ -------------------------------------------------------------------------------------------------------- เค้าโครงของโครงงานโดยทั่วไป จะเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็น แผน และขั้นตอน ของการทำ โครงงานซง่ึ ควรประกอบดว้ ยหวั ขอ้ ต่อไปนี้ 1. ชื่อโครงงาน ควรเปน็ ขอ้ ความ กะทัดรัด ชัดเจน สื่อความหมายตรงและมีความ เฉพาะเจาะจงวา่ จะศึกษาอะไร 2. ช่อื ผทู้ ำโครงงาน 3. ชื่อทป่ี รึกษาโครงงาน 4. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน อธิบายว่าเหตุใดจึงเลือกทำโครงงานน้ี โครงงานเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างไร มีหลักการหรือ ทฤษฎีอะไรที่เกี่ยวข้อง เรื่องที่ทำเป็น เรื่องใหม่ หรือ มีผู้อื่นได้เคยศึกษาค้นคว้าเรื่องทำนองนี้ไว้บ้างแล้ว ถ้ามีได้ผลเป็นอย่างไร เรอื่ งน้ขี ยายเพ่มิ เติมปรบั ปรงุ จากเรื่องท่ีผูอ้ ื่นทำไว้อย่างไร หรือเปน็ การทำซ้ำเพื่อ ตรวจสอบผล 5. จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า ควรมีความเฉพาะเจาะจงและเป็นสิ่งท่ี สามารถวดั ได้เปน็ การบอกขอบเขตของงานทจ่ี ะทำไดช้ ัดเจน 6. สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี) เป็นคำตอบหรือคำอธิบายที่คาดไว้ ล่วงหน้าซึ่งอาจจะถูกหรือไม่ก็ได้ การเขียนสมมติฐานเหตุผลคือ มีทฤษฎีหรือหลักการทาง วทิ ยาศาสตร์รองรบั และเปน็ ขอ้ ความทม่ี องเหน็ แนวทดลองหรอื สามารถทดสอบได้ 7. วธิ ีการดำเนินงาน 7.1 วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องการใช้ ระบุว่าวัสดุ-อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้มีอะไรบ้าง ระบุจำนวนให้ชัดเจน จะได้วัสดุอุปกรณ์เหล่านั้นมาจากไหน วัสดุ-อุปกรณ์มีอะไรบ้างที่ต้อง จัดซือ้ อะไรบา้ งที่ต้องจดั ทำเอง อะไรบ้างที่ขอยมื ได้ 7.2 แนวทางการศึกษาค้นคว้า อธิบายว่าจะออกแบบการทดลองอย่างไร จะ สรา้ งหรอื ประดิษฐ์อะไร อย่างไร จะเกบ็ ขอ้ มลู อะไรบ้าง บอ่ ยครั้งและมากน้อยเพยี งใด 8. แผนปฏิบัติงาน อธิบายเกี่ยวกับกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาเสร็จของการ ดำเนนิ งานแต่ละขนั้ ตอน 9. ผลทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ 10. เอกสารท่เี กีย่ วขอ้ ง 11. เอกสารอ้างอิง

เขียนเคา้ โครงโครงงานวิทยาศาสตร์ | หน้า 4 เร่อื งท่ี 2 การเขียนเคา้ โครงโครงงานวิทยาศาสตร์ -------------------------------------------------------------------------------------------------------- การเขียนเค้าโครงงานเป็นแนวทางในการดำเนินการทำโครงงานที่กำหนด ไว้ ล่วงหน้า โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ทราบว่ามีวัตถุประสงค์อะไร ศึกษาอะไร มีวิธีการ ดำเนนิ การอย่างไร และ มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร ตวั อยา่ งการเขียนเค้าโครงงาน เรื่อง ฮอร์โมนผลไม้ 1. ชอ่ื โครงงาน ฮอร์โมนผลไม้ 2. ชื่อผทู้ ำโครงงาน 1. นายเอกอาทติ ย์ ฤทธิเดชยงิ่ 2. นางสาวมทั นา พรมแดน 3. นางสาวอรสา สนธิ 3. ชอื่ ทีป่ รึกษาโครงงาน อาจารยส์ พุ ิชสิณี โรจนจ์ ันทร์ดา 4. ท่มี าและความสำคญั ของโครงงาน เน่อื งจากข้าพเจ้า ไดส้ ำรวจชมุ ชนในอำเภอเชยี งดาว สว่ นใหญ่ ใชส้ ารเคมใี นการเพ่ิม ผลผลติ และ 2-3 ปที ผ่ี า่ นมามกี ารรณรงค์สนบั สนนุ ใหค้ นไทยทกุ คนหนั มาปลูกผกั สวนครัวร้ัว กนิ ไดก้ ัน เน่อื งจากภยั เศรษฐกจิ ตกต่ำแตเ่ กษตรกรกับประสบปัญหาดนิ เส่ือมคุณภาพกันมาก เพราะใชส้ ารเคมีและ ยาฆา่ แมลงในการเกษตร (และอยากใหใ้ ช้หลักวิทยาศาสตร์ผสมกับภูมิ ปัญญาชาวบ้านเข้ามาชว่ ยสร้างผลงานเพอ่ื ช่วยชาวเกษตรไทย) ทำให้คณะของข้าพเจ้ามีความสนใจเกี่ยวกับการปลูกผักปลอดสารพิษยิ่งในสภาวะ เศรษฐกิจ ตกต่ำและยังมีพระบรมราโชวาทจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เรื่อง เศรษฐกิจแบบพอเพียง ทำให้คณะของข้าพเจ้าจึงมีความสนใจที่จะศึกษาหาวิธีการปลูกผัก ชนิดต่าง ๆ โดยที่ไม่ทำให้มีผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม คือ การไม่ใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ในการดแู ลรักษาผัก เพราะนอกจากจะทำให้ดนิ เสื่อมคุณภาพแลว้ ยังส้ินเปลืองค่าใช้จ่ายเป็น จำนวนมาก จึงได้ปรึกษากับอาจารย์และช่วยกันคิดทำโครงงานเรื่องนี้ โดยทดลองเพาะกล้า ผักคะน้า เมื่อเจริญเติบโตเป็นต้นกล้าเล็ก ๆ แล้วนำมาปลูกฉีดพ่น ด้วยฮอร์โมนผลไม้ที่ผสม ขน้ึ เปรียบเทียบ วา่ ฮอร์โมนชนดิ ไหนมีผลต่อการเจริญเติบโตของตน้ ผักคะน้ามากทส่ี ุด และ ไมก่ ่อให้เกดิ ผลกระทบตอ่ สิ่งแวดล้อม โดยนำผักคะนา้ มาปลูกในถุงดำขนาด 7.8 8 18 ซ.ม. ประมาณ 50 ถุง เมื่อเจริญเป็นต้นกล้าให้แยกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 10 ถุง กลุ่มที่ 1. ฉีด ดว้ ยฮอรโ์ มนผลไม้รวม กล่มุ ท่ี 2. ฉีดด้วยฮอร์โมนกลว้ ย กลมุ่ ท่ี 3. ฉีดด้วยฮอร์โมนมะละกอ

เขยี นเคา้ โครงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ | หนา้ 5 5. จดุ มงุ่ หมายของการศึกษาค้นคว้า 5.1 เพ่ือศกึ ษาการใช้ฮอร์โมนผลไม้ชนดิ ต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อการเจรญิ เตบิ โตของผักคะน้า 6. สมมติฐาน (ถา้ มี) ฮอร์โมนผลไมร้ วมมผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของผักคะนา้ 6.1 ตวั แปรต้น ฮอร์โมนผลไม้ 6.2 ตวั แปรตาม การเจริญเติบโตของผกั คะนา้ 6.3 ตวั แปรท่คี วบคุม การผสมปยุ๋ ดินแกลบ สถานที่ทดลอง แสงสวา่ ง 7. วธิ ดี ำเนนิ งาน 7.1 วัสดุ-อุปกรณ์ 1. ผลไม้ ได้แก่ กล้วย มะละกอ มะมว่ ง อยา่ งละ 500 กรมั 2. EM ผสม 100 ml จำนวน 4 ครั้ง 3. น้ำซาวข้าว 300 ml จำนวน 4 คร้ัง 4. นำ้ 100ml 5. ขวดน้ำอดั ลมขนาด 1.25 ลติ ร 4ขวด วิธีการทำ 1. นำผล ไม้ กล้วย มะละกอ และมะม่วงอย่างละ 500 กรัม 2. นำผลไมแ้ ต่ละชนิดมาสับเป็นชนิ้ เลก็ ๆ ทง้ั เปลือกและเมลด็ 3. นำมาบรรจใุ นขวด 1.25 ลติ ร 4. ใส่น้ำซาวขา้ วปริมาณขวดละ 50 c. 5. ใส่ EM ผสมอยา่ งละ 1.25 cc 6. เตมิ น้ำให้ครบ 1 ลิตร 7. หมักท้ิงไว้ 10 วัน สงั เกตและบันทึกผลการทดลอง 7.2 การออกแบบการทดลอง การทดลองท่ี 1 เรื่อง การทำฮอร์โมนผลไม้ การทดลองที่ 2 เรือ่ ง ผลของการฉดี พน่ ฮอร์โมนผลไม้ต่อการเจริญเติบโตผักคะน้า วิธีทำการทดลอง 1.ทำการปลูกผกั คะน้าในดนิ ที่มีการฉดี หรือพน่ ด้วยฮอร์โมนผลไม้ 4 ชนดิ คือ ฮอร์โมนกลว้ ย ฮอร์โมนมะละกอ ฮอร์โมนมะม่วง และ ฮอร์โมนผลไม้รวม โดยแบง่ ออกเป็น 4 การทดลอง ดงั นี้

เขยี นเคา้ โครงโครงงานวิทยาศาสตร์ | หน้า 6 การทดลองที่ 1 ปลกู ผกั คะน้าโดยฉดี หรือพน่ ด้วยฮอร์โมนกลว้ ย การทดลองที่ 2 ปลกู ผักคะน้าโดยฉดี หรือพน่ ดว้ ยฮอร์โมนมะละกอ การทดลองที่ 3 ปลกู ผกั คะน้าโดยฉดี หรือพน่ ดว้ ยฮอร์โมนมะม่วง การทดลองท่ี 4 ปลกู ผักคะน้าโดยฉดี หรอื พน่ ด้วยฮอรโ์ มนผลไมร้ วม 2. บนั ทึกความสงู จำนวนใบ ความกวา้ งความยาวของใบ ลงตารางทุกสปั ดาห์เปน็ เวลา 5 สปั ดาห์ พรอ้ มทัง้ ถ่ายภาพไวเ้ ม่ือครบกำหนด นำข้อมลู มาเขยี นกราฟ เพอ่ื เปรยี บเทยี บให้เห็นชัดเจนข้นึ 3. เปรยี บเทียบผลการใชฮ้ อรโ์ มนที่เหมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตของผกั คะน้า 4. เพาะกล้าผัก 1 ชนดิ คอื ผักคะน้าเตรยี มไว้ 5. เตรียมฮอรโ์ มนผลไม้ คือ ฮอร์โมนกล้วย ฮอร์โมนมะละกอ ฮอรโ์ มนมะมว่ ง และ ฮอร์โมนผลไม้รวม โดยนำผลไม้แต่ละชนิดอย่างละ 500 กรัม มาสบั ใหล้ ะเอยี ดท้งั เมล็ดและ เปลือก แล้ว นำมาบรรจใุ นขวดน้ำอัดลมขนาด 1.25 ลติ ร เดมิ ฮอร์โมนผสม 125 cc ในแต่ละ กระป๋อง เติมนำ้ ชาวขา้ ว กระป๋องละ 50 cc และน้ำสะอาดกระป๋องงละ 1 ลิตร ปิดฝาไว้ ไม่ให้แนน่ จนเกนิ ไป แลว้ หมักทงิ้ ไว้ 10 วัน 6. นำต้นกล้าผกั คะน้าท่เี พาะไว้ มาปลูกในถุงดำขนาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 7.5 ซ.ม. กวา้ ง 7.8 ซ.ม. ยาว 8 ซ.ม. สงู 18.0 ซ.ม. ในซุม้ ซงึ่ เตรยี มไว้ ด้านลา่ งเปน็ แผ่นไม้ ขนาด 60 X 80 X 45 ซ.ม. อุณหภูมิในซุ้มปลูกผกั ประมาณ 30 องศาเซลเซียส และทำการฉีดพ่น ดว้ ยฮอรโ์ มนชนดิ ตา่ ง ๆ ทุก 7 วัน เปน็ เวลา 5 สัปดาห์ 7. สงั เกตการเจรญิ เตบิ โตของผักคะนา้ ทีฉ่ ีดพน่ ด้วยฮอร์โมนแต่ละชนิด โดยวดั ความสงู นับจำนวนใบ ความกวา้ งและความยาวของใบ บันทึกข้อมูลทุกสัปดาห์เป็นเวลา 5 สัปดาห์ 8. ทำการถา่ ยภาพทุกระยะการเจรญิ เติบโต 9. เปรียบเทยี บลักษณะของต้นกล้าหรอื พน่ ดว้ ยฮอรโ์ มนแต่ละชนิดว่าฮอรโ์ มนชนดิ ใดท่ีเหมาะสมสำหรบั การเจริญเตบิ โตของผักคะนา้ แล้วเขยี นรายงาน

เขียนเคา้ โครงโครงงานวิทยาศาสตร์ | หนา้ 7 8. แผนปฏบิ ัติการ วนั เดอื น ปี การดำเนนิ งาน ไปดูงานการทำเกษตรแบบพอเพียง โดยดำเนนิ งานตามพระราชดำรสั 10 เม.ย. 49 ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวภมู ิพลอดุลยเดชมหาราช และที่ สำคญั ได้ ศึกษาเกย่ี วกบั การทำฮอร์โมนจากเศษอาหารหรือผลไม้ที่ 15 เม.ย. 49 นำมาฉดี พืชผกั แทนการใช้สารเคมี ที่ ต.เมอื งงาย 20 เม.ย. 49 ศกึ ษารายละเอยี ดส่วนประกอบการทำโครงงาน เอกสารท่ีเก่ยี วข้อง 10 ม.ิ ย. 49 เขียนเค้าโครงโครงงานวิทยาศาสตร์ 16 ม.ิ ย. 49 ลงมือเพาะหลา้ ผักคะนา้ 20 ม.ิ ย. 49 เตรยี มอปุ กรณ์มาทำฮอรโ์ มน และลงมือทำฮอร์โมน 27 ม.ิ ย. 49 นำต้นกล้ามาบรรจุถุงดำ 1 ก.ค. 49 นำฮอรโ์ มนแตล่ ะชนดิ มาฉดี พ่นคร้งั ที่ 1 4 ก.ค. 49 พมิ พร์ ายงาน นำฮอร์โมนมาฉีดพน่ คร้งั ท่ี 2 และบนั ทึกผล 8 ก.ค. 49 นางสาวอรสา สนธิ ได้ไปเผยแพรค่ วามรู้เร่ืองการทำฮอร์โมนใหก้ ับ ชาวบ้าน ณ หมู่บา้ นมว่ งฆอ้ ง 11/7/43 นำฮอรโ์ มนมาฉดี พ่นครงั้ ที่ 3 และบันทึกผล พิมพร์ ายงานต่อ 8 ก.ค. 49 นำฮอรโ์ มนมาฉดี พ่นครั้งท่ี 4 และบันทึกผล 25 ก.ค. 49 ฉีดพ่นฮอรโ์ มนบนผกั คะน้าครั้งสดุ ท้าย พร้อมบันทึกผล 29 ก.ค. 49 รวบรวมขอ้ มูล สรุปผลการทดลอง และพิมพร์ ายงานต่อ 30 ก.ค. 49 จัดทำแผงโครงงาน 9. ผลทีค่ าดว่าจะไดร้ ับ 9.1 ได้ฮอรโ์ มนจากธรรมชาติ แทนการใช้สารเคมหี รอื ปยุ๋ วทิ ยาศาสตร์ 9.2 ชว่ ยลดตน้ ทุนการผลิตของเกษตรกรในการสั่งซื้อสารเคมีมาจากต่างประเทศ 9.3 ไมม่ ีสารพิษตกค้างในพชื ผกั และ ไมเ่ ปน็ อันตรายตอ่ ผบู้ รโิ ภค

เขียนเคา้ โครงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ | หน้า 8 10. เอกสารทเี่ กีย่ วข้อง ผักคะน้า คะน้ามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Brassica oleracea var alboglabra คะน้าเป็นผักท่ี นิยมปลูกกันในเมืองไทยมาก สำหรับในต่างประเทศยังนิยมปลูกคะน้าอื่นๆอีก คือ คะน้าใบ ฝอย (Curly kale) และคะนา้ ฝร่งั (Collard) คะน้าจนี ท่ปี ลูกกันมากถกู นำมาจากAsia minor นิยมปลูกกันมากในแถบเอเชียมีชือ่ ภาษาจีนว่า ไก่หลันไช่ (Kaai Laan Ts'o;) พันธ์ที่ปลูกกนั มากในเมืองไทยทั้งหมด เป็นพวกดอกขาว(Paak fa kaailaan) เมล็ดพันธ์นี้ส่วนจาก ตา่ งประเทศเข้ามาปลูก มกั สัง่ จากไต้หวัน เทา่ ที่ปลูกกนั สามารถแบ่งตามลักษณะต้นได้ เป็น 3 พวก คือ 1. คะน้าใบกลม ใบกว้างใหญ่ ปลายใบมนแผ่นใบมีคลื่นเล็กน้อย ลำดันมีข้อสั้น ๆ ได้แก่ พนั ธ์ฝาง เบอร์ 1 เป็นการปรบั ปรงุ พันธจ์ ากกรมวชิ าการเกษตร 2. คะน้าใบแหลม แผ่นใบแคบกว่า ปลายแหลม ข้อของลำต้นแคบกว่า ผิวใบเรียบ ได้แก่ พันธพ์ .ี แอล. 20 3. คะน้ายอด หรือ คะน้าก้าน ลักษณะเหมือนคะน้าใบแหลม แต่มีใบน้อย ข้อของ ลำต้นห่างกันมาก เชน่ พนั ธแ์ ม่โจ้ 1 คอื พันธ์ท่ีปรบั ปรุงขน้ึ ในประเทศไทย สภาพแวดล้อมท่เี หมาะสมสำหรับการเจรญิ เติบโต อุณหภูมิของอากาศที่ทำให้คะน้าเจริญเติบโตได้ดีประมาณ 20 - 25 องศาเซลเซียส แต่คะน้าสามารถทนต่อสภาพอุณหภูมิสูงได้ดีผิดกับผักตระกูลอื่นๆ อายุตั้งแต่ปลูกจนเก็บ เกยี่ วประมาณ 45-55 วัน มขี นาดตน้ สูงประมาณ 35-50 ซ.ม. ต้องการความชื้นสูงสม่ำเสมอ ตลอดระยะเวลาการเจริญเติบโตต้องการดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ความเป็นกรดด่างของ ดิน 5.5 -6.8 และต้องรับแสงแดดตลอดวัน การเตรยี มดนิ และการปลกู โดยท่ัวไปนยิ มปลกู ผักคะน้า โดยวธิ หี วา่ นลงบนแปลงปลกู เลย และคะนา้ เป็นผักราก ตื้น ๆ ดังนั้นการเตรียมดินควรลึกประมาณ 15-20 ซ.ม. ในการขุดตากดินครั้งแรกควรทำ ประมาณ 7-10 วัน และในการย่อยดินควรใส่ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอกเก่าที่สลายตัวแล้ว ลงไป ในดินเพื่อทำให้ดินร่วนซุยและอุ้มน้ำและยังเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินต้องทำหน้าดินให้ ละเอียดทส่ี ดุ เพราะเมลด็ มขี นาดเลก็

เขียนเค้าโครงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ | หนา้ 9 การหว่านเมล็ดลง เมื่อหวา่ นลงแลว้ กลบดว้ ยดินหรือปุ๋ยหมักหนา 1ช.ม. แล้วใช้ฟาง คลุมการรดน้ำต้องทำระบบฝอย สำหรับกล้าเมื่อมีอายุ 25-30 วัน จึงทำการย้ายลงแปลง ปลูก สำหรับการปลูกโดยหว่านโดยตรง ต้องหว่านกระจายกะให้เมล็ดหา่ งกัน 2-3 ช.ม. ควร ใช้ฟางคลุมและให้น้ำระบบฝอยเช่นกันเพื่องอกแล้วประมาณ 7 วัน จะงอกและเมื่องอกได้ 20 วนั ควรถอนท้ิงและและจดั ระยะใหเ้ หมาะสม และหลังจากน้นั ควรใสป่ ุ๋ยยูเรียหรือปยุ๋ ผสม 20-10-10 ในอตั รา 30-40 ก.ก./ไร่ และเมอ่ื คะนา้ อายไุ ด้ 30 วันควรถอนแยกอกี ทใี หไ้ ด้ระยะ ระหวา่ งตนั 25 ช.ม. แล้วใหป้ ุ๋ยสตู ร 20-10-10 ในอตั ราเดิมอกี ครั้ง การรดน้ำตอ้ งทำอยา่ งสม่ำเสมอ อย่าใหด้ นิ ขาดนำ้ ในชว่ งของการเจรญิ เติบโต เพราะ พืชโตเร็วและ อายุสั้น หากชะงักการเจริญเติบโตจะทำให้คุณภาพของผักลดลง การกำจัด วชั พชื ทำไดด้ ว้ ยการพรวนดนิ ควรทำในระยะเดยี วกบั การถอนแยก การเกบ็ เกย่ี ว โดยทั่วไปคะน้าท่สี ง่ มาจากตลาดมักเกบ็ เมื่ออายุประมาณ 45-50 วัน ซ่ึงเป็นคะน้าท่ี โตเต็มท่ี จะมีนำ้ หนักมาก คะนา้ ท่ถี อยแยกทั้ง 2 คร้ังสามารถนำไปขายท่ีตลาดไว้เช่นกัน การ เก็บเกี่ยวทำได้โดยใช้มีดตัดบริเวณ โคนดัน แล้วแต่งใบล่างที่แก่ หรือถูกสัตรูทำลายทิ้งไป แล้วจงึ นำมาจุ่มนำ้ บรรจุลงภาชนะเพื่อส่งตลาด โรคและแมลง โรคที่เปน็ กับคะน้า คือ Damping off ซ่ึงจะเปน็ ในระยะกลา้ โรครานำ้ คา้ ง (Downy Mildew) โรคเห่ียว (Fusarium wilt) แมลงที่ทำลายคือ หนอนใยผัก (Diamond Back Moth ) ด้วงหมัดกระโดด (Lea Butle) หนอนคืบกะหล่ำ (Cabbage Lopper ) เพลี้ยอ่อน (Aphids)ปริมาณ การผลติ และแหล่งผลติ คะน้าปลูกมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือนครราชสีมา เลย ขอนแก่น รองลงมาคือ ภาคเหนือ ไดแ้ ก่ ลำปางพษิ ณุโลก น่าน และปลูกทางภาคตะวนั ออกคอื จันทบรุ ี ระยอง และปราจีนบุรี ผลผลติ เฉลี่ยประมาณ 1,200 กก/ไร่ สูงสุดประมาณ 2,000 กก. ฮอร์โมนพชื \"ไซโตไคนิน\" (BA) ไซโตไคนิน (Cytocinins) เป็นฮอร์โมนพืชชนิดหนึ่งมีหน้าที่กระตุ้นการแบ่งเซลล์ เมื่อมีสารเหลา่ น้ีอยู่ ณ จุดใด ธาตุอาหารจะไปรวมตัวกนั ท่ีจุดนั้นๆเป็นจำนวนมาก ตามปกติ ท่ีแกต่ ัวจะเริม่ เหลืองแหง้ และร่วงหล่น ไปในท่ีสุด จากการทดลองพบว่าใบท่ีได้รับการฉีดพ่น ด้วยฮอรโ์ มนไซโตไคนนิ จะมีลักษณะเขยี วขจอี ยู่เปน็ ระยะเวลานานกว่าใบทไี่ ม่ได้รบั การฉดี

เขียนเคา้ โครงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ | หนา้ 10 พ่นด้วยสารนี้ จึงเป็นที่เชื่อกันว่า สารนี้มีคุณสมบัติ \"ดำรงความหนุ่มสาวให้แก่บางส่วนของ พืชได้\" นอกจากนี้ไซโตไตนินยังช่วยให้ผลไม้บางชนิด ไม่มีเมล็ดได้ ช่วยให้พืชแตกกิ่งก้าน สาขาไดด้ อี กี ด้วย และ ได้นำไปใช้ในการเพาะเล้ยี งเนือ้ เยอื่ ในความเขม้ ขน้ 0.1-0.5 ppm นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียได้ค้นพบสารหลายอย่างที่มีอยู่ในเนื้อเ ย่ือของท่อ อาหาร (Phloem Tissue) ของพืช สามารถทำให้แผลของมันฝรั่งเกิดการแบ่งตัว แสดงว่ามี สารหลายอยา่ งในพืชมีคุณสมบตั ิ เร่งการแบ่งตวั ของเซลลเ์ ชน่ เดียวกนั จึง ได้มกี ารศึกษาและ วิเคราะห์ โครงสร้างทางเคมีของสารกลุ่มนี้ ตั้งชื่อรวม ๆ ว่า \"ไซโตไคนิน\" และมีการ สังเคราะห์สารในกลุ่มเหล่านี้หลายตัว เช่น ไคเนติน BA (6-benzyl aminopurine) เป็นตน้ (พีรเดช 2529) ฮอร์โมนพชื \"ออกซิน\" (NAA) ออกซิน (Auxin) เป็นฮอร์โมนพืชที่พืชสร้างขึ้นเองได้ มีหน้าที่ควบคุมการขยายตัว ของการเร่งการเจริญเติบโตของใบ การเกิดผล การเกิดรากและเกี่ยวข้องกับกระบวนการ อ่ืนๆอีกมากมาย ออกซิน ตัวแรกท่ีคน้ พบคอื IAA มคี ณุ สมบตั เิ รง่ การเจรญิ เติบโต ต่อมามกี าร สงั เคราะห์ขึ้นอกี หลายตวั เชน่ NAA (1-naphthylacetic acid) ;BA:2,4-D เปน็ ตน้ NAA เป็นสารที่ใช้กันมากอย่างกว้างขวางในประเทศไทย เช่น ใช้เร่งการเกิดราก กระตุ้นให้ระบบรากเจริญเติบโตดี ป้องกันการร่วงของผลไม้หลายชนิด เปลี่ยนเพศดอกของ เงาะ และใชท้ ารอยแผลหลังตัดแตง่ ก่ิง เพอ่ื ป้องกันการแตกหน่อ นอกจากน้ีมกี ารนำเข้ามาใช้ ในการเพาะเล้ียงเนอ้ื เย่ือในความเขม้ ข้น 0.1-0.5 ppm (พรี เดช 2529) 11. เอกสารอ้างองิ กรมอาชีวะศึกษา.2524. หลกั พืชสวนครัว.โรงพมิ พค์ รุ สุ ภา,กรุงเทพฯ. 143 หนา้ . พีระเดช ทองอำ ไพ. 2529. ฮอร์โมนพชื และสารสงั เคราะห.์ ไดนามกิ สก์ ารพมิ พ์, กรุงเทพฯ.หนา้ 8-16 เมอื งทอง ทวนทวี และคณะ. 2525. สวนผัก. กลุ่มหนงั สือเกษตร,กรงุ เทพฯ. 324 หน้า. อรุ ษา แสงอุทัย,2527. พืชผัก.คณุ พิณอกั ษรเจริญกจิ ,กรงุ เทพฯ.262 หนา้ . http://www.chonnabot.com/triendslem.htm

เขียนเคา้ โครงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ | หนา้ 11 บรรณานกุ รม ถวัลย์ มาศจรัส และมณี เรืองขำ. แนวการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน (Project) เพ่อื พัฒนาการเรียนรูผ้ ้เู รียน. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพธ์ ารอกั ษร จำกัด, 2549. บูรชยั ศิรมิ หาสาคร. การทำโครงงานวิทยาศาสตร.์ กรงุ เทพมหานคร: บุ๊ค พอยท์, 2548. ประดษิ ฐ์ เหล่าเนตร.์ เทคนคิ การสอนและการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับ ประถมศึกษา และมธั ยมศึกษา. กรุงเทพมหานคร : บริษทั เซ็นเตอร์ ดีสคัฟเวอรี จำกดั , 2542. ภพ เลาหไพบูลย์. แนวการสอนวทิ ยาศาสตร์. พิมพ์คร้งั ท่ี 3. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, 2542. วิมลศรี สุวรรณรัตน.์ กระบวนการเรียนรู้โครงงานวทิ ยาศาสตร์. สารปฏิรปู . ปที ่ี 2 ฉบับท่ี 15 (มิถนุ ายน), 2542. สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. คูม่ อื วัดผลประเมนิ ผลวทิ ยาศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร : ซเี อ็ดยูเคช่ัน, 2555. สำนักงานคณะกรรมการการมธั ยมศกึ ษาแหง่ ชาติ. การจดั การเรียนรู้สู่ความเปน็ เลิศ ด้านวิทยาศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา, 2542.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook