เอกสารรายงานวจิ ยั ในชั้นเรยี น รายงานผลการใชบ้ ทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน เรอ่ื ง ความรู้เบอ้ื งต้นงานเชอื่ มโลหะด้วยไฟฟ้า ที่มีตอ่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4/3 แผนการเรียนช่างกอ่ สรา้ ง ทวศิ กึ ษา โดย นายสมนึก แสนปวน ตาแหน่งครู วทิ ยฐานะชานาญการพิเศษ โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน สังกัดสานักบรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ
ก ชอ่ื เรอ่ื ง รายงานผลการใชบ้ ทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน CAI เรอ่ื ง ความรูเ้ บอื้ งตน้ งานเชอื่ มโลหะดว้ ยไฟฟ้า ทม่ี ตี อ่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ชอ่ื ผ้รู ายงาน ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 4/3 แผนการเรียนชา่ งกอ่ สร้างทวิศึกษา ตาแหน่ง ปกี ารศกึ ษา นายสมนกึ แสนปวน ครูชานาญการพิเศษ 2563 บทคดั ย่อ การศึกษาคร้ังนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของ บทเรียน คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน เร่ือง ความร้เู บอื้ งตน้ งานเชอ่ื มโลหะดว้ ยไฟฟา้ สาหรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4/3 แผนการเรียนอุตสาหกรรม (ทวิศึกษา) 2)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง ความรเู้ บื้องตน้ งานเชือ่ มโลหะดว้ ยไฟฟ้าก่อนใช้และหลังใช้ฯ กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรยี นศึกษาสงเคราะหแ์ มฮ่ ่องสอน อาเภอเมอื ง จังหวัดแมฮ่ ่องสอน สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ทเ่ี รียนรายวชิ า งานเชอ่ื มเบ้ืองต้น เร่ือง ความรเู้ บอื้ งต้นงานเชอ่ื มโลหะด้วยไฟฟ้า จานวน 19 คน ได้มา โดยการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซ่ึงเป็นนักเรียนท่ีเลือกเรียนตามโครงสร้างหลักสูตร สถานศึกษา แผนการเรยี นชา่ งก่อสร้าง(ทวิศกึ ษา) เคร่ืองมือทใี่ ช้ในการศึกษา ประกอบดว้ ย 1) บทเรียน คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน เร่ือง ความรเู้ บ้อื งต้นงานเชือ่ มโลหะด้วยไฟฟา้ สาหรับนกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 แผนการเรียนช่างก่อสร้าง(ทวิศึกษา) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน 2) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ค่าความเชื่อมั่น ค่าความยากง่าย ค่าอานาจจาแนก และทดสอบสมมุติฐาน ใช้ t-test (Dependent Sample) ผลการศึกษาพบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง ความรู้เบ้ืองต้นงานเช่ือมโลหะ ด้วยไฟฟ้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4/3 แผนการเรียนอุตสาหกรรม (ทวิศึกษา) มีประสิทธิภาพ 84.21/81.58 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ คือ 80/80 และ2) ผลการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง ความรู้เบ้ืองต้น งานเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้า สาหรบั นกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4/3 แผนการเรยี นอุตสาหกรรม (ทวิศึกษา) พบวา่ คะแนนเฉลยี่ ของการทดสอบก่อนเรียนมีค่าเท่ากับ 15.37 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.818 และคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 48.95 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 6.811 ดังน้ัน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ข เรื่อง ความรู้เบ้ืองต้นงานเช่ือมโลหะด้วยไฟฟ้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4/3 แผนการเรียน อุตสาหกรรม (ทวศิ ึกษา) สูงข้ึนกว่าก่อนเรียน อย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .01 โดยสรปุ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้บทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน เรื่อง ความรู้เบ้ืองต้น งานเช่ือมโลหะดว้ ยไฟฟ้า สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4/3 แผนการเรียนอตุ สาหกรรม (ทวิศึกษา) ทาใหน้ กั เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงข้ึน ดังน้ัน ควรส่งเสริมให้ครูในกลุ่มสาระการงานอาชีพและ เทคโนโลยี และสาระอ่ืนๆได้สร้างและพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์บนเครือข่ายในกลุ่มสาระหรือ รายวิชาท่ีปฏิบัติการสอน เพื่อเป็นเครื่องมือในการใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มี ประสิทธภิ าพตอ่ ไป
บันทึกข้อความ ส่วนราชการ โรงเรียนศึกษาสงเคราะหแ์ มฮ่ ่องสอน ที่ /๒๕๖๔ วนั ท่ี ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เร่ือง ขอสง่ รายงานผลวิจัยในชัน้ เรียน ภาคเรียนท่ี ๑-๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ เรียน ผ้อู านวยการโรงเรียนศกึ ษาสงเคราะห์แม่ฮอ่ งสอน ด้วยโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน ได้กาหนดให้ครูผู้สอนส่งงานวิจัยในช้ันเรียน ภาคเรียนที่ ๑ - ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ น้ัน ข้าพเจ้า นายสมนึก แสนปวน ตาแหน่งครู โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน จึงขอส่งรายงานผลวิจัยในช้ันเรียน ภาคเรียนที่ ๑ - ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ ดงั กลา่ ว จงึ เรยี นมาเพ่อื โปรดทราบและพจิ ารณา ลงชือ่ .......................................ผ้รู ายงาน (นายสมนกึ แสนปวน) ตาแหน่ง ครู ความเหน็ ของหวั หน้าสาระการเรยี นรู้ .............................................................................................................................................................................. ลงชือ่ ...................................................... (นางพิชญส์ ิตา ภัทรเสถียรกิตต์ิ) ความเห็นของงานวจิ ยั เพอ่ื พฒั นา .............................................................................................................................................................................. ลงชือ่ ...................................................... (นางสาวอาพันธ์ชนก ศริ งิ าม) ความเห็นของหวั หน้ากลมุ่ บริหารวิชาการ .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ ...................................................... (นางสาวรัตณี คาสังวาลย์)
ความเหน็ ของผูช้ ว่ ยผ้อู านวยการสถานศกึ ษา .............................................................................................................................................................................. ลงช่ือ ........................................................ (นางจีรวรรณ ทวานรุ ักษ์) ความเห็นของรองผู้อานวยการสถานศึกษา .............................................................................................................................................................................. ลงชอ่ื ........................................................ (นายณเรศ กณั ทวีชัย) ความเหน็ ของผอู้ านวยการสถานศกึ ษา .............................................................................................................................................................................. ลงชือ่ ................................................... (นางศรัญญา ทบั น้อย)
1 ชอ่ื เรื่อง ผลการใชบ้ ทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน CAI เรื่อง ความรเู้ บ้ืองต้นงานเช่อื มโลหะดว้ ยไฟฟ้า ทม่ี ีตอ่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4/3 แผนการเรยี นชา่ งก่อสรา้ งทวิศึกษา ความสาคัญและทีม่ าของปัญหา ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2574 ได้กาหนดเจตนารมณ์ของแผนการศึกษา แห่งชาติ คือ มุ่งเนน้ ใหค้ นไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดารงชีวิต อย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปล่ียนแปลงของโลก ศตวรรษที่ 21 แผนการศึกษาแห่งชาติจึงมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มีคุณลักษณะและทักษะการ เรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 (3Rs 8Cs) พัฒนาคุณภาพของคนไทยให้เป็นผู้มีความรู้ คุณลักษณะและ ทักษะการเรียนรู้ สามารถพัฒนาศักยภาพและเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา, 2560 : 78-79) จากแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2574 และแนวนโยบายการศึกษาของสานัก บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ ในเรอ่ื งการศึกษาเพื่อการมีงานทา โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน สังกัดสานักบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ จึงได้จัดการเรียนการสอนให้ตอบสนองยุทธศาสตร์และแนว ทางการพัฒนาตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2574 โดยส่งเสริมโอกาสในการเข้าถึง การศึกษาและเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัยในพื้นที่พิเศษ จัดหลักสูตรสถานศึกษาให้เหมาะสมและ สอดคล้องกับภูมิสังคม อัตลักษณ์ และความต้องการของชุมชนและพื้นท่ี พัฒนาศักยภาพคน ทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ สื่อตาราเรียน นวัตกรรมและสื่อการเรียนรู้มีคุณภาพได้โดยไม่จากัดเวลา สถานที่ และใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ิน มาคิดสร้างสรรค์ ในการสร้างงาน สร้างอาชีพ ด้วยเหตุนี้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ จึงได้ จดั ทาโครงสรา้ งหลักสูตรสถานศึกษา แผนการเรียนช่างอุตสาหกรรม(ทวิศึกษา) โดยจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ในช่วงชั้นท่ี 3 โดยรายวิชาที่ผู้วิจัยรับผิดชอบ คือ รายวิชา งานเชื่อมเบื้องต้น เปิดสอนใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในรายวิชาดังกล่าวมุ่งเน้นให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจและมีทักษะ ในการวัด ตัด เจาะ วิธีการเช่ือมไฟฟ้าในท่าขนาน และท่าตั้ง สามารถผลิตชิ้นงานตามแบบ ให้บริการผลิตช้ินงานตามแบบ คานวณค่าใช้จ่าย กาหนดราคาขาย จัดจาหน่าย ทาบัญชีรายรับ – รายจ่าย สามารถผลติ ชน้ิ งานและจดั จาหน่ายได้ จากการจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ีผ่านมา ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ความรู้เบื้องต้นในการเชื่อม โลหะด้วยไฟฟา้ พบว่านกั เรยี นมปี ญั หาด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่า จากการวิเคราะห์สภาพปัญหา พบว่า ผู้วิจัยใช้วิธีการสอนแบบบรรยายประกอบการสาธิต เน่ืองจากไม่มีสื่อการสอนเนื้อหาประจา หน่วยเรยี น ประกอบกบั เน้ือหาทท่ี าการสอนมปี ริมาณมาก ดงั น้ันนักเรียนจึงต้องอาศัยเวลาในการทา ความเข้าใจ อีกท้ังนกั เรยี นแต่ละคนมคี วามแตกตา่ งกันดา้ นการรับรู้ นกั เรียนบางคนสามารถเรียนรู้ได้ เร็ว บางคนเรียนรู้ได้ช้า และด้วยเร่ืองข้อจากัดด้านเวลา ผู้ศึกษาจึงไม่สามารถทาการสอนในเน้ือหา ดังกล่าวได้ซ้าแล้วซ้าอีก เพ่ือท่ีจะให้นักเรียนทุกคนสามารถเข้าใจในเน้ือหาได้ในเวลาที่จากัด นอกจากน้ีก็ยังมีนักเรียนเป็นจานวนมากท่ีต้องขาดเรียนในบางคาบเรียน โดยมีจานวนสูงถึงร้อยละ 25-80 และมักจะขาดเรียนเป็นระยะเวลานานติดต่อกันเป็นสัปดาห์ เน่ืองจากนักเรียนลากลับบ้าน เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมตามประเพณีของชนเผ่าตนเอง เข้าร่วมกิจกรรมอบรมของหน่วยงานภายนอก เข้าร่วมฝึกของนักศึกษาวิชาทหาร หรือเข้าร่วมเข้าแข่งขันกีฬาเยาวชนท้ังระดับภูมิภาคและ
2 ระดับประเทศ เป็นต้น ซึ่งจากสาเหตุต่างๆ ดังกล่าวจึงส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถติดตามเน้ือหาการ สอนของผูร้ ายงานได้ทนั ดังน้นั เมื่อเรียนแลว้ นกั เรยี นบางคนกอ็ าจจะมคี วามรใู้ นเนอ้ื หาทผ่ี ู้รายงานสอน แต่บางคนก็ไม่มีความรู้ในเน้อื หาดงั กลา่ ว เมอ่ื เป็นเช่นน้ีจึงส่งผลให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในรายวิชา ที่สอนต่า ตลอดจนเมื่อนกั เรียนลงมอื ปฏบิ ัตงิ าน นักเรียนไม่สามารถเลือกใช้เครื่องมือได้อย่างถูกต้อง หรือทาให้เครื่องมือชารุดเน่ืองจากการใช้งานไม่ถูกวิธี ซ่ึงอาจจะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อตัวของ นักเรยี นได้ จากสภาพปัญหาในการจัดการเรียนการสอนดังกล่าว จึงทาให้ผู้วิจัยมีความสนใจท่ีจะแสวงหา วิธีการท่ีจะมาช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนเน้ือหาได้ทันกับนักเรียนคนอ่ืนๆ รวมท้ังสามารถช่วยให้ นักเรียนศึกษา ทบทวนเนื้อหาดังกล่าวได้ โดยวิธีการหน่ึงท่ีผู้รายงานเห็นว่าน่าจะนามาใช้ช่วยใน การเรยี นของนกั เรียนได้อย่างมปี ระสิทธิภาพน่ันก็คือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เพราะบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน น้ันสามารถนาเสนอเน้ือหาในรูปแบบของส่ือประสม โดยมีท้ังภาพนิ่ง ภาพกราฟิก เสยี ง ขอ้ ความและภาพเคลื่อนไหว นอกจากนี้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนยังสามารถ นาเสนอเนื้อหาในลักษณะไม่เป็นเส้นตรง อันจะทาให้มีความเหมาะสมกับความแตกต่างระหว่าง นักเรยี น ความพรอ้ มในการเรยี นรขู้ องนักเรียน โดยนักเรยี นสามารถเลอื กศกึ ษาหรือทบทวนเน้ือหาใด ก่อนก็ได้ซ้าแล้วซ้าอีกตามความพร้อมและความสามารถของนักเรียนเอง ทั้งยังสามารถนาเสนอ แบบฝึกหัดเชิงโต้ตอบ เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทาแบบทดสอบหรือแบบฝึกหัดและสามารถทราบผล ยอ้ นกลับไดด้ ้วยตนเอง จากเหตผุ ลตามท่ีกลา่ วมาข้างต้น ผวู้ ิจัยจึงมคี วามสนใจที่ศึกษาผลการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรือ่ ง ความรู้เบือ้ งตน้ งานเช่ือมโลหะดว้ ยไฟฟ้า ท่ีมีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 แผนการเรียนช่างอุตสาหกรรม(ทวิศึกษา) โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เร่ือง ความรู้เบื้องต้นงานเช่ือมโลหะด้วยไฟฟ้า เป็นส่ือเติมในการจัดการเรียนการสอนใน รายวิชา งานเช่ือมเบื้องต้น โดยผู้วิจัยคาดว่าหากนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมาใช้แล้ว น่าจะ ช่วยแกป้ ัญหาตา่ งๆ ท่ีเกิดข้ึนจากการเรยี นการสอนในงานเช่อื มเบอ้ื งตน้ น้ไี ดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ และ เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในการจดั การเรียนการสอนรายวชิ าอน่ื ๆตอ่ ไป วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจยั 1. เพ่ือสร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ความรู้เบ้ืองต้น งานเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้า สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 แผนการเรียนอุตสาหกรรม (ทวศิ กึ ษา) 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เร่ือง ความรเู้ บ้อื งตน้ งานเชอื่ มโลหะด้วยไฟฟ้ากอ่ นใช้และหลงั ใชฯ้ สมมติฐานการวจิ ยั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4/3 แผนการเรียนช่างอุตสาหกรรม(ทวิศึกษา) มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง ความรู้เบ้ืองต้นงานเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้าผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 หลังใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน
3 ขอบเขตของการวิจัย 1. ขอบเขตด้านประชากร 1.1 ประชากร ไดแ้ ก่ นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน อาเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน สังกัดสานักบริหารงาน การศึกษาพิเศษ จานวน 3 ห้องเรียน รวม 99 คน 1.2 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน อาเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน สานักบริหารงาน การศึกษาพิเศษ ที่เรียนรายวิชา งานเช่ือมเบื้องต้น เรื่อง ความรู้เบื้องต้นงานเช่ือมโลหะด้วยไฟฟ้า จานวน 19 คน ไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งเป็นนักเรียนที่เลือกเรียน ตามโครงสร้างหลกั สูตรสถานศกึ ษา แผนการเรียนชา่ งกอ่ สร้าง(ทวศิ กึ ษา) 2. ตวั แปรท่ีใชใ้ นการวิจยั ตัวแปรต้น คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่อื ง ความรู้เบื้องตน้ งานเชอื่ มโลหะด้วยไฟฟ้า ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง ความรู้เบ้ืองต้นงานเชื่อมโลหะ ด้วยไฟฟ้า ในรายวิชา งานเชื่อมเบื้องต้น ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 แผนการเรียน ชา่ งกอ่ สรา้ ง (ทวศิ ึกษา) ท่ีเรียนโดยใช้บทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน 3. ขอบเขตสถานที่ การศกึ ษาครั้งน้ี ศกึ ษาในโรงเรยี นศกึ ษาสงเคราะหแ์ มฮ่ อ่ งสอน 4. ขอบเขตเน้ือหา การศึกษาครั้งนี้ ศึกษาในขอบเขตเนื้อหารายวิชา งานเชื่อมเบ้ืองต้น เร่ือง ความรู้เบื้องต้นงานเชอื่ มโลหะดว้ ยไฟฟ้า โดยแบ่งเนือ้ หาออกเปน็ จานวน 5 หนว่ ย ได้แก่ หนว่ ยเรียน 1 ความปลอดภยั ในงานเช่ือมไฟฟา้ หน่วยเรยี น 2 หลักการทางานของเคร่อื งเชอ่ื มไฟฟา้ หนว่ ยเรียน 3 เครอ่ื งมอื และอุปกรณใ์ นงานเช่อื มไฟฟา้ หนว่ ยเรยี น 4 ลวดเชอ่ื มไฟฟ้า หน่วยเรียน 5 การเริ่มต้นการอาร์ค 5. ขอบเขตระยะเวลา การศึกษาครั้งนี้ ศึกษาในช่วงดาเนินการในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 เปน็ เวลา 20 ชั่วโมง (24 คาบ) ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ บั 1. ได้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง ความรู้เบื้องต้นงานเช่ือมโลหะด้วยไฟฟ้า ในรายวิชา งานเชื่อมเบื้องต้น ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์กาหนด 80/80 สาหรับนักเรียนสามารถ นาไปศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองได้ 2. ได้แนวทางในพัฒนา แก้ไขปัญหา หรือสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในรายวิชา อ่ืนๆ ตอ่ ไป
4 วธิ ีดาเนนิ การวิจยั การศึกษาคร้ังน้ีเป็นการศึกษาผลการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง ความรู้ เบอ้ื งตน้ งานเช่ือมโลหะดว้ ยไฟฟ้า ทีม่ ีต่อผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 แผนการเรยี นช่างอตุ สาหกรรม(ทวิศึกษา) ซึ่งมีขน้ั ตอนการดาเนนิ การดงั นี้ 1. ประชากรและกลุ่มเปา้ หมาย 1.1 ประชากรท่ีศึกษาในครั้งน้ี ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรยี นศึกษาสงเคราะหแ์ ม่ฮอ่ งสอน จานวน 3 หอ้ งเรยี น รวม 99 คน 1.2 กลุม่ เปา้ หมายท่ีศกึ ษาในครงั้ นี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน ที่เรียนรายวิชา งานเช่ือมเบื้องต้น เร่ือง ความรู้เบื้องต้นงานเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้า จานวน 19 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งเป็นนักเรียนที่เลือกเรียนตามโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา แผนการเรียนช่างกอ่ สร้าง(ทวิศกึ ษา) 2. เคร่ืองมือที่ใช้ในการวจิ ัย เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั ครงั้ นี้ ได้แก่ 2.1 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ชดุ 1 เรือ่ ง ความปลอดภัยในงานเช่ือม ไฟฟ้า จานวน 10 ขอ้ เป็นแบบทดสอบชนิดปรนยั 4 ตวั เลอื ก 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ชุด 2 เร่ือง หลักการทางานของ เครือ่ งเช่อื มไฟฟา้ จานวน 10 ข้อ เป็นแบบทดสอบชนิดปรนยั 4 ตัวเลือก 2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชุด 3 เร่ือง เครื่องมือและอุปกรณ์ ในงานเชอ่ื มไฟฟ้า จานวน 10 ขอ้ เปน็ แบบทดสอบชนดิ ปรนัย 4 ตวั เลือก 2.4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ชุด 4 เรื่อง ลวดเชื่อมไฟฟ้า จานวน 10 ขอ้ เป็นแบบทดสอบชนิดปรนยั 4 ตวั เลอื ก 2.5 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชุด 5 เร่ือง การเริ่มต้นการอาร์ค จานวน 20 ขอ้ เป็นแบบทดสอบชนิดปรนัย 4 ตวั เลือก 2.6 บทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน เร่ือง ความรู้เบ้ืองต้นงานเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้า สาหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 แผนการเรียนช่างกอ่ สร้าง(ทวิศึกษา) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ แมฮ่ ่องสอน โดยแบง่ เนอ้ื หาออกเปน็ จานวน 5 หนว่ ยการเรียน คอื หนว่ ยการเรยี น 1 ความปลอดภัย ในงานเช่ือมไฟฟ้า, หน่วยการเรียน 2 หลักการทางานของเคร่ืองเชื่อมไฟฟ้า , หน่วยการเรียน 3. เคร่อื งมือและอปุ กรณใ์ นงานเชอื่ มไฟฟ้า, หนว่ ยการเรยี น 4 ลวดเชื่อมไฟฟ้า และ หน่วยการเรียน 5 การเรม่ิ ตน้ การอาร์ค 3. การสรา้ งเคร่ืองมือในการวจิ ัย ในการสร้างของเคร่ืองมอื วิจยั ในครัง้ น้ี โดยมีลาดับขนั้ ตอนการสร้างดังนี้ 1.1 ศกึ ษาเทคนิค หลกั การ เอกสารและวรรณกรรมท่เี ก่ยี วข้องกับการสร้างบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน 1.2 กาหนดคุณลักษณะของข้อสอบ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ภาคผนวก ก กาหนดคณุ ลักษณะของขอ้ สอบ) 1.3 หาคุณภาพของแบบทดสอบ เมอื่ กาหนดคณุ ลักษณะของขอ้ สอบเสร็จ ผู้รายงาน นาขอ้ สอบ ดังกล่าวไปหาคณุ ภาพต่างๆ คือ
5 1.3.1 หาค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา (IOC) โดยนาข้อสอบไปนาเสนอต่อ ผู้เช่ียวชาญด้านเนื้อหา จานวน 3 ท่าน (ภาคผนวก ข ผู้เช่ียวชาญด้านเนื้อหา) เพ่ือตรวจสอบความ สอดคลอ้ งระหว่างขอ้ สอบกับวัตถปุ ระสงคห์ รอื ไม่ แล้วนาคะแนนผลพิจารณาท่ีได้จากผู้เชี่ยวชาญด้าน เน้ือหาไปหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับวัตถุประสงค์ (IOC) และเทียบกับเกณฑ์ คดั เลือกขอ้ สอบทีก่ าหนดไว้ เพื่อคัดเลือกข้อสอบท่ีมีคุณภาพวัด คัดไว้ใช้หรือต้องตัดทิ้ง (ภาคผนวก ค คา่ ดัชนีความสอดคลอ้ งระหว่างข้อสอบกบั วตั ถุประสงค์ (IOC)) 1.3.2 หาค่าความเชื่อม่ันของข้อสอบ (rtt) หลังจากหาค่าความความเที่ยงตรงของ เน้ือหาได้แล้ว จึงนาข้อสอบไปหาค่าความเชื่อม่ันกับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 แผนการเรียน อตุ สาหกรรม ที่ไดเ้ รียนรายวิชา งานเช่อื มเบ้ืองตน้ ไปแล้วในปีท่ีผ่านมาโดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แล้วนาผลคะแนนท่ีได้จากการทดสอบไปหาค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบ (rtt) และเทยี บกับเกณฑพ์ จิ ารณาความเช่ือมั่นของแบบทดสอบว่าอยู่ในระดับใด ก่อนจะ นาไปใชท้ ดสอบกบั กลุ่มเปา้ หมาย (ภาคผนวก ง คา่ ความเชอ่ื มัน่ ของข้อสอบ (rtt)) 1.4 ปรบั ปรงุ แก้ไขตามผเู้ ชย่ี วชาญแนะนา 1.5 ออกแบบและสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ความรู้เบื้องต้นงาน เชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้า ประเมินการใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในด้านการนาเสนอเน้ือหา ดา้ นการออกแบบหน้าจอ ด้านการนาทางในบทเรียน 1.6 นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนท่ีสรา้ งขนึ้ และผ่านการตรวจสอบ ไปการทดสอบ กับกลุ่มศึกษา นาบทเรียนที่สร้างข้ึนไปทดสอบกับนักเรียนมัธยมศึกษาปีท่ี 4 แผนการเรียน ช่างก่อสร้าง (ทวิศึกษา) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน ท่ีเรียน รายวิชา งานเช่ือมเบ้ืองต้น โดยให้ผู้เรียนทุกคนทาแบบทดสอบก่อนเรียน ซ่ึงในการทาแบบทดสอบก่อนเรียนน้ีจะต้องกาชับให้ ผูเ้ รียนทุกคนทาแบบทดสอบ โดยอาศัยความรู้ที่มีอยู่มาใช้ในการตอบ ข้อไหนผู้เรียนไม่ทราบก็ไม่ต้อง ตอบและห้ามเดาคาตอบเด็ดขาด จากนั้นให้ผู้เรียนศึกษาบทเรียนท่ีสร้างข้ึน ครูผู้สอนติดตาม พฤตกิ รรมการเข้าใช้ของผู้เรียนเวลาในการเรียน และคอยช่วยเหลือ เม่ือผู้เรียนประสบปัญหาในการ เรียนขึน้ หลังจากการท่ศี กึ ษาเน้ือหาจบตามเวลาทกี่ าหนดแล้ว ให้ผู้เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน โดย แบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนจะเป็นข้อสอบชุดเดียวกัน จากนั้นทาการวิเคราะห์ ข้อมลู โดยคานวณหาร้อยละของนักเรียนท่ีสามารถทาคะแนนจากการทดสอบหลังเรียนได้ 80% และ คานวณหาร้อยละของคะแนนเฉล่ียที่นักเรียนทั้งหมดทาได้จากการทดสอบหลังเรียน เพ่ือหา ประสิทธิภาพของบทเรียน โดยนาผลที่ได้นั้นมาเทียบกับเกณฑ์ 80/80 ท่ีตั้งไว้ จากน้ันดาเนินการ สรุปผลและอภปิ รายผลเป็นลาดับข้นั ต่อไป 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผ้รู ายงานเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยตนเองตามลาดับดังนี้ 1. กลุ่มตัวอย่างทาการทดสอบก่อนเรียน (pretest) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นกอ่ นเรยี น จานวน 60 ขอ้ จากน้นั ตรวจบันทกึ คะแนนของนกั เรียนแต่ละคน 2. ครูอธิบายและแนะนาวธิ ีใช้บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน เรื่อง ความรู้เบ้ืองต้น งานเช่ือมโลหะด้วยไฟฟ้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 แผนการเรียนช่างอุตสาหกรรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะห์แม่ฮอ่ งสอน
6 3. กลุ่มตัวอย่างทาการศึกษาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ความรู้เบ้ืองต้น งานเช่ือมโลหะด้วยไฟฟ้า สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 แผนการเรียนช่างอุตสาหกรรม (ทวศิ ึกษา) โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะหแ์ ม่ฮ่องสอน โดยผูว้ ิจัยดาเนนิ การควบคมุ ด้วยตนเอง 4. กลุ่มตวั อย่างทาการทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิหลังเรียน (posttest) ด้วยแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน จานวน 60 ข้อ ซ่ึงเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ชดุ เดิมกบั แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน แต่สลับข้อสลับตัวเลือก นาคะแนนที่ได้ ไปเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนของนักเรียนกลุ่ม ตวั อย่าง ผลการวิเคราะหแ์ ละสถติ ิทใี่ ช้ วิธีการวิเคราะห์และสถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง ความรู้เบือ้ งต้นงานเชื่อมโลหะดว้ ยไฟฟา้ จะดาเนนิ การดังน้ี 5.1 ประเมนิ เคร่อื งมือที่ใช้ในศกึ ษา โดยนาไปใหผ้ ู้เชีย่ วชาญด้านเน้ือหา 3 ท่านตรวจสอบ เพ่อื ตรวจสอบความเท่ียงตรงของเนื้อหาของแบบทดสอบวัดความรูพื้นฐาน และแบบทดสอบหลังเรียน โดยใชส้ ูตรของวแิ นลลี และแฮมเบลตนั ดงั นี้ สูตรคอื เมอ่ื หมายถงึ ดชั นีความสอดคลองมคี าอยูระหวาง -1 ถงึ +1 หมายถึง ผลรวมของการพจิ ารณาของผูเชย่ี วชาญ หมายถงึ จานวนผูเชี่ยวชาญ การวิเคราะหหาความเช่ือม่ันของแบบทดสอบวัดความรูพ้ืนฐาน แบบทดสอบหลังเรียน โดยการหาความเช่ือมนั่ ตามวธิ กี ารของ Kuder-Richardson สูตร KR-20 คือ เมอื่ K แทน จานวนขอสอบทงั้ ฉบบั p แทน สดั สวนของผูตอบถูก q แทน สดั สวนของผูตอบผดิ (1-p) แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวม 5.2 ประเมินผลจากการบรรลุผลสาเร็จในการเรียนจาก คะแนนเฉล่ียที่ผู้เรียนท้ังหมด ทาไดจ้ ากการทดสอบหลังเรยี น คดิ เปน็ 80% 5.3 ประเมินผลจากผู้เรียนจานวนร้อยละ 80 สามารถทาคะแนนผ่านร้อยละ 80 จากการทดสอบหลงั เรียน
7 5.4 เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของนกั เรยี น โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอน เรื่อง ความรเู้ บอื้ งตน้ งานเชอื่ มโลหะด้วยไฟฟา้ ก่อนใชแ้ ละหลังใช้ฯ การสรุปผลและอภปิ รายผล 1. การสร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ความรู้เบ้ืองต้น งานเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4/3 แผนการเรียนอุตสาหกรรม (ทวศิ กึ ษา) ผรู้ ายงานนาบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน ไปใชจ้ รงิ กับกลมุ่ เป้าหมายเพื่อหาประสิทธิภาพ ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับกลุ่มเป้าหมาย โดยกลุ่มเป้าหมายที่ศึกษาในคร้ังน้ี ที่ศึกษาใน ครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนศึกษา สงเคราะห์แม่ฮ่องสอน ท่ีเรียนรายวิชา งานเชื่อมเบ้ืองต้น เรื่อง ความรู้เบ้ืองต้นงานเชื่อมโลหะด้วย ไฟฟา้ จานวน 19 คน ไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งเป็นนกั เรยี นท่ีเลือก เรยี นตามโครงสรา้ งหลักสตู รสถานศึกษา แผนการเรยี นช่างกอ่ สร้าง(ทวิศึกษา) ได้ผลคะแนนจากการ ทาแบบทดสอบตามลาดับ ดังนี้ ตาราง 1 แสดงร้อยละของคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี นของนกั เรยี นแบบกลุ่มเป้าหมาย ชุดท่ี ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ80 ผ่าน / ไมผ่ ่าน คนท่ี กอ่ นเรียน หลังเรียน ร้อยละ (60) (60) 1 13 50 83.33 2 11 51 85.00 52 86.67 3 26 4 13 56 93.33 51 85.00 5 14 35 58.33 6 16 7 13 32 53.33 48 80.00 8 20 9 17 48 80.00 37 61.67 10 13 54 90.00 11 17 12 17 54 90.00 48 80.00 13 11 14 15 50 83.33 52 86.67 15 13 54 90.00 16 13 17 17 54 90.00 54 90.00 18 21 19 12 50 83.33 เฉล่ยี E2 =81.58 E1 =84.21
8 จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นว่ามีนักเรียนที่สามารถทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 80 มีจานวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 84.2 (E1= 84.21) และมี คะแนนเฉล่ียจากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนหลงั เรียน ค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ท่ี 48.95 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 81.58 (E2= 81.58) น่ันคือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่สร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพ E1/ E2 เท่ากับ 84.21/81.58 ซ่ึงมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่ได้กาหนดไว้ และในการทา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนพบว่า มีนักเรียนจานวน 3 คน ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ รอ้ ยละ 80 คิดเปน็ รอ้ ยละ 18.79 ผรู้ ายงานไดด้ าเนินการซ่อมเสริมโดยให้ผู้เรียนกลับไปศึกษาเนื้อหา ในบทเรยี นในส่วนท่ยี ังมีปัญหาอีกครั้ง แล้วจึงกลับมาทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลัง เรียนจนกว่าจะผา่ นเกณฑ์ท่กี าหนดไว้ สรปุ ผลในการทดสอบหาประสิทธิภาพของบทเรียนอิเลก็ ทรอนกิ ส์บนเครอื ข่ายที่สรา้ งข้ึน มีประสิทธภิ าพ E1/ E2 เท่ากับ 84.21/81.58 ซึ่งมีคา่ สูงกว่าเกณฑ์ทีไ่ ด้กาหนดไว้ 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอน เร่ือง ความรู้เบ้ืองตน้ งานเช่อื มโลหะด้วยไฟฟ้าก่อนใช้และหลังใช้ฯ ผู้รายงานนาผลคะแนนท่ีได้ จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และผลคะแนนท่ีได้จากการทา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรยี น (ตาราง 1 แสดงรอ้ ยละของคะแนนการทดสอบก่อน เรียนและหลังเรียนของนักเรียนแบบกลุ่มเป้าหมาย) มาเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อน เรยี นและหลังเรียน ไดข้ ้อมลู เปรยี บเทียบตามตารางดงั นี้ ตาราง 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น โดยใชบ้ ทเรียน คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน เรือ่ ง ความรูเ้ บื้องต้นงานเชอ่ื มโลหะด้วยไฟฟา้ แบบทดสอบ N Mean S.D. t Sig ก่อนเรียน 19 15.37 3.818 20.488 .00** หลังเรยี น 19 48.95 6.811 **มีนัยสาคัญทางสถิติทรี่ ะดับ .01 (t > 2.58) จากตาราง 2 แสดงให้เห็นว่า คะแนนของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อน เรียน เรือ่ ง ความร้เู บอื้ งต้นงานเช่ือมโลหะด้วยไฟฟา้ มคี ่าเฉลีย่ (Mean) เท่ากับ 15.37 (S.D.= 3.818) และคะแนนของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลังเรยี น เรอ่ื ง ความร้เู บื้องต้นงานเชือ่ มโลหะ ด้วยไฟฟ้า มีค่าเฉลยี่ (Mean) เท่ากับ 48.95 (S.D.= 6.811) แสดงใหเ้ หน็ ว่า ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลังเรียน เร่ือง ความรู้เบื้องต้นงานเชื่อมโลหะด้วย ไฟฟา้ นักเรียน โดยใช้บทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน เรอื่ ง ความรู้เบ้ืองตน้ งานเชอื่ มโลหะด้วยไฟฟ้าสูง กวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ .01
9 ภาคผนวก ก กาหนดคณุ ลักษณะของข้อสอบ
10 ภาคผนวก ข ผ้เู ชย่ี วชาญด้านเนอื้ หา
11 ภาคผนวก ค ค่าดชั นีความสอดคล้องระหวา่ งข้อสอบกบั วตั ถปุ ระสงค์ (IOC
12 การวิเคราะหห์ าคา่ ความเทยี่ งตรงของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนก่อน-หลงั เรียน ตาราง 3 แสดงผลการตรวจสอบความเท่ยี งตรงตามเนอ้ื หาของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการ เรยี นก่อนเรียนและหลังเรยี น ของผ้เู ชี่ยวชาญ จานวน 3 ทา่ น ขอ้ ที่ +1 0 -1 R IOC = ผลการประเมิน 13 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ชง้ านได้ 23 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ชง้ านได้ 33 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ช้งานได้ 43 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ช้งานได้ 53 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ชง้ านได้ 63 - - 3 1.00 คัดไว้ใชง้ านได้ 73 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ชง้ านได้ 83 - - 3 1.00 คัดไว้ใช้งานได้ 93 - - 3 1.00 คัดไว้ใชง้ านได้ 10 3 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ช้งานได้ 11 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ช้งานได้ 12 3 - - 3 1.00 คดั ไว้ใชง้ านได้ 13 2 1 - 2 0.66 คดั ไว้ใชง้ านได้ 14 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใช้งานได้ 15 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ช้งานได้ 16 3 - - 3 1.00 คดั ไว้ใชง้ านได้ 17 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ช้งานได้ 18 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใชง้ านได้ 19 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใช้งานได้ 20 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ชง้ านได้ 21 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ช้งานได้ 22 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ช้งานได้ 23 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ช้งานได้ 24 3 - - 3 1.00 คดั ไว้ใชง้ านได้ 25 3 - - 3 1.00 คดั ไว้ใชง้ านได้ 26 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใช้งานได้ 27 3 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ช้งานได้ 28 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใช้งานได้ 29 3 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ช้งานได้ 30 3 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ชง้ านได้
13 ตาราง 3 (ต่อ) ข้อที่ +1 0 -1 R IOC = ผลการประเมิน 31 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ชง้ านได้ 32 3 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ชง้ านได้ 33 3 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ชง้ านได้ 34 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใชง้ านได้ 35 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใชง้ านได้ 36 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ชง้ านได้ 37 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใชง้ านได้ 38 3 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ช้งานได้ 39 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ช้งานได้ 40 2 1 - 2 0.66 คัดไว้ใช้งานได้ 41 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ชง้ านได้ 42 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ชง้ านได้ 43 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ชง้ านได้ 44 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใชง้ านได้ 45 2 1 - 2 0.66 คัดไว้ใชง้ านได้ 46 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ชง้ านได้ 47 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ช้งานได้ 48 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ช้งานได้ 49 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใช้งานได้ 50 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใช้งานได้ 51 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ชง้ านได้ 52 3 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ช้งานได้ 53 3 - - 3 1.00 คดั ไว้ใช้งานได้ 54 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใชง้ านได้ 55 3 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ชง้ านได้ 56 3 - - 3 1.00 คดั ไว้ใช้งานได้ 57 3 - - 3 1.00 คดั ไวใ้ ช้งานได้ 58 3 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ชง้ านได้ 59 3 - - 3 1.00 คัดไวใ้ ช้งานได้ 60 3 - - 3 1.00 คัดไว้ใช้งานได้
14 หาคา่ ดัชนีความสอดคลอ้ งระหวา่ งข้อสอบกบั วตั ถปุ ระสงค์ (IOC) โดยใช้สูตรของโรวิแนลลีและ แฮมเบลตนั (Rovinelli and Hambleton) (ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ, 2539 : 248-249)ดงั นี้ IOC = ∑ เม่ือ IOC หมายถงึ ดัชนคี วามสอดคลองระหว่างขอ้ สอบกับวัตถปุ ระสงค์ ∑ หมายถึง ผลรวมของการพิจารณาของผูเชยี่ วชาญ N หมายถงึ จานวนผูเช่ียวชาญ จากตาราง 3 แสดงให้เห็นว่า ค่าดัชนีความสอดคล้องกันระหว่างข้อสอบแต่ละข้อของ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นก่อนเรยี นและหลังเรยี น กับวตั ถปุ ระสงค์มีค่าตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ดงั นัน้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน สามารถวัดพฤติกรรมได้ตรง ตามเนอ้ื หาตามทวี่ ตั ถปุ ระสงคไ์ ด้กาหนดไว้
15 ภาคผนวก ง ค่าความเชอ่ื มั่นของขอ้ สอบ (rtt)
16 ตาราง 4 แสดงคะแนนผลการทดสอบวดั ความรขู้ องนักเรียนในการหาความเชอื่ ม่นั ของ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น X2 คนที่ คะแนนเต็ม (60) 1 54 2916 2 54 2916 3 52 2704 4 52 2704 5 52 2704 6 41 1681 7 42 1764 8 41 1681 9 40 1600 รวม X=428 X2=20670 คา่ เฉลย่ี X =47.56 จากผลคะแนนท่ีได้จากการแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและ หลังเรียน ชุดที่ 5 นาไปหาค่าความเช่ือมั่นของแบบทดสอบ (rtt) โดยใช้สูตร KR-21 ของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson) (ยุทธ ไกยวรรณ์, 2545 : 173) rtt = [ ] เม่ือ rtt แทน ค่าความเชือ่ ม่ันของแบบทดสอบ k แทน จานวนข้อของแบบทดสอบ แทน คะแนนความแปรปรวนของคะแนนรวมทัง้ ฉบบั แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนนท้งั ฉบับ และหาคะแนนความแปรปรวนของคะแนนรวมทั้งฉบบั ไดจ้ าก = ∑ - (∑ ) เมอ่ื แทน คะแนนความแปรปรวนของคะแนนรวมทงั้ ฉบบั X แทน คะแนนสอบของนักเรยี นแต่ละคน N แทน จานวนนักเรียนทัง้ หมด
17 จากผลในตารางนามาแทนค่าในสตู รหาแปรปรวนของคะแนนรวมทั้งฉบบั = ∑ - (∑ ) = -( ) = 2296.67 – 2261.53 = 35.14 นาค่า มาแทนค่าในสตู รหาหาคา่ ความเช่อื ม่ันของแบบทดสอบ rtt = [ ] rtt = *+ rtt = 1.02 * + rtt = 1.02 * + rtt = rtt = 1.02 x [ 1 – 0.2807] rtt = 1.02 x 0.72 0.73 จากค่าแสดงใหเ้ หน็ ได้วา่ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนก่อนเรียน-หลังเรยี น มีค่าความเชอ่ื มนั่ เทา่ กับ 0.73
18 ภาคผนวก จ ภาพการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรอ่ื ง ความร้เู บ้ืองต้นงานเชือ่ มโลหะดว้ ยไฟฟ้า
19 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรอ่ื ง ความรเู้ บอื้ งตน้ งานเชอื่ มโลหะดว้ ยไฟฟ้า
20 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรอ่ื ง ความรเู้ บอื้ งตน้ งานเชอื่ มโลหะดว้ ยไฟฟ้า
21 การใช้บทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน
22 ภาคผนวก ผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น ( T-TEST Dependent ) โดยใช้ โปรแกรม SPSS 11.6
23
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: