ภูมิปัญญาศึกษา เรือ่ ง การทาขนมเทยี นสูตร 100 ปี โดย 1. นางแฉลม้ ย่งั ยืน (ผถู้ า่ ยทอดภูมปิ ัญญา) 2. นางสาวปรียานนั ส่หู ญ้านาง (ผูเ้ รียบเรียงภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่น) เอกสารภูมิปัญญาศกึ ษาน้ีเปน็ ส่วนหน่ึงของการศกึ ษา ตามหลักสตู รโรงเรียนผู้สงู อายุเทศบาลเมอื งวังนา้ เย็น ประจาปกี ารศกึ ษา 2561 โรงเรยี นผู้สงู อายุเทศบาลเมอื งวงั นา้ เยน็ สงั กัดเทศบาลเมอื งวังน้าเยน็ จังหวดั สระแกว้
คานา ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น หรอื เรยี กชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน คือองคค์ วามรู้ทีช่ าวบา้ นได้ สั่งสมจากประสบการณ์จริงท่ีเกิดขึ้นหรือจากบรรพบุรุษท่ีได้ถ่ายทอดสืบกันมาต้ังแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพอื่ นามาใชแ้ ก้ปัญหาในชวี ติ ประจาวัน การทามาหากิน การประกอบการงานเล้ียงชีพ หรือกิจกรรมอื่น ๆ เป็น การผ่อนคลายจากการทางาน หรือการย้ายถิ่นฐานเพื่อมาต้ังถ่ินฐานใหม่แล้วคิดค้นหรือค้นหาวิธีการดังกล่าว เพอ่ื การแก้ปัญหา โดยสภาพพ้ืนท่ีน้ัน ชุมชนวังน้าเย็นแห่งนี้ เกิดข้ึนเมื่อราว ๆ 50 ปีท่ีผ่านมา จากการอพยพ ถ่ินฐานของผู้คนมาจากทุก ๆ ภาคของประเทศไทย แล้วมาก่อต้ังเป็นชุมชนวังน้าเย็น ซ่ึงบางคนได้นาองค์ ความรูม้ าจากถนิ่ ฐานเดิมแล้วมกี ารสบื ทอดสบื สานมาจนถงึ ปจั จุบนั เชน่ เดียวกับการทาขนมเทียนสูตร 100 ปี โดยนางแฉลม๎ ยงั่ ยนื ไดร้ วบรวมเรียบเรียงถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนรุ่นหลังได้สืบค้น หรือค้นคว้าเป็นภูมิ ปญั ญาศกึ ษา ของเทศบาลเมืองเมืองวังน้าเย็น จงั หวัดสระแกว้ ผูศ้ กึ ษาขอขอบพระคณุ นายวนั ชยั นารีรกั ษ์ นายกเทศมนตรีเมอื งวังนา้ เย็น นายคนองพล เพ็ชรรื่น ปลัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น คณะกรรมการโรงเรียนผู้สูงอายุ กองสวัสดิการสังคม กองสาธารณสุขและ สง่ิ แวดล้อม เทศบาลเมืองวังน้าเย็น โรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธ์วิทยา โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมือวังน้าเย็น หน่วยงานอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้อง และขอขอบพระคุณ นางสาวปรียานัน สูํหญ๎านาง ที่ได้เป็นที่ปรึกษา ดูแล รบั ผดิ ชอบงานดา้ นธุรการ บันทึกเรอ่ื งราวและจัดทาเป็นรูปเล่มท่ีสมบูรณ์ครบถ้วน ความรู้อันใดหรือกุศลอันใด ท่ีเกิดจากการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจร่วมพลังจนเกิดมีภูมิปัญญาศึกษาฉบับนี้ ขอกุศลผลบุญน้ันจงเกิดมีแก่ ผูเ้ ก่ียวขอ้ งดังที่กลา่ วมาทุก ๆ ท่านเพ่อื สร้างสงั คมแห่งการเรียนตอ่ ไป นางแฉลม๎ ย่งั ยืน นางสาวปรียานนั สํหู ญ๎านาง ผจ๎ู ดั ทา
ท่ีมาและความสาคญั ของภมู ิปัญญาศกึ ษา จากพระราชดารสั ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่ีวาํ “ประชาชนน่นั แหละ ทีเ่ ขามคี วามรเ๎ู ขาทางานมาหลายชวั่ อายคุ น เขาทากนั อยาํ งไร เขามีความเฉลยี วฉลาด เขารูว๎ าํ ตรงไหน ควรทากสกิ รรม เขาร๎ูวําตรงไหนควรเก็บรักษาไว๎ แตํที่เสียไปเพราะพวกไมํร๎ูเรื่อง ไมํได๎ทามานานแล๎ว ทาให๎ ลมื วาํ ชวี ติ มันเปน็ ไปโดยการกระทาทีถ่ กู ตอ๎ งหรือไมํ” พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ- พลอดุลยเดช ท่ีสะท๎อนถึงพระปรีชาสามารถในการรับร๎ูและความเข๎าใจหย่ังลึก ที่ทรงเห็นคุณคําของภูมิ ป๓ญญาไทยอยํางแท๎จริง พระองค๑ทรงตระหนักเปน็ อยํางยิ่งวํา ภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นเป็นสิ่งท่ีชาวบ๎านมีอยํูแล๎ว ใช๎ ประโยชน๑เพอ่ื ความอยํูรอดกันมายาวนาน ความสาคัญของภูมิป๓ญญาท๎องถ่ิน ซึ่งความร๎ูท่ีสั่งสมจากการปฏิบัติ จริงในห๎องทดลองทางสังคม เป็นความร๎ูด้ังเดิมที่ถูกค๎นพบ มีการทดลองใช๎ แก๎ไข ดัดแปลง จนเป็นองค๑ ความรู๎ท่ีสามารถแก๎ป๓ญหาในการดาเนินชีวิตและถํายทอดสืบตํอกันมา ภูมิป๓ญญาท๎องถิ่น เป็นขุมทรัพย๑ทาง ป๓ญญาท่ีคนไทยทุกคนควรรู๎ ควรศึกษา ปรับปรุง และพัฒนาให๎สามารถนาภูมิป๓ญญาท๎องถ่ินเหลําน้ันมา แก๎ไขป๓ญหาให๎สอดคล๎องกับบริบททางสังคม วัฒนธรรมของกลุํมชุมชนน้ัน ๆ อยํางแท๎จริง การพัฒนาภูมิ ป๓ญญาศึกษานับเป็นส่ิงสาคัญตํอบทบาทของชุมชนท๎องถิ่นท่ีได๎พยายามสร๎างสรรค๑ เป็นน้าพักน้าแรงรํวมกัน ของผู๎สูงอายุและคนในชุมชนจนกลายเป็นเอกลักษณ๑และวัฒนธรรมประจาถ่ินท่ีเหมาะตํอการดาเนินชีวิต หรือ ภูมิป๓ญญาของคนในท๎องถ่ินน้ันๆ แตํภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นสํวนใหญํเป็นความร๎ู หรือเป็นส่ิงที่ได๎มาจาก ประสบการณ๑ หรือเป็นความเชื่อสืบตํอกันมา แตํยังขาดองค๑ความร๎ู หรือขาดหลักฐานยืนยันหนักแนํน การ สร๎างการยอมรบั ท่ีเกิดจากฐานภมู ปิ ญ๓ ญาท๎องถนิ่ จงึ เปน็ ไปได๎ยาก ดังน้ัน เพื่อให๎เกิดการสํงเสริมพัฒนาภูมิป๓ญญาท่ีเป็นเอกลักษณ๑ของท๎องถ่ิน กระต๎ุนเกิดความ ภาคภูมิใจในภูมิป๓ญญาของบุคคลในท๎องถ่ิน ภูมิป๓ญญาไทยและวัฒนธรรมไทย เกิดการถํายทอดภูมิป๓ญญาสํู คนรํุนหลงั โรงเรยี นผูส๎ ูงอายุเทศบาลเมอื งวงั นา้ เย็น ไดด๎ าเนนิ การจัดทาหลกั สูตรการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนา ศักยภาพผ๎ูสูงอายุในท๎องถิ่นที่เน๎นให๎ผู๎สูงอายุได๎พัฒนาตนเองให๎มีความพร๎อมสูํสังคมผู๎สูงอายุที่มีคุณภาพใน อนาคต รวมทั้งสืบทอดภูมิป๓ญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผู๎สูงอายุท่ีได๎ส่ังสมมา เกิดจากการสืบทอดภูมิ ป๓ญญาของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผ๎ูสูงอายุจะเป็นผ๎ูถํายทอดองค๑ความรู๎ และมีครูพ่ีเล้ียงซ่ึงเป็นคณะครูของ โรงเรยี นในสังกัดเทศบาลเมืองวงั นา้ เยน็ เป็นผเู๎ รียบเรยี งองคค๑ วามรู๎ไปสกูํ ารจดั ทาภมู ิปญ๓ ญาศึกษา ให๎ปรากฏออกมาเป็นรูปเลํมภูมิป๓ญญาศึกษา ใช๎เป็นสํวนหนึ่งในการจบหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียน ผ๎ูสูงอายุ ประจาปีการศึกษา 2561 พร๎อมทั้งเผยแพรํและจัดเก็บคลังภูมิป๓ญญาไว๎ในห๎องสมุดของโรงเรียน เทศบาลมิตรสัมพนั ธว๑ ทิ ยา เพอ่ื ใหภ๎ มู ิป๓ญญาทอ๎ งถิ่นเหลาํ นเ้ี กิดการถาํ ยทอดสคํู นรุํนหลงั สบื ตอํ ไป จากความรํวมมือในการพัฒนาบุคลากรในหนํวยงานและภาคีเครือขํายที่มีสํวนรํวมในการผสมผสาน องค๑ความรู๎ เพื่อยกระดับความรู๎ของภูมิป๓ญญาน้ัน ๆ เพื่อนาไปสํูการประยุกต๑ใช๎ และผสมผสานเทคโนโลยี ใหมํๆ ใหส๎ อดรบั กบั วถิ ีชวี ติ ของชมุ ชนได๎อยํางมีประสิทธิภาพ การนาภูมิป๓ญญาไทยกลับสูํการศึกษา สามารถ สํงเสริมใหม๎ กี ารถํายทอดภูมิป๓ญญาในโรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพนั ธว๑ ิทยา และโรงเรยี นในสังกดั เทศบาลเมืองวัง น้าเย็น เกิดการมีสํวนรํวมในกระบวนการถํายทอด เช่ือมโยงความร๎ูให๎กับนักเรียนและบุคคลทั่วไปในท๎องถ่ิน โดยการนาบคุ ลากรที่มีความร๎ูความสามารถในท๎องถ่ินเข๎ามาเป็นวิทยากรให๎ความรู๎
กับนกั เรียนในโอกาสตาํ ง ๆ หรือการท่โี รงเรียนนาองคค๑ วามรู๎ในท๎องถน่ิ เขา๎ มาสอนสอดแทรกในกระบวนการ จดั การเรยี นรู๎ ส่งิ เหลาํ นท้ี าใหก๎ ารพฒั นาภมู ปิ ๓ญญาท๎องถิน่ นาไปสูํการสบื ทอดภูมิป๓ญญาศึกษาเกิดความสาเร็จ อยาํ งเปน็ รูปธรรม นักเรียนผส๎ู ูงอายุเกิดความภาคภูมิใจในภูมิป๓ญญาของตนที่ได๎ถํายทอดสํูคนรํุนหลังให๎คงอยูํ ในท๎องถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตประจาท๎องถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตคํูแผํนดินไทยตราบ นานเทํานาน นยิ ามคาศัพท์ในการจดั ทาภูมปิ ัญญาศกึ ษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองที่ผู๎สูงอายุเช่ียวชาญท่ีสุด ของ ผูส๎ งู อายทุ ่ีเขา๎ ศึกษาตามหลกั สูตรของโรงเรียนผส๎ู ูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมิป๓ญญา ในรปู แบบตําง ๆ มีการสืบทอดภูมิป๓ญญาโดยการปฏิบัติและการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษรตามรูปแบบ ท่ีโรงเรียนผู๎สูงอายุกาหนดข้ึน ใช๎เป็นสํวนหนึ่งในการจบหลักสูตรการศึกษา เพ่ือให๎ภูมิป๓ญญาของผู๎สูงอายุ ไดร๎ ับการถาํ ยทอดสํูคนรุํนหลงั และคงอยูใํ นท๎องถน่ิ ตอํ ไป ซง่ึ แบงํ ภมู ิป๓ญญาศึกษาออกเปน็ 3 ประเภท ได๎แกํ 1.ภมู ปิ ญ๓ ญาศกึ ษาท่ีผส๎ู ูงอายเุ ปน็ ผู๎คดิ คน๎ ภมู ปิ ๓ญญาในการดาเนินชีวิตในเรือ่ งท่เี ช่ียวชาญท่ีสดุ ด๎วยตนเอง 2. ภูมปิ ๓ญญาศกึ ษาที่ผู๎สูงอายุเป็นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต๑ใช๎ในการดาเนิน ชีวิตจนเกดิ ความเชย่ี วชาญ 3. ภูมิป๓ญญาศึกษาที่ผู๎สูงอายุเป็นผู๎นาภูมิป๓ญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช๎ในการดาเนินชีวิตโดย ไมํมีการเปลยี่ นแปลงไปจากเดิมจนเกิดความเช่ยี วชาญ ผถู้ ่ายทอดภมู ปิ ัญญา หมายถึง ผ๎สู งู อายุทีเ่ ขา๎ ศกึ ษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมือง วังนา้ เยน็ เป็นผู๎ถํายทอดภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีตนเองเช่ียวชาญมากที่สุด นามาถํายทอดให๎แกํผ๎ู เรยี บเรียงภูมปิ ญ๓ ญาท๎องถน่ิ ไดจ๎ ัดทาข๎อมลู เปน็ รูปเลํมภูมิปญ๓ ญาศกึ ษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง ผ๎ูที่นาภูมิป๓ญญาในการดาเนินชีวิตในเรื่องที่ผ๎ูสูงอายุ เชี่ยวชาญท่ีสุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษร ศึกษาหาข๎อมูลเพิ่มเติมจากแหลํงข๎อมูลตําง ๆ จัดทาเป็น เอกสารรูปเลํม ใช๎ชื่อวํา “ภูมปิ ญ๓ ญาศกึ ษา”ตามรปู แบบท่ีโรงเรยี นผ๎สู ูงอายุเทศบาลเมืองวงั นา้ เยน็ กาหนด ครูท่ีปรึกษา หมายถึง ผู๎ท่ีปฏิบัติหน๎าท่ีเป็นครูพ่ีเลี้ยง เป็นผ๎ูเรียบเรียงภูมิป๓ญญาท๎องถิ่น ปฏิบัติ หน๎าท่เี ป็นผป๎ู ระเมินผล เปน็ ผ๎ูรับรองภูมิป๓ญญาศึกษา รวมท้ังเป็นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาศึกษาเข๎ามาสอนในโรงเรียน โดยบรู ณาการการจัดการเรียนร๎ตู ามหลกั สตู รท๎องถน่ิ ทีโ่ รงเรียนจัดทาขึ้น
ภูมปิ ัญญาศึกษาเชอ่ื มโยงสู่สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชนฯ 1. ลักษณะของภมู ิปัญญาไทย ลักษณะของภูมิป๓ญญาไทย มีดงั น้ี 1. ภูมิป๓ญญาไทยมีลกั ษณะเป็นทงั้ ความร๎ู ทักษะ ความเชือ่ และพฤติกรรม 2. ภมู ิปญ๓ ญาไทยแสดงถึงความสัมพนั ธ๑ระหวํางคนกับคน คนกบั ธรรมชาติ ส่งิ แวดลอ๎ ม และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ 3. ภมู ิปญ๓ ญาไทยเปน็ องค๑รวมหรือกิจกรรมทกุ อยํางในวิถชี ีวิตของคน 4. ภมู ปิ ๓ญญาไทยเปน็ เร่ืองของการแก๎ป๓ญหา การจัดการ การปรบั ตวั และการเรยี นร๎ู เพื่อความอยูรํ อดของบุคคล ชุมชน และสังคม 5. ภูมิปญ๓ ญาไทยเป็นพืน้ ฐานสาคัญในการมองชีวิต เป็นพ้นื ฐานความรใู๎ นเรือ่ งตํางๆ 6. ภูมิป๓ญญาไทยมีลกั ษณะเฉพาะ หรือมเี อกลักษณ๑ในตวั เอง 7. ภมู ิป๓ญญาไทยมีการเปล่ยี นแปลงเพ่ือการปรบั สมดลุ ในการพัฒนาทางสงั คม 2. คุณสมบัตขิ องภูมปิ ญั ญาไทย ผูท๎ รงภูมปิ ญ๓ ญาไทยเป็นผม๎ู คี ุณสมบัติตามทีก่ าหนดไว๎ อยํางน๎อยดงั ตํอไปน้ี 1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความร๎ูความสามารถในวิชาชีพตํางๆ มีผลงานด๎านการพัฒนา ท๎องถิ่นของตน และได๎รับการยอมรับจากบุคคลท่ัวไปอยํางกว๎างขวาง ทั้งยังเป็นผู๎ท่ีใช๎หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเป็นเครอ่ื งยึดเหนี่ยวในการดารงวถิ ีชีวติ โดยตลอด 2. เป็นผู๎คงแกํเรียนและหมั่นศึกษาหาความร๎ูอยูํเสมอ ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญาจะเป็นผ๎ูที่หมั่นศึกษา แสวงหาความร๎ูเพ่ิมเติมอยูํเสมอไมํหยุดนิ่ง เรียนร๎ูท้ังในระบบและนอกระบบ เป็นผ๎ูลงมือทา โดยทดลองทา ตามที่เรยี นมา อีกทั้งลองผิด ลองถูก หรือสอบถามจากผู๎ร๎ูอ่ืนๆ จนประสบความสาเร็จ เป็นผู๎เช่ียวชาญ ซึ่งโดด เดํนเป็นเอกลักษณ๑ในแตํละด๎านอยํางชัดเจน เป็นท่ียอมรับการเปล่ียนแปลงความรู๎ใหมํๆ ที่เหมาะสม นามา ปรับปรุงรบั ใชช๎ ุมชน และสงั คมอยํเู สมอ 3. เป็นผ๎ูนาของท๎องถ่ิน ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญาสํวนใหญํจะเป็นผ๎ูที่สังคม ในแตํละท๎องถ่ินยอมรับให๎ เป็นผ๎ูนา ท้ังผ๎ูนาที่ได๎รับการแตํงต้ังจากทางราชการ และผู๎นาตามธรรมชาติ ซ่ึงสามารถเป็นผู๎นาของท๎องถิ่น และชวํ ยเหลอื ผ๎อู ่นื ไดเ๎ ปน็ อยาํ งดี 4. เปน็ ผ๎ทู ีส่ นใจปญ๓ หาของทอ๎ งถ่นิ ผู๎ทรงภมู ิป๓ญญาล๎วนเปน็ ผู๎ที่สนใจป๓ญหาของท๎องถิ่น เอาใจ ใสํ ศึกษาป๓ญหา หาทางแก๎ไข และชํวยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล๎เคียงอยํางไมํยํอท๎อ จน ประสบความสาเรจ็ เปน็ ท่ียอมรับของสมาชิกและบคุ คลท่ัวไป 5. เป็นผ๎ขู ยนั หม่ันเพยี ร ผ๎ูทรงภมู ปิ ๓ญญาเป็นผข๎ู ยันหม่นั เพยี ร ลงมือทางานและผลิตผลงานอยูํ เสมอ ปรบั ปรงุ และพฒั นาผลงานใหม๎ คี ณุ ภาพมากขึน้ อีกท้ังมุงํ ทางานของตนอยาํ งตํอเนื่อง 6. เป็นนักปกครองและประสานประโยชน๑ของท๎องถ่ิน ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญา นอกจากเป็นผ๎ูที่ ประพฤตติ นเป็นคนดี จนเป็นที่ยอมรับนับถือจากบุคคลท่ัวไปแล๎ว ผลงานท่ีทํานทายังถือวํามีคุณคํา จึงเป็นผู๎ท่ี มีท้ัง \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป็นผ๎ูประสานประโยชน๑ให๎บุคคลเกิดความรัก ความเข๎าใจ ความเหน็ ใจ และมีความสามคั คีกนั ซ่งึ จะทาใหท๎ อ๎ งถน่ิ หรือสังคม มีความเจริญ มีคณุ ภาพชีวิตสูงข้นึ กวาํ เดิม
7. มีความสามารถในการถํายทอดความรูเ๎ ปน็ เลศิ เม่ือผ๎ทู รงภูมปิ ๓ญญามคี วามรู๎ความสามารถ และประสบการณ๑เป็นเลิศ มผี ลงานทเี่ ป็นประโยชน๑ตํอผู๎อ่ืนและบุคคลท่ัวไป ทง้ั ชาวบา๎ น นักวิชาการ นกั เรียน นสิ ติ /นกั ศกึ ษา โดยอาจเข๎าไปศึกษาหาความร๎ู หรอื เชิญทาํ นเหลาํ น้นั ไป เป็นผ๎ถู าํ ยทอดความรไ๎ู ด๎ 8. เป็นผู๎มีคูํครองหรือบริวารดี ผู๎ทรงภูมิป๓ญญา ถ๎าเป็นคฤหัสถ๑ จะพบวํา ล๎วนมีคูํครองที่ดีที่ คอยสนับสนุน ชํวยเหลือ ให๎กาลังใจ ให๎ความรํวมมือในงานท่ีทํานทา ชํวยให๎ผลิตผลงานท่ีมีคุณคํา ถ๎าเป็น นกั บวช ไมวํ าํ จะเปน็ ศาสนาใด ต๎องมบี รวิ ารท่ดี ี จงึ จะสามารถผลติ ผลงานท่ีมีคณุ คําทางศาสนาได๎ 9. เป็นผ๎มู ปี ๓ญญารอบรูแ๎ ละเช่ยี วชาญจนไดร๎ ับการยกยํองวําเปน็ ปราชญ๑ ผ๎ทู รงภูมิป๓ญญา ต๎อง เป็นผู๎มีป๓ญญารอบร๎ูและเชี่ยวชาญ รวมทั้งสร๎างสรรค๑ผลงานพิเศษใหมํๆ ท่ีเป็นประโยชน๑ตํอสังคมและ มนษุ ยชาตอิ ยํางตํอเนอื่ งอยเํู สมอ 3. การจดั แบ่งสาขาภูมปิ ัญญาไทย จากการศกึ ษาพบวํา มีการกาหนดสาขาภมู ปิ ญ๓ ญาไทยไว๎อยาํ งหลากหลาย ข้ึนอยูํกบั วัตถุประสงค๑ และ หลักเกณฑ๑ตํางๆ ท่ีหนํวยงาน องค๑กร และนักวิชาการแตํละทํานนามากาหนด ในภาพรวมภูมิป๓ญญาไทย สามารถแบํงได๎เปน็ 10 สาขา ดังน้ี 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค๑ความร๎ู ทักษะ และ เทคนิคด๎านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพ้ืนฐานคุณคําด้ังเดิม ซ่ึงคนสามารถพ่ึงพาตนเองใน ภาวการณ๑ตํางๆ ได๎ เชํน การทาการเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไรนํ าสวนผสม และสวน ผสมผสาน การแก๎ป๓ญหาการเกษตรด๎านการตลาด การแก๎ป๓ญหาด๎านการผลิต การแก๎ไขป๓ญหาโรคและแมลง และการร๎จู ักปรับใช๎เทคโนโลยที ีเ่ หมาะสมกบั การเกษตร เปน็ ต๎น 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การร๎ูจักประยุกต๑ใช๎เทคโนโลยีสมัยใหมํใน การแปรรูปผลติ ผล เพื่อชะลอการนาเข๎าตลาด เพอ่ื แกป๎ ๓ญหาด๎านการบริโภคอยํางปลอดภัย ประหยัด และเป็น ธรรม อันเป็นกระบวนการที่ทาให๎ชุมชนท๎องถิ่นสามารถพ่ึงพาตนเองทางเศรษฐกิจได๎ ตลอดทั้งการผลิต และ การจาหนาํ ย ผลติ ผลทางหัตถกรรม เชนํ การรวมกลํุมของกลุํมโรงงานยางพารา กลํุมโรงสี กลมุํ หตั ถกรรม เปน็ ตน๎ 3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการปูองกัน และรักษาสุขภาพ ของคนในชุมชน โดยเน๎นให๎ชุมชนสามารถพ่ึงพาตนเอง ทางด๎านสุขภาพ และอนามัยได๎ เชํน การนวดแผน โบราณ การดูแลและรกั ษาสุขภาพแบบพื้นบ๎าน การดูแลและรักษาสุขภาพแผนโบราณไทย เป็นต๎น 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับ การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล๎อม ทง้ั การอนุรักษ๑ การพฒั นา และการใช๎ประโยชน๑จากคุณคําของ ทรพั ยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดล๎อม อยํางสมดลุ และยั่งยนื เชํน การทาแนวปะการงั เทียม การอนุรักษ๑ปุาชาย เลน การจัดการปุาตน๎ นา้ และปาุ ชุมชน เป็นตน๎ 5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด๎านการ สะสม และบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตรา และโภคทรัพย๑ เพ่ือสํงเสริมชีวิตความเป็นอยูํ ของสมาชกิ ในชมุ ชน เชํน การจดั การเรอ่ื งกองทนุ ของชมุ ชน ในรูปของสหกรณ๑ออมทรัพย๑ และธนาคารหมํูบ๎าน เปน็ ต๎น 6. สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ให๎เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เชํน การจัดต้ังกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาล ของชมุ ชน การจัดระบบสวสั ดิการบริการในชุมชน การจดั ระบบสง่ิ แวดล๎อมในชุมชน เป็นต๎น
7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด๎านศิลปะสาขาตําง ๆ เชํน จิตรกรรม ประตมิ ากรรม วรรณกรรม ทศั นศลิ ป์ คีตศลิ ป์ ศิลปะมวยไทย เปน็ ตน๎ 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานของ องคก๑ รชุมชนตาํ งๆ ใหส๎ ามารถพฒั นา และบริหารองคก๑ รของตนเองได๎ ตามบทบาท และหน๎าทขี่ ององค๑กร เชนํ การจดั การองคก๑ รของกลมุํ แมํบ๎าน กลุํมออมทรัพย๑ กลมํุ ประมงพื้นบา๎ น เปน็ ตน๎ 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถงึ ความสามารถผลติ ผลงานเกี่ยวกับดา๎ นภาษา ทั้งภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช๎ภาษา ตลอดทั้งด๎านวรรณกรรมทุกประเภท เชํน การจัดทา สารานุกรมภาษาถนิ่ การปรวิ รรต หนงั สือโบราณ การฟน้ื ฟูการเรยี นการสอนภาษาถ่ินของท๎องถิน่ ตําง ๆ เป็นต๎น 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต๑ และปรับใช๎หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเช่อื และประเพณีด้ังเดิมที่มีคุณคําให๎เหมาะสมตํอการประพฤติปฏิบัติ ให๎บังเกิดผลดีตํอ บุคคล และส่ิงแวดล๎อม เชํน การถํายทอดหลักธรรมทางศาสนา ลักษณะความสัมพันธ๑ของภูมิป๓ญญาไทยภูมิ- ปญ๓ ญาไทยสามารถสะท๎อนออกมาใน 3 ลักษณะทีส่ มั พนั ธใ๑ กล๎ชดิ กัน คือ 10.1 ความสัมพันธ๑อยํางใกล๎ชิดกันระหวํางคนกับโลก สิ่งแวดล๎อม สัตว๑ พืช และ ธรรมชาติ 10.2 ความสัมพันธข๑ องคนกับคนอ่ืนๆ ท่อี ยรํู ํวมกันในสังคม หรือในชมุ ชน 10.3 ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับส่ิงศักด์ิสิทธิ์สิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดทั้งสิ่งท่ีไมํ สามารถสัมผัสได๎ท้ังหลาย ทั้ง 3 ลักษณะนี้ คือ สามมิติของเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท๎อนออก มาถึงภมู ิป๓ญญาในการดาเนนิ ชีวิตอยาํ งมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยม ภูมิป๓ญญา จึงเป็นรากฐาน ในการดาเนินชวี ติ ของคนไทย ซงึ่ สามารถแสดงให๎เหน็ ได๎อยํางชัดเจนโดยแผนภาพ ดงั นี้ ลักษณะภูมิป๓ญญาท่ีเกิดจากความสัมพันธ๑ ระหวํางคนกับธรรมชาติส่ิงแวดล๎อม จะแสดงออกมา ในลักษณะภูมิป๓ญญาในการดาเนินวิถีชีวิตข้ันพื้นฐาน ด๎านป๓จจัยสี่ ซ่ึงประกอบด๎วย อาหาร เคร่ืองนํุงหํม ท่ี อยํูอาศัย และยารักษาโรค ตลอดท้ังการประกอบ อ า ชี พ ตํ า ง ๆ เ ป็ น ต๎ น ภู มิ ป๓ ญ ญ า ท่ี เ กิ ด จ า ก ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับคนอ่ืนในสังคม จะแสดง ออกมาในลักษณะ จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศลิ ปะ และนนั ทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอด ทัง้ การสือ่ สารตาํ งๆ เปน็ ตน๎ ภูมิป๓ญญาที่เกิดจากความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับส่ิงศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาใน ลักษณะของสิ่งศักดสิ์ ิทธิ์ ศาสนา ความเชื่อตาํ งๆ เป็นต๎น 4. คุณค่าและความสาคัญของภูมปิ ญั ญาไทย คุณคําของภูมิป๓ญญาไทย ได๎แกํ ประโยชน๑ และความสาคัญของภูมิป๓ญญา ท่ีบรรพบุรุษไทย ได๎ สรา๎ งสรรค๑ และสืบทอดมาอยํางตํอเนื่อง จากอดีตสํูป๓จจุบัน ทาให๎คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภูมิใจ ทจ่ี ะรํวมแรงรํวมใจสบื สานตํอไปในอนาคต เชํน โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาป๓ตยกรรม ประเพณีไทย การมี น้าใจ ศกั ยภาพในการประสานผลประโยชน๑ เป็นต๎น ภมู ิปญ๓ ญาไทยจงึ มีคณุ คาํ และความสาคญั ดังน้ี
1. ภูมปิ ๓ญญาไทยชวํ ยสรา๎ งชาตใิ ห๎เปน็ ปึกแผํน พระมหากษัตริย๑ไทยได๎ใช๎ภูมิป๓ญญาในการสร๎างชาติ สร๎างความเป็นปึกแผํนให๎แกํ ประเทศชาติมาโดยตลอด ต้ังแตํสมัยพํอขุนรามคาแหงมหาราช พระองค๑ทรงปกครองประชาชน ด๎วยพระ เมตตา แบบพํอปกครองลูก ผู๎ใดประสบความเดือดร๎อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร๎อน เพ่ือขอรับ พระราชทานความชํวยเหลือ ทาให๎ประชาชนมีความจงรักภักดีตํอพระองค๑ ตํอประเทศชาติรํวมกันสร๎าง บา๎ นเรือนจนเจริญรุงํ เรืองเปน็ ปกึ แผนํ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค๑ทรงใช๎ภูมิป๓ญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข๎าศึกศัตรู และทรงกอบก๎ูเอกราชของชาติไทยคืนมาได๎ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลป๓จจุบัน พระองคท๑ รงใช๎ภูมิป๓ญญาสร๎างคุณประโยชน๑แกํประเทศชาติ และเหลําพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช๎ พระปรชี าสามารถ แก๎ไขวิกฤตการณ๑ทางการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ๎นภัยพิบัติหลายคร้ัง พระองค๑ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด๎าน แม๎แตํด๎านการเกษตร พระองค๑ได๎พระราชทานทฤษฎีใหมํให๎แกํพสกนิกร ทั้ง ด๎านการเกษตรแบบสมดุลและยั่งยืน ฟื้นฟูสภาพแวดล๎อม นาความสงบรํมเย็นของประชาชนให๎กลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎีใหมํ\" แบํงออกเป็น 2 ขน้ั โดยเรมิ่ จาก ขั้นตอนแรก ให๎เกษตรกรรายยํอย \"มีพออยํูพอ กิน\" เป็นขั้นพ้ืนฐาน โดยการพัฒนาแหลํงน้า ในไรํนา ซ่ึงเกษตรกรจาเป็นท่ีจะต๎องได๎รับความชํวยเหลือจาก หนํวยราชการ มูลนิธิ และหนํวยงานเอกชน รํวมใจกันพัฒนาสังคมไทย ในขั้นท่ีสอง เกษตรกรต๎องมีความ เข๎าใจ ในการจัดการในไรํนาของตน และมีการรวมกลุํมในรูปสหกรณ๑ เพื่อสร๎างประสิทธิภาพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจํายด๎านความเป็นอยูํ โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค๑กรเอกชน เม่ือกลํุ มเกษตร วิวัฒนม๑ าข้นั ท่ี 2 แลว๎ ก็จะมศี ักยภาพ ในการพัฒนาไปสํูขั้นท่ีสาม ซึ่งจะมีอานาจในการตํอรองผลประโยชน๑กับ สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค๑กรที่เป็นเจ๎าของแหลํงพลังงาน ซึ่งเป็นป๓จจัยหนึ่งในการผลิต โดยมีการ แปรรปู ผลิตผล เชนํ โรงสี เพอื่ เพม่ิ มูลคาํ ผลติ ผล และขณะเดยี วกันมีการจัดตั้งร๎านค๎าสหกรณ๑ เพ่ือลดคําใช๎จําย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได๎วํา มิได๎ทรงทอดทิ้งหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดต้ังสหกรณ๑ ซ่ึงทรงสนับสนุนให๎กลํุมเกษตรกรสร๎างอานาจตํอรองในระบบ เศรษฐกิจ จงึ จะมีคณุ ภาพชีวิตที่ดี จึงจัดได๎วํา เป็นสังคมเกษตรที่พัฒนาแล๎ว สมดังพระราชประสงค๑ท่ีทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสตปิ ญ๓ ญา ในการพัฒนาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแหํงการครองราชย๑ 2. สร๎างความภาคภมู ิใจ และศักดิศ์ รี เกียรตภิ ูมแิ กคํ นไทย คนไทยในอดีตที่มีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร๑มีมาก เป็นที่ยอมรับของนานา อารยประเทศ เชํน นายขนมต๎มเป็นนักมวยไทย ท่ีมีฝีมือเกํงในการใช๎อวัยวะทุกสํวน ทุกทําของแมํไม๎มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพมําได๎ถึงเก๎าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม๎ในป๓จจุบัน มวยไทยก็ยังถือวํา เป็น ศลิ ปะชนั้ เย่ียม เป็นที่ นยิ มฝึกและแขงํ ขันในหมํูคนไทยและชาวตาํ งประเทศ ปจ๓ จบุ นั มีคาํ ยมวยไทยทั่วโลกไมํต่า กวํา 30,000 แหํง ชาวตาํ งประเทศทีไ่ ดฝ๎ กึ มวยไทย จะร๎สู กึ ยนิ ดีและภาคภูมใิ จ ในการทจ่ี ะใช๎กติกาของมวยไทย เชํน การไหว๎ครูมวยไทย การออก คาสั่งในการชกเป็นภาษาไทยทกุ คา เชนํ คาวํา \"ชก\" \"นับหนึ่งถึงสิบ\" เป็นต๎น ถือเป็นมรดกภูมิป๓ญญาไทย นอกจากนี้ ภูมิป๓ญญาไทยท่ีโดดเดํนยังมีอีกมากมาย เชํน มรดกภูมิป๓ญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทยเป็นของตนเองมาต้ังแตํสมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการมาจนถึง ปจ๓ จุบัน วรรณกรรมไทยถอื วาํ เป็นวรรณกรรมท่มี ีความไพเราะ ได๎อรรถรสครบทุกด๎าน วรรณกรรมหลายเรื่อง ได๎รับการแปลเป็นภาษาตํางประเทศหลายภาษา ด๎านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารท่ีปรุงงําย พืชท่ีใช๎
ประกอบอาหารสํวนใหญํเป็นพืชสมุนไพร ที่หาได๎งํายในท๎องถิ่น และราคาถูก มีคุณคําทางโภชนาการ และยัง ปอู งกนั โรคได๎หลายโรค เพราะสํวนประกอบสํวนใหญํเป็นพืชสมุนไพร เชํน ตะไคร๎ ขิง ขํา กระชาย ใบมะกรูด ใบโหระพา ใบกะเพรา เปน็ ตน๎ 3. สามารถปรบั ประยุกต๑หลักธรรมคาสอนทางศาสนาใชก๎ บั วิถชี ีวติ ได๎อยํางเหมาะสม คนไทยสวํ นใหญํนับถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรับใช๎ในวิถีชีวิต ได๎อยํางเหมาะสม ทาให๎คนไทยเป็นผ๎ูอํอนน๎อมถํอมตน เอื้อเฟ้ือเผ่ือแผํ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความ อดทน ให๎อภยั แกํผู๎สานกึ ผิด ดารงวถิ ชี ีวิตอยํางเรียบงําย ปกติสุข ทาให๎คนในชุมชนพ่ึงพากันได๎ แม๎จะอดอยาก เพราะแหง๎ แล๎ง แตํไมมํ ีใครอดตาย เพราะพง่ึ พาอาศยั กัน แบํงป๓นกันแบบ \"พริกบ๎านเหนือเกลือบ๎านใต๎\" เป็นต๎น ทั้งหมดน้ีสืบเน่ืองมาจากหลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา เป็นการใช๎ภูมิป๓ญญา ในการนาเอาหลักของ พระพุทธศาสนามา ประยุกตใ๑ ชก๎ ับชีวิตประจาวนั และดาเนินกุศโลบาย ด๎านตํางประเทศ จนทาให๎ชาวพุทธทั่ว โลกยกยํอง ให๎ประเทศไทยเป็นผ๎ูนาทางพุทธศาสนา และเป็น ท่ีตั้งสานักงานใหญํองค๑การพุทธศาสนิกสัมพันธ๑ แหํงโลก (พสล.) อยํูเย้ืองๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี) ดารงตาแหนํงประธาน พสล. ตํอจาก ม.จ.หญงิ พูนพิศมยั ดิศกลุ 4. สรา๎ งความสมดุลระหวาํ งคนในสังคม และธรรมชาติได๎อยํางย่งั ยืน ภูมิป๓ญญาไทยมีความเดํนชัดในเรื่องของการยอมรับนับถือ และให๎ความสาคัญแกํคน สังคม และธรรมชาติอยํางยง่ิ มเี ครอ่ื งช้ีทีแ่ สดงใหเ๎ ห็นได๎อยาํ งชดั เจนมากมาย เชํน ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดท้ังปี ล๎วนเคารพคุณคําของธรรมชาติ ได๎แกํ ประเพณีสงกรานต๑ ประเพณีลอยกระทง เป็นต๎น ประเพณีสงกรานต๑ เป็นประเพณีที่ทาใน ฤดูร๎อนซึ่งมีอากาศร๎อน ทาให๎ต๎องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ๎านเรือน และธรรมชาติส่ิงแวดล๎อม มีการแหํนางสงกรานต๑ การทานายฝนวําจะตกมากหรือน๎อยในแตํละปี สํวนประเพณีลอยกระทง คุณคําอยํูท่ีการบูชา ระลึกถึงบุญคุณของน้า ท่ีหลํอเลี้ยงชีวิตของ คน พืช และสัตว๑ ให๎ได๎ใช๎ทั้งบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแมํน้า ลาธาร บูชาแมํน้าจากตัวอยําง ข๎างตน๎ ลว๎ นเปน็ ความสัมพนั ธ๑ระหวํางคนกับสงั คมและธรรมชาติทั้งส้ิน ในการรกั ษาปุาไมต๎ ๎นนา้ ลาธาร ได๎ประยกุ ตใ๑ ห๎มีประเพณีการบวชปุา ให๎คนเคารพสิ่งศักด์ิสิทธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดล๎อม ยังความอุดมสมบูรณ๑แกํต๎นน้า ลาธาร ให๎ฟื้นสภาพกลับคืนมาได๎มาก อาชีพ การเกษตรเปน็ อาชีพหลักของคนไทย ที่คานงึ ถึงความสมดลุ ทาแตนํ ๎อยพออยพํู อกนิ แบบ \"เฮ็ดอยูํเฮ็ดกิน\" ของ พอํ ทองดี นันทะ เมื่อเหลือกนิ ก็แจกญาตพิ ่นี อ๎ ง เพ่ือนบา๎ น บา๎ นใกล๎เรือนเคียง นอกจากนี้ ยังนาไปแลกเปล่ียน กับส่ิงของอยํางอนื่ ทตี่ นไมมํ ี เมอื่ เหลอื ใช๎จริงๆ จึงจะนาไปขาย อาจกลําวได๎วํา เปน็ การเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขาย\" ทาให๎คนในสังคมได๎ชํวยเหลือเก้ือกูล แบํงป๓นกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ท้ังหมํูบ๎าน จึงอยํู รวํ มกนั อยาํ งสงบสุข มคี วามสัมพันธ๑กันอยาํ งแนบแนํน ธรรมชาติไมํถูกทาลายไปมากนัก เน่ืองจากทาพออยูํพอ กนิ ไมํโลภมากและไมํทาลายทุกอยํางผิดกับในป๓จจุบัน ถือเป็นภูมิป๓ญญาที่สร๎างความสมดุลระหวํางคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปลีย่ นแปลงปรบั ปรุงไดต๎ ามยคุ สมัย แม๎วํากาลเวลาจะผาํ นไป ความร๎ูสมัยใหมํ จะหล่งั ไหลเข๎ามามาก แตํภูมิป๓ญญาไทย ก็สามารถ ปรับเปล่ยี นใหเ๎ หมาะสมกับยุคสมัย เชํน การร๎ูจกั นาเครอ่ื งยนตม๑ าติดต้ังกับเรือ ใสํใบพัด เป็นหางเสือ ทาให๎เรือ สามารถแลํนได๎เร็วขึ้น เรียกวํา เรือหางยาว การร๎ูจักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟ้ืนคืน
ธรรมชาตใิ ห๎ อดุ มสมบูรณ๑แทนสภาพเดิมที่ถูกทาลายไป การร๎ูจักออมเงิน สะสมทุนให๎สมาชิกก๎ูยืม ปลดเปลื้อง หนสี้ ิน และจดั สวัสดิการแกสํ มาชิก จนชุมชนมคี วามม่ันคง เข๎มแขง็ สามารถชํวยตนเองได๎หลายร๎อยหมํูบ๎านท่ัว ประเทศ เชํน กลุํมออมทรัพย๑คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ชํวยตนเองได๎ เม่ือปุาถูกทาลาย เพราะถูกตัดโคํน เพื่อปลูกพืชแบบเดี่ยว ตามภูมิป๓ญญาสมัยใหมํ ท่ีหวัง รา่ รวย แตํในทส่ี ุด กข็ าดทนุ และมีหน้ีสิน สภาพแวดล๎อมสูญเสียเกิดความแห๎งแล๎ง คนไทยจึงคิดปลูกปุา ท่ีกิน ได๎ มีพืชสวน พืชปุาไม๎ผล พืชสมุนไพร ซ่ึงสามารถมีกินตลอดชีวิตเรียกวํา \"วนเกษตร\" บางพ้ืนท่ี เม่ือปุาชุมชน ถูกทาลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกัน เป็นกลุํมรักษาปุา รํวมกันสร๎างระเบียบ กฎเกณฑ๑กันเอง ให๎ทุกคนถือ ปฏิบัติได๎ สามารถรักษาปุาได๎อยํางสมบูรณ๑ดังเดิม เมื่อปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไมํมีที่อยํูอาศัย ประชาชนสามารถสร๎าง \"อูหยัม\" ข้ึน เป็นปะการังเทียม ให๎ปลาอาศัยวางไขํ และแพรํพันธ๑ุให๎เจริญเติบโต มี จานวนมากดงั เดมิ ได๎ ถอื เป็นการใชภ๎ ูมิป๓ญญาปรบั ปรงุ ประยกุ ต๑ใชไ๎ ด๎ตามยคุ สมยั สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เลํมที่ 19 ให๎ความหมายของคาวํา ภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน หมายถึง ความรู๎ของชาวบ๎าน ซึ่งได๎มาจากประสบการณ๑ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ๎าน รวมท้ังความรู๎ท่ี สั่งสมมาแตํบรรพบรุ ษุ สบื ทอดจากคนรํุนหนึ่งไปสํูคนอีกรํุนหน่ึง ระหวํางการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต๑ และ เปลี่ยนแปลง จนอาจเกิดเป็นความรใ๎ู หมตํ ามสภาพการณท๑ างสงั คมวัฒนธรรม และ สิ่งแวดลอ๎ ม ภูมปิ ๓ญญาเป็นความร๎ูท่ีประกอบไปด๎วยคุณธรรม ซ่ึงสอดคล๎องกับวิถีชีวิตด้ังเดิมของชาวบ๎าน ในวถิ ีดง้ั เดิมนั้น ชีวิตของชาวบ๎านไมํได๎แบํงแยกเป็นสํวนๆ หากแตํทุกอยํางมีความสัมพันธ๑กัน การทามาหากิน การอยูํรํวมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความร๎ูเป็นคุณธรรม เม่ือผ๎ูคนใช๎ความรู๎นั้น เพื่อสร๎างความสัมพนั ธ๑ท่ดี รี ะหวําง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ๑ที่ดี เป็นความสัมพันธ๑ท่ีมีความสมดุล ที่เคารพกันและกัน ไมํทาร๎ายทาลายกัน ทาให๎ทุกฝุายทุกสํวนอยูํรํวมกันได๎ อยํางสันติ ชุมชนดั้งเดิมจึงมีกฎเกณฑ๑ของการอยํูรํวมกัน มีคนเฒําคนแกํเป็นผู๎นา คอยให๎คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ปุา เขา ข๎าว แดด ลม ฝน โลก และจักรวาล ชาวบ๎านเคารพผู๎หลักผู๎ใหญํ พํอแมํ ปูุยําตายาย ท้ังที่มีชีวิตอยํูและลํวงลับไปแล๎ว ภูมิป๓ญญาจึง เป็นความรู๎ที่มีคุณธรรม เป็นความรู๎ท่ีมีเอกภาพของทุกส่ิงทุกอยําง เป็นความรู๎วํา ทุกส่ิงทุกอยํางสัมพันธ๑กัน อยํางมีความสมดุล เราจึงยกยํองความรู๎ข้ันสูงสํง อันเป็นความรู๎แจ๎งในความจริงแหํงชีวิตน้ีวํา \"ภูมิป๓ญญา\" ความคิดและการแสดงออก เพื่อจะเข๎าใจภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน จาเป็นต๎องเข๎าใจความคิดของชาวบ๎านเกี่ยวกับ โลก หรือท่ีเรียกวํา โลกทัศน๑ และเกี่ยวกับชีวิต หรือท่ีเรียกวํา ชีวทัศน๑ ส่ิงเหลํานี้เป็นนามธรรม อันเกี่ยวข๎อง สัมพันธ๑โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะตํางๆ ท่ีเป็นรูปธรรม แนวคิดเร่ืองความสมดุลของชีวิต เป็น แนวคิดพ้ืนฐานของภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน การแพทย๑แผนไทย หรือที่เคยเรียกกันวํา การแพทย๑แผนโบราณน้ันมี หลักการวํา คนมีสุขภาพดี เม่ือรํางกายมีความสมดุลระหวํางธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข๎ได๎ปุวย เพราะธาตุขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช๎ยาสมุนไพร หรือวิธีการอ่ืนๆ คนเป็นไข๎ตัวร๎อน หมอยา พื้นบ๎านจะให๎ยาเยน็ เพ่อื ลดไข๎ เปน็ ตน๎ การดาเนินชีวิตประจาวันก็เชํนเดียวกัน ชาวบ๎านเชื่อวํา จะต๎องรักษา ความสมดุลในความสัมพันธ๑สามด๎าน คือ ความสัมพันธ๑กับคนในครอบครัว ญาติพ่ีน๎อง เพื่อนบ๎านในชุมชน ความสมั พนั ธ๑ที่ดีมหี ลกั เกณฑ๑ ท่ีบรรพบุรุษได๎สง่ั สอนมา เชนํ ลูกควรปฏิบัติอยาํ งไรกับพํอแมํ กับญาติพี่น๎อง กับ ผ๎ูสูงอายุ คนเฒําคนแกํ กับเพื่อนบ๎าน พํอแมํควรเลี้ยงดูลูกอยํางไร ความเอ้ืออาทรตํอกันและกัน ชํวยเหลือ
เกื้อกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข๑ยาก หรือมีป๓ญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช๎ความสามารถนั้นชํวยเหลือ ผอู๎ ื่น เชนํ บางคนเปน็ หมอยา กช็ ํวยดูแลรกั ษาคนเจบ็ ปุวยไมํสบาย โดยไมํคดิ คาํ รักษา มีแตํเพียงการยกครู หรือ การราลึกถึงครูบาอาจารย๑ท่ีประสาทวิชามาให๎เทํานั้น หมอยาต๎องทามาหากิน โดยการทานา ทาไรํ เลี้ยงสัตว๑ เหมือนกบั ชาวบา๎ นอ่ืนๆ บางคนมีความสามารถพิเศษด๎านการทามาหากิน ก็ชวํ ยสอนลูกหลานให๎มวี ิชาไปดว๎ ย ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑ๑เป็นข๎อปฏิบัติ และข๎อห๎ามอยําง ชัดเจน มีการแสดงออกทางประเพณี พิธีกรรม และกิจกรรมตํางๆ เชํน การรดน้าดาหัวผู๎ใหญํ การบายศรีสํู ขวัญ เป็นต๎น ความสัมพันธ๑กับธรรมชาติ ผ๎ูคนสมัยกํอนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติแทบทุกด๎าน ตั้งแตํอาหารการ กิน เครอื่ งนุงํ หํม ทีอ่ ยอูํ าศัย และยารักษาโรค วทิ ยาศาสตร๑ และเทคโนโลยียังไมํพัฒนาก๎าวหน๎าเหมือนทุกวันนี้ ยังไมมํ รี ะบบการคา๎ แบบสมยั ใหมํ ไมํมีตลาด คนไปจับปลาลําสัตว๑ เพ่ือเป็นอาหารไปวันๆ ตัดไม๎ เพ่ือสร๎างบ๎าน และใช๎สอยตามความจาเป็นเทํานั้น ไมํได๎ทาเพื่อการค๎า ชาวบ๎านมีหลักเกณฑ๑ในการใช๎สิ่งของในธรรมชาติ ไมํ ตัดไม๎อํอน ทาให๎ต๎นไม๎ในปุาข้ึนแทนต๎นท่ีถูกตัดไปได๎ตลอดเวลา ชาวบ๎านยังไมํรู๎จักสารเคมี ไมํใช๎ยาฆําแมลง ฆําหญา๎ ฆาํ สัตว๑ ไมใํ ช๎ปุย๋ เคมี ใชส๎ ่ิงของในธรรมชาตใิ ห๎เกอื้ กลู กนั ใชม๎ ูลสตั ว๑ ใบไมใ๎ บหญ๎าทเี่ นาํ เปอ่ื ยเป็นปุ๋ย ทาใหด๎ ินอุดมสมบูรณ๑ น้าสะอาด และไมํเหือดแห๎ง ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติ เช่ือวํา มีเทพมีเจ๎าสถิตอยูํในดิน น้า ปุา เขา สถานที่ทุกแหํง จะทาอะไรต๎องขออนุญาต และทาด๎วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ๎าน รูค๎ ณุ ธรรมชาติ ทีไ่ ดใ๎ ห๎ชีวิตแกํตน พิธีกรรมตํางๆ ล๎วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกลําว เชํน งานบุญพิธี ท่ีเกี่ยวกับ น้า ข๎าว ปุาเขา รวมถึงสัตว๑ บ๎านเรือน เคร่ืองใช๎ตํางๆ มีพิธีสํูขวัญข๎าว สํูขวัญควาย สูํขวัญเกวียน ทางอีสานมี พธิ แี ฮกนา หรือแรกนา เล้ยี งผตี าแฮก มีงานบุญบ๎าน เพอ่ื เลย้ี งผี หรือสง่ิ ศกั ด์สิ ิทธิป์ ระจาหมบํู า๎ น เปน็ ต๎น ความสมั พันธ๑กับสงิ่ เหนือธรรมชาติ ชาวบา๎ นรว๎ู าํ มนุษย๑เป็นเพียงสํวนเล็กๆ สํวนหนึ่ง ของจักรวาล ซ่ึง เต็มไปด๎วยความเร๎นลับ มีพลัง และอานาจ ที่เขาไมํอาจจะหาคาอธิบายได๎ ความเร๎นลับดังกลําวรวมถึงญาติพ่ี น๎อง และผู๎คนท่ีลํวงลับไปแล๎ว ชาวบ๎านยังสัมพันธ๑กับพวกเขา ทาบุญ และราลึกถึงอยํางสม่าเสมอทุกวัน หรือ ในโอกาสสาคัญๆ นอกนั้นเป็นผีดี ผีร๎าย เทพเจ๎าตํางๆ ตามความเชื่อของแตํละแหํง ส่ิงเหลําน้ีสิงสถิตอยํูในส่ิง ตาํ งๆ ในโลก ในจักรวาล และอยูํบนสรวงสวรรค๑การทามาหากนิ แม๎วิถีชีวิตของชาวบ๎านเมื่อกํอนจะดูเรียบงํายกวําทุกวันนี้ และยังอาศัยธรรมชาติ และแรงงานเป็น หลัก ในการทามาหากิน แตํพวกเขาก็ต๎องใช๎สติป๓ญญา ที่บรรพบุรุษถํายทอดมาให๎ เพื่อจะได๎อยูํรอด ทั้งน้ี เพราะป๓ญหาตํางๆ ในอดีตก็ยังมีไมํน๎อย โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวมีสมาชิกมากขึ้น จาเป็นต๎องขยายที่ทากิน ต๎องหักร๎างถางพง บุกเบิก พ้ืนท่ีทากินใหมํ การปรับพื้นที่ป้๓นคันนา เพ่ือทานา ซึ่งเป็นงานท่ีหนัก การทาไรํทา นา ปลกู พืชเลี้ยงสัตว๑ และดูแลรักษาให๎เตบิ โต และไดผ๎ ล เป็นงานท่ตี ๎องอาศยั ความรู๎ความสามารถ การจับปลา ลําสัตว๑ก็มีวิธีการ บางคนมีความสามารถมากร๎ูวํา เวลาไหน ท่ีใด และวิธีใด จะจับปลาได๎ดีท่ีสุด คนที่ไมํเกํงก็ ต๎องใช๎เวลานาน และได๎ปลาน๎อย การลําสตั ว๑กเ็ ชํนเดยี วกัน การจัดการแหลํงน้า เพ่ือการเกษตร ก็เป็นความรู๎ความสามารถ ที่มีมาแตํโบราณ คนทางภาคเหนือ ร๎ูจักบริหารน้า เพ่ือการเกษตร และเพ่ือการบริโภคตํางๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัดแบํงป๓นน้ากัน ตามระบบประเพณีที่ สืบทอดกันมา มหี ัวหน๎าทีท่ กุ คนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตามสัดสํวน และตาม พนื้ ท่ีทากนิ นบั เปน็ ความรทู๎ ท่ี าใหช๎ มุ ชนตาํ งๆ ทีอ่ าศยั อยใํู กล๎ลานา้ ไมวํ าํ ตน๎ น้า หรือปลายน้า ได๎รับการแบํงป๓น นา้ อยํางยตุ ิธรรม ทกุ คนได๎ประโยชน๑ และอยรูํ ํวมกันอยํางสนั ติ
ชาวบา๎ นรจ๎ู ักการแปรรปู ผลติ ผลในหลายรปู แบบ การถนอมอาหารให๎กนิ ไดน๎ าน การดองการหมัก เชํน ปลาร๎า นา้ ปลา ผกั ดอง ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ปลาแห๎ง เนื้อแห๎ง การแปรรูปข๎าว ก็ทาได๎มากมายนับร๎อยชนิด เชํน ขนมตาํ งๆ แตํละพธิ ีกรรม และแตลํ ะงานบญุ ประเพณี มขี ๎าวและขนมในรูปแบบไมํซ้ากัน ต้ังแตํขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอ่ืนๆ ซ่ึงยังพอมีให๎เห็นอยํูจานวนหนึ่ง ในป๓จจุบันสํวนใหญํ ปรับเปลี่ยนมาเป็นการผลติ เพ่ือขาย หรอื เป็นอตุ สาหกรรมในครวั เรอื น ความร๎ูเร่ืองการปรุงอาหารก็มีอยูํมากมาย แตํละท๎องถิ่นมีรูปแบบ และรสชาติแตกตํางกันไป มี มากมายนับร๎อยนับพันชนิด แม๎ในชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไมํกี่อยําง แตํโอกาสงานพิธี งานเลี้ยง งานฉลอง สาคัญ จะมีการจัดเตรียมอาหารอยํางดี และพิถีพิถัน การทามาหากินในประเพณีเดิมน้ัน เป็นท้ังศาสตร๑และ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม๎ ไมํได๎เป็นเพียงเพ่ือให๎รับประทานแล๎วอรํอย แตํให๎ได๎ความ สวยงาม ทาใหส๎ ามารถสัมผสั กบั อาหารนั้น ไมํเพียงแตํทางปาก และรสชาติของล้ิน แตํทางตา และทางใจ การ เตรียมอาหารเป็นงานศิลปะ ท่ีปรุงแตํงด๎วยความตั้งใจ ใช๎เวลา ฝีมือ และความรู๎ความสามารถ ชาวบ๎าน สมัยกอํ นสวํ นใหญจํ ะทานาเปน็ หลกั เพราะเมอ่ื มีขา๎ วแลว๎ กส็ บายใจ อยํางอ่ืนพอหาได๎จากธรรมชาติ เสร็จหน๎า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ๎า ทาเสื่อ เล้ียงไหม ทาเครื่องมือ สาหรับจับสัตว๑ เครื่องมือการเกษตร และ อุปกรณ๑ตํางๆ ทีจ่ าเปน็ หรอื เตรยี มพน้ื ที่ เพ่อื การทานาครัง้ ตํอไป หัตถกรรมเป็นทรัพย๑สิน และมรดกทางภูมิป๓ญญาที่ย่ิงใหญํท่ีสุดอยํางหนึ่งของบรรพบุรุษ เพราะเป็น สื่อท่ีถํายทอดอารมณ๑ ความรู๎สึก ความคิด ความเชื่อ และคุณคําตํางๆ ที่สั่งสมมาแตํนมนาน ลายผ๎าไหม ผ๎า ฝาู ย ฝีมือในการทออยํางประณีต รูปแบบเครื่องมือ ที่สานด๎วยไม๎ไผํ และอุปกรณ๑ เคร่ืองใช๎ไม๎สอยตํางๆ เครื่อง ดนตรี เคร่ืองเลํน สิ่งเหลําน้ีได๎ถูกบรรจงสร๎างขึ้นมา เพ่ือการใช๎สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให๎ใครคนหนึ่ง ไมํใชํเพื่อการค๎าขาย ชาวบ๎านทามาหากินเพียงเพ่ือการยังชีพ ไมํได๎ทาเพ่ือขาย มีการนาผลิตผลสํวนหน่ึงไป แลกสิ่งของที่จาเป็น ที่ตนเองไมํมี เชํน นาข๎าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไกํ หรือเสื้อผ๎า การขายผลิตผลมีแตํ เพียงสํวนน๎อย และเม่ือมีความจาเป็นต๎องใช๎เงิน เพื่อเสียภาษีให๎รัฐ ชาวบ๎านนาผลิตผล เชํน ข๎าว ไปขายใน เมืองให๎กบั พํอคา๎ หรือขายให๎กบั พอํ ค๎าท๎องถ่นิ เชํน ทางภาคอีสาน เรียกวํา \"นายฮ๎อย\" คนเหลําน้ีจะนาผลิตผล บางอยาํ ง เชํน ขา๎ ว ปลาร๎า ววั ควาย ไปขายในทีไ่ กลๆ ทางภาคเหนือมพี ํอคา๎ วัวตํางๆ เปน็ ต๎น แม๎วําความรู๎เร่ืองการค๎าขายของคนสมัยกํอน ไมํอาจจะนามาใช๎ในระบบตลาดเชํนป๓จจุบันได๎ เพราะ สถานการณ๑ไดเ๎ ปลี่ยนแปลงไปอยํางมาก แตํการค๎าที่มีจริยธรรมของพํอค๎าในอดีต ที่ไมํได๎หวังแตํเพียงกาไร แตํ คานึงถึงการชํวยเหลือ แบํงป๓นกันเป็นหลัก ยังมีคุณคําสาหรับป๓จจุบัน นอกนั้น ในหลายพื้นท่ีในชนบท ระบบ การแลกเปล่ียนส่ิงของยังมีอยูํ โดยเฉพาะในพ้ืนท่ียากจน ซ่ึงชาวบ๎านไมํมีเงินสด แตํมีผลิตผลตํางๆ ระบบการ แลกเปลี่ยนไมํได๎ยึดหลักมาตราช่ังวัด หรือการตีราคาของสิ่งของ แตํแลกเปลี่ยน โดยการคานึงถึงสถานการณ๑ ของผู๎แลกท้ังสองฝุาย คนทเี่ อาปลาหรอื ไกมํ าขอแลกข๎าว อาจจะได๎ขา๎ วเปน็ ถัง เพราะเจ๎าของข๎าวคานึงถึงความ จาเปน็ ของครอบครวั เจ๎าของไกํ ถ๎าหากตีราคาเปน็ เงนิ ขา๎ วหนึง่ ถงั ยอํ มมคี าํ สูงกวาํ ไกหํ นงึ่ ตวั การอยู่รว่ มกนั ในสงั คม การอยํูรํวมกันในชุมชนด้ังเดิมนั้น สํวนใหญํจะเป็นญาติพี่น๎องไมํก่ีตระกูล ซ่ึงได๎อพยพย๎ายถิ่นฐานมา อยํู หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได๎ท้ังชุมชน มีคนเฒําคนแกํท่ีชาวบ๎านเคารพนับถือเป็นผ๎ูนาหน๎าท่ี ของผ๎ูนา ไมํใชํการสั่ง แตํเป็นผ๎ูให๎คาแนะนาปรึกษา มีความแมํนยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตัดสินไกลํเกล่ีย หากเกิดความขัดแย๎ง ชํวยกันแก๎ไขป๓ญหาตํางๆ ท่ีเกิดขึ้น ป๓ญหาในชุมชนก็มีไมํน๎อย ป๓ญหา
การทามาหากิน ฝนแล๎ง น้าทํวม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นต๎น นอกจากน้ัน ยังมีป๓ญหาความขัดแย๎ง ภายในชุมชน หรือระหวํางชุมชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี สํวนใหญํจะเป็นการ \" ผิดผี\" คือ ผีของบรรพ บุรุษ ผู๎ซ่ึงได๎สร๎างกฎเกณฑ๑ตํางๆ ไว๎ เชํน กรณีท่ีชายหนุํมถูกเน้ือต๎องตัวหญิงสาวที่ยังไมํแตํงงาน เป็นต๎น หาก เกิดการผิดผีขึ้นมา ก็ต๎องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒําคนแกํเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการวํากลําวสั่ง สอน และชดเชยการทาผดิ นนั้ ตามกฎเกณฑ๑ท่ีวางไว๎ ชาวบ๎านอยํูอยํางพึ่งพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข๎ได๎ปุวย ยาม เกิดอุบัติเหตุเภทภัย ยามที่โจรขโมยวัวควายข๎าวของ การชํวยเหลือกันทางานที่เรียกกันวํา การลงแขก ทั้ง แรงกายแรงใจที่มีอยํูก็จะแบํงป๓นชํวยเหลือ เอื้ออาทรกัน การแลกเปลี่ยนส่ิงของ อาหารการกิน และอ่ืนๆ จึง เก่ียวข๎องกับวิถีของชุมชน ชาวบ๎านชํวยกันเก็บเกี่ยวข๎าว สร๎างบ๎าน หรืองานอื่นที่ต๎องการคนมากๆ เพ่ือจะได๎ เสร็จโดยเร็ว ไมมํ ีการจา๎ ง กรณตี วั อยํางจากการปลูกข๎าวของชาวบ๎าน ถ๎าปีหน่ึงชาวนาปลูกข๎าวได๎ผลดี ผลิตผลที่ได๎จะใช๎เพ่ือการ บรโิ ภคในครอบครวั ทาบุญท่ีวดั เผ่ือแผใํ ห๎พีน่ ๎องท่ขี าดแคลน แลกของ และเก็บไว๎ เผื่อวําปีหน๎าฝนอาจแล๎ง น้า อาจทํวม ผลิตผล อาจไมํดีในชุมชนตํางๆ จะมีผู๎มีความรู๎ความสามารถหลากหลาย บางคนเกํงทางการรักษา โรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเลี้ยงสัตว๑ บางคนทางด๎านดนตรีการละเลํน บางคนเกํง ทางด๎านพิธีกรรม คนเหลํานี้ตํางก็ใช๎ความสามารถ เพ่ือประโยชน๑ของชุมชน โดยไมํถือเป็นอาชีพ ท่ีมี คาํ ตอบแทน อยาํ งมากก็มี \"คําครู\" แตํเพียงเลก็ น๎อย ซึ่งปกติแล๎ว เงินจานวนน้ัน ก็ใช๎สาหรับเครื่องมือประกอบ พธิ ีกรรม หรือ เพอื่ ทาบุญท่วี ัด มากกวําที่หมอยา หรอื บุคคลผูน๎ ั้น จะเกบ็ ไว๎ใช๎เอง เพราะแท๎ท่ีจริงแล๎ว \"วิชา\" ที่ ครูถํายทอดมาให๎แกํลูกศิษย๑ จะต๎องนาไปใช๎ เพื่อประโยชน๑แกํสังคม ไมํใชํเพ่ือผลประโยชน๑สํวนตัว การตอบ แทนจึงไมํใชํเงินหรือส่ิงของเสมอไป แตํเป็นการชํวยเหลือเก้ือกูลกันโดยวิธีการตําง ๆ ด๎วยวิถีชีวิตเชํนน้ี จึงมี คาถาม เพอื่ เปน็ การสอนคนรํนุ หลังวํา ถา๎ หากคนหนึง่ จับปลาชํอนตัวใหญํได๎หน่ึงตัว ทาอยํางไรจึงจะกินได๎ทั้งปี คนสมยั นีอ้ าจจะบอกวํา ทาปลาเคม็ ปลารา๎ หรือเกบ็ รักษาดว๎ ยวธิ กี ารตาํ งๆ แตํคาตอบที่ถูกต๎อง คือ แบํงป๓นให๎ พนี่ ๎อง เพ่อื นบ๎าน เพราะเม่อื เขาได๎ปลา เขาก็จะทากับเราเชํนเดียวกัน ชีวิตทางสังคมของหมูํบ๎าน มีศูนย๑กลาง อยทํู ่ีวดั กิจกรรมของสํวนรวม จะทากนั ท่วี ัด งานบุญประเพณตี าํ งๆ ตลอดจนการละเลํนมหรสพ พระสงฆ๑เปน็ ผ๎ูนาทางจิตใจ เป็นครูท่ีสอนลูกหลานผชู๎ าย ซึ่งไปรับใชพ๎ ระสงฆ๑ หรอื \"บวชเรียน\" ทง้ั น้ีเพราะกํอนนย้ี ังไมํมี โรงเรียน วดั จึงเป็นท้งั โรงเรยี น และหอประชุม เพื่อกิจกรรมตํางๆ ตํอเม่ือโรงเรียนมขี น้ึ และแยกออกจากวดั บทบาทของวัด และของพระสงฆ๑ จึงเปลี่ยนไป งานบุญประเพณีในชุมชนแตํกํอนมีอยูํทุกเดือน ตํอมาก็ลดลงไป หรือสองสามหมูํบ๎านรํวมกันจัด หรือ ผลัดเปล่ียนหมุนเวียนกัน เชํน งานเทศน๑มหาชาติ ซึ่งเป็นงานใหญํ หมูํบ๎านเล็กๆ ไมํอาจจะจัดได๎ทุกปี งาน เหลําน้ีมที ้ังความเช่อื พธิ ีกรรม และความสนกุ สนาน ซงึ่ ชมุ ชนแสดงออกรวํ มกนั ระบบคณุ คา่ ความเช่ือในกฎเกณฑ๑ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนดั้งเดิม ความเช่ือน้ีเป็นรากฐานของ ระบบคุณคําตํางๆ ความกตัญ๒ูรู๎คุณตํอพํอแมํ ปุูยําตายาย ความเมตตาเอ้ืออาทรตํอผ๎ูอ่ืน ความเคารพตํอส่ิง ศกั ด์สิ ิทธิ์ในธรรมชาติรอบตัว และในสากลจกั รวาล ความเชื่อ \"ผี\" หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ เป็นท่ีมาของการดาเนินชีวิต ทั้งของสํวนบุคคล และของ ชมุ ชน โดยรวมการเคารพในผีปูุตา หรือผีปุูยํา ซ่ึงเป็นผีประจาหมํูบ๎าน ทาให๎ชาวบ๎านมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นลกู หลานของปูตุ าคนเดียวกนั รักษาปุาท่ีมบี ๎านเล็กๆ สาหรับผี ปลูกอยูํติดหมูํบ๎าน ผีปุา ทาให๎คนตัดไม๎ด๎วย
ความเคารพ ขออนญุ าตเลือกตดั ตน๎ แกํ และปลกู ทดแทน ไมํทง้ิ สิ่งสกปรกลงแมํน้า ด๎วยความเคารพในแมํคงคา กินขา๎ วดว๎ ยความเคารพ ในแมํโพสพ คนโบราณกินขา๎ วเสร็จ จะไหว๎ข๎าว พิธีบายศรีสูํขวัญ เป็นพิธีร้ือฟ้ืน กระชับ หรือสร๎างความสัมพันธ๑ระหวํางผ๎ูคน คนจะเดินทางไกล หรือ กลับจากการเดินทาง สมาชิกใหมํ ในชุมชน คนปุวย หรือกาลังฟ้ืนไข๎ คนเหลํานี้จะได๎รับพิธีสํูขวัญ เพ่ือให๎เป็น สริ ิมงคล มีความอยเํู ยน็ เป็นสขุ นอกนน้ั ยังมีพิธสี ืบชะตาชวี ติ ของบุคคล หรือของชุมชน นอกจากพิธีกรรมกับคนแล๎ว ยังมีพิธีกรรมกับสัตว๑และธรรมชาติ มีพิธีสํูขวัญข๎าว สูํขวัญควาย สํูขวัญ เกวียน เปน็ การแสดงออกถึงการขอบคณุ การขอขมา พิธดี งั กลาํ วไมํได๎มีความหมายถึงวํา สิ่งเหลําน้ีมีจิต มีผีใน ตัวมันเอง แตํเป็นการแสดงออก ถึงความสัมพันธ๑กับจิตและส่ิงศักด์ิสิทธิ์ อันเป็นสากลในธรรมชาติท้ังหมด ทา ให๎ผ๎ูคนมีความสัมพันธ๑อันดีกับทุกสิ่ง คนขับแท็กซ่ีในกรุงเทพฯ ที่มาจากหมูํบ๎าน ยังซ้ือดอกไม๎ แล๎วแขวนไว๎ท่ี กระจกในรถ ไมใํ ชเํ พ่อื เซํนไหวผ๎ ีในรถแท็กซี่ แตเํ ป็นการราลึกถงึ สงิ่ ศกั ดส์ิ ิทธิ์ ในสากลจักรวาล รวมถึงที่ส่ิงอยํูใน รถคันน้ัน ผู๎คนสมัยกํอนมีความสานึกในข๎อจากัดของตนเอง รู๎วํา มนุษย๑มีความอํอนแอ และเปราะบาง หาก ไมํรักษาความสัมพนั ธ๑อันดี และไมคํ งความสมดลุ กบั ธรรมชาติรอบตัวไว๎ เขาคงไมํสามารถมีชีวิตได๎อยํางเป็นสุข และยืนนาน ผ๎ูคนท่ัวไปจึงไมํมีความอวดกล๎าในความสามารถของตน ไมํท๎าทายธรรมชาติ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มี ความอํอนนอ๎ มถอํ มตน และรักษากฎระเบียบประเพณอี ยํางเครํงครดั ชีวิตของชาวบ๎านในรอบหนึ่งปี จึงมีพิธีกรรมทุกเดือน เพื่อแสดงออกถึงความเช่ือ และความสัมพันธ๑ ระหวํางผ๎ูคนในสังคม ระหวํางคนกับธรรมชาติ และระหวํางคนกับส่ิงศักด์ิสิทธ์ิตํางๆ ดังกรณีงานบุญประเพณี ของชาวอีสานที่เรียกวํา ฮีตสิบสอง คือ เดือนอ๎าย (เดือนท่ีหนึ่ง) บุญเข๎ากรรม ให๎พระภิกษุเข๎าปริวาสกรรม เดือนย่ี (เดือนที่สอง) บุญคูณลาน ให๎นาข๎าวมากองกันที่ลาน ทาพิธีกํอนนวด เดือนสาม บุญข๎าวจี่ ให๎ถวาย ขา๎ วจ่ี (ข๎าวเหนยี วป๓้นชบุ ไขํทาเกลือนาไปยาํ งไฟ) เดือนส่ี บุญพระเวส ให๎ฟ๓งเทศน๑มหาชาติ คือ เทศน๑เร่ืองพระ เวสสันดรชาดก เดือนห๎า บุญสรงน้า หรือบุญสงกรานต๑ ให๎สรงน้าพระ ผ๎ูเฒําผู๎แกํ เดือนหก บุญบั้งไฟ บูชา พญาแถน ตามความเช่ือเดิม และบุญวิสาขบูชา ตามความเชื่อของชาวพุทธ เดือนเจ็ด บุญซาฮะ (บุญชาระ) ให๎บนบานพระภูมิเจ๎าท่ี เล้ียงผีปูุตา เดือนแปด บุญเข๎าพรรษา เดือนเก๎า บุญข๎าวประดับดิน ทาบุญอุทิศสํวน กุศลให๎ญาตพิ ่ีนอ๎ งผ๎ลู วํ งลับ เดือนสบิ บุญขา๎ วสาก ทาบุญเชนํ เดือนเกา๎ รวมใหผ๎ ีไมํมีญาติ (ภาคใต๎มีพิธีคล๎ายกัน คือ งานพธิ ีเดือนสิบ ทาบญุ ใหแ๎ กํบรรพบุรุษผ๎ลู ํวงลับไปแล๎ว แบํงข๎าวปลาอาหารสํวนหนึ่งให๎แกํผีไมํมีญาติ พวก เด็กๆ ชอบแยงํ กนั เอาของทแี่ บํงใหผ๎ ีไมมํ ญี าติหรือเปรต เรียกวาํ \"การชิงเปรต\") เดือนสบิ เอด็ บุญออกพรรษา เดือนสบิ สอง บุญกฐนิ จัดงานกฐนิ และลอยกระทง ภมู ปิ ญ๓ ญาชาวบา๎ นในสังคมปจ๓ จบุ นั ภูมปิ ๓ญญาชาวบา๎ นได๎กอํ เกิด และสืบทอดกันมาในชุมชนหมํูบ๎าน เมื่อหมูํบ๎านเปล่ียนแปลงไปพร๎อมกับสังคมสมัยใหมํ ภูมิป๓ญญาชาวบ๎านก็มีการปรับตัวเชํนเดียวกัน ความร๎ู จานวนมากไดส๎ ูญหายไป เพราะไมํมกี ารปฏิบัติสบื ทอด เชํน การรักษาพ้ืนบ๎านบางอยําง การใช๎ยาสมุนไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาท่ีเกํงๆ ได๎เสียชีวิต โดยไมํได๎ถํายทอดให๎กับคนอ่ืน หรือถํายทอด แตํคนตํอมาไมํได๎ปฏิบัติ เพราะชาวบ๎านไมํนิยมเหมือนเม่ือกํอน ใช๎ยาสมัยใหมํ และไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล หรือคลินิก งํายกวํา งาน หันตถกรรม ทอผ๎า หรือเคร่ืองเงิน เครื่องเขิน แม๎จะยังเหลืออยูํไมํน๎อย แตํก็ได๎ถูกพัฒนาไปเป็นการค๎า ไมํ สามารถรักษาคุณภาพ และฝีมือแบบด้ังเดิมไว๎ได๎ ในการทามาหากินมีการใช๎เทคโนโลยีทันสมัย ใช๎รถไถแทน ควาย รถอแี ต๐นแทนเกวยี น
การลงแขกทานา และปลูกสร๎างบ๎านเรือน ก็เกือบจะหมดไป มีการจ๎างงานกันมากข้ึน แรงงานก็หา ยากกวําแตํกํอน ผูค๎ นอพยพยา๎ ยถ่นิ บา๎ งกเ็ ขา๎ เมือง บ๎างก็ไปทางานที่อ่ืน ประเพณีงานบุญ ก็เหลือไมํมาก ทาได๎ ก็ตํอเมือ่ ลูกหลานท่ีจากบ๎านไปทางาน กลับมาเยี่ยมบ๎านในเทศกาลสาคัญๆ เชํน ปีใหมํ สงกรานต๑ เข๎าพรรษา เปน็ ตน๎ สงั คมสมยั ใหมํมรี ะบบการศกึ ษาในโรงเรยี น มอี นามัย และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วิทยุ โทรทัศน๑ และ เครื่องบันเทิงตํางๆ ทาให๎ชีวิตทางสังคมของชุมชนหมํูบ๎านเปล่ียนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ๎าหน๎าที่ราชการ ฝาุ ยปกครอง ฝาุ ยพัฒนา และอน่ื ๆ เข๎าไปในหมูํบา๎ น บทบาทของวัด พระสงฆ๑ และคนเฒําคนแกํเริ่มลดน๎อยลง การทามาหากินก็เปล่ียนจากการทาเพ่ือยังชีพไปเป็นการผลิตเพื่อการขาย ผ๎ูคนต๎องการเงิน เพื่อซ้ือเครื่อง บริโภคตํางๆ ทาให๎ส่ิงแวดล๎อม เปลี่ยนไป ผลิตผลจากปุาก็หมด สถานการณ๑เชํนนี้ทาให๎ผู๎นาการพัฒนาชุมชน หลายคน ที่มีบทบาทสาคัญในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เริ่มเห็นความสาคัญของภูมิป๓ญญา ชาวบ๎าน หนํวยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให๎การสนับสนุน และสํงเสริมให๎มีการอนุรักษ๑ ฟ้ืนฟู ประยุกต๑ และคน๎ คดิ สิง่ ใหมํ ความรใู๎ หมํ เพ่ือประโยชน๑สขุ ของสงั คม
ความเป็นมาและความสาคัญของการทาขนมเทยี นสูตร 100 ปี ขนมเทียน เป็นขนมไทยดั้งเดิมท่เี ขา๎ ใจวาํ ดดั แปลงมาจากขนมเขํงของชาวจนี เชื้อสายไทยทีน่ ยิ มทาใน วันสารทจนี แตํจะหอํ ด๎วยใบตองเปน็ รปู สามเหลีย่ ม และใสํด๎วยไส๎ตาํ งๆ สํวนชาวอีสานจะเรยี กขนมเทียนนี้วาํ ขนมหมก ท่นี ิยมทากันในชวํ งเทศกาลงานบญุ โดยเนอ้ื ขนมถกู หํอดว๎ ยใบตองเปน็ รปู สามเหลี่ยม เนอื้ ขนม เหนยี วใสํไสด๎ ๎วยรสหวานมนั ขนมเทียนมีช่ือเรยี กแตกตํางกันในแตลํ ะท๎องถ่ิน แตชํ ่ือหลกั และนยิ มใช๎จะเป็นขนมเทียน สวํ นชอื่ ท่ีมกั เรียกตาํ ง ได๎แกํ ขนมจ๏อก ทางภาคเหนือ สํวนทางภาคกลางเรยี ก ขนมนมสาว ภาคอสี านเรียกขนมหมก ทั้งน้ี ขนมเทียนจะมวี ิธีทาคลา๎ ยกับขนมเขํงท่ีชาวจนี ไว๎ไหว๎เจ๎า แตจํ ะแตกตาํ งกันที่การหํอ โดยขนมเทียนจะหํอ ทับด๎วยใบตองเปน็ รูปสามเหล่ียม แตขํ นมเขงํ จะหอํ ใบตองเปน็ เขงํ แล๎วคอํ ยเทนา้ แปงู ลงกํอนนาไปน่ึง ขนม ชนดิ นี้ มกั นยิ มทาในภาคอสี านเชนํ กัน โดยเฉพาะงานบุญอุทศิ กุศลใหแ๎ กํคนตาย และงานวนั ออกพรรษา ซึ่งมี ลักษณะเดียวกับขนมเทยี น ซึ่งชาวอสี านเรียกวํา ขนมหมก ซ่งึ จะหํอด๎วยใบตองเปน็ รปู สามเหลีย่ ม เน้อื ขนมทา จากแปูงข๎าวเหนยี วใสํไส๎ด๎วยเครือ่ งผสมของทั้งไส๎เค็ม และไสห๎ วาน คนไทยเช้ือสายจนี มักมสี ูตรลบั ในการนวดแปงู ให๎นุมํ เหนยี ว คอื การใสํน้าต๎มของหญ๎าชวิ คักลงผสม ขณะนวดแปงู ซง่ึ จะชวํ ยให๎เนอ้ื ขนมเทียนนมํุ มากขนึ้ อกี ท้ังชวํ ยเพมิ่ กล่ินหอมใหแ๎ กํขนมเทยี น หญ๎าน้ี จะพบ ขายตามร๎านขายสมนุ ไพรจีนโบราณหรอื ในกลมํุ ของชาวจนี เป็นสํวนใหญํ การศกึ ษาภมู ิปัญญาท้องถน่ิ ดา้ นการทาขนมเทียนสตู ร 100 ปีจากนางแฉล้ม ย่ังยนื นกั เรยี น ผ้สู งู อายโุ รงเรยี นผสู้ งู อายเุ ทศบาลเมืองวังน้าเยน็ อาเภอวังน้าเยน็ จงั หวัดสระแก้วในครงั้ นี้ ทาให้ได้ เรียนรู้ เข้าใจวิถชี วี ติ คา่ นิยม ความเช่ือ ขนบธรรมเนียมประเพณที อ้ งถน่ิ ท่ีมคี วามสัมพนั ธเ์ ชอื่ มโยง การ ถา่ ยทอดภูมิปัญญาการทาขนมเทยี นสตู ร 100 ปี ของนางแฉล้ม ยง่ั ยืน ที่ไดร้ ับการถ่ายทอดมาจากคุณ ยาย คุณแม่ที่มีภูมิลาเนาอยู่ท่จี งั หวัดปราจนี บุรี คุณยายไดส้ อนการทาขนมเทียนใหก้ ับนางแฉลม้ ยั่งยนื ในชว่ งท่ีงานบญุ และเวลาวา่ ง โดยไดเ้ ริม่ เรียนรู้วิธีการทาขนมมาตงั้ แต่อายุได้ 18 ปี จนกระทง่ั ปัจจุบัน อายไุ ด้ 71 ปี ในช่วงท่ีวา่ งจากการค้าขาย กจ็ ะทาขนมไว้แจกลกู หลานกนิ เน่ืองจากในสมัยก่อนไมม่ ี ร้านคา้ และหา้ งสรรพสินค้ามากมายเฉกเชน่ ปัจจุบัน หากอยากรบั ประทานขนมต้องทาขนมกนิ เอง และ หนึง่ ในขนมท่เี ลือกทาเพ่ือรบั ประทานและแจกให้ลูกหลานกค็ ือ ขนมเทียน นางแฉลม้ ยงั่ ยืน ไดถ้ า่ ยทอด ความรดู้ า้ นการทาขนมเทยี นให้กับลกู ๆ เชน่ เดยี วกนั หากนับระยะเวลาที่ไดร้ ับการถ่ายทอดจากรุ่นสรู่ ่นุ กเ็ ป็นเวลาเกอื บ 100 ปี ดงั นน้ั การสบื ทอดการทาขนมเทียนจากคนรุํนเกําสูํคนรํุนใหมํ จงึ ถูกตั้งช่ือภมู ปิ ญ๓ ญา น้วี าํ การทาขนมเทียนสูตร 100 ปี เพอื่ พฒั นาศักยภาพ ภูมิปญ๓ ญาท๎องถิ่นทีม่ ีอยูํ ชํวยเสริมสรา๎ งคุณภาพชีวิต เพือ่ การดารงอยขํู องวฒั นธรรมควบคํูกับการพัฒนาเป็นอาชีพและรายได๎ของคนชมุ ชน ตอํ ไป
https://puechkaset.com หญ้าชิวคกั หรอื บางคร้ังเรียกวาํ หญ๎าขนมเทียน มีชือ่ วิทยาศาสตร๑วาํ Gnaphaliumpolycaulon Pers. วงศ๑ AsteraceaeDumortจัดเป็นพืชลม๎ ลุกที่พบได๎ในทกุ ภาค โดยเฉพาะภาคกลางทพี่ บได๎ทัว่ ไปตามสวน ไรํนา ลาตน๎ มักแทงกอในชํวงปลายฝนถงึ ต๎นหนาวประมาณเดอื นตลุ าคม-พฤศจกิ ายนหญ๎าซวิ คกั มีลาตน๎ เปน็ เนอื้ เยอ่ื อํอน เปราะหักงําย ลาตน๎ กลมเล็ก ต๎นอํอนมีสีเขียว เม่ือโตเตม็ ทีจ่ ะมีขนสขี าวอมเทาเป็นเส๎นใยยาวปก คลุมทวั่ ลาตน๎ แตกก่ิงแขนงออกจานวนมาก ทาให๎กลายเป็นกอใหญํ สํวนใบมรี ูปเรียวรี ใบของต๎นอํอนมีสีเขยี ว ออํ น และเม่ือแกํมสี ีเขยี วเงนิ และมขี นสนั้ ๆปกคลุมท่ัว สวํ นดอกออกเปน็ ชอํ ตรงสํวนปลายของกิง่ ดอกมีขนาด เลก็ และมจี านวนมากหญา๎ ซวิ คักทนี่ ามาจะไดจ๎ ากต๎นแกํทีอ่ อกดอกแลว๎ และนามาตากแหง๎ กอํ นจะนาหญา๎ ซวิ คกั มาบดคั้นเอาน้าสาหรบั ผสมกับแปงู ข๎าวเหนยี วเปน็ ตัวขนมเทียน ความสาคัญของขนมเทียน ขนมเทียนขนมหวานอีกหน่ึงชนิดท่ขี าดไมํได๎ ที่ใช๎ในการเซํนไหว๎ในวันตรษุ จีน ร๎ูหรือไมํวํา ขนมเทียนน้ี ไมใํ ชํขนมของคนจนี แตํด้ังเดมิ แตขํ นมเทยี นนน้ั เปน็ ขนมท่ีชาวจีนโพ๎นทะเลดัดแปลงมาจากขนมใสํไส๎ของไทย โดยปรบั เปล่ยี นจากตวั แปงู ที่ผสมจากแปูงข๎าวเจ๎ากบั นา้ กะทิ มาเป็นแปงู ขา๎ วเหนยี วผสมกับน้ากะทิแทน ความหมายมงคลของขนมเทียนนั้น หมายถงึ ความหวานชื่นราบรื่นของชีวิตเชนํ เดยี วกับขนมเขงํ นอกจากน้ี รปู ทรงสามเหลี่ยมเหมือนเจดียย๑ ังเป็นสัญลักษณ๑มงคลทางศาสนาอกี ด๎วย ประเภทของไส้ขนมเทียน 1. ขนมเทียนไส๎ฟก๓ ทอง 2. ขนมเทยี นไสท๎ รงเคร่อื งหอํ ใบกะหล่า 3. ขนมเทยี นไส๎ถ่ัวแปูงผสมฟ๓กทอง 4. ขนมเทยี นไส๎มะพรา๎ วอํอนแปูงขา๎ วก่า 5. ขนมเทยี นไส๎มะพรา๎ วลูกชิด 6. ขนมเทียนไสถ๎ ว่ั เหลือง 7. ขนมเทียนไส๎มะพรา๎ วกล่นิ วานิลา 8. ขนมเทยี นไส๎ถ่ัวใบเตย
9. ขนมเทียนไส๎ฝอยทอง 10. ขนมเทียนไส๎เผือกมันแกว 11. ขนมเทียนไส๎มะพร๎าวอํอนอัญชัน 12. ขนมเทียนสอดไสแ๎ ปูงทา๎ ว 13. ขนมเทยี นไส๎ข๎าวผดั ทรงเครอื่ งใบเตย 14. ขนมเทียนไส๎มะพรา๎ วอํอนลกู ตาล 15. ขนมเทียนไส๎มะพรา๎ วถัว่ ดนิ แปูงข๎าวก่า 16. ขนมเทียนไสห๎ มูทรงเคร่ือง ขั้นตอนการทาขนมเทียน / ขนมเขง่ อุปกรณ์ 1. ชามผสม 2. ใบตอง หรือ กระดาษแก๎ว 3. ไม๎พาย และอุปกรณ๑การตัก ตวั หรอื เนอ้ื ขนมเทียน 1. แปงู ขา๎ วเหนยี ว 1 กิโลกรัม 2. แปงู เท๎ายายมํอม คร่ึงกิโลกรัม 3. สาคูเม็ดเล็ก 4. น้ากะทิ 1 ถ๎วย 5. น้าตม๎ หญ๎าซวิ คกั 1 ถว๎ ย (อาจไมใํ ช๎กไ็ ด๎ แตํหากใช๎ควรให๎มีใบของหญ๎าซิวคักผสมมากับนา้ ต๎มด๎วย) หรือน้าคัน้ จากพชื 1 ถ๎วย เชํน ใบเตย และดอกอญั ชัน เปน็ ต๎น (สาหรับตอ๎ งการใหต๎ ัวขนมมสี )ี ส่วนผสมไส้หวานขนมเทียน 1. เมลด็ ธญั พชื สกุ และบด 3 ถ๎วย (ถวั่ เหลือง ถัว่ ลิสง เมลด็ บวั เผือก ฯลฯ ทง้ั นไี้ มํต๎องบดกไ็ ด๎) 2. น้าตาลทรายแดง 0.3 กิโลกรมั 3. นา้ หัวกะทิ ครงึ่ ถว๎ ย 4. ฝอยมะพรา๎ วออํ นขูดเส๎นขนาดเล็ก 1 ถ๎วย 5. เกลอื ปุน 1 ช๎อนชา http://tuktajurairat.blogspot.com
วธิ กี ารทาไส้ขนมเทียน 1. เตรียมวตั ถุดบิ และสวํ นผสมตํางๆ http://khanomtheanlaksee.blogspot.com 2. นามะพรา๎ ว น้าตาลปบ๊ี และนา้ เปลาํ ไปเคย่ี วในกระทะทองเหลืองจนนา้ แหง๎ ปลอํ ยไว๎ใหเ๎ ยน็ เพอื่ นาไปป๓น้ เป็นก๎อน https://www.baanmaha.com ส่วนผสมไส้เค็มขนมเทียน 1. ถ่ัวเขยี วซกี เลาะเปลือก 1 กโิ ลกรมั 2. กระเทยี ม 3. พรกิ ไทย 4. น้ามนั พชื (สาหรบั ผดั ) 5. เกลือปนุ (สาหรับปรงุ รส) 6. นา้ ตาลทราย (สาหรบั ปรงุ รส)
วิธกี ารทาไส้เค็ม 1. เตรียมวตั ถดุ บิ และสวํ นผสมตาํ งๆ 2. ล๎างถวั่ เขยี วซกี เลาะเปลือกใหส๎ ะอาด แชทํ งิ้ ไว๎อยาํ งน๎อย 2 ชว่ั โมง หรือขา๎ มคนื จากนัน้ นาไปน่งึ หรือหุงจนสกุ พักท้ิงไว๎จนเยน็ สนทิ 3. โขลกกระเทียมกับพริกไทยเข๎าด๎วยกนั จนละเอียด ใสถํ ัว่ เขยี วนึง่ ลงโขลกพอหยาบ
4. ใสนํ ้ามนั พชื ลงในกระทะ ใสสํ วํ นผสมไส๎ลงผดั จนหอม ปรงุ รสด๎วยเกลอื ปุน และน้าตาลทราย ชมิ รส ตามชอบ ใหม๎ รี สหวาน เคม็ เผด็ ปิดไฟ ยกลงจากเตา พกั ท้ิงไว๎จนเยน็ ป๓้นเป็นก๎อนกลม เตรียมไว๎ การทาแป้งขนมเทียน 1. นาแปงู ข๎าวเหนียวเทผสมกับแปงู ท๎าวยายมํอม และคลุกผสมใหเ๎ ขา๎ กัน 2. เตมิ นา้ กะทิ และน้าตม๎ หญา๎ ชิวคกั (ไดข๎ นมเทยี นสีดาอมนา้ ตาล) หรอื น้าคั้นจากพืช (ไดส๎ ีขนมเทียน ตามสีของพืช) ทีละน๎อย พร๎อมนวดแปูงให๎เปน็ เน้ือเดยี วกนั ประมาณ 30 นาที จนไดก๎ ๎อนแปูงทเี่ หนียว และ สามารถปน้๓ เป็นก๎อนไดด๎ ี
3. ป๓้นก๎อนแปงู ปน้๓ เป็นก๎อนกลม พร๎อมบีบตรงกลางใหบ๎ ๐ุมลง กอํ นตัดไสข๎ นมเทียนทีเ่ ตรยี มไวย๎ ดั ใสํ แลว๎ บบี เนือ้ แปูงหุม๎ ไสไ๎ ว๎ แตบํ างตาราแนะนา ให๎เตรียมแปงู จนไดน๎ า้ แปงู เหลวหนืด กํอนนาไปกวนบนจนแปงู สุก แลว๎ คํอยนาเน้ือแปงู มาหํอยดั ไส๎ และนาไปน่ึงอกี ครั้ง ซ่งึ สามารถทาได๎ทั้ง 2 แบบ 4. นากอ๎ นแปงู ที่ยดั ไส๎แลว๎ มาหํอด๎วยใบตอง ซงึ่ กํอนวางก๎อนแปงู จะต๎องทาด๎วยนา้ มันพชื กํอน จากนัน้ พบั มุมใบตองซํอนกลัดกันไว๎ ซ่งึ จะไมํต๎องใชไ๎ มก๎ ลัด
5. นาขนมเทียนทีห่ ํอแลว๎ ลงนึ่งบนลงั ถงึ หรือหม๎อนึง่ นาน 1-1.5 ชัว่ โมง จนแปงู สุก กอํ นยกลงใหเ๎ ยน็ นามารับประทาน การเลอื กและการจัดเตรียมใบตอง 1. หาใบตองเตรยี มไว๎ลํวงหน๎าสัก 2 วนั ได๎มาแล๎วนาไปผ่ึงแดดให๎พอนิม่ ฉีกสํวนกว๎าง 12 ซม.
2. ตัดเจยี นปลายท้งั สองใหโ๎ ค๎งมนตามรปู โดยสํวนแขง็ ท่ตี ิดก๎านไมต๎ อ๎ งโค๎งมากนกั แตสํ ํวนปลายออํ น โคง๎ ๆเข๎าไว๎เพื่อเหลอื ปลายสอดสลัก 3. ใช๎ผา๎ ขนหนผู นื เลก็ ชบุ นา้ พอหมาดๆสองผืน วางบนโตะ๏ หน่ึงผืน หยบิ ใบตองมาวางบนผา๎ น่นั แล๎วใช๎ ผา๎ อกี ผืนเชด็ ตามแนวเสน๎ ใบ พลกิ เช็ดบน – ลาํ งจนเกลย้ี งดี
วิธกี ารหอ่ ขนมเทียน 1. เตรยี มสํวนผสมและเช็ดใหค๎ รบไวใ๎ ห๎พร๎อม 2. นาสํวนใบตองใบใหญํท่เี จียนใหห๎ ัวทา๎ ยรี ๆ ประกบกับใบตองเล็กทท่ี าน้ามนั ดงั รปู เอาดา๎ นหลัง ใบตองชนกัน 3. จบั มุมด๎านน่มิ ทาเป็นกรวยกน๎ แหลม ๆ หนั ดา๎ นจับจบี เขา๎ หาตวั ด๎านยาวออกนอกตัวเรา 4. ไส๎ขนมท่ีปน้๓ ไว๎เป็นลูกกลม ๆลงในใบตอง 5. ใชน๎ ิ้วกลบั แปงู ใหก๎ ลบไส๎ขนมใหม๎ ดิ 6. พับปิดขนมลงมาดว๎ ยใบตองใบเล็ก 7. พบั ด๎านท่ีอยูํใกล๎ตวั เราปิดทบไป 8. พับด๎านข๎างซ๎าย+ขวาเขา๎ มาใหเ๎ ปน็ ฐานสี่เหล่ยี ม พบั ดา๎ นบนทบลงมาสอดเขา๎ ไปเหน็บให๎แนํน หลังจากทาตามขนั้ ตอน แลว๎ ใหเ๎ ราเหน็บชายเขา๎ ไปให๎แนํนปลายใบตองด๎านนี้ ควรเปน็ ใบตองดา๎ นที่แข็ง ประโยชน์ของการรับประทานขนมเทยี น 1. ขา้ วเหนียวที่นามาทาแปงู หอํ ไส๎ขนมเทยี น มีทงั้ วิตามนิ บี 1, วิตามินบี 2 มโี ปรตีนชํวยในการ เจริญเตบิ โตและซํอมแซมสํวนท่ีสึกหรอ บารงุ ประสาทและสมอง ชวํ ยใหผ๎ อํ นคลายสดใสรําเริง และยังมีสํวน ชวํ ยในการปอู งกันหลอดเลอื ดหวั ใจตีบและป๓ญหาว๎ุนในตาเส่ือม 2. ไส๎ขนมเทยี นไมํวาํ จะคาวหรอื หวาน ท่ที าจากถั่วเขียวซีกกวนและมะพรา๎ วขดู ตํางก็มีประโยชน๑ตํอ ราํ งกายเชํนกัน เพราะถ่ัวเขียวมีสวํ นชวํ ยลดคอเลสเตอรอล ปูองกนั โรคหัวใจ และมีธาตุเหล็กสงู ชวํ ยปูองกนั โรคโลหิตจาง 3. เนอื้ มะพรา้ วชวํ ยปอู งกนั การเกิดโรคหวั ใจ ซึง่ หลายคนเข๎าใจผิดวําเนือ้ มะพรา๎ วและกะทจิ ะทาลาย สุขภาพ ความจรงิ แล๎วไมํใชํ เพราะในเนอื้ มะพรา๎ วมไี ขมนั เชงิ เด่ยี วเผาผลาญไดง๎ าํ ย แตํควรรับประทานรวํ มกบั ผกั และผลไม๎อื่นดว๎ ยเชนํ กนั ขอ้ เสนอแนะ 1. ไส๎ขนมเทยี นสามารถประยุกต๑ไดห๎ ลายแบบ อาทิ ไสเ๎ คม็ ท่ีมีเมลด็ ธัญพืชชนดิ เดยี วหรือชนิดผสม และไส๎เค็มท่ีอาจเป็นเน้ือหมูบดรํวมกับไขํเคม็ เปน็ ต๎น 2. การทาตัวขนมเทียนอาจใช๎แปงู ข๎าวเหนยี วอยํางเดยี วซ่ึงเปน็ สูตรดัง้ เดมิ แตํจะไดเ๎ น้ือขนมเทยี นท่ี เหนียว เมือ่ เคยี้ ว มักติดฟ๓น และเคยี้ วยาก ดงั นัน้ สมัยใหมจํ ึงมกั ผสมแปูงชนดิ อื่นเพอื่ ลดความเหนียว หรอื เพิม่ ความใส อีกท้งั ชํวยเพิ่มความนุมํ เค้ยี วแลว๎ ไมตํ ิดฟน๓ เชนํ แปูงมันสาปะหลงั และแปงู ทา๎ วยายมอํ ม ซ่ึงบางคร้ังที่ ขนมเทยี นมีความใสมากกจ็ ะเรยี กช่อื ใหมํเป็น ขนมเทียนแก๎ว 3. การน่ึงขนมเทยี นจะตอ๎ งใช๎เวลานงึ่ ทพี่ อเหมาะหากน่งึ นานจะทาใหเ๎ น้ือขนมเทยี นเปอ่ื ยยํุย และ เหนียวติดมอื ได๎ 4. เกลือทใ่ี ช๎ หา๎ มใช๎มากเกนิ ไป เพราะอาจทาใหข๎ นมเค็ม ขนมไมํอรํอยได๎
การนาภมู ิปญั ญาการทาขนมเทียนสูตร 100 ปี ไปใชใ้ นการดาเนินชีวิต 1. เพอื่ สืบสานภมู ิป๓ญญาท๎องถ่นิ เรอื่ งการทาขนมเทียนสูตร 100 ปี สูํลูกหลานสืบตอํ ไป 2. เพื่อนาความร๎ูทไี่ ดม๎ าประกอบอาชีพ 3. ทาให๎ผ๎ูสงู อายไุ ดใ๎ ชเ๎ วลาวาํ งให๎เกดิ ประโยชน๑ 4. ขนมเทียนเป็นขนมทนี่ ยิ มในงานบญุ โดยเฉพาะการไหว๎บรรพบรุ ุษชํวงวนั ตรษุ จนี https://th.openrice.com
ภาคผนวก - ประวัติผ้จู ัดทาภูมิปัญญาศกึ ษา - ภาพประกอบ
ประวตั ผิ ูถ้ า่ ยทอดภมู ปิ ัญญา ชื่อ: นางแฉลม๎ ย่งั ยืน เกดิ : เกิดวันที่ 1 เดอื นมกราคม พ.ศ. 2491 อายุ 71 ปี ภูมิลาเนา : ปราจนี บรุ ี ทอี่ ยู่ปัจจบุ นั : 1201/1 หมูํ 1 ต.วังนา้ เย็น อ.วังนา้ เยน็ จ.สระแก๎ว สถานภาพ : สมรสกบั นายชํวย ยงั่ ยนื มีบุตรธิดา 5 คน 1.นายเสกสรรค๑ ยง่ั ยนื 2.นายกฤษดา ยั่งยนื 3.นางลาวลั ย๑ ยง่ั ยนื 4.นายสมเกยี รติ ย่งั ยนื 5.นางศริ พิ ร ยั่งยืน ประวตั ิผู้เรยี บเรียงภูมปิ ัญญาศกึ ษา ชือ่ : นางสาวปรยี านัน สูํหญ๎านาง เกดิ : วนั ท่ี 29 เดอื นพฤศจิกายน พ.ศ. 2526 อายุ 35 ปี ภมู ลิ าเนา : ชยั ภูมิ ที่อยู่ปัจจุบัน: 7/7 หมูํ 2 ต.วงั นา้ เยน็ อ.วังน้าเย็น จ.สระแกว๎ สถานภาพ : โสด สถานภาพ ปจ๓ จบุ นั โสด การศกึ ษา ปริญญาตรี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎนครราชสีมา ปจั จุบัน ประกอบอาชีพ : ขา๎ ราชการครู โรงเรียนเทศบาลมติ รสัมพันธว๑ ิทยา สงั กัดเทศบาลเมอื งวงั นา้ เยน็
ภาพประกอบการจัดทาภมู ิปัญญาศึกษา เรอื่ ง การทาขนมเทยี นสูตร 100 ปี
ภาพการทาขนมเทยี นสูตร 100 ปี ลา๎ งถั่วเขยี วซีกเลาะเปลอื กให๎สะอาด แชํท้ิงไว๎อยํางนอ๎ ย 2 ชว่ั โมงหรอื ขา๎ มคนื จากน้นั นาไปน่งึ หรือหงุ จนสกุ พกั ท้ิงไวจ๎ นเย็นสนิท
โขลกกระเทยี มกับพริกไทยเข๎าดว๎ ยกนั จนละเอียด ใสถํ ั่วเขยี วนึง่ ลงโขลกพอหยาบ ใสนํ ้ามันพืชลงในกระทะ ใสสํ ํวนผสมไส๎ลงผดั จนหอม ปรงุ รสด๎วยเกลือปุน และนา้ ตาลทราย
ป๓้นไสข๎ นมให๎เปน็ ก๎อนกลม ขนาดเทําๆกัน เตรียมไว๎ จากน้นั นาแปงู มานวดผสมน้าเยน็ ทีละน๎อย แลว๎ ป๓น้ แปงู ใหก๎ ลม
กดแปงู ขนมใหเ๎ ปน็ แผํนแลว๎ ใสไํ ส๎ขนมทีป่ ้น๓ ไวห๎ อํ หุ๎มดว๎ ยใบตองท่ีทานา้ มันไว๎ เม่ือหํอแปงู และไส๎ขนมเสร็จแล๎ว นาไปใสํซ้งึ เพื่อทาการนง่ึ ขนม
เตรยี มลงั ถงึ เพื่อใชน๎ ่งึ ขนมเทียน นาขนมขนึ้ เตาไฟแล๎วนึง่ ท้ิงไว๎ประมาณ 30 นาที
หลงั จาก 30 นาทผี ํานไป นาขนมลงจากเตาจัดใสํจานหรือถาด พรอ๎ มรบั ประทาน https://th.openrice.com สามารถใชข๎ นมเทียน ในพิธีไหว๎ตํางๆ เชนํ วันตรษุ จีน วันสารทจนี ได๎
อา้ งอิง ขนมเทยี น, [Online]. Araible: http://puechkaset.com/ [Accessed:17.November.61]. ขนมเทยี น, [Online]. Araible: https://th.wikipedia.org/wiki [Accessed:17.December.61]. ขนมเขง่ /ขนมเทียน, [Online]. Araible: https://th.openrice.com/th/bangkok/article [Accessed:20.November.61].
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: